แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คือธรรมปาฏิโมกข์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูต่อไปตามเคย วันนี้อยากจะพูดโดยหัวข้อว่า การใช้ตัวกูของกูให้เป็นประโยชน์ และก็เป็นเรื่องที่ต่อมาจากวันก่อน วันก่อนเราได้พูดกันถึงเรื่องมหาปริฬาหนรก นี่คือนรกแห่งตัวกูของกูนั่นเอง ไปเข้าใจเสียใหม่ให้ดีครั้งที่แล้วมา เมื่อตัวกูของกูเกิดเมื่อไร ก็เป็นนรกเมื่อนั้น แต่นี่มันมีชื่อเรียกได้หลายอย่าง เช่นนรก เอ่อ, แห่งปฏิจจสมุปบาทก็ได้
พอมันเกิดปฏิจจสมุปบาท มันก็ตกนรกชนิดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะแห่งผัสสะ เวทนา ตัณหา ในสายแห่งปฏิจจสมุปบาทก็มีผัสสะรวมอยู่ และก็มีตัณ เอ่อ, มีเวทนา มีตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติและทุกข์ พอผัสสะในที่นั้น มันหมายถึงอวิชชาสัมผัส คือผัส เอ่อ, ผัสสะที่ทำหน้าที่ด้วยอวิชชา พออันนี้มี นรกต้องมี ดังนั้นบางครั้งพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าผัสสายตนิกนรก ผัสสายตนิกนรก นรกที่เกิดจากการสัมผัสทางอายตนะ
เรื่องอย่างนี้พวกอรรถกถาจารย์อธิบายเป็นนรกใต้ดินหมด มันน่าหัว นี่ไปดูอรรถกถา ผมรู้ว่าความประสงค์ของพระพุทธเจ้า ท่านจะพูดถึงนรกเมื่อมีการกระทบทางอายตนะ และยิ่งตรัสเรื่อง เอ่อ, มหาปริฬาหนรก ก็ยิ่งตรัสชัดว่า มันเมื่อ เอ่อ, เมื่อมีการกระทบทางอายตนะ เกิดปฏิจจสมุปบาทที่เราเรียกว่าเกิดตัวกูของกู ฉะนั้นนรกนี้ก็คือนรกเดียวกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรียกชื่อว่ามหาปริฬาหนรก หรือผัสสายตนิกนรก หรือว่านรกแห่งตัวกูของกู
มันพูดภาษาธรรมดาหน่อยก็เรียกว่านรกแห่งกิเลส เมื่อไรเกิดโลภะ โทสะ โมหะของตัวกู เมื่อนั้นก็เกิดนรกชนิดนี้ กิเลสก็ชื่อว่าไฟอยู่แล้ว หมายความว่าร้อน ปริฬาหะ เอ่อ, มหาปริฬาหะ ฬาหะ แปลว่าร้อน ฬาหะ แล้ว ปริ รอบด้าน มหา ก็ใหญ่หลวง มหาปริฬาหนรก นรกร้อนรอบด้านใหญ่หลวง นี่คือนรกแห่งตัวกู มันเกิดทุกทีที่มันมีอวิชชาสัมผัส อวิชชาสัมผัส ก็หมายถึงจิตสัมผัสโลกนี้ด้วยอวิชชา จะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย กระทั่งทางจิตใจเองก็ได้ จิตเป็นผู้สัมผัส มโนเป็นผู้สัมผัสโลกนี้ทางไหนก็ได้ด้วยอวิชชา เมื่อนั้นก็เกิดปริฬาหนรก
นี้ไปมัวนึกถึงกันแต่นรกใต้ดิน ไปถึงต่อตายแล้ว แต่โง่ไม่รู้จักนรกที่ตกอยู่จริงที่นี่และเดี๋ยวนี้ และยังโง่อีกชั้นหนึ่งว่า ถ้าไม่ตกนรกชนิดนี้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตายแล้วก็ไม่มีตกนรกไหนหมด เพราะฉะนั้นก็อย่าตกนรกชนิดนี้ที่นี่และเดี๋ยวนี้สิ แล้วจัดการแก้ไขป้องกันที่นี่และเดี๋ยวนี้ อย่าให้ตกนรกชนิดนี้ ถ้าตายแล้วเป็นไม่มีตกนรกชนิดไหนหมด และเมื่อไม่ตกนรกชนิดนี้ ก็มีแต่จะเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ไปเลย มันดีอย่างนี้ ถ้าสนใจเรื่องนรกชนิดนี้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ มันจะมีผลอย่างนี้
แต่นี่มันโง่ มันไม่สนใจ มันไปสนใจนรกต่อตายแล้ว มันก็รอที่จะตกนรกต่อตายแล้วบ้างอะไรบ้าง มันก็เลยไม่ได้อะไรที่นี่และเดี๋ยวนี้ แล้วก็ตกนรกตลอดเวลา ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ พอมันเกิดตัวกูของกูขึ้นมาแล้ว มันเป็นสุนัขขี้เรื้อน นอนที่ตรงไหนก็ไม่มีความสุข ต้องวิ่งไปวิ่งมา มันจะไม่ ๆ มีอารมณ์สุข มีแต่อารมณ์ที่ร้อนบ้าง เอ่อ, มืดมัวบ้าง เอ่อ, ทิ่มแทงผูกพันอะไรไป ๆ ต่าง ๆ นานา ดังนั้นเราอย่าได้นรกชนิดนี้กันเลย อย่าตกนรกของกิเลสกันเลย อย่าตกนรกที่นี่และเดี๋ยวนี้กันเลย มันเป็นนรกของกิเลสสร้างขึ้น
ทีนี้เราก็แก้ลำโดยการใช้กิเลสนั้นให้เป็นประโยชน์เสีย ใครได้ยินก็ว่าผมบ้า หรือพูดแหวกแนว หรืออะไรไปตามแบบของผม มันก็อย่างนั้นแหละ มันก็จริงอย่างนั้น แต่ก็ต้องขอร้องให้ฟังให้ดี ว่าที่จะใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ เขาถือกันว่ากิเลสเป็นข้าศึก เป็นไอ้อุปสรรคเป็นอะไร ล้วนแต่น่ารังเกียจ ให้ละเสีย ให้ทิ้งเสีย เรากลับพูดว่าเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ มันก็ควรจะให้อภัยเขา ถ้าเขาจะว่ามันบ้าแล้วโว้ย นี้ก็บ้าต่อไปถ้าจะใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์
อันแรกที่สุดก็ควรจะนึกถึง เอ่อ, ภาษิตของพระอานนท์ที่กล่าวไว้ตรง ๆ จริง ๆ ภาษิตอื่น ๆ เป็นกล่าวโดยอ้อม ภาษิตพระอานนท์กล่าวตรง ๆ จริง ๆ ว่า จงอาศัยตัณหาละตัณหา อาศัยมานะละมานะ เรื่องนี้ก็เคยพูดแล้ว แต่ว่ามันจะหลายปีมาแล้ว ให้ใช้ตัณหาละตัณหา ให้ใช้มานะละมานะ ส่วนเม เมถุนธรรมนั่นอาศัยอะไรไม่ได้
ฟังดูแล้วพระอานนท์ก็รอบคอบ พูดแต่ว่าใช้ตัณหาละตัณหา ใช้มานะละมานะ แล้วก็ไปสกัดท้ายไว้ว่า ส่วนเมถุนธรรมนั่นใช้อะไรไม่ได้ คือให้ละขาด เอ่อ, คือว่าอย่าไปยุ่งด้วย อย่าไปติดต่อด้วย อย่าไปเอา อย่าไปเอามาใช้ ภาษาบาลีก็เรียกว่าเสตุฆาต เสตุฆาต แปลว่าทำลายสะพานเสีย ชักสะพานเสีย อย่าให้มัน อย่าให้มันไปมากันได้ ส่วนตัณหามานะ ไอ้ ๆ พวกนี้นั้นเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ คือว่าใช้ละตัวมันเอง
ท้องเรื่องมีสั้น ๆ จำไม่ค่อยได้ก็ ภิกษุณีองค์หนึ่งหลงรักพระอานนท์มาก นอนลุกไม่ไหว เอ่อ, ซบเซาอยู่อย่างนั้น พระอานนท์ไปเยี่ยมแล้วก็บอกข้อความนี้ แกก็เลยหาย ๆ ๆ ๆ คลั่ง หายหลง ลุกขึ้นมาขอโทษ ท้องเรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เอาตัวเรื่อง เอ่อ, เอาใจความใน ๆ ๆ คำพูดนั้นดีกว่า นี่เป็นเค้าเงื่อนที่ว่า ถ้ามองให้ดี เราก็ยังอาศัยสิ่งที่เรียกว่ากิเลสนั้นละกิเลสได้ โดยการเอามาใช้ให้มันถูกวิธีหรืออีกวิธีหนึ่ง
มันมีความหมายเป็นอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา เช่นหนามยอกเอาหนามบ่ง คนโบราณพูดไว้ แต่พวกเด็ก ๆ สมัยคุณคงจะโง่ถึงขนาดไม่รู้ว่าทำอย่างไร เราไปในป่า ถูกหนามนี่อันร้ายกาจในป่า ไอ้หนามยาว ๆ แข็ง ๆ มันตำติดอยู่ในเท้า ที่ส้นหรือที่ไหนก็ตาม แล้วมันหักเสมอเลย นี้เขามีวิธีกันมาแต่โบราณว่า ต้องเอาหนามนั้นเองบ่ง คือเอาหนามมาสองอันทีนี้ มาเสียบเข้าที่ข้าง ๆ เอ่อ, ข้าง ๆ หนามอันที่ตำติดอยู่ในเนื้อนะ เสียบสองข้างตรงกันข้ามลึกพอสมควร แล้วเสียบเข้าไปในตัวหนามแล้วงัด งัดขึ้นพร้อม ๆ กัน งัดอย่าง Fulcrum เลย ไอ้ปากรูนั้นมันก็คอยคานไว้ พองัดขึ้นมาพร้อม ๆ นี้ ไอ้หนามอันนั้นมันหลุดออกมาได้ นี่เขาเรียกว่า หนามยอกให้เอาหนามบ่ง มันก็หนามชนิดเดียวกันเลย ที่ต้นไม้หนามต้นเดียวกันนั่นแหละ
นี่ผมไปเที่ยวที่ชายทะเลที่พุมเรียงทีไร แล้วก็นึกถึงภาษิตนี้เสมอ ที่พุมเรียงนั้นน่ะ จะมีต้นไม้ชนิดหนึ่ง เขาเรียกว่าต้นเค็ด หนามน่ากลัวมาก ยาวนะ ยาวพรืดเต็มไปหมด แล้วมันเที่ยวตกหล่นอยู่ทั่วไป เดินไม่ดีมันตำ ไอ้เราก็คอยระวังและก็นึกอยู่เสมอว่า ถ้าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง นี่เป็นเค้าเงื่อนที่ว่าจะใช้กิเลสให้แก้กิเลส ส่วนกิเลสที่มันมากเกินไป เอ่อ, หรือว่ามันเป็นผลของกิเลสเสียแล้ว เช่นเมถุนธรรมอย่างนี้ จะเอามาใช้แก้อะไรในความหมายนี้ก็คงไม่ได้ ดังนั้นอย่าไปเกี่ยวข้องกับมัน
เอ้า, ทีนี้เราได้เค้าเงื่อนว่า ไอ้หลักที่พูดว่าใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์นี่ มันควรจะทำได้ อย่างในตัวอย่างนี้ คือใช้กับมันตรง ๆ อย่างนี้ หรือมิฉะนั้นก็ใช้อย่างวิธีเปลี่ยนกำลัง เปลี่ยนกระแสของมัน ที่เรียกว่า Sublimate นี่มีความหมายกว้างขวางมาก เอ่อ, สิ่งที่เป็นอันตรายมาเปลี่ยนให้กลายเป็นให้คุณไปเสีย วันก่อนก็พูดกันทีหนึ่งแล้วว่า ไอ้กระแสน้ำที่ท่วมบ้านท่วมเมืองทำคนตาย เอามาใช้หมุนกังหันไฟฟ้าเสียอย่างนี้เป็นต้น ไฟที่จะเผาบ้านเผาเมือง เอามาใช้ใส่เตาหลอมเหล็กเสีย มันก็กลายเป็นประโยชน์
อย่างนี้หมายถึงเอากำลังของกิเลส เพราะเหตุใดต้องเอากำลังของกิเลส เพราะว่ากิเลสจะต้องมีกำลังมาก กิเลสจะต้องมีกำลังมากกว่าที่ไม่ใช่กิเลส กิเลสก็คือโพธิ เอ่อ, ก็ เอ่อ, ก็คือไอ้ความรู้ที่มันผิด โพธิ ก็คือความรู้ที่เรียกว่าถูก แต่นี่กำลังของความรู้ที่ผิดจะมีมากมหาศาล กำลังของความรู้ที่ถูกมันมีน้อย ตามปรกติตามธรรมชาติมันมีน้อย ดังนั้นต้องเปลี่ยนกำลังเสีย เอาไอ้กำลังของ เอ่อ, กิเลสมาเป็นกำลังของโพธิเสีย ที่แท้ก็คือการทำสมถวิปัสสนาอะไรต่าง ๆ เราจะ ๆ ริบกำลังของกิเลสเสียให้หมด เอามาเพิ่มให้แก่โพธิเสีย นี้โพธิก็มีเป็นญาณเป็นอะไร เป็นทัศนะเป็นอะไรกล้าแข็งขึ้นมา ทำลายกิเลสให้หมดสิ้นเชิงไปได้
นี่มองกันในแง่นี้บ้าง แต่พอฟังว่าใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ก็อย่าเพ่อหัวเราะ เดี๋ยวนี้เพราะความโง่อันนี้แหละ จึงได้ทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ เพราะไม่รู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์นี่ จึงได้ทนทุกข์ทรมานไม่มีแผ่นดินจะอยู่ เป็นสุนัขขี้เรื้อน หลีกไปที่ไหนก็ไม่พ้น เพราะว่าที่ไหน ๆ มันก็มีอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งกิเลส และเราก็เป็นบุถุชนพร้อมที่จะ เอ่อ, มีกิเลส เดี๋ยวนี้เราก็รู้แล้วว่า เอ่อ, จะใช้มันอย่างคร่าว ๆ ก็คือเอากำลังของมันมาใช้ให้ถูกวิธีเสีย หรือว่าในบางกรณีก็ใช้กิเลสชื่อเดียวกันแก้ไขกันเสีย อย่างพระอานนท์ว่า
ตัณหานั้นคือความอยาก ทีนี้มันอยากโดยอวิชชา มันอยากผิด อยากชั่ว และเป็นทุกข์ แต่มันมีกำลังมาก นี้ก็เปลี่ยนให้เป็นตัณหาโดยวิชชา อยากในทางที่ถูกต้อง มันก็กลายเป็นอยากที่จะฆ่ากิเลสนั้นเสีย คืออยากไปนิพพาน ความอยากไปนิพพานนั้นที่แท้ไม่ ๆ ใช่ตัณหา แต่เพราะว่าเป็นความอยากเหมือนกันจึงเรียกว่าตัณหา
ตรงนี้คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ตามใจ ผมจะขอบอกให้รู้ไว้เป็นหลักว่า ความอยากที่ประกอบด้วยอวิชชาเรียกว่าตัณหา ถ้าความอยากมิได้ประกอบด้วยอวิชชาแต่ประกอบด้วยสติปัญญา ความอยากนั้นมิใช่ตัณหา แต่ว่าครูบาอาจารย์พวกอื่นสำนักอื่น เขาก็สอนกันอยู่อย่างอื่น คืออย่างตรงกันข้าม คือเขาจะสอนกันว่า ถ้าขึ้นชื่อว่าความอยากแล้วเป็นตัณหาทั้งนั้น เป็นความโลภทั้งนั้น
ไอ้เราบอกว่าอย่าเพ่อพูดอย่างนั้น ต้องแบ่งเป็นสองพวก ถ้ามันอยากด้วยอวิชชาจึงจะเป็นตัณหาหรือเป็นความโลภ ถ้ามันอยากด้วยสติปัญญา มันอยากจะดับทุกข์ อยากจะไปนิพพาน อย่างนี้ไม่ใช่ตัวตัณหา ไม่ใช่ตัวความโลภ แต่มันยังมีชื่ออย่างเดียวกัน เพราะเราไม่มีชื่ออื่นจะใช้ ก็เรียกว่าความอยากอยู่นั่นเอง
ทีนี้มานะก็เหมือนกัน เป็นชื่อของกิเลส ยึดถือตัวกูของกูอย่างนั้นอย่างนี้ ดีกว่า เลวกว่า นี้เอามาใช้เพื่อจะละกิเลสเสีย โดยมานะอย่างถูกต้องด้วยสติปัญญาว่า เดี๋ยวนี้ก็มีบุคคลผู้บรรลุธรรมเป็น เอ่อ, สมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม คือเป็นพระอรหันต์ก็มีอยู่ และเราก็เป็นบุคคลคนหนึ่งเหมือนกัน ทำไมเราจะทำไม่ได้ ดังนั้นเราจะต้องทำให้ได้ โดยอาศัยมานะอย่างนี้ว่า เราจะต้องละกิเลสให้ได้ ตัณหาทีแรกช่วยให้เราอยากละกิเลส มานะที่สองช่วยให้เราแน่ใจว่าเราก็จะต้องละกิเลสได้ ก็พยายามกระทำจนละกิเลสได้ด้วยอำนาจของมานะอันนี้ ที่มันเข้ามาในวงของสติปัญญา
พระอานนท์กล่าวไว้ว่า ให้อาศัยตัณหาละตัณหา อาศัยมานะละมานะนั้น มีคำอธิบายอย่างนี้ มันก็ตรงกับที่เราใช้คำว่า Sublimate ไปเสียในทางที่ตรงกันข้าม หรือว่าหนามยอกเอาหนามบ่ง นี่จึงจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ถ้าโง่ถึงขนาดที่เรียกว่าไม่รู้กิเลสคืออะไร อยู่ที่ไหน คอย เอ่อ, ตั้งหน้าแต่จะเกลียดอย่างเดียว กลัวอย่างเดียวนี้ ไม่มีหวังที่จะสำเร็จ เพราะมันเป็นความโง่อยู่นั่นแหละ มันไม่เป็นวิชชาหรือเป็นแสงสว่างขึ้นมาได้
ดูเถิดทั่ว ๆ ไป เราอาจจะใช้สิ่งที่มันเป็นอันตรายเป็นโทษนั้นให้กลายเป็นคุณ วันก่อนก็พูดว่า อุจจาระปัสสาวะก็ใช้ทำปุ๋ยต้นไม้ได้ นี่ถ้ามันไม่โง่ ทีนี้มันมีอะไร ๆ อีกหลายอย่าง ซึ่งมันจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ในเมื่อรู้จักใช้ เมื่อไม่รู้จักใช้ มันกลายเป็นโทษเบียดเบียนเราอยู่ทุกวัน
เอ้า, ทีนี้ก็จะดูไอ้ตัวกิเลสที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ ใช้ตัวกูของกูให้เป็นประโยชน์ ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ไอ้ตัวกูของกู นั่นคือ ๆ กิเลสที่เต็มที่ เอ่อ, ที่มีกำลังกดดันเต็มที่ เกิดอยู่เป็นประจำวัน ไม่อย่างนั้นก็อย่างนี้ นี่ยิ่งมีการสังคมกันยิ่งเกิดง่าย เพราะฉะนั้นจำไว้ด้วย กิเลสประเภทตัวกูของกูโดยเฉพาะนี้ อยู่คนเดียวเกิด ๆ ยากเกิดน้อย พอเข้าไปเกี่ยวข้องกับสองคนสามคน เป็นสังคมแล้วเกิดง่าย แล้วเกิดมากเกิดแรง ก็ดีสิ ยิ่งเกิดแรงยิ่งเห็นชัด เมื่อไม่เกี่ยวข้องกับบุรุษที่สอง มันไม่เกิด ก็ยิ่งไม่เห็นเท่านั้นเอง
ทีนี้มันก็เกิดให้เห็นชัดว่า กิเลสมันเป็นอย่างนี้ แล้วทำไมมันจะไม่มีประโยชน์ล่ะ มันทำให้เจ้าของหายโง่ มันเกิดขึ้นมาเพื่อทำให้เจ้าของหายโง่ไม่รู้จักว่ากิเลสนั้นเป็นอย่างไร มันเรียนนักธรรมเอก เรียนป.๙ แล้ว มันก็ยังไม่รู้ว่ากิเลสเป็นอย่างไร มัน เอ่อ, ได้แต่จด ๆ จำ ๆ มา แล้วกิเลสเกิดอยู่จริงก็มิได้รู้จัก ดังนั้นเลิกเรียน เอ่อ, เลิก ๆ ๆ เรียนกิเลสในหนังสือ มาดูกิเลสที่เกิดอยู่จริงและก็อยากจะรู้จักมันจริง ๆ เดี๋ยวนี้เรามันไม่รู้จักกิเลส ทั้งที่กิเลสเกิดอยู่ทุกวันเราก็ไม่รู้จัก เพราะเราไปเป็นกิเลสเสียเอง
นี้เราอยู่ที่ไหน นี่พูดยาก เอาจิตที่เป็นกลาง เณรคนนี้บางเวลามันด่าพระ ด่าอาจารย์ บางเวลามันดีมาก ดีที่สุด ตรงไหนที่เป็นเณรคนนี้ เอ้า, มันก็ ๆ หมด ถ้าไปชี้ที่ ๆ มันด่าอาจารย์เป็นเณรคนนี้ มันก็ไม่ถูก ไปชี้ที่มันดีมากก็ยังไม่ถูก มันต้องชี้ที่ตรงกลาง ๆ ที่มันอาจจะเป็นอะไรก็ได้ อุบาสกคนนี้บางเวลาเป็นหมาปากร้าย บางเวลาเป็นคนรับใช้พระสงฆ์ที่ดีที่สุด ตรงไหนมันเป็นอุบาสกคนนี้ ในสองข้างนั้นมันคงไม่ไหวหรอก มันต้องอยู่ที่ตรงกลางนั่นแหละ
นี่พระเณรก็เหมือนกัน พระองค์นี้บางเวลาก็เป็น เอ่อ, ผู้ไม่เชื่อฟัง ดื้อดึง ประชดประชันแม้แก่อุปัชฌาย์อาจารย์ บางเวลามันก็ดีแสนจะดี ตรงไหนมันเป็นพระองค์นี้ ดังนั้นเมื่อเราเอาที่ตรงกลาง คือจิตที่ยังมิได้ประกอบด้วยกิเลสหรือโพธิ เป็นเณรองค์นี้ เป็นอุบาสกคนนี้ เป็นพระคนนี้ นี้เมื่อไรกิเลสเข้ามา มันเป็นอย่างไรนั้นไม่รู้ เพราะพอกิเลสเข้ามา มันเป็น พลอยเป็นกิเลสเสียเอง ไอ้ตัวมันเองไม่มี ดังนั้นเราจึงไม่รู้จักกิเลสของเรา
นี่ต้องพูดจริงกันแล้ว ต้องไปเอาไอ้ความรู้สึกในใจจริง ๆ เมื่อเราเกิดกิเลส เมื่อเราโกรธคนนั้น เมื่อเราโกรธคนนี้ เรามันเป็นกิเลสไปเสียแล้ว ก็เลยไม่มี ๆ เราตัวไหนที่จะมา ออกมายืนดูว่า เอ้า, นั่นมันกิเลส ดังนั้นต้องศึกษาให้รู้จักไอ้อันที่มันไม่เป็นกิเลสหรือ ๆ เป็นโพธินั่นแหละ คือจิตล้วน ๆ นี้ ให้รู้จักเข้าไว้ จะได้รู้จักกิเลส ถ้าเราแยกจิตอันนี้ออกมาเป็นตัวเราได้ เอ่อ, นี้จะมีประโยชน์ กิเลสจะมีประโยชน์ มัน ๆ เกิดขึ้นมาให้เรารู้จักว่า อะไรคือกิเลส
เดี๋ยวนี้คุณก็บวชหลายพรรษา ยี่สิบพรรษาก็อาจจะมี ก็ไม่รู้จักกิเลส ทั้งที่กิเลสเผาผลาญอยู่ทุกวัน ก็ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่ากิเลส ก็กลายเป็นว่า กิเลสเกิดมาเผาผลาญเอา ไม่ใช่กิเลสเกิดขึ้นมาให้คนนั้นมันรู้จักกิเลส ดังนั้นเราเปลี่ยนกันเสียทีเถิด เปลี่ยนชนิดที่ว่า เอ่อ, ให้กิเลสมันเกิดมาสำหรับให้เรารู้จักกิเลส อย่าให้กิเลสมันเกิดขึ้นสำหรับให้เรากลายเป็นกิเลสเสีย แล้วไม่รู้จักกิเลส แล้วก็ทำไปตามอำนาจของกิเลส ทำสิ่งที่ไม่ควรทำสำหรับภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา นี่ล้วนแต่ทำไปตามที่มันไม่สมควรจะทำนั้น เพราะมันเป็นตัวกิเลสเสียเอง ไม่รู้จักแยกว่า จิตอย่างนี้เป็นของกลาง เป็นจิตแท้ อย่างนั้นเป็นกิเลส อย่าไปทำมันเข้า
ดังนั้นเราควรจะขอบใจที่มันมีไว้สำหรับให้เราหายโง่ เอ้า, มึงโง่เท่าไร กูตบหน้ามึงนี่ จริงไม่จริงก็ดูสิ กิเลสมันจะตบหน้าอยู่ทุกวัน ทุกคราวที่ ๆ ๆ ๆ มันโง่ ที่เราโง่ ที่คนมันโง่ มันเกิดมาช่วยตบหน้าให้ทุกวัน ๆ ทุกคราวที่มันโง่ โดยความโลภบ้าง โดยความโกรธบ้าง โดยความหลงบ้าง มันจะตบหน้า จะเรียกตบหน้า หรือเรียกเผาผลาญ หรือทิ่มแทง เรียกอะไรก็ตามใจได้ทั้งนั้นแหละ แต่แล้วมันก็ไม่รู้สึก อย่าว่าเลย ไม่รู้จักตัวกิเลสแล้วยังไม่รู้จักการถูกตบหน้าโดยกิเลสเสีย ๆ ๆ อีก นี้คืออวิชชา ดังนั้นขอก็ให้คิดกันดูเสียใหม่ ให้รู้จักกิเลส ให้รู้จักการกระทำของกิเลส
ถ้าเราจะขอบใจมันว่า มันมาช่วยตบหน้าให้ ไอ้คนมันอยากโง่ กิเลสมันเกิดขึ้นช่วยตบหน้าให้หลาย ๆ หน มันจะได้ค่อย ๆ ฉลาดเสียบ้าง นี่จริงหรือไม่จริง ถ้ากิเลสมันไม่ช่วยตบหน้าให้ มันยังโง่ดักดานเหมือนเดิมนั่นแหละ ขอให้ถือว่า ไอ้ความผิดพลาดหรือความทุกข์นี่เป็นครูมากกว่าความถูกต้อง ความทุกข์เป็นครูมากกว่าความสุข ความผิดพลาดเป็นครูมากกว่าความถูกต้อง
แต่เราไม่สนใจ เราไม่ยอมรับครูคนนี้ เพราะเราไม่ชอบ เราไปชอบอะไรที่มันสนุกสนานเอร็ดอร่อย ที่เรียกกันว่าความสุขหรือความถูกต้อง กลับทำให้เหลิง ให้ลืมตัว ให้หลงใหล เตลิดเปิดเปิงไปไหนก็ไม่รู้ เพราะครูชนิดนั้นมันมีแต่อย่างนั้น แล้วก็เพิ่มความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ๆ เอ่อ, ส่วนครู เอ่อ, คือความทุกข์นี้ มันสอนดี สอนจริง สอนตรง สอนอย่างที่เรียกว่า ผิดนิดเดียว ตบหน้าฉาดใหญ่เลย แต่คนก็ไม่รู้จักเจ็บ เพราะว่าคนมันหน้าด้าน มันด้านเสียจนไม่รู้ว่าจะด้านอย่างไร ถูกกิเลสตบหน้าอย่างไร มันก็ไม่รู้สึกอยู่นั่นแหละ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้
ทีนี้มาดูกันเสียใหม่จะได้รู้สึก เราก็จะได้ขอบใจว่า นี่เกิดมา ไอ้กิเลสนี้เกิดมาเป็นครู ให้เรารู้จักตัวเราคือกิเลส ตัวกูของกูคือกิเลสเป็นอย่างไร ทีนี้ดีไปกว่านั้นอีกก็คือว่า มันช่วยทดสอบ นี้มันเลื่อนชั้น เอ่อ, เลื่อนลำดับขึ้นมาแล้ว กิเลสนี่เป็นผู้สอบไล่ เราบวชในธรรมวินัย ศึกษาประพฤติปฏิบัติมานานแล้ว ไม่มีใครสอบไล่ให้ได้ว่า เอ่อ, เรียนได้ถึงไหน เอ่อ, เรียนได้จริงถึงไหน มันต้องกิเลสเป็นผู้สอบไล่ มันถึงจะรู้จริง
สอบไล่นักธรรม สอบไล่บาลีนั้น สอบให้เท่าไร ๆ มันก็ไม่รู้หรอกว่า ๆ มีกิเลสจริง หรือว่ามีกิเลสเท่าไรหรืออะไร นี่อย่างที่สอบมันทุก ๆ ปีนี้ มันคนละเรื่อง บางที เอ่อ, สอบไล่ชนิดนี้จะทำให้หลงมากขึ้นไปอีกก็ได้ มันต้องให้กิเลสสอบไล่ ทำผิดตบหน้า เราก็เริ่มรู้จักว่ามันมีความทุกข์อย่างไร เมื่อไร ที่ไหน โดยวิธีใดอย่างนี้ หรือแม้แต่เพียงจะเป็นเครื่องตอบว่ามีกิเลสหรือไม่มีกิเลส นี่ก็ ๆ ดีแล้ว มันต้องสอบด้วยกิเลสนั้นแหละ
อย่างอื่นไม่แน่ ที่จะสอบดูว่าปฏิบัติธรรมสำเร็จหรือไม่สำเร็จนี่ ให้ดูที่กิเลสนั่นแหละ ถ้ามันยังอยู่ก็เรียกว่าไม่สำเร็จหรอก มันว่าเอาเองทั้งนั้นแหละ แม้ที่สุดแต่จะถามว่าเป็นพระอรหันต์หรือยัง ก็อย่าไปดูที่อื่น ให้ดูที่กิเลสนั่นแหละ แม้แต่กิเลสเล็กกิเลสน้อยที่เหลืออยู่นั่นแหละ เป็นเครื่องบอก เป็นเครื่องสอบไล่ ดังนั้นควรจะขอบใจกิเลสในฐานะที่มันเป็นผู้ช่วยสอบไล่ มันมีประโยชน์ในการช่วยสอบไล่
เอาสิ เอ่อ, ถ้ายังอยากจะสอบตกก็สอบไปสิ มันก็จะได้ตบหน้ากันเรื่อยไปแหละ พอมัน เอ่อ, สอบได้ มันก็ถูกตบหน้าน้อยเข้า ดังนั้นมันเป็นกรรมการที่สอบไล่ที่แท้จริง ที่ยุติธรรม ที่ ๆ ๆ มีประโยชน์ มันก็ได้รู้กันว่า เอ่อ, การเรียน การปฏิบัตินี้ มันได้ผลจริงหรือเปล่า นี้คือ เอ่อ, ลู่ทางหรือว่าหลักการใหญ่ ๆ ที่จะใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ต้องมองมันในแง่นี้ ถ้ามิฉะนั้นแล้วไม่อาจจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เพราะว่าเป็นกิเลสเสียเองทุกทีไปเลย พอมีความรู้สึกอะไรขึ้นมาในใจ ก็เป็นกิเลสเสียเองทุกทีไป แยกกันไม่ออก
ดังนั้นมาศึกษาให้มันรู้จักกิเลส แล้วให้แยกกันเสียออก แล้วก็เอาแต่กำลังของกิเลสมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เมื่อกิเลสมันมีจริง จึงจะรู้จักมันได้ เมื่อกิเลสไม่ได้ปรากฏ ไม่มีทางจะรู้จักกิเลส จะฟังคนอื่นบอกหรือจะคิดเอาคาดคะเนเอานั้น มันก็ได้ความรู้อย่างโง่ ๆ ความรู้อย่างหลับตา มันเป็นเรื่องคาดคะเน เป็นเรื่องเชื่อตามคนอื่น เหมือนเราไปจับไฟ รู้ว่าร้อนนี้ เป็นความรู้จริง แต่ถ้าคิดแต่ว่า มันอาจจะร้อนหรือคนอื่นบอกว่าร้อนอย่างนี้ มันก็เป็นความรู้ที่โง่ ที่ยังหลับตาอยู่
กิเลสก็คือไฟ เพราะฉะนั้นก็จับมันดูสิ แล้วก็มันก็เกิดอยู่ทุกวัน เผาผลาญอยู่ทุกวัน ก็ไม่รู้จัก ๆ จับเพราะไม่รู้จักกิเลส แล้วคอยละกิเลส คอยหนีกิเลส นั่นน่ะคนโง่สองเท่า สามเท่า สี่เท่า ไม่ใช่โง่ชั้นเดียว มันโง่หลายชั้น คอยหลบหนีบ้าง คอยอะไรบ้าง เอ่อ, ซึ่งไม่ใช่วิธีที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านสอนให้รู้ว่ากิเลสเป็นอย่างไร นิวรณ์เป็นอย่างไร แล้วก็ทำกับมันจนที่มันจะเกิดไม่ได้ ไม่ต้องวิ่งหนี ไม่ต้องกลัว มันให้ไม่โง่ถึงเข้าไปเป็นสมัครพรรคพวกของมันแล้วชวนกันวิ่งหนี นี้มันก็เล่นละครมากขึ้น
ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์เป็นสำนวนพูดพิเศษและจริงเหมือนกัน ถ้ารู้จักใช้ก็ใช้เป็นประโยชน์ ถ้าไม่รู้จักใช้ก็ไม่เป็นประโยชน์ มันใช้ไฟเผาบ้านเผาเมือง ใช้น้ำให้ท่วมกันตายหมด นี้คือใช้ไม่เป็นประโยชน์ ใช้ให้เป็นประโยชน์ก็ รู้จักเอามาทำไฟฟ้าใช้ เอามาหลอมเหล็กได้ นี้พูดถึงเรื่องเป็นประโยชน์ ก็คงจะมีคนถามว่าประโยชน์แก่ใคร ผมว่าทั้งหมดเลย เป็นประโยชน์แก่ตัวผู้นั้น เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็นประโยชน์แก่ศาสนา เป็นประโยชน์แก่พระพุทธเจ้า นี่มันว่าผมบ้าใหญ่แล้วใช่ไหม ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธเจ้า ยอมให้คุณที่นั่งอยู่ตรงนี้คิดว่าผมบ้าแล้ว จะใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธเจ้า
ทีนี้ผมจะฟัง เอ่อ, จะอธิบายให้ฟังไปตามไอ้ความคิดความเห็นของผม ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองนี้ มันเกือบจะพูดมาแล้วนะว่า คือมาสอนให้รู้จักกิเลส สอนให้ เอ่อ, ว่ากิเลสเกิดอย่างไร เกิดเมื่อไร เกิดที่ไหน เกือบจะไม่ต้องพูดแล้ว ขอแต่ให้รู้จักกิเลสและใช้มันให้หมดไปเสีย อย่าเอาไว้ อย่าเก็บไว้ ที่ต้องใช้ก็เพราะว่า มันเสนอหน้าเข้ามาเรื่อยไป ไม่ยอมถอย ดังนั้นมีกิเลสก็จงรู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ อย่ามีกิเลสสำหรับทำให้ตัวเองโง่เขลามืดมนไปเป็นพวกกิเลสเสีย
ที่ว่าใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ก็คือใช้ให้เป็นบทเรียนก่อนว่า มันเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร ให้ตัวกิเลสนั้นเป็นบทเรียน ทั้งในทางผิด ทางถูก ทางสุข ทางทุกข์ ทางอะไรเป็นบทเรียน ก็ทำบทเรียนนั้นให้ได้ ถ้าไม่มีกิเลส มันก็ไม่มีปัญหา คนก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไร เอ่อ, ไม่ ๆ มีความหมายอะไร คือไม่มีอะไรจะต้องทำ แล้วมันก็ไม่ต้องเกิดมาด้วย ถ้าไม่มีกิเลส มันไม่มีอะไรให้เกิดเป็นตัวกูของกูอะไรขึ้นมา มันก็ไม่มีอะไรจะทำ ใช้กิเลสที่มันต้องเกิดและเกิดอยู่เป็นประจำ เกิดอยู่ทั่วไปในที่ทุกหนทุกแห่ง ให้เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์เสีย นี้เป็นข้อหนึ่งซึ่งจะต้องอธิบายกันคราวอื่นล่ะ มันมาก เอ่อ, คำอธิบายมันมาก
เดี๋ยวนี้เราจะพูดแต่เค้าเงื่อนที่ว่าใช้ให้เป็นประโยชน์ สำหรับการใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นนั่น นี่มันก็ เอ่อ, มีความสำคัญอย่างยิ่งเหมือนกัน มันอยากดิบอยากดี นี่อยากอวดว่าตัวเป็นคนดี ก็รู้จักใช้ให้มันดีจริง ๆ เพราะถ้าเขามีกิเลสที่จะเอาหน้าเอาตา อยากจะเป็น Police ของโลกหรืออยากจะเป็น เอ่อ, ยมบาล เอ่อ, ในวัดนี้ก็ตามใจ มันได้ทั้งนั้น คอย จะคอยตักเตือนผู้อื่น จะคอยแก้ไขผู้อื่นอย่างนี้ ก็ใช้กิเลสอันนี้ให้เป็นประโยชน์ แต่ว่าต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้องให้ถูกทาง อย่าใช้เป็นอันธพาล
เมื่อกิเลสมันมี ทนอยู่ไม่ได้ จะต้องไปว่าผู้อื่น ไปแก้ไขผู้อื่น ตำหนิวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นแล้ว ก็ใช้ให้เป็นประโยชน์เลย ใช้กิเลสตัวนั้นให้เป็นประโยชน์เลย แต่ต้องใช้ให้ถูกต้อง ตามธรรมตามวินัย ให้ถูกทาง นี้คุณก็รู้กันดีอยู่แล้วว่า เรื่องตักเตือนกันและกันนั้น เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านทรงประสงค์ เป็น เอ่อ, วัตถุประสงค์ของการทำปวารณาที่เราทำกันมาแล้ว แล้วพระพุทธเจ้าท่านฝากไว้ว่า ศาสนานี้จะอยู่ได้ เพราะการว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกัน และช่วยกันยังกันและกันให้ออกจากอาบัติ ท่านสั่งไว้อย่างนั้นนั่น ไปดูในตัวปาฏิโมกข์ก็ได้
ทีนี้ว่ามันมีกิเลส ชอบตักเตือนคนอื่น ชอบว่า ๆ กล่าวคนอื่น ก็ใช้ให้ถูกสิ ใช้กิเลสนี้ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นให้ถูกต้องตามวิธี คือว่ากล่าวผู้อื่น แต่เอาแต่กำลังงานของมัน เอาแต่กำลังของมัน อย่าเอาตัวกิเลสมา เดี๋ยวจะมันก็จะตักเตือนผู้อื่นตามกิเลสผิด ๆ จะเป็นอันธพาลไปเสีย ก็ทำตามวิธีที่ธรรมวินัยวางไว้ว่า จะตักเตือนผู้อื่นอย่างไรจึงจะถูกตามธรรมตามวินัย
ถ้าไม่มีกิเลสข้อนี้ ใครก็ไม่ค่อยชอบตักเตือนใครเหมือนกัน เพราะไปตักเตือนเขามันเสี่ยงอันตรายนะ มันต้องเป็นคนมีกิเลสตัวนี้มาก มันจึงจะกล้าเข้าไปตักเตือนเขา มันใช้กิเลสตัวนี้เป็นประโยชน์ ก็คือกล้าเข้าไปตักเตือนเขา แต่ว่าทำให้ถูกธรรมวินัย อย่างที่เรียกว่าได้เห็นได้สังเกตเห็น หรือได้ยินได้ฟัง เอ่อ, หรือได้เขาบอกอะไรก็ตาม มันก็ตักเตือนได้ แล้วก็ไปตักเตือนให้ถูกตามระเบียบที่วางไว้เต็มที่อย่างในหลักสูตรการศึกษานักธรรมชั้นเอก จะตักเตือนเขา ก็ต้องตักเตือนอย่างสุภาพบุรุษ อย่างประกอบด้วยธรรมวินัย
มันมีแบ่งเป็นว่า เอ่อ, ควรจะตักเตือนด้วยตน หรือว่าจะให้สงฆ์เป็นผู้ตักเตือน ถ้าจะถือสิทธิว่า เมื่อทำปวารณา ๆ กันไว้ทุกคนว่าให้ตักเตือนได้ และกรณีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรตักเตือนด้วยตนโดยบุคคล ก็เข้าไปตักเตือนได้ โดยขอโอกาสก่อน ไม่ใช่อันธพาล จะไปตักเตือนชนิดอันธพาลโดยการว่าร้ายทำร้ายนั้น มันเป็นอันธพาล ถ้าเขาไม่ให้โอกาส ตักเตือนไม่ได้ ผิดวินัย ทีนี้ก็ต้องนำไปหารือสงฆ์ สงฆ์จริง หาทางที่จะตักเตือน เอ่อ, หรือ ๆ กระทั่งโจทก์ท้วง ก็ยังต้องเรียกตัวคนนั้นมาประกาศ เอ่อ, แล้วก็สมมติให้ใครเป็นผู้ตักเตือน แล้วก็ยังต้องขอโอกาสก่อนอยู่นั่นแหละ นี่วินัยของพระพุทธเจ้ามีสมบัติผู้ดีมากอย่างนี้
เดี๋ยวนี้ถ้ามันเป็นพระ เป็นอุบาสก มันเสือกกะโหลก มันไปตักเตือน เอ่อ, มันจึงเกิดเรื่อง พระเณรร้องห่มร้องไห้ มันมีความไม่ถูกทั้งสองฝ่าย อุบาสกรู้จักพระพุทธเจ้าน้อย พระเณรก็รู้จักพระพุทธเจ้าน้อย คนละครึ่ง มันเลยเกิดอาการอันธพาลขึ้นมา ถ้าอุบาสกรู้จักพระพุทธเจ้ามากจะรู้จักว่า พระพุทธเจ้าไม่ยอมให้อุบาสกใช้อำนาจ ใช้หน้าที่ ใช้วิธีการอย่างนี้ เพราะเป็นอุบาสก จะทำกับพระแม้แต่พูดหยาบล่วงเกินคำเดียวก็ไม่ได้ มันก็ไม่ทำอย่างนั้นสิ
แล้วพระมันก็ถูกตักเตือนเหมือนกัน ถ้ารู้จักพระพุทธเจ้ามากก็จะยิ้ม ไม่ใช่ไปร้องไห้หรือว่าไปอึดอัดขัดใจที่จะรวมหัวกัน Strike อย่างนี้มันก็ไม่ถูก มันไม่ถูกทั้งสองฝ่ายแหละ เพราะว่าแต่ละฝ่ายรู้จักพระพุทธเจ้าน้อย คุณไปคิดดู ถ้ารู้จักพระพุทธเจ้ามากพอสมควรนะทั้งสองฝ่าย ก็ไม่มีเรื่องอย่างนี้ นี่ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ดีมาก ถ้าใช้ให้ถูกวิธีที่มันจะเป็นประโยชน์
หาได้ยากแล้วคนที่จะกล้าตักเตือนผู้อื่น หาได้ยาก มันมีแต่คนขี้ขลาดทั้งนั้นแหละ ผมก็ขี้ขลาด บอกตรง ๆ ดังนั้นใครมีกิเลสที่ตักเตือนผู้อื่นได้ก็นับว่า เอ่อ, มันมี ๆ ๆ ความหวังขึ้นมาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ทีนี้จงใช้ให้มันเป็นประโยชน์ คือทำให้มันถูกวิธี อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร อย่างนี้ต้องระลึกไว้เสมอ อย่าพูดร้าย อย่ากล่าวร้าย อย่าใช้วิธีอันธพาลนั่นเอง
ดังนั้นวิธีอันธพาลเป็นใช้ไม่ได้ ระหว่างใครก็ใช้ไม่ได้ ระหว่างอุบาสกกับพระก็ไม่ได้ ระหว่างพระกับพระก็ไม่ได้ พระกับเณรก็ไม่ได้ เณรกับพระก็ไม่ได้ มันเป็นอันธพาล นี่ระลึกถึงข้อที่ว่า ผมเคยพูดหลายสิบครั้งว่า จะทำอะไรลงไป ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนว่า ถ้าไปถามท่านว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไร แล้วทำตามนั้นเถิด นี่ถ้ามัน เอ่อ, ยั้งใจอย่างนี้นิดเดียว มันจะไม่มีทางทำผิดได้
นี้ยกตัวอย่างให้ฟังว่า การที่จะใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์และประโยชน์ผู้อื่นนั้นจะต้องทำอย่างไร คือให้ใช้แรงงานอันมากมายนั้นแหละ โดยความกล้าหาญนั่นแหละ แล้วก็ให้ถูกวิธี มันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างยิ่ง เป็นประโยชน์แก่ เอ่อ, เพื่อนฝูงมิตรสหายอย่างยิ่ง ราย ๆ ๆ ละเอียดไปดูเอาใน เอ่อ, ระเบียบวินัยที่เกี่ยวกับการตักเตือนผู้อื่นในหลักสูตรนักธรรมเอก
ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงข้อที่ว่า ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา ผมบ้าอีกทีหนึ่งแล้วใช่ไหม ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์แก่ศาสนา คือผมเห็นคนมีกิเลสประเภทโมหะอยู่มากและใช้ไม่เป็น โดยจิตตั้งใจลง เอ่อ, เขามีตั้งใจลงไปว่าจะใช้ จะ ๆ ทำประโยชน์ศาสนา นั่นก็ใช้จนหายหมดเลย ตัวเองก็จิตหาย พระศาสนาก็ไม่ได้รับอะไร คือพวกคนบ้าบุญ บ้ากุศล บ้าสวรรค์ บ้าวิมานอะไรนี้
ดังนั้นถ้าจะมีกิเลสบ้า ก็บ้าให้ถูกสิ่งที่ควรจะบ้า เอ้า, สมมติว่าบ้าธรรมะกันแหละ มันต่อยกัน นี่พระเณรต่อยกันเพราะบ้าธรรมะ หรือว่าอุบาสกอุบาสิกาขายบ้านขายเรือนเอาเงินไปให้วัด แล้วตัวเองไม่มีที่อยู่ นี่มันบ้าบุญ ไอ้กำลังบ้าที่มีมากนั้นแหละ ควรจะ Sublimate ให้เป็นประโยชน์ คือให้มันถูกธรรมะและถูกบุญ แล้วก็จะเป็นประโยชน์ นี่แรงกิเลสนั้นจะกลายเป็นประโยชน์ บ้าธรรมะก็บ้าให้ถูกตัวธรรมะ บ้าบุญก็บ้าให้ถูกบุญ บ้าสวรรค์ก็ให้มันถูกตัวสวรรค์ที่แท้จริง ที่เราเคยพูดกันแล้วว่าอะไรเป็นอย่างไร นี่ใช้ความโลภให้เป็นประโยชน์แก่ศาสนาก็ยังได้ ทั้งที่เป็นสิ่งที่จะต้องละใน เอ่อ, บั้นปลาย บั้นสุดท้าย
นี้อย่าเข้าใจว่า ผมสอนให้สะสมกิเลสหรือว่าให้ ๆ รักกิเลส ให้สะสมกิเลส แต่สอนให้ใช้กิเลสให้มันเป็นประโยชน์ เพราะมันมีมากนัก เหมือนอะไร ๆ ที่มันมีมากนักจนรกวัดเต็มไปทั้งวัดนี่ จงใช้ให้มันเป็นประโยชน์ เช่นถ้าไม้มีมากนัก ก็ใช้ทำฟืนให้เป็นประโยชน์ อย่าเอาไปเผาบ้านเผาเรือนใครเข้า นี้กิเลสเหมือนกัน มันมีมากนัก ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ แล้วมันจะหมดไป ๆ คือมันจะฆ่ากิเลสนั้นเอง ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์แล้ว ถูกวิธีแล้ว มันจะเป็นการฆ่ากิเลสนั้นเองให้ค่อย ๆ เบาบางไป วิธีนี้เท่านั้นแหละที่กิเลสจะพ่ายแพ้ได้ ใช้ผิด ๆ มันก็มีแต่รกดกหนาขึ้นมา ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์แก่ศาสนา
ทีนี้อยากจะพูดอันสุดท้ายว่า จงใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธเจ้า เอ้า, ผมบ้าถึงที่สุด ที่คนเขาฟัง เอ่อ, ตามความรู้สึกธรรมดาสามัญของเขา จงใช้กิเลสของเราให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธเจ้า มันต้องเคยได้ยินได้ฟังและมีสติปัญญาพอสมควรจึงจะเข้าใจได้ ถ้ายังโง่ถึงขนาดไม่รู้จักกิเลสแล้ว ก็จะไม่รู้จักความหมายที่ผมกำลังพูดว่า จงใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธเจ้า
มันมีพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าท่าน เอ่อ, ตรัสไว้ตรง ๆ ผมก็จดไว้ในสมุดเล่มนี้ จะเอาที่มาก็ได้ ซึ่งมีใจความว่า ตถาคตต้องเกิดขึ้นมาในโลกเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ เพราะสัตว์มันมีกิเลสและมีความทุกข์ อืม, คิดดูสิ ไป เอ่อ, บุญคุณของกิเลส เพราะกิเลสมีอยู่ในโลก พระพุทธเจ้าจึงต้องเกิดขึ้นในโลก นี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ นี่เราจะไม่ขอบใจกิเลสบ้างหรือว่า เพราะกิเลสมันมีอยู่ในโลก จึงทำพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้น และเราได้พบพระพุทธเจ้า มันเป็นความดีของกิเลส พระพุทธเจ้าท่านตรัสเองอย่างนี้ เพราะว่าสัตว์มันมีความทุกข์ มันมีกิเลส ตถาคตจึงต้องเกิดขึ้นมาในโลกเป็น อรห สมฺมาสมฺพุทฺธ
ถ้ากิเลสหรือความทุกข์มิได้มีอยู่ในโลกแล้ว ก็หมายความว่าพระพุทธเจ้าไม่ต้องเกิดขึ้นในโลก ไม่มีประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้ามีประโยชน์สูงสุดจนที่ เหลือที่จะกล่าวได้ ก็เพราะว่าในโลกนี้มันมีกิเลส ดังนั้นเราจงใช้ประโยชน์ของกิเลสนี่ ให้ความปรารถนาหรือความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าสำเร็จ อย่างน้อยก็ว่าเพราะมันมีกิเลสอยู่ในโลก ในเรา พระพุทธเจ้าก็มีประโยชน์ หรือศาสนาของพระพุทธเจ้าจะยังคงมีประโยชน์
พระพุทธเจ้าจะเป็นบุคคลมีประโยชน์ เพราะว่าเรามีกิเลส พระพุทธเจ้าไม่เป็นหมัน นี่พูดอย่างนี้มันก็น่ากลัว ลอง ๆ มนุษย์หรือว่าเรานี้ไม่มีกิเลส พระพุทธเจ้าเป็นหมัน ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสเสียเองว่า เพราะว่าสัตว์มันมีกิเลส มีความทุกข์ ตถาคตจึงต้องเกิดขึ้นในโลกเป็นพระ อรห สมฺมาสมฺพุทฺธ
ทีนี้เราช่วยทำให้การเกิดของพระพุทธเจ้ามีประโยชน์ นี่โดยการใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ก็เป็นการทำให้การเกิดของพระพุทธเจ้ามีประโยชน์ เราก็ชื่อว่าทำให้พระพุทธเจ้าได้รับประโยชน์ คือไม่เป็นหมัน นี่พูดกันอย่างบุคคลก็พูดกันอย่างนี้ รายละเอียดจะพูดกันกว่านี้ก็ได้ เดี๋ยวมันก็หมดเวลา พูดแต่ใจความว่า พระพุทธเจ้าหรือศาสนาของพระพุทธเจ้าจะไม่เป็นหมัน ในเมื่อเรารู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ คือให้กิเลสมันเฉือดคอตัวมันเองร่อยหรอลงไปทุกที เพราะเรารู้จักใช้ให้มันเป็นประโยชน์ นี่ฟังดูให้ดีว่า ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองบ้าง แก่ผู้อื่นบ้าง แก่ศาสนาบ้าง แก่พระพุทธเจ้าบ้าง
เอาแหละ, รายละเอียดไว้พูดกันคราวอื่น ๆ บ้าง นี่พูดแต่หัวข้อ ทีนี้ก็พูดไปอีกนิดหนึ่งถึงเรื่องปัญหาลำบากยุ่งยากหรือวิธีปฏิบัติ มันพอจะมีอย่างไรบ้าง ปัญหานี้มันมีเกี่ยวกับสังคม ถ้าเราอยู่คนเดียว กิเลสเกิดได้ยาก เกิดได้น้อย เพราะมีไอ้สิ่งภายนอกจากตัวเรา มีอะไรที่อยู่ข้างนอกตัวเรานี้ ก็ทำให้เกิดกิเลส แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือบุคคลที่เรียกว่าสังคม
เมื่อเราอยู่กันน้อย ๆ ดูสิ มันไม่มีเรื่องที่ยั่วกิเลสมาก เพราะว่าคนเราอยู่กันน้อย พอเราอยู่กันมากคนเข้า คนมันก็มีกิเลสแปลก ๆ ต่าง ๆ กันมามากเข้า ยิ่งถ้ามีมากตั้งพันตั้งหมื่นตั้งแสนแล้ว โอกาสที่จะกระทบกันจะมีวันหนึ่งหลายร้อยครั้ง เราอยู่กันเพียงเท่านี้ โอกาสที่จะกระทบกันมีหลายวันต่อครั้ง แต่ถ้าเราอยู่กันมากกว่านี้ การกระทบกันจะมีได้วันละหลายครั้ง นี่คือเรื่องสังคม ปัญหาทางสังคม ไม่ว่าเรื่องธรรมะหรือเรื่องโลก ๆ เรื่องชาวบ้าน พอคนมากเข้าจะมีปัญหามากเข้า ดังนั้นปัญหาเกิดจากสังคม ยิ่ง ๆ ๆ ๆ ไปเกี่ยวกับสังคม ปัญหายิ่งมีมากและยิ่งยาก เพราะว่าทุกคนมีกิเลส
นี้ขอให้ระลึกนึกไปถึงวัตถุประสงค์มุ่งหมายของการบัญญัติวินัย ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า คนมาบวชในธรรมวินัยนี้ มาจากตระกูลต่างกัน มีการศึกษาต่างกัน มีกิเลสต่างกัน มีอินทรีย์ต่างกันอะไรต่างกัน มันจึงมาทำอะไรต่างกัน อย่างบางคนตักข้าวหก บางคนตักข้าวไม่หก เพราะมันมีกิเลสต่างกัน ดังนั้นจะต้องมีอะไรอันหนึ่งเป็นหลักกลางว่าจะต้องทำอย่างไร นี้คือวินัย
เมื่อต่างคนต่างถือวินัย มันจะเหมือนเป็นระเบียบเดียวกันหมด ทั้งที่มาจากตระกูลต่างกัน จึงเปรียบวินัยว่า เหมือนกับด้ายร้อยดอกไม้หลาย ๆ ชนิดที่ไม่น่าดู ให้กลายเป็นพวงมาลัยที่น่าดู ดังนั้นต้องเคารพระเบียบ อย่าใช้ความรู้สึกอันธพาลรุกรานผู้อื่น และก็อย่าอ่อนแอจนถึงกับต้องร้องไห้ ควรจะหัวเราะมากกว่า ในเมื่อการเข้าไปสู่สังคมที่มันมีกิเลสต่างกัน มันก็ต้องมีอะไรอย่างนี้ ดังนั้นอย่าเห็นเป็นของแปลก ให้นึกภาวนาไว้เสมอว่า ทุกคนมีกิเลส ทุกคนมีกิเลส ทุกคนมีบาป อย่าได้ยกหูชูหางว่ากูไม่บาป จะตั้งตัวเป็นยมบาลหรือเป็นตำรวจโลก
ขอให้นึกถึงเรื่องในคัมภีร์ไบเบิล ผมวานคุณโกวิทช่วยเขียนแขวน เอ่อ, ติดอยู่ที่ เอ่อ, ประตูนั่น คัมภีร์ไบเบิลตอนนั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งทำชู้ก็ผิดประเวณี เขาจับได้ ทีนี้ตามบทบัญญัติสมัยนั้น ถือบทบัญญัติโมเสส หญิงทำผิดประเวณีต้องเอาก้อนหินทุ่มให้ตายในที่สาธารณชน นี้เขาก็ไล่ตามจับผู้หญิงคนนี้ มันหนีมา ๆ นี่ มีตำรวจ มีอัยการ มีปุโรหิต มีพระอะไรหลายคนตาม วิ่งตามผู้หญิงคนนี้มา
มันก็หนีมา เผอิญมาพบพระพุทธเจ้า ทีนี้คนเหล่านั้นก็เห็นเป็นโอกาสดี คล้าย ๆ จะ ๆ ลองภูมิหรือจะแกล้งพระพุทธเจ้าด้วยก็ได้ ก็เลยถามพระพุทธเจ้าว่า ผู้หญิงคนนี้ทำชู้ผิดประเวณี บทบัญญัติของโมเสสจะต้องเอาหินทุ่มให้ตาย เอ่อ, ในที่สาธารณะ เอ่อ, ท่านอาจารย์จะว่าอย่างไร ท่านอาจารย์จะให้ทำอย่างไรกับผู้หญิงคนนี้ แต่ตามบทบัญญัติของโมเสส มันมีอยู่อย่างนั้น
ทีนี้พระเยซูก็ตอบว่า ถูกแล้ว อย่างนั้นถูกแล้ว เราก็ยอมรับ อย่างนั้นถูกแล้ว เอ้า, คนไหนเป็นคนไม่มีบาปในตัวออกมาเป็นผู้ทุ่มคนแรก ในหมู่พวกท่านนี้ คนไหนไม่มีบาปก้าวหน้าออกมาแล้วทุ่มคนแรก มันเลยยืนดูตากันปริบ ๆ ๆ ๆ ผลสุดท้ายก็ไม่มีเสียงพูด ไม่มีใครกล้าออกมาทุ่มผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรก ในที่สุดพระเยซูก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็บอก เอ้า, หญิงเอ๋ยกลับบ้าน ไม่มีใครลงโทษเจ้าแล้วเห็นไหม การ ๆ ลงโทษนี้ไม่มีแล้ว แต่ว่าทีหลังอย่าทำอีกนะ ผู้หญิงคนนั้นก็กลับไป
นี่สังคม ทุกคนในสังคมมันมักจะยกหูชูหางว่า กูดีกว่าคนอื่น จะคอยวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ตำหนิคนอื่น กระทั่งพูดร้ายกล่าวร้าย มันไม่สำนึกว่าในหัวของมันก็มีบาป ในหัวของมันเองก็มีบาป แล้วมันจะไปว่าคนอื่น มันควรจะให้พระธรรมเป็นผู้ว่า ไปขอโทษเขาเสียก่อนว่า ผมจะพูดอะไรสักหน่อยได้ไหม ถ้าคนนั้นบอกได้ ๆ ก็พูดว่า ธรรมะหรือวินัยนี่ มันมีอยู่อย่างนั้น ๆ ๆ ไม่ใช่ผมว่า ก็พอแล้ว ไอ้เรื่องทะเลาะวิวาทกันในสังคมเพราะการล่วงละเมิดกันด้วยวาจาอะไรนี้ มันมีไม่ได้ นี้ยกตัวอย่างว่า ไอ้สังคมมันเป็นอย่างนี้ มันทำความลำบากอย่างนี้ ก็แต่ละคนมีบาปมีอะไรอยู่ในตัว แต่แล้วมันก็จะทำตัวเป็น Police เป็นตำรวจ
ทีนี้เราจะทำอย่างไร เราอยู่ในโลกในสังคมนั้นจะทำอย่างไร ยังร้องไห้ โง่ จะชวนกัน Strike ก็บ้ามากขึ้นไปอีก มันควรจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นธรรมเป็นวินัย ทีนี้เป็น ทำเป็นวินัยอย่างไร ก็ไม่มีเวลาจะพูดแล้วก็พูดมากแล้ว ไปค้นดู นี่บางองค์จดไปจนหอบไม่ไหวแล้วนะ จดเอาไว้ในสมุดทั้งนั้น แล้วที่มีประโยชน์ที่สุดกลับไม่เอามาใช้ ที่ผมได้บอกว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นให้ถามพระพุทธเจ้าก่อน นี่คุณเป็นคนไม่จริง หลับหูหลับตาจดไปอย่างนั้นแหละ
เราบอกว่า ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาให้ถามพระพุทธเจ้าก่อน จึงค่อยพูดออกไป จึงค่อยทำออกไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสังคมแล้ว ต้องยิ่งนึกถึงหลายหนทีเดียวว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างนี้ ข้าพระองค์จะควรทำอย่างไร พระพุทธเจ้าก็จะบอกได้ว่าควรทำอย่างนั้น ๆ เพราะว่าเราได้เรียนเรื่องของพระพุทธเจ้ามามาก อย่างหนังสือพุทธประวัติจากพระโอษฐ์อย่างนี้ จะทำให้รู้จักพระพุทธเจ้าดีที่สุด แล้วก็ถามตัวเองได้ว่าพระพุทธเจ้าจะแนะอย่างไร ก็ตอบได้ แล้วก็ทำอย่างนั้น แล้วเรื่องจะไม่เกิดในสังคมที่อยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะอย่างนี้ นี่เรื่องของสังคมมันเป็นอย่างนี้
แต่นี่เรามันดีแต่จด ๆ ๆ ไปหลายหอบ ๆ แล้วก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรสักนิดหนึ่ง ไม่รู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์โดยการถามพระพุทธเจ้าเสียก่อนว่า เรื่องนี้ควรจะทำอย่างไร เขาสอนเด็ก ๆ ให้นับสิบเสียก่อน จึงจะค่อยโกรธหรือค่อยพูด เอ่อ, เรื่องในนิทานตอนเด็ก แบบเรียนของเด็กก็อย่างเดียวกันนี้ ให้หยุดชะงักไว้ถามพระพุทธเจ้าเสียก่อนว่า เรื่องนี้จะทำอย่างไร แล้วก็จะไม่ร้องไห้หรอก และจะไม่ strike ด้วย และจะหัวเราะด้วย ไอ้หัวเราะนี่มันมีหลายความหมาย หัวเราะในฐานะที่เป็นผู้รู้เท่าทัน ก็จะหัวเราะกิเลส หัวเราะบุคคล
เอาละ, ทีนี้มันยังมีวิธีใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ชนิดที่ปฏิบัติ Common sense ง่าย ๆ วิธีปฏิบัติ Common sense คือว่ามีปัญญา มีเมตตา มีสัจจะ สามอย่างนี้ก็พอ มีปัญญา คืออย่าโง่ มีเมตตา คือสงสาร และก็มีสัจจะ คือความจริง แน่วแน่ มั่นคง ภาวนาอันนี้สิ เอ่อ, สามอันนี้สิ จะรู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์แล้วทันควันเสมอไป
จงรักเพื่อนมนุษย์อย่างเดียวกันกับว่า เอ่อ, เป็นคนคนเดียวกัน นี้เรียกว่าเมตตา เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน เป็นคนโง่ด้วยกัน เป็นคนทนทุกข์ด้วยกัน ต้องพึ่งพระพุทธเจ้าด้วยกัน อยู่ในโลกด้วยกัน นี้ต้องรู้สึกข้อนี้ แล้วก็จะเกิดเมตตา รักผู้อื่น ไม่มีทางที่จะเป็นมึงเป็นกู ที่จะเล่นงานกัน
แล้วการที่จะรู้สึกอย่างนี้ได้ ก็ต้องการปัญญามากเหมือนกัน ถ้ามันไม่มีปัญญาถึงขนาดนี้ ก็ไม่รู้สึกได้ว่า ทุกคนนี่มันเป็น ๆ คนคนเดียวกัน ไม่มีมึงมีกูได้ ถ้าเลวก็เลวด้วยกัน ถ้าดีก็ดีด้วยกัน ถ้าทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน ถ้าสุขก็สุขด้วยกัน อันใหญ่คือว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย กิเลสคืออวิชชาเหมือนกัน
ทีนี้สัจจะนี้ก็หมายความว่า บังคับตัวเองให้มันอยู่ในร่องในรอยสักหน่อย บางทีเรามีเมตตาแล้วบังคับไม่ได้ เดี๋ยวมันก็หายไปเสียอีก เดี๋ยวเรามีปัญญารู้ดีว่าควรทำอย่างไร แล้วเดี๋ยวมันก็ไม่ได้ทำหรอกเพราะมัน ๆ ไม่มีสัจจะพอ มันต้องมีสัจจะพอ เมื่อลงว่าอันนี้ดีจริง แล้วต้องทำจริงเหมือนกัน และมีสัจจะว่า จะต้องถามพระพุทธเจ้าก่อนที่จะทำอะไรลงไป อันนี้ช่วยได้หมดเลย ขอให้ทุก ๆ องค์นี่มีสัจจะว่า จะทำอะไรลงไป จะคิดอะไรลงไป จะพูดอะไรลงไป จะปฏิบัติอะไรแก่ใครลงไป ให้ถามพระพุทธเจ้าก่อนว่าควรทำอย่างไร นี่ขอให้มีสัจจะอันนี้
ทีนี้ไอ้ ๆ ๆ บท ๆ ที่ยากที่สุดของมัน ก็คือเมตตา คือไม่โกรธ พอโกรธแล้วก็ไม่มีเมตตานะ รู้ไว้นะ พอโกรธแล้วมันหมดเมตตา ถ้าเมตตายังอยู่ มันไม่โกรธ ดังนั้นคุณจะมีปัญหายากที่สุดตรงที่ไม่โกรธ เพราะว่าขี้โกรธมาตั้งแต่เล็ก ทุกคน ผมด้วย มีเรื่องที่ต้องโกรธ แล้วโกรธกันจนชินเป็นนิสัย เขาเรียกว่าปฏิฆานุสัย ปฏิฆะ+อนุสัย มีกันทุกคน เมื่อเกิดความรัก ราคะ โลภะนี้ มันจะพอกพูนราคานุสัย เมื่อพอเกิดความโกรธ ความประทุษร้ายครั้งหนึ่ง มันจะพอกพูนปฏิฆานุสัย เมื่อมี ๆ โมหะครั้งหนึ่ง มันจะพอกพูนอวิชชานุสัย
นี้ตั้งแต่เราเกิดมาจากท้องแม่ มันมีแต่อย่างนี้ จึงเรียกว่ายากมาก ดังนั้นจึงต้องตั้งอกตั้งใจมาก ที่จะบังคับตัวให้ได้โดยไม่โกรธ แล้วเมตตามันจะได้อยู่กันยาว มันจะได้อยู่ แล้วสัจจะมันก็ได้ จะได้มีอยู่จริง พอโกรธมันก็มืด คุณไปนั่งคิดเอง ไม่ต้องผมอธิบายแหละ พอโกรธมันก็มืด พอมืดมันก็ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีแสงสว่างก็คือไม่มีปัญญา นี่ใช้วิชา เอ่อ, ฉลาดพิเศษเรียนอะไรมาที่ไหนตามใจเถิด ให้เรียนมหาวิทยาลัยในเมืองเทวดามาก็ตามใจ พอโกรธมันมืดทันที ปัญญาหายไปหมด
ดังนั้นอย่าอวดดีว่าเรียนมาก มันช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าความโกรธมันครอบงำแล้ว ปัญญานั้นหายหมด ปฏิฆานุสัยเกิด เอ่อ, ปฏิฆานุสัยส่ง เอ่อ, ส่ง ๆ อาการของมันออกมาเป็นความมืด พอโกรธก็มืด ปัญญาก็หมด สัจจะก็ไม่มี ดังนั้นขอให้สนใจเป็นพิเศษในข้อที่เรียกว่าเมตตานั่นแหละ ยังคงไม่โกรธอยู่เพียงไร ยังไม่มืดอยู่เพียงนั้น เพราะฉะนั้นบางทีพระพุทธเจ้าท่านตรัสเพียง ๒ ข้อเท่านั้นแหละว่า สจฺจํ ภเณ น กุชฺเฌยฺย พูดจริงแล้วก็อย่าโกรธ คุณถือได้เพียงเท่านี้ เรื่องไม่มี
พูดจริง มันก็จริงใช่ไหม แล้วก็อย่าโกรธเท่านั้น น กุชฺเฌยฺย อย่าโกรธ พอแล้ว พอไม่โกรธมันไม่มืด ไม่มืดมันทำถูก เพราะมันมีแสงสว่าง มันจะปฏิบัติต่อทุก ๆ สิ่งถูก พูดจริงและอย่าโกรธ โกรธนี้ไม่ได้หมายความว่าไปโกรธใส่หน้าใครเข้า อยู่คนเดียวก็โกรธได้ คือปฏิฆะน่ะ มันหมายความว่าอย่างนั้น มันเป็นคน Pessimistic มองอะไรในแง่ร้าย แม้แต่ฝันมันก็ฝันในแง่ร้าย แล้วมันก็เท่ากับโกรธอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้เรียกว่าโกรธเสียแล้ว ไม่มีเมตตาแล้ว ทีนี้ถ้าโกรธแล้วมันมืด พอมืดแล้วพูดเท็จก็ได้ พูดไปตามความโกรธก็ได้ ดังนั้นอย่าโกรธ อันแรกอันเดียว อย่าโกรธ แล้วอื่น ๆ จะค่อย ๆ มี ค่อยมีมาหรือว่ายังคงอยู่
นี่เรื่องอย่าโกรธนี้ยาก ถ้าพูดกันต้องพูดกันหลายชั่วโมง เรื่องอย่าโกรธ ทีนี้หัวข้อเคล็ด หัวข้อใหญ่ ๆ ก็ มันก็ต้องมาถึงไอ้ความที่อดกลั้นอดทนหรือให้อภัย Sublimate กันอีกทีหนึ่งว่า ให้ Sublimate คำด่าของเขานั่นแหละเป็นคำชี้ขุมทรัพย์ ถ้าเด็ก ๆ หรือเณร หรืออุบาสกอะไร มันเป็นอันธพาลขึ้นมา ทำหน้าที่เป็น Police เป็นยมบาลตักเตือนด่าหรือกระทบกระทั่ง ขอให้เปลี่ยนอันนั้นให้เป็นคำชี้ขุมทรัพย์ ตามพระพุทธสุภาษิตว่า คำด่าคือคำชี้ขุมทรัพย์ จะได้ไม่โกรธ เมื่อไม่โกรธ ไอ้เรื่องต่าง ๆ มันก็ไม่มี
ให้คำด่ากลายเป็นคำชี้ขุมทรัพย์ไปเสีย หรือว่าให้เป็นเทวทูต ในพระบาลีมีใช้คำว่าเทวทูต หมายถึงนิมิตลักษณะอะไรที่มาแสดงให้เรารู้ว่า เราควรจะทำอย่างไรที่จะเป็นในทางดี อันนั้นเขาเรียกว่าเทวทูต ที่ Sublimate ไอ้คำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นนั้นน่ะ ให้มันเป็นเทวทูต เป็นคำของเทวทูตมาบอกให้เรารู้ว่า เราเตรียมตัวเถิด ควรจะทำอย่างไร อย่าไปโกรธในคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น คำด่าของคนอื่น นี่เป็นอุบายอัน ๆ แรก ๆ
ทีนี้ถ้าน้ำใจมันนักเลงมากกว่านั้น ก็ เออ, ดี ๆ ๆ ให้เขาได้เป็น ให้เขาได้เป็นยมบาล ให้เขาได้เป็นตำรวจโลก ให้เขาได้เป็นอะไรตามที่เขาอยากจะเป็น แต่เราจะขอ เอ่อ, ทำไว้ในใจว่า เขาเป็นผู้มาบอกขุมทรัพย์ มาบอกให้เรารู้จักกิเลสที่กำลังเกิดอยู่ เพราะเราโกรธเขา เราจะใช้กิเลสนั้นให้เป็นประโยชน์ให้ได้ ดังนั้นฉันก็ขอบคุณ
นี้อย่าลืมว่าข้างต้นได้พูดแล้วว่า ไม่รู้ตรงไหนเป็นเณรคนนั้น บางทีมันด่าอาจารย์ บางทีมันก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างยิ่ง มันไม่รู้อันไหนเป็นเณรคนนั้น มันอยู่ที่จิตกลาง ๆ ดังนั้นเมื่อมันเป็นอันธพาล มันก็เป็นอันธพาล เมื่อเป็นสัตบุรุษ ก็เป็นสัตบุรุษ ถ้ามันเป็นสุนัข มันต้องเห่า นี่คุณอย่าแปลกว่าสุนัขมันเห่า เป็นสุนัขมันต้องเห่า ถ้าโรคอันธพาลแบบสุนัขมันเข้าครอบงำจิตที่เป็นกลางนั้นแล้ว มันก็ต้องเห่า เพราะว่าสุนัขมันต้องเห่า ถ้าไม่เห่าไม่ใช่สุนัข ดังนั้นอย่าโกรธสุนัขเห่า แล้วเรื่องมันก็ไม่มี
ที่กุฏิผมนี่ สุนัขมันเห่าวันหนึ่งตั้ง ๒๐-๓๐ คนนะ ก็ไม่มีใครโกรธสุนัขเลย เพราะเขารู้ว่าสุนัขมันต้องเห่า แล้วมันทำหน้าที่ ถ้าว่ามันไม่เห่า ต้องเอาไปทิ้งเสียที่อื่น มันไม่เป็นสุนัข แล้วสุนัขมันต้องเห่าเพราะฉะนั้นอย่าโกรธ ต้องให้อภัยและขอบคุณ เพราะว่ามันทำหน้าที่ของมันแล้ว แต่ทีนี้เมื่อมันเห่าแล้ว เราเตรียมตัวให้ถูกต้องตามความประสงค์ของสุนัขที่เห่า มันทำหน้าที่ถูกต้องด้วยเจตนาดี อย่าไปโกรธ เพราะว่าเขาอยากจะแสวงบุญด้วยการเป็นยมบาล หรือเป็นยมทูต เป็นเทวทูต เป็นผู้ชี้ขุมทรัพย์ แล้วเราก็อนุโมทนา
นี่ยังมีอีกมากมายที่จะว่าจะช่วยได้ว่า จะไม่ต้องโกรธ จะเป็นผู้ไม่โกรธ ถ้าปฏิบัติอยู่อย่างนี้จะเรียก ไม่ต้องเรียกนะ เป็นจริงเลย เห็นชัดเลยว่า เราได้เป็นผู้ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ กิเลสที่แสนจะสกปรก น่าขยะแขยง เป็นอันตรายอย่างยิ่งนี่ Sublimate ให้เป็นประโยชน์ โอกาสอื่นไม่มี มีแต่โอกาสที่กิเลสได้เกิดขึ้นจริง ดังนั้นใครมาทำให้กิเลสเกิดแก่เรา เราขอบใจเขา อย่าได้ไปโกรธเขา นี่จะเป็นวิธีที่ลัดที่เร็วที่สุด ในไม่กี่วันนี้จะมีกิเลสเบาบาง ถ้าต้องการเป็นผู้มีกิเลสเบาบาง ก็ต้องรีบใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ในลักษณะอย่างนี้
สรุปความว่า เมื่อไม่รู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ มันจะตกนรกชื่อว่า มหาปริฬาหะ ร้อนยิ่งกว่าร้อนและมืดยิ่งกว่ามืด เจ็บปวดยิ่งกว่าเจ็บปวด แล้วก็ในขณะนั้นเอง ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ต่อตายแล้ว นี่จำชื่อนี้ไว้ให้ดี พระพุทธเจ้าท่านเรียกนะ ไม่ใช่ผมเรียก มหาปริฬาหนรก ในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทตอนที่เกิดตัวกูของกู นี้เพื่อ เอ่อ, ไม่ให้ตกนรกนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้
ต้องรู้จักสกัดกั้นกระแสของมันโดย Sublimate กระแสของกิเลสให้เป็นกระแสของโพธิ กระแสของอันธพาลให้กลายเป็นสัตบุรุษ เป็นสิ่งที่ทำได้โดยประการต่าง ๆ กัน แล้วคุณอยู่ในโลกนี้ มันหลีกไม่พ้น มันต้องเผชิญปัญหาอันนี้ ดังนั้นจงยินดีรับเอาปัญหาอันนี้ไปสะสาง ประพฤติปฏิบัติอยู่เสมอ ผมรับรองว่า ไม่เท่าไร ไม่ทันตายนี้ จะเห็นคุณของศาสนา ของธรรมะ ของความไม่มีกิเลส ไม่เสียทีที่มาอยู่ที่นี่ ที่เรียกว่าสวนโมกข์ คือโมกข์ไปจากกิเลส พ้นไปจากกิเลส
ดังนั้นจึงขอให้ถือว่า เป็นอุดมคติ เป็นคำขวัญ เป็นอะไรแล้วแต่เขาจะเรียกว่า มันเป็นคำขวัญของสวนโมกข์ว่า จงอยู่ที่สวนโมกข์เพื่อใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ แก่ตัวเอง แก่ผู้อื่น แก่ศาสนา แก่พระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่เสียทีที่มาอยู่สวนโมกข์ แล้วสวนโมกข์ก็ไม่เสียหลาย เอ่อ, คุณก็ไม่เสียทีที่มาอยู่สวนโมกข์ ถ้าผิดอันนี้แล้ว ก็คือล้มละลายกันทุกคนเลย
ไม่มีอะไรได้อะไร พวกอุบาสิกาที่มาหุงข้าวให้กิน ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรคุ้มค่าข้าวสุก ที่เหน็ดเหนื่อยอย่างอื่นก็ไม่ได้คุ้ม เอ่อ, ประโยชน์อะไร พวกคุณก็เสียเวลาเสียเงินเสียทอง มาแต่ที่ไกลมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร แล้วสวนโมกข์ก็จะกลายเป็นที่ที่ไม่มีประโยชน์อะไรไปด้วย ถ้าว่าทุกคนไม่ถืออุดมคติที่ว่าใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์อย่างที่ว่ามานี้
ดังนั้นกิเลสความเห็นแก่ตัวมี ก็อุตส่าห์จะใช้มันสิ รอวันตายของร่างกาย สนุกกับการทำประโยชน์ผู้อื่น ขืนคิดมากกว่านี้เป็นอันธพาลโดยไม่ทันรู้ตัว ตัวกูของกูนี่ สมมติว่าทิ้งไปหมด ตายไปหมด อย่าเพิ่งมีตัวกูนี้ แล้วก็มีแต่ร่างกาย ไม่เท่าไรจะแตกดับ ก็รอวันแตกดับของร่างกาย ด้วยความสนุกสนานในการทำประโยชน์ผู้อื่น อย่าแว้งหาตัว อย่าไปมีตัว มุ่งหน้าแต่ผู้อื่น
ดังนั้นคุณทำอะไรก็ตามใจ กวาดขยะก็ได้ อะไรก็ได้ อธิบายภาพก็ได้ ทุกหนทุกแห่งเลยทั้ง ๆ วัดนี่ ให้มันเป็นเรื่องสนุกในการทำประโยชน์ผู้อื่น รอวันตายของร่างกาย ได้อย่างนี้แล้ว มันจะคุ้มครองไม่เกิดการกระทบกระทั่งในภายในใจ และไม่ให้กระทบกระทั่งภายนอกกับบุคคลนั้น กับบุคคลนี้ กับพระ กับเณร กับเด็ก กับทายกทายิกา ชาวบ้าน จะไม่มี
ดังนั้นขอให้อยู่อย่างรอวันแตกดับของร่างกาย สนุกสนานอยู่ด้วยการบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น นี้คือการใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ มันอยากดี อยากเด่น อยากได้เกียรติ อยากให้ใช้ให้มันทำประโยชน์ผู้อื่น แรงงานนั้นไม่เสียเปล่า เพื่อนมนุษย์หรือศาสนาได้รับประโยชน์ นี่ทั้งหมดนี้สรุปความสั้น ๆ ในคำคำเดียวว่า การใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ พูดอีกทีว่า ใช้ตัวกูของกูให้เป็นประโยชน์ ใครไม่ทำอย่างนี้ ตกนรกหมกไหม้ มหาปริฬาหนรก ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เอาละ, พอกันที