แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมปาฏิโมกข์ของเราเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกู อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วตลอดไปตามเคย วันนี้จะได้พูดถึงการไม่ตกนรกแห่งตัวกูของกู นรกนี้ชื่อว่านรกมหาปริฬาหะตามชื่อที่พระพุทธเจ้าตรัส อาจจะไม่มีในชื่อนรกต่าง ๆ ที่เขาพูดกันก็ได้ แต่นั่นไม่เป็นไร นรกมันก็มีความหมายเหมือนกันหมด ปริฬาหะ แปลว่า ร้อนรอบด้าน ร้อนทุกทิศทุกทาง ก็เป็นนรกแห่งตัวกูของกู นรกที่เกิดขึ้นทุกคราวของการเกิดปฏิจจสมุปบาทในคนคนหนึ่ง ๆ ในวันหนึ่ง ๆ
เนื่องจากต้องเรียนรู้จากของจริง เรียนจากตัวหนังสือไม่ได้หรือเรียนจากฟังพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ ก็ต้องไปสังเกตดูว่า มันมีนรกชนิดนั้นอยู่จริงอย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสหรือไม่ ถ้าไม่เห็น ก็ไม่มีเรื่องที่จะต้องพูดกันถึงเรื่องนี้ ถ้าไม่เห็นก็หมายความว่า มันตกนรกมิดหัวมิดหูมากเกินไป มันจึงไม่เห็น คือเป็นบุถุชนมากเกินไป ถ้าอย่าเป็นบุถุชนถึงขนาดนั้น มันก็ต้องมองเห็นบ้างไม่มากก็น้อย
มหาปริฬาหะ แปลว่า เผาลน ลนอยู่รอบด้าน พูดได้ง่าย ๆ เลยถ้าให้บอก จะเห็นไม่เห็นก็ตามใจว่า เมื่อใดเกิดตัวกูของกู เมื่อนั้นคือกำลังตกอยู่ในนรก ชื่อมหาปริฬาหะ มหา ใหญ่ ปริ รอบ ฬาหะ มันร้อน มหาปริฬาหะหรือปริฬาหะก็ตามใจ มันร้อนรอบด้านและใหญ่หลวง ยิ่งกว่านรกตามฝาผนังที่จะตกต่อตายแล้ว หรือนรกจีนใต้ถุนเวที กระดานดำก็ไปดูเถิด รวมกันหมดนั้นก็ไม่ร้อนจริงเท่ามหาปริฬาหนรก ที่มันร้อนเมื่อเกิดตัวกูของกู แล้วก็ที่นี่และเดี๋ยวนี้
แม้เดี๋ยวนี้ก็อาจจะมี ขณะที่คุณนั่งอยู่นี้ ถ้ามันมีเรื่องตัวกูของกูอะไรอยู่ กรุ่นคุอยู่ในใจบ้าง มันก็กำลังอยู่ในนรกนี้ เป็นนรกที่นี่และเดี๋ยวนี้ ก็ร้อนยิ่งกว่านรกโลหกุมภีอเวจีอะไรต่อตายแล้วมารวมกัน เอานรกนั้นมารวมกันหมด ก็ยังไม่น่ากลัวเท่านรกไอ้ที่ว่านี้ คือนรกแห่งตัวกูของกู เรียกให้เพราะ ให้ชื่อเพราะก็ว่า มหาปริฬาหะ ดังนั้นอย่าอวดดีว่ามันไม่เกี่ยวกัน มันตกอยู่ทุกวันนั่นแหละ ดูให้ดี ๆ จะเรียนไปถึงไหน เรียนไปทำไมกัน ถ้ามันไม่รู้จักแม้แต่เรื่องอย่างนี้ ที่มันจริง จริงกว่า ดังนั้นที่ไหนมียกหูชูหางมากด้วยตัวกูของกู ที่นั่นก็มีนรกนี้มาก ยิ่งหางสูงเท่าไร ความร้อนก็ยิ่งมากเท่านั้น
เอ่อ, พูดถึงตัวนรกก็ไม่มีประโยชน์นัก มาพูดถึงวิธีที่จะไม่ตกนรกหรือจะดีกว่า ทุกคนก็เคยได้ยินได้ฟังมากแล้ว แต่ดูจะยังไม่เข้าใจ ดังนั้นอยากจะพูดว่า วิธีที่จะไม่ตกนรกนี้ก็คือว่า ให้รู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ให้มันตบหน้าบ่อยๆ ตามที่เหมาะที่ควรก็ยังดี แล้วก็จะไม่ต้องตกนรกชนิดนี้ บ่อยนัก ง่ายนัก หรือยาวนัก หรือลึกนัก ถ้าไม่ทำอย่างนี้ มันก็จะตกมหาปริฬาหนรก แล้วก็จะไม่มีแผ่นดินอยู่ อยู่ที่นี่ก็ไม่สบาย อยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่สบาย อยู่เชียงใหม่ก็ไม่สบาย อยู่ภาคอีสานก็ไม่สบาย อยู่ภาคใต้สุดก็ไม่สบาย อยู่อังกฤษ อเมริกาอะไรก็จะไม่สบาย
เหมือนสุนัขขี้เรื้อน มันไม่สบายอยู่ที่ขี้เรื้อน ซึ่งมันทำให้อยู่ตรงไหนมันก็ไม่สบาย จะไปนอนตรงไหนมันจะสบายได้ล่ะ เพราะมันไม่สบายอยู่ที่ขี้เรื้อน อ่า, ลุกขึ้น เกา ๆ ลุกขึ้นไปนอนตรงนั้นมันก็ไม่สบาย ไปนอนตรงนี้ก็ไม่สบาย ไปนอนตรงโน้นก็ไม่สบาย มุดเข้าไปไหนก็ไม่สบาย ออกมาที่ไหนก็ไม่สบาย นี่สุนัขขี้เรื้อนไม่มีแผ่นดินเท่าใบพุทราจะอยู่ ดังนั้นคุณระวังให้ดี ถ้าตกนรกนี้มันจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ที่ไหนก็ไม่สบาย มันจะมีอยู่ที่นั่นอยู่ที่นี่ก็ล้วนแต่ไม่สบาย นี่นรกแห่งตัวกู มีตัวกู
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พอมีตัวกู มันก็มีตัวกูอย่างนั้น ตัวกูอย่างนี้ ตัวกูอย่างโน้น ตัวกูอยู่ที่นั่น ตัวกูอยู่ที่นี่ ตัวกูดีกว่าคนนั้น ตัวกูเสมอกับคนนั้น ตัวกูเลวกว่าคนนั้น มันก็แจกไว้ในทิฏฐิทั้งหลายมากมาย ในตัณหาวิจริตทั้งหลายมากมาย ที่เรียกว่าตัณหาวิจริต มันแปลว่าที่เลือกของตัณหา ตัณหาวิจริต แปลว่า ที่เที่ยว ที่เลือก เหมือนกับวัวมันเลือกที่กินหญ้าแล้วก็ที่เที่ยว มันก็ต้องเลือก
ทีนี้ตัณหาของคนมันก็เลือกไปตามนี้ กูเป็นอย่างไร กูเป็นอย่างนั้น กูเป็นอย่างนี้ กูไม่เป็นอย่างนั้น กูไม่เป็นอย่างนี้ดีกว่า กูอยู่ที่นั่นดีกว่า กูอยู่ที่นี่ดีกว่า กูดีกว่าเขาดีกว่า กูเลวกว่าเขาดีกว่า มันก็มัวแต่เลือกอยู่อย่างนี้ มันก็เลยไม่มีแผ่นดินอยู่ นี้เขาเรียกว่านรกมหาปริฬาหะ
ไม่อยากตกนรกตัวกูของกู ไม่อยากตกนรกขี้เรื้อน ไม่อยากตกนรกแล้วแต่จะเรียกชื่อไหน ก็ขอให้รู้จักใช้ตัวกูของกูให้เป็นประโยชน์ เหมือนที่เขาใช้อุจจาระปัสสาวะให้เป็นประโยชน์ เปรียบอย่างนี้มันก็ยังน้อยไป แต่ว่าก็ไม่รู้จะเปรียบอย่างไร
ไอ้ปัสสาวะอุจจาระนั้น มันก็ว่าสกปรก คำก็คำเดียวกัน คำว่ากิเลสซึ่งแปลว่าสกปรก ถ้ายังไม่รู้ก็รู้ไว้สิว่า คำว่ากิเลสมันแปลว่าสกปรก คือไม่สะอาดหรือเศร้าหมอง มีความหมายอย่างเดียวกับอุจจาระปัสสาวะ ใคร ๆ ก็เห็นว่ามันเป็นของสกปรก แต่นั่นมันเป็นเรื่องวัตถุ ไอ้กิเลสเป็นเรื่องในหัวใจนี่ แต่มันแปลว่าสกปรกเหมือนกัน คนไทยไม่รู้จักใช้อุจจาระปัสสาวะให้เป็นประโยชน์ ก็เลยเสียเปรียบคนจีน โดยเฉพาะที่รู้จักใช้อุจจาระปัสสาวะให้เป็นประโยชน์
ที่สมาคมจีนแห่งหนึ่ง อย่าออกชื่อดีกว่า ไปขอปัสสาวะ ให้เข้าไปในห้องที่จะปัสสาวะ เกือบตาย มันมีถังวางอยู่ ถังไม้ ใคร ๆ ก็ถ่ายปัสสาวะลงไปในถังนั้นแหละ มีสาย มีไม้คาน พร้อมที่จะหาบไปอยู่เสมอ ทีนี้มันมีไอ้ปัสสาวะที่ถ่ายอยู่ทั่วทุก ๆ ถัง มันเก่าบ้างใหม่บ้าง มันหลายชั่วโมงบ้าง มันแสบตา นี่เห็นว่ามันรู้จักใช้กันอย่างมาก ดังนั้นมันคงมีค่ามาก มันเป็นไอ้ถังหิ้ว ถังไม้เล็ก ๆ หลายหาบอยู่ เขารู้จักใช้อุจจาระ ปัสสาวะให้เป็นประโยชน์ เป็นเงินเป็นทองไปในที่สุด
ทีนี้เรารู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ เพราะเรายังโง่มาก เพราะเรายังมีกิเลสมาก มันไม่มี ๆ ที่เก็บ ก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ มันจะได้น้อย ๆ ไป นี้สำหรับคนที่มีกิเลสมาก พูดถึงกิเลส มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายร้ายกาจอะไรอีกเหมือนกัน มันเป็นเพียงความคิดชนิดหนึ่ง ถ้ามันเป็นอย่างนี้ เขาเรียกว่ากิเลส ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาเรียกว่ากิเลส แล้วมันเป็นกำลังงานที่มากกว่าฝ่ายที่เป็นโพธิหรือที่ไม่ใช่กิเลส ถ้ากิเลสมันมีกำลังมากเท่าช้างตกมัน ไอ้โพธิก็มันยังไม่ได้เท่าช้างธรรมดาหรือบางทีจะเท่าหนูด้วยซ้ำไป
เมื่อความคิดมันเป็นกิเลส มันมีแรงมาก สมมติว่าเท่ากับช้างตกมัน มันกำลังมีบ้ามาก มีแรงมาก ทีนี้เมื่อความคิดมันไม่เป็นกิเลส เป็นโพธิเป็นอะไรนี้ โดยมากมันไม่มากมายอย่างนั้น เท่า ๆ ช้างปกติก็ไม่ได้ เท่าหนูมากกว่า นี่คุณไปดูที่ตัวเอง เวลาจะโกรธใคร ด่าใคร เอ่อ, ตำหนิติเตียนใคร ดื้ออาจารย์ กระทั่งประชดอาจารย์ก็มี กำลังกิเลสนั่น มันเท่าช้างตกมันหรือเปล่า ไอ้ที่ใจคอปรกติ คิดนึกศึกษาเล่าเรียน อันนี้มันก็เท่าหนูก็ไม่ได้ พูดถึงกำลังนะ พูดถึงกระแสแห่งกำลัง เมื่อใจคอเราปกตินี่ กำลัง พลังของจิตมันมีน้อย แต่พอมีกิเลสเข้า อุ๊ย, หลายร้อยเท่า
ทีนี้เกิดกิเลสทีหนึ่งก็เกิด เอ่อ, ก็เก็บไว้เป็นอนุสัยที ๆ หนึ่ง คือความเคยชิน เก็บไว้เป็นความเคยชินทีหนึ่ง เคยชินทีหนึ่ง มันก็มากเข้า มันก็ยิ่งมีแรงมากเข้า แล้วมันเก็บสะสมแรงไว้เป็นความเคยชิน เพราะฉะนั้นจะต้องดูให้ดี อย่าทำเล่นกับมัน มันก็เป็นเพียงความคิด แต่มันเป็นความคิดฝ่ายหนึ่ง นี่ดูเป็นความคิด มันก็เหมือนกันกับโพธิ ก็เป็นเพียงความคิด อุจจาระปัสสาวะ ดูในแง่หนึ่ง มันก็ของสกปรก ถ้าดูในอีกแง่หนึ่ง มันก็เป็นเพียงวัตถุธาตุ เหมือนกับของที่ไม่ใช่อุจจาระปัสสาวะ
แม้ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ในเนื้อหนังของเรา ในอะไรของเราก็เหมือนกัน แม้แต่ในดอกไม้ มันก็มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ในอุจจาระปัสสาวะ มันก็มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม นี้มันก็เหมือนกัน แต่มันเกิดทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน กิเลสก็ทำหน้าที่อย่างกิเลส โพธิก็ทำหน้าที่อย่างโพธิ แต่ที่แท้มันก็เป็นความคิดด้วยกัน เป็นปฏิจจสมุปปันนธรรม คือสิ่งที่ไม่มีตัวตนด้วยกัน ปรุงแต่งมาจากเหตุปัจจัยทั้งนั้น เหมือนกันทั้งนั้น ดอกกุหลาบก็ปรุงมาจากเหตุปัจจัย อุจจาระปัสสาวะก็ปรุงมาจากเหตุจากปัจจัย มันเหมือนกันในข้อนี้ แต่มันต่างกันในการออกฤทธิ์ทำหน้าที่ บางแห่งหรือว่าบางอย่างก็จะทนไม่ไหว
ทีนี้จะทำอย่างไร ปัญหามันจะมีขึ้นว่า จะ แล้วทำอย่างไร ผมว่าไม่มีวิธีอื่นใดดีกว่าใช้ให้มันเป็นประโยชน์ ที่เคยพูดกันมามากแล้ว ที่เขาพูดกันอยู่ทั่วไป เขาบอกว่าให้ละกิเลสทิ้งเสียเปล่า ๆ ผมว่าบางทีมันจะโง่ เหมือนกับอุจจาระปัสสาวะไปทิ้งเสียเปล่า ๆ ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ลองคิดไปในแง่ที่จะใช้ให้มันเป็นประโยชน์ดูบ้าง มันคือพลัง
ขออภัยพูดเรื่องหยาบคาย แต่ที่นี่เวลาผมไปถ่ายอุจจาระนั้น ไอ้ๆ น้ำราดส้วมทีแรกไม่ต้องใช้ ใช้อุจ เอ่อ, ใช้ปัสสาวะ ประหยัดน้ำได้กระป๋องหนึ่งทุกวันเลย ไม่ๆ เปลืองน้ำไอ้ที่จะต้องราดทีแรก คุณคงไม่ทำอย่างนี้ก็ได้ คุณก็เสียน้ำไปกระป๋องหนึ่งทุกวัน ๆ บอกว่ามันใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
ทีนี้ก็พูดถึงว่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร ก็เหลือบตาดูไปทีว่า ไอ้ของที่มันอันตรายที่สุด เช่น กระแสน้ำท่วมนี้ เขาเอาไปทำนบ เอาไปทำทำนบแล้วติดเครื่องไฟฟ้า แล้วก็ใช้กันได้หลายสิบจังหวัด นี่คิดดูเถิด มัน เอ่อ, มันเป็นสิ่งที่อันตราย มันฆ่าคน มันอะไรก็ได้ แต่ถ้าเขาใช้ให้เป็นประโยชน์ แล้วมันก็กลายเป็นประโยชน์ ไอ้พลังอันนั้นมันก็เป็นประโยชน์ ดังนั้นขอให้นึกกันในแง่นี้ บางทีจะเหมาะสมกับคนโง่ที่มีกิเลสมากยิ่งกว่าช้างตกมัน คือว่ามัวละ มันก็ละมันไม่ไหว สู้มันไม่ไหว ดังนั้นเปลี่ยนเป็นว่าใช้ให้เป็นประโยชน์ บางทีจะน่าดูกว่า จะสนุกกว่า แล้วจะทำได้ยิ่งกว่าด้วย
กำลังอะไรที่ ๆ จะเอาไปใช้ด่าว่าตบตีซึ่งกันและกันนั้น เอามาใช้ให้ ๆ เป็นพลังอย่างอื่น มันก็คือใช้ในการที่จะขุดรากกิเลสนั้นน่ะ ในการเชื่อฟังพระพุทธเจ้า มั่นคงในศีลในอะไร เอาไอ้แรงนั้นน่ะ มาใช้แบบที่เรียกว่าทำร้ายให้กลายเป็นดี Sublimate อะไรก็ไม่รู้ ความหมายของมันที่เขาเรียกกันทั่ว ๆ ไป เช่นเอาอุจจาระปัสสาวะไปใช้ให้เกิดเป็นประโยชน์ขึ้นมานั้นแหละ นั่นมันเรื่องเล็ก เรื่องต่ำ เรื่องเลว เมื่อมาเทียบกับเรื่องจิตใจ ก็สู้กันไม่ได้
ดังนั้นกำลังที่เราจะโกรธคน จะว่าคน จะด่าคน จะคอยกระชด เอ่อ, ประชดประชันกระทั้นกระแทกซึ่งกันและกันนี่ จะต้องเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เปลี่ยนวัตถุเสียเท่านั้นเอง เปลี่ยนอารมณ์ แรงงานคงเดิม เปลี่ยนวัตถุประสงค์ เปลี่ยนอารมณ์ เหมือนกับเอาไฟมาทำให้เป็นประโยชน์ เอาน้ำมาทำให้เป็นประโยชน์ ดูอีก มัน ๆ มีประโยชน์มหาศาล
เขาใช้ไฟเชื้อเพลิง ทำไฟ ทำกระแสไฟฟ้าขึ้นมาใช้ ใช้แรงน้ำมาทำกระแสไฟฟ้าขึ้นมาใช้ ให้ยึดหลักอย่างนี้ เพราะว่าไม่มีไฟไหนจะแรงเท่า ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ พระพุทธเจ้าท่านว่า ใครๆ ก็ไม่มีทางจะเถียง ไอ้น้ำนี้ก็คือโอกะโยฆะหรืออะไร ไอ้น้ำอะไร กาโมฆะ ทิฏโฐฆะ ภโวฆะ อวิชโชฆะ ก็คือน้ำที่อยู่ในใจของคนเรา ไฟก็คือไฟที่อยู่ในใจของคนเรานี่ เอาแรงของมันนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้มันตบหน้าเอาในลักษณะที่ถูกที่ควรก็ยังดี ดีกว่าที่จะไม่เป็นประโยชน์อะไรเสียแลย
เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นไปอย่างนั้น มันไม่รู้สึกว่าถูกตบหน้า ไม่รู้สึกว่าถูกแผดเผา มันก็เจ็บเปล่า เหนื่อยเปล่า เปลืองเปล่า นี้ระวังถ้าว่ากิเลสมันจะตบหน้าเอาแล้ว ก็ให้มันเป็นไปในทางที่ถูกที่ควร ใช้กิเลสให้ตบหน้าเราในทางที่ถูกที่ควร นี้ก็เป็นข้อแรก ข้อหนึ่งข้อแรกที่จะใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ดีกว่าเอากิเลสแขวนหาง แขวนหู เที่ยวชู เที่ยวอวด เที่ยวเด่น แล้วก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร
ผมอยากจะพูดเสียเลยว่า ให้ถือว่ามาอยู่สวนโมกข์นี่ ทุก ๆ องค์นี้ขอให้มาอยู่อย่างว่า เพื่อรู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ไม่อย่างนั้นเชิญกลับ ไม่ว่าองค์ไหน ไม่ว่าพระ หรือเณร หรืออุบาสกอุบาสิกานี้ก็ตามใจ เพราะที่นี่มันจะเป็นที่ฝึกการใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ถ้าไม่ยอมรับเอาหรือว่าไม่มีหลักการอย่างนี้ ก็เชิญไปอยู่ที่อื่น เพราะไม่เช่นนั้นกิเลสมันจะ เอ่อ, สกปรก ไหลนอง จะลำบากยุ่งยากมาก เพราะไม่ใช้มัน มันก็มีมากขึ้น มันจะไหลนองสริตา เหมือนกับตัณหาไหลนองไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ทุกอารมณ์ ทุกภพ มันจะไม่มีที่ใส่ มันจะท่วมเหมือนกับน้ำท่วมบ้านท่วมเมือง ตายกันเป็นร้อย ๆ พัน ๆ เป็นหมื่นเป็นแสนก็มี
ถ้าเราใช้ ถ้ารู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์นี่ เท่านี้คำเดียว มันแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ อย่าเอาน้ำมันมาจุดเล่น ต้องใช้ เอ่อ, จุดแล้วให้มันเป็นประโยชน์ อย่าเอาฟืนมาเผาเล่น เผาแล้วให้มันเป็นประโยชน์นี่ ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะก็เหมือนกัน ถ้าคนมันไม่โง่ดักดานเกินไปแล้ว มันจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เพราะมันเป็นแรงอันหนึ่ง เขาพูดไว้แล้วผมก็เห็นจริง แต่ว่าไม่รับรองทั้งเห็นจริง
พอยิ่งฉลาดมากยิ่งมีกิเลสมาก ไอ้คนที่ฉลาดมากจะยิ่งโกรธ เอ่อ, จะ ๆ ยิ่งโลภเก่ง โกรธเก่ง หลงเก่ง ยิ่ง ๆ มีฉลาดมาก ไอ้ความเฉลียวฉลาดที่เป็นพื้นฐาน ก็เรียกว่ามันมีตามปกติของมัน ถ้ายิ่งมีมาก มันจะยิ่งเป็นคนบ้ากามมากก็ได้ มีราคะมาก แล้วโกรธเก่ง พยายามปากเก่งอะไรก็ได้ ก็จะรู้จักหลงอย่างลึกซึ้งอย่างที่ถอนตัวไม่ขึ้นก็ได้ เอ่อ, ไอ้เรื่องปัญญาชนิดนั้น ปัญญาเฉโก ปัญญาพื้นฐาน ดังนั้นคนที่ฉลาดก็ยิ่งระวังให้ดี มันก็จะยิ่งหลงได้มาก
เห็นกันง่าย ๆ ถ้ามันเป็นขโมย มันก็ต้องเป็นเก่งกว่าคนโง่ คนฉลาดน่ะมันภายนอก ทีนี้ถ้ามันจะทำทุจริตอย่างอื่น มันก็ต้องเป็นได้เก่ง ทำได้เก่งกว่าคนโง่ ก็เรียกว่าในกิเลสนั้นมีพลัง ทั้ง ๆ ฝ่ายพลังแรงกายและพลังแรงจิต เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ พอเกิดจะมุทะลุขึ้นมา ก็ขนทรายขึ้นบนยอดเขา นี่พอมันจะโกรธใคร จะด่าใคร จะว่าใคร จะประชดใคร เอาแพลง เอ่อ, พลังนั้นน่ะขนทรายขึ้นบนยอดเขา ใช้พลังนั้นให้มันเป็นประโยชน์ ให้มันหมดไปอย่างนี้ อย่าไปด่าเขา อย่าไปประชดประชันเขา จนกระทั่งอาจารย์ก็ถูกประชดอยู่แทบ ๆ ทุกวันเหมือนกันนะ
นี่จะฟังถูกหรือไม่ฟังถูกว่า ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ มาอยู่ที่สวนโมกข์ก็มาฝึกบทเรียนอันนี้ก่อนบทเรียนอันอื่น อย่าเผยอจะเป็นพระอรหันต์ จะละกิเลส นั่นน่ะมันยิ่งโง่มาก ยิ่ง เพราะยิ่งฉลาดมาก มันยิ่งโง่มาก มันถึงจะละกิเลส ทั้งที่มันไม่รู้จักกิเลส ในลักษณะจะใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ก็บ้าว่าจะเป็นพระอรหันต์ เที่ยวยกหูชูหางว่ากูเป็นพระอรหันต์ ถึงขนาดนี้ก็มี เอ่อ, มันจะละกิเลสทั้งที่มันไม่รู้ว่าอะไร ที่จริงไอ้ละกิเลสของคนนี้คือกิเลสนั่นเอง
ดังนั้นดูเสียใหม่ ใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้ากิเลสอย่างวัวอย่างควายก็เอามาไถนาเสียสิ ถ้ากิเลสอย่างช้างก็เอาไปลากซุงไปทำอะไรสิ กิเลสอย่างหมาก็เอาไว้เห่า มันจะต้องใช้ได้ทั้งนั้นแหละ กลัวแต่ว่าจะไม่ดูเท่านั้นเอง นี้ว่าเป็นเรื่องหยาบ ๆ เรื่องชั้นต้นชั้นแรก คือว่าไม่ เอ่อ, ต้องใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ก็คือใช้ตัวกูของกูให้มันเป็นประโยชน์
ตัวกูของกูเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เป็นสิ่งที่ควรจะหมดไป แล้วจะมีจิตว่างแล้วก็จะสบาย แล้วจะไล่มันออกไปอย่างไร เอ่อ, วิธีแรกก็ต้องรีบใช้ให้เป็นประโยชน์ เพราะว่ามันเป็นของที่คุณรักมาก ยังตัดกันไม่ขาด ก็ต้องหาอุบายใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้มัน ๆ หมดแรงไป ให้มันเล็กลงมันน้อยลง ดังนั้นอะไรที่มันจะทำลายความเห็นแก่ตัวได้ ให้รีบ คือรีบยินดีทำสิ่งนั้น
ที่จริงก็ทำกันอยู่ ผมก็เห็น ผมก็ยอมรับว่าทำกันอยู่ทุกองค์ ทั้งพระทั้งเณร ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ หรือทำลายความเห็นแก่ตัวอยู่บ้างนี่ แต่ก็ต้องระวังให้ดี ต้องให้ไปในรูปที่ว่าใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ อย่าไปส่งเสริมกิเลส เดี๋ยวนี้พอทำอะไรได้นิดได้หน่อยก็ยกหูชูหาง เป็นช่างเป็นศิลปินอะไรขึ้นสักหน่อยก็ยกหูชูหาง ทำอะไรได้สักหน่อย เอ่อ, พอเพื่อนมาวานได้ก็ยกหูชูหาง แม้แต่จะเขียนภาพ หรือแม้แต่จะทำไฟฟ้า หรือแม้แต่ทำอะไรทุกอย่างน่ะ อย่าให้มันเป็นไปเพื่อยกหูชูหาง เป็นไปเพื่อใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์อยู่เรื่อยไป
ทำอย่างนี้ไม่เท่าไรจะมีกิเลสเบาบาง และจะเป็นพระอรหันต์ โดยไม่ต้องอยากเป็นพระอรหันต์หรือไว้เที่ยวตะโกนว่า กูเป็นพระอรหันต์ ช่วยรับรองที นี้อย่าหาว่าเป็นเรื่องด่าหรือเป็นเรื่อง เอ่อ, ตำหนิ เป็นเรื่องเตือนว่า จะทำอะไรสักนิดหนึ่ง ก็ขอให้เป็นไปในรูปที่ตัดทอนทำลายตัวกูของกู คือใช้ตัวกู กำลังของตัวกูของกูให้มันเป็นประโยชน์
เราอยู่กันวัดนี้ก็มีการงานประมาณ ๒๐ ชนิด คิดดูให้ดี ถ้าจะลองนับตั้งแต่ต่ำที่สุดไปยังสูงที่สุดมีการงานราว ๒๐ ชนิด ตั้งแต่คนกวาดขยะอย่างไม่รู้หามรุ่งหามค่ำ หรือคนหุงข้าวหุงปลา คนทำนั่นทำนี่ เลี้ยงหมา เลี้ยงแมว เลี้ยงหมีนี้ก็สุดแท้ มันก็มี เป็นงานชนิดหนึ่ง ๆ ทั้งนั้นแหละ ดังนั้นให้ทำไปในรูปที่ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ อย่าให้มันเป็นการพอกพูนกิเลส
พอว่าได้ทำอะไรแล้วก็ยกเป็นบุญเป็นคุณสำหรับอ้างถ่มผู้ เอ่อ, ข่มผู้อื่น อย่างนี้แย่ จะตกมหาปริฬาหนรกนี่อยู่ตลอดวันตลอดคืนเรื่อยไป นรกแห่งตัวกู นรกแห่งตัวกู เรียกมหาปริฬาหนรก อยู่ในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท เมื่อใดตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง เป็นต้น เมื่อนั้นปราศจากสติ อวิชชาก่อหวอดขึ้นมาได้ จะมีมหาปริฬาหนรกอยู่ในนั้น เวลานั้น เมื่อนั้น เป็นนรกในปฏิจจสมุปบาทก็เรียก นรกแห่งตัวกูก็เรียก มันจะตกนรกนี้มากเกินไป มันน่าเศร้า ดังนั้นจะปิดนรกนี้ จะกั้นนรกนี้เสียได้ ก็ด้วยการรู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์
ปฏิจจสมุปบาทมีหลายแบบ แบบหนึ่งพอมาถึงตัณหาเปลี่ยนทันที นี่คนไม่เคยเรียนอาจจะไม่รู้ว่า อวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิดนามรูป นามรูปให้เกิดอายตนะ อายตนะให้เกิดผัสสะ ผัสสะให้เกิดตัณหา เอ่อ, ให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา พอถึงตัณหานี้ ถ้า ๆ ๆ ๆ รู้สึกตัวเปลี่ยนได้นี้ก็รอดตัวไป จะตัณหาดับ ตัณหาดับแล้วอุปาทานดับ ภพดับ ชาติดับ ชรามรณะดับไปอย่างนี้ มันเปลี่ยนกันตรงกันข้าม Sublimate กระแสไปคนละทาง แรงยังเท่าเดิม แรง ๆ ๆ ดันยังเท่าเดิม
ดังนั้นพอเกิดอยากจะทำอะไรขึ้นมา แม้ด้วยอำนาจของกิเลส ก็เปลี่ยนเป็นให้มันใช้เชือดคอกิเลสโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่นใช้ให้มันเป็นประโยชน์เสียเป็นต้น คือทำจิตทำใจเสียใหม่สิ เมื่อ ๆ อยากจะอย่างนั้น อยากจะอย่างนี้ อยากจะดีจะอะไรก็สุดแท้ ก็เปลี่ยนเป็นไอ้อยากนี่ อยากจะใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ฮึดฮัดขึ้นมาแล้ว ก็จับเทียมแอกเทียมไถทำไปให้เป็นประโยชน์ ถ้ามันไม่ทำอย่างนี้ มันมากเข้า จะไม่มีแผ่นดินอยู่แม้เท่าใบพุทรานี่
นี่หมายความว่า พอตัวกูของกูมันเป็นกูของกูขึ้นมาแล้ว มันก็จะมีตัณหามากมาย หลายชนิดหลายแบบกว่าเดิม มีอุปาทาน มีภพ มีชาติมากชนิดกว่าเดิม มันจะไม่มีที่อยู่ อยู่ไชยาสวนโมกข์ก็ไม่สบาย อยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่สบาย เชียงใหม่ก็ไม่สบาย ภาคอีสานก็ไม่สบาย ภาคตะวันออกก็ไม่สบาย ใต้สุดก็ไม่สบาย มันจะเป็นหมาขี้เรื้อน ไม่มีที่สบาย เพราะไอ้ตัวกูของกูนั่นแหละทำให้เกิดมหาปริฬาหนรก เป็นหมาขี้เรื้อนเมื่อไร เป็น ๆ ตกมหาปริฬาหนรกทันที ไม่มีที่ไหนสบาย อย่าว่าแต่ชั่ววัดนี้ ในวัดนี้ ให้ไปทั้งโลก ทั่วโลก มันก็ไม่มีที่สบาย แล้วมันก็วิ่งไปวิ่งมา วิ่งไปวิ่งมา ด้วยความอยาก ด้วยความสะดุ้งหวาดเสียว อย่างที่เขาเรียกว่าวัฏฏสงสาร
ดังนั้นทำตัวกูให้อ่อนกำลัง ตรงไหนก็จะนอนสบายได้เรื่อยขึ้นเรื่อย ๆ คือพอโรคเรื้อนมันถอยกำลัง ไอ้สุนัขตัวนั้นมันนอนตรงไหน มันก็ค่อยสบายขึ้นเรื่อย ๆ พอมันหายโรคเรื้อนเด็ดขาด นอนตรงไหนมันก็สบาย ไอ้ตรงที่ว่าไม่สบายที่สุด มันก็ยังสบาย นี่ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์เสีย ให้มันเบาบางลง ก็คือขี้เรื้อนมันน้อยลง มันก็จะสบาย เอ่อ, เพิ่มขึ้น ตรงไหนก็เพิ่มขึ้น พอกิเลสมันไม่มีกำลังที่จะเล่นงานเรา มันก็สบายไปหมด ไม่ตกนรก
ชื่อนี้พระไตรปิฎกก็มี อ่านกัน แทบทุกคนจะเคยอ่าน แต่ไม่อ่านให้มันได้เรื่องได้ราว มันก็เรียกว่าอะไร มันก็อยู่ในจำพวกเดียวกัน นี้มันก็ข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งนั้น อย่าตกนรกแห่งปฏิจจสมุปบาทที่ชื่อว่ามหาปริฬาหะ ผมก็เรียกอย่างนั้น แต่เปลี่ยนชื่อว่านรกแห่งตัวกูของกู เพราะว่ากระแสปฏิจจสมุปบาท มันคือกระแสแห่งตัวกูของกู
ทีนี้จะแก้มันก็โดยการใช้กระแสของมันนั้นให้ไปเป็นในทางที่เป็นประโยชน์เสีย มันจะไหม้ เราเอามาใช้อย่างอื่นเสีย จะเป็นไฟก็ตาม จะเป็นน้ำก็ตาม เอามาใช้อย่างที่ว่าเสีย ความมีกำลังแรงน่ะ เอามาใช้เพื่อทำลายไอ้ตัวกู ทำลายความเห็นแก่ตัวเสีย นี่กิเลสจะเป็นประโยชน์แก่โพธิ เพราะว่ามันเป็นของสิ่งเดียวกัน กิเลสก็ความคิด โพธิก็ความคิด ถ้าเอียงไปฝ่ายนี้ก็เป็นกิเลส เอียงไปฝ่ายนี้ก็เป็นโพธิ
ดังนั้นเราให้มันไปในทางที่มันเป็นประโยชน์ เหมือนกระแสน้ำ อย่าให้มันไปท่วมบ้าน เอามาใช้ทำไฟฟ้าเสีย ฟืนก็อย่าให้มันเผาเรือน เอามาทำแรงงานใช้ทำประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้เสีย ใช้ให้มันเป็นประโยชน์ เหมือนคนเขารู้จักใช้อุจจาระปัสสาวะให้เป็นประโยชน์ มิฉะนั้นก็เป็นคนโง่ บรมโง่ แสนจะโง่ โง่อย่างดักดาน ก็คือกิเลสหนาแน่นขึ้นทุกที หนาแน่นขึ้นทุกที จนไม่รู้จะทำอย่างไรถูก จนไม่มีที่จะอยู่แล้วในโลกนี้ ยังไม่มีแผ่นดินเท่าใบพุทราเหลือแล้ว
ธรรมอย่างนี้เขาพูดกันมาแล้วแต่โบราณโน้น แต่บางทีคนฟังมันฟังเป็นอย่างอื่น อย่างคนโบราณเขาก็อยากจะทำบุญ อยากจะทำบุญ อยากจะไปสวรรค์ อยากจะไปสวรรค์มากนัก แต่ก็ทำไม่ถูก ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ไม่ได้ เอ่อ, มันก็เป็นบ้าบุญ เอาแหละ พอถึงเขตบ้าบุญแล้ว ทีนี้ไม่มีแผ่นดินอยู่ เอาบ้านเอาเรือนไปถวายวัดอะไร ก็ไม่ ๆ ๆ ๆ สงบจิตได้ เอาเหย้า เอาเรือน เอาลูก เอาผัว เอาเมียอะไรไปถวายวัดหมดแล้ว มันก็ยังไม่สงบได้ ยังเป็นสุนัขขี้เรื้อน เพราะมันไม่รู้จักใช้กระแสของกิเลส กำลังของกิเลสให้เป็นประโยชน์
เรื่องชาดกก็อย่าไปดูถูก คนโง่ที่มันดันดูถูกชาดก ก็ไป ๆ กินเปลือกเข้า เหมือนกับไป ๆ กินเปลือกทุกเรียน ไปกินเปลือกมังคุด เนื้อในมันไม่กิน นี่คนโง่ อย่างจันทกุมารชาดกนี้ เด็ก ๆ ย่าเล่าให้ฟังนี้ เอ้า, เขาไม่ได้อ่านแล้ว พระราชาที่ใหญ่โตองค์หนึ่งนอนฝันว่าได้ไปสวรรค์ นอนฝันว่าได้ไปสวรรค์ เอ่อ, ชั้นอะไรนั้นน่ะ ชั้นกามาวจร ปรนิมมิตวสวัตตีอะไรก็ไม่รู้ ว่าสวรรค์ เขาใช้คำว่าสวรรค์ สวรรค์สูงสุดก็ปรนิมมิตวสวัตตี พอตื่นขึ้น มันก็อยากไปจริง ๆ มันเชื่อจริง ๆ มันอยากไปจริง ๆ ใครอธิบายอย่างไรก็ฟังไม่ถูก
ทีนี้ก็เลยไปถามหาปุโรหิต อาจารย์ประจำราชสำนักว่าทำอย่างไร เผอิญมันพอดีพอเหมาะกันเข้ากับว่า ไอ้ ๆ ปุโรหิตคนนั้นน่ะมันเสื่อม มันเสื่อมเสีย มันคอรัปชั่นเต็มที แล้วมันเสียชื่อจนไม่มีที่จะอยู่ คนเขาไปรัก เอ่อ, พระราชบุตรยุพราชบ้าง อะไรบ้าง จนแกนี้แทบจะไม่มีแผ่นดินอยู่แล้วเหมือนกัน แกก็ได้ช่องได้โอกาสก็ว่า ตามพระคัมภีร์นั้นน่ะ ให้บูชายัญด้วยของรักที่สุดของผู้นั้น เช่นลูก เช่นเมีย เช่นอะไรนี้ อย่างละ ๔ ละ ๔ นี่แกคิดว่าจะฆ่าไอ้พวกนี้ให้วินาศ
พระราชานั้นขนาดบ้าบุญจริงถึงขนาดนั้น เอา จับลูกจับเมียมาที่เสาหลักยัญ จะ ๆ ๆ ๆ บูชายัญ รวมทั้งพระจันทกุมารนี้ด้วย เผอิญประชาชนเขาตื่นขึ้นทัน เขารู้ว่ามันบ้าแล้ว เขามาช่วยกันถอดพระเจ้าแผ่นดินองค์นั้น แล้วก็ยกพระกุมารนี้ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน นี่เรื่องสั้น ๆ มันก็เล่าอย่างนี้ พระโพธิสัตว์นั้นก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทำประชาชนให้มีความสุข เรื่องมันก็จบ
ดังนั้นอย่าทำเล่นกับคำว่าบ้าบุญ เมาบุญ หลงบุญ มันคือกิเลส แล้วก็ เอ่อ, กิเลสที่ไม่รู้จักถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ มันสะสมอยู่ในหัวมากเข้า ๆ มันบ้าบุญ มันเมาบุญถึงขนาดนี้ก็ได้ แล้วไม่ต้องเรื่องในชาดก เรื่องที่นี่ ที่นี่ก็มี ในความหมายอย่างเดียวกัน มันมี ใช้กิเลสเพื่อ เอ่อ, เพื่อกิเลส เรื่องกิเลสนี้มันก็ยากอยู่อย่างนี้ เพราะที่แท้มันก็คือความคิดอันหนึ่ง เพราะผิดทางไปทางนี้ มันก็ไปอันหนึ่ง พอถูกทางไปอีกอันหนึ่ง ดังนั้นเหลือแต่ว่าจะผลักไปทางไหน มันยากที่จะพูด
เณรของเราองค์หนึ่ง บางเวลามันก็ด่าพระ ประชดประชันกระผม บางเวลามันก็ทำงานดีตามหน้าที่ แล้วตรงไหนเป็นเณรคนนั้น คุณที่นั่ง ๆ นี้ตอบทีว่า ตรงไหนมันเป็นเณรคนนั้น เมื่อมันด่าหรือประชดประชันผม มันเป็นเณรคนนั้น หรือว่าเมื่อมันทำหน้าที่อย่างดี อย่างน่ารักน่าเอ็นดู เป็นเณรคนนั้น มันก็เป็นเณรคนเดียวกันนั่นแหละ แล้วตรงไหนส่วนไหนที่มันเป็นเณรคนนั้น
เดี๋ยวก็จะโง่ครั้งใหญ่อีกที ไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นเณรคนนั้น มันก็อยู่ที่ว่าไอ้ความคิดนึกรู้สึกที่เป็นกลาง ๆ นั่นแหละเป็นเณรคนนั้น บางเวลามัน มันจะตกเป็นเหยื่อของกิเลส จิตที่เป็นกลาง ๆ เป็นความคิดความนึก มันไปตกไหลไปในกระแสของกิเลส บางเวลามันก็ไปในกระแสของโพธิ ดังนั้นมันควรจะรู้จักใช้กระแสของกิเลสนั้นมา ๆ ๆ เป็นกระแสของโพธิ รู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ เมื่อมันบ้ามาก ๆ เอาความบ้าของมันมาใช้ในทางที่มันจะเป็นประโยชน์ มันก็จะดีขึ้น ๆ คือกิเลสมันจะน้อยลง ๆ ๆ
พูดอย่างอื่นมันลำบาก มันมีเรื่องมาก มันต้องไปพูดว่ามีทานนะ มีศีลนะ มีสมาธินะ มีปัญญานะ มีกรรมฐานนะ มีญาณ ๑๖ ๒๘ ๑๑๐ นะ มันมากเรื่อง ผมชักจะเบื่อเต็มทีแล้ว เอาไว้พูดชนิดที่วิชาความรู้ หอบฟางกันดีกว่า จะพูดสั้น ๆ ว่า ขอชักชวนว่าถ้าอยู่ที่สวนโมกข์แล้วก็ อยู่เพื่อใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ เพื่อหัดใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ มีอยู่ ๒ ชั้น จนกว่าจะเป็นผู้ไม่มีกิเลสน่ะ คือทำไปได้พร้อม ๆ กัน ๒ อย่าง
ในสิ่งที่ยังทำไม่เป็นก็หัดเข้า หัดใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ทีนี้เมื่อทำเป็นอยู่แล้ว ก็ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์อยู่เรื่อยทุกวัน ๆ แล้วกิเลสจะ ไหนจะมาโงหัวขึ้นมายกหูชูหาง มาเล่นงานคนนั้นคนนี้ มันถูกใช้อย่างวัวอย่างควายอยู่ตลอดเวลา มันเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา มันจะเอาเวลาไหน เอาฤทธิ์แรงไหนมาเป็นอันตรายแก่คน
เดี๋ยวนี้ไม่ใช้มันนี่ เอ่อ, มันก็ มันก็ขึ้นขี่คอคนคนนั้น แล้วก็พาคนคนนั้นไปเป็นสมาชิกของกิเลส เหมือนกับเณรคนนั้น มันก็ด่าพระ ด่าอาจารย์ แต่ถ้าว่าทำให้ถูก ดังนั้นก็มีแต่ว่า เอ่อ, เอาไปใช้เสียให้หมด ในทางที่จะรับใช้อาจารย์ รับใช้พระ รับใช้เณร รับใช้เด็กด้วย เป็นเสียด้วยซ้ำไป มันก็ไม่มี เอ่อ, ไม่มีการตกนรกมหาปริฬาหะนี้
หมดแหละ ถ้าไอ้เรื่องอื่น ๆ มันยุ่งจนเวียนหัวแล้วก็เลิกกันทีดีกว่า ถือบทเรียนบทเดียวว่า กูจะใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์เรื่อยไป แล้วก็อย่าโง่จนไม่รู้จักกิเลส ควายมาก็รู้จักจับมาไถนา วัวมาก็รู้จักจับมาไถนา ช้างมาก็รู้จักจับไปลากซุง แม้เป็นเสือมาก็รู้จักเอาใส่กรงไปเก็บสตางค์ก็ได้ บางทีอาจจะเก่งถึงเอาไปลากรถก็ได้ นี่กิเลสประเภทราคะก็ดี ประเภทโทสะก็ดี ประเภทโมหะก็ดี รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์สิ ถ้าจะหลง ก็ขอให้หลงใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ อย่าไปหลงอย่างอื่น
ราคะก็เป็นไฟนี่ ที่จะกอดรัดเอาอะไรเข้ามาหา ก็เอาแต่ที่มันจะช่วยแก้กิเลส คือว่าไอ้ความถูกต้อง ความเป็นธรรมนั่นแหละเอาเข้าไว้ อย่าไปรับไอ้อารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส หรือว่าเนื้อหนังอะไร นี่โทสะก็เหมือนกัน ถ้าโทสะแล้วเราไปชกกิเลสเถิด อย่ามาชกผู้อื่น อย่าไปด่าผู้อื่น ไปด่ากิเลส อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น ไปวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง คือกิเลสที่เป็นตัวกูของกู ถ้าไม่มีกิเลส ไปวิพากษ์วิจารณ์ใครไม่ได้หรอก ดังนั้นถ้าจะเกิดวิพากษ์วิจารณ์ใครเข้าแล้ว ให้ดูกิเลสตัวนั้นที่กำลังมีอยู่ในใจ เป็นมหาปริฬาหนรกอยู่ในใจ ดังนั้นก็เล่นงานมัน อย่าไปเล่นงานผู้อื่น
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ผมจำได้ตั้งแต่แรกบวช แล้วก็พูดให้คนฟังหลายสิบครั้ง แต่มันผ่านหมดแล้วจนลืมพูด เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยได้พูดถึงพระพุทธภาษิตนี้ จนมันหาย ๆ ไปว่า น ปเรสํ วิโลมานิ น ปเรสํ กตากตํ อย่างนี้ อย่าไปเอาใจใส่กับคำพูดระคายขนของผู้อื่น อย่าไปเอาใจใส่กับการกระทำหรือมิได้กระทำของผู้อื่น อตฺตโน ว อเวกเขยฺย กตานิ อกตานิ จ จงสนใจแต่เรื่องของตนที่ทำแล้วหรือยังไม่ได้ทำ มีเท่านี้ น ปเรสํ วิโลมานิ อย่าไปสนใจกับเรื่อง เอ่อ, กับคำพูดระคายขนของผู้อื่น คือคำพูดที่มันไม่น่าฟังนั่นแหละ ที่พูดแล้วมันทนอยู่ไม่ได้ ต้องด่าตอบ ต้องประชดตอบ
นี้มีพระพุทธเจ้าตรัสอีกว่า ตรัสในนามของตัวละครในชาดกนี้ก็มี ตรัสตรง ๆ ก็มีว่า ไอ้ไปด่าเขาน่ะ มันเลวกว่า เอ้ย, ไป เอ่อ, ไปด่าตอบ มันเลวกว่าด่าทีแรก นี้มัน ๆ ห้าม ๆ ไม่ให้ด่ากันได้ คนไปด่าเขา ไปๆ อะไรเขา มันก็เลว แต่คนด่าตอบตีตอบ กลับเลวกว่า ก็เลยไม่มีช่องที่ว่าใครจะด่าใครได้ พอยิ่งคิดอย่างนี้ มันก็ไม่สนใจคำที่แสบหูหรือว่าคำที่อะไร หรือว่าภาพที่ดูแล้วมันสะดุดตาอะไรนี้ ทุกคนก้มหน้า ดูแต่เรื่องของตัวว่าทำแล้วหรือยังไม่ได้ทำ
อตฺตโน ว เท่านั้น อตฺตโน ว ของตนเท่านั้น อเวกเขยฺย ดูแต่เรื่องของตนเท่านั้น กตานิ อกตานิ จ ทำแล้วหรือไม่ได้ทำ นี้มันก็เลยไม่มี ไอ้พลังงานโทสะที่มันจะไปกระทบกระทั่งใครก็ไม่มี แม้แต่เพียงปฏิฆะมันก็ไม่มี ไอ้หงุดหงิด ๆ อยู่มันก็ไม่มี นี่มันไม่ตกมหานรก ชื่อมหาปริฬาหะอย่างนี้ ถ้าจะหลงก็หลงใน ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ หลักธรรมดีกว่า ถ้าไม่หลงก็ไม่หลงก็ได้ ถ้าหลงก็หลงในไอ้หลักธรรมะที่มันถูกต้อง ซึ่งก็รู้อยู่ดีแล้ว มันเหลือแต่บังคับใจไม่ได้ ให้ทำตามนั้นไม่ได้ อย่าไปหลงเหมือนพระราชาองค์นั้น ต้องการจะไปสวรรค์เดี๋ยวนี้ ยอมบูชายัญด้วยลูก ด้วยเมีย ด้วยช้าง ด้วยม้า ด้วยรถอะไรต่าง ๆ เพื่อจะไปสวรรค์เดี๋ยวนี้
ดังนั้นเรารู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์กันเดี๋ยวนี้ดีกว่า แล้วที่นี่จะเป็นสวรรค์ ที่นี่จะเป็นนิพพาน ลองดูสิ นี่อย่างนี้ผมรับประกัน ผมขอยืนยันว่า ให้มันใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์เถิด ที่ มันจะมีสวรรค์ที่นี่ พรหมโลกที่นี่ นิพพานที่นี่ อะไรที่ควรปรารถนาจะอยู่ที่นี่ เมื่อกิเลสมันระอุน้อยลงเท่าไร เพราะมันสิ้นฤทธิ์สิ้นแรงไปเท่าไร มันก็จะเป็นไอ้ตรงกันข้ามขึ้นมาเท่านั้น เป็นฝ่ายโพธิ เป็นฝ่ายสบาย เป็นความว่าง เป็นความสะดวกสบายขึ้นมาเท่านั้น
ต้องดูที่นี่และก็เดี๋ยวนี้ แล้วก็ต้องทุกวันด้วย เพราะว่าตามันยังไม่บอด มันยังต้องเห็น หูมันยังไม่หนวกมันก็ต้องเห็น จมูกมันก็ยังไม่เน่า มันก็ยังรู้กลิ่น ลิ้นมันก็ยังกระดิกได้อยู่ มัน ๆ ก็ต้องรู้รส มันก็ต้อง เอ่อ, พูดเป็น ผิวหนังก็เหมือนกัน มันก็ยังดีอยู่ มันรับสัมผัสได้ มันยังไม่เป็นอัมพาต มันยัง ๆ รับสัมผัสอยู่ จิตมันยังคิดนึกได้อยู่ ยังไม่ตาย ยังไม่ มันหลีกไม่ได้ที่จะไม่พบอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
นี่พอ ๆ ๆ มันเผลอไปนิดเดียว อันนั้นก็เป็นการเกิดกิเลส เกิดปฏิจจสมุปบาท เกิดตัวกูของกู สร้างนรกขึ้นมาอย่างนี้ มันหลีกไม่ได้ ทีนี้มันมีทางที่ว่าจะป้องกันเท่าที่จะป้องกันได้ หรือมันเกิดขึ้นแล้วก็เปลี่ยนกระแสของมันเสีย เอ่อ, Sublimate ไปเสียทางอื่น นี่คือเคล็ด นี่คืออุบาย นี่คือศิลปะของการที่จะใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ไม่ต้องเป็นหมาขี้เรื้อน อยู่ที่ไหนก็ไม่สบาย วิ่งว่อนไป ทรมานตนทั่วโลก มันก็ไม่มี ๆ พบที่สบาย
เอ่อ, นี้ก็ต้องนึกถึงพระพุทธภาษิตอีกอันหนึ่ง ซึ่งพูดบ่อยที่สุด เทวดาบ้าองค์หนึ่ง มันเที่ยวหาว่าตรงไหนสุดโลก มันจะไปอยู่ที่นั่น มันก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าว่า ข้าพระองค์นี้มีความไว เหมือนอะไร ไวที่สุด อย่างที่เขาเรียกสมัยโบราณ เขาว่าเหมือน ๆ กับลูกศรที่ยิงผ่านเงาต้นตาลอย่างนี้ มันไม่มีอะไรอุปสรรค มันไวถึงขนาดนั้น ก็ได้วิ่งมาอย่างนี้ กี่กัปกี่กัลป์แล้วก็ไม่รู้ ไม่ไปถึงริมที่สุดโลกสักที มันอยู่ที่ไหนพระเจ้าค่า
พระพุทธเจ้าก็บอกคล้าย ๆ กับผมบอกนะว่า ไอ้บ้านี่ มันมีอยู่ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้ โลกก็ดี ที่สุดโลกก็ดี เอ้ย, เอ่อ, โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับสนิทของโลกก็ดี ปฏิบัติให้ถึงที่ดับสนิทของโลกก็ดี มีอยู่ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้ที่ยังเป็น ๆ นั่นน่ะ ถึงแม้ว่าคำพูดเหล่านั้น มันจะไม่มีอาการว่าไอ้บ้า ก็เหมือนกับมีอาการว่าไอ้บ้า มันไปเที่ยวหา หาอย่างที่ว่านะ มันมีฤทธิ์เหาะได้เร็วขนาดนั้น มันเหาะไปทิศนั้นทิศนี้ ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์มาแล้ว มันไม่ไปถึงที่สุดโลกสักที มันว่าอย่างนั้น
ทีนี้พระพุทธเจ้าบอกว่า มันก็ไปหาที่นั่นจะพบอย่างไรได้ ในร่างกายนี้ ยาววาหนึ่งนี้ ยังเป็น ๆ อยู่นี้ มีหมดเลย ทั้งโลก ทั้งเหตุให้เกิดโลก ทั้งความดับสนิทของโลก ทั้งทางให้ถึงความดับสนิทของโลกเสียด้วย ดังนั้นอย่าไปหานรก อย่าไปหาสวรรค์ อย่าไปหาอะไรที่อื่น อย่าไปหานิพพานที่อื่น มันอยู่ที่ในคนเป็น ๆ นั่น จะสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้ ในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทนั้นน่ะ ถ้ามันเดินอย่างนี้ มันก็เป็นมนุษย์ ถ้ามันเดินอย่างนี้ ก็เป็นสวรรค์ เดินอย่างนี้ ก็เป็นพรหม ถ้าเดินเร็วกว่านั้นก็เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง นี่ในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทนั้นน่ะ มีครบอย่างนี้ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนั้นแหละ มันมีครบอย่างนี้
ทีนี้ถ้าเมื่อไรหยุดเสียได้ มันก็เป็นของตรงกันข้าม คือเป็นนิพพาน เป็นไปในฝ่ายนิพพาน ถ้าไม่อย่างนั้น ยังเป็นไปเรื่องเที่ยวบ้า เที่ยวบ้าเป็น เอ่อ, มนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหมนั่น ฝ่ายหนึ่งเรียกว่าสุขคติกันนะ เอ่อ, เที่ยวบ้าอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้เป็นสัตว์นรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย ที่เรียกว่าทุกขคตินะ ก็ยังสอนกันอย่างแค่เด็ก ๆ อมมือนี่ ให้ไปสุขคตินะ ไปสุขคตินะ นั่นมันอยู่แค่เด็กอมมือ มันก็เป็นเรื่องให้เมาบุญได้เหมือนกับอย่างที่ว่ามาแล้ว มันเป็นตัวกูแบบที่สวยงาม ที่ล่อลวงหลอกลวงมากเสียอีก มันก็ต้องทำลายความเป็นตัวกู ให้มันน้อยลง ๆ
อย่าลืมเมื่อตะกี้บอกแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อความรู้สึกว่าตัวกูมีอยู่ มันจะเริ่มมีความรู้สึกว่า กูเป็นอย่างนี้ กูเป็นอย่างนั้น กูเป็นอย่างอื่น กู เอ่อ, เรื่อยไปแหละ กูจะเป็นบ้าง กูเป็นแล้วบ้าง กูเป็นอยู่บ้างอะไรบ้าง เพราะมันมีตัวกูอันเดียวเท่านั้นแหละ พอไม่มีตัวกูอันเดียว ไอ้เหล่านั้นมันก็ร่วงกระจายไปหมด เราก็ต้องยุบ ยุบหรือทำลายไอ้ ๆ ตัวกูนั้นแหละ อย่าโง่เกิดความรู้สึกเป็นตัวกู มันจะไม่ตกนรกมหาปริฬาหะ
ข้อนี้ทำได้โดยว่า กิเลสเกิดขึ้นเท่าไร ใช้ให้มันเป็นประโยชน์เสียให้หมด มันฮึดขึ้นมาในรูปไหนก็ได้ จับไปใช้ให้เป็นประโยชน์เสียให้หมด กิเลสอย่างไฟ ก็เอาไปใช้ทำเตาหลอมเหล็กเสีย กิเลสอย่างโทสะ ก็เอาไปใช้ไถนาเสีย กิเลสอย่างโมหะ ก็เอาไปใช้ให้รักพระพุทธเจ้ามากขึ้น แล้วก็ทำตามพระพุทธเจ้าด้วย ไม่ใช่รักบ้า ๆ บอ ๆ เหมือนที่รักกันอยู่เดี๋ยวนี้
เอาล่ะ, วันนี้เป็นอันว่า เราพูดเรื่องธรรมปาฏิโมกข์เกี่ยวกับตัวกูของกู โดยหัวข้อว่าอย่าตกนรกตัวกูของกู ซึ่งเรียกว่ามหาปริฬาหนรก เกิดมาจากการที่ไม่รู้จักกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ก็คือกระแสแห่งกิเลสเมื่อขาขึ้น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นั่นมันขาขึ้นนั้นน่ะ กระแสแห่งกิเลส กระแสแห่งความทุกข์ มันก็ไม่รู้ทั้งกระแสแห่งความ เอ่อ, ลง คือว่าหยุด ดับ สลายไป
ทีนี้กระแสแห่งลงมันก็มีมาก วิธีปฏิบัติเขา ๆ จำแนกไว้มาก ผมว่ามันลำบากนัก เหลือข้อเดียวเถิด ถ้ามันกิเลสเกิดขึ้นมาเป็นสมุทยวาร เราก็ใช้มันเสียให้มันหมดแรงเป็นนิโรธวาร มีอย่างที่อธิบายมาแล้วนี่ ก็ไม่ต้องเที่ยววิ่งว่อนไปหาที่สบายเป็นหมาขี้เรื้อน ไม่ได้อยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ที่ไหน ขอให้คิด เอ่อ, ขอให้รู้สึกว่า มันแท้จริงไม่ได้อยู่ที่ไหน
ไม่ใช่คิด ไม่ใช่เหมา ไม่ใช่หลอกตัวเองนะ ให้มันมองเห็นจริงเถิด จะไม่มีตัวกู แล้วมันจะไม่อยู่ที่ไหน ไม่อยู่ที่นี่หรือไม่อยู่ที่ไหนในโลกนี้ ไม่อยู่ในมนุษยโลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก ไม่อยู่ที่ไหนหมด มันก็ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมา คำนี้พระพุทธเจ้าตรัส เมื่อไม่วิ่งไปวิ่งมา เมื่อไม่อยู่ที่ไหนและไม่วิ่งไปวิ่งมานี้ นั่นน่ะที่สุด ที่สุดของโลก ที่สุดของทุกข์ แล้วแต่จะเรียก
มันถึงได้โดยการใช้แรงของกิเลสให้หมดไปไม่มีเหลือ เป็นว่างไปเสีย อย่าบ้าว่าต้องไปนั่งตรงนั้น ต้องไปยืนตรงนี้ ต้องไปนอนตรงนี้ ต้อง มันไม่ได้ มันต้อง กิเลสอยู่ที่ตรงไหน มันก็ต้องทำที่ตรงนั้น เมื่อกิเลสอยู่ในใจ ก็ต้องทำกันในใจ กิเลสเกิดที่ไหนก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ที่นั่น เกิดเมื่อไรก็ใช้ประโยชน์เมื่อนั้น หลับหูหลับตาใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ ก็ไม่ต้องตกนรกมหาปริฬาหะ คือนรกแห่งตัวกูของกู
ผมพยายามมาสุดความสามารถของผมแล้วที่จะพูด เรื่องที่มันมากให้มันน้อย เรื่องที่มันยากให้มันง่าย เรื่องที่มันลึกให้มันตื้น พยายามมาสี่ห้าสิบปีแล้วตั้งแต่บวชมานี้ เอาล่ะ, วันนี้ก็พูดเรื่องตัวกูของกู ในหัวข้อว่า อย่าตกนรกมหาปริฬาหะแห่งตัวกูของกู ก็สบายเหมือนไอ้สมภาร ไม่เป็นโรคขี้เรื้อน ยังนอนสบายดีอยู่ พอกันที