แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๑ พฤษภาคม สำหรับพวกเราที่นี่ และล่วงมาถึงเวลาสี่สามสิบนอแล้ว เป็นเวลาที่กำหนดไว้สำหรับจะพูดกันเรื่องใดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับงานธรรมทูต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสิ่งที่เป็นปัญหา เผชิญหน้า ผู้ที่จะเป็นธรรมทูต ในคราวที่แล้วมา ได้พูดกันโดยหัวข้อว่า งานธรรมทูตคืองานปราบผี งานปราบผีมีความหมายซับซ้อนกันอยู่เป็นสองสามชั้น เพราะว่ามันมีผีหลายชนิด จะปราบผีหรือว่าจะปราบคนที่เชื่อผี หรือว่าจะปราบธรรมที่ทำบุคคลให้กลายเป็นผี เหล่านี้มันก็ล้วนแต่เรียกว่าปราบผีด้วยกันทั้งนั้น ก็เป็นหน้าที่โดยตรงของพวกธรรมทูต คือเป็นทูตของพระธรรม ทำหน้าที่เหมือนกับว่ายกกองทัพออกไปปราบปรามสิ่งที่เป็นเสนียดจัญไรของโลก ซึ่งจะเรียกโดยชื่อว่าอย่างไรก็ตาม โดยธรรมาธิษฐานก็เรียกไปอย่างหนึ่ง โดยปุคคลาธิษฐานก็เรียกไปอย่างหนึ่ง ในที่นี้เราเรียกรวมๆกันไปว่าผี มีลักษณะเป็นบุคคลก็ได้ มีลักษณะเป็นธรรม เป็นนามธรรมก็ได้ เมื่อได้พูดกันถึงใจความสำคัญว่า งานธรรมทูตคืองานปราบผีแล้ว ในวันนี้ก็จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า ธรรมทูตจะปราบผีได้อย่างไร ทำไมจึงกล่าวเรื่องนี้ในหัวข้ออย่างนี้ ทั้งนี้ก็เพราะเป็นสิ่งที่จะทำให้งานในหน้าที่สำเร็จประโยชน์ มีหน้าที่ปราบผีแต่ไม่รู้ว่าจะปราบอย่างไร มันก็ไม่มีทางที่จะมีประโยชน์อะไร ทีนี้สำหรับงานปราบผีมันก็แยกออกไปเป็นอย่างๆ แล้วแต่ว่ามันจะเป็นผีชนิดไหน แล้วเมื่อเราเอาไอ้เรื่องราวที่ได้มีอยู่แล้วแต่หนหลังมาเป็นหลักเกณฑ์ ก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยาก และความสำคัญในเรื่องนี้มันก็อยู่ตรงที่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าผี เป็นอย่างดีหรือทั่วถึงนั่นเอง ฉะนั้นเราจะต้องย้อนไประลึกนึกถึงไอ้การปราบผี ของพวกสมณทูตหรือธรรมทูต ครั้งแรกที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาเรา คือ การส่งธรรมทูตไปประกาศพระศาสนาในสมัยอโศกนั่นเอง อีกครั้งหนึ่ง ข้อความในตำนานนั้น แม้จะอยู่ในรูปของนิยาย เพื่อเป็นการแสดงข้อเท็จจริงที่แฝงอยู่ในนั้นอย่างมากมาย ดังที่ได้กล่าวให้ทราบแล้วว่า ในตำนานนั้น ใช้คำว่าผีบ้าง ใช้คำว่ายักษ์บ้าง ใช้คำว่าผีเสื้อน้ำบ้าง ซึ่งจะต้องต่อสู้ก็มี และจะต้องปราบปรามให้หมดไปก็มี นี้ขอให้พวกเราธรรมทูตปัจจุบันนี้หลับตานึกเห็น หลับตานึกให้เห็นว่ามันจะได้แก่อะไร ถ้าจะคิดไปในทางที่ว่า สมณทูตเหล่านั้นต้องไปฆ่ายักษ์ ต้องไปฆ่าคนที่มีลักษณะเหมือนผี มันก็เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นการกระทำอย่างของชาวบ้าน หรือของไอ้เรื่องทางศาสนาชนิดที่ต้องมีการฆ่าฟันกัน เหมือนศาสนาในชั้นหลังๆ ที่ว่าไปปราบผี ไปฆ่าผีนั่น มันเป็นคำพูดที่มีความหมายพิเศษแฝงอยู่ คือเป็นคำพูดประเภทอุปมา อย่างปุคคลาธิษฐาน หรือว่าพูดในรูปของภาพพจน์ เป็นต้น ผมเชื่อว่า คำว่าปราบผีปราบยักษ์ปราบผีเสื้อน้ำ อะไรนี่ มันหมายถึงการที่ต้องไปปะทะกันกับลัทธิต่างๆที่มันมีอยู่ก่อน คือเป็นลัทธิผิดๆ นี้อย่างหนึ่ง แล้วก็ปะทะกันกับบุคคล ที่เขามองเห็นว่าการมาของพระธรรมทูตเหล่านี้มันเป็นภัยแก่ตัวเขา และแก่ประโยชน์ได้เสียของเขา ถ้าเป็นอย่างนี้ มันก็เห็นได้ว่า แม้ในปัจจุบันนี้มันก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน คือเขาถือลัทธิอื่นอยู่ก่อน แล้วก็มีบุคคลพวกหนึ่งได้ประโยชน์จากการที่ประชาชนถือลัทธิเหล่านั้น ทีนี้พอมี มีคนมาสอนให้มันผิดไป เขาก็โกรธแค้น เขาก็เป็นผู้ขัดขวาง ฉะนั้นการปราบคือเอาชนะไอ้คนเหล่านั้น โดยวิธีที่เป็นธรรม ที่ประกอบไปด้วยธรรม คือการทรมานหรืออะไรด้วยวิธีที่ไม่ต้องฆ่าให้ตาย แต่ทำให้กลับใจหมด เดี๋ยวนี้เรามีคำว่า Convert คือเปลี่ยนคน ซึ่งมีความหมายดีที่สุดอยู่แล้ว เปลี่ยนคนน่ะคือเปลี่ยนหัวใจคน มันก็เหมือนกับว่าคนนั้นถูกเปลี่ยนเป็นคนละคน Convert จากไอ้ศาสนาที่ผิดมาเป็นศาสนาที่ถูก ทั้งนี้เพราะเหตุว่าคนจะอยู่โดยไม่มีลัทธิศาสนาใดๆ ประจำตัวนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แล้วสมัยที่พูดถึงคือสมัยอโศกนี้ มันก็สักสองพันกว่าปีมานี้ มันก็แปลว่าคนมีลัทธิมีศาสนามีอะไรถืออยู่แล้วทั้งนั้น ในเรื่อง Convert ก็เป็นเรื่องไปเปลี่ยนคนที่ถือศาสนา ที่เรียกว่าผิดหรือศาสนาที่เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นอันธพาลนั่นน่ะ ให้มาสู่ศาสนาที่ถูกต้อง นี่คือภาพพจน์ คำพูดที่พูดไว้ในภาพพจน์ว่าไปปราบผี ไปต่อสู้กับผี กับยักษ์ กับผีเสื้อน้ำ เรารู้อยู่ดีแล้วว่า ธรรมทูตออกไปหลายสาย ไปทางบกล้วนก็มี ไปทางทะเลก็มี แล้วไปคนละทิศคนละทางอย่างนี้ คำว่าผีเสื้อน้ำมันหมายถึงผีที่อยู่ในน้ำ มันก็คงจะได้แก่พวกที่อยู่ทางทะเลอย่างนี้เป็นต้น แล้วถ้าไปทางบก ขึ้นไปทางหิมาลัย ทางบกล้วนๆ ก็จะไปเจอะไอ้สิ่งที่เรียกว่ายักษ์ ซึ่งอยู่ในป่าในดง ใน ไม่เกี่ยวกับทะเล นี้คำว่าผีปีศาจนั้นก็มีความหมายถึงผู้ที่มีความเป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรง ไอ้มิจฉาทิฐินี่มันมีได้อย่างน้อยก็ ๒ อย่าง ที่ว่ามันเป็นอันตรายโดยตรงอย่างหนึ่ง ที่มันเป็นอันตรายโดยอ้อม อันตรายโดยตรงมันผิดจนเขาทำร้ายผู้อื่นหรือทำตัวเองให้ลำบากมากไป ที่มันโดยอ้อมนั้นมันก็ถือกันอยู่อย่าง อย่างดีกว่าไม่ถือ ถือเทวดา ถืออะไรที่เขาพอใจแล้วก็ทำให้สบายใจได้ เพราะเขาไม่มีอะไรที่จะถือให้มันดีกว่านั้น การที่มนุษย์จะต้องถือไอ้ที่พึ่งอย่างนี้ มันต้องมีมาแล้วก่อนพุทธกาลนานไกล อย่างในพระพุทธภาษิตที่ว่า พหุง เวห สะระณัง ยันติ เป็นต้น เมื่อเกิดความกลัวขึ้นในใจ ไม่รู้จะพึ่งอะไรก็ไปพึ่ง ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ อารามศักดิ์สิทธิ์ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ มีกล่าวถึงกระทั่งว่า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ หญ้าบอนที่ศักดิ์สิทธิ์ ในหนังสือที่กล่าวมาก เช่น อรรถกถาเวสสันตรชาดก ที่เด็กๆ ชาลี กัณหา วิงวอนขอเป็นที่พึ่ง นี้มีพูดกระทั่งถึงไอ้หญ้าบอนที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เด็กๆ รู้จัก ว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์มาแต่เดิม เดี๋ยวนี้ก็ยังเหลืออยู่ เช่นต้นกระเพรา เป็นต้น ที่เป็นหญ้าบอนที่ศักดิ์สิทธิ์ในประเทศอินเดีย ไม่ใช่ต้นไม้ใหญ่โตหรืออะไรมากมาย มันก็รวมความกันได้ว่า เป็นเรื่องถือที่พึ่ง ที่ไม่ประกอบด้วยสัมมาทิฐิ แต่ประกอบด้วยมิจฉาทิฐิ ที่ไม่ทำอันตรายโดยตรง มันก็เป็นการทำอันตรายโดยอ้อม คือให้งมงายอยู่ที่นั่น นี้พุทธศาสนาเกิดขึ้นโดยพระพุทธเจ้า มีอะไรที่เป็นแสงสว่างถึงที่สุดที่มนุษย์จะรู้จักได้ คือแสงสว่างสูงสุดเป็นแสงสว่างของปัญญาของความรู้ นี่เป็นสิ่งที่มันตรงกันข้ามกับความมืดคืออวิชชา คนเหล่านั้นก็ถือที่พึ่งอยู่ในอำนาจของอวิชชา ทีนี้จะเอาวิชชา หรือแสงสว่างไปให้เขา มันก็เผชิญหน้ากัน นี่ขอให้สังเกตตรงนี้ไว้ให้ดีๆ แล้วเราจะรู้ว่าเราจะปราบผีได้อย่างไร ไอ้คนเราเมื่อมันมีความเจ็บปวดหรือว่ามีความหวาดเสียวสะดุ้ง มันก็ทนอยู่ไม่ได้ มันต้องคว้าอะไรอย่างหนึ่งมาเป็นที่พึ่ง คือทำให้หมดไอ้ความรู้สึกกลัว หรือรู้สึกเหมือนจะตาย ทีนี้เวลานั้นมันไม่มีความรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไอ้เรื่องนี้มันคืออะไร แล้วคนแต่ก่อนเขาสอนกันไว้เสร็จแล้วว่ามันเป็นเรื่องของสิ่งที่มองไม่เห็นตัว คือผีคือสางอะไรเหล่านี้ แล้วแต่จะเรียก เป็นเทวดาเป็นอะไรก็ได้ ทีนี้ประกอบกับมันไม่มีการศึกษา ไม่มีเจ้านาย หรือว่าผู้ที่จะช่วยขจัดปัดเป่าไอ้ความลำบากอันนี้ออกไปได้ เขาอยู่กันตามลำพังในป่าในภูเขาเป็นชาวดอย ไม่มีเจ้านายอย่างในเมืองหลวงนี้ มันก็ต้องคิดกันไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ไอ้ตัวอย่างที่น่านึกที่ผมได้ยินได้ฟังหรือได้เห็น ที่ยังมีเหลืออยู่ เมื่อไม่นานมานี้ ว่าถ้าจะตัดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้ ต้องได้รับตรามาจากเมืองหลวง เป็นตราของเจ้านายชั้นสูงหรือพระเจ้าแผ่นดิน ที่จะเอามาปิดเข้าที่ต้นไม้ต้นนั้น เช่นต้นตะเคียนนี้ ก็จะต้องได้รับตราจากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมา แล้วจึงกล้าตัด แล้วก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่ากำลังใจมันมีเต็มพร้อมที่จะต่อสู้ก็ตัดลงไป ไอ้เรื่องต้นตะเคียนนี่ ถือโอกาสเล่าตรงนี้สักหน่อยแม้จะเป็นเรื่องที่ทำให้เสียเวลาบ้าง ผมได้เคยพูดมาแล้วว่าไอ้ผีเกิดมาจากความโง่หรืออวิชชาของคนรวมๆกัน แล้วมันโง่ว่าอย่างไรในสิ่งใดนี่ อันนั้นจะเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่ฝังอยู่ในสิ่งนั้น ที่จะครอบงำจิตใจของคนที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ให้เกิดความรู้สึก อย่างนั้นตรงเผงกันทุกรายไป อย่างต้นตะเคียนนี่ ถ้าใครไปทำร้ายเข้า ต้นตะเคียนศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนมันเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์นี่ ใครไปทำร้ายต้นตะเคียนหรือแม้แต่ไปลบหลู่ดูหมิ่นนี้ โดยเฉพาะเช่นเด็กๆนี้ จะต้องนอนฝันว่าหมากัดทุกคนไป นี่สำหรับต้นตะเคียน หมากัดอย่างน่ากลัวอย่างจะเป็นจะตายจะต้องวิ่งหนี ผู้ที่สูงอายุที่เคยเป็น ที่เคยถูกมาด้วยตนเองหรือที่เพื่อนกันถูก นี่มีอยู่หลายคนที่มาเล่าให้ฟังว่ามันตรงกันหมด จะไม่ฝันว่าอย่างอื่น นี่เพราะเขาเชื่อกันอย่างนั้น ความโง่นั้นยังมีอยู่ที่ต้นตะเคียน จนกว่ากระแสจิตที่สิงอยู่ที่นั่น จะต้องฝันอย่างนั้น จนกว่ามันจะเลิกความเชื่ออันนี้ ทีนี้คนป่าไม่มีอะไรที่จะคุ้มครองก็ต้องช่วยตัวเอง แต่ถ้ามีเจ้านายคุ้มครองมันก็มีส่วนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ยังเหลือเป็นกระเซ็นกระสายมาถึงว่าจะตัดต้นตะเคียนก็ต้องได้รับท้องตรามาก่อน ที่จริงมันอาจจะเกิดมาจากไอ้สิ่งที่น่าหัวกว่านั้น คือว่า ไอ้ไม้ดีๆ นั้นเจ้านายคงจะหวงไว้หมด ไม้ตะเคียน ไม้หลุงพอ (นาทีที่ 21:34) บ้านเราทางปักษ์ใต้ เป็นไม้ชั้นดีที่สุด จะไว้ใช้ในราชการ เขาก็หวงห้าม แต่หวงห้ามอย่างอื่นไม่วิเศษเท่าหวงห้ามในรูปของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือสร้างให้มันเกิดความเชื่อเป็นผีศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้อย่างนั้นขึ้นมา แล้วมันหลายร้อยปี ไอ้ความขลังนี้มันมีมาก ถ้าไปทำอันตรายต้นไม้เหล่านี้เข้า มันก็เป็นไอ้ ผีที่ออกมาปรากฏในความรู้สึกเป็นอย่างนั้น สะดุ้งหวาดเสียวเหมือนจะขาดใจ อะไรเหมือนกัน แล้วเดี๋ยวนี้มันก็หายไป เพราะต้นไม้เหล่านี้ก็ถูกตัดโดยประชาชนที่ไม่กลัวอะไร ไม่กลัวผี ไม่กลัวเจ้านาย ไม่กลัวรัฐบาลจนมันหมดไปแล้ว นี่มันเป็นจิตวิทยาที่จะต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องผี ซึ่งเกิดขึ้นมาจากอวิชชาหรือมิจฉาทิฐิอยู่ในหลายรูปหลายแบบ ซึ่งเป็นความมืดที่พวกธรรมทูตจะต้องไปปราบไปแก้ไขด้วยแสงสว่าง เพราะฉะนั้นเรื่องราวที่กล่าวไว้ในครั้งกระนั้น มันก็มีข้อเท็จจริงเบื้องหลังหรือเบื้องลึกอยู่อย่างนี้ เราต้องไปต่อสู้กันกับพวกที่มันเชื่ออย่างแน่นแฟ้น เชื่อหมดชีวิตจิตใจว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนั้น ก็จะไป convert เขาได้อย่างไร มันเป็นงานที่แสนยาก ฉะนั้นจึงว่าไปปราบผีไปปราบยักษ์ ไปตั้งหมื่นตั้งแสน แล้วจึงแสดงธรรมะออกไป สำเร็จ ไอ้ทางสุวรรณภูมินี้ดูเหมือนว่าจะใช้พรหมชาลสูตร เป็นเครื่องปราบผี ถ้าผมจำไม่ผิด มันก็ปราบผีมิจฉาทิฐินั้น พรหมชาลสูตรนั้นได้กล่าวถึงมิจฉาทิฐิไว้ถึง ๖๒ อย่าง ซึ่งคุณก็ได้อ่าน คงจะได้เคยอ่านมาแล้ว ถ้าไม่เคยอ่านก็ไปอ่านดู เป็นสิ่งที่จะต้องอ่าน ว่ามิจฉาทิฐิ ๖๒ อย่างนั้น มันคืออะไรบ้าง ผมเชื่อว่าคงจะไม่ได้หมายถึงข้อความตอนต้นที่พูดถึงไอ้ศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล อะไรเหล่านั้น เพราะใจความสำคัญของสูตรนี้มันอยู่ที่พรหมชาละ ข่าย ตาข่ายที่ขัง กักขังสัตว์ กักขังวิญญาณของสัตว์ ถึง ๖๒ ประการนั่นเอง มันก็น่าประหลาด น่าอัศจรรย์ หรือน่านับถือมากที่ว่าจะทำให้คนป่าสมัยนั้น รับเอาไอ้พรหมชาลสูตรนี้ได้ เป็นเรื่องที่ละเอียดสุขุมลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นไอ้ทางสุวรรณภูมิเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วนี่ คงจะมีการศึกษาสูงเหมือนกัน จึงสามารถรับสูตร เช่นพรหมชาลสูตร สามัญญผลสูตร เป็นต้นได้ แล้วมันจะน่าละอายน่าสงสารที่ว่า คนสมัยปัจจุบันนี้หยกๆ ในประเทศไทย แผ่นดินเดียวกันนั้น มันยังรับไม่ได้ เข้าใจไม่ได้หรือไม่สนใจ คือไม่อาจจะละไอ้มิจฉาทิฐิที่อยู่ในนามของผี ของปีศาจ ของยักษ์ หรือของผีเสื้อน้ำอะไรได้ นี่มันจะเป็นที่น่าละอาย ว่ามันเป็นการถอยหลังในทางวัฒนธรรมทางจิต นี่คือสิ่งที่เราจะต้องศึกษาอย่างดีจากตัวอย่างของงานสมณทูตหรือธรรมทูต ที่ได้เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนา แล้วมันเกี่ยวข้องกับพวกเราโดยตรง เพราะว่าเราเกิดอยู่ที่นี่ เราต้องเป็นเชื้อสายของไอ้พวกที่ได้รับไอ้แสงสว่างอันนั้น จากงานธรรมทูตคณะแรก ของประวัติศาสตร์พุทธศาสนานี่ คือมันเกี่ยวข้องกับเราอยู่โดยตรงอย่างนี้ เราก็ควรจะทำอะไรให้มันดีพอๆกับที่จะเป็นลูกหลานของคนพวกนั้น นี่เราได้หลักวิชาที่ว่า ได้หลักวิชาที่สำคัญสำหรับงานนี้ ในข้อที่ว่าผีคืออะไร และการปราบนั้นปราบด้วยอะไร จึงสามารถเปลี่ยนคน เปลี่ยนน้ำใจของคนได้อย่างตรงกันข้าม มันก็เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับผี ปราบผีก็ต้องเรื่องที่ตรงกันข้ามกับผี เมื่อผีเป็นอวิชชา มาจากอวิชชาก็ต้องปราบด้วยวิชชา นี่เป็นหลักอันแรกที่จะต้องพิจารณากันเรื่อยๆไป ทีนี้ผีในอีกลักษณะหนึ่งที่อยู่ในรูปของลัทธิ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าลัทธิหรือ ism มันก็เป็นสถาบันในจิตใจของบุคคล มันก็เป็นสิ่งที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก มันก็ไม่ได้อยู่ในรูปของคำว่าผีหรืออะไรทำนองนั้น มันอยู่ในรูปของไอ้มิจฉาทิฐิหรือความเข้าใจผิด แต่มันเป็นความเข้าใจผิดที่มีเหตุผล มันก็มีไอ้ มันมีสิ่งที่คล้ายกับเหตุผลที่ทำให้เกิดความพอใจ ที่เขาพอใจและเชื่อ อยู่ใน ism เหล่านั้น อันนี้มันก็เป็นผีชั้นที่ปราบยากขึ้นมาอีก เดี๋ยวนี้คนเราก็มีไอ้ ism ผิดๆ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในวิญญาณ นี่มันล้างออกยาก ตัวอย่างง่ายๆ เช่นว่า ศาลพระภูมิ มันก็ปักหราอยู่ที่ประตูบ้านของพุทธบริษัทชั้นดีนี่ ผมพูดแล้วก็ถูกหาว่าด่า หรือว่าระรานเสมอ คุณลองไปคิดดูเถอะ ไอ้ศาลพระภูมิมันก็เป็นเรื่องของผีชนิดหนึ่ง มันก็ปักหราอยู่ที่ในบ้าน ตรงประตูทางออกอะไรนี่ ของผู้ที่สมมติกันว่าเป็นพุทธบริษัทและชั้นดีชั้นสูง และในบางกรณี ปักหราอยู่ที่สำนักงานของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา หรือในบางแห่งได้ยินว่าปักอยู่ในวัดเลย อยู่ในวัดข้างโบสถ์ข้างอะไรเลย ผมไม่เคยเห็น แต่ว่าที่ปักหราอยู่ที่สำนักงานของการเผยแผ่พระพุทธศาสนานี่เคยเห็น เป็นบ้านและสำนักงานที่มีชื่อเสียง อย่างนี้เพราะมันมี เพราะมันมี ism อะไรเหลืออยู่ ในจิตใจของพุทธบริษัทชั้นดีซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหรือเจ้าของสำนักงานนั้นๆ หรือว่าผู้มีอำนาจทั้งนั้นน่ะ ถ้าเขามีกิจการอย่างอื่น เรียกตัวเองเป็นอย่างอื่น ก็มันก็ดีไปทีหนึ่ง เดี๋ยวนี้มันเป็นสำนักงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา แต่แล้วมันก็มี ism ของผีแสดงปรากฏชัดอยู่ที่นั่น ว่าได้ถือลัทธินั้นรวมอยู่ด้วย ข้อนี้มันเป็นปัญหาไม่ใช่น้อย มันเป็นปัญหาที่ว่าไอ้ การถือสรณาคมหรือพระรัตนตรัยนี้ มันบริสุทธิ์ผุดผ่องหรือยัง ถ้าถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยแท้จริงก็ไม่ต้องถือไอ้ ไอ้สิ่งที่เป็นอวิชชา เช่น หวังพึ่งผี ความหวังที่จะพึ่งผี อย่างมีศาลพระภูมิมีอะไรก็ตาม ไม่เฉพาะแต่ศาลพระภูมิ มีอะไรอื่นอีกหลายอย่าง ทีนี้คนโบราณสมัยที่ผมทันเห็นทันได้ยินเขาว่า มันผิดหลักธรรมะ คือขาดสรณาคม ขาดไตรสรณาคม ก็เลยรื้อศาลพระภูมิทิ้งไปเสียหมดทีหนึ่งแล้ว นี่มันเพิ่งกลับมาอีก ความหวังพึ่ง หรือเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง นี้มันต้องเฉียบขาดลงไปว่าอะไรกันแน่ ที่เป็นพุทธบริษัทแท้จริงมันต้องพระรัตนตรัย แล้วก็ไม่ได้แบ่งเนื้อที่เหลือไว้สำหรับไอ้สิ่งอื่นในจิตใจ ก็ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างที่เรียกว่าเป็น อาจารสัทธา อเวจจัปปสัทธา ในพระบาลี โสตาปัตติยังคะ สังยุตต์ (นาทีที่ 32:48) ก็ต้องมีศรัทธาอย่างแน่นแฟ้น ไม่หวั่นไหวคลอนแคลนในพระพุทธหนึ่ง ในพระธรรมหนึ่ง ในพระสงฆ์หนึ่ง มีอริยกันตศีลหนึ่ง แล้วก็เป็นการพยากรณ์ว่าเป็นพระโสดาบัน ก็เรียกว่าเป็น โสตาปัตติอังคะ องค์แห่งความเป็นพระโสดาบัน ทีนี้ถ้าจิตใจมันยังแบ่งอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่เรียกว่า อเวจจัปปสัทธา หรือไม่เรียกว่าอาจารสัทธา นี้จึงเป็นหน้าที่ของพวกธรรมทูตที่จะต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้ มิฉะนั้นมันจะกลับไปเหมือนกับชาวป่าชาวดอย ที่รัฐบาลส่งธรรมทูตไปช่วย ไปช่วยแก้ไขชาวป่าชาวดอย ให้กลายเป็นสัมมาทิฐิ ไอ้พวก ism หรือลัทธิที่มันเป็นสถาบันอยู่ในจิตใจของคนนี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าผี ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก มันก็ต้องปราบเหมือนกัน ทีนี้เรามาถึงคนที่มีการประพฤติหรือกระทำอย่างผี ไอ้คนนั้นเขามีการประพฤติกระทำอย่างผี หรือว่าเป็นผีอันธพาล เห็นแก่ประโยชน์ตัวอย่างหลับหูหลับตา ไม่เห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น อย่างนี้เรียกว่าประพฤติหรือกระทำอย่างผี มันมีได้ทั้งที่รู้ตัว ที่รู้สึกตัวและไม่รู้สึกตัว ที่รู้สึกตัวนั้นก็หมายความมีเจตนาที่จะทำนั้น ไอ้ที่ไม่รู้สึกตัวก็หมายความว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรดีกว่านี้ เขาไม่รู้จักอะไรดีกว่านี้ เห็นว่าเป็นเรื่องถูกต้องเลยเข้าใจว่าถูกต้อง อย่างนี้ก็ทำไปโดยไม่รู้สึกตัว ไอ้ที่รู้ว่ามันผิดแล้วฝืนทำ เหล่านี้มันก็เรียกว่ารู้สึกตัว มันบังคับตัวเองไม่ได้ก็มี รับจ้างเขาทำก็มี อะไรหลายอย่าง คนที่มีอาการเหมือนกับผีนี่ก็เรียกว่าผีได้เหมือนกัน รวมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าผีและจะต้องปราบ ทีนี้ไอ้ที่สำคัญที่สุด สุดท้ายก็คือสิ่งที่เรียกว่าอวิชชา ให้เพ่งเล็งไปถึงอวิชชาที่คอยจะเกิดอยู่เสมอจนชินเป็นนิสัย มันคอยจะเกิดอยู่เสมอเมื่อตากระทบรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น อะไรในอายตนะ ๖ และตอนนั้นปราศจากสติสัมปชัญญะ ผีนี่ก็เกิดขึ้นมาทันที แล้วก็ผมก็เคยบอกแล้วว่า ผีตัวนี้สำคัญกว่าตัวไหนหมดที่จะปะทะกันกับธรรมทูต ก็ลองคิดดูสิ ที่ว่าศาลพระภูมิมันไปหราอยู่ที่หน้าสำนักงานเผยแผ่พุทธศาสนาอย่างนี้ มันมีอวิชชาที่ตรงไหนบ้าง ผมพูดตรงๆ ไม่กลัวโกรธ แล้วก็โกรธไปหลายคนแล้วด้วย ว่าศาลพระภูมิมันอยู่ที่หน้าบ้านใคร มันก็คือการยกป้ายยกยี่ห้อบอกไว้ว่าเจ้าของบ้านนี้ยังเป็นคนงมงาย ยังเป็นมิจฉาทิฐิ ยังมิได้เป็นพุทธบริษัทร้อยเปอร์เซ็นต์ คือยกป้ายประจานตัวเองว่าไม่เป็นพุทธบริษัทร้อยเปอร์เซ็นต์ มีคนโกรธไปหลายคนแล้ว เมื่อเดือนที่แล้วมานี่ก็ยังมีอีกคนหนึ่ง ผมรู้ เขามาถามผมว่าศาลพระภูมิมีประโยชน์อะไร ผมก็บอกอย่างนี้ บอกคือป้ายที่ยกขึ้นไว้สำหรับบอกว่าเจ้าของบ้านยังเป็นคนโง่ ยังไม่อาจจะถือพุทธศาสนาหรือพระรัตนตรัยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่ผิดหวังที่เขามาถามผมเพื่อให้เหตุผลว่าศาลพระภูมิยังมีประโยชน์ ผมก็เคยพูดว่ามันมีประโยชน์ แต่มีประโยชน์สำหรับคนที่ยังโง่ ยังแก้ไขไม่ได้ ถ้าให้มันโง่ไปก่อนก็มีประโยชน์คือทำให้สบายใจได้บ้าง มันสบายใจได้บ้างนี่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ นี่เราดูอวิชชากันในแง่ที่ว่ามันเป็นปัญหาอย่างนี้ ถ้ามันยังเหลืออยู่ในจิตใจของพุทธบริษัท ก็ต้องยกป้ายอย่างนี้ขึ้นมา นี้มันก็น่าเห็นใจ อวิชชาจะไปหมดต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์ อย่างพระโสดา สกิทาคา อนาคา เราก็รู้อยู่แล้วว่าโดยหลักธรรมนั้นยังมีอวิชชาเหลืออยู่ในบางระดับ ฉะนั้นจึงเป็นปัญหาที่ยุ่งยากไปหมด แต่แล้วไอ้หลักธรรมะในสังยุตตนิกาย ที่เรียก โสตาปัตติยังคสังยุตต์นี่ มันเขียนไว้ชัดว่า แม้เป็นพระโสดาบันก็ต้องมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นอาจารสัทธา ฉะนั้นจึงถือว่าอวิชชาในระดับนั้น ในระดับที่ทำให้ไม่มั่นคงในพระรัตนตรัยนี้ต้องหมดไปเสียทีก่อน เหลืออวิชชาเรื่องอื่นที่ลึกที่ยากที่สูงไปกว่านั้น เกี่ยวกับอวิชชา และในกรณีที่เกี่ยวกับผีนี่ เราควรจะรู้จักอวิชชาว่ามันเป็นหัวใจของผีทุกชนิด ใช้คำอื่นก็จะไม่เหมาะ นอกจากใช้คำว่าหัวใจของผีทุกชนิด เป็นกล่องดวงใจของผีทุกชนิด ถ้าเราขยี้กล่องดวงใจอันนี้ได้ ผีก็ตายหมด มันไม่เป็นแต่เพียงหัวใจด้วย มันเป็นทั้งหมดแหละ เป็นรากฐาน เป็นพื้นฐาน เป็นอุปกรณ์ เป็นอะไรต่างๆทุกอย่างหมดเลย ฉะนั้นจะปราบผีก็ต้องขยี้หัวใจของผี และอวิชชาเป็นมูลเหตุให้คนยังคงนับถือผีเป็นที่พึ่ง แม้ว่าคำว่าผีในที่นี้จะหมายถึงการหลอกลวงหรือการประพฤติอย่างผี ซึ่งคนสมัยปัจจุบันหยกๆนี้ยังกระทำกันอยู่ทั่วไปทั้งโลก คือการหลอกลวงกัน ในการเมือง การเศรษฐกิจ การอะไรก็ตามที่เป็นการต่อสู้ สงครามนี้ มันก็มาจากอวิชชานี้ มันมีลักษณะเป็นผีของความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี้เป็นผีที่ร้ายกาจที่สุด นี่ก็เป็นเหตุให้ไม่มีสรณาคมอย่างแน่นแฟ้นชนิดที่เรียกว่า โสตาปัตติยังคะ นี่ อวิชชานี้เป็นมูลเหตุให้เรา พวกเราไม่มีสรณาคมที่ถึงขนาดที่เรียกได้ว่าโสตาปัตติยังคะ สรุปแล้วอวิชชาเป็นมูลเหตุให้คนไม่รู้จักตัวเอง และสิ่งที่เกี่ยวข้องด้วย อยู่รอบๆตัว นี่เป็น เป็นถ้อยคำที่สรุปความ ว่าอวิชชาเป็นเหตุให้คนเราไม่รู้จักตัวเอง ฟังดูก็ไม่น่าเชื่อ ว่าคนยังไม่รู้จักตัวเอง มันรู้จักแต่ส่วนที่มันเป็นผิวเผิน รู้จักแต่เรื่องปากเรื่องท้อง รู้จักแต่เรื่องง่ายๆ ซึ่งสุนัขและแมวก็รู้จักนี้ แต่ในส่วนลึกมันไม่รู้จักว่าตัวเองคืออะไร แล้วก็เป็นเหตุให้ไม่รู้จักสิ่งต่างๆที่แวดล้อมเข้ามาทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย มันก็เลยเป็นความไม่รู้ที่สมบูรณ์ เป็นความมืดอย่างที่เรียกว่าอันธกาลนี้ คือมืดอย่างคนตาบอด หรือรัตติกาล มืดอย่างเวลากลางคืนที่มืดสนิท นี่อุปมาของอวิชา เพราะไม่รู้จักตัวเองอย่างเดียว มันก็มืดแสนที่จะมืดไม่รู้จะพูดอย่างไร นี่คือผีที่เป็นที่สรุปความ ทีนี้มาถึงผีที่เป็นปฏิกิริยาออกมาคืออุปาทาน มันก็ออกมาจากอวิชชาอย่างเดียวกันนั่นแหละ นี่ว่าเราดูที่ลักษณะอาการที่แสดงออก ระบาดเต็มอยู่ในโลกเวลานี้ คือปีศาจแห่งวัตถุนิยม หลงความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง เป็นปัญหาทางศาสนาก็คือข้อนี้ ศาสนาคริสเตียนมุ่งหมายจะปราบไอ้อิทธิพลของเนื้อหนัง ให้คนเห็นแก่พระเจ้า เราพุทธศาสนาก็ต้องการจะปราบไอ้ความเห็นแก่เนื้อหนัง ให้เห็นแก่ความจริงหรือความถูกต้องหรือสิ่งที่มันประเสริฐจริงๆ ทีนี้ในโลกยิ่งโลกตะวันตกที่เจริญด้วยวัตถุ มันก็ยิ่งมีปีศาจแห่งวัตถุนิยมมากกว่า แล้วคนก็กำลังตามก้นไอ้พวกตะวันตกเพื่อวัตถุนิยมนี้ แล้วก็อีกอย่างก็คือว่าทิฐิมานะที่ไม่ยอม โดยถือว่าตัวก้าวหน้ากว่า สูงกว่า มีวัฒนธรรมสูงกว่า จะกินข้าวร่วมด้วยก็ไม่ได้นี่ นี่เป็นผีแห่งทิฐิมานะที่มีมากทางตะวันตก เพิ่งจะรู้สึกตัวแล้วค่อยๆ แก้ไขกันเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ไอ้ทิฐิมานะชนิดที่ดูหมิ่นวรรณะ ดูหมิ่นอะไรต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ดูหมิ่นพวกตะวันออก หรือคนผิวดำหรืออะไรก็สุดแท้ ไอ้ทิฐิมานะอย่างนี้ก็คือผีชนิดหนึ่ง คือปฏิกิริยาของผีชนิดหนึ่งแล้วเราก็เรียกว่าผีชนิดหนึ่ง เพราะว่าไม่มีอะไรนอกจากไอ้ปรากฏการณ์ที่เป็นปฏิกิริยาของอะไรที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจนั่น นี้ออกมาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็เลยเรียกชื่อไปตามนั้น มันก็เลยมาก ยกตัวอย่างเช่น จิตมันก็มีดวงเดียวเท่านั้นแหละ แต่ทีนี้เราเรียกว่าจิต ๘๙ ดวงจิตร้อยกว่าดวงก็เพราะว่าเอาปฏิกิริยาอาการที่มันออกมา จากจิตดวงเดียวนั้น โดยเหตุที่มีอะไรเข้าไปปรุงแต่งมันเข้า อวิชชานี้ก็เหมือนกัน มันเป็นอวิชชาตัวเดียวเท่านั้นแหละ แต่อะไรเข้าไปปรุงแต่งมันเข้าแปลกๆกัน มันก็ออกมาในลักษณะที่เป็นกิเลสตัณหาอุปาทานมากมาย ร้อยแปดหรือพันห้า ร้อยแปดหรือว่าพันห้าร้อยนี้ มันมากพอดู แต่ละอันเป็นผีทั้งนั้น สรุปความแล้วผีคืออวิชชา ที่เราได้ยินได้ฟังมากที่สุดในการศึกษาพระพุทธศาสนา เป็นต้นตอของไอ้อะไรทุกอย่างที่เป็นความทุกข์ ทีนี้สิ่งที่จะปราบมันก็ตรงกันข้าม ตรงกันข้ามก็เอาตัว อะ ออกเสีย มันก็เหลือวิชชา วิชชากับอวิชชามันตรงกันข้าม เอาไอ้อุปสรรค อะ ของคำว่าอวิชชาออกเสีย ก็เหลือสิ่งที่ตรงกันข้าม ฉะนั้นจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าวิชชานี่ ในลักษณะที่ตรงกันข้ามจากอวิชชา จะด้วยการคำนึงคำนวณหรืออะไร เหตุผลอะไรก็ตาม มันจะต้องตรงกันข้ามกับอวิชชาเสมอ ฉะนั้นเราก็มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในพระคัมภีร์มากมาย แต่ที่เป็นสาระสำคัญสำหรับวิชชาก็คือว่า เป็นธรรมที่จะกำจัดอวิชชา ใช้คำว่าธรรม ระวังให้ดี พวกชาวบ้านจะฟังไม่ถูก เพราะเขาไม่ ไม่เรียนภาษาบาลี เขาไม่รู้คำว่าธรรม นี้มันมีความหมายอย่างไรบ้าง เขารู้แต่ว่า ถ้าพูดว่า ธรรมแล้วก็หมายถึงพระธรรม คือดี วิเศษไปเลย ทางภาษาบาลีคำว่า ธรรม เป็นคำกลาง หมายถึง สิ่งเท่านั้น ฉะนั้นเราจึงพูดได้ว่า วิชชาคือธรรมที่จะกำจัดอวิชชา หรือว่า วิชชาเป็นธรรมที่จะกำจัดธรรมคืออวิชชา วิชชาก็เป็นธรรม อวิชชาก็เป็นธรรม อันหนึ่งเป็นธรรมประเภทวิชชา อันหนึ่งเป็นธรรมประเภทอวิชชา มาติกาของสุตตันตะ มันใช้คำว่า วิชชา ธรรมา อวิชชา ธรรมา คำว่าธรรมแปลว่าสิ่ง ทีนี้สิ่งก็มีสิ่งที่ตรงกันข้าม เอาสิ่งที่ตรงกันข้ามมาปราบปรามไอ้สิ่งที่ตรงกันข้าม ฉะนั้นวิชชาก็คือสิ่งที่เป็นเหตุให้รู้จักตัวเองนี้ต้องมาก่อน วิชชาเป็นสิ่งที่ทำให้รู้จักสิ่งทั้งปวงอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง วิชชาทำให้รู้สิ่งซึ่งเป็นเหตุหรือเป็นแดนเกิดของสิ่งทั้งปวง นี่คือรู้จักพระเจ้าในศาสนาที่เขาถือพระเจ้า ก็มีแดนเกิดของสิ่งทั้งปวงเรียกว่าพระเจ้า อันวิชชาของเราเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้จักสิ่งที่เป็นแดนเกิดของสิ่งทั้งปวง ให้รู้จักพระเจ้าอย่างถูกต้อง ฉะนั้นถ้าเขาถือศาสนาพระเจ้าอยู่แล้วไม่ลำบากนะ ในการที่จะไปเผยแผ่พุทธศาสนาให้แก่เขา ถ้าว่าทำถูกวิธี ถ้าทำผิดวิธีก็เหมือนกับไปรบกับผี ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าทำถูกวิธีมันก็ง่ายดาย โดยไปบอกให้เห็นให้เข้าใจสิ่งซึ่งเป็นแดนเกิดของสิ่งทั้งปวงคือพระเจ้า ไปสอนลัทธิพระเจ้าเขาอีกทีหนึ่ง แต่เป็นพระเจ้าที่อยู่ในความหมายที่ถูกต้อง ทีนี้ต่อไป วิชชาก็คือสิ่งที่ทำให้รู้จักต้นเหตุหรือแดนเกิดของสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ ความทุกข์มีต้นเหตุมีแดนเกิดอย่างไร รู้ได้ด้วยอำนาจของวิชชา ทีนี้ต่อไปมันก็รู้ไอ้สิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน คือรู้จักภาวะที่อยู่เหนือทุกข์ ที่เป็นความดับทุกข์ ภาวะหรือสภาวะก็ตาม ที่มันอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงมาหลอกไม่ได้ มาครอบงำไม่ได้ นี่คืออยู่เหนือทุกข์ หรืออยู่เหนือกรรม สิ้นทุกข์สิ้นกรรม ทุกขขยะ กัมมักขยะ กัมมักขยัง ปัตโต (51.10) นี้เป็นคำที่มีมากในพระพุทธภาษิตที่เป็นพระบาลี ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งกรรมนี่ ก็ด้วยอำนาจของวิชชา นี่ถ้าพูดอย่างกำปั้นทุบดิน วิชชาคือสิ่งที่ทำคนให้เป็นพุทธบริษัทที่จะเลิกล้างไอ้ความไม่เป็นพุทธบริษัทหรือพุทธบริษัทไม่สมบูรณ์ให้หมดไป วิชชาคือสิ่งที่จะทำบุคคลให้เป็นพุทธบริษัท คงจะมีคนร้อง อ๋อ มันง่ายนิดเดียว แต่มันก็ยากที่สุดที่จะเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงหรือถูกต้อง ความเป็นพุทธบริษัทไม่สมบูรณ์มีอยู่ที่ไหน ที่นั่นไม่มีความเป็นพุทธบริษัทหรือเป็นพุทธบุคคลที่ถูกต้อง มันต้องไปดูเบื้องหลังป้ายที่พุทธบริษัทชอบยกขึ้นไว้หน้าประตูบ้านว่า บ้านนี้ยังงมงาย ยังไม่เป็นพุทธบริษัทสมบูรณ์ ยังไม่ถือพระรัตนตรัยร้อยเปอร์เซ็นต์นั่น ไปดูที่หลังป้ายอันนั้นน่ะ มันก็พบอวิชชาที่นั่น ปัญหาต่างๆมันมากมาย แต่ว่าสรุปแล้วมันมารวมอยู่ที่ของเล็กนิดเดียวจุดเดียว คืออวิชชาคำเดียวนี่ ไอ้ของเล็กนิดเดียวจุดเดียวนี้มันแผ่รัศมีออกไปเต็มทั้งสากลจักรวาลแล้ว ไปคิดดูเถอะ ฉะนั้นอวิชชามันต้องจะถูกฆ่าด้วยวิชชา วิชชาคืออาวุธที่จะใช้ฆ่าอวิชชา เรียกโดยอุปมาว่าเป็นอาวุธ ธรรมทูตต้องถืออาวุธนี้ไป เช่นเดียวกับเขารบกันก็ต้องถือปืนไป หรือว่าถืออาวุธประเภทที่จะฆ่าฝ่ายตรงกันข้ามได้ไป จะขนาดไหนก็ตามใจ ขนาดปรมาณู ขนาดอะไรก็ตามใจ มันมีความหมายอย่างเดียวเท่านั้น คือจะไปฆ่าฝ่ายตรงกันข้าม พระธรรมทูตก็ถืออาวุธ คือวิชชาไปเป็นอาวุธ เป็นอาวุธที่ประหลาด เป็นอาวุธที่มองไม่เห็นตัว แล้วยิ่งกว่านั้นไปอีก ก็มันคือเรื่องความไม่มีตัว เพราะว่าวิชชายอดสุดมันอยู่ที่สุญญตา ความไม่มีตัวตนของตนที่จะเป็นที่ยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละวิชชาสูงสุดอยู่ที่นั่น คือมองเห็นความเป็นอนัตตาของสิ่งทั้งปวง เนื่องมาจากเห็นอนิจจตา ทุกขตา มาเป็นลำดับจนกระทั่งเห็นอนัตตา แล้วรวมเรียกสั้นๆเป็นคำๆเดียวว่า สุญญตา นั่นคือความว่าง นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง หรือว่า เธอจงมีสติเห็นโลกโดยความเป็นของว่างทุกเมื่อเถอะ มัจจุราชจะไม่เห็นเธอ ไอ้สุญญตานี่คือยอดสุดของอาวุธที่จะใช้ปราบได้ทุกอย่าง ปราบผี ปราบอะไรก็ปราบด้วยอาวุธนี้ เอาสุญญตาเข้าไปผีก็ละลายหายสูญไปหมดไม่มีเหลือ มันเป็นอัตตาโง่ อัตตาอันธพาล เป็นหมอกเป็นควันที่เกิดมาจากมิจฉาทิฐิเท่านั้นเอง สุญญตาเป็นแสงสว่าง สุญญตาเป็นไอ้อาวุธ เข้าไปทำลายไอ้ความมืดมนหรือหมอกควันเหล่านั้น สุญญตาคือหัวใจของพระพุทธศาสนา อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส แม้แก่ฆราวาสนี้ เป็นสวัสดีมงคล แม้แก่ฆราวาสนี้ ไปดูเรื่องธรรมทินนาสูตร ฉะนั้นอาวุธประหลาดที่สุดคือสุญญตา พระธรรมทูตจะต้องแบกไป โดยอุปมา เอาเขากระต่ายทำคันศร เอาหนวดเต่าทำสายศร เอานอกบทำลูกศร แล้วธรรมทูตก็แบกไป เป็นอาวุธสำหรับไปยิงยักษ์ ไปดูภาพที่เขียนไว้ในตึกนี้ ไอ้ตรงรอบๆ ช่องว่างชั้นบนชั้นล่างกำลังเขียนอยู่ อย่าประมาทสติปัญญาของปู่ย่าตายายของเรา ที่ประดิษฐ์ไอ้ความคิดอันนี้ขึ้นมา มานพหนุ่มนั้นไปหาฤาษี เอาไอ้เขากระต่ายมาชุบให้เป็นคันศร เอาหนวดเต่ามาชุบให้เป็นสายศร เอานอกบมาชุบให้เป็นลูกศร แล้วก็ไปยิงแก้วเก้าดวงที่ยอดปราสาทของยักษ์ ประตูเมืองยักษ์เปิดเอง รุกเข้าไปในเมืองยักษ์ ไปครองเมืองยักษ์ อภิเษกตนเองเป็นผู้ครอบครองเมืองยักษ์ แล้วก็ฆ่ายักษ์ให้ตายหมด อุปมาเป็นอย่างนี้ อุปมัยคือเรื่องที่เรากำลังพูด ว่าธรรมทูตจะปราบผีได้อย่างไร แล้วมันก็จะน่าหัว เขียนภาพธรรมทูตแบกคันศรลูกศรที่ทำด้วยหนวดเต่าเขากระต่ายนอกบ ก็คือสุญญตาหรืออนัตตาเต็มตัว คือผลของวิชชาที่เป็นแสงสว่างที่เห็นสิ่งเหล่านี้ตามที่เป็นจริง จนไม่รู้ไม่เห็น จนไม่มองเห็นว่ามีอะไรที่ไหนที่ควรจะเป็นที่ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกู ซึ่งเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้โลกกำลังเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ปีศาจแห่งความเห็นแก่ตัวทำทุกอย่างผิดหมด มีแต่ไอ้วิกฤตการณ์ถาวรเต็มไปทั้งโลก นี่คือคำตอบที่ว่า ธรรมทูตจะปราบผีได้อย่างไร ในเมื่อหน้าที่ของตนคือการปราบผี ขอให้ช่วยเอาไปคิดนึกให้ละเอียดลออ แล้วจำอุปมาอย่างนี้ไว้เพราะมันเป็นเครื่องช่วยให้ไม่ลืม อุปมาเป็นเหมือนภาชนะที่จะใส่ไอ้เนื้อแท้ เนื้อแท้จริง ของจริงไว้ ให้มันไม่ตกหล่น จนมันไม่ลืม อย่าดูถูกไอ้นิทานหรือสิ่งที่เรียกว่านิยายหรือนิทานที่เขาทำไว้เป็นภาชนะสำหรับใส่เพชรพลอย ขยันดูภาพที่กำลังเขียนอยู่ในตึกนี้ จะรู้ว่าจะต้องใช้อาวุธอะไรจึงจะไปปราบผีทั่วโลกทั่วสากลจักรวาลได้ ไม่ว่าในประเทศไทย หรือนอกประเทศไทย ปัญหามีอยู่อย่างเดียวกัน แล้วเวลาที่กำหนดไว้ของเราก็หมดาบยากิด