แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย วันนี้เราจะพูดกันถึงมูลเหตุของปัญหาสังคม เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องกันมาจากเรื่องที่พูดแล้วในวันก่อน
เรารู้จักสังคมได้อย่างถูกต้องก็ต้องดูที่ปัญหาของสังคมนั่นเอง เมื่อเรามองเห็นปัญหาว่ามีอยู่อย่างไร เราก็มองต่อไปถึงมูลเหตุที่ทำให้เกิดปัญหานั้น พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุผล คือว่า อยู่ในอำนาจของเหตุผล มันจึงต้องมองกันไปตามวิธี ของการอยู่ในอำนาจของเหตุผล คือถือเหตุผลเป็นหลักก่อนสิ่งใด ถ้าจะกล่าวกันโดยสรุป มันก็มีมูลเหตุมาจาก การที่มนุษย์ไม่เป็นมนุษย์ คนไม่เป็นคน ถ้าพูดอย่างภาษาชาวบ้านก็ ต้องพูดว่าคนมันไม่เป็นคน ถ้าพูดภาษาที่ลึกหน่อยมันก็ว่า เพราะว่าคนมันไม่เป็นมนุษย์ ไอ้คนนี่มันเป็นศัพท์ธรรมดาสามัญ สักว่าเกิดมาก็เป็นคน ถ้าเป็นมนุษย์มันต้องมีอะไรที่เป็นมนุษยธรรม เป็นธรรมของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ผิดแผกแตกต่างจากคนหรือจากสัตว์ แต่ถ้าจะถือว่าคนกับมนุษย์เหมือนกันก็ใช้ได้ คนไม่เป็นคนก็ได้ มนุษย์ไม่เป็นมนุษย์ก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้เราอยากจะพูดให้จำกัดลงไปสักหน่อย ว่า คนนั้นมันเกิดมาก็เป็นคน มนุษย์นั้นคือ ผู้ที่อบรมจนตัวเองมีจิตใจสูงจึงจะได้ชื่อว่ามนุษย์
ไอ้คำนี้เรามันเชื่อกันมาว่า จะต้องแปลว่า ผู้ที่มีจิตใจสูง หรือผู้ที่เป็นเหล่ากอของผู้ที่มีจิตใจสูง ถือเอาความหมายของ คำว่า มนุษย์ นี้ว่า มีจิตใจสูง เป็นคนได้โดยไม่ต้องเป็นมนุษย์ก็ได้ หรือถ้าเป็นมนุษย์แล้วก็พ้นจากความเป็นคน มันสูงขึ้นไป นี่เรียกว่าเป็นคำตอบที่ไม่มีทางจะผิด จะว่าลึกก็ว่าลึก จะว่าตื้นมันก็ตื้น เหมือนกับคนมันไม่เป็นคน มันก็เกิดปัญหาขึ้นมา ถ้าคนเป็นคนปัญหาก็หมดไป แต่คำตอบชนิดนี้มันยังคล้ายๆ กับว่า ไม่แสดงอะไรมากมาย หรือไม่แสดงอะไรชัดเจน เราจึงต้องดูต่อไปอีก เช่นจะถามว่าทำไมคนจึงไม่เป็นคน แล้วมนุษย์จึงไม่เป็นมนุษย์ จะมาถึงคำตอบที่ว่า เพราะคนมันไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม
ไอ้รูปภาพที่เสานี่มีอยู่เสาหนึ่งที่แสดงว่า คนไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มีเวลาว่าง ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูจากรูปภาพนี้ก็แล้วกัน มันจึง.. เพราะมันไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมมันจึงได้ทนทุกข์ทรมานลำบากมาก จากรูปภาพนั้นก็จะเห็นได้ มนุษย์ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาทำไม นี่ก็เป็นเรื่องน่าหัว ต้องเป็นเรื่องที่น่าสงสารมากกว่า ถึงตัวเราเองก็ลองถามตัวเราเองเถิดว่า เราเกิดมาทำไม เราเรียนมาถึงขั้นมหาวิทยาลัยแล้ว ลองถามตัวเองดูว่าเกิดมาทำไม ถ้าไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่ควรจะจัดตัวเองว่าเป็นนิสิตมหาวิทยาลัย ว่ามีการศึกษาสูงถึงขนาดนั้น จะมีการศึกษาเพียงแค่เด็กอมมือ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เหมือนกับรูปภาพ รูปภาพนี้
เรื่องเกิดมาทำไมนี่ เป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด ฝากไว้ให้ทุกๆ ท่านเอาไปเป็นปัญหาประจำตัวจนตลอดชีวิตจนกว่ามันจะรู้ว่า เกิดมาทำไม อย่างถูกต้อง ที่จริงบอกให้ก็ได้ แต่ไม่เห็นหรอก ไอ้ความจริง หรือของจริง นี่ ธรรมะที่แท้จริงนี่ ไม่สำเร็จเพียงการบอกให้ หรือได้ยินเขาบอกให้ มันสำเร็จอยู่ที่การมอง มองเห็นด้วยตนเอง แล้วก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ต้องมีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ จึงจะเรียกว่าเห็นของจริง รู้ของจริง รู้ธรรมะ ก็เดี๋ยวนี้เราอยากจะทำอะไรอยู่ ผัสสะนี่ เป็นนายบังคับเราอยู่ ให้ทำอย่างไร ต้องการอะไร เราก็จะรู้สึกว่าเราเกิดมาเพื่อสิ่งนั้นร่ำไป แม้พระพุทธเจ้าหรือพระเจ้าจะมาบอกว่าเกิดมาเพื่ออย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ฟังเท่านั้นหล่ะ ก็ไม่เชื่อ แม้จะยอมเชื่อเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็ไม่รู้สึกอย่างนั้น นั้นจะต้องอยู่ไป เผชิญกับสิ่งต่างๆ ไป จนกระทั่งไอ้ข้อเท็จจริงต่างๆ มันทำให้เรารู้สึกขึ้นมาได้เองว่า มันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ ฉะนั้นจึงมีหลายชั้นหลายระดับ ถามว่าเด็กๆ เกิดมาทำไมกันนะ ไอ้เด็กเล็กๆ ก็ตอบกันได้ทุกคน ก็ถูกของเขาทุกคนตามความรู้สึกแท้จริง คนหนุ่มคนสาวก็ตอบได้ คนแก่ คนเฒ่าก็ตอบได้ คนแก่จนจะเข้าโลงก็ตอบได้ แต่อาจจะผิดที่สุดก็ได้ ถ้าเขาไม่เคยคิดนึกกันอย่างถูกต้องในเรื่องเหล่านี้
อีกอย่างหนึ่ง คำพูดหรือภาษานี้มันก็สัปปรับอย่างที่พูดมาแล้ว มันพูดได้หลายแง่หลายมุม มันยักเยื้องได้ อาจจะตอบถูกกันหลายๆ คน ด้วยคำตอบที่มีถ้อยคำ หรือประโยคต่างๆ กัน แต่ถูกด้วยกันทั้งนั้น ถ้าถือเอาตามความมุ่งหมายทางศาสนา ก็ไปไกลถึงกับว่าเกิดมาเพื่อต้องการให้บรรลุถึงนิพพาน นิพพานก็ไม่รู้ว่าอะไรอีก หรือว่าจะถือเอาความหมายของนิพพานว่า สิ่งที่ดีที่สุด ไม่มีอะไรดีกว่า ที่มนุษย์ควรจะได้รับ ถ้าเราไม่รู้สึกอย่างนี้จริงๆ เราก็ไม่เห็นว่ามันอยาก มันน่าจะได้ หรือว่าน่าจะได้รับ ไม่รู้ว่าอะไร เป็นเรื่องฝากไว้ในความเชื่อไปทีก่อน
นี้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ นี้มันเป็นคำกลางๆ ไปเสียอีก เด็กก็ตอบอย่าง ผู้ใหญ่ก็ตอบอย่าง คนแก่ก็ตอบอย่าง ถ้าจะระบุว่านิพพานก็ไม่เข้าใจ จนกว่าจะรู้ว่าไอ้นิพพานนี้คือ สิ่งที่มันทำให้ไม่มีทุกข์เลย หรือภาวะที่หมดทุกข์ด้วยประการทั้งปวงแล้วก็ได้ เพราะว่าถ้าบรรลุถึงสิ่งนี้ ความทุกข์มันอยู่ไม่ได้ มันไม่มี ไม่มีความทุกข์ มันก็บัญญัติทับกันลงไป ว่ามันเป็นความสุขที่แท้จริง ไอ้ความสุขที่เจืออยู่ด้วยความทุกข์นั้นยังไม่แท้จริง มันก็เป็นที่ตั้งแห่งความหลง หลงเอาความสุขที่เจือด้วยความทุกข์มาเป็นความสุข ส่วนเรื่องนิพพานนั้นมันเป็นความสุขจริง เพราะว่ามันปราศจากความทุกข์ ที่จริงเขามุ่งหมายเอาเพียงปราศจากความทุกข์ ที่ว่าความสุขนี้เราว่ากันเอง
ถ้าเป็นศาสนาอื่น ก็ต้องพูดว่า ให้มนุษย์เข้าถึงพระเจ้า เกิดมานี่เพื่อให้มนุษย์มันมีวิวัฒนาการจนเข้าถึงพระเจ้า พระเจ้ามีความหมายว่าไม่มีความทุกข์อีกเหมือนกัน แล้วก็ยั่งยืนถาวรตลอดกาล ไม่รู้จักตาย ไม่รู้จักเกิด ไม่รู้จักดับอีกต่อไปนี้ เดี๋ยวนี้เราเอากันแต่เพียงว่าเกิดมาเพื่อให้โลกนี้มันน่าอยู่หรือน่าดู นั้นก็ดูจะพอแล้ว มันก็ถูกอีกเหมือนกัน ถ้าให้โลกนี้น่าอยู่น่าดู ก็ต้องเป็นโลกที่ไม่มีความทุกข์ นั่นแหละมันจึงจะน่าอยู่หรือน่าดูอย่างถูกต้อง นี้เพียงว่าเกิดมาให้โลกนี้มัน มีอะไรที่กระโดดโลดเต้นกันไป น่าดูอย่างนั้นมันเป็นน่าดูอย่างของเด็กๆ น่าดูอย่างของคนที่ไม่รู้ว่าอะไรน่าดูอะไรไม่น่าดู จึงได้หลงกันนัก หลงในเรื่องวัตถุนิยม นาๆ ชนิดจนเกิดปัญหาอย่างที่เราพูดกันมาแล้วในคราวก่อน
ถ้าเกิดมาเพื่อทำให้โลกนี้งดงาม มันก็ต้องงดงามตามแบบของทางศาสนา งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในเบื้องปลาย ตามแบบของพุทธศาสนา ก็คือว่ากำลังดำเนินไป สู่ความไม่มีทุกข์ จนกระทั่งไม่มีทุกข์เลยนี่ก็เรียกว่างาม ตามแบบของพุทธศาสนาที่พระสวดอยู่ทุกวัน ทุกเช้านี่ งามในเบื้องต้น อาทิกัลยาณัง งามในท่ามกลาง มัชเฌ กัลยาณัง งามในที่สุดท้าย คือ ปะริโยสาณกัลยาณัง นี่คือการปฎิบัติของมนุษย์อย่างที่พระปฎิบัติอยู่ เขาเรียกว่า พรหมจรรย์ ปฎิบัติอยู่เพื่อความงาม ๓ ประการนี้ อันสุดท้ายก็คือไม่มีความทุกข์เลย อันต้นๆ คือ ทำอยู่ปฎิบัติอยู่ เพื่อจะทำลายความทุกข์ไปตามลำดับ
นี่ที่เรียกว่าเกิดมาเพื่อทำโลกนี้ให้งดงาม มันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ให้เต็มไปด้วยวัตถุที่ล่อลวงคนให้เป็นทาสของผัสสะ ของเนื้อหนัง จนเกิดปัญหาลามกอนาจาร ในบางประเทศที่เป็นเจ้าตำรับ มีคดีลามกอนาจาร หรือคดีอาชญากรรมเกี่ยวกับเพศนี่ทุกวินาที ตลอดทั่วทั้งประเทศ ไอ้งามอย่างนั้นมันจะสู้ได้เหรอ จะสู้ไหวเหรอ เพราะไอ้งามอย่างนั้นมันจึงเกิดอาชญากรรมลามกอนาจารทุกวินาที งามชนิดที่ตกแต่งร่างกาย อย่างยั่วกิเลสให้สุดเหวี่ยงนั่น เขานิยมกันอย่างนั้น เอาอย่างนั้นงามก็ได้เหมือนกันมันก็ต้องเกิดอาชญากรรมทางเพศทุกๆ วินาที ในประเทศนั้นๆ ดูแล้วไม่น่าเชื่อ ฟังแล้วไม่น่าเชื่อ ทีนี้เราว่างามอย่างที่พระเจ้าต้องการที่ศาสนาต้องการ ก็คือมันใกล้ต่อความไม่มีทุกข์ มีความสงบเย็นยิ่งขึ้นทุกที
คำว่า นิพพาน แปลว่า เย็น คำว่านิพพานนี่ ถ้าเป็นภาษาธรรมดาอย่างภาษาพูดของมนุษย์ที่เป็นเจ้าของภาษาคือชาวอินเดีย ในสมัยพุทธกาล คำว่า นิพพาน แปลว่า เย็น พอมาเป็นศัพท์บัญญัติเฉพาะทางศาสนาก็หมายถึงความที่เย็น เพราะไม่มีของร้อน คือกิเลสเท่านั้น ไม่ใช่เย็นแช่น้ำแข็ง เย็นเพราะไม่มีของร้อน คือกิเลส นั้นคือ นิพพาน
นี่เราอยู่ด้วยกิเลส เราก็ร้อน หรือบางทีก็อุ่น บางทีก็ร้อน ไอ้เวลาที่เย็น ที่มันไม่มีกิเลสรบกวนจริงๆ มันก็มีอยู่เหมือนกัน แต่มันน้อย จึงไม่เรียกว่าเย็น เอาส่วนใหญ่เป็นหลัก ก็เรียกว่า ไอ้คนนี่มันกำลังร้อน เพราะมีกิเลสบ่อยนัก เรื่องนี้ไม่ทันหายร้อน เอาเรื่องอื่นเข้ามาอีกแล้ว มันก็คิดเอาได้ แต่ก็มีเวลาที่เย็นสลับกันอยู่บ้าง ไม่งั้นก็เป็นบ้า หรือถึงกับตายไปแล้ว
นี่คือข้อที่ว่ามนุษย์ไม่เป็นมนุษย์ ทำให้ปัญหาต่างๆ ทางสังคมเกิดขึ้น ข้อแรกจะตอบกันอย่างง่ายๆ ว่าเพราะคนไม่เป็นคน นี้ก็หาต้นตอต่อไปอีกชั้นหนึ่งว่า ทำไมคนจึงไม่เป็นคน เพราะคนเป็นทาสของกิเลส อ้าว ทำไมคนจึงเป็นทาสของกิเลส เพราะคนมันไม่รู้จักความไม่เป็นทาสของกิเลส ไม่รู้จักความไม่เป็นทาสของกิเลส นี่เรียกให้เพราะหน่อยก็เพราะคนมันไม่รู้จักธรรม ธรรมะนะ คนไม่เป็นคน เพราะว่าคนไม่รู้จักธรรมะ หรือพระธรรม จึงได้ไปเป็นทาสของกิเลส คนไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักมนุษยธรรม โดยเฉพาะ จึงได้ไปเป็นทาสของกิเลส จึงได้เห็นแก่ตัว จึงได้สร้างปัญหานาๆ ชนิดขึ้น
มนุษยธรรมแปลว่าธรรม สำหรับทำความเป็นมนุษย์ให้เกิดขึ้น ไปคิดดูว่ามันมีขอบเขตสักเท่าไหร่ ไอ้มนุษยธรรมที่เขาพูดกันในวงการเมืองในโลกสมัยนี้ใช้ไม่ได้ เป็นมนุษย์ปลอม คือมันตั้งรากฐานอยู่บนความเห็นแก่ตัว แล้วมันพูดกัน ต้องเป็นมนุษยธรรมที่เป็นอิสระ ที่ถูกต้อง โดยเฉพาะก็ตามหลักของพระ ศาสนานะ ถ้าเขาเล็งถึงมนุษยธรรมอันนี้กันก็ได้ ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่กลัวว่าจะไม่ตรง ที่เรียกว่าเล่นไม่ซื่อ มีอะไรซ่อนอยู่ หรือถ้าตรง มันก็ยังต่ำเกินไป ในระยะต้นๆ ระดับต้นๆ เกินไป มันไม่ถึงจุดสูงสุดของสิ่งที่เรียกว่า มนุษยธรรม
มนุษย์แปลว่าใจสูง ถ้าใจสูงจริง มันก็ถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ ใจสูงจริงต้องเหนือกิเลส เหนือความทุกข์ เดี๋ยวนี้มันมนุษยธรรมของมนุษย์ที่มีกิเลส มนุษย์ที่มีความทุกข์ มันก็เป็นเรื่องต้นๆ เรื่อง ก ข ก กา ของมนุษยธรรม เอาไปเรียกมันว่ามนุษยธรรม มันก็ได้เหมือนกัน ในหมู่คนที่ยังเป็นอย่างนั้น ถ้าถือตามหลักของพุทธศาสนา มนุษยธรรมมันก็ต้องไปไกลถึงกับจะไปสู่นิพพาน แล้วก็มีจุดหมายปลายทางเป็นนิพพาน คือนิพพานเป็นจุดปลายทาง ของมนุษยธรรม ไปถึงนั้นก็เป็นมนุษย์สูงสุด เป็นมนุษย์พระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ อย่างนี้ก็ได้ แต่เราใช้คำว่า ธรรม เฉยๆ ก็พอ ไม่รู้จักธรรม นี้เราจะต้องพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า ธรรมกันบ้างแล้ว เพื่อจะให้รู้จักปัญหาของสังคม หรือว่ามูลเหตุแห่งปัญหาของสังคมดีขึ้น เพราะมันขาดสิ่งที่เรียกว่าธรรม มันจึงเป็นอย่างนั้นๆ
เราจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ธรรม แล้วก็จะรู้จักมูลเหตุปัญหาได้ดีขึ้น คือมองดูที่ความไม่มีธรรม ความไม่มีธรรม ความที่มันไม่มีธรรม ความขาดธรรม ถ้าเราไม่รู้จักธรรม เราก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าไอ้ความไม่มีธรรมนั้นมันเป็นอย่างไร นี่จำเป็นที่ต้องวกเข้ามาหาเรื่องธรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ถ้าขาดซะแล้วก็จะเกิดปัญหา อย่างยิ่ง อย่างน่าเวทนาสงสาร เป็นทุกข์ทรมานอย่างยิ่งในหมู่คน หรือมนุษย์ เดี๋ยวนี้เขาไม่มองให้ลึกไปถึงเหตุอันแท้จริง หรือมูลเหตุอันแท้จริงนี้ ไปมองตื้นๆ ครึ่งท่อน เป็นมูลเหตุที่ไม่จริง มันเป็นปลายเหตุ มูลเหตุที่เป็นเพียงปลายเหตุ พูดอย่างนี้ก็เหมือนกับด่า ว่าไอ้คนเหล่านี้มันโง่ เอาปลายเหตุเป็นมูลเหตุ ถ้าถือทาง logic ทางฝ่ายศาสนา ไอ้มูลเหตุที่แท้จริงก็ต้องอยู่ที่ขาดธรรมะ เป็นข้อๆ เป็นข้อแรกก่อน แล้วถ้าจริงกว่านั้น ก็ต้องไปถึงไอ้เหตุที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส คือผัสสะ อย่างที่เราพูดมาแล้วเมื่อคราวก่อนนี่ว่าไอ้ผัสสะเป็นมูลเหตุ เกิดนั่นนี่ขึ้นมา เดี๋ยวนี้มันเป็นมูลเหตุให้ไม่มีธรรม เพราะไปเป็นทาสของผัสสะที่ยั่วยวน มันก็เห็นแก่ตัว นั่นแหละมูลเหตุที่พอจะหยิบขึ้นมา มันอยู่ตรงนี้ ตรงที่ไปเป็นทาสผัสสะ แล้วเห็นแก่ตัว จึงทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น
นั้นการที่คนยากจน คนไม่รู้หนังสือ คนเจ็บไข้กันมาก หรือคนไม่เป็นประชาธิปไตยนี่ มันไม่ใช่มูลเหตุ อันแท้จริง มันเป็นปลายเหตุ ที่ไปหลงว่าเป็นมูลเหตุ ไอ้มนุษยธรรมใหม่ๆ ของเด็กอมมือนี่จะเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นมูลเหตุ เพราะมีมนุษยธรรมเพื่อจะแก้ไข ความที่คนยากจน คนไม่รู้หนังสือ คนเจ็บไข้กันมากนัก คนไม่เป็นประชาธิปไตย เอานี้เป็นมูลเหตุ ก็เป็นของครึ่งท่อนของคนที่มองเห็นแต่เพียงเท่านี้ อันนี้มันเป็นปลายเหตุ อันหนึ่งเท่านั้น อยู่ในพวกเหตุด้วยกัน แต่เป็นส่วนปลายของเหตุ เพราะมันมาจากไอ้สิ่งที่เป็นเหตุอันแท้จริงทีหนึ่ง คือความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ แล้วเหตุอันลึกซึ้ง ถึง..ไอ้..สูงสุดนั้น คือ ความที่มันเป็นทาสของผัสสะ ถ้าแก้ความเห็นแก่ตัวเสียได้ มูลเหตุเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นนะ
คนเห็นแก่ตัว มันก็ไม่ทำอะไรถูกต้องได้ เห็นแก่ตัวจนขี้เกียจ มันก็ยากจน ความที่มันขี้เกียจ หรือมันโง่ก็ตาม มันเห็นแก่ตัวในอีกแบบหนึ่ง ไม่ขวนขวาย มันขี้เกียจ มันอยากจะนอน อยากจะพักผ่อนเกินขนาด เห็นแต่เรื่องปากเรื่องท้องจนทำอะไรไม่ถูก มันจึงยากจน มันขาดธรรมะข้อนี้ มันจึงไม่อยากจะเรียนหนังสือ มันก็มีความโง่มาก มันจึงมีความเจ็บไข้มาก ถ้าเราทำให้เขารู้ อย่างถูกต้อง ในสิ่งที่ควรรู้ เขาจะช่วยตัวเองได้นี่ก็เรียกว่าช่วยกันในทางวิญญาณ ทาง spiritual จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ถ้ามัว มัวช่วยกันในทางวัตถุแล้วมันจะยิ่งเกิดปัญหาอย่างอื่นมาแทน มากขึ้น หรือแม้ปัญหานั้นก็แก้ไม่ได้ ช่วยทางวัตถุ ไม่รู้จักสิ้นจักพอ เอ่อ..จักสิ้นจักสุด ไม่รู้จักพอ เพราะว่าไอ้ทางวัตถุนี้มันเป็นเพียงปลายเหตุ ไอ้ต้นเหตุมันอยู่ที่ทางจิตใจ หรือทางวิญาญาณ ต้องให้แสงสว่างทางวิญญาณ คนจึงจะช่วยตัวเองได้
เรื่องไม่เป็นประชาธิปไตย นี่ก็เหมือนกัน มันพูดแต่ปาก เพราะว่าไอ้คนพูดก็ไม่รู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร เพราะเห็นอยู่แล้วว่าในโลกนี้ ประชาธิปไตย คือใครมีอำนาจ ก็ใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่นั่นหล่ะคือประชาธิปไตย ให้ประชาชนแต่ละคนเป็นใหญ่ ทีนี้เมื่อประชาชนแต่ละคนมันมีกิเลสแล้วจะทำยังไง มันก็ใช้กิเลสเท่านั้น โอกาสที่จะใช้กิเลสมันก็มีเต็มที่มากขึ้น ประชาธิปไตยอย่างนี้ก็ทำโลกมนุษย์ให้เป็นเมืองนรก ดูให้ดีก็แล้วกัน อธิปไตยก็แปลว่า เป็นใหญ่ เป็นใหญ่ ก็คือเป็นอิสระ ไม่มีอะไร ทำเอา ไม่มีอะไรมาบีบคั้น หรือทำอะไรเอา ถ้าประชาธิปไตย ก็ต้องแปลว่าคนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ธรรมะเป็นใหญ่ ธรรมะเป็นใหญ่ ก็เป็นธรรมาธิปไตย ต้องเป็นธรรมาธิปไตยกันเสียก่อนถึงจะเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้องได้นี่ เพราะมันไม่รู้ ไม่มีแสงสว่างทางวิญญาณ มันเป็นธรรมาธิปไตยไม่ได้ มันก็เป็นประชาธิปไตยชนิดที่ว่ามีกิเลสเป็นใหญ่ นี้มันเป็นปลายเหตุที่ถือกันว่าเป็นต้นเหตุ
ต้องมีความรู้ที่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้จะหมดไป เดี๋ยวนี้มีความรู้ผิด ไม่ได้ขวนขวายให้ถูกต้อง ไม่ขวนขวายไอ้สิ่งที่มันทำให้เกิดปัญหาซับซ้อน ก็เลยวนเวียนอยู่ในวัฎฎสงสารนี้ ออกไปไม่ได้ ไม่ออกไปจากกองทุกข์ได้ พูดกันแต่ว่าไม่ร่วมมือ ไม่ร่วมมือ มันหลับตาพูด เพราะมันไม่รู้ว่าจะร่วมมืออย่างไร ไม่รู้ร่วมมือไปทำไม เพราะมันไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมนี่ ลองไปสอนให้เขารู้ว่า คนเราเกิดมาทำไมสิ เขาจะให้ความร่วมมือกันพร้อมพรึ่บไปหมด เพื่อจะแก้ไขข้อที่ว่าเกิดมาต้องทำอะไร เดี๋ยวนี้มันไม่รู้ หรือมันรู้ผิด มันรู้อย่างผิด ด้วยอำนาจของความเห็นแก่ตัว มันไม่ร่วมมือสิ มันเห็นแก่ตัวแล้วมันจะร่วมมือทำไม มันจะร่วมมือก็ต่อเมื่อเห็นแก่ตัวด้วยกัน เห็นแก่ตัวด้วยกัน มาเห็นแก่ตัวด้วยกันยิ่งขึ้นไปอีก นี่มันจึงจะร่วมมือ พอจะให้เป็นไปอย่างถูกต้องมันก็ไม่ร่วมมือ ความไม่ร่วมมือนี่เป็นเพียงปลายเหตุที่เอามาเป็นมูลเหตุ
เพราะฉะนั้นเราต้องมีแสงสว่างทางวิญญาณ ต้องช่วยกันทุกอย่างทุกทาง มูลนิธิทั้งหลาย จะต้องช่วยมนุษย์ด้วยกัน ทำให้เกิดแสงสว่างทางวิญญาณ ไม่มัวช่วยกันด้วยทางวัตถุ ไอ้ทางวิญญาณนี่ต้อง ถูกต้องคือให้มนุษย์รู้ว่าเกิดมาทำไม ให้สามารถทำตามนั้นได้ด้วย นี้โลกก็จะหมดปัญหาปลายเหตุต่างๆ คือคนจะพ้นจากความยากจน รู้หนังสือหรือจะอะไรก็ไปตามลำดับ ด้วยความสมัครใจ ด้วยความพยายามของเขาเอง เดี๋ยวนี้เขาไม่พยายาม เขาเป็นผู้ทอดสมอเสีย ให้เราลากนี้ มันก็บ้ากันทั้งสองฝ่าย นั้นเกิดมาจะต้องรู้ว่าเกิดมาทำไม มันจึงจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เพราะไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรม ก็ไม่มีสิ่งที่จะทำให้เป็นมนุษย์ ธรรมะคือสิ่งที่จะทำให้เป็นมนุษย์ มันก็ไม่เป็นหรอก ขาดธรรมะก็ไม่เป็นมนุษย์ หรือเป็นมนุษย์น้อยมาก น้อยจนใช้ไม่ได้ นี่จะต้องมาสนใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรม เพื่อทำความเป็นมนุษย์ นั้นหล่ะเวลาที่เหลือนี้เรามาพูดกันถึงสิ่งที่เรียกว่าธรรม ดีกว่า
ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ธรรม ตามตัวหนังสือกันก่อน ก็จะต้องเอาตามภาษาบาลีเป็นหลัก ชั้นแรกเราจะเอาตามภาษาบาลีเป็นหลัก คำว่า “ธรรม” ในภาษาบาลี คำนี้ มันแปลว่าทรง ทรงตัว หรือทรงรูปอยู่ได้ ทางรากศัพท์ ค้นกันดูที่สุดแล้ว พบว่ามันตรงกับไอ้คำภาษาละตินที่เรียกว่า Forma เป็นภาษาอังกฤษว่า Form นึกถึง Form สิ คำว่า Form คือรูปร่าง ที่ทรงตัวอยู่ได้เป็นแบบใดแบบหนึ่ง นี่เรียกว่า Form มาจากภาษาละติน Forma ไอ้ Forma นี่รากศัพท์อันเดียวกันกับภาษาอารยันทั้งหลาย จะเป็นอินโดอารยันหรืออะไรก็ตาม เมื่อมาเป็นภาษาบาลีในประเทศอินเดียมันมีคำว่า ธรรม เป็นคำเทียบ ว่าตรงกัน รากศัพท์ก็ตรงกัน Forma แปลว่าทรงอยู่ได้เหมือนกัน ทรงรูปอยู่ได้ มันทรงอยู่ได้มันจึงมีรูป เนั้น ธรรมะแปลว่าทรงตัวอยู่ได้ เป็นลักษณะอย่างหนึ่ง อย่างหนึ่ง
นั้น ธรรมะ ตัวหนังสือก็แปลว่า ทรงตัวอยู่ ทรงอยู่ ในรูป รูปหนึ่งๆ นั้นธรรมะในภาษาบาลีนั้น มันหมายถึง ทุกสิ่ง แปลว่า “สิ่ง” เท่านั้นอง ธรรมะ คำว่าธรรม ธรรมะในภาษาแท้ๆ ในภาษาศาสตร์แท้ๆ อย่าเพิ่งไปเกี่ยวกับศาสนาหรือวัฒนธรรมอะไรเข้า คำว่า ธรรมะ แปลว่า สิ่ง เท่านั้น คำว่า สิ่ง ในภาษาบาลี เอ่อ,ในภาษาไทยเรานี่ เราไม่มีคำอะไรใช้แทนคำว่า สิ่ง ให้ดีไปกว่าคำนี้ สิ่งทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นอะไร มันจะมีชีวิตก็ได้ ไม่มีชีวิตก็ได้ จะเห็นรูปก็ได้ไม่เห็นรูปก็ได้ นี่มันเป็นทุกสิ่งอย่างนี้ คำว่าสิ่ง ที่ตรงกับคำว่าธรรมะ นั้นคำว่า ธรรมะ ที่เป็นภาษาบาลีแท้ๆ ที่เป็นภาษาล้วนๆ ก็คือ สิ่ง เท่านั้น แล้วก็หมายถึง สิ่งทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร ดีก็เรียกว่าสิ่ง ไม่ดีก็เรียกว่าสิ่ง กลางๆ ก็เรียกว่าสิ่ง มีรูปร่างก็เรียกว่าสิ่ง ไม่มีรูปร่างก็เรียกว่าสิ่ง มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ก็เรียกว่าสิ่ง ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง คือนิพพาน ก็เรียกว่าสิ่งอยู่นั่นแหละ คำว่าธรรมะนี่ ในทางภาษา แปลว่า สิ่งทุกสิ่ง นี้แปลว่า สิ่งทุกสิ่งนี่มันเป็นภาษาธรรมะ ภาษาธรรมชาติ เกินไป
เราก็ต้องแสวงหาว่าสิ่งไหน สิ่งพวกไหนที่มันจะน่าปรารถนาหรือน่าเกี่ยวข้องด้วย มันจึงแยกออกมาแต่สิ่งที่ดี ที่มีประโยชน์ ที่บัญญัติว่ามันเป็นธรรมฝ่ายกุศล ธรรมฝ่ายกุศลก็ถูกกันออกไปเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาตามความรู้สึกของมนุษย์ แต่ถ้าตามธรรมชาติซึ่งไม่มีความรู้สึกแล้วมันเป็น สิ่ง เหมือนกัน มันเป็นสักว่าสิ่งเท่านั้น แต่มนุษย์ไม่ต้องการไอ้ความทุกข์ ก็กันออกมาแต่สิ่งที่จะไม่ทำให้เกิดความทุกข์ นี้เรียกว่าธรรมะในความหมายที่ ๒ ความหมายที่ ๑ หมายถึงทุกสิ่ง ความหมายที่ ๒ มันก็มาเอาแต่บางสิ่ง แต่ก็ไม่ทิ้งหลักรากศัพท์ Root ของศัพท์ มันแปลว่าทรง อย่างที่ว่ามาแล้ว ก็เลยบัญญัติว่า ไอ้สิ่งที่ทรงมนุษย์ไว้ ไม่ให้ตกลงไปนั่นน่ะ ไม่ให้ตกเหว ไม่ให้ตกลงไปในฝ่ายต่ำฝ่ายชั่ว สิ่งใดทรงมนุษย์ไว้ได้ในระดับอย่างนี้ ก็เรียกสิ่งนั้นว่า ธรรม ตอนนี้ก็ชักจะเติมพระเข้าไปข้างหน้าเป็น พระธรรม มันก็คือ ธรรม นั่นแหละ เพราะมันถูกใจ และตรงตามประสงค์ขึ้นมาแล้ว ก็จะเรียกว่า พระธรรม ให้มันต่างไปจากไอ้คำว่า ธรรม เฉยๆ แต่ในภาษาบาลี ยังเป็นคำเดียวกันอยู่เรื่อย ไอ้พระธรรม ก็คือธรรม ไอ้สิ่งทั้งปวงก็คือธรรม แต่ภาษาไทยเรามีวิธีฉลาดหน่อย เราใส่พระให้เข้าไป พระแปลว่าประเสริฐ วะระนี้ พระธรรมที่ประเสริฐน่ะ ก็ควรเรียกว่าธรรม สิ่งที่จะทรงมนุษย์ไว้ไม่ให้ตกต่ำนี้ เรียกว่า พระธรรม
นี้ความหมายชั้นที่ ๓ มันก็เลือน มันก็กว้างออกไป อะไรบ้าง มันก็คือการศึกษาเล่าเรียนที่ถูกต้อง ไอ้ความรู้ที่ถูกต้องเรียกว่า พระธรรม และการปฎิบัติที่ถูกต้องนั้นคือพระธรรม และผลที่ได้มาอย่างถูกต้องนั่นคือพระธรรม ธรรมเลยก็เลยกลายเป็นความรู้ที่ถูกต้อง การปฎิบัติที่ถูกต้อง ผลที่ถูกต้อง เรียกว่าพระธรรม ภาษาบาลีเขาเรียกว่า ปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวท ไม่ชินหู ก็ลำบาก เอาไอ้คำไทยๆ ว่า ความรู้ การปฎิบัติ และผลการปฎิบัติที่มันถูกต้องนี่คือ พระธรรม แต่ถ้าเอาไอ้ ตามความหมายเดิม คือสิ่งทั้งปวง ถ้ามีการทรงตัวอยู่แล้วล่ะก็ คำว่า ธรรม นี่มันยังหมายถึง สิ่งที่เราเรียกกันในภาษาไทยว่า ธรรมชาติ หรือธรรมดา ธรรมชาติ มันเป็นไปเองตาม..ธรรมชาติเอ้อ..ธรรมชาติ หรือตามธรรมดาหรือตามตัวมันเอง ไอ้ธรรมดา คือ เป็นไปตามธรรมดาตามธรรมชาติ ธรรมดาแปลว่าธรรมดา แต่ตัวภาษาบาลี ก็แปลว่าความเป็นไปตามธรรมดา ในที่นี้คือเป็นไปตามตัวมันเอง คือธรรมชาติ ฉะนั้นจะใช้คำไหนก็ได้ ธรรมชาติก็ได้ ธรรมดาก็ได้ ให้รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา ของมันเอง มันไม่ฟังเสียงใคร นั่นมันมีอิสระที่สุด ไอ้ธรรม สิ่งที่เรียกว่าธรรม มันเป็นอิสระที่สุดอย่างนี้ ถ้าเรามีธรรมเราก็ต้องมีอิสระอย่างนี้ ธรรมฝ่ายชั่วคือ กิเลส มันก็มีอิสระของมันที่จะทำคนให้ชั่ว ให้ทุกข์ ธรรมฝ่ายดีก็มีอิสระของมันที่จะทำให้คนให้ไม่ต้องชั่ว ให้ดี และให้ไม่เป็นทุกข์ เขาเรียกว่าธรรมชาติ หรือธรรมดา มันแล้วแต่จะเอาส่วนไหนขึ้นมา นี้ความหมายในภาษาบาลีมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นกลางๆ อย่างนี้
ทีนี้เราจะมามองดูในขั้นศีลธรรม ในขั้นที่จำกัดขอบเขตไว้ ขอบเขตหนึ่ง เรียกว่า ขอบเขตของศีลธรรม นี้คำว่า ธรรม ก็เปลี่ยนความหมาย ไปตามความมุ่งหมายของศีลธรรม ความหมายที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ มันก็เกิดขึ้น ตามความหมายทางศีลธรรม อันแรกจะต้องถือว่า ธรรม คือ กฎของธรรมชาติ หรือกฎของพระเจ้า ที่ควบคุมสิ่งทั้งปวง คำว่าควบคุมนี่มันทำหน้าที่มาก ว่าสร้างขึ้นมา และควบคุมอยู่แล้วก็ยุบทำลายเสีย
นี่คือกฎของพระเจ้า พระเจ้าคือ ธรรมชาติ พระเจ้าไม่ใช่เป็นบุคคล ที่เราสอนเด็กๆ ให้เชื่อไปพลางก่อน พระเจ้า คือ กฎของธรรมชาติ ที่มีอำนาจเด็ดขาด บันดาลให้สิ่งทั้งหลายต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ นั่นแหละคือพระเจ้า ไม่มีใครมีอำนาจมากเท่านี้ ศีลธรรมในพุทธศาสนาก็ถือว่าธรรมเป็นมูลเหตุของสิ่งทั้งหลายมีอยู่ก่อนสิ่งใดหมด นั่นคือกฎของธรรมชาติ มันต้องโผล่ขึ้นมาก่อนสิ่งใดหมด ธรรมชาติจึงเป็นไป เป็นไปๆ ทุกหนทุกแห่งตามกฎนั้น
ตรงนี้อยากจะแทรก ให้รู้ไว้บ้างว่า ในคัมภีร์คริสเตียนเขาก็มีเรื่องนี้ หรือมีความหมายอย่างนี้ แต่พวก คริสเตียนก็ไม่ค่อยสนใจ แล้วก็ไม่ตีความอย่างนี้ คัมภีร์โยฮัน ของ New Testament บรรทัดแรก ก็โผล่ขึ้นมาว่า At the beginning the word was The word คำพูด แรกเริ่มเดิมทีนั้น The word คือคำพูดนี่ ได้มีอยู่แล้ว บรรทัดต่อไปก็ว่า The word คือ The light The Light คือ god คำพูดนั้นคือแสงสว่าง แสงสว่างนั้นคือ god คือ พระเจ้า เขาตีความไปตามความเชื่อของเขาว่าให้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องรู้ว่ามันเป็นอะไร เราไปบอกเขาว่า ถ้าถือตามหลักของพุทธศาสนา The Word คำพูดนั่น คือคำพูดของธรรมชาติ คือกฎของธรรมชาติ บทบัญญัติของธรรมชาติ เราเรียกว่า The word ได้ แรกเริ่มเดิมที ทีเดียวก็มี The word นี่ คือเป็นกฎของธรรมชาติอยู่ พอเป็น The Light คือแสงสว่าง ที่จะนำไป ให้สิ่งทั้งหลายเป็นไป นั้นคือพระเจ้า ไอ้คำว่าแสงสว่างทางวัตถุ เช่นดวงอาทิตย์ นี่มันเป็น ไอ้ต้นตอ มูลเหตุทางฝ่ายวัตถุที่จะให้มีอะไรเป็นไป นี้ทางจิตทางวิญญาณก็เหมือนกัน มันต้องเรียกว่า แสงสว่าง ที่จะควบคุมบันดาลให้สิ่งทั้งหลายเป็นไป เขาไม่ตีความอย่างนี้ เขาก็ไม่สนใจอย่างนี้ แล้วก็ไปแปลว่าคำพูดตามตัวหนังสือ แรกเริ่มเดิมทีก็มี พระคำ พระคำ คือ แสงสว่าง แสงสว่างคือ พระเจ้า ไอ้พระคำ พระคำพูดนี่ นั่นหล่ะคือ กฎของธรรมชาติ ธรรมชาติมันพูดไว้เป็นกฎ เป็นโองการ ศักดิ์สิทธิ์ ใครลบล้างไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่ากฎธรรมชาติ แล้วก็มีมากระทั่งทุกวันนี้
นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ยอมรับไอ้สิ่งที่เรียกว่า กฎธรรมชาติ ว่ามันมีอยู่ แต่ต้องเป็นไปตามกฎ แต่ว่ารู้น้อยเกินไป รู้แต่เรื่องเกี่ยวกับวัตถุ ไม่รู้ไอ้เรื่องที่เกี่ยวกับวิญญาณ นั้นเราจะถือเอาโดยทางศีลธรรมว่า ไอ้ธรรมะนี่คือ กฎของธรรมชาติก่อน แล้วจะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่แน่นอนตายตัว เราจะไม่ต้องฝ่าฝืนกัน ต้องทำอนุโลมคล้อยไปตามกฎของธรรมชาติ ถ้าต้องการดีก็ทำให้ถูกต้องตามกฎของฝ่ายดี ถ้าต้องการชั่ว ก็ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของฝ่ายชั่ว นี่ถ้าเราไปทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งลงไปโดยไม่รู้สึกตัว มันก็ยังต้องเป็นไปตามกฎนั้น ไอ้คนที่ทำชั่วโดยไม่รู้สึก มันก็ต้องได้รับโทษ รับโทษของความชั่ว คนที่ทำดีโดยไม่รู้สึก มันก็ต้องได้รับผลของความดี นี่เราต้องเคารพกฎของธรรมชาติ ในฐานะเป็นพระธรรม
ทีนี้ความหมายต่อไปอีก เราปฎิบัติตามกฎนี้เพื่อให้เกิดความผิดแปลกแตกต่างกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์ แล้วความหมายในทางศีลธรรมขยายตัวสูงขึ้นมาถึงกับว่า ไอ้ธรรม นี้ คือ สิ่งที่จะทำความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ คาถาบทนี้ถือกันมาแต่โบรมโบราณก่อนพุทธกาล ในประเทศอินเดียที่เป็นเจ้าของภาษานี้ ขึ้นบท ว่า อาหาระนิทธา พาราเม ถุนันจะ (นาทีที่ 49.03) การแสวงหาอาหาร การแสวงความสุขจากการนอน การรู้จักหนีภัย หนีอันตราย และการประกอบกิจกรรมระหว่างเพศ สามานยเมตะ ปะสุภิ นารานัง (นาทีที่ 49.21)เหล่านี้มีได้เสมอกันระหว่างคนกับสัตว์ ธัมเม ณฮีณา ธรรมโมหิเตสัง อาธิโก วิเสโส ธรรมะเท่านั้นที่ทำความผิดแผกแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์ ธัมเมนะหินา ปะสุภิ สะมานา (นาทีที่ 49.42) เมื่อปราศจากธรรมะเสียแล้ว คนก็เหมือนกับสัตว์ คนก็เท่ากันกับสัตว์ไป ความเหมือนกันในระหว่างคนกับสัตว์ก็มีเรื่องอาหารการกิน การนอน การขี้ขลาด การประกอบเมถุนธรรม
ธรรมเท่านั้นที่ทำความผิดแผกแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์ พอเอาธรรมะออกไปเสีย คนก็ย้อนกลับไปเป็นอย่างเดียวกับสัตว์ตามเดิม เท่านั้น ให้รู้จักธรรมะในฐานะที่เป็นสิ่งที่ทำความผิดแปลกแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์ แล้วก็ทำให้คนนี่ก้าวหน้าไปเป็นสู่ความเป็นมนุษย์ จนถึงจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์ มันแยกตัวออกจากสัตว์ สัตว์เดรัจฉาน ไปเป็นมนุษย์ แล้วก้าวไปจนถึงจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์ ด้วยอำนาจของสิ่งที่เรียกว่า ธรรม นี่เป็นเครื่องมือ ที่เราเป็นมนุษย์กันนี้ก็เพื่อจะให้มันได้อะไรๆ ที่ดีกว่าสัตว์ คือมีจิตใจสูง แล้วธรรมะนี่มันช่วยได้อย่างนี้ ในความประสงค์อันนี้ แล้วเราจึงมองความหมายต่อไปว่า ธรรมะนี้ นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่ในทุกกรณี ที่เกี่ยวกันกับมนุษย์ โดยเฉพาะในกรณีที่จะทำให้ไม่เกิดความทุกข์ ถ้ามนุษย์ต้องการความไม่มีทุกข์ละก็ ธรรมะเท่านั้น ที่จะทำให้สำเร็จตามนั้นได้ ฉะนั้นเราต้องมีธรรมะในทุกกรณีที่เกี่ยวกับไอ้..ความดับทุกข์ เลยนิยามขึ้นมาใหม่ว่า ไอ้ธรรมะ คือ สิ่งที่ต้องเข้าไปแทรกอยู่ในทุกกรณีที่มนุษย์จะทำความดับทุกข์ เดี๋ยวนี้เราไม่อยากจะใช้ธรรมะ เป็นเครื่องแก้ปัญหาความดับทุกข์ เราไปใช้วัตถุ กำลังหลงวัตถุ กำลังบ้าวัตถุ จะเอาวัตถุเป็นพระเจ้า เป็นที่พึ่ง มันก็ผิดหลักธรรม
ทีนี้ก็มองเห็นในความหมายต่อไปว่า ธรรมะ คือสิ่งที่ต้องคู่กันกับมนุษย์ แยกจากกันไม่ได้ ในส่วนปัจเจกชนก็ตาม ในส่วนสังคมก็ตาม ธรรมะเป็นสิ่งที่ต้องคู่กับมนุษย์ แยกกันไม่ได้ แล้วก็มีความจำเป็นในส่วนสังคมยิ่งกว่าส่วนบุคคล เพราะว่าส่วนบุคคลนี้มันไม่ทำอันตรายอะไรให้เกิดขึ้นมาได้มากมาย ไอ้สังคมนั่นแหละมันเป็นปัญหาหนัก เกิดอะไรมากมาย ได้มากมาย นั้นต้องควบคุมให้ดี ปัญหายุ่งยากลำบาก อยู่ที่สังคมไม่เป็นสังคมที่ดี เพราะมันขาดธรรม งั้นไปมองให้เห็นในข้อนี้ ด้วยความรู้สึกจริงๆ ไม่ต้องใช้เหตุผล ให้มันเป็นความรู้สึกจริงๆ ว่า นี่มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า มนุษย์...ไอ้ธรรมะกับมนุษย์นี้ต้องไปด้วยกัน ขาดธรรมะเมื่อไหร่ มนุษย์จะไม่เป็นมนุษย์ คนจะไม่เป็นคน ธรรมะยังเป็นธรรมะอยู่ตามเดิม แต่คนนี่จะไม่เป็นคน ระวังให้ดี
เอ้า,ทีนี้เราจะมองไปในส่วนที่ลึกยิ่งขึ้นไปอีก เรียกว่าจะมองกัน โดยปรมัตถธรรม อย่าลืมนะ ว่าทีแรกเรามองกันโดยหลักภาษา ภาษาบาลี แล้วต่อมาเรามองโดยหลักศีลธรรมในโลก ทีนี้เราจะมองกันโดยหลักของปรมัตถธรรม ที่มันลึกสูงสุด ที่คนไม่ค่อยชอบกันน่ะ ถ้ามองโดยหลักของปรมัตถธรรม มันกลายเป็นเรื่องที่ ลึกหรือไปลิบ จะพูดโดยคำพูดของพระพุทธเจ้าเลย ว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ แปลว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น มันกลายเป็นว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวง คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวกู ว่าของกู ว่าตัวเรา ว่าของเรา
นี่มันลึกจนเกิดความเข้าใจผิดได้ ไม่ชอบขึ้นมาก็ได้ ก็มองดูให้ดีสิ ตั้งแต่ทีแรกได้พูดมาแล้วว่าธรรมะมันเป็นตัวมันเอง ใครจะเอาเป็นตัวกูเป็นของกูไม่ได้ ธรรมะมันเป็นตัวมันเองเสมอ นั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสถูกต้องแล้วว่า ไอ้ธรรมะหรือสิ่งทั้งปวงนี่ ใครๆ ไม่ควรไปยึดมั่น ถือมั่น สำคัญมั่นหมายว่า ตัวกู หรือว่าของกู เพราะมันเป็นตัวมันเอง เป็นตัวธรรมะของมันเอง ใครไปยึดถือเข้า เอามาเป็นของตัวกูของกูมันทำไม่ได้หรอกขืนพยายามมันก็โง่ นั้นต้องปฎิบัติให้สมคล้อยตามกฎที่ว่ามันเป็นตัวมันเอง คือปฏิบัติให้ถูกต้องตามธรรม ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ใช้คำอย่างนี้ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฎิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ตามที่มันเป็นตัวมันเอง จะเอามาเป็นของเราไม่ได้ เป็นตัวเราไม่ได้ มันไม่อาจจะเป็นของใครนอกจากเป็นของธรรมชาติ เป็นตัวธรรมชาติ เป็นกฎของธรรมชาติ เขาบังคับให้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มีผลขึ้นมาก็เป็นไปตามธรรมชาติ
ให้รู้จักธรรมะกันในลักษณะอย่างนี้บ้าง เมื่อตะกี้บอกแล้วว่า ธรรมะนั่น คือ คำเดียวกับคำว่าธรรมชาติ ภาษาบาลีเขาพูดว่าธรรมะเฉยๆ เขาเล็งถึงธรรมชาติ ได้ นี้ที่เกี่ยวกับธรรมชาติอย่ารู้น้อยเกินไปเหมือนกับที่รู้กันเดี๋ยวนี้ ว่าธรรมชาติ ธรรมชาติไปตามธรรมชาตินั่นหล่ะ ให้รู้ให้ลึกว่ามันเป็นธรรม เป็น ธรรม อย่างที่เรียกว่าธรรมนี่ แล้วก็ทุกสิ่ง ให้รู้ใน ๔ แง่ ๔ มุมด้วยว่าตัวธรรมชาติเป็นอย่างไร กฎของธรรมชาติเป็นอย่างไร หน้าที่ของมนุษย์ตามกฎธรรมชาตินี้เป็นอย่างไร และผลที่จะเกิดขึ้นตามกฎของธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร รู้จักตัวธรรมชาติว่ามันคืออะไร เป็นปรากฎการณ์ทั้งหลาย ไอ้ปรากฎการณ์ทั้งหลายนั้นมีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ด้วยเสร็จ ต้องดูให้เห็นตัวกฎของธรรมชาติด้วย
ทีนี้กฎของธรรมชาตินี้บังคับให้เกิดหน้าที่ ที่สิ่งนั้นๆ จะต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ มนุษย์ก็ต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ หน้าที่ปฎิบัติแล้วมันก็เกิดผลของหน้าที่ขึ้นมา นี้ก็ต้อง มันก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เราจะรับผลรับอะไรก็ตาม นี่ก็ต้องเป็นไปตามกฎของธรรชาติ ตัวธรรมชาติ ตัวกฎธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามธรรมชาติ ตัวผล ที่เกิดมาตามกฎธรรมชาติ ต้องรู้จักธรรมชาติกันในลักษณะอย่างนี้ จึงจะเรียกว่ารู้จักธรรมชาติ จะรู้แต่เพียงว่าเอาไอ้ของใต้ดินมาผลิตให้เป็นวัตถุ หล่อเลี้ยงกิเลส ตามต้องการนี้ มันยังไม่พอ มันจะผิดกฎธรรมชาติอย่างร้าย แล้วก็จะเดือดร้อนขึ้นอย่างร้าย เช่นถลุงทรัพยากรธรรมชาติ จนหมด จนไม่พอ แล้วก็แย่งชิงกัน แข่งขันกัน รบราฆ่าฟันกันอย่างนี้มันผิดแล้ว
ทีนี้ให้รู้ต่อไปว่า สิ่งที่เรียกว่าธรรม นั้นมีอยู่ก่อนสิ่งใด สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นตามกฎของ ธรรม ให้ถือว่าธรรมนั่นแหละเป็นพระเจ้า พระเจ้านั้นความหมายมีอยู่ ๓ ความหมาย คือ สิ่งที่บันดาลให้สิ่งใดๆ เกิดขึ้นนี่ เรียกว่า ผู้สร้าง แล้วก็ควบคุมสิ่งทั้งหลายนั้นให้เป็นไปตามกฎ นี่พระเจ้าก็ควบคุม ครั้นถึงเวลาที่สมควรแล้วควรจะยุบอะไรลงไปเสียบ้าง ก็ให้สิ่งเหล่านั้นแปรปวนจนดับไป นั่นคือ พระเจ้าผู้ทำลาย
พระเจ้าผู้สร้าง แล้วก็ควบคุม แล้วก็ทำลาย หรือทำให้เกิดขึ้น ให้ตั้งอยู่ แล้วให้ดับไป นี่คือพระเจ้า นั่นหล่ะ คือสิ่งที่เรียกว่าธรรม พระเจ้านี่ไม่ต้องเป็นบุคคลหรอก ถ้าเป็นบุคคลมันทำอย่างนี้ไม่ได้ มันต้องเป็นอะไรที่เราบอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร เป็น เป็น เป็นพระเจ้า หรือเป็นกฎธรรมชาติ เป็นอะไรที่มนุษย์ยังไม่รู้จักโดยแท้จริง รู้จักแต่ผลของมันที่จะแสดงออกมา เช่นเดียวกับที่เราไม่รู้จัก ตัวไฟฟ้าอันแท้จริง แต่เรารู้จักผล หรือปฎิกริยาที่มันแสดงออกมา แล้วใช้ประโยชน์แก่เรา เช่น แสงสว่าง เช่น พลังงาน อะไรต่างๆ นี้เราเอามาใช้ประโยชน์ได้ ทั้งที่เราไม่รู้จักว่าไอ้ตัวไฟฟ้าที่แท้จริงนั้น คืออะไร นั้นเราไม่รู้จักตัวธรรมชาติที่แท้จริง ครบถ้วน ไม่รู้จักตัวพระเจ้าอย่างครบถ้วน แต่สิ่งเหล่านั้นมัน effect แก่เราอย่างไรเรารู้ แล้วเราสามารถปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปในทางที่ดี ที่มีประโยชน์
นั้นเราก็มองเห็นความหมายต่อไปอีกว่า ธรรมะ คือสิ่งที่เราไม่อาจจะต่อสู้ ช่วยมองในข้อนี้ให้ดีๆ นะ ธรรมะคือสิ่งที่เรา ไม่อาจจะต่อสู้ ไม่อาจจะต้านทาน ไม่อาจจะแก้ไข ไม่อาจจะอะไรตามชอบใจของเรานะ เราไม่อาจจะเปลี่ยนแปลง ไม่อาจจะแก้ไข ไม่อาจจะเพิกถอน ไม่อาจจะลบล้าง ไม่อาจจะเหยียบย่ำ แต่เรามันก็บ้า พยายามที่จะแก้ไข เปลี่ยนแปลง เหยียบย่ำ ตามความโง่ของมนุษย์ แก้ไขศาสนา มันก็แก้ไขได้แต่ส่วนที่ไม่ใช่ศาสนาอันแท้จริง ธรรมะหรือศาสนาที่แท้จริงแก้ไขไม่ได้ เพราะมันเป็นกฎของธรรมชาติ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ความลับข้อนี้ ของธรรมชาติ ท่านเอามาบอก มาสอน ไม่ใช่ท่านตั้งกฎนี้ขึ้นเอง หรือท่านเป็นพระเจ้าผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่ แต่ท่านค้นพบไอ้ความลับข้อนี้ คือพระเจ้านี่ คือพระธรรมนี่ ก็มาบอก มาสอน ให้รู้ว่า ธรรมะนี่เป็นสิ่งที่เราไม่อาจจะต่อสู้ ไม่อาจจะเหยียบย่ำ ไม่อาจจะแก้ไข ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลง ไม่อาจจะเพิกถอน เราจงสมัครใจเสียดีกว่าที่จะทำให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ อันนี้ ที่เราไม่สามารถจะต่อสู้ แม้แต่สิ่งที่เราเรียกกันว่ากรรม เป็นไปตามกฎของกรรมนี่ มันก็เป็นส่วนหนึ่งของกฎของธรรม เป็นส่วนหนึ่งของธรรม ไอ้กระแสกรรมแรง ตามกฏของกรรม เราต่อสู้ได้ เมื่อไหร่ นี่เรามองเห็น หรือเรายอมรับ ไม่ทั้งหมดก็อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง แม้แต่คนโง่ๆ มันก็พอจะมองเห็นว่า ไอ้เรื่องกรรมนี่ มัน สู้ไม่ไหว จึงบอกว่าเป็นไปตามกรรมแล้ว ยอมรับ ไอ้กฎของกรรมก็คือ กฎของธรรมส่วนหนึ่งก็ได้ ทีนี้กฎของธรรมส่วนใหญ่ทั้งหมดนี่มันยิ่งต่อสู้ไม่ไหว อย่าไปคิดต่อสู้ อย่าไปคิดฝ่าฝืน นี่โดยปรมัตถ์มันบอกไว้อย่างนี้ เป็นอย่างนี้ มันแสดงอยู่อย่างนี้
อ้าว, ทีนี้ดูคราวเดียวหมด โดยภาษาบาลีก็ตาม โดยศีลธรรมก็ตาม โดยปรมัตถธรรมก็ตาม สิ่งที่เรียกว่าธรรม นี้คืออะไร ก็จะพบได้โดยสรุปว่า ในกรณีของมนุษย์ สิ่งที่เรียกว่า ธรรม คือสิ่งที่มนุษย์จะขาดเสียไม่ได้ นี่กำปั้นทุบดินแล้ว แต่จริงที่สุด ในกรณีของมนุษย์เรานี้ ทุกๆ กรณีนี่ ธรรมะ คือสิ่งที่มนุษย์จะขาดเสียไม่ได้ พอขาดแล้วเป็นเกิดเรื่อง เช่นหมดความเป็นมนุษย์ เช่นจะต้องเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะต้องเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่นถึงขนาดที่เรียกว่า มิคคสัญญี ซึ่งพูดถึงกันอยู่บ่อยๆ ที่จะมาถึงข้างหน้า ในโอกาสข้างหน้า ที่คนจะฆ่ากันและกัน เหมือนกับฆ่าเนื้อ ฆ่าสัตว์เดรัจฉาน ก็เหมือนกับตบยุงว่าอย่างนั้น จะใช้ระเบิดปรมาณู หรืออะไรก็ตามแต่ มันจะฆ่ากันเหมือนกับว่า ฆ่าสิ่งไม่มีความหมาย เหมือนกับเราตบยุง นี่เขาเรียกไว้ว่ามิคคสัญญี สมัยหนึ่งมนุษย์จะไม่สำคัญมนุษย์ด้วยกันว่ามีความหมาย หรือมีค่าอะไร มีคุณค่าอะไร เหมือนจะฆ่ากันเหมือนกับว่าฆ่าเนื้อฆ่าปลาอย่างนั้น มนุษย์จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ธรรม นี่เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันมนุษย์ จึงถือว่ามนุษย์ต้องมีธรรม ธรรมะต้องคู่กันกับมนุษย์ ธรรมะคือสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้ สำหรับมนุษย์
อ้าว นี่ก็อยากจะขอแทรกไอ้เรื่องของฝ่ายคริสเตียนอีกนิดหนึ่ง ไม่ใช่เพื่ออะไรหรอก กระซิบบอกว่าเพื่ออย่าให้พุทธบริษัทมันเลวกว่าพวกคริสเตียน เรื่องของพระเยซูในคัมภีร์ไบเบิ้ล หรือจะเป็นแมทธิว แมทไธนี่ มันมี ว่าพระเยซูไปทำความเพียร เพื่อจะเข้าถึงพระเจ้า ถ้าพูดอย่างเราๆ ก็เพื่อจะตรัสรู้ พระเยซูก็ไปทำความเพียร เพื่อจะตรัสรู้คือเข้าถึงพระเจ้าอยู่ในที่สงัด ในภูเขาที่มันห่างไกลโดยไม่มีใคร ไม่ได้กินอาหารตั้ง ๔๐ วันนี่นะ จนบรรลุ คือเชื่อว่าถึงพระเจ้าเป็นอันเดียวกับพระเจ้า ถึงพระเจ้า เข้าถึงพระเจ้า
ทีนี้ พญามารซาตานก็มาทีเดียว ว่าอ้าวหิวข้าวแล้ว ทำไมไม่ เสกก้อนหินเหล่านี้ อยู่ตรงหน้านี้ให้มันกลายเป็นอาหารขึ้นมา ก็ว่าเป็นลูกพระเจ้า เป็นผู้เข้าถึงพระเจ้า ก็เสกก้อนหินเหล่านี้ให้เป็นขนมปัง อาหารของพวกคนที่นั่นสมัยนั้นคือขนมปัง ไม่ได้กินข้าวสวยอย่างเรา ก็ว่าทำไมไม่เสกก้อนหินก้อนๆ เหล่านี้ให้เป็นก้อนขนมปังขึ้นมา พระเยซู ก็ตอบซาตานว่า อุ้ย ชีวิตมิได้อยู่ได้ด้วยขนมปัง ชีวิตมิได้อยู่ได้ด้วยอาหาร แต่อยู่ได้ด้วยพระคำของพระเจ้า นี่พระคำของพระเจ้าในที่นี้ ก็คือ ธรรม ซึ่งเป็นอาหารของใจ นี้มันแสดงความหมายสูง แสดงความมีจิตใจสูง ว่าความเป็นมนุษย์ของเรามิได้อยู่ได้ด้วยอาหารข้าวปลาที่กินทางปาก ความเป็นมนุษย์ของเราอยู่ได้ด้วยอาหารทางจิต ทางวิญญาณ คือพระธรรม
ในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาของเราก็มีคำกล่าว ซึ่งเขายัดเยียดให้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเหมือนกันว่า พระพุทธเจ้าสอน สามเณร ว่า สัพเพสัพตา อาหารทิฐติกา (นาทีที่ 1.09.15) สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงตั้งอยู่ได้เพราะอาหาร แต่แล้วอย่าไปตู่ พระพุทธเจ้าให้กลายเป็นคน..คนเขลาคนอะไรเสีย ว่าไปเห็นแก่ปากแก่ท้อง เสีย คำว่า อาหาร ของพระพุทธเจ้านั้น หมายถึง อาหารทุกชนิด อาหารใจเป็นสำคัญ สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ได้ด้วยอาหารทั้งทางกาย อาหารทางปากและอาหารทางใจ มันจึงจะเป็นมนุษย์ นั้นถ้าเราพูดถึงอาหาร อย่าไปพูดถึงอาหารทางลิ้น ทางผัสสะมากไป แล้วเป็นอาหารทางจิตทางวิญญาณด้วย นี่จึงจะไม่โง่กว่าพวก คริสเตียน ไม่ใช่ว่าจะไป pro คริสเตียนหรือว่าจะอะไรกับพวกคริสเตียน พูดให้รู้ไว้ว่าพุทธบริษัท อย่าได้เลวกว่าพวกคริสเตียน อย่าให้ต่ำต้อยกว่าพวกคริสเตียน พวกคริสเตียนเขาก็ต่ำต้อยในเมื่อเขาไม่เข้าใจคำตรัส คำสอนของพระเยซู ก็มีการต่ำต้อย เขาละทิ้งความเป็นคริสเตียน พระเจ้าตายแล้ว ทีนี้พวกฝรั่งที่ถูกอุปโลกน์ให้มาเป็นเจ้าของศาสนาคริสเตียน เป็นอย่างไรก็ไปดูสิ แล้วเราจะไปตามก้นเขายังไง ฉะนั้นควรจะเป็นตัวเองให้ถูกต้อง ตามความหมายของคำว่า ธรรม พระธรรม พระธรรมเป็นตัวเอง เป็นความถูกต้องตายตัวของตัวเอง เราก็ควรจะเป็นอย่างนั้น อย่าไปตามก้นคนอื่น ซึ่งไม่รู้จักพระธรรม
ในที่นี้เมื่อเรารู้จัก สิ่งที่เรียกว่า ธรรม โดยความหมายใหญ่ๆ ๓ อย่าง อย่างนี้แล้ว มันก็พอจะมองเห็นได้ว่า มนุษย์ไม่มีทางที่จะอยู่ได้โดยปราศจากธรรม จริงไม่จริงไปคิดดู มนุษย์ไม่มีทางอยู่ได้โดยปราศจากธรรม ถ้าปราศจากธรรมจะละลายสูญหายไปหมด นี่จะพูดอย่าง.. อย่างเอาเปรียบนะ ก็พูดว่า คำว่า ธรรม มันหมายถึง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ยกเว้นอะไรอยู่แล้ว นั้นร่างกายของเรานี่ก็คือธรรม จิตใจของเราก็คือธรรม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กระดูก เลือดเนื้ออะไรของเราทั้งหมด ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า ธรรม
จิตใจ ความรู้สึกคิดนึกของจิตใจ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรม ตามความหมายของภาษาบาลี ทีนี้เราจะไม่เอาธรรมอย่างไรได้ เราจะไม่เป็นธรรมอย่างไรได้ เพราะโดยธรรมชาติ มันก็เป็นธรรมเสียแล้ว มันมีแต่จะปรับปรุงให้มันถูกต้องตามทางธรรมยิ่งขึ้น ให้ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กระดูก เลือดเนื้อ นี่มันเป็นธรรม ให้จิต ความคิดรู้สึกนึกอะไรต่างๆ ให้มันเป็นธรรม เป็นธรรมทั้งเนื้อทั้งตัวกันอย่างนี้สิ ไม่มีทางที่จะแก้ไขสิ่งใดให้ดีได้โดยปราศจากธรรม โดยไม่อาศัยธรรม
ก็สรุปได้ต่อไปว่า ปัญหาต่างๆ ทางสังคมหรือทางอะไรก็ดี ล้วนแต่เกิดมาจากการที่ไม่ประพฤติให้ถูกต้องตามธรรม ปัญหาสังคมและมูลเหตุแห่งปัญหาสังคม มาจากการที่ไม่ได้ประพฤติให้ถูกต้องตามธรรม ความยากจนของมนุษย์นี่ ก็เพราะมันไม่ได้ประพฤติให้ถูกต้องตามธรรม มันถึงยากจน ไปสอนให้มันรู้จักประพฤติถูกต้องตามธรรม มันก็จะแก้ความยากจนของมันได้เอง ถ้าไปมัวช่วยมันแต่ทางวัตถุ มันก็จะโง่มากขึ้นมนุษย์มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีอนามัยไม่ดี เพราะมันไม่ได้ประพฤติให้ถูกต้องตามธรรม มันไม่รู้จักว่าไอ้เนื้อตัวของมันเป็นธรรม ที่จะต้องประพฤติให้ถูกต้องตามธรรม มันโง่ มันจึงเจ็บไข้ได้ป่วย มีอนามัยเสื่อมทราม ก็ไปบอกให้มันประพฤติให้ถูกต้องตามธรรมสิ
มันไม่รู้หนังสือ ถ้าคำว่า หนังสือ มันหมายถึง ไอ้เครื่องมือสำหรับจะให้ รู้ธรรมมันก็ดีหล่ะ ต้องทำให้มันรู้หนังสือ ให้มันหายโง่ แต่เราได้พูดกันมาแล้วว่า เพียงแต่รู้หนังสือนั้นมันไม่พอ รู้หนังสืออย่างที่ฝรั่งรู้นะ ก็จะใช้ไอ้ความรู้นั้นทำลายโลก ต้องรู้หนังสือชนิดที่เป็นเครื่องมือที่นำไปสู่พระเจ้า ไม่ใช่นำไปสู่การทำลายโลก ฉะนั้นหนังสือนั้นหมายถึง สิ่งที่ให้เกิดความเฉลียวฉลาด แล้วใช้ความเฉลียวฉลาดนั้นให้ถูกต้องอีกทีหนึ่ง จึงจะเรียกว่า รู้หนังสือ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ยิ่งรู้หนังสือยิ่งเป็นอันธพาล ก็มาถึงปัญหาอันธพาลลุกลาม เพราะอันธพาลเหล่านั้นไม่ประพฤติตนให้ถูกต้องตามธรรม เพราะอันธพาลนั้นไม่รู้ธรรม
คำว่า อันธะ แปลว่า มืด เธอจำให้ดี ภาษาบาลี คำว่าอันธะ ธ ธง สะกด เอ้อ..ธ. ธง การันต์ นั้นแปลว่า มืด มืดอย่างกลางคืน แล้ว พาล นั้น แปลว่า ยังอ่อนอยู่ ในภาษาบาลี คำว่า พาล ไม่มีความหมายร้ายกาจอะไรนัก ไม่เหมือนในภาษาไทย คำว่า พาล ในภาษาบาลี แปลว่า ยังอ่อนอยู่ ผลไม้ยังอ่อนอยู่ เด็กๆ พึ่งคลอดยังอ่อนอยู่ อะไรที่ อ่อนอยู่ๆ เรียกว่า พาล ทั้งนั้น ทีนี้เนื่องจากยังอ่อนอยู่ มันยังไม่รู้อะไรมันจึงทำอะไรผิดๆ ด้วยความโง่ ด้วยความเขลา ด้วยความเป็นพาล หมายถึงมันยังอ่อนต่อความรู้ อ่อนต่อความเจริญ
แต่ในภาษาไทย หมายถึง อันธพาล หมายถึง ไอ้ผู้ที่ประพฤติชั่วโดยตรง ก็ได้เหมือนกัน เพราะถ้ามันไม่รู้ มันอ่อนแก่ความรู้ ก็ต้องประพฤติชั่ว ไปตามอำนาจของกิเลส เพราะกิเลสมันมาเป็นเจ้าเรือน นั้นคนหนุ่มจึงเป็นพาลได้ง่าย เพราะมีกิเลสกล้า ทั้งหญิงทั้งชาย ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ไปนุ่งกระโปรงชนิดที่ ยั่วให้เขามาฆ่าตัวเอง นี้จะเรียกว่าอันธพาลหรือไม่อันธพาลล่ะ มันอ่อน มันอ่อนต่อความรู้ อย่างมืด มืด มืดเหมือนกลางคืน ทีนี้ อันธพาลอื่นๆ มันก็ประดังเข้ารอบตัวสิ เพราะเรามันเป็นอันธพาลเสียเอง แล้วไปโทษใคร
ไอ้เรื่องต้องคุมกำเนิดนี่ก็เหมือนกัน เพราะว่ามันอ่อนต่อความรู้ในทางธรรม ถ้ามันมีความรู้ทางธรรมมันก็คุมได้เอง โดยไม่ต้องอาศัยวัตถุ ไม่ต้องอาศัยไอ้สิ่งที่จัดที่ทำกันอยู่เดี๋ยวนี้ ที่จะทำให้คนเสื่อมศีลธรรมยิ่งขึ้น ไปดูในแง่นี้กันบ้างนะ คุมกำเนิดทางวัตถุ จะทำให้คนเสื่อมศีลธรรมมากขึ้นคนหนุ่มคนสาวจะประพฤติผิดศีลธรรมมากขึ้น นั้นมันเป็นส่วนเสีย แล้วต่อไปปัญหามันจะมากกว่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เรามีปัญหาว่ามีคนมันมากไป จะควบคุม แต่แล้วควบคุมทางวัตถุนี่ จะเพิ่มปัญหาอย่างอื่นมากขึ้นไปอีก เป็นเรื่องน่าหัวเราะ
ต้องเอาพระธรรมเข้ามา รู้จักควบคุมด้วยพระธรรม ควบคุมด้วยจิตใจ เคยอ่านเรื่องราวของพวกฮิบบริว พวกยิวสมัยก่อนโบราณนั่น ก่อน ก่อน ก่อนพระเยซูด้วยซ้ำไป ศีลธรรมเรื่องควบคุมความรู้สึกทางกามารมณ์สูงมาก ยกตัวอย่างเช่น เกี่ยวกับสามีภรรยานี่ มันมีวันที่บัญญัติไว้ ที่ทำให้ เข้าไปในห้องของภรรยาไม่ได้นั้นมาก เดือนหนึ่งเหลือไม่กี่วัน วันพระ วันศักดิ์สิทธิ์ นั้นมันก็มีเสียหลายวัน กระทั่งวันที่สตรีมีโรคของประจำเดือนของสตรี กระทั่งเหตุผลอย่างอื่นมีอีกมาก ทำให้เข้าไปในห้องของภรรยาได้เดือนหนึ่งสองสามวันอะไรทำนองนั้น และอยู่ได้ไม่เกินชั่วโมง งั้นโอกาสที่จะมีพลเมืองล้นโลกมันก็น้อยเข้า
นี่เรียกว่าควบคุมกำเนิดทางด้านศีลธรรม ทางด้านวิญญาณ ทางอาศัยธรรมะ นี้คนมีจิตใจดี จิตใจสูง ไม่มีปัญหาลามกอนาจาร เสื่อมเสียศีลธรรมอยู่ มืดๆ ลับๆ เดี๋ยวนี้ไอ้กฎเกณฑ์เหล่านี้ถูกหัวเราะเยาะ โดยพวกที่เจริญทางวัตถุ ทางเนื้อหนัง แล้วเราก็ไปตามก้นเขา มันตรงกันข้ามแล้ว เขาอยากประกอบกิจกรรมทางเพศทั้งวันทั้งคืน ทั้ง ๒๔ ชั่วโมงนี่มากกว่า ถ้าจะพูดถึงการคุมกำเนิดแล้วก็ต้องระวังสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับการเสื่อมศีลธรรมด้วย ถ้ามิฉะนั้นแล้วปัญหาสังคมจะมีมากกว่าที่มีอยู่เดี๋ยวนี้อีกหลายร้อยเท่า
ที่พูดไปถึงปัญหาทางเศรษฐกิจ การเมือง สงคราม หรืออะไรเหล่านี้ มันเป็นปัญหาที่มองเห็นชัดว่า มันล้วนแต่ขาดธรรมะทั้งนั้น ไม่มีทางอื่นที่จะแก้ไขนอกจาก ทำให้ธรรมะกลับมา แต่แล้วที่สุดมันก็เป็นตรงกันข้ามหมด ไม่มีใครชอบธรรมะ ไม่บูชาธรรมะยิ่งขึ้นทุกที หันหลังให้ธรรมะให้ศาสนายิ่งขึ้นทุกที ถึงกับขนาดเหยียบย่ำธรรมะ ซึ่งหน้า รู้อยู่ว่าอย่างนี้ผิดธรรมะ มันก็เหยียบธรรมะเสีย ก็ทำไปตามชอบใจ ตามกิเลส นี้ในโลกกำลังเป็นอย่างนี้มากขึ้นทุกที สันติภาพเกิดไม่ได้ สังคมไม่เป็นสุขได้ เพราะในที่ประชุม ที่จะสร้างสันติภาพนั่นเอง มีการเหยียบย่ำธรรมะ มีการตลบแตลง มีการหน้าไหว้หลังหลอก มีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละคือเหยียบย่ำธรรมะ อ้าวก็เหยียบไปสิ คนโง่มันก็ทำไปอย่างนั้น แล้วธรรมะมันก็ตบหน้าให้หกคะเมน ไปกี่นอนกี่ทอดก็ตามใจสิ นี่ธรรมะหรือพระเจ้าจะตบหน้าให้อย่างนี้เสมอ คือมนุษย์มีปัญหามากขึ้น มีทุกข์มากขึ้น ใกล้มิคคสัญญีเข้าไปตามลำดับ เพราะมนุษย์มันตั้งสมาคมกัน อะไรหล่ะ ตบตาพระเจ้า ตบตาธรรมะ หลอกลวงธรรมะ กระทั่งเหยียบย่ำธรรมะ ธรรมะก็ลงโทษให้ มากขึ้นๆ ๆ จนเดี๋ยวนี้เรียกว่าถึงขนาดที่จะนอนไม่หลับกันอยู่แล้ว
ในเมื่อสมัยโน่น สมัยโบราณโน้นเขานอนไม่ต้องปิดประตู ทำบ้านไม่ต้องทำประตูก็ได้ มันมีอะไรอีกมากที่เขาสรุปไว้ในคำว่านอนไม่ต้องปิดประตู เพราะว่ามีธรรมะเป็นประตู ขโมยไม่เข้าไปได้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะเป็นอย่างนี้ ตัวมันเองเป็นอย่างนี้ มันเกี่ยวข้องกับมนุษย์อย่างนี้ มนุษย์มีความจำเป็นที่จะต้องมีธรรมะเป็นเนื้อเป็นตัวตลอดไป ปัญหาสังคมหรือมูลเหตุของปัญหาสังคม มันอยู่ที่ความไม่มีธรรมะ นี่ยุติกันได้อย่างนี้ เวลาของเราหมด พอกันทีสำหรับวันนี้