แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิกและท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายเนื่องด้วยการทำบุญล้ออายุตอนที่ ๓ ในค่ำนี้ อยากจะพูดกันถึงปัญหาทั่ว ๆ ไปที่เกี่ยวกับพุทธบริษัทประเภทฆราวาสเป็นส่วนใหญ่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็อยากจะบอกกล่าวให้ทราบ ให้ทราบว่าปณิธานความปรารถนาของอาตมาที่มีอยู่ประจำใจ ประจำตัวนี้มีอยู่ ๓ ปณิธานด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้มีอยู่ว่า ข้อที่หนึ่ง ต้องการจะทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา ข้อที่สอง ต้องการจะดึงเพื่อนมนุษย์ เพื่อนสัตว์ทั้งหลายออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม และข้อที่สามคือการช่วยให้เกิดความเข้าใจอันถูกต้องในศาสนาของตน ๆ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ถึงที่สุด ขอให้ท่านทั้งหลายพยายามทำความเข้าใจว่างานต่าง ๆ ที่ทำอยู่หลายอย่าง เช่น การพิมพ์โฆษณาทางหนังสือก็ดี การเทศนาสั่งสอนด้วยปากอะไรก็ดี การมีสวนโมกข์นี้ก็ดี ก็เพื่อให้สำเร็จตามปณิธาน ๓ ประการนี้ทั้งนั้นเลย ความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนานั้นเป็นความมุ่งหมายที่กว้างขวาง เพราะว่าศาสนามีมากมายหลายศาสนาในโลกนี้ ต่างศาสนาต่างไม่มีความเข้าใจอันดีต่อกันและกันในระหว่างศาสนา มองดูกันในฐานะอย่างน้อยก็เป็นคู่แข่งขัน อย่างมากก็ถึงกับเป็นปรปักษ์ เป็นศัตรูคู่ล้างผลาญกันไปเสียก็มี ทีแรกอาตมาก็พลอยเป็นกับเขาอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน นี้เป็นความโง่ที่ต้องเอามาล้อแล้วล้อเล่า ล้อแล้วล้ออีกในเวลานี้ มันเคยโง่ จนถึงกับมีความคิดนึกในระหว่างศาสนาในแง่ร้าย คือเป็นคู่แข่งขันกัน เพราะเกิดมาเป็นเด็กมันก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่าว่า เราก็เรา เขาก็เขา ก็เคยเป็นอย่างนี้อยู่พักหนึ่ง ต่อเมื่อได้ศึกษาศาสนานั้น ๆ โดยเฉพาะพุทธศาสนาของเราเอง จนเข้าไปถึงใจความหรือหัวใจ หรือธรรมหฤทัยของศาสนาแล้ว จึงได้รู้ว่าศาสนาต่าง ๆ นั้น มีหัวใจอย่างเดียวกัน คือต้องการจะขจัดความชั่ว กิเลส เครื่องเศร้าหมอง แล้วก็ไปรวมอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว แล้วก็ศาสดาของศาสนาทุกศาสนาก็พอจะกล่าวได้ว่า ทุกองค์มุ่งหมายประโยชน์แก่มนุษย์ ไม่ได้มุ่งหมายจะให้เป็นโทษแก่มนุษย์ ก็ได้พยายามทำไปในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์ แล้วต่อมาสาวกในศาสนานั้น ๆ มันออกนอกลู่นอกทางของพระศาสดาของตน เพราะสิ่งเดียวกันอีกคือความเห็นแก่ตัว พอพระศาสดาล่วงลับไป สาวกก็เกิดแย่งชิงกันที่จะเป็นพระศาสดา ถึงกับทะเลาะวิวาทกันอย่างนี้ก็มีอยู่เป็นอันมาก ไม่เข้าใจความมุ่งหมายของพระศาสดาและของศาสนาของตน ๆ ว่าต้องการจะทำลายความเห็นแก่ตัว นี่คือความสำคัญอย่างยิ่งที่ว่ามนุษย์เราจะต้องทำความเข้าใจอันดีต่อกันในระหว่างศาสนา มิฉะนั้นแล้วสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ก็จะกลายเป็นเครื่องมือสำหรับทำลายล้างซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับในวงศาสนาหนึ่ง ๆ ก็ยังแบ่งเป็นพวก ๆ หรือเป็นบุคคล ๆ แต่ละคน อวดอ้างความรู้ของตน ข่มขี่ผู้อื่น ทำลายผู้อื่น อย่างนี้เป็นสิ่งที่น่าเศร้าสำหรับมนุษย์ ดังนั้นจึงมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่เป็นปณิธาน ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้ายังมีชีวิตรอดอยู่เพียงใด จะพยายามทำความเข้าใจอันดีในระหว่างกันและกัน ในระหว่างศาสนานี้ จนสุดความสามารถ ถ้าทำได้มันก็จะขจัดวิกฤติการณ์หรือโชคร้าย กระทั้งขจัดสงครามในโลกได้ จะเป็นการรวมชาติทั้งหมดให้เป็นชาติเดียวกัน รวมศาสนาทุกศาสนาให้เป็นศาสนาเดียวกันก็เป็นไปได้ มันอยู่ที่ความสามารถของเรา ส่วนธรรมชาตินั้นมันเป็นอยู่เองแล้ว เมื่อศาสนาทุกศาสนาต้องการเหมือนกันจะกำจัดความเห็นแก่ตัว ทีนี้เรามันโง่ไปเอง มองเห็นไปในแง่อื่น คือมองไปแต่ในแง่ที่จะให้ขัดขวางแก่กันและกัน นี่เป็นเสียอย่างนี้ นี่ก็เป็นเรื่องน่าล้อ น่าดูถูกดูหมิ่นอย่างหนึ่งของมนุษย์ในปัจจุบันนี้ ที่ว่าเจริญถึงที่สุด จนมาอยู่ในยุคของปิงปอง โลกยิ่งอยู่ในยุคของปิงปองเท่าไรมันก็ยิ่งมีความขัดกัน ชนิดที่เรียกว่ากระดอนไปกระดอนมาอย่างหน้าไหว้หลังหลอกซึ่งกันและกันมากขึ้น แต่เราก็ต้องไม่ท้อถอย จะต้องพยายามตามความสามารถ จนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่ นี่แหละคือปณิธานข้อแรกของอาตมา
ปณิธานประการที่สอง ต้องการจะดึงเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายทั้งหลาย ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม เดี๋ยวนี้ภูติผีปีศาจแห่งวัตถุนิยมกำลังครองโลก กำลังสิงลงไปในจิตใจของมนุษย์ยิ่งขึ้นทุกที ทำมนุษย์นี้ให้ตกเป็นทาสของวัตถุนิยม อย่างหลับหูหลับตา เมื่อพูดถึงวัตถุนิยมแล้วก็ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องอธิบายอะไรกันอีกว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว มันเป็นความยั่วยวน ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังซึ่งใครดื่มด่ำมึนเมาเข้าแล้ว มันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัวจนไม่ดูหน้าใคร ทีนี้โลกจึงมีวิกฤติการณ์ คือเป็นสมัยที่กระวนกระวายระส่ำระสายเต็มไปด้วยปัญหานานาชนิดที่ล้วนแต่นำมาซึ่งความทุกข์ทั้งนั้น ถ้าหากว่าสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ไม่ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยมแล้ว มันก็จะมีวิกฤติการณ์ชนิดนี้เป็นการถาวรตลอดกาลไปทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงสันติภาพ เกี่ยวกับเรื่องโทษอันร้ายกาจของวัตถุนิยมนี้ เคยพูดมาแล้วหลายครั้งหลายหน พูดแล้วพูดอีกว่าโลกสมัยนี้เป็นโลกที่เดือดร้อยอย่างยิ่งก็เพราะสิ่ง ๆ เดียวคือวัตถุนิยม คอมมิวนิสต์ก็เป็นวัตถุนิยม เสรีประชาธิปไตยก็เป็นวัตถุนิยม เป็นกันคนละอย่าง หมายความว่าต้องการวัตถุ ต้องการวัตถุทั้งหมดในโลกจึงต้องการจะครองโลก เพื่อใช้วัตถุนั้น ๆ บำรุงบำเรอกิเลสตัณหาของตน ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเพื่ออยู่สงบสุข มันต้องการไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งมัวเมามากเข้าเท่าไร มันก็ยิ่งลืมตัวมากขึ้นเท่านั้นฉะนั้นขอให้ทุกคนช่วยกันพิจารณาดูในข้อนี้ให้ดี ๆ ว่าการดึงเพื่อนมนุษย์ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยมนั่นแหละจะช่วยโลกนี้ได้ แล้วนี่ก็เป็นวัตถุประสงค์มุ่งหมายของพระพุทธศาสนาซึ่งไม่ใช่วัตถุนิยม ต้องการจะให้คนมีความสะอาด สว่าง สงบจากกิเลส แต่แล้วก็ทำไปได้โดยยาก เพราะว่าโลกในสมัยปัจจุบันมันกำลังหันไปเป็นทาสของวัตถุนิยมนั้นเอง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรจะท้อถอย ควรจะมีปณิธานในการพยายามที่จะทำความเข้าใจกันในเรื่องนี้ ทำได้เท่าไรก็เป็นบุญเป็นกุศลเท่านั้น คือว่าช่วยดึงเพื่อนมนุษย์กันออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยมที่ทำให้เห็นแก่ตัว ทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง นี้เป็นปณิธานประการที่สอง
ประการที่สามนั้นมีความสำคัญที่สุด คือต้องการจะให้เกิดความเข้าใจอันถูกต้องในศาสนาของตน จนได้รับประโยชน์ถึงที่สุด เดี๋ยวนี้แต่ละศาสนา แม้พระพุทธศาสนาเราก็กำลังตกอยู่ในปัญหาอันนี้ คือว่า พุทธบริษัทไม่เข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนา แล้วก็ไม่ได้รับประโยชน์จากการมีพระศาสนาตามที่ควรจะได้รับ มันได้รับน้อยเกินไป หรือมันได้รับอย่างละเมอเพ้อฝัน ถ้าเรามีความเข้าใจถูกต้องก็จะได้รับประโยชน์ของศาสนาถึงที่สุด ก็จะสามารถขจัดปัญหาที่เป็นความทุกข์ส่วนบุคคลแล้วสังคมก็จะดีขึ้น ทุกอย่างก็จะเป็นไปในทางที่น่าพอใจ แต่แล้วมันก็เป็นเรื่องยากลำบากอย่างเดียวกันที่จะทำให้คนเข้าใจศาสนาของตนอย่างถูกต้องด้วยกันทุกศาสนา ดังนั้นเรามาตั้งปณิธานว่าส่วนที่เป็นหน้าที่ของเราคือพุทธศาสนานี้ เราต้องช่วยกัน ทำให้เกิดความเข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้น ให้ได้รับประโยชน์ตรงตามความมุ่งหมายของพุทธศาสนาให้มากขึ้น นี้คือปณิธานซึ่งจะฝากท่านทั้งหลายไว้ทุกคนว่า ถ้าเห็นด้วยก็ขอให้ช่วยกัน คือร่วมมือกันทำให้ปณิธานอันนี้กลายเป็นของทุกคน แล้วก็ช่วยกันทำให้เกิดความสำเร็จสมตามปณิธานนั้น มีความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา พาเพื่อนมนุษย์ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม ได้รับประโยชน์ในศาสนาของตน ๆ ถึงที่สุด
ทีนี้ก็มาถึงอุปสรรคที่มันเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้ จะเรียกว่าปัญหาของสัตบุรุษในยุคปัจจุบัน ใช้คำว่าสัตบุรุษคือผู้ที่เป็นสมาชิกในพระศาสนา สัตบุรุษแปลว่าบุรุษผู้มีความสงบ ผู้หวังความสงบ ผู้เผยแผ่ความสงบ ผู้ทำอะไรทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวกับคำว่า เอ้อ, ที่เกี่ยวกับความสงบ คำว่าสัตบุรุษหมายความอย่างนี้ ไม่ได้หมายความแต่เพียงว่าคนไปนอนวัด ถือศีล แล้วก็เป็นสัตบุรุษขึ้นมา นั้นมันก็ถูกเหมือนกัน แต่มันยังน้อยเกินไป สัตบุรุษต้องเป็นคนสงบ ชักชวนในความสงบ ส่งเสริมความสงบ พยายามทำให้เกิดความสงบขึ้นในสังคมในโลก
พุทธบริษัทเป็นสัตบุรุษตามความหมายของพุทธศาสนา จึงมีความมุ่งหมายที่จะช่วยกันทำโลกนี้ให้มีความสงบ อย่างน้อยก็ให้สังคมของเราโดยใกล้ชิดนี้มีความสงบ แล้วปัญหามันก็เกิดขึ้น มีอยู่หลายอย่างหลายประการ ปัญหาที่เห็นอยู่ได้ชัด ๆ ข้อหนึ่งก็คือว่าเราพูดกันไม่รู้เรื่องมากยิ่งขึ้นทุกที คือเราพูดกันไม่รู้เรื่องแม้กับลูกกับหลานของเราเอง นี่ก็เป็นอำนาจของวัตถุนิยม มาย้อมใจลูกหลานให้เปลี่ยนแปลงไปจากระเบียบแบบแผน พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องมากขึ้นทุกที ใช้คำว่ามนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่องมากขึ้นทุกที แม้กับลูกกับหลานของตนเอง ถ้าดูโดยรายละเอียดก็เห็นว่ามีอยู่ทั่วไปหมดไม่ว่าในกรณีไหน มันพูดกันไม่รู้เรื่อง ต่างคนต่างไม่ยอมฟัง ไม่ยอมเข้าใจ ไม่ยอมคิดไปตาม สิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยก็มีส่วนทำให้พูดกันไม่รู้เรื่องด้วยเหมือนกัน คือมันบ้าเสรีภาพ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าบ้านี้ ถ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว มันก็ทำความยุ่งยากลำบากไปเสียทั้งนั้น ประชาธิปไตยของพวกวัตถุนิยมนั้น มันไม่ใช่ประชาธิปไตยอะไรที่ไหน มันเป็นแต่เพียงการจะชวนกันทำความฉิบหายพร้อม ๆ กันเท่านั้น คือไปหลงบูชาวัตถุนิยมวัตถุพร้อม ๆ กัน แล้วมันก็ทะเลาะวิวาทกันอย่างมีเสรีภาพ มีเสรีภาพในการที่จะทะเลาะวิวาทกันหรือด่ากัน ฉะนั้นก็คือเรื่องที่พูดกันไม่รู้เรื่อง สภานั้นไม่ใช่สภา เพราะว่าไม่มีสัตบุรุษ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มีสัตบุรุษแล้วมันไม่ใช่สภา มันเป็นเพียงพวกนักเลง รวมหัวกัน ทะเลาะกันเท่านั้น นี่ขอให้ดูให้ดี ๆ ว่า แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยนี้ มันก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้พูดกันไม่รู้เรื่องยิ่งขึ้นทุกที
ทีนี้ดูออกไปอีกนิดหนึ่งก็จะเห็นได้ว่าแม้รัฐบาลกับประชาชนก็พูดกันไม่รู้เรื่องยิ่งขึ้นทุกที ถ้าเทียบกันอย่างสมัยก่อนแล้ว ยังเห็นได้ว่ามันผิดกันไกล รัฐบาลกับประชาชนยังพอพูดกันรู้เรื่อง เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นพูดกันไม่รู้เรื่อง แล้วมันก็เนื่องมาจากประชาธิปไตยด้วยเหมือนกัน ระบอบประชาธิปไตยจะทำความเสมอภาค ไม่มีเจ้าไม่มีนายอะไรทำนองนี้ แล้วก็ดูบ้างว่ามันเป็นอย่างไร สมัยก่อนถ้าใครเป็นเสนาบดี แม้ขนาดปลัดทูลฉลองอย่างนี้ คนไม่กล้าเรียกว่าไอ้นั่นไอ้นี่ เดี๋ยวนี้ให้เป็นถึงนายกรัฐมนตรี คนก็เรียกทำนองว่าไอ้นั่นไอ้นี่ ไม่ได้แสดงคารวะ ไม่ได้แสดงความเคารพ แม้แต่สักว่าจะฟังว่าจะพูดว่าอะไร ล้วนแต่ตั้งใจจะคัดค้านกันเสียตะพึด รู้เรื่องแต่จะคัดค้านกันอย่างเดียว แล้วมันจะพูดกันรู้เรื่องได้อย่างไร นี่เรียกว่าสมัยนี้เป็นสมัยที่พูดกันไม่รู้เรื่องมากยิ่งขึ้น แม้กับลูกกับหลานของตัวเอง นี่คือปัญหาของสัตบุรุษในพุทธศาสนาที่ว่าจะช่วยกันทำโลกนี้ให้มีความสงบสุข มันก็มาทำกันกับผู้ที่พูดกันไม่รู้เรื่อง มันก็น่าท้อใจ แต่แล้วมันก็ต้องพยายามทำไปเท่าที่จะทำได้อยู่นั่นเอง
ทีนี้อีกข้อหนึ่งอยากจะพูดลงไปตรง ๆ ว่าเราจะต้องอยู่ร่วมโลกกับคนบ้ามากยิ่งขึ้นทุกที คำว่าบ้านี้มันกว้างขวางนักจนไม่รู้ว่ามีกี่ร้อยจำพวก แต่ที่ลำบากที่สุดก็คือบ้าทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ ไปบ้าหาความทุกข์มาใส่ตัว ฟังดูแล้วมันไม่น่าเชื่อว่าใครบ้างจะบ้าหาความทุกข์มาใส่ตัว แต่แล้วมันกลับมีมากกว่าอย่างอื่น คือมันบ้าทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ ไม่จำเป็นต้องทำ แล้วมันบ้าไม่ทำในสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำ อย่างนี้มันมากยิ่งขึ้นสิ่งที่ควรทำหรือจำเป็นจะต้องทำ คือการบังคับตัวเอง การปฏิบัติธรรมนี้ มันกลับไม่ทำ แล้วสิ่งที่มันไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขอะไรก็ไปทำ เพื่อ เพียงเพื่อความสนุกสนาน เพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เพียงเพื่อประโยชน์จะข่มขู่ผู้อื่นนี้ก็ทำกันเสียเป็นวรรคเป็นเวร เมื่อลงบ้า ๒ อย่างนั้นแล้ว มันก็บ้าต่อไป คือบ้าไม่รู้จักศาสนา เกลียดศาสนา เกลียดพระเจ้า เหยียบย่ำศาสนา เหยียบย่ำพระเจ้าโดยไม่รู้สึกตัว อย่างดีที่สุดก็บ้าใช้ศาสนาเป็นเครื่องประดับเกียรติประดับบารมีของตัว ใจไม่ได้นับถือศาสนา แต่ก็นิมนต์พระเจ้ามาทำพิธีอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อประดับเกียรติประดับบารมีของตัวอย่างนี้มันมีมากขึ้นทุกที นี่บ้าอย่างอื่นไม่สำคัญเท่ากับบ้าอย่างนี้ เพราะมันเป็นอันตรายอย่างลึกซึ้ง เมื่อเราต้องอยู่ร่วมโลกกับคนบ้ามากยิ่งขึ้นทุกทีอย่างนี้ มันก็น่าท้อใจด้วยเหมือนกัน แต่มันก็ไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่า พยายามช่วยกันแก้ไขไปตามเรื่อง
ทีนี้อยากจะแนะให้สังเกตดูใกล้ ๆ ง่าย ๆ ว่าเดี๋ยวนี้เราฟังเทศน์ไม่รู้เรื่องกันมากยิ่งขึ้นด้วยเหมือนกัน การฟังเทศน์ไม่รู้เรื่องยังคงมีอยู่ ไม่ใช่ว่าจะหมดไป การฟังเทศน์ตามประเพณีหรือการเทศน์ตามประเพณีมันก็ยังมีอยู่กระทั่งเดี๋ยวนี้ กระทั่งในยุคปรมาณู ยุคอวกาศ ยุคไปโลกพระจันทร์ ยุคปิงปอง ก็ยังมีเทศน์ตามประเพณี ฟังเทศน์ตามประเพณีไม่รู้เรื่องอยู่นั่นเอง คนฟังเป็นคนหัวใหม่แล้ว มีการศึกษาแล้ว คนเทศน์ยังหัวเก่าอยู่ก็มี แต่เป็นสมภารมีอิทธิพลมันก็ยังเทศน์ได้อยู่ไปตามแบบเก่า คนที่มีการศึกษาอย่างใหม่ก็ฟังไม่รู้เรื่องอย่างนี้ก็มี ทีนี้คนเทศน์เป็นคนหัวใหม่แล้ว แต่คนฟังมันยังหัวเก่าอยู่ มันก็ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน แล้วแถมจะถูกด่าด้วย ดูให้ดีจะเห็นว่าคนฟังนี่ มันหายใจเป็นวัตถุนิยม ได้ของ ได้เงิน ได้ทองนั่นแหละเป็นดี คนฟังเป็นเสียอย่างนี้ แต่คนเทศน์ต้องเทศน์ไปตามเนื้อผ้า ตามเนื้อหาของศาสนาที่ว่าอย่าไปหลงในสิ่งที่มันจะทำให้เกิดเป็นทุกข์เป็นร้อนขึ้นมา คนหนึ่งเห็นกงจักรเป็นดอกบัว คนหนึ่งเห็นดอกบัวเป็นกงจักร หรืออะไรทำนองนี้ มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง เกี่ยวกับเรื่องฟังเทศน์นี้ ได้พยายามแก้ไขกันมาเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ได้ผลตามที่ต้องการ จึงขอกล่าวย้ำไว้ในที่นี้สักทีหนึ่งว่าช่วยกันปรับปรุงการฟังเทศน์หรือการเทศน์นี้ให้มันดีขึ้นอีก เพราะว่าที่แท้แล้วการฟังเทศน์นั้น ควรจะจัดให้มันเป็นเหมือนกับการลงปาติโมกข์ ชาวบ้านยังไม่ค่อยจะรู้ว่าการลงปาติโมกข์นั้นคือทำอย่างไร การลงปาติโมกข์ก็คือเอาข้อวินัยแต่ละข้อมาพูดขึ้นทีละข้อ ๆ ให้คนฟังนึกไปตาม พอรู้ว่าทำผิดในข้อนี้ก็ให้พูดขึ้นมาทันที ให้ทะลุสารภาพขึ้นมาทันทีในที่ประชุมนั้น มันก็ได้ผล คือเหมือนกับการซักฟอกหรือว่ากลั่นกรองอยู่ตลอดเวลา ทีนี้การฟังเทศน์นี้ เมื่อควรจะจัดให้เป็นการระบุข้อธรรมะขึ้นมา เพื่อทดสอบกับการปฏิบัติของตนว่าทำผิดหรือทำถูกอยู่อย่างไร ทดสอบส่วนที่ผิดก็เพื่อจะเปิดเผยเสีย ถ้าเห็นว่ามันถูกก็คงปฏิบัติต่อไป ส่วนที่ผิดก็แก้ไข ฉะนั้นการเทศน์ที่เรียกว่าล้ออายุในวันนี้มีความมุ่งหมายอย่างนี้ เพราะเหตุนี้แหละจึงไม่เทศน์อย่างเป็นพิธี ตามระเบียบพิธีของการเทศน์ มาพูดกันตรง ๆ พูดไปทีละอย่าง ๆ เหมือนกับล้อให้ละอาย เมื่อระลึกได้ก็จะได้เอาไปคิดไปนึก เพื่อจะละมันเสียให้ได้ เพราะฉะนั้นการล้อนี้มันก็ล้อเพื่อจะให้เกิดการแตกสลายของสิ่งที่มันผิด ๆ ให้เหลืออยู่แต่สิ่งที่มันถูก ๆ นี่คือปัญหาที่เผชิญหน้าพุทธบริษัท สัตบุรุษทั้งหลายอยู่ในยุคปัจจุบัน มันมีปัญหาที่เกี่ยวกันอยู่กับศาสนาหรือเกี่ยวกับพุทธบริษัทในยุคปิงปองนี้มากมายหลายประการอย่างนี้ คนก็หันหลังให้ศาสนายิ่งขึ้น แล้วมันกลายเป็นเกลียดศาสนา เกลียดพระเจ้ายิ่งขึ้น มันไม่เพียงแต่หันหลังเฉย ๆ ชาวบ้านก็ดึงการศึกษาออกไปจากศาสนา เอาการศึกษาไปตามก้นพวกฝรั่งก็มี เอาการศึกษาไปไว้ในอำนาจของตัว เพื่อจะจัดไปตามความรู้สึกของตัวก็มี ไม่ยอมมอบศาสนาไว้กับพระโง่ ๆ อีกต่อไปแล้ว ไม่ยอมมอบศาสนา ไม่ยอมมอบการศึกษาไว้กับพระโง่ ๆ อีกต่อไปแล้ว ดึงเอาไปจัดเอง ไม่มอบการศึกษาไว้ในขอบของศาสนาอีกแล้ว ไม่มอบการศึกษาไว้ในวัฒนธรรมที่เนื่องด้วยพระศาสนาอีกแล้ว ไปเอาวัฒนธรรมใหม่ตามก้นพวกฝรั่ง นี่พูดตรง ๆ อย่างนี้ไม่กลัวใครโกรธ การศึกษาถูกดึงออกไปจากขอบเขตของวัฒนธรรมที่แน่นแฟ้นกันอยู่กับศาสนา เอาไปจัดให้เป็นเรื่องของการศึกษา หนังสือล้วน ๆ แล้วก็ให้มันเป็นเรื่องเล่น เรื่องหัว เรื่องอะไรมากขึ้นไปทุกที จนเด็ก ๆ ไม่อาจจะรู้ได้ว่าอันไหนเป็นการศึกษา อันไหนเป็นการเล่น เอาการเล่นไปผสมกับการศึกษา แล้วเด็ก ๆ จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นการศึกษา อะไรเป็นการเล่น อะไรเป็นการศาสนา ตามความเห็นของอาตมาเห็นว่ามันควรจะแยกออกเป็น ๒ เรื่องเสียทีเดียว คือเป็นการศึกษาเรื่องหนึ่ง เป็นการศาสนาเรื่องหนึ่ง แล้วก็ทำให้ดีที่สุดด้วยกันทั้งสองเรื่อง ก็ให้เรื่องศาสนาที่ดีที่สุดนั่นแหละ ไปควบคุมการศึกษา เพื่ออย่าให้การศึกษามันเดินไปผิดทาง อย่าเอาศาสนาไปเป็นทาสของวัตถุนิยม อย่าเอาศาสนาไปเป็นทาสของการศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน ให้แก้ไขให้มันคล้อยตามความประสงค์ของยุคปัจจุบันเป็นเรื่องวัตถุไปเสีย นั่นแหละคือศาสนาล้มละลาย ศาสนาสาบสูญไปโดยเนื้อแท้ ทีนี้ก็มันมีเลอะเลือน อะไร ๆ เพิ่มขึ้นทุกอย่างทุกทาง เพราะว่าสิ่งที่เป็นหลักอันแท้จริงมันล้มละลายไปแล้ว การศึกษามันไปเป็นทาสของวัตถุนิยม เป็นภูติผีปีศาจของความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง นี้การศึกษาล้มละลายแล้ว การศาสนาดึงมาไม่ได้ แล้วยิ่งกว่านั้นก็พลอยตกเป็นทาสของการศึกษาไปเสียอีก คือทางศาสนานี้กลับไปอนุโลมตามชาวบ้าน ให้ศาสนาไปอำนวยประโยชน์แก่เรื่องของชาวบ้าน พระ เณร เรียนเพื่อจะสึกออกไปเป็นลูกเขย หลานเขย คนนั้นคนนี้ นี้ก็เรียกว่าศาสนาไม่มีกำลังพอที่จะเหนี่ยวรั้งอะไรได้ เพราะถูกผันแปรแก้ไข เปลี่ยนแปลงไป พลอยล้มละลายกันไปทั้งการศึกษา และทั้งการศาสนา นี่คือปัญหาที่มันเกี่ยวกับตัวพุทธศาสนาเองที่เรากำลังประสบอยู่ในวันนี้นี่ ต้องเอามาล้อไว้ที่นี่ด้วย
เมื่อมันหาหลักเกณฑ์อะไรไม่ได้มันก็เกิดความเลอะเลือน จะยกตัวอย่างให้ฟังสักเรื่องหนึ่งว่ามันเลอะเลือนมากถึงขนาดที่ว่า ภิกษุนี้มีความสะเพร่ามากขึ้น ไม่มีหลักเกณฑ์ทางธรรม ทางวินัย สะเพร่ามากถึงขนาดนี้แล้ว มันก็พากันลืมไปว่า การบอกเบอร์ให้คนซื้อเบอร์นั้น ถ้ามันไปถูกเข้าจริง ๆ แล้ว มันก็เป็นพันธทัย (นาทีที่ ๓๕.๓๒)ที่จะเป็นอาบัติหนักที่จะต้องรับใช้หนี้สินอันนั้น เพราะบอกเบอร์นี่ก็บอกเพื่อให้เขาถูก มีคนถูก มันก็ต้องมีคนเสียหาย ไปบอกเบอร์เข้าแล้วมีคนถูกอย่างนี้ มันก็ตกเป็นพันธทัย ที่ภิกษุผู้บอกนั้นจะต้องชดใช้ ถ้าหากว่ามีการเรียกร้อง คนเสียหายเขามาเรียกร้อง แล้วไม่ชดใช้ มันก็เป็นอาบัติสูงสุดขนาดหนัก นี่มันก็เป็นการเสียหายหมดอย่างนี้ แล้วก็ไม่มีใครนึก ไม่มีใครคิดข้อนี้ เห็นเป็นว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มีพิษสงอะไร นี้เรียกว่าทางวินัยก็มีความเลอะเลือนอย่างนี้
ทีนี้ดูทางธรรมะกันบ้าง เดี๋ยวนี้มีการพยายามใช้เครื่องมือ คือพระเครื่องมายั่ว มาล่อ มาลวง ให้คนควักสตางค์ออกมาให้ ทำพระเครื่องกันเป็นการใหญ่ เพื่อยั่ว เพื่อล่อ เพื่อลวง ให้คนควักสตางค์ออกมาให้ นี้มันก็หยอกอยู่เมื่อไรลองคิดดูให้ดี ๆ ในแง่ของวินัยก็ดี ในแง่ของธรรมะก็ดี ที่จริงมันเป็นเรื่องยั่ว แต่เมื่อยั่วมันก็หลงได้เหมือนกัน มันก็เลยเป็นเรื่องล่อ เรื่องหลอก เรื่องลวง ให้เขาควักสตางค์ โดยอุบายที่เจตนา คือมีการโฆษณาด้วยเจตนาให้มันถูกหลักวิชา ให้มันคนหลง ให้คนมันหลงมาก ๆ ประกอบการปลุกเสกให้มันน่าอัศจรรย์ แล้วคนมันจะได้หลงมาก ๆ นี้มันก็เป็นการทำด้วยเจตนา โดยใช้หลักจิตวิทยาเป็นเครื่องมือ เจตนาจะให้เขาตกหลุมพราง ควักสตางค์ออกมาให้มาก ๆ อย่างนี้ลองคิดดูว่าในแง่ของวินัยมันเป็นอย่างไร ในแง่ของธรรมะมันเป็นอย่างไร นี่คือตัวปัญหาที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาที่กำลังเกิดอยู่แก่พวกเราพุทธบริษัท ภิกษุสะเพร่าถึงกล้าบอกเบอร์ ภิกษุสะเพร่าถึงหาวิธียั่ว วิธีล่อ วิธีลวง ควักสตางค์ออกมาจากกระเป๋าของเขาได้ มีเรื่องมากมาย พูดไปก็ไม่ไหว ความเสียหายก็เกิดขึ้นอย่างน่าหวาดเสียว น่ากลัว นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความโกลาหล วุ่นวาย ระส่ำระสายไปเสียหมด ไม่เข้ารูปเข้ารอย แล้วต้นเหตุอันแท้จริงมันก็มีนิดเดียว คือข้อที่พวกพระสมัยนี้ ไม่รู้จักไม้กวาด ไม้กวาดสำหรับกวาดลานวัดให้เกรียน พระสมัยนี้ไม่เคยจับ ยิ่งพระกรุงเทพฯแล้วไม่เคยจับไม้กวาด ยิ่งพระที่เรียนในมหาวิทยาลัยแล้วไม่เคยจับไม้กวาด จนไม่รู้จักไม้กวาด พระตามบ้านนอกก็ไม่รู้จักจับไม้กวาด มานั่งรอให้เสียเวลาอยู่เปล่า ๆ จะจับไม้กวาดขึ้นกวาดสักนิดหนึ่งก็ไม่มี มันไม่รู้จักไม้กวาด ไม่รู้จักไม้กวาดหมายความว่าไม่รู้จักวินัย ไม่รู้จักกิจวัตรในพระพุทธศาสนานี้ว่า บิณฑบาต กวาดวัด ลงอาบัติ ทำวัตรสวดมนต์นี้ มันไม่รู้ไปเสียทั้งนั้น ที่จริงเรื่องไม้กวาดนิดเดียวนี้สำคัญมาก ถ้ารู้จักไม้กวาดก็หมายความว่ายังเคารพในวัตรปฏิบัติ กวาดวัดทีหนึ่งมันก็กวาดหัวใจของตัวเองทีหนึ่ง กวาดวัด ๒ ทีมันก็กวาดหัวใจของตัวเอง ๒ ที คนขี้เกียจมันไม่กวาดวัด พอไปกวาดวัดเข้ามันก็หายขี้เกียจ หายเห็นแก่ตัว ฉะนั้นกวาดวัด กวาดลานวัดนั้นคือกวาดหัวใจของบุคคลผู้กวาดนั่นเอง ถ้าเกิดมองกันอย่างนี้ก็เรียกว่ารู้จักไม้กวาด ถ้ารู้จักไม้กวาดแล้วหัวใจมันก็สะอาด สว่าง สงบขึ้นมาบ้างตามส่วน แล้วก็จะไม่ทำอะไรอย่างสะเพร่า ๆ เหมือนอย่างที่กล่าวมาแล้วเป็นตัวอย่างนั้น นี่คือปัญหาที่เกี่ยวกับตัวพุทธศาสนาโดยตรง อยู่ที่ตัววัดวาอาราม อยู่ที่ตัวพระเจ้าประสงค์ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่น่าท้อแท้ แต่มันก็ทำอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากที่จะช่วยกันแก้ไขไปตามเรื่อง ทำให้มันดีขึ้นมา ให้มันถูกขึ้นมา คนอื่นไม่ทำ เราทำก็แล้วกัน อย่าไปว่าเขาเลย ทีนี้ปัญหาในทางการปฏิบัติธรรมมันก็เกิดขึ้น เราสะสางตัวเราเองให้มีการปฏิบัติธรรมให้เป็นธรรม ให้ถูกต้องตามธรรม ให้สมควรแก่ธรรม ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป มานึกถึงปัญหานี้กันดีกว่า เกี่ยวกับข้อนี้อยากจะพูดย้ำแล้วย้ำเล่า ขอให้ช่วยจำไปด้วยให้ดี ๆ ว่าธรรมะหรือพระธรรมนี้ไม่ใช่ของใหม่ หากแต่ว่าต้องศึกษากันเสียใหม่ ธรรมะไม่ใช่ของใหม่ เป็นของเก่ากว่าสิ่งใด ๆ หากแต่ว่าต้องศึกษากันเสียใหม่ อย่าไปมัวหลงว่าธรรมะที่เอามาให้นี้เป็นของใหม่ ธรรมะไม่มีของใหม่ เป็นของเก่าเกิดก่อนสิ่งใด แต่เรามันไม่รู้ เรามันโง่ เรามันหลง เข้าใจผิดทุกทิศทุกทาง พอพูดถึงการปฏิบัติธรรมะ ศึกษาธรรมะ มันก็ดูคล้ายกับว่าเป็นเรื่องใหม่ มันไม่ใช่เรื่องใหม่ มันเป็นเรื่องเก่าก่อนสิ่งใด ที่แล้วมามันไม่พอที่จะเข้าใจ ไม่พอที่จะเข้าถึง ไม่เข้าใจธรรมะ มันก็ไม่เข้าถึงธรรมะ ก็ไม่รู้จักธรรมะ ธรรมะก็เป็นของใหม่สำหรับบุคคลนั้นอยู่เรื่อยไป มันมีแต่ความเชื่องมงาย หรือมีแต่ความจำได้มากเกินไป อย่างดีที่สุดมันก็มีการนอนใจในการได้บุญมากเกินไป กูได้บุญแน่ กูได้บุญพอแล้ว ไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหนแล้ว มันก็นอนใจเสียอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมะ ไม่มีทางที่จะเข้าถึงธรรมะ มันได้แต่เรื่องอะไรในความฝัน ละเมอ ๆ เพ้อ ๆ ไปเท่านั้น เชื่อมาก จำเก่ง แล้วก็นอนใจว่าปลอดภัยแล้ว นี่คือปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม
ทีนี้เรามาตั้งต้นกันใหม่ คือศึกษากันใหม่ในธรรมะที่แสนจะเก่านั่นแหละ ธรรมะเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้อีกแล้ว เพราะธรรมชาติกำหนดไว้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา ก็ได้ทรงแสดงเปิดเผยไปตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ ไม่รู้จักใหม่ แต่แล้วก็แปลกที่ว่าไม่รู้จักเก่า มันเก่าแสนที่จะเก่า แต่มันก็ไม่รู้จักเก่า คือมันยังเหมือนกับใหม่ เอามาใช้เดี๋ยวนี้วันนี้ก็ได้ สมัยปิงปองนี้ยังต้องการธรรมะชนิดเดียวกับสมัยหิน มนุษย์ที่ในสมัยหิน นี่คือธรรมะ มันไม่เกี่ยวกับเก่าหรือใหม่ มันแล้วแต่ว่าคนเข้าไปจัดการอย่างไร ทีนี้เราต้องศึกษากันใหม่ ราวกับว่ามันเป็นของใหม่ไปเสียดีกว่า เพื่อจะให้เข้าถึงหัวใจของธรรมะ หัวใจของธรรมะอยู่ที่ไหน ธรรมะทั้งหมดมีหัวใจอยู่ที่ความไม่ยึดมั่นถือมั่นเท่านั้นเอง คำเดียวเท่านั้นเอง ถ้าไม่เข้าถึงความไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วก็เรียกว่าไม่เข้าถึงหัวใจของธรรมะ ถ้าต้องการบุญก็ให้รู้ว่าบุญมันอยู่ที่ความไม่ยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละ นอกนั้นเป็นบุญปลอม เป็นบุญเฟ้อ เป็นบุญละเมอ จะเข้าใจ จะเข้าถึงหัวใจของธรรมะได้ มันต้องทำถูกวิธี จะว่าเอาเองไม่ได้ มันต้องถูก ทำถูกตามกฎเกณฑ์ของธรรมะ ก็ต้องมีการปฏิบัติกันอยู่จริง ๆ มีอยู่ที่เนื้อที่ตัวจริง ๆ อย่ามีธรรมะในหนังสือ อย่ามีธรรมะในคำพูด มันต้องเป็นธรรมะอยู่ที่กาย ที่วาจา ที่ใจ แล้วก็เป็นธรรมะจริง ๆ ด้วย นี้เรียกว่ามีตนเป็นธรรมะ มีธรรมะเป็นตน อย่างนี้ใช้ได้ ถ้าจะมีตนให้มีที่ธรรมะ อย่าไปมีที่ความยึดมั่นถือมั่น ขอให้นึกถึงคำว่ามีธรรมะเป็นตน มีตนเป็นธรรมะนี้ให้มาก ตัวกูมันจะได้หายไป มันมีอยู่แต่ธรรมะแทน นี่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมะในข้อแรก จงไปพิจารณาให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าธรรมะไม่ใช่ของใหม่ หากแต่ว่าต้องศึกษากันเสียใหม่ ต้องสะสางกันเสียใหม่ ต้องปฏิบัติกันเสียใหม่ ให้ธรรมะเป็นตน ให้ตนเป็นธรรมะให้ได้จริง ๆ
ทีนี้จะแนะให้ดูต่อไปว่ามันมีการสอนหรือการทำที่ไขว้เขวกันอยู่บางอย่าง มัวสอนแต่ว่าให้ปฏิบัติดี ให้ปฏิบัติด้วยการเชื่อในกรรม เชื่อกรรมดี กรรมชั่ว ปฏิบัติเพื่อเป็นไปตามกรรม อย่างนี้มันสอนกันมานานนักหนาแล้ว นอกศาสนาก็สอนอย่างนี้ ศาสนาอื่นก็สอนอย่างนี้ ให้เว้นชั่ว ให้ทำดี มันก็มัวสอนกันอยู่แต่ให้ต้องเป็นไปตามกรรมเสียเรื่อยอย่างนี้ มันไม่ถูก พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ปฏิบัติกรรมชนิดที่เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม ให้มีการประพฤติหรือกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่มันจะนำมาซึ่งความสิ้นกรรม อยู่เหนือกรรม ไม่ต้องเป็นไปตามกรรมนั่น ถ้าต้องเป็นไปตามกรรมชั่ว มันไปนอนอยู่ในนรก ถ้าต้องเป็นไปตามกรรมดี มันไปจมปลักอยู่ในสวรรค์เป็นต้น มันก็คือเวียนว่ายไปในสังสารวัฏ เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องสังสารวัฏ เป็นทะเลขี้ผึ้ง เดี๋ยวเหลวเดี๋ยวแข็งอยู่อย่างนั้นเอง มันมีแต่การปฏิบัติชนิดที่ต้องเป็นไปตามกรรม ไม่รู้จักปฏิบัติเพื่อความสิ้นแห่งกรรมกันเสียเลย แล้วมันก็มัวสอนกันอยู่เท่านี้ว่ากรรมดี กรรมชั่ว ละกรรมชั่ว ทำกรรมดี เพราะว่าคนมันเป็นเด็กอมมือไปหมดแล้ว มันสามารถทำได้เพียงเท่านี้ มันไม่สามารถทำมากกว่านี้จึงสอนกันอยู่เพียงเท่านี้
ทีนี้เรามามองดูคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องกรรมดำกรรมขาว แล้วกรรมไม่ดำไม่ขาว กรรมดำคือกรรมชั่ว กรรมขาวคือกรรมดี กรรมไม่ดำไม่ขาวนั้นอยู่เหนือดี เหนือชั่วจะเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดีกรรมชั่ว หรือกรรมดำกรรมขาว พระนิพพานจะปรากฏต่อเมื่อทำกรรมไม่ดำไม่ขาว อยู่เหนือกรรมดำกรรมขาว วัฏสงสารจะสิ้นสุด ความทุกข์จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อมันอยู่เหนือกรรมดำกรรมขาว คือมันทำกรรมที่ไม่ดำไม่ขาวที่เรียกว่าอริยมรรค อย่าไปเข้าใจอริยมรรคว่าเป็นกรรมดำกรรมขาว หรือกรรมดี กรรมชั่ว อริยมรรคนั้นเป็นกรรมที่สูงพ้นไปจากดีและจากชั่ว มันจะเลิกล้างเสียทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ไม่มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในเรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องสุข เรื่องทุกข์ นี่คือกรรมอริยมรรค กรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ท่านสอนในเรื่องอริยสัจทั้ง ๔ ว่าทุกข์ ว่าเหตุให้เกิดทุกข์ ว่าความดับทุกข์ และหนทางให้ถึงความดับทุกข์ อริยมรรคมีองค์ ๘ จะนำไปให้ถึงปลายทางของความทุกข์ ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป คือไม่เวียนว่ายในวัฏสงสาร
ทีนี้เชื่อกรรมกันมานานนักหนาแล้ว มันพอแล้ว เลื่อนขึ้นไปให้ถึงชั้นอยู่เหนือกรรมกันเสียบ้างเถิด นั่นแหละเป็นตัวพุทธศาสนา มามัวทำกรรมดีอยู่ วัฏสงสารก็ไม่มีทางจะสิ้นสุด แล้วมันก็จมปลัก จมปลักอยู่ในวัฏสงสารชั้นดีนั่นเอง แล้วมันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เบื่อดีมันก็ไปทำชั่ว เบื่อชั่วมันก็ไปทำดี จนกว่ามันจะอยู่เหนือชั่ว เหนือดี นี้คือปัญหาของการปฏิบัติธรรม มันเป็นปัญหาที่ตั้งอยู่ได้ก็เพราะว่าคนทั้งหลายไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าบุญ เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าบุญนั้นมันผิด ฉะนั้นขอให้ฟังดูพระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องบุญกันเสียใหม่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าได้กลัวต่อบุญเลย สมัยก่อนพระพุทธเจ้าท่านชักชวนว่า อย่ากลัวต่อบุญ ให้ทำบุญให้มาก ๆ แต่แล้วพวกชาวบ้านเข้าใจว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าให้ทำบุญชนิดไหน ก็มักจะเข้าใจว่าทำบุญชนิดที่ให้ไปนอนจมปลักอยู่ในสวรรค์ ถ้ามีการเข้าใจที่ถูกต้องมันต้องคิดกันใหม่ ต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่าบุญนี่มันคืออะไร สิ่งที่เรียกว่าบุญนี้ ถ้าว่ากันโดยเหตุ ฝ่ายที่เป็นเหตุแล้ว มันเป็นเครื่องชำระบาป เป็นเครื่องชำระจิตให้ปราศจากบาปคือ โลภะ โทสะ โมหะ เครื่องชำระจิตให้ปราศจาก โลภะ โทสะ โมหะ นั่นแหละมันเป็นบุญ ทีนี้ถ้าไปทำให้มันไปนอนจมปลักอยู่ที่ในสวรรค์นั้น มันจะปราศจาก โลภะ โทสะ โมหะ ได้หรือไม่ ขอให้ไปลองคิดดู บุญถ้าเป็นเหตุก็เป็นชื่อของเครื่องชำระบาป บุญ ถ้าเป็นผลมันเป็นชื่อของความสุข แต่ว่ามันต้องเป็นความสุขแท้ที่มาจากความสะอาด สว่าง สงบ ไม่ใช่ไปนอนจมปลักอยู่ในสวรรค์ชั้นกามารมณ์ นี่คำว่าบุญ ฟังให้ดี ๆ ว่าถ้าพูดอย่างเหตุมันเป็นเครื่องชำระจิต ให้ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ถ้าว่าโดยผลมันเป็นชื่อของความสุข ที่เกิดมาจากความปราศจากโลภะโทสะ โมหะนั่นเอง การที่หลงใหลค้ากำไรเกินควร ทำบุญบาทหนึ่งได้วิมานหลังหนึ่งแล้วอย่างนี้ มันจะชำระบาปหรือไม่ ลองคิดดู มันเพิ่มความโลภหรือไม่ ถ้ามันเพิ่มความโลภแล้ว มันก็ต้องเพิ่มความโกรธด้วย เพราะว่าความโกรธนั้นมันเกิดมาจากการที่ไม่ได้อย่างที่ตัวโลภ เมื่อตัวมันโลภมากไป ความผิดหวังมันก็มีมากขึ้น ความโกรธมันก็ต้องมีมากขึ้น ความโง่มันก็ต้องมีมากขึ้น โลภะ โทสะ โมหะมันช่วยกันทำตัวเองให้มันมากขึ้นได้ในลักษณะอย่างนี้ นี่ก็เพราะเข้าใจคำว่าบุญผิด พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าพวกเธออย่ากลัวบุญ ก็หมายความว่าให้ทำบุญให้มาก แต่มันหมายความว่าให้ทำเครื่องชำระจิตให้หมดจดจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้มาก ไม่ใช่ว่าจะทำบุญเอาสวรรค์วิมาน เหมือนที่พูดกันโดยมากหรือว่าปรารถนากันอยู่โดยมาก มันไม่ใช่บุญที่พระพุทธเจ้าท่านแนะนำว่าพวกเธออย่ากลัวต่อบุญเลย นั่นมันเป็นบุญลูกกวาดสำหรับเด็กอมมือ เพื่อจะชักจูงเกลี้ยกล่อมให้มันทำความดี บุญเป็นลูกกวาดสำหรับเด็กอมมือ คือความอิ่มด้วยกามารมณ์ในสวรรค์วิมานชนิดนั้นชนิดนี้ นี้มันจะชำระจิตให้ปราศจากกิเลสได้อย่างไร มันเป็นลูกกวาดของเด็ก ๆ ที่บุญที่แท้มันต้องจำกัดชัดเจนอยู่ในคำว่าชำระบาป ชำระบาปต้องชำระโลภ โกรธ หลง ความสุขเกิดขึ้นนั้นคือ ผลของบุญ ฉะนั้นขอให้ระวังให้มาก บุญชนิดไหนมันเป็นบุญแท้ บุญชนิดไหนมันเป็นบุญเทียม บุญชนิดไหนมันเป็นบุญลูกกวาดสำหรับเด็กอมมือ ระวังให้สุดความสามารถ ระวังให้สุดชีวิตจิตใจ ให้มันถูกบุญที่แท้จริง โดยตั้งปัญหาว่าบุญอย่างไหนเมาได้ บุญอย่างไหนเมาไม่ได้ บุญอย่างไหนดื่มเข้าไปมากแล้วเมา แล้วบุญอย่างไหนไม่ว่าจะดื่มเข้าไปเท่าไรมันก็ไม่เมา ยิ่งหายเมา ยิ่งสร่างเมา บุญชนิดที่มันจะไม่เมา แล้วมันจะทำลายความเมาก็คือบุญชนิดที่ชำระจิตให้ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลงนั่นเอง ขอให้ท่านทั้งหลายจงเลือกเอาแต่บุญชนิดที่ไม่เมา เมาไม่เป็น เมาไม่ได้ ไม่อาจจะเมา แล้วก็จะเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
นี่ปัญหาของการปฏิบัติธรรม มันมาติดตันอยู่ที่นี่ แล้วก็มาติดตังเหนียวอยู่ที่นี่ไปไม่รอด เข้าใจอะไรไขว้เขวไปหมด ธรรมะใหม่ ๆ อะไรมาก็ไม่รู้ เลยเกิดความไม่ไว้ใจ ที่แท้นั้นมันเป็นเพราะตัวเอง ไม่เข้าถึงธรรมะ เพราะทำผิดวิธี ต้องศึกษาใหม่ให้เข้าใจกระทั่งว่าไอ้บุญที่ควรต้องการอย่างยิ่งนั้นมันคืออะไร มันต้องเป็นการชำระจิตใจให้หมดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เดี๋ยวจะยกตัวอย่างสั้น ๆ สักเรื่องหนึ่ง บุญคือการให้ทาน บุญที่เป็นการให้ทานนั้นคืออย่างไร มันพูดได้ว่ามีหลักสั้น ๆ นิดเดียวว่าต้องสละสิ่งที่ควรสละ ไม่ใช่ทำการค้า ไม่ใช่เพื่อการค้า มันต้องสละสิ่งที่ควรสละออกไป สละเงินที่ควรสละ หรือเมื่อควรสละ หรือในลักษณะที่ควรสละ อย่างนี้เด็ก ๆ ฟังไม่เข้าใจ บางทีคนแก่หัวหงอกแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ยิ่งไม่เข้าใจไปเสียเลยก็มี เพราะไปถือลัทธิว่าเอา เอามาดีกว่า เอาเข้ามาดีกว่า ดีกว่าเสียสละ ไม่ยอมฟังคำว่าเสียสละ มีแต่จะเอาอย่างเดียว เดี๋ยวนี้มันมีหลักอยู่ว่า สิ่งที่ขืนเอาไว้แล้ว มันจะมีความโลภ ความโกรธ ความหลงมากขึ้นนี้ ต้องเสียสละ หรือว่าสิ่งที่เอาเข้าไว้แล้วมันจะมีความเห็นแก่ตัว เป็นตัวกูของกูมากขึ้นนี้ ต้องเสียสละ เพราะว่าตัวกูของกูนั้นมันเป็นไฟ ความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้น มันก็เป็นไฟ ถ้ารู้จักสลัดออกไปมันจึงจะถูกต้อง การให้ทานมันก็มุ่งหมายเพื่อจะสลัดไฟออกไป ไม่ใช่เรื่องให้ลงทุนแล้วค้ากำไรเกินควร ทำบุญบาทเดียวเอาวิมานหลังหนึ่งแล้วก็ยังไม่รู้พอ ทำบุญบาทเดียวได้วิมานตั้งหลังหนึ่ง แล้วก็ยังไม่รู้พอ ยังคิดที่จะเอา ไม่รู้กี่ร้อยหลัง พันหลัง หมื่นหลัง แสนหลัง แม้แต่แก่หัวหงอกแล้ว มันก็ยังมัวแต่จะใช้เงินค้ากำไรเกินควรในทำนองนี้อยู่เสมอไป แล้วเมื่อไรมันจะถึงตลิ่ง จะถึงฝั่งของพระนิพพาน ลองคิดดู แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าบุญมันก็ยังไม่มี มีแต่บุญเทียมหรือของปลอมบุญที่เป็นลูกกวาดที่เขามาล่อเด็ก ๆ ที่ยังคิดอะไรไม่ได้ให้มันทำบุญ นี้เรียกว่าสิ่งที่เรียกว่าการให้ทานนั้น มันก็จะขจัดสิ่งที่เป็นโทษเป็นภัยแก่ตนเองนั้นแหละออกไปเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความเห็นแก่ตัว
ทีนี้มันมีผลคาบเกี่ยวไปถึงกิเลสข้ออื่น ๆ ด้วย เช่นว่าถ้ามันมีเจตนาของการเสียสละอยู่ในดวงจิต ดวงใจแล้ว คนที่มีจิตใจอย่างนี้มันโกรธใครไม่ได้ มันโกรธอะไรไม่ได้ การโกรธใครหรือโกรธอะไรนั้น มันมาจากการไม่ยอม ไม่ยอมเสียสละ ไม่ยอมเสียเปรียบ ไม่ยอมอะไรหลาย ๆ อย่าง ไม่มีการเสียสละนั่นแหละทำให้โกรธ โกรธได้แม้กระทั่งสิ่งของที่ไม่มีชีวิตวิญญาณ มันก็โกรธ โกรธคนก็โกรธ โกรธหมา โกรธแมวก็โกรธ โกรธถ้วย โกรธชาม โกรธโอ่ง โกรธไหมันก็โกรธ มันโกรธไปหมด มันไม่มีเจตนารมณ์ ไม่มี Spirit ของการเสียสละอยู่ในดวงวิญญาณ ความโกรธนั้นมีรากเหง้ามาจากการที่จะเอา การที่จะได้แล้วมันต้องได้ ไม่ได้ไม่ยอมอย่างนี้ ความโกรธมันมีรากเหง้ามาจากการจะเอาหรือจะได้ คือมีมูลมาจากความโลภ ความโกรธไม่เคยมีมูลมาจาก เพราะมันไม่มี ไม่เคยมีมูลมาว่าเพราะต้องการจะเสียสละแล้วจึงโกรธ ไม่ได้เสียสละอย่างใจแล้วจึงโกรธ อย่างนี้มันไม่มี มันล้วนแต่มีมูลมาจากการที่ไม่ได้ตามที่ต้องการ มันต้องการจะเสียสละแล้วมันไม่มีทางที่จะโกรธได้ มันสละสิ่งของก็ได้ สละตัวกูออกไปในที่สุด นี่ให้ทานตัวกูไปเสียนั่นแหละ คือการให้ทานที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา มันไม่ได้แลกเอาสวรรค์วิมานที่ไหน มันแลกเอาความสะอาด สว่าง สงบมา คือได้ความไม่มีกิเลสมา นี้เป็นตัวแท้ของพุทธศาสนา ถ้าจะทำบุญให้ทานก็ต้องอย่างนี้ จะรักษาศีล จะเจริญสมาธิอะไรก็ตาม มันก็เพื่อฆ่าเสียซึ่งตัวกูและของกูนั้น นี้เรียกว่าเรายังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำบุญอยู่อย่างลึกซึ้ง
ทีนี้ก็มามองดูสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมหรือศีลธรรมที่เป็นอุปกรณ์ของการปฏิบัติธรรม มองดูแล้วมันก็เห็นว่ากำลังตกต่ำ กำลังเสื่อมเสีย นี้ขอให้เข้าใจว่าวัฒนธรรมก็ดี ศีลธรรมก็ดี มันเป็นอุปกรณ์ที่จะทำให้มีตัวศาสนาที่แท้จริงหรือให้ตัวศาสนานั้นตั้งมั่นอยู่ได้ เรามีวัฒนธรรมกันก็เพราะเหตุนี้ มีศีลธรรมกันก็เพื่อเหตุนี้ เมื่อมีความเสื่อมหมดในทางวัฒนธรรม มันเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยของวัตถุนิยม ยิ่งเป็นวัตถุนิยมสมัยปิงปองด้วยแล้วมันก็ยิ่งเบาหวิวกระดอนไปกระดอนมา ไม่มีอะไรที่จะเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้ จะยกตัวอย่างวัฒนธรรมสักอย่างหนึ่งว่าสมัยปู่ย่าตายายของเรา ถ้าเกิดมีศัตรูผู้โกรธแค้นกันขึ้นมาแล้ว เขาก็จะรีบทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์ ถ้ารู้ว่ามีศัตรูแล้วเขาทำอย่างนี้ รีบทำบุญทำกุศล อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้น ให้แก่ศัตรูนั่นเอง แล้วก็ให้แก่สรรพสัตว์ด้วย นี่เป็นวัฒนธรรมของปู่ย่าตายาย เดี๋ยวนี้ถ้ามีศัตรูก็ไปซื้อปืนมาเตรียมไว้ จะเอามันให้ตาย ถ้าขนาดใหญ่กว่านั้นก็หาลูกระเบิดปรมาณูมาเตรียมไว้ จะทิ้งใส่มันให้ตายทีละแสนไปเลย ต่อไปมันก็จะมีระเบิดปรมาณูนิวเคลียร์ในขนาดที่ว่าทิ้งให้ตายทีละล้าน ละหลาย ๆ ล้านก็ได้ นี่วัฒนธรรมมันเปลี่ยนเป็นอย่างนี้ แม้ในหมู่พุทธบริษัทเรา ทีนี้โลกทั้งโลกมันเปลี่ยนวัฒนธรรมให้อภัย มาเป็นวัฒนธรรมจองเวร มีศัตรูก็ไปซื้อปืนมาไว้ ไม่ใช่คิดที่ว่าจะทำความเข้าใจ หรือให้อภัย หรือว่ายอมเสียเปรียบ ไม่มีใครยอมเสียเปรียบ ไม่มีใครจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร อย่าว่าแต่ศัตรูเลย พ่อแม่ของมันเอง มันก็ยังไม่เคยทำอะไรอุทิศส่วนกุศลให้ มันไปสนุกสนานหัวหกก้นขวิดเสียดีกว่า ให้มานึกถึงบิดามารดา ปู่ยาตายายอะไรที่ตายไปแล้ว แล้วมันจะไปนึกอุทิศส่วนกุศลให้ศัตรูได้อย่างไร พ่อแม่มันยังมีชีวิตอยู่ มันก็ไม่รู้ว่าชอบกินอะไร ไม่น่าเชื่อ มันอยู่ด้วยกัน มีชีวิตอยู่ด้วยกัน ยังไม่รู้ว่าพ่อแม่นี้ชอบกินอะไร นี่ส่วนมากมันเป็นเสียอย่างนี้ ตายแล้วมันจะนึกถึงที่ไหน เป็น ๆ อยู่อย่างนี้ยังไม่รู้ว่าชอบกินอะไรที่จะหามาให้กิน ตายแล้วมันก็ไม่ต้องพูดกัน นี่คือวัฒนธรรมหรือศีลธรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่มันก็ได้เสื่อมสลายไปแล้ว เหลืออยู่น้อยมาก สักร้อยคนจะหาสักคนหนึ่งก็ทั้งยาก นี่เรียกว่าดูกันในแง่ของอุปกรณ์ ของศาสนา อุปกรณ์ที่จะทำให้มีศาสนา มันก็สูญไปตามสิ่งที่เรียกว่าศาสนา
ทีนี้มาตั้งต้นคิดกันดูใหม่ให้มันน่ากลัว ให้มันเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้าง สะสางปัญหาเกี่ยวกับการทำดีทำชั่ว ให้ถูกต้องเสียใหม่เกี่ยวกับเรื่องกรรม นี่ขอฝากไว้ให้ลองเอาไปคิด คือว่าคิดกันด้วยสติปัญญาจริง ๆ มองไปยังตัวจริง อย่าว่าตามตัวหนังสือ อย่าว่าตามความจำ ข้อแรกนี้อยากจะพูดว่า คนเรามันดีเมื่อกำลังทำดี คนเรามันชั่วเมื่อกำลังทำชั่ว นี้จริงหรือไม่จริง เมื่อกำลังทำดีแล้วจะไม่ให้มันดีอย่างไร เพราะมันทำดีอยู่แท้ ๆ ฉะนั้นต้องถือว่ามันดีเมื่อกำลังทำดี และมันชั่วเมื่อกำลังทำชั่ว ทีนี้นอกจากนั้น นอกจากเวลานั้นมันเป็นกลาง ๆ คือมันยังไม่ดีไม่ชั่ว เมื่อมันทำดีก็คือดี เมื่อมันทำชั่วก็คือชั่ว นอกนั้นมันเป็นกลาง ๆ แต่เมื่อมันเป็นกลาง ๆ นั่นแหละมันพร้อมอยู่เสมอที่จะรับผลปฏิกิริยาของความดีหรือความชั่วที่ได้เคยทำไว้แต่ก่อน ฉะนั้นในขณะที่มันกำลังได้รับปฏิกิริยาดีหรือชั่วจากกรรมแต่หนหลังนั้น เวลานั้นมันไม่ใช่เป็นอะไรมากไปกว่าเป็นกลาง ๆ แต่เรามักจะถือว่าถ้าได้อย่างใจก็ดี ถ้าไม่ได้อย่างใจก็ชั่ว ถือว่ากำลังรับบุญ กำลังรับบาป ที่แท้มันดีแล้วตั้งแต่เมื่อทำดี มันชั่วแล้วตั้งแต่เมื่อมันทำชั่ว เดี๋ยวนี้มันเหลืออยู่แต่ว่าอะไรมันจะมาถึงเข้าที่เป็นปฏิกิริยา เพราะการกระทำที่ทำไปแล้วมันเหลืออยู่ ตรงนี้เองมันทำให้สับสน ทำดี ๆ ไปแล้ว เหลือมาถึงเวลาเป็นกลาง ๆ นี้ ผลชั่วครั้งไหนไม่รู้มันมาถึงเข้า มันก็เลยเดือดร้อน ก็เข้าใจผิดไปว่าทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีกลับกันเสียอย่างนี้ นี้ดูสิมาแยกกันดูใหม่อย่างกับเป็นวัตถุ เป็นสิ่งของเลย คนเราดีเมื่อกำลังทำดี คนเราชั่วเมื่อกำลังทำชั่ว นอกนั้นมันเป็นกลาง ๆ แต่ว่ามันพร้อมอยู่เสมอที่จะรับปฏิกิริยาจากการทำดีทำชั่วที่แล้วมาแต่หนหลัง ถ้าดูตามนี้ก็จะเห็นชัดละเอียดลงไปอีกว่าในขณะหรือเวลาที่เรากำลังได้รับผลกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่นั่นแหละ มันจะกลายเป็นเวลาที่ทำกรรมอันใหม่อยู่ก็ได้ อย่ามองไปในแง่ที่ว่ากำลังรับผลกรรมเสียอย่างเดียว กำลังรับผลกรรมอยู่แท้ ๆ มันเกิดความคิดนึกอันใหม่ขึ้นมา อยากจะกระทำนั่นทำนี่ขึ้นมา มันกลายเป็นวจีกรรม มโนกรรม กายกรรมอะไรมาใหม่ขึ้นมา ขึ้นมาอีก มันซ้อนกันอยู่กับเวลาที่กำลังรับผลกรรมนั่นเอง ทีนี้กรรมมันมีปฏิกิริยามาที่หลัง ดังนั้นเมื่อเรากำลังรับผลของกรรมชั่วอยู่ กำลังรับผลของกรรมชั่วอยู่ แต่กลายเป็น กำลังกลายเป็นคนดีไปแล้วก็ได้ เรากำลังรับผลของกรรมชั่ว ร้อนอกร้อนใจอยู่ แต่เรากำลังกลายเป็นคนดีไปแล้วก็ได้ คือเรารู้จักเข็ด รู้จักหลาบ รู้จักละอาย รู้จักกลัว ตั้งใจจะพ้นจากกรรมชั่ว หรือว่าเมื่อเรากำลังทำดีอยู่แท้ ๆ มันกำลังรับผลของกรรมชั่วอยู่ก็ได้ อย่าให้มันปนกันเสีย เรากำลังรับวิบากของกรรมดีอยู่แท้ ๆ เรากำลังกลายเป็นคนชั่วทำชั่วอยู่ก็ได้ เรากำลังสบายเพราะกรรมดีแต่หนหลัง แต่ความคิดมันเปลี่ยนกลับเป็นทำเลว ต้องการเลว เผลอไป ไม่มีสติกำลังทำชั่วอยู่ในขณะที่กำลังได้รับผลดีแต่หนหลังนั่นเอง มันปนเปกันได้อย่างนี้ คนจึงงงไปหมดในเรื่องเกี่ยวกับกรรม ขอให้ไปยึดเป็นหลักที่ตายตัว เข้าใจผิดไม่ได้กันเสียใหม่ว่าดีเมื่อทำดี ชั่วเมื่อทำชั่ว เวลานอกนั้นก็รอรับผลของกรรมดีกรรมชั่วแต่หนหลัง เรียกว่าเป็นกลาง ๆ กำลังรับผลใหม่ เอ้อ, กำลังรับผลกรรมเก่าอยู่นั่นแหละ กลายเป็นทำกรรมใหม่ก็ได้ รับผลของกรรมชั่ว มันกำลังกลายเป็นคนดีแล้วก็ได้ เป็นคนดีแล้วไม่อยากจะทำชั่วอีกแล้ว แต่ต้องรับผลของกรรมชั่วอยู่ก็มี เขาเรียกว่าเศษกรรมหรือผลกรรม หรืออะไรของกรรมที่มันยังไม่สิ้นสุด กำลังรับผลกรรมดี กลายไปเป็นคนชั่วเสียแล้วก็มี เพราะมันวนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนี้ ต้องควบคุมให้ดี ให้มันเป็นไปแต่ในทางดี จนรู้จักชั่ว รู้จักดี แล้วก็รู้จักเลื่อนขึ้นไปหาสภาพที่อยู่เหนือชั่วเหนือดีนั่นแหละ คือออกไปเสียได้จากวัฏสงสาร ได้บรรลุนิพพานในพระพุทธศาสนา อย่าเอาความดีไปปนกับนิพพาน อย่าเอานิพพานมาปนกับความดี นิพพานต้องอยู่เหนือความชั่วเหนือความดีเสมอไป
ทีนี้สำหรับคนที่โง่มากไปกว่านั้นอีก มันเอาไปปนกันยุ่งระหว่างหลักศาสนากับหลักทางสังคม เอาเรื่องสังคมเป็นหลัก แล้วก็ให้ไปตัดสินเรื่องทางศาสนา คนปฏิบัติดีสังคมยังไม่นับถือ หาว่าคนโง่ คนปฏิบัติชั่วแต่สังคมยกย่องนี้ก็กลายเป็นคนดี จะให้กลายเป็นคนดีในทางศาสนาอย่างนี้ก็เป็นไปไม่ได้ หลักทางธรรมหรือทางศาสนามันอย่างหนึ่ง หลักในทางสังคมของพวกวัตถุนิยมนี้มันเป็นอีกอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่อย่างเดียวกัน ทีนี้เราก็เห็นได้ชัดเลยว่าคนดีในทางสังคมนั้น เป็นคนเลวในทางศาสนาก็ได้ ทีนี้คนชั่วในทางสังคม สังคมเขาประณามนี่ มันอาจจะเป็นคนดีในทางศาสนาในทางธรรมอยู่ก็ได้ มันกลับกันอยู่อย่างนี้เสมอไป เพราะฉะนั้นอย่าเอาเรื่องศาสนากับเรื่องสังคมไปปนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมปัจจุบันนี้มันเป็นสังคมของภูติผีปีศาจแห่งความสุขทางเนื้อทางหนัง เอามาเข้าระบอบเดียวกันกับหลักในพระศาสนาไม่ได้ พอเรารู้อย่างนี้ความเข้าใจมันก็ถูกต้อง ชัดเจน แจ่มแจ้ง ไม่หลงไปว่าทำไมทำดีแล้วได้ชั่ว ทำชั่วแล้วได้ดี ทำดีแล้วยิ่งจน จนไม่มีอะไรจะกิน คนทำชั่วกลับมีอะไรมากมายท่วมหัวท่วมหู นี้ก็เลยเขวกันไปหมด ไม่มีใครคิดจะเดินทางไปข้างหน้า จากความชั่วไปสู่ความดี จากความดีไปสู่ความอยู่เหนือดี คือนิพพานนี่ เพราะฉะนั้นคำว่าทำไมคนชั่วจึงได้ดี ทำไมคนดีจึงกำลังทนทุกข์นี้อย่าควรมีปัญหา อย่ามีเป็นปัญหาขึ้นมาเลย มันควรจะเป็นสิ่งที่เข้าใจชัดเจนเด็ดขาดกันไปแล้ว ไม่ต้องพูดกันมา กันเรื่องนี้อีก
ทีนี้ก็จะขอสรุปความว่าทุกคนนี่แหละ อย่าชอบให้มันเป็นไปตามกรรมดีกรรมชั่วเสียเรื่อยเลย จงเลื่อนขึ้นอยู่ในชั้นที่เหนือกรรมหรือชนะกรรมกันเสียบ้าง เดี๋ยวนี้ได้ปล่อยให้มันล่องลอยไปตามกรรมมากนักแล้ว มันควรจะรู้จักพอกันที ทำอย่างไรจะอยู่เหนือชั่วเหนือดี ก็คือทำลายตัวกูเสีย ตัวกูไม่มีกิเลส ไม่มีเจตนาจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็มีดีมีชั่วไปไม่ได้ จิตนี้ถ้าว่างจากอุปาทานว่าตัวกู ว่าของกู แล้วมันฉลาดขึ้นมาทันที มันรู้ว่าอะไรเป็นดี อะไรเป็นชั่ว อะไรถูก อะไรผิด มันก็สามารถที่จะทำไปแต่ในทางที่เป็นประโยชน์คือไม่เป็นทุกข์ ไม่ไปหลงเอาอะไรมายึดมั่นถือมั่นไว้ให้เป็นทุกข์ เพราะว่าไม่ว่าอะไร ถ้าเอามายึดมั่นถือมันแล้วเป็นทุกข์ทั้งนั้น แม้แต่นิพพาน ถ้าไปโง่เอามายึดมั่นถือมั่น มันก็เป็นนิพพานปลอม นิพพานไม่จริง แล้วก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น สิ่งที่เรียกว่านิพพานจริง ๆ ไม่อยู่ในวิสัยที่ใครจะยึดมั่นถือมั่นได้ เพราะถ้าใครยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ มันก็ไม่ถึงนิพพาน ถ้าถึงนิพพานมันก็รู้จักไม่ยึดมั่นถือมั่นเสียแล้ว นี่เรียกว่าปัญหาที่ต้องคิดนึกกันให้ดี ๆ
ทีนี้มันก็ได้กล่าวมามากแล้ว ก็จะควรจะรู้จักปัญหาที่มันจำเป็นที่สุด ใกล้ชิดที่สุด คือข้อที่เราพูดกันแต่ว่าทำดี ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หรือพูดว่าจะอยู่เหนือดี ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พูดกันอยู่เรื่อยไปว่าจงสมัครสมานสามัคคีกัน จงรักชาติ รักประเทศ รักเพื่อนมนุษย์อย่างนี้ แต่แล้วมันก็รักไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามัคคีกัน จะรักใคร่กัน เราพูดกันอย่างละเมอ ๆ ว่าทำดี ขยันหมั่นเพียร สามัคคี แล้วก็ไม่พูดกันถึงปัญหาที่ว่าทำไมมันจึงทำไม่ได้ เพราะมันไม่เคยสนใจในข้อที่ว่าสิ่งเหล่านี้มันมาจากอะไร อะไรเป็นเหตุให้ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นทางที่ดีมันก็จะต้องไปพูดกันถึงเรื่องความเห็นแก่ตัวที่มาจากตัวกู - ของกู ชักชวนกันให้ศึกษาเรื่องนี้ อย่าพูดแต่ว่าทำดี ๆ ทำดี แล้วไม่รู้ว่าทำอย่างไร เดี๋ยวนี้มันทำไม่ได้เพราะมันมีความเห็นแก่ตัว มันต้องมาตั้งปัญหาที่ว่าเราจะทำลายความเห็นแก่ตัวกันอย่างไร ให้พิจารณาให้มาก ๆ จนเกลียด จนกลัว ความเห็นแก่ตัวอย่างน่าขยะแขยง แล้วมันก็จะค่อยเป็นไปเอง มันจะดีเอง มันจะสามัคคีกันเอง มันก็จะเป็นไปในทางที่ห่างไกลจากความทุกข์ ทีนี้เดี๋ยวนี้เรามันไม่เข้าใจในข้อนี้ ข้อเดียวเท่านั้น คือข้อที่ว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น ข้อนี้เราจะโทษพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ความสะเพร่าของพระพุทธเจ้า คือถ้าว่าเราอ่านพระคัมภีร์พระไตรปิฎกดูแล้ว มันจะรู้สึกว่าตลกสิ้นดี ไม่รู้ว่าจะไปโทษใคร ลองไปอ่านพระบาลีที่เป็นพุทธภาษิต ตอนที่พระพุทธเจ้าท่านจะออกผนวช จะออกบวชนั้นนะท่านว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี แล้วก็อยากจะออกไปแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล นี่ไปดูในสูตรทั้งหลาย หลาย ๆ แห่งว่าพระพุทธเจ้าท่านออกผนวช
(หันไปพูดกับคนอื่น นาทีที่ 01:21:56-01:22:38)
ทีนี้จะชี้ให้ดูว่าตลกสิ้นดีอย่างไร ตรงไหน เมื่อท่านออกบวช ท่านก็ไปแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล แต่พอท่านตรัสรู้แล้ว ท่านตรัสว่ายึดถือไม่ได้ทั้งกุศล ทั้งอกุศล อย่างนี้จะไม่เรียกว่าตลกสิ้นดีอย่างไร แต่แล้วว่าไอ้ตลกสิ้นดีนี้ มันอยู่ที่พวกเรามันโง่ไปเอง ไม่ฟังให้ดี ไม่สังเกตให้ดี พระพุทธเจ้าออกบวช ท่านว่าออกไปแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล แต่พอท่านตรัสรู้แล้วท่านบอกว่ายึดถือไม่ได้ทั้งกุศลและทั้งอกุศลโว้ย นี่เรามันไม่เข้าใจ ในครั้งแรกพวกเราก็เหมือนกัน คงจะคิดมุ่งมั่นว่าอะไรเป็นกุศล จะหาสิ่งที่เรียกว่ากุศลพระพุทธเจ้าท่านออกผนวชด้วยการแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล ในที่สุดท่านก็พบสิ่งที่เรียกว่ากุศล คือความดี แต่พบมากจนถึงขนาดที่รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่ากุศลนี้ก็อย่าไปเอากับมันเลย จะไปยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ มันจะเป็นกุศลชั้นดีชั้นเลิศชั้นวิเศษอย่างไรก็ยึดถือไม่ได้ พอยึดถือเป็นของกูเข้ามาเท่านั้น มันก็กลายเป็นอกุศลขึ้นมาทันที มันกัดบุคคลนั้นทันที โทษมันอยู่ที่การยึดถือ ถ้าไม่ไปยึดถือก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นโทษเป็นอันตราย พอไปยึดถือเข้าไม่ว่าอะไรจะกลายเป็นโทษเป็นอันตรายไปหมด นี้เรียกว่า มันเล่นตลกสิ้นดี เราไม่รู้เรื่องนี้ เราก็ทำไม่ได้ เราก็ปฏิบัติไม่ได้ อย่าให้มันเล่นตลกได้ก็คืออย่ายึดถือเท่านั้นเอง ไม่ยึดถืออะไรโดยความเป็นตัวตน ไม่ยึดถืออะไรโดยความเป็นของตน มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่ กุศลก็เป็นกุศล อกุศลก็เป็นอกุศล อัพยากฤตก็เป็นอัพยากฤต ไม่ยึดถือว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของตน อย่างนี้มันก็หมดปัญหาเท่านั้นเอง นี่เรื่องสรุปมันมาเป็นเรื่องง่าย ๆ ลุ่น ๆ สั้น ๆ ว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดโดยความเป็นตัวกูหรือเป็นของกูดังนี้ อุตส่าห์เรียนพุทธศาสนามาเสียเป็นวรรคเป็นเวรไม่รู้กี่สิบปี ไม่อาจจะรู้หัวใจของพุทธศาสนาก็ได้คือมันจ้องแต่จะคอยยึดมั่นถือมั่น ทีนี้เรียนพุทธศาสนา ๒-๓ นาที ก็รู้หัวใจพุทธศาสนาได้ ก็ได้ คือเห็นโทษของความยึดมั่นถือมั่น เพราะไม่มีอะไรที่จะไปยึดมั่นถือมั่นเข้าได้ แล้วจะไม่เป็นทุกข์ นี่เพราะฉะนั้นเราก็กลัวกันมากว่าความยึดมั่นถือมั่นนี่แหละ มันเป็นต้นเหตุทั้งหมดของปัญหาทั้งปวง ความไม่ยึดมั่นถือมั่นยังปลอดภัยกว่า ถ้าให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เลือกข้างความไม่ยึดมั่นถือมั่นไว้ก่อน นี้ปลอดภัยกว่า ถ้ายึดมั่นถือมั่น ก็ต้องยึดมั่นถือมั่นที่มันดีไว้ก่อน แล้วพอไปคุ้นเคยกันเข้า มันก็เห็นว่าไม่ไหว มันก็ละความยึดมั่นถือมั่นได้โดยง่าย ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นในความชั่ว มันก็เป็นสองซับสองซ้อน มันหลายชั้นนัก
ทีนี้มันก็มีปัญหาว่าไอ้ยึดมั่นชนิดที่ให้โทษกับยึดมั่นที่ให้คุณนี้ มันต่างกันอย่างไร เช่นเรายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ยึดด้วยอะไร ยึดมั่นในความชั่วความบาปนั้นยึดมั่นด้วยอะไร ถ้าดูให้ดีแล้วจะพบว่ายึดมั่นถือมั่นนั้นมีอยู่ ๒ อย่าง ยึดมั่นด้วยความโง่ ยึดมั่นด้วยความฉลาด ในภาษาไทย ยึดมั่นด้วยความฉลาดก็เรียกว่ายึดมั่น แต่ในภาษาบาลีถ้ายึดมั่นด้วยความฉลาดแล้ว เขาไม่เรียกว่าความยึดมั่นถือมั่น ไม่เรียกว่าอุปาทาน ถ้าอุปาทานต้องมาจากอวิชชาเสมอ อวิชชาให้เกิดสังขาร วิญญาณ นามรูป ไปจนถึงอุปาทาน เพราะฉะนั้นอุปาทานต้องมาจากอวิชชาเสมอ ทีนี้ไอ้ความเอาจริง ความตั้งใจจริง อย่างที่เราเรียกในภาษาไทยว่ายึดให้มั่นนี้ ถ้าไม่มาจากอวิชชาแล้วก็เป็นอันว่ามาจากปัญญาอย่างนี้มันใช้ได้ เพราะฉะนั้นท่านผู้ใดจะยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จงยึดมั่นด้วยสติปัญญา แล้วก็จะไม่เรียกว่าความยึดมั่นถือมั่น ถ้าจะยึดมั่นให้มั่น ยึดให้แน่วแน่ในทางศีล สมาธิ ปัญญา ก็ให้ยึดมั่นถือมั่นด้วยสติปัญญา แล้วจะได้เรียกว่าไม่ใช่อุปาทานคือมันไม่เป็นปัญหา ไม่เป็นอวิชชา ปัญหาทางความยึดถือ ยึดมั่นถือมั่นมันมีอยู่ที่ตรงนี้ ทีนี้เราเอามาปนกันหมด ยิ่งยึดมั่นด้วยความโง่ ก็ยิ่งว่ายึดมั่นถือมั่นเก่งโว้ย เคร่งครัดจริงโว้ย เสียสละมากจริง โว้ย นี่มันยึดมั่นถือมั่นด้วยอำนาจอวิชชา แล้วก็มีอยู่มาก มากจนนับไม่ไหว ส่วนที่ทำจริง ตั้งใจจริงด้วยอำนาจของสติปัญญานั้นมันมีน้อย เดี๋ยวนี้เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพวกที่ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ก็ยึดด้วยอวิชชามากกว่าที่จะยึดด้วยสติปัญญา มันละเมอเพ้อฝันไปตามเขาบ้าง นี่มันผิดหลักกาลามสูตรโดยสิ้นเชิง แม้แต่ยึดมั่นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ยึดด้วยอวิชชา ยึดมรรค ผล นิพพาน ก็ยึดด้วยอวิชชา มันก็เลยวนเวียนอยู่ที่นั่น มันติดตังอยู่ที่นั่น มันทำผิดโดยไม่รู้สึกตัว เพราะว่าเราไม่สอนกันในเรื่องนี้ อุปัชฌาย์ อาจารย์ไม่สอนเรื่องความยึดมั่นถือมั่นให้มันชัดเจนว่ายึดมั่นถือมั่นอย่างไหนไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดมั่นอย่างไหนเป็นการยึดมั่นถือมั่นที่เป็นตัวความทุกข์ นี่ภาษาไทยมันกำกวม แต่ภาษาบาลีมันชัดเจน อุปาทานมาจากอวิชชาเสมอ ส่วนสัจจะ อธิษฐานะ ความจริงใจ เคร่งครัดอะไรนั่นมาจากสติปัญญา รู้จักแบ่งกันให้เด็ดขาด แยกออกจากกันเลยว่าถ้ายึดมั่นถือมั่นด้วยอวิชชาแล้วมันก็ต้องผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าตั้งใจทำจริง เอาจริงด้วยอำนาจของสติปัญญาแล้วก็เรียกว่าถูก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่เป็นการยึดมั่นถือมั่น เดี๋ยวนี้มันมีอะไรมากมายที่จะเป็นที่ตั้งของความยึดมั่นถือมั่น ขอให้ระวังให้ดี อย่าให้โลกนี้มันเพิ่มความยึดมั่นถือมั่นให้แก่เรา ความยึดมั่นถือมั่นนี้มันมีได้แม้ในตัวบุคคล ไปยึดมั่นบุคคลด้วยอวิชชา ไปยึดมั่นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยอวิชชา ยึดมรรค ผล นิพพานด้วยอวิชชา ยึดมั่นในบุคคลนี้อันตรายมาก แม้แต่ยึดมั่นในสถานที่นี้ก็อันตรายมาก มันไม่ควรจะมีสวนโมกข์ ไม่ควรจะมีอะไรให้ใครยึดมั่นถือมั่น แต่แล้วมันก็ทำไม่ได้ มันก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีอะไรที่เป็นสำนักหลักแหล่งที่จะมีการสั่งสอน แล้วมันก็ห้ามกันไม่ได้ที่จะไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดต้องการจะเอาตัวรอดได้เร็ว ๆ แล้วก็จงเลิก ละ ความยึดมั่นถือมั่น อย่ายึดมั่นในสถานที่เช่นสวนโมกข์นี้ อย่ายึดมั่นในบุคคลเช่นครูบาอาจารย์นี้ ให้ถือหลักกาลามสูตรว่าไม่เชื่อเพราะว่าบุคคลนี้เป็นอาจารย์ของเรา มา สมโณ โน ครูติ ไม่ยอมเชื่อเพราะว่าบุคคลนี้เป็นอาจารย์ของเรา มาภพฺพรูปตาย ไม่เชื่อเพราะว่าบุคคลนี้พูดจาน่าเชื่อ อย่างนี้เรียกว่าไม่ยึดมั่นในบุคคล ถ้ามันมีได้อย่างนี้ มันก็จะง่ายเข้า จะเร็วเข้า มันก็ไม่มีทางที่จะผิด
ถ้าจะสอนให้ยึดมั่นถือมั่นหรือหวังพึ่งอะไรแล้ว ก็ควรจะนึกถึงพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้คิดพึ่งตัวเอง คิดทำตัวของตัวให้เป็นตัวที่แท้จริงขึ้นมา มีธรรมะเป็นตน มีตนเป็นธรรมะ อตตฺทีปา อตตฺสรณา มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ นั่นคือ ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา มีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นสรณะ ถ้ามันเหลือแต่ธรรม คือธรรมชาติอย่างเดียวแล้วมันก็ไม่มีตัวตน นี่เราจะต้องเพ่งเล็งถึงที่ตัวธรรม คอยสอดส่องเสาะหาอยู่แต่สิ่งที่เรียกว่าธรรมหรือตัวธรรม ถ้าพบสิ่งนี้แล้ว มันก็เปลื้องความยึดมั่นถือมั่นออกไปได้เอง ถ้ายังเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ตัวตน เรา เขาอยู่ มันยังเป็นตัวตนอยู่ แต่ถ้ามันกลายเป็นธรรมหรือธรรมชาติไปแล้ว มันก็ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคลแล้ว มันก็เปลื้องความยึดมั่นถือมั่นออกไปได้ ฉะนั้นเราต้องเป็นเกลอกับธรรมชาติ ต้องใกล้ชิดกับธรรมชาติ อย่าไปหวังพึ่งใครนักเลย จงหวังพึ่งธรรม ให้มีธรรมเป็นตน ให้มีตนเป็นธรรม นี่อาตมาพูดจาอย่างนี้อยู่อย่างนี้ กี่ปีมาแล้ว ก็ลองคิดดู ยอมลงทุนมากแล้ว ลงทุนมากที่สุดแล้ว ให้เขาว่าเป็นพระบ้าก็เคยมี ตั้งแต่แรกตั้งสวนโมกข์ ๔๐ ปีมาแล้วโน่น บางคนคิดว่าเป็นคนหลอกลวงก็มี เป็นสุนัขปากร้ายก็มี อาตมาก็ไม่ได้ผลอะไร นี่มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าควรจะเอามาล้อเล่นในโอกาสนี้ ถ้ามันไม่ได้เวลานี้ ก็ถือว่าพูดเผื่อไว้ต่อตายแล้ว เมื่ออาตมาตายแล้วคงจะมีคนเข้าใจหรือคิดนึกเข้าใจได้ เพียงเท่านี้ก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว ในเรื่องสุญญตานี้ตั้งใจพูดว่า ตั้งใจพูด พยายามพูดโดยตั้งใจว่า อีก ๒๐ ปีข้างหน้า คนจะเข้าใจ เดี๋ยวนี้มันเข้าใจผิด ก็ด่ากันไปพลาง ก็ล้อกันไปพลาง แล้วก็ไม่เสียใจอะไร เรื่องสุญญตาคำเดียวนั่นแหละคือความหมายของคำว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น มันว่างไปทั้งสิ่งที่จะถูกยึดมั่นถือมั่นและมันก็ว่างไปทั้งตัวบุคคลที่จะเป็นผู้ยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้เรียกว่าสุญญตา มันเข้าใจยากก็ต้องพูดเผื่อไว้ก่อนอีก ๑๐ ปีหรือ ๒๐ ปีข้างหน้า คงจะมีคนเข้าใจ ทีนี้ก็ต้องทำอะไรเปะ ๆ ปะ ๆ ไปตามความสามารถอย่างนี้ น่าดูบ้าง ไม่น่าดูบ้าง แต่ก็ไม่อยากจะขออภัย เพราะว่าไม่ได้ตั้งใจจะเอาอะไรจากใคร แล้วใครก็อย่ามาเอาอะไรจากอาตมาให้มากนัก เพราะเป็นเพียงทาสเลว ๆ ของพระพุทธเจ้า คนที่เป็นทาสอย่างนี้ มันเป็นชั้นเลวนี้ มันจะเอาความสุภาพมาแต่ไหน มันจะเอาการพูดจาเพราะ ๆ มาแต่ไหน มันก็ต้องพูดเพราะไม่มี พูดดีไม่ได้ พูดหยาบคายอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้เอง มันจะเอาสินน้ำใจอะไรมาจ้างใครที่ไหนได้ มันไม่กลัวถูกนินทา ด่าว่า มันไม่กลัวตาย มันก็พูดไปตามที่เห็นว่าควรจะพูดอย่างไร รับใช้พระพุทธเจ้าเพื่อจะด่าคนอย่างนี้ นี่คือสิ่งที่จะเอามาล้ออายุในวันนี้ เป็นวันที่ ๒๗ พฤษภาคม มีอายุครบ ๖๕ ปีบริบูรณ์ในวันนี้ ถ้าว่าที่จริงก็เลยมาหลายชั่วโมงแล้ว เพราะโยมบอกว่าเกิดเมื่อเวลาเช้า พระไปบิณฑบาต
ส่วนตัวนี้ก็ไม่ได้ต้องการอะไร เพราะว่าได้มอบชีวิตจิตใจให้เป็นทาสของพระพุทธเจ้า ใคร ๆ ก็เรียกกันอย่างนั้น แต่ว่าพอถึงทีจะตายเข้าจริงก็ไม่อยากจะเป็นทาสเหมือนกัน อยากจะเป็นของว่างไปตามพระพุทธเจ้าด้วยเหมือนกัน อย่างที่พูดมาในเรื่องดับไม่เหลือนั่นแหละว่าทุกคนจงพยายามอย่างนั้น ว่าพอถึงวินาทีสุดท้ายแล้วก็สมัครดับไม่เหลือกันเถิด ปัญหามันจะหมดที่นั่น เดี๋ยวนี้เราพยายามจะให้หมดที่นี่ ถ้าหมดได้ที่นี่ก็เป็นการดี แต่ถ้ามันไม่หมดที่นี่เดี๋ยวนี้ได้ก็ให้มันหมดได้เมื่อวินาทีสุดท้าย เราทั้งหลายพยายามช่วยกันอย่างนี้ ให้มันเกิดผลอย่างนี้ แล้วนี่คือดีที่สุดที่พุทธบริษัทเราจะพึงทำได้ คนพวกอื่นเหล่าอื่นเขาจะเอาหรือไม่เอากันก็ตามใจเขา ส่วนเราต้องเอาแน่ ถ้าไม่อย่างนั้นเราขบถต่อพระพุทธเจ้า เราละเลยในหน้าที่ที่พระพุทธท่านได้หวังไว้ สรุปความแล้วมันเป็นอย่างนี้ นี่วันนี้ได้บรรยายธรรมกถาที่เป็นการล้ออายุเล่นทั้งส่วนตัวอาตมาและของท่านทั้งหลายมาเป็นวรรคเป็นเวรแล้ว ช่วยกันจำไปไว้อย่าลืมเสีย ตอนเช้าพูดเรื่องทั่ว ๆ ไป ตอนบ่ายพูดเรื่องของภิกษุสามเณร ตอนนี้ก็พูดเรื่องของทายกทายิกาทั้งหลายที่มักจะเมาบุญ หรือว่าบ้าบุญ อาตมาก็สมัครที่จะเป็นสุนัขปากร้ายแห่งวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ พูดเพราะไม่มี พูดดีไม่ได้ พูดหยาบคายตลอดเวลา ทั้งคนดีทั้งคนบ้าแห่กันมาฟัง นี่มันจะได้อะไรก็ตามใจ มันมีหน้าที่อย่างนี้มันก็ต้องทำอย่างนี้ ทำอย่างอื่นไม่เป็น ทบทวนมาแต่ต้นอีกครั้งหนึ่งว่ามันเป็นสุนัขปากร้าย แต่ไม่เห่าใคร มันเห่าตัวเอง มันล้อตัวเอง ทุกคนจะต้องเป็นอย่างนี้ อย่าไปด่าเพื่อน อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์เพื่อน วิพากษ์วิจารณ์ตัวเองให้ถึงที่สุด มันยกหูชูหางอยู่อย่างไร ก็พยายามตัดหูตัดหางมันเสีย นี่เราพูดไปตามตรง มันกระทบกระทั่งใครก็เป็นบาปของคนนั้นที่ว่ามันกินปูนร้อนท้อง มันเป็นวัวสันหลังหวะ มันเอาไปโกรธ เราไม่โกรธ พระพุทธเจ้าท่านพูดรุนแรงกว่าอาตมา เรียกว่าอธิคันทูมสูตร (นาทีที่ 01:41:10) พอตรัสจบลงไป ประมาณ ๕๐-๖๐ รูป อาเจียนโลหิตตาย ประมาณ ๕๐-๖๐ รูปลาสิกขา ไม่ใช่ลาสิกขาอย่างเดี๋ยวนี้คือหนีเตลิดเปิดเปิงไปเลย แล้ว ๕๐-๖๐ รูปเป็นพระอรหันต์ คำพูดอย่างเดียวกันทำให้เกิดผลเป็น ๓ อย่าง ๆ นี้ นี่เราก็ยังไม่เคยว่าอะไรเจ็บปวดถึงขนาดนั้น พูดกันพอให้นึกได้ อาตมาเป็นผู้เสียสละในการที่จะพูดเรื่องที่คนอื่นเขาไม่พูดหรือเขาไม่กล้าพูด เขากลัวจะไม่มีใครใส่บาตรให้กิน อาตมาไม่กลัว ถ้ามันได้ตายไปวันนี้ มันก็ยิ่งดี มันไม่กลัวตาย ไม่กลัวเรื่องอดอาหาร ทุกคนรุมกันด่าอย่างน้อย ๑๐ พวก หาว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิก็มี หาว่าดูถูกไสยศาสตร์ก็มี นี้อย่างที่ได้พูดมาแล้ว แต่ว่าที่เป็นมากก็คือพวกวัตถุนิยม เขาโกรธเคืองอย่างพวกศัตรูโกรธเคือง เราต้องไม่ประมาทว่าแม้แต่จะตั้งใจทำเพื่อประโยชน์แก่เขาก็ยังไม่วายที่จะถูกด่า แล้วก็ให้รู้ว่าการรู้จักบังคับตัวเอง รู้จักอดข้าวอดปลาเสียบ้างนั้น มันก็อยู่ในพวกที่จะทำให้หมดความยึดมั่นถือมั่นได้เร็วเข้าเหมือนกัน มันมีความกล้าหาญ พระพุทธเจ้าท่านเคยใช้วิธีนี้ พระเยซูก็เคยใช้วิธีนี้ อดข้าวอดน้ำกันเป็น ๙ วัน ๑๐ วัน ๒๐ วัน ๔๐ วันก็มี จึงขอให้ถือเอาของนี้เป็นของขวัญ ว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ชอบ ใคร ๆ ก็ชอบ เพราะว่ามันช่วยให้เกิดความเข้มแข็งในการบังคับตัวเอง ความอดกลั้นอดทน แล้วก็ไม่โง่ ไม่โง่ว่าอดข้าววันหนึ่งแล้วมันจะตาย มันไม่มีใครเคยตาย สัตว์เดรัจฉานมันยังอดได้มากมายตั้งหลายวัน มันก็ไม่ตาย นี้ก็พูดกันมาแล้วว่ามันเป็นของขวัญที่เหมาะที่สุดแล้ว ทำบุญอายุไม่ต้องรดน้ำ มันไม่มีประโยชน์อะไร แต่ขอให้รดน้ำใจ คือให้รดด้วยน้ำใจ คือว่าพยายามฟังว่าพูดอะไร แล้วเอาไปคิด ไปนึก ถ้าเห็นด้วยแล้วก็ให้ปฏิบัติตาม นี้เรียกว่ามันรดด้วยน้ำใจ ทำให้มีความพอใจ มีความสบายใจ ยังไม่มีความเหมาะสมที่จะอยู่ในโลก ยังบ้ากันนักก็เลิกบ้ากันเสียบ้าง ทำตัวให้มีความเหมาะสมที่จะอยู่ในโลก ให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไปนี้เป็นสิ่งที่พอใจที่สุด อย่าไปตามใจลูกหลานสมัยนี้นัก มันก็ต้องบังคับกันบ้าง มันก็ต้องกวดขันกันบ้าง มิฉะนั้นมันจะทำกลับกันเสียอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ อย่างที่ได้ว่ามาแล้วให้ฟังเมื่อตอนกลางวันนี้ เดี๋ยวนี้มันจะให้เป็นว่าลูกมีบุญคุณต่อพ่อ – แม่ อย่างนี้มันรับไม่ไหว ฉะนั้นเราต้องมีอะไรที่เข้มแข็งแน่นอน แม้มันจะไม่เหมือนใคร เราก็ต้องทำได้ เรามีหลักที่ว่าจะอยู่เหนือความทุกข์ เหนือความตาย ไม่ต้องการจะพ้นเพียงว่าสุนัขไม่กัด อย่างที่ได้ให้คำกลอนไว้ว่าเหาะทางกายพ้นได้แค่หมาไม่กัด ส่วนเหาะทางจิตใจนั้นมันอยู่เหนือกิเลส เหนือความทุกข์ เหนืออันตรายทั้งหลายทั้งปวง เหาะทางกายพ้นได้แค่สุนัข แม้พวกยักษ์ก็เหาะได้กันแพร่หลาย เหาะทางใจพ้นได้สะดวกดาย พ้นกิเลสมารร้ายหายร้อนรน แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจ ฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องที่น่าสงสาร ต้องกล้าหาญพอที่จะด่ากันไปเรื่อย ไม่มีใครมาเผาศพก็ตามใจ อาตมาตายลงไม่มีใครมาเยี่ยมศพก็ยิ่งจะยินดี เพราะจะแลกเอาโอกาสสำหรับด่าไม่เลือก
ทีนี้ก็พูดถึงภิกษุสามเณรสมัยปิงปองก็พูดมามากแล้ว ว่าอย่าปล่อยตัวให้มันตกลงไปในหลุมพรางเกี่ยวกับเรื่องเพศตรงกันข้าม รักษาเกียรติยศของความเป็นพุทธชิโนรสของพระพุทธเจ้าไว้ให้มาก อย่าไปหลงตามการศึกษาของสมัยใหม่ที่พาไปสู่เหวแห่งวัตถุนิยม เดี๋ยวนี้มันฆ่าตัวตายวันละ ๑,๐๐๐ คนแล้วโดยเฉลี่ย องค์การอนามัยโลกเขาประกาศมาอย่างนั้น เขาร้อนใจ เขากำลังจะแก้ไข แต่มันไม่สำเร็จหรอก ถ้าไม่พึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้า จะมัวแต่ทำยาสควินไลซ์เซอร์ (นาทีที่ 01:47:22) แจกกันกินอย่างนี้ มันแก้ไม่ได้ มันต้องมีธรรมะที่ดีกว่านั้น นี่เราจะต้องกล้าพอที่จะแหวกแนวคือไม่พูดเหมือนคนอื่นพูด ไม่ทำเหมือนคนอื่นทำ อะไรที่จะต้องแก้ไข ต้องแก้ไขเปลี่ยนความคิดนึกรู้สึกเสียใหม่ว่า ศาสนาทุกศาสนานั้นเป็นเพื่อนเกลอกัน อย่ามีศัตรูกัน ช่วยกันทำให้มนุษย์ในโลกนี้พ้นจากอันตราย จากซาตาน จากพญามาร จากกิเลสนานาชนิด พระพุทธเจ้าก็มีพระเจ้าเป็นเครื่องยึดถือคือเคารพพระธรรม เราก็สวดกันอยู่ทุกวันว่า พระพุทธเจ้าในอดีตก็ดี ในอนาคตก็ดี ในปัจจุบันก็ดี ทุกพระองค์เคารพพระธรรม นั่นแหละคือพระเจ้า พุทธศาสนาก็มีพระเจ้าของเราและของพระพุทธเจ้าร่วมกัน เป็นพระพุทธเจ้าของโลกทั้งหมดเลย นี้เรียกว่าโดยหลักใหญ่ ๆ แล้วก็ไม่ประมาท ต้องขอร้องให้ภิกษุสามเณร ช่วยกันรักษาสภาพของความเป็นอารามไว้ให้ดี ๆ วัดทุกวันนี้ไม่เป็นอารามมากขึ้น จงดึงกลับมาให้เป็นอาราม ให้มันเป็นที่ที่มีอะไรน่ายินดี น่าพอใจ มีประโยชน์ ให้มันมีความเยือกเย็นอยู่ในอาราม ใคร ๆ เข้ามาก็ได้รับนิพพานโดยประจวบเหมาะนั้นง่ายขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็จะมีนกมาร้องให้ฟังแทนที่จะต้องเปิดวิทยุในห้องนอนแอบฟัง ทีนี้สำหรับทายกทายิกาก็ว่ามาแล้วว่ารู้จักบุญให้ถูกทาง รู้จักบุญให้ถูกต้อง อย่าได้ทำผิดในเรื่องสิ่งที่เรียกว่าบุญ ในเรื่องกรรมก็เหมือนกัน อย่ามัวติดอยู่แต่ที่จะต้องลอยไปตามกรรม ลอยล่องไปตามกรรม เรื่องกรรมดีกรรมชั่ว แต่ให้อยู่เหนือกรรมคือกรรมที่ ๓ ที่พระพุทธเจ้าท่านยื่นให้ที่จะเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เราฟังเทศน์กันไม่รู้เรื่อง เพราะว่าเข้าใจหลักต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ถูกต้อง มันยังผิดอยู่ กำลังมีความสะเพร่า ทำอะไรอย่างสะเพร่า ๆ เป็นความเสียหายอย่างลึกซึ้งก็ยังไม่รู้สึกตัว นี้เรียกว่าเป็นการสรุปแต่ใจความของคำที่ได้เอามาบรรยาย ตลอดวาระ ๓ ครั้ง ๓ คราในวันนี้ และช่วยจำปณิธานของอาตมาว่าได้ตั้งใจไว้ว่าจะทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา จะฉุดลากเพื่อนมนุษย์ออกมาเสียจากวัตถุนิยม จะช่วยทุกคนเข้าใจหัวใจแห่งศาสนาของตนให้ได้รับประโยชน์จนถึงที่สุด แล้วก็จะพยายามยึดถืออุดมคตินี้ไปจนถึงวาระที่สุดของชีวิตโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลง วันนี้เอามาพูดในฐานะที่ว่ามันน่าเวทนา น่าสงสารในหนหลังนั้น ต่อไปข้างหน้ามันคงจะดีขึ้นบ้างเป็นแน่นอน จะต้องขอยุติการบรรยายเกี่ยวกับการทำบุญล้ออายุไว้เพียงเท่านี้ก่อน ถ้าชีวิตยังมีมันคงจะได้ล้อกันอีกและให้หนักกว่านี้ สำหรับวันนี้ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ที ไม่ต้องกล่าวคำสวัสดีเพราะว่ามันเป็นการล้อ