แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คำบรรยายในหัวข้อว่า “ธรรมปาฏิโมกข์” ที่ตรงนี้ ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าพูดแต่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวกูของกูในแง่ใดแง่หนึ่งหรือปริยายใดปริยายหนึ่ง ที่นี้ผู้มาใหม่อาจจะไม่ทราบว่ามันมีความสำคัญอะไรนักหนา ผู้ที่เคยฟังมาแล้วแต่ปีก่อนๆอาจจะทราบ เพราะเคยได้บอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องเดียวเท่านั้นที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหลายโดยเฉพาะเรื่องความทุกข์ นี้เราก็จะต้องพูดกันเรื่องตัวกูของกูนี้เรื่อยๆไปในทุกแง่ทุกมุม มันไม่ลำบากที่ต้องพูดหลายเรื่อง แต่พูดเรื่องเดียวในทุกแง่ทุกมุม
ในที่นี้เรื่องตัวกูของกูนั้นมันก็ไปมีความสำคัญอยู่ตรงที่เรียกว่า “ความเห็นแก่ตัว” ความเห็นแก่ตัวนี้รู้จักกันดีมาก แต่เรื่องตัวกูของกูนี้น้อยคนจะรู้จัก รู้จักกันแต่ในวงพุทธบริษัทและก็ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่เรื่องความเห็นแก่ตัวนั้นเขารู้จักกันทั้งโลกก็ว่าได้ และก็ศาสนาทุกศาสนาล้วนแต่มุ่งหมายจะกำจัดสิ่งเดียวนี้คือความเห็นแก่ตัวนี้ ขอให้ทุกๆท่านไปสังเกตดูให้ดี ค้นคว้าดูให้ดี จะเห็นว่าทุกศาสนาล้วนมุ่งหมายจะกำจัดสิ่งที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่ามีวิธีที่จะปฏิบัติต่างกันบ้างแล้วแต่ความเหมาะสมของเวลาของยุคสมัยของสถานที่ถิ่นนั้นๆ พอมาถึงเดี๋ยวนี้ในศาสนาก็หมดอิทธิพลลงไปในการที่จะเป็นผู้ทำลายความเห็นแก่ตัวหรือความเสื่อมศีลธรรมนี้ เพราะว่าคนในยุคปัจจุบันนี้หันหลังให้ศาสนากันมากทุกที จนกระทั่งดูหมิ่นเหยียบย่ำศาสนาว่าไม่ประโยชน์ไม่มีความจำเป็นมากขึ้นทุกที ศาสนาก็เลยไม่ได้ทำหน้าที่ช่วยมนุษย์ เพราะมนุษย์ไม่ต้องการศาสนายิ่งขึ้นทุกที ฉะนั้นความเห็นแก่ตัวมันก็มีกำลังมากขึ้นทุกที ในโลกนี้ก็เลยมีแต่ความเห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกที ดังนั้นเราก็จะพูดเรื่องนี้ในแง่ใดแง่หนึ่งเป็นคราวๆไปเพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านี้ แม้ว่าคนอื่นพวกอื่นเขาจะไม่สนใจก็ตามใจ เราก็จะพูดกันเรื่องที่มันเป็นจริงหรือเป็นตัวแท้ของศาสนา เพราะฉะนั้นเราจึงพูดเรื่องตัวกูของกูกันที่นี่ทุกครั้งไป
สำหรับในวันนี้ก็อยากจะพูดในแง่หนึ่งซึ่งก็มีความลับหรือซ่อนเร้นมากอยู่เหมือนกัน คือความจริงที่ว่าความก้าวหน้าของมนุษย์ในทุกอย่างทุกทางในปัจจุบันนี้ล้วนแต่เป็นไปเพื่อเพิ่มความเห็นแก่ตัว แล้วสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเป็นคุณนั้นก็เป็นคุณไปไม่ได้ กี่มากน้อยมันกลายไปเป็นของที่เพิ่มความเห็นแก่ตัว การศึกษาก็มีขึ้นอย่างที่เรียกว่าก้าวหน้าและก้าวหน้าไปทางความเห็นแก่ตัวอย่างลึกซึ้งขึ้น นี้การค้นคว้าและประดิษฐ์คิดค้นในสิ่งต่างๆที่เป็นผลการศึกษานี้เขาเรียกกันว่า “ความก้าวหน้าหรือความเจริญ” แต่แล้วมันเพิ่มความเห็นแก่ตัว คือแทนที่มันจะกลายเป็นคุณ มันกลายเป็นโทษ ในวันนี้จะพูดถึงเรื่องนี้ โดยหัวข้อว่า “จากคุณไปสู่โทษ” จากความเจริญก้าวหน้าที่เรียกว่าจะเป็นคุณมันกลายไปเป็นโทษ
ทีนี้เราก็มองดูสิ่งที่เรียกว่า “ความก้าวหน้า” การศึกษานี่มันเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ไม่ใช่เป็นตัวการ เราศึกษาเพื่อให้รู้ฉลาดสามารถและก็ทำอะไรให้ก้าวหน้า ในการทำอะไรให้ก้าวหน้านั้นมันเป็นตัวการ นี้การศึกษามันเป็นอุปกรณ์หรือเป็นอะไรอุปภาคหรือเป็นอะไรไปเท่านั้น เราจะต้องเพ่งเล็งไปถึงตัวสิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นความก้าวหน้าหรือเป็นคิดขึ้นมา ซึ่งมันเห็นได้ง่ายกว่า สิ่งที่ควรเอามาเป็นตัวอย่างที่สุดก็คือความก้าวหน้าเกี่ยวกับกิจการไฟฟ้า นี่พูดขึ้นมาอย่างนี้บางองค์ก็ทราบดีตลอดทะลุปรุโปรงว่าอะไรบ้าง แต่บางองค์ก็ยังไม่ทราบ จึงขอให้นึกย้อนหลังไปถึงยุคที่เกิดมีความรู้เรื่องไฟฟ้า การศึกษาการค้นคว้าพบเรื่องไฟฟ้า แล้วก็เอาไฟฟ้ามาใช้ให้มีประโยชน์ยิ่งๆขึ้นทุกที กระทั่งเป็นอิเล็กทรอนิคส์ไกลออกไปขั้นหนึ่ง นี่เรียกว่ายุคหนึ่งคือยุคของไฟฟ้า ก่อนหน้ามีไฟฟ้าเราไม่มีอะไรบ้าง ก็ลองคิดดูก็แล้วกัน พอมีไฟฟ้าขึ้นเป็นยุคไฟฟ้า เรามีอะไรบ้าง นี่เราก็เห็นได้ทันทีว่าทุกสิ่งนี้ต้องใช้ไฟฟ้าเดี๋ยวนี้มีแทบว่าจะทั้งหมดเสียเลย ความก้าวหน้าที่ไปไกลและก็ประชาชนก็อยากจะใช้ อยากจะมี อยากจะใช้กันทุกคน รัฐบาลก็อำนวยให้ในฐานะที่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่มีความเจริญ เป็นความเจริญ หรือเป็นประโยชน์ นี่ระบบไฟฟ้าทุกอย่างนับตั้งแต่แสงสว่าง นับตั้งแต่กำลังงานเพื่อการเคลื่อนไหวเพื่อมาเรื่อยๆไป จนกระทั่งวิทยุ อะไรที่ใหม่ๆที่สุดซึ่งต้องใช้กระแสไฟฟ้าทั้งนั้น พวกอิเล็กทรอนิคส์นี่นับกันไม่ไหวกระทั่งวิเศษ คอมพิวเตอร์อะไรเหล่านี้ เป็นต้น สรุปเรียกกันสั้นๆว่า “ระบบความเจริญของกิจการไฟฟ้า” คำเดียวก็แล้วกัน เรียกว่า “ไฟฟ้า” สั้นๆ ทีนี้มนุษย์ก็มีความรู้เรื่องนี้แล้วก็เอาความรู้นี้ไปติดไปทำเป็นของใช้ขึ้นมา ก็ลองคิดดูว่ามันมีผลดีหรือผลร้ายอย่างไร สิ่งจะพูดให้เป็นแนวเป็นหัวข้อสำหรับนึกกันก่อนก็คือว่า สิ่งเหล่านี้มันทำให้คนไม่มีธรรมะมากขึ้น คือมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ดังนั้นตั้งหลักไว้ที่ความเห็นแก่ตัวก่อน พอเรามีอุปกรณ์ไฟฟ้านานาชนิดใช้ เราก็จะสามารถที่จะแก้ปัญหาขัดข้องต่างๆนานาได้ ใช้ในการรักษาโรค ใช้ในการคมนาคม ใช้ในการเป็นอยู่สะดวกสบาย นี่เรียกว่ามันแก้ปัญหาขัดข้องได้ในลักษณะที่อันอื่นมันช่วยแก้ให้ไม่ได้ นี่เราก็ได้รับประโยชน์อันนี้เป็นข้อแรก คือสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้เป็นที่พอใจ ทีนี้เราก็มองดูว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นส่วนที่แก้ปัญหาต่างๆจำเป็นนั้นมันส่วนหนึ่งต่างหาก นี้เรียกว่ามีค่าและก็บริสุทธิ์ เป็นของบริสุทธิ์
ทีนี้มันจะค่อยๆคืบคลานออกไปเป็นอะไร ขั้นถัดไปก็คือ “ความสะดวก” ก่อนนี้เราไม่มีความสะดวกเดี๋ยวนี้ก็มีความสะดวก แม้ที่สุดแต่ไต้หรือเทียนนี้ก็ใช้ไฟฉายใช้แทนขึ้นมา อย่างนี้เป็นตัวอย่างของความสะดวก ทีนี้มันมีสะดวกมากมายอะไรไปกว่านั้นที่ทำให้มีความสะดวก ความสะดวกนี่มองดูให้ดีว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องการแก้ปัญหาขัดข้องโดยแท้จริง เมื่อก่อนนี้เราสามารถแก้ปัญหาขัดข้องต่างๆได้โดยไม่สะดวก แต่ว่าเราแก้ได้นะ อย่าลืมนะ อย่าลืมข้อเท็จจริงหรือบุญคุณของความไม่สะดวก เราอยู่ด้วยความไม่สะดวก แต่เราก็ใช้ความพยายามมาก แล้วก็แก้ปัญหาต่างๆได้ เราก็ไม่ต้องลงทุนมาก ไม่ยุ่งมาก ไม่ลำบากมากเหมือนกัน นี้พอความสะดวกเกิดขึ้นมันก็มีความเคยชินเป็นนิสัยในทางที่จะเอาแต่ความสะดวก นี่คิดดูสิ เดี๋ยวนี้เราใช้ไฟฉาย การที่จะใช้เทียนใส่ในกะลาเราก็เอือมระอา จะใช้โคมผ้าแขวนหิ้วใส่เทียวข้างในเหมือนแต่ก่อนเราก็ไม่ไหว มันไม่สะดวกเท่านั้นแหละ เดี๋ยวนี้มันเลื่อนขึ้นมาถึงขึ้นเป็นความสะดวกจากขั้นที่เป็นการแก้ปัญหาโดยๆแท้จริง ก่อนนี้เราแก้ปัญหาโดยการไม่สะดวก เรายังทำกันมาได้นี้ พอมาเป็นความสะดวกเราก็เห็นแก่ความสะดวก เรื่องแสงสว่างก็ดี เรื่องอะไรอื่นๆก็ดี หัวใจเปลี่ยนมาเป็นทาสของความสะดวก
ที่นี้ระยะที่สาม มันก็เลื่อนขึ้นมาเป็น “ความสบาย” สะดวกกับสบายไม่ใช่อันเดียวกันอย่าเข้าใจผิด สะดวกนั้นมันยังมีความหมายมีความจำเป็นมากกว่าความสบายในการที่แก้ปัญหาต่างๆ ทีนี้ความสบายชนิดนี้มันไม่ใช่ความสบายทางจิตใจอะไรนักหนา มันเป็นความสบายที่มาจากความสะดวกในทางวัตถุเรา เราก็เลยติดในความสบาย ทีนี้จากความสบายมันกลายเป็น “ความผาสุก” อยู่อย่างผาสุก ผาสุกนี่มันมีความหมายค่อยเลือนมาหาความไม่จำเป็นมากขึ้น นี้จากความผาสุกมันเลื่อนมาเป็น “ความสนุก” นี่เราใช้วิชาความรู้อันใหม่ของเรานี่มาถึงขึ้นความสนุก ประโยชน์ที่ได้รับจากวิชาไฟฟ้านี้มากลายเป็นเพื่อความสนุก เช่น เมื่อได้รับความสะดวกสบายเรื่องอย่างๆใช้ถ่านไฟฉาย ใช้ไฟฉายแทนไต้แทนเทียนอย่างนี้ มันก็มีความผาสุก อย่างมีพัดลมใช้มันก็จะมีความสนุก ก็มาถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้ความบำรุงบำเรอต่างๆ กระทั่งความเพลิดเพลินพวกเอ็นเตอร์เทนเมนท์ต่างๆ เดี๋ยวทุกบ้านก็จะมี ที่มีสตางค์พอก็จะมีเครื่องเล่นจานเสียงเครื่องอะไรทำนองนี้
นี้จากความสนุกนี่ก็ได้กลายเป็น “ความสนุกสนาน” คุณแยกความสนุกออกจากความสนุกสนานได้หรือไม่ ความสนุกมันยังน่าดูกว่า ความสนุกสนานมันจะเกินแล้ว มันจะก้าวไปในทางเกินมันเลยแถมคำว่า “สนาน” เข้ามา นี่เราก็ใช้ในสิ่งที่สนุกเกิน เกินควรเป็นสนุกสนาน ทีนี้จากความสนุกนานมันก็งอกออกมาเป็น “ความเพลิน” นี่ระวังเถิดมันจะเข้าเขตของอะไรอีกอย่างหนึ่งแล้ว เป็นความเพลินแล้ว ไม่ใช่สนุกสนานแล้วนะ มันเป็นความเพลินที่เรียก “นันทิ” ในภาษาบาลี คำเหล่านี้แม้ในภาษาไทยก็ไปใคร่ครวญดู มันไม่ใช่คำเดียวกัน คำที่ออกชื่อมาแล้ว ทีนี้จากความเพลินตอนธรรมดานี้เป็นก็จะกลายเป็น “ความเพลินเพลิดเตลิดเปิดเปิง” ไปเลย คือมันเพลินแต่มันเพลินเกิน เกินพอดี เกินไม่มีขอบขีด ทีพอมาเพลิดชนิดเตลิดเปิดเปิงนี้มันก็กลายเป็นยาเสพติด คือติดรสของความเพลิน เพราะว่าเราติดรสของความเพลิดเพลินเหมือนกับติดรสยาฝิ่น นี่มันไกลออกมาทุกทีอย่างนี้
ทีนี้พอมาถึงขนาดนี้แล้วมันก็คลอดเป็น “ความโง่” ออกมาก ความโง่มันก็เริ่มครอบงำเรา เราลืมตัวถึงขนาดติดรสของความเพลิดเพลินเตลิดเปิดเปิงมานี้ นี่มันเป็นมันเคยเป็นความสะดวกสบาย ผาสุก สนุกสนาน เพลิดเพลินมา เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นความโง่ เป็นอยู่ในรูปของความโง่ที่เริ่มครอบงำ นี่มันถึงจุดๆหนึ่งแล้วคือเป็นความโง่ หรือจะมีสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องมีเดี๋ยวนี้ จะซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องซื้อเกี่ยวกับการประดิษฐ์เหล่านี้ นี้เพราะว่ามันมีความโง่เกิดตามใจตัวเองมากขึ้น จากความโง่นี้ก็ “ความเห็นแก่ตัว” ความเห็นแก่ตัวเริ่มขยายเริ่มขยายตัวจากที่เป็นเพียงสัญชาตญาณนี้มาเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างอย่างที่เรียกว่าก้าวหน้า ทุกคนก็มีความเห็นแก่ตัวตามสัญชาตญาณ แต่มันไม่มากมายอะไร มันอยู่ในการควบคุมบังคับ แล้วมันก็ไม่เริ่มขยายตัวออกไปมากมายอะไรนัก เดี๋ยวนี้มันเป็นทาสของความเพลิดเพลิน รสของความเพลิดเพลิด มีความโง่ถึงขนาดที่ความเห็นแก่ตัวนี้มันก็เริ่มขยายตัว
คำพูดอย่างนี้เราจะใช้กับพวกฝรั่งที่เป็นต้นตอของความก้าวหน้านี้ก็ได้ แล้วพูดกับพวกเราที่ตามก้นฝรั่งยิ่งกันทุกทีก็ได้ มันก็เหมือนกัน ความเห็นแก่ตัวมันเริ่มขยายขอบเขต ขยายน้ำหนัก ขยายอะไรออกไป ทีนี้จากความเห็นแก่ตัวนี้มีอะไรมากมายที่จะคลอดออกมา ตัวอย่างเช่น “ความหยิบโหย่ง” “ความมักง่าย” “ความหนักไม่เอาเบาไม่สู้” มันก็มีขึ้นมา “เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”นี้ มันก็มีขึ้นมา ทุกอันนี้มันมาจากความเห็นแก่ตัว เพราะเมื่อเห็นแก่ตัวแล้วก็ไม่อยากทำอะไรให้เหน็ดเหนื่อยและก็อยากจะทำง่ายๆ มันก็หวัดมันก็ชุ่ยมันก็ยิบโหย่ง มันก็อะไรออกมายิบไปหมดเลยจากความเห็นแก่ตัวนี้ นี่เป็นมาอย่างไม่รู้สึกตัว ทีนี้จากความมักง่ายยิบโหย่งนี้ก็มีความเสียนิสัย เสียนิสัยที่ดีๆ เสียนิสัยแห่งความที่เคยทรหดอดทนและเสียสละ นี่เราจะไม่อดทน เราจะไม่บึกบึน เราจะไม่เสียสละ เพราะความเห็นแก่ตัวมันเพิ่มขึ้น มันรุนแรงขึ้น มันรุนเริงรุนแรงขึ้น ถึงแม้จะรู้อยู่ว่าควรเสียสละ เรื่องเสียสละเป็นการดีนี่ ความเห็นแก่ตัวมันก็ทำให้ตัดออกไปเสีย รู้อยู่ว่าดีแต่ก็ไม่อยากทำ ทีนี้หนักเข้าๆก็กลายเป็นนิสัย คือนิสัยไม่ทำไปเลย ไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่คิด ไม่นึกมันก็เสียนิสัยอย่างนี้
ถ้าถึงขนาดนี้แล้ว ความเห็นแก่ตัวนั้นก็คุจัดเดือดพล่านไปในอารมณ์ต่างๆมากขึ้น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเองอะไรก็ตาม อุปกรณ์ที่จะซื้อหามาไว้เนื่องด้วยระบบไว้ไฟฟ้านี้ มันก็จะไปในทางที่ไม่จำเป็นมากขึ้น ไม่จำเป็นมากขึ้น มาย้อมนิสัยขนาดที่เห็นแก่ตัวมากขึ้น เป็นไปในอารมณ์ทุกทิศทุกทาง จากนี้ความเห็นแก่ตัวนั้นก็เริ่มขยายออกไปครอบงำผู้อื่นจะไปครอบงำประโยชน์ของผู้อื่น หรือกระทั่งครอบงำชีวิตของผู้อื่น ก็อาจจะฆ่าผู้อื่นได้โดยเหตุที่มีความเห็นแก่ตัว เรียกว่าความเห็นแก่ตัวมันออก มันคุมันคุจัดไปถึงกับว่าครอบงำผู้อื่น ซึ่งเมื่อก่อนนี้เราทำไม่ได้ถ้ามันจิตยังปกติอยู่ มันต้องมีความเห็นแก่ตัวเดือดจัด ที่นี้พอมาถึงขนาดนี้แล้วก็เกิดคว้านหลังให้พระเจ้า หันหลังให้ศาสนา นี่มันจะเริ่มก่อขึ้นมาในจิตใจ เรียกว่าก่อขึ้นมา ก่อหวอดกันขึ้นมายังไม่เต็มที่ จะเริ่มหันหลังให้ศาสนาคือไม่บูชาศาสนา ไม่บูชาพระเจ้า ก็มาเป็นทาสทางเนื้อหนังนี้มากขึ้น นี่ขอให้สังเกตดูว่าคนเราเริ่มหันหลังให้พระเจ้าหรือศาสนากันตั้งแต่เมื่อไหร่
พวกฝรั่งในสมัยที่พวกเขาสวมกระโปรงยาว เสื้อแขนยาวเลยข้อมือออกมาอีก ไปดูภาพเก่าๆนะ พวกผู้หญิงแต่งตัวอย่างนั้น พวกผู้ชายก็ยิ่งกว่านั้น ตอนนั้นเขายังไม่หันหลังให้ศาสนา ไม่หันหลังให้พระเจ้า ต่อมาพวกฝรั่งเจริญด้วยวิชาความรู้วัตถุนี้มากขึ้นๆ ระบบทำให้เกิดความเพลิดเพลินนานาชนิด มีวิชาไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์นี้ มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น เห็นแก่พระเจ้าเห็นแก่ศาสนาน้อยลงๆ จนกระทั่งเห็นแก่กิเลสเดี๋ยวนี้เขาก็ไม่นุ่งผ้ากันแล้วก็ได้ยินว่าบางถิ่นบางแห่ง นี่เรียกว่าหันหลังให้ความถูกต้อง หันหลังให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หันหลังให้ศาสนา คือหันหลังให้ความรู้สึกที่เคยบูชามาเป็นความรู้สึกที่ไม่มีขอบเขต เพียงไม่กี่ชั่วอายุคน ๒-๓ ชั่วอายุคน ก็ไปคนละทาง เรียกว่าตรงกันข้ามเลย ที่จริงเพียงชั่วอายุคนนี้ก็เป็นไปมากเท่าที่ความก้าวหน้าความเจริญของวัตถุมันมากเท่าไหร่ เช่นในศตวรรษนี้ความเจริญก้าวหน้าในวัตถุมันมาก ความเปลี่ยนแปลงมันก็มากเท่ากัน ศตวรรษก่อนก้าวหน้าทางวัตถุมันไม่สู้มาก ความเปลี่ยนแปลงมันก็ไม่สู้มาก ศตวรรษก่อนหน้านู้นความเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าทางวัตถุไม่ค่อยจะมี มันก็ไม่ค่อยจะมี นี้มันจะมาเคียงคู่ขนานความก้าวหน้าทางวัตถุ เพราะว่าความก้าวหน้าทางวัตถุมันให้เกิดอะไรมาตามลำดับอย่างที่ว่ามาแล้ว นับตั้งแต่ความสะดวกสบาย ความผาสุก สนุกสนาน เพลิดเพลินเตลิดเปิดเปิง เป็นทาสของความเพลิดเพลิน โง่ขยายความเห็นแก่ตัว เสียนิสัยมากออกไปจนหันหลังให้พระเจ้าหันหลังให้ศาสนา
ทีนี้ก็ขึ้นมาถึงยุค “การเบียดเบียน” เริ่มมีรากฐาน การเบียดเบียนจะมีรากฐานที่มั่นคง เพราะเรามันหันหลังให้ศาสนาหันหลังให้พระเจ้า ซึ่งห้ามการเบียดเบียน สอนแต่เรื่องไม่เบียดเบียนเบียน ทีนี้เราก็ไปเป็นทาสของพญามาร เพราะความไม่รู้สึกตัว ความลืมตัวที่ค่อยๆเป็นมาตามลำดับ ก็มีการเบียดเบียนลงรกลงราก เบียดเบียนตนเองให้ลำบากเพราะเป็นทาสของวัตถุหรือความสะดวกสบายสนุกสนานนี้มากเข้านี่เรียกว่า เบียดเบียนตัวเอง นี้มันก็กระทบไปถึงผู้อื่นโดยอ้อม มีลูกมีหลานอะไรออกมา มันก็ถูกสอนให้เสียนิสัยและก็มีความเบียดเบียนตัวเอง นี้ไม่เท่าไหร่ก็จะช่วยกันเบียดเบียนผู้อื่น ตั้งต้นตั้งแต่เริ่มไม่ซื่อตนต่อผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น คอยจ้องที่จะเอาประโยชน์ของเขามาเป็นของตน ตึงเครียดขึ้นทุกที และมันจะมีความลำบากยุ่งยากต่อไปอย่างที่ไม่น่าเชื่อ คนสมัยก่อนเขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีน้ำใจเหมือนกับน้ำที่แสนจะเย็น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เหลือเกิน เดี๋ยวนี้ไม่มี คอยแต่จะโกง คอยแต่จะเอาเปรียบ เพราะว่าเขาไม่กลัวบาป เขาไม่ถือศาสนา เขาใช้ความรู้ทางกฎหมายเป็นต้นนี้เอาเปรียบกัน ใครมีกำลัง มีความรู้มีอะไรที่จะใช้กฎหมายให้มันเป็นเครื่องช่วยให้ตัวได้เปรียบ ก็ใช้กันเต็มที่เราก็ดูสิว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น นี่เบียดเบียนตัวเอง เบียดเบียนผู้อื่น มันเริ่มลงรากฐาน
ทีนี้ก็มาถึงสิ่งที่เรียกว่า “คอรัปชั่น” หรือ “การกอบโกยด้วยการทำคอรัปชั่น” การกอบโกย หมายความว่าแสวงหาหรือมีไว้เกินจำเป็นไม่รู้กี่ร้อยเท่าพันเท่าหมื่นเท่าแสนเท่า คนๆนั้นแสวงหามาแล้วก็มามีไว้ในความครอบครองนี้ มันเกินความจำเป็นหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นหลายแสนเท่า นี้ความกอบโกย นี้ความกอบโกยนี้ต้องเป็นคอรัปชั่นเสมอ ไม่มีทางแก้ตัว คำว่า “คอรัปชั่น” มันต้องมีความหมายตามตัวหนังสือ คือกว้างๆสักหน่อย คือว่าทำผิด ทำเลว ทำชั่ว มันหมายถึงความผิด ความเลว ความชั่ว หรือจุดดำที่มันอยู่มันเกิดขึ้นมาใหม่ในท่ามกลางสีขาว ในท่ามกลางความดี มันเคยมีแต่ความดีความถูกต้องกันในหมู่คนเหล่านั้น สังคมนั้น สถานที่นั้น มันก็เริ่มมีจุดเน่าเปื่อยหรือจุดสกปรกจุดดำอะไร เกิดขึ้น เกิดขึ้น เกิดขึ้น แล้วขยายออกไปมันเป็นคอรัปชั่น แม้แต่ในวัดในวานี้มันก็มีคอรัปชั่นอย่างเดียวกับนอกวัด นี้เรียกว่ามันอยู่ในวงแคบแล้วก็ออกไปเป็นวงกว้าง คอรัปชั่นกันระหว่างชาติหรือคอรัปชั่นกันในโลกไปเลย ทั้งโลกมันมีลักษณะอย่างนี้เวลานี้ มีคนที่คอยทำคอรัปชั่นกอบโกยเอาไปไว้เป็นของตัวให้มาก คิดแล้วมันก็เป็นบาปนะ มันไม่ต้องตัดสินอะไร การกอบโกยมันไม่ต้องมีการวินิจฉัยอะไรอีกแล้วมันต้องเป็นบาป ถ้ามันทำเกินจำเป็นมันก็ต้องมีส่วนที่ไปต้มหรือไม่หลอกลวงไปดูดไปซับเอาของผู้อื่นมาโดยวิธีการอันฉลาด ไม่ผิดกฎหมายก็ได้เพราะมันรู้กฎหมาย แต่แล้วมันก็ผิด ผิดธรรมะหรือผิดกฎของความจริง ของธรรมะ ของพระศาสนา ของพระเจ้า ของธรรมชาติ พูดว่าของธรรมชาตินี้ควรจะถือหลักกันอย่างนี้แล้วถ้าคนหนึ่งมันเอามาเสียมากเกินคน อีกหลายคนมันจะไม่ได้ เช่น ของมีอยู่ในป่า ผลไม้เกิดอยู่ในป่าที่คนหนึ่งมันก็เอามาเสียมากเกิน คนอื่นมันก็ไม่ได้ อย่างนี้ตามกฎของธรรมชาติถือว่าไม่ถูกต้อง ตามกฎของพระเจ้า ตามกฎของศาสนาถือว่าเป็นบาป เป็นความผิด เพราะมันทำไปด้วยจิตใจที่เลว มันคิดว่าช่างหัวมันคนอื่นจะได้หรือไม่ได้ เราเอาให้หมด ทีนี้ความคิดมันไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้นมันจะเอาให้ได้ทั้งนั้นแหละ มันก็เลยโค่นต้นไม้ต้นหนึ่งเพื่อจะเอาลูกไม้ผลไม้เท่าที่จะเอาไปไว้เพื่อประโยชน์ตัวเต็มที่ ต้นไม้นั้นก็ตาย ไม่มีให้ใครได้ประโยชน์อีกต่อไป คนอื่นก็ไม่ได้ กฎหมายอะไรก็ถือว่าไม่ผิด ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดอะไร เพราะกฎหมายมันเกิดขึ้นมาโดยคนโง่ โดยคนมีกิเลสหนา มันจึงไม่บัญญัติว่าอย่างนี้มันเป็นความผิดกฎหมาย นี้ใครจะเอาเท่าไหร่ก็ได้ แต่ทางธรรมะ ทางพระเจ้า ทางธรรมชาติ มันไม่ยอม มันจะลงโทษ คือลงโทษให้มนุษย์มันเดือดร้อน มันเดือดร้อนกันมากขึ้น นี่เป็นคอรัปชั่นต่อธรรมชาติและก็ธรรมชาติมันก็ลงโทษ แต่ไม่มนุษย์ไม่ถือว่าคอรัปชั่นผิดอะไร นี้เพียงคอรัปชั่นในหมู่กันเองที่กฎหมายเขาห้ามนี้ก็ยิ่งมีมากไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว นี่เรียกว่าถึงขั้นกอบโกยด้วยคอรัปชั่นเป็นบาปตลอด ตลอด ตลอดเรื่องเลยจะผิดกฎหมายหรือไม่ผิดกฎหมายก็ตามใจมันเป็นการทำบาป เป็นมนุษย์บาปขึ้นมาแล้ว
และจากนี้ก็มาถึง “ความมีจิตทราม” เริ่มงอกงามเหมือนกับว่าได้ดินดี ได้ผลดี ได้อะไรดี ต้นไม้งอกงามกันใหญ่ หนาทึบขึ้นมา ความมีจิตทรามของมนุษย์ ความเป็นโรคจิตทรามในหมู่มนุษย์เริ่มหนาแน่นขึ้นมาในโลก และก็จิตมันตกต่ำไปจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตามธรรมชาติ คือเราถือว่าคนเรานี้รู้สึกผิดชอบชั่วดีได้ตามธรรมชาติอยู่ส่วนหนึ่งระดับหนึ่ง ถ้ามันต่ำกว่านั้นก็เรียกว่า จิตทราม เป็นโรคจิตทราม มีความมีจิตทราม ส่วนที่เรารู้ผิดชอบชั่วดีเพิ่มขึ้นเพราะการศึกษาหรือเพราะถือหลักศาสนานั้นมันยังสูงกว่านั้น นี้เอาแต่ที่ว่ามันจะรู้สึกได้ด้วยสามัญสำนึก นี้มันก็เป็นในทางดี แม้แต่สัตว์มันก็ยังรู้ รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีตามสมควรแก่สัตว์ในภาษาสัตว์ มันไม่กล้าทำในสิ่งที่เราไม่ชอบแม้แต่สุนัขนี้เอง เพราะเราตีมันหรือว่าเมื่อมันทำดีเราให้อะไรมัน มนุษย์ก็เหมือนกันมาเริ่มรู้ระดับของความมีจิตใจที่เหมาะสมสำหรับความเป็นมนุษย์ได้เอง ถ้าต่ำกว่านั้นก็เรียกว่ามีจิตทราม ต่ำกว่าระดับของความเป็นมนุษย์ นี่โรคของจิตทรามหรือความมีจิตทรามมันเป็นเรื่องเกิดขึ้นในจิตใจ มันเป็นโรคที่จะบ่อนทำลายจิตใจ เดี๋ยวนี้ความมีจิตทรามมันก็เข้มข้นเข้าออกมาในรูปของความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโลภ ความโกรธ ความหลงมาเยี่ยมจิตใจนี้ถี่เข้าๆ มันมีน้อยมันมีน้อยๆหรือว่ามันมีห่างๆด้วย เดี๋ยวนี้มันก็มีเข้มข้นเข้าหรือว่าก็มากเข้าถี่เข้าบ่อยเข้า
ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็มาเกิดขึ้นในจิตใจนี้ คือมาเยี่ยมถี่เข้าๆๆ จากนี้ก็คลอดออกมาเป็น “ความร้อนใจ” คือนรก จิตใจจะมีลักษณะร้อนตามความหมายของคำว่า “นรก” นรกแปลว่าความร้อน ร้อนเป็นไฟ ร้อนเหมือนกับถูกเผาไฟ ถูกลวกน้ำร้อน ถูกกระทำอย่างที่เรียกว่ามันเจ็บปวดแสบเผ็ดเหลือประมาณเกิดขึ้นแล้วในทางจิตใจนี้ นรกก็เริ่มปรากฏเป็นนรกจริงๆ เป็นนรกที่ใหญ่ออก ใหญ่ออก ใหญ่ออก ก่อนนี้นรกยังไม่ปรากฏ เดี๋ยวนี้นรกแท้จริงก็ปรากฏขึ้นในจิตใจนั้น ถ้าเป็นความร้อนใจแล้วก็เรียกว่านรก
นี่พร้อมกว่านั้นมันก็ออกมาเป็น “ความหิวอย่างทรมานจิตใจ” นี้ ความหิวอย่างนี้เราเรียกว่าเปรตหรือความเป็นเปรต คือความหิวที่มันเผารนจิตใจ ไม่ใช่หิวข้าว หิวน้ำ หิวอะไรที่มันธรรมดานี้มันไม่ได้เผารนจิตใจ หรือความทะเยอทะยานด้วยอำนาจความไม่รู้จักพอเพราะมีความโลภหรือความอะไรมากนี้ ถึงขนาดที่ไม่มีคำว่าอิ่ม ไม่มีคำว่าอิ่ม ไม่มีคำว่าพอ มีเงินเท่าไรๆแล้วก็ยิ่งอยากมากขึ้นเข้าไปอีก ยิ่งได้เงิน ได้ทรัพย์ ได้ของมามาก แทนที่มันจะลดความอยากมันกลับเพิ่มนี้ความอยากชนิดเขาเรียกว่า “ความหิวในทางวิญญาณ” มีเป็นความหมายของคำว่า “เปรต” คือความหิวมันมากเท่าภูเขา เพราะสิ่งที่มาสนองความหิวนั้นมันก็รู้สึกว่าเป็นของน้อยๆๆอยู่นั่นแหละ เพราะความหิวมันกระโดดไปไกลเรื่อยที่ได้มามันก็น้อยๆ ได้เงินล้านหนึ่งก็ไม่มีความหมาย ได้เงินร้อยล้านไม่มีความหมาย มันออกมาอย่างนี้ จึงเรียกว่าหิวทางวิญญาณก็กลายเป็นเปรต นี่มนุษย์กลายเป็นเปรต ตกนรกบ้าง กลายเป็นเปรตบ้าง ทุกวันๆมันอยู่ด้วยความหิว นี่ขอให้ดูความเป็นอยู่แบบสมัยใหม่มันจะเต็มไปด้วยความหิว มันไม่เคยรู้เรื่องการหยุดความหิว ไม่มีการพักผ่อนทางวิญญาณตามแบบพิธีของศาสนาทั้งคนหนุ่มคนสาวสมัยใหม่ที่มีการศึกษาอย่างใหม่หลงใหลในประดิษฐ์อย่างใหม่นี้ มันก็หิวอยู่ตลอดเวลา ก็มีความร้อนใจสลับกันอยู่กับความหิว คือมีนรก ความเป็นสัตว์นรก กับความเป็นเปรตนี่ มันสลับ สลับกันอยู่ตลอดเวลา เพราะมันไม่มีวัฒนธรรมของทางศาสนาเข้ามาแทรกแซงได้เหมือนแต่ก่อน นั่นมันจึงเริ่มมีความวิปริตทางจิตใจ คือเกิดในความรู้สึกประเภท “ความวิตกกังวล” ขึ้นมาในจิตใจ มีความวิตกกังวลหนาแน่นขึ้นมาในจิตใจ ความพักผ่อนในทางจิตใจก็ไม่มี ความพักผ่อนในทางวิญญาณก็ไม่มี และความพักผ่อนในทางกายก็มีไม่ได้ ถึงแม้มันจะนอนหลับทางกาย แต่จิตใจมันตื่นอยู่เสมอ ดวงวิญาณถูกรบกวนอยู่เสมอ นี่เรียกว่ามันเป็นอยู่ด้วยความวิตกกังวล มันก็เริ่มวิปริต ร่างกายวิปริต ระบบจิตใจ Mentality ก็วิปริต ลึกเข้าไปทางความคิดความรู้สึกความเข้าใจ คือพวก Spiritualism มันก็เลย วิปริตกันหมด
นี่ผลของการก้าวหน้าในแบบปัจจุบันที่กำลังเป็นอยู่ในโลกเวลานี้ นี่จากความวิตกกังวลก็คลอดออกมาเป็น “ความหวาดกลัว” เป็นความหวาดผวาอยู่เรื่อย ความหวาดกลัวนี่เราเรียกว่าความเป็นอสูรกาย “อสุระ” แปลว่าไม่กล้า คือกลัว มีแต่ความกลัว กลัวจะไม่ได้นั่น กลัวจะไม่ได้นี่ กลัวจะเสียนั่น กลัวจะเสียนี่ กระทั่งไม่รู้ว่ากลัวอะไร ก็มีแต่ความกลัว หนักเข้าก็มีความสะดุ้ง ความหวาดผวา ซึ่งตัวเองก็ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ เพราะไม่รู้เรื่องต่างๆอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วตามลำดับ ตามลำดับ ที่มันเกิดทวีขึ้นในเรา ดังนั้นคนในสมัยปัจจุบันนี่ก็เริ่มอยู่ด้วยความกลัว ด้วยความหวาดผวา แม้แต่เด็กเล็กๆ มันก็เริ่มมีความกลัว มีความหวาดผวาเพราะว่าสิ่งที่ต้องการมันมีมากขึ้น ต้องการจะสอบไล่ได้ดีเพื่อการแข่งขันอย่างนั้นอย่างนี้ ยังมีเรื่องกินเรื่องแต่งเรื่องแต่งตัว มีเรื่องอะไรต่างๆ มันกลัวจะไม่ได้ มันก็มีความหวาดผวา เดี๋ยวก็เกิดโรคเรื้อรังทางจิตทางเส้นประสาท ทางจิตใจ ทางสติปัญญาขึ้นมา กายมันก็พลอยปั่นป่วนรวนเรไปตาม เราเรียกว่า “ความผิดปกติ”
ต้องพยายามศึกษาการเป็นอยู่ตามธรรมชาติให้เข้าใจแล้วก็มาศึกษาดูถึงความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แผนใหม่ คนเรามีจิตใจต่างกันอย่างไร เด็กๆเกิดมาก็น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนกันทีแรก แต่แล้วมันก็มีในนั้นในจิตใจมันมีเชื้ออะไรผิดกัน เมื่อมันพร้อมที่จะสันโดษ ยินดี หรือหยุด หรือสงบ อย่างเดี๋ยวนี้มันก็พร้อมที่จะไม่สันโดษ ไม่ยินดี ไม่ยอมหยุด ไม่ยอมสงบ ถือว่าหยุด ไม่ก้าวหน้า เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าหัวอยู่มาก คนสมัยนี้เค้าถือหลักว่าการหยุดนี่มันไม่ก้าวหน้า คนสมัยหินหรือว่า Ape man สมัยนู้นมันก็จะถามว่า ที่ก้าวหน้าก้าวไปไหนกัน ที่ถูกมันก็ก้าวหน้าไปเพื่อหยุดเท่านั้นแหละ เดี๋ยวนี้มันกำลังก้าวหน้าไปเพื่อบ้า เพื่อบ้า ไม่จำเป็นแต่มากขึ้น ก็เลยน่าหัว เพื่อนก็นึกว่าไม่ก้าวหน้า ไม่รู้ว่าก้าวหน้ามันก้าวเพื่อหยุด คนที่มันไม่อยากจะก้าวหน้า มันอยากจะหยุดนี่มันก็ถึงก่อน
นี่เราจะมองเห็นหลักของศาสนาที่ทำให้หยุดความกระหาย หยุดตัณหา หยุดอุปาทาน มันเรียกว่า “หยุด” หยุดสิ่งเหล่านี้ ถ้าหยุดสิ่งเหล่านี้ไม่มีความทุกข์ ทั้งทางกาย ค่อยๆแก้ปัญหาไปก็แล้วกันมันเจริญได้เท่าไหร่ก็ทำไปเท่านั้น อย่าทำให้ความเจริญนั้นมาเสริมความไม่รู้จักหยุด เดี๋ยวนี้ความก้าวหน้าความเจริญของมนุษย์ในยุคปัจจุบันยุคก้าวหน้านี้มันก้าวหน้าตะพึด แต่ทางสิ่งที่จะมาลวงตัวเองให้มันไม่รู้จักกับความหยุด ถ้าถือตามหลักพุทธศาสนา เราต้องมีความหยุดในทางจิตใจก่อน แล้วเราจะทำอะไรบ้างมันก็ทำได้ เราจะสร้างอะไรบ้าง สร้างความก้าวหน้าทางไฟฟ้า ทางวิทยาศาสตร์ อะไรเท่าไรก็ได้ แต่จิตใจมันต้องรู้จักหยุดเป็นกันเสียก่อน ถ้ามันหยุดเป็นหรือหยุดถูกต้อง มันถึงจะสร้างเท่าที่พอดี หรือว่าถ้ามันสร้างขึ้นมามาก ถ้าจิตใจมันยังมีธรรมะ มันก็รู้จักควบคุมสิ่งเหล่านั้นไม่ให้มาทำจิตใจของเราให้โง่ให้หลงมาตามลำดับเหมือนวิธีที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นลำดับๆ นี่ถ้ามนุษย์มันมีความรู้เพียงพอเรื่องกิเลส เรื่องความดับกิเลส ดับทุกข์อยู่เป็นต้นทุนแล้วมันก็ไม่เป็นไร มันจะก้าวหน้าทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้เขาทิ้งศาสนากันหมดเลยไปหาความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุเพื่อหลอกหลอนตัวเองให้มันหลงใหลมัวเมาไปยิ่งๆขึ้นไปจนเกลียดศาสนา จนเกลียดความหยุด จนเกลียดความสงบ นี่มันเป็นเรื่องที่มีอยู่ในเดี๋ยวนี้ในเวลานี้
ถ้ามันอยากกระโดดพรวดพลาดไปในทางวัตถุได้ด้านเดียวให้ทางธรรมทางศาสนาควบคู่ขนานกันไปมันก็ไม่มีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นขอให้จำไว้เป็นหลักสักประโยคหนึ่งว่า “ทว่าไม่มีธรรมะเข้ามากำกับอยู่ด้วยนะ สิ่งที่เราผลิตหรือหามาได้มีไว้มันจะกลายเป็นเพื่อเชือดคอตัวเอง” ฟังดูให้ดีๆ ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าธรรมะเข้ามาควบคุมกำกับอยู่ด้วย เพราะความก้าวหน้าในเรื่องผลิต เรื่องหา เรื่องมีไว้ เรื่องอะไรต่างๆนี้ทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นเพื่อการเชือดคอตัวเอง คือโลกในเวลานี้ทุกอย่างทำขึ้นเพื่อเชือดคอตัวเอง เพราะไม่มีธรรมะมาช่วยควบคุม ทำอะไรขึ้นมาได้มันก็กลายเป็นเพื่อเชือดคอตัวเองอยู่ตลอดเวลา พอมาถึงชั้นนี้ก็เรียกว่าเป็นความโง่ถึงที่สุดนะ เป็นความโง่ของมนุษย์ถึงที่สุด น่าเวทนาสงสารยิ่งกว่าความโง่ของสัตว์เดรัจฉาน ความโง่ของสัตว์เดรัจฉานไม่ได้ทำสัตว์เดรัจฉานทุกข์มากมายเหมือนความโง่ของมนุษย์ที่ทำให้มนุษย์มีความทุกข์มากมายด้วยความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์นั่นเอง ไม่มีธรรมะมาควบคุมความเจริญก้าวหน้าก็กลายเป็นความโง่ ก็เชือดคอตัวเองคือทำตัวเองให้ไม่มีความสุขอยู่ตลอดเวลา
แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกันอย่างนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทางอะไรต่างๆเหล่านี้มันทำให้ไม่ได้เป็นไปเพื่อเชือดคอตัวเอง เดี๋ยวเรามองกันในแง่ของศาสนา ของธรรมะ ของพระเจ้า คือมองในแง่ว่าคนเรามันมี ๒ ซีกมี ๒ ชั้น คือร่างกายกับจิตใจ ก็มองพร้อมๆกัน ก็จะเห็นว่าความก้าวหน้าทางวัตถุอย่างเดียวนี้มันเชือดคอตัวเองอยู่ตลอดเวลา ความเป็นมนุษย์ก็หมดไป แล้วก็ไม่มีใครเชื่อ หรือจะพูดว่าความเป็นมนุษย์มันหมดไปแล้วเดี๋ยวนี้ มีจิตใจต่ำทรามมีความโง่ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน คือทำเพื่อเชือดคอตัวเอง ซึ่งสัตว์เดรัจฉานไม่รู้จักทำที่จะประดิษฐ์ก้าวหน้าเพื่อเชือดคอตัวเองมันไม่รู้จักทำแต่มนุษย์มันรู้จักทำ เพราะว่ามีความก้าวหน้าในสิ่งใดก็ก้าวหน้าไปแต่ในทางที่จะทำให้ลืมตัว แล้วไปเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น นี่เรายกตัวอย่างความก้าวหน้าในทางเป็นอยู่ มีเครื่องไฟฟ้าต่างๆเป็นอุปกรณ์ เพียงอย่างเดียวเท่านี้เรื่องอื่นยังไม่พูดถึงเลย มนุษย์ก็สูญเสียความเป็นมนุษย์หรือความสงบสุขในทางจิตในทางวิญญาณ แล้วก็มีเฟ้อหรือเกินในทางร่างกาย จนกลายเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย เรียกว่ามนุษย์ในยุควัตถุนิยมหรือว่าในสมัยที่มนุษย์จะต้องเป็นอย่างนี้ เป็นยุคไปเลย
นี่ขอให้คิดกันในข้อนี้ว่า ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละอย่างเดียวเท่านั้นไม่มีอื่น ความเห็นแก่ตัวนี้มันเป็นปัญหาสำคัญที่สุดของมนุษย์ ดังนั้นอะไรที่ทำให้มนุษย์เห็นแก่ตัวอันนั้นจะต้องระวังให้ดี คือมันเป็นศัตรู เดี๋ยวนี้ความก้าวหน้าทางวิชาความรู้ มันเพิ่มความเห็นแก่ตัว มันไม่ได้บรรเทาความเห็นแก่ตัว มันไปโลกพระจันทร์ได้มันก็ยิ่งเพิ่มความเห็นแก่ตัว มีคำพูดที่ฟังแล้วมันไม่รู้ว่าจะเอาปากที่ไหนมาหัวเราะ คือเมื่อเขาไปพระจันทร์เมื่อแรกๆนี่เขาพูดว่าอันนี้เป็นความรู้สุดของมนุษย์ การไปโลกพระจันทร์ได้นี่เป็นความก้าวหน้าเพื่อรู้สิ่งที่สูงสุดของมนุษย์ เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นเรื่องของเด็กอมมือที่ไปดู มันไม่ช่วยอะไรให้มนุษย์ดีขึ้นได้เลย ถ้าสิ่งใดมันเป็นไปเพื่อบรรเทาความเห็นแก่ตัว สิ่งนั้นจะเป็นไปเพื่อความสวัสดีมงคลของมนุษย์นั้น อะไรก็ได้สักนิดหนึ่ง ความไปเป็นเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันมีความก้าวหน้ามหึมามหาศาลเหลือที่จะพูดได้ ทั้งหมดเป็นไปเพื่อทำให้มนุษย์เห็นแก่ตัวโดยไม่รู้สึกตัวมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้นโดยวิธีที่มันรู้สึกได้ยาก เขาจึงเรียกเป็นวิธีการของพระเจ้าก็ได้ พระเจ้าจะเล่นงานมนุษย์ก็โดยวิธีอย่างนี้ หรือธรรมชาติจะเล่นงานมนุษย์ก็โดยวิธีอย่างนี้ คือไม่ให้รู้สึกตัว
เรามีรายละเอียดอย่างที่ว่ามาแล้ว จากการแก้ปัญหาขัดข้องเสร็จแล้วมันกลายเป็นความสะดวก จากความสะดวกกลายเป็นความสบาย จากความสบายเป็นความผาสุก จากความผาสุกมันเป็นสนุก จากสนุกมันก็เป็นสนุกสนาน จากความสนุกสนานเป็นเพลิดเพลิน มันเพลิดเพลินจนเตลิดเปิดเปิงแล้วติดรสของความเพลิน นี่ถึงเขตของความโง่ แล้วก็เริ่มก่อความเห็นแก่ตัวชนิดที่มันขยายออกไปกว่าธรรมดาตามสัญชาตญาณ เกิดความมักง่ายหยิบโหย่ง ไม่อยากจะเหน็ดเหนื่อย ไม่อยากจะเสียสละ ก็เลยเสียนิสัย เป็นความเสียนิสัยที่เคยเสียสละที่เคยอดทนเคยบังคับตัวเองอย่างนี้ ไม่บังคับ ไม่อดทน ไม่เสียสละ นี่ก็ความเห็นแก่ตัวมันก็ได้อาหารมาก มันก็เดือนพล่านไปยังสิ่งต่างๆ เริ่มขยายไปครอบงำผู้อื่นให้ มันหน้ามืด มันก็หันหลังให้พระเจ้า เกลียดพระเจ้า เกลียดศาสนา เป็นการเบียดเบียนตัวเอง เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นพร้อมกันไปในตัว ก็เริ่มทำคอรัปชั่น มันก็เริ่มมีจิตทราม ความโลภ ความโกรธ ความหลงเพิ่มมากขึ้นถี่เข้าๆๆ ความร้อนใจเป็นนรกก็หนักเข้า ความหิวเป็นเปรตก็มากเข้า ความวิตกกังวลก็มากเข้า ความสะดุ้งกลัวหวาดผวาก็มากเข้า นี้คือความผิดปกติไปหมดจากความเป็นมนุษย์ ทั้งทางร่างกาย ทั้งทางจิตใจ ทั้งทางวิญญาณ หลงผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว นี่เรียกว่าเป็นความโง่ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ความเป็นมนุษย์ร่อยหรอ ร่อยหรอไปจนหมด เป็นเป็นมาร เป็นซาตาน เป็นอะไรไป อย่าเข้าใจว่าเป็นเทวดานะ นี่เรียกว่าก้าวหน้า ได้อยู่ตึก อยู่ราม ไปไหนก็เหาะไปด้วยเรือบิน ในบ้านในเรือนเต็มไปด้วยอะไรต่างๆ เขาคิดว่าเขาเป็นเทวดา ที่จริงมันเป็นผีบ้า ไม่ใช่ด้วยการเป็นอยู่อย่างเทวดา
ความที่ไม่มีธรรมะนั้นมีผลอย่างนี้ “ตัวกูของกู” เจริญงอกงามถึงที่สุดหรือสุดเหวี่ยงด้วยลักษณะอย่างนี้ เรียกว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทางสมัยใหม่นี้เป็นการให้อาหารแก่ตัวกูของกูให้มันมากขึ้นๆๆในโลก นี่คือต้นเหตุอันแท้จริงถึงความเดือดร้อนในส่วนบุคคลและในส่วนรวมกันทั้งโลกที่เขาไม่สนใจที่จะมองดูต้นเหตุอันแท้จริง เขาไปมัวแก้ปัญหาเฉพาะอันแต่ที่ปลายเหตุ เป็นความเดือดร้อนในโลกนี้ว่าคนไม่มีอันจะกิน คนเจ็บป่วยมาก คนอะไรมาก มีอุบัติเหตุมาก ความอะไรๆที่มองเห็นกันง่ายๆนั้นมาก เขาก็ไปแก้เฉพาะส่วนนั้นเป็นเรื่องแก้ปลายเหตุ ไม่มองว่าต้นเหตุนั้นมาจากความเห็นแก่ตัวความเห็นแก่ตัวนั้นมาจากมนุษย์มีสิ่งยั่วที่ให้เห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ ไม่ไปบรรเทาส่วนนั้น ไม่แก้ที่ต้นเหตุส่วนนั้น มันก็แก้ไม่ได้ แล้วเดี๋ยวก็น่าหัวเราะที่จะมาแก้กันในเรื่องที่เขาพูดกันมากที่สุด เช่น คนไม่รู้หนังสือ อาหารไม่พอกิน หรือว่าโรคภัยไข้เจ็บมาก ไปดูเถิด เป็นเรื่องน่าหัวทั้งนั้น เมื่อคนเขาไม่รู้หนังสือเขาอยู่กันสบายกว่านี้นะ นี่มองทีเดียวก็เห็นแล้วเมื่อเขาไม่ค่อยจะรู้หนังสือเขาอยู่กันสบายกว่านี้ มีโรคภัยไข้เจ็บมาเพราะมันทำผิดในทางจิตทางวิญญาณ มันเป็นคนบ้าอยู่ตลอดเวลา เช่น ประสาทไม่ดีอยู่ตลอดเวลาแล้วจะไม่ให้โรคภัยไข้เจ็บมันมากได้อย่างไร ที่อาหารไม่พอกินนี้มันเป็นเรื่องๆทำผิดอย่างอื่นด้วย คือมัวแต่เบียดเบียนมัวแต่อะไรกัน ถ้าเราไปแก้ปัญหาที่รกรากอันแท้จริงต้นต้อของมันคือความความเห็นแก่ตัว มันจะช่วยให้มีสันติภาพขึ้นมาได้ทันที ไม่มีปัญหาอะไรที่จะเหลืออยู่ที่จะแก้ไม่ได้ แต่นี่มันแก้ไม่ได้คนมันเห็นแก่ตัว แม้แต่จะแก้ให้รู้หนังสืออย่างเดียวก็ยังทำไม่ได้
เขาลืมไปว่าเรื่องทางวิญญาณทางจิตนั้นมันเป็นต้นเหตุ ไม่ใช่เรื่องความขาดแคลนทางวัตถุเป็นต้นเหตุ ทางขาดแคลนในความถูกต้องทางจิตทางวิญญาณนั้นเป็นต้นเหตุ นี่ก็ไม่มีที่ประชุมไหนหรือองค์การไหนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อจะศึกษาเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ มันมีแต่แก้ทางวัตถุในเรื่องเป็นปลายเหตุทั้งนั้น นั้นอย่าลืมว่าเรามองกันแล้วเห็นว่าความเห็นแก่ตัวของมนุษย์นั้นเริ่มเป็นจุดตั้งต้นที่ทำมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ไม่เดือดร้อนวุ่นวายกันมาขึ้นทุกทีๆๆ จนสูงสุดยิ่งกันทุกทีตามความก้าวหน้าของวัตถุที่มันเป็นต้นเหตุให้เห็นแก่ตัว ความสุขสนุกสนานความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังนี้ ไปเพิ่มมันเข้าเท่าไรมันจะเห็นแก่ตัวมากเข้าเท่านั้น ทีนี้ศาสนาเขาเห็นประโยชน์ เขาเห็นข้อเท็จจริงอันนี้ ทางศาสนาเมื่อกี่พันปีมาแล้วมันก็มุ่งที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว บางศาสนาเดี๋ยวนี้ที่มันยังมีความถูกต้องอยู่มันก็ต้องมุ่งเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้ามนุษย์จะไม่อาศัยศาสนา มันก็ต้องอาศัยสิ่งอื่นซึ่งสามารถทำลายความเห็นแก่ตัวได้อย่างเดียวกับทางศาสนาสิ แต่นี่มันไม่มี มันก็เลยเป็นทาสของความเห็นแก่ตัว
นี่ผมเรียกว่า “จากคุณไปสู่โทษ” จากสิ่งที่เป็นคุณแล้วมันก็กลายไปสู่ความเป็นโทษ คือความประดิษฐ์ความก้าวหน้า ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อเป็นคุณในชั้นแรก แต่แล้วมันไม่เป็นคุณอยู่ในลักษณะอย่างนั้น มันกลายไปเป็นโทษ มันค่อยๆกลายไปเป็นโทษตามลำดับของจิตใจที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเหมือนที่ว่าเมื่อสักครู่นี้ ดังนั้น ขอให้ระวังเรื่องที่ทำขึ้นมาเพื่อนเป็นคุณนั้น มันกลับกลายเป็นโทษ นี้เป็นเรื่องใหญ่ก็คือความก้าวหน้าของมนุษย์ในยุคปัจจุบันที่เป็นเรื่องโบราณ เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องเล็กๆ มันก็มีหลักอย่างเดียวกันนั่นแหละ เราระวังสิ่งที่มันได้มาเพื่อจะมาบำรุงบำเรอเรา เราได้เงินมา เราก็จะต้องระวังเงินจะทำให้เรามีปัญหาสูญเสียความสงบสุข มันต้องควบคุมมันให้ดี จะมีทรัพย์สมบัติหรือมีอะไรมาก็ตามแต่ ถ้าไม่ควบคุมมันให้ดีมันจะมีมาเพื่อเชือดคอเราผู้เป็นเจ้าของ นี่คือประโยชน์ของศาสนาที่จะเป็นเครื่องป้องกัน เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ ป้องกันให้ไม่เกิดอาการที่เชือดคอตัวเองโดยสิ่งที่มีมา หามา หามา หรือก้าวหน้า หรือเจริญขึ้น
รวมความว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับตัวกูของกูโดยตรง มนุษย์สร้างแต่สิ่งที่เพิ่มให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกู แล้วก็เห็นแก่ตัวกูของกูมากยิ่งขึ้น นี่เราก็เป็นมนุษย์มีพุทธศาสนาเป็นหลัก เราก็ต้องรู้หน้าที่ของเราบ้าง ดังนั้นจึงเอามาพูดในฐานะเป็นปริยายหนึ่งแง่หนึ่งมุมหนึ่งของข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับตัวกูของกูที่จะต้องระวังให้ดี สำหรับที่จะไปประกอบเข้ากับความรู้ในแง่อื่น ในมุมอื่น ในปริยายอื่นเรื่อยๆไปจนกว่าจะเพียงพอหรือแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น และวันนี้ขอพอกันทีเพียงเท่านี้