แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะถือว่าเป็นวันแรกของการบรรยายในลักษณะที่เรียกว่า “ธรรมปาฏิโมกข์” ตามที่เคยทำมาแต่ปีก่อนๆ แล้วก็อยากจะจัดให้เป็นการบรรยายครั้งแรกคือตั้งต้นกันไปใหม่สำหรับในรอบปีนี้ เพราะว่ายังมีบางรูปหลายรูปที่ยังไม่เคยฟัง
คำแรกที่สุดที่จะมาพูดถึงก็คือคำว่า ธรรมปาฏิโมกข์ นั่นเอง ปาฏิโมกข์ในทางวินัยนั้นก็จะรู้ได้จากตัวปาฏิโมกข์ ซึ่งเราก็จะต้องลงปาฏิโมกข์ทุก ๑๕ วันอยู่แล้ว นี่เรียกว่า “ปาฏิโมกข์ทางวินัย” ที่จริงเท่าที่เขาเรียกกันอยู่หรือพูดกันอยู่ก็มีแต่ปาฏิโมกข์ทางวินัย ถ้าทางธรรมเขาเรียกว่า “โอวาทปาฏิโมกข์” เดี๋ยวนี้เรามาเปลี่ยนใหม่มาเป็นธรรมปาฏิโมกข์ คู่กันกับวินัยปาฏิโมกข์ ขอให้เข้าใจว่าธรรมปาฏิโมกข์ก็คือหัวข้อธรรมที่ต้องเอามาซักซ้อมอยู่เสมอ ทำนองเดียวกับหัวข้อวินัยที่ต้องเอามาซักซ้อมอยู่ทุก ๑๕ วัน สำหรับปาฏิโมกข์ทางวินัยนั้นก็มีตายตัวอยู่ที่สิกขาบท ๒๒๗ ฉะนั้นเราจะลงปาฏิโมกข์กันกี่ครั้ง กี่สิบครั้ง กี่ร้อยครั้ง ก็คือสิกขาบท ๒๒๗ ในรูปของภาษาบาลี ตรงกันทุกตัวอักษร ไม่มีอะไรมาก แม้อย่างนั้นก็ยังไม่ควรจะเบื่อ ต้องไม่เบื่อ เช่น ปีหนึ่งจะต้องมี ถ้าขยันลงไม่ขาด ก็จะมีถึง ๒๓ ครั้ง เพราะว่าเป็นปวารณาเสียครั้งหนึ่งใน ๑๒ เดือน แล้วก็ต้องฟัง หรือว่าต้องทนฟัง แต่ที่จริงไม่ใช่ต้องฟังหรือต้องทนฟัง มันเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องตรวจสอบหรือทดสอบ อย่างที่เรียกว่า เช็คดูว่าเราทำผิดไปในศีลข้อไหนบ้าง หมายถึงเอาสิกขาบททั้ง ๒๒๗ ข้อมาไล่ไปทีละข้อดังๆ ให้ทุกคนได้ยินเผื่อจะนึกได้ว่าทำผิดไปในข้อไหนบ้าง นั่นเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำหรือควรทำ ทั้งที่มันซ้ำซาก ทั้งที่เราจะเปิดดูในหนังสือเรียน เช่น นวโกวาท เมื่อไหร่ก็ได้ มันเหมือนเป็นอย่างนั้นอยู่เรื่อยไป
ทีนี้ขอให้เข้าใจว่าไม่ใช่เพื่อเรียนแต่เพื่อทดสอบตัวเอง ๑๕ วันครั้งหนึ่ง ๑๕ วันครั้งหนึ่งว่าได้ทำผิดอะไรบ้างเกี่ยวกับสิกขาบทเหล่านั้น ถ้าไม่มีระเบียบนี้ คนเราก็ขี้เกียจที่จะทดสอบตัวเอง ก็เหมาๆเอาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทีนี้ทำให้เป็นพิธีแล้วเป็นวินัยกรรม แปลว่าสิ่งที่ต้องทำตามวินัย เว้นไม่ได้ คือการสอบตัวเองดูว่าผิดสิกขาบทข้อไหนบ้างทุก ๑๕ วัน นี่คือคำว่า ปาฏิโมกข์ มันมีความหมายอย่างนี้ ซึ่งมันเป็นของสำคัญในทางวินัย ดังนี้ ขอให้พยายามอย่างยิ่ง ขอถือโอกาสพูดแนะนำตักเตือนเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่า แม้ปาฏิโมกข์ทางวินัยก็ขอให้พยายามอย่างยิ่ง
ทีนี้เราอยู่ไม่ได้แต่โดยทางวินัยหรือโดยวินัยล้วนๆ มันยังมีอีกส่วนที่เรียกว่า “ธรรม” อีกส่วนหนึ่งซึ่งจะเป็นเครื่องดับทุกข์โดยตรง วินัยเป็นเรื่องดับความโกลาหลวุ่นวายในทางหมู่คณะหรือว่าทางร่างกาย มุ่งหมายอย่างนั้นมากกว่า ดังนั้น จึงไม่พอสำหรับจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงโดยวินัย แต่เราต้องมีวินัยฐานะเป็นพื้นฐาน ให้เนื้อตัวคือกายวาจานี้มีความเหมาะสมที่จะปฏิบัติธรรม และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าจะเป็นหมู่คณะที่น่าดู ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ไม่อะไรซึ่งกันและกัน นั้นเป็นส่วนของวินัย
ทีนี้ส่วนของธรรม ก็ทำหน้าที่ส่วนที่วินัยไม่ได้ทำหรือทำไม่ได้ ที่เป็นเรื่องทางจิตใจล้วน ฉะนั้นขอให้ตั้งใจฟังอีกเรื่องหนึ่งอีกส่วนหนึ่ง คือปาฏิโมกข์ในส่วนของธรรม ของพระธรรม คำว่า “ปาฏิโมกข์”แปลว่า ค้น เฉพาะตามตัวหนังสือ แต่ความหมายของมันหมายถึง หัวข้อใหญ่ ซึ่งเป็นหลักเป็นประธานของเรื่องนั้นๆ ก็เรียกว่า ปาฏิโมกข์ ทีนี้สำหรับทางธรรมนี้ก็มีหัวข้อที่เราจะแบ่งได้เป็นหลายประเภท หรือจะแบ่งให้เป็นหลายๆข้อก็ได้ จะน้อยลงมากระทั่งเหลือข้อเดียวก็ได้ ทีนี้เพื่อความสะดวกสำหรับการศึกษาหรือการจำนี่ ผมแนะให้ว่าเรื่องปาฏิโมกข์นั้นมีหัวข้อเพียงเรื่องเดียวคือ “เรื่องเกี่ยวกับการทำลายเสียซึ่งตัวกูของกู” นี่เป็นประโยคแรกประโยคเดียวที่จะต้องจำไว้ จะเป็นการศึกษาหรือเป็นการปฏิบัติหรือเป็นผลของการปฏิบัติก็ตาม ต้องเป็นไปเพื่อทำลายเสียซึ่งตัวกูหรือของกูเข้าไปด้วย นั่นคือตัวธรรมะทั้งหมด หัวใจของธรรมะทั้งหมดอยู่ที่นั่น แต่ว่าเพียงข้อเดียวเท่านี้ เราอาจแบ่งได้ให้เป็นหลายแขนง ก็จะพูดนั่นถึงนี่ ถึงตัวกู ถึงเหตุของตัวกู ถึงการปฏิบัติเพื่อทำลายตัวกู มันก็ได้หลายแขนงเหมือนกัน ดังนั้น เราก็ค่อยๆพูดไปทีละแง่ละมุม จนกว่าจะครบทุกแง่ทุกมุมของเรื่องการทำลายเสียซึ่งตัวกูของกู
ผมอยากจะบอกเป็นพิเศษอยู่เสมอๆว่า ผมไม่สอนหรือไม่พูดหรืออะไรก็ตามตามแบบฉบับที่เขาใช้กันอยู่หรือมีเป็นหลักฐานอยู่ในโรงเรียนเสมอไป ถ้าเห็นว่ามันไม่เป็นการรวบรัด หรือไม่เป็นการทำให้ง่าย ก็ไม่เอา จะหาวิธีพูดใหม่ ให้กินเวลาน้อย ให้ได้ความชัดเจนและให้มันเข้าใจได้ดีที่สุด ปฏิบัติได้ ข้อนี้ก็เป็นเหตุให้บางคนกล่าวหาว่านอกรีต นอกรอย นอกแนว หรือว่าเอาเองอะไรทำนองนี้ ถ้ามันมีอะไรแปลกหูหรือมันแปลกที่เคย ที่เขาเคยกระทำกันมาก็ให้เอาไปพิจารณาดูก่อน มันแปลกในทางที่มันผิด หรือแปลกในทางวิธีพูดวิธีอธิบายเท่านั้นเอง วิธีพูดวิธีสอนวิธีอธิบายที่มันแปลกออกไปนั้นก็เพื่อให้เหมาะแก่ผู้ฟัง ผู้ฟังสมัยปัจจุบันก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก หรือมีรู้อะไรอยู่มากเป็นทุน เป็นเดิมพัน จะมัวพูดตรงไปตามตำรานั้น มันก็บางทีทำให้รำคาญหรือกินเวลามาก นี่เป็นข้อที่อยากจะบอกกล่าวแก่ผู้ที่ยังไม่เคยทราบ
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูในขั้นแรก หรือก่อนอื่นทั้งหมด ก็อยากจะบอกให้ทราบว่า มันเป็นเรื่องตามธรรมชาติ ไปตามกฎของธรรมชาติ โดยธรรมชาติ จึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาในโลก เรื่องควบคุมตัวกูหรือทำลายตัวกู แต่เรามันไปโง่เองว่ามีแต่ในพุทธศาสนาบ้างหรือเป็นหลักพุทธศาสนาโดยเฉพาะบ้าง จนถึงกับไปว่าพุทธศาสนาไม่เหมือนใครอะไรทำนองนี้ ที่จริงสิ่งต่างๆมันเกิดขึ้นเพราะธรรมชาติบีบบังคับหรือความจำเป็นตามธรรมชาติบีบบังคับ แม้ตัวธรรมชาติเองก็เป็นไป เปลี่ยนแปลงไปตามที่ความจำเป็นมันบังคับ นี้เราอยู่ในโลกกับธรรมชาติ ก็ต้องทำอะไรให้ถูกตรงตามที่ธรรมชาติมันบังคับ คือมันต้องการแม้ในฝ่ายที่เรียกว่า “ทำดี” ถ้าทุกคนเห็นแก่ตัว มนุษย์ก็ตายหมดแล้ว ถ้าเห็นแก่ตัวจริงๆ อย่างที่ไม่ดูหน้าใคร ไม่มีขีดคั่นแล้ว มนุษย์ก็คงจะตายหมดแล้วทั้งโลก ไม่มีเหลืออยู่ เดี๋ยวนี้เพราะมันเห็นแก่ผู้อื่นบ้าง มันจึงเหลืออยู่ได้ สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน ถ้ามันจะเห็นแก่ตัวตลอดเวลา ร้อยเปอร์เซ็นต์มันก็กัดกันตายหมด ไม่มีเหลืออยู่ในโลกนี้ แล้วก็เกิดขึ้นมาไม่ได้อีก มันมีการที่ไม่ได้เห็นแก่ตัวขนาดนั้น ไม่จำเป็นก็ไม่ได้แสดงอาการที่เห็นแก่ตัวออกมา สัตว์เดรัจฉานดีกว่ามนุษย์ที่ตรงนี้ ถ้ามันไม่จำเป็นถึงกับว่ามันจะต้องตายอย่างนี้ มันจะไม่แสดงอาการที่เห็นแก่ตัวและทำลายผู้อื่นออกมา ก็ถือเป็นสัญชาติดั้งเดิมของสิ่งที่มีชีวิต ไปเสียเวลาเบียดเบียนผู้อื่นทำไม ทีนี้มนุษย์นี่ พอละจากสภาพสัตว์ ก็สูงขึ้นมาจากสภาพสัตว์ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าเห็นแก่ตัวเก่งกว่าสัตว์ ขอให้เอาข้อนี้ไปใคร่ครวญให้มาก ว่าไอ้ความที่ได้มาเป็นมนุษย์สูงขึ้นมา สูงขึ้นมานี้ ทางหนึ่งก็ถือว่าดี เป็นวิเศษ เป็นกุศล แต่อีกทางหนึ่งก็คือบาป หรือความเลวชนิดหนึ่งที่ต้องมีความทุกข์มาก มีความทุกข์ถาวร ยิ่งเป็นมนุษย์ที่เจริญเท่าไหร่ ยิ่งมีบาปประเภทนี้มากขึ้นเท่านั้นถ้าเห็นแก่ตัวจัด ยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที การศึกษาทำให้ฉลาดในทางเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นทุกที โดยไม่รู้สึกตัว สัตว์จะไม่เห็นแก่ตัวในเมื่อไม่มีเหตุผลที่จะให้ต้องเห็นแก่ตัว เช่น มันจะกัดกันนี่เพราะมันมีเหตุผล มันกลัวว่าจะถูกฝ่ายหนึ่งมายึดเอาประโยชน์ของเราไป มันจึงต้องต่อสู้ต้องป้องกัน ถ้าไม่มีลักษณะอย่างนี้ก็ไม่ทำอาการที่เรียกว่าเบียดเบียนผู้อื่น ความเห็นแก่ตัวของมันแสดงออกยาก ความต้องการของมันมีน้อย ส่วนมนุษย์นี้รู้จักคิด รู้จักนึก ฉลาดๆๆ ไม่รู้กี่ซับกี่ซ้อน ทำให้สามารถเห็นแก่ตัวอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกเลยก็ว่าได้ แล้วก็ค่อยเกินจำเป็น เกินจำเป็นมากขึ้นไปทุกที สัตว์มันก็เพียงแต่อาหาร ถ้าสัตว์แท้ๆก็เพียงแต่อาหาร ที่อยู่อาศัยแทบไม่มีความหมาย เครื่องนุ่งห่มไม่มี หยูกยาไม่ต้องพูดถึงกัน ไอ้มนุษย์นี่ที่จำเป็นก็เรื่องอาหารเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และหยูกยา แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครต้องการสิ่งเหล่านี้เท่าที่จำเป็น เราไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ
ไปดูเถิด พวกที่มีการศึกษา ก้าวหน้า มีเงิน มีทรัพย์สมบัติก้าวหน้า มีอิทธิพลก้าวหน้า เขาไม่ได้ต้องการสิ่งทั้ง ๔ นี้ ไม่ได้ต้องการอาหาร ไม่ได้ต้องการเครื่องนุ่งห่ม ไม่ได้ตอ้งการที่อยู่อาศัย ไม่ได้ต้องการยาแก้โรค ในความหมายของสิ่งเหล่านี้โดยตรง มันต้องการสิ่งเหล่านี้ในความหมายที่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น คือเกินความเป็นปัจจัยแห่งชีวิตที่จำเป็น กลายเป็นเรื่องเหลือเฟือบำรุงบำเรอความรู้สึกทางกามารมณ์ กินอาหารก็กลายเป็นกินความอร่อย ไม่ใช่กินอาหาร เป็นเรื่องกามารมณ์ทางลิ้น จะนุ่งจะห่มก็ไม่ใช่เท่าที่จำเป็นตามความหมายของคำว่าเครื่องนุ่มห่ม เปลี่ยนความหมายเป็นเครื่องประดับตกแต่ง เปลี่ยนความหมายเป็นเครื่องโอ้อวด เปลี่ยนความหมายเป็นสะพานเหยื่อสำหรับกามารมณ์ทางตาทางผิวหนังทางอะไรก็แล้วแต่มันจะมีได้กี่แขนง ความเห็นแก่ตัวมันก็เพิ่มขึ้น อย่างที่มาเหนือเมฆ มาแบบอื่น มามากมาย
ที่อยู่อาศัยก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ไม่ได้มีความหมายเป็นที่อยู่อาศัย มันเป็นความหมายสำหรับที่หาความสนุกสนาน หาความสะดวกสบายเป็นที่สะดวกสำหรับกามารมณ์นานาชนิด ทั้งอย่างโง่และอย่างฉลาด ฉะนั้นในบ้านเรือนเราจะไม่เห็นเท่าที่มันจำเป็นในการที่จะอยู่อาศัย มันมีสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับการอยู่อาศัยเข้ามาแยะ ตัวบ้านเรือนเองของมันก็เกินความจำเป็น สิ่งประดับประดาบ้านเรือนนั้นไม่ต้องพูดถึง ที่มันต้องประดับลานบ้าน ต้องประดับบริเวณบ้านแบบนี้ มันก็เต็มกำลังของสติปัญญาของเวลาที่มีอยู่ ที่จะทำให้บ้านเรือน ที่เรียกว่าบ้านเรือน ให้เป็นเมืองสวรรค์ที่นี่ มีเงินก็ใช้ มีกำลังเรี่ยวแรง มีเวลาก็ใช้ จะทำบ้านเป็นที่ถูกอกถูกใจ ซึ่งคนสมัยก่อนทำไม่เป็น ปู่ย่าตายายของเราเพียงแค่ร้อยปีมานี้ก็ทำไม่เป็น เดี๋ยวนี้ทำเป็น หลายๆๆๆ เกินความจำเป็น หลายๆเท่า หลายๆสิบเท่า มันก็เป็นอาหารของความเห็นแก่ตัว คือเป็นปัจจัยของความเห็นแก่ตัว เพราะไม่เช่นนั้นเราไม่มีเงินมามากพอที่จะทำบ้านให้มันดูคล้ายๆกับว่าส่วนหนึ่งของสวรรค์
ในเรื่องหยูกยา นี่ค่อยยังชั่วหน่อย แต่ถึงกระนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นในทางไม่ใช่หยูกยามากขึ้น คือเป็นเครื่องสำอางมากขึ้น แม้แต่ยาถ่ายก็ไม่ต้องการให้มีกลิ่นเหม็น หรือรสเอียน หรืออะไรเลย ให้อร่อยเหมือนช็อคโกแลต ทำยาให้เป็นเครื่องสำอางไปทุกอย่างทุกสิ่ง มันก็ต้องมีเงิน ก็ต้องหาเงินมาก มีการขวนขวายมาก มีอะไรมาก ซึ่งเรานึกแต่จะหามาโดยไม่ต้องเห็นแก่ใคร ทีนี้มนุษย์ละจากธรรมชาติมากขึ้น โรคภัยไข้เจ็บก็แปลกออกไปทุกทีๆ ไม่มีที่สิ้นสุดในการที่จะเยียวยารักษาโรค มันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ใหม่ของใหม่เกินความจำเป็น ท้ายสุดแต่ว่าแว่นตานี้ สมัยผมเป็นเด็กๆ แว่นตาในเมืองนี้จะมีสัก ๒-๓ แว่น เดี๋ยวนี้แว่นตาก็มีนับไม่ไหว หรือฟันปลอมฟันเทียมอะไรเหล่านี้ก็ดูเถิด เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นของธรรมดามากมาย เพราะความเปลี่ยนแปลงของคนทำให้ฟันเสียเร็วขึ้น ไปใช้มันมาก หรือไปใช้มันผิด มันก็เสียเร็ว มันก็ต้องมีการแก้ไขยุ่งยากมาก รวมอยู่ในพวกที่เรียกว่า “หยูกยา” มันมีปัญหาหรือมีสิ่งที่ต้องทำมากขึ้น มันก็ลืมผู้อื่น เห็นแก่ตัวมากขึ้น อาหารการกิน เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย หยูกยา เปลี่ยนสภาพเพียงว่าเป็นปัจจัยเครื่องความจำเป็นแก่ชีวิต มากลายเป็นสมุฎฐานแห่งความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ฉะนั้นก็เกิดลัทธิต่อสู้แย่งชิงปัจจัยแห่งความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัวที่มากขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัวแล้วก็มหาศาลทีเดียว ความทุกข์ก็มีขึ้น
เพียงเท่านี้ก็พอแล้วไม่ต้องพูดถึงพระศาสนา ไม่ต้องพูดถึงพุทธศาสนา พระธรรม พระเธิมอะไร พูดแต่ว่าตามที่มันเป็นจริงอยู่ตามธรรมชาติและเป็นมาเรื่อยๆนี้ ปัญหาของมนุษย์คือความเห็นแก่ตัว อย่าเพิ่งพูดถึงพระพุทธศาสนาหรือศาสนาอะไรหมด มองดูในแง่ของมนุษย์ล้วนๆก่อนว่ามันไม่มีปัญหาอะไรนอกไปจากความเห็นแก่ตัว ที่ทำให้ตัวเองนั่นแหละเป็นทุกข์ เหมือนกับตกอบายทั้ง ๔ อยู่ตลอดเวลา นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกายนี้ตกอยู่ตลอดเวลา ร้อนใจเมื่อไหร่ก็เป็นสัตว์นรกเมื่อนั้น โง่ ไม่น่าโง่เมื่อไหร่ก็เป็นสัตว์เดรัจฉานเมื่อนั้น หิวกระหายไม่รู้จักอิ่มจักพอเมื่อไรก็เป็นเปรตเมื่อนั้น ขี้ขลาดหวาดเสียวระแวงอะไรโดยไม่มีเหตุผลนี้ก็เป็นอสุรกายอยู่เมื่อนั้น มนุษย์เป็นเปรต เป็นนรก เป็นเดรัจฉาน เปรต อสุรกายอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นเรื่องส่วนตัวเองที่เดือดร้อน เป็นทุกข์ ทีนี้พร้อมกันนั้นก็เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เพราะต่างคนต่างต้องการปัจจัยที่จะมาหล่อเลี้ยงความต้องการของตัวด้วยกันทั้งนั้น มันจึงได้รบกันในที่สุด ข้างบ้านก็ทะเลาะกันวิวาทกัน บางทีในครอบครัวก็ทะเลาะกันวิวาทกัน ผัวเมียในบางครั้งก็ยังทะเลาะวิวาทกันเพราะความเห็นแก่ตัว นี่ก็ไม่ต้องพูดถึงไอ้คนวงนอกไกลออกไปๆๆ จนถึงระหว่างประเทศหรือที่เรียกว่า “ระหว่างลัทธิ” “ระหว่างชนชั้น” กรรมกรก็ต้องเห็นแก่ตัวก็ต้องการสิ่งบำรุงบำเรอตัว นายทุนใช้สติปัญญาม้ามืดอะไรกวาดไว้มากนัก กรรมกรต้องต่อสู้ โลกก็วุ่นวายทั้งโลก เพราะว่ามันมีชนสองชั้นนี้อยู่ในโลกเป็นประจำ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ไม่ใช่ของใหม่เมื่อวานนี้ อย่างที่พูดกันว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เพิ่งเกิดเมื่อวานนี้ ความแตกต่างชนิดนี้มันมีมาแล้วตั้งแต่โบราณตั้งแต่มนุษย์เริ่มเป็นมนุษย์ มนุษย์พวกหนึ่งมีสติปัญญาน้อยคือโง่ ก็ทำอะไรได้น้อย และพวกหนึ่งมันหลักแหลม มันเฉโก มันก็ทำอะไรได้มาก ฉะนั้นจึงมีคนรวยคนจนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผิดกันอยู่อย่างเดียวแต่ว่าสมัยบรมโบราณนั้น มันมีสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมะ” เข้ามาเป็นสื่อกลางประสานระหว่างชนสองชั้นนี้ ซึ่งเดี๋ยวนี้มันไม่มี มันเข้ามาไม่ถูก ธรรมะ หรือพระเจ้า หรือศาสนา มันไม่เข้ามาเป็นสื่อกลางเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ระหว่างชนชั้นฉลาดกับชนชั้นโง่เขลา
สมัยโบราณเขามีขนบธรรมเนียมประเพณี หรือมีลัทธิ หรือมีศาสนา แล้วแต่จะเรียก ควบคู่กันมากับความเจริญของมนุษย์ ให้มีศาสนา ให้มีพระเจ้า ให้มีพระธรรม แม้ที่สุดแต่ว่ากลัวผี ถือผี ถือเทวดา มันก็ถือมาในรูปของศีลธรรม ถ้าเราทำผิดเทวดาจะลงโทษ ผีจะลงโทษ ผีเทวดากลับเป็นปัจจัยของศีลธรรม นี่มันไม่โง่เหมือนคนสมัยปัจจุบันนี้ ผีและเทวดากลายเป็นปัจจัยของความโง่ ความงมงาย สมัยคนป่าคนเถื่อนนั้น ผีหรือเทวดาหรือสิ่งที่น่ากลัวมองไม่เห็นนี้เป็นปัจจัยแสดงความมีศีลธรรม ลัทธิตาบู บรมโบราณนั้น ทำผิดนั้นทำผิดตาบูจะฉิบหาย จะวินาศกันทั้งหมู่ทั้งคณะ ทำไม่ได้ กฎเกณฑ์ทางศีลธรรม ทางที่จะป้องกันคนไม่ให้ทำชั่วนั้นมันมีขึ้นมาอย่างนี้ ฉะนั้นปัญหามันก็ไม่เกิด ยังไม่ทันจะเกิดระหว่างคนจนกับคนรวย เพราะคนที่ฉลาดเก่งกาจนั่นมันก็มีธรรมะสำหรับเอื้อเฟื้อคนจน คนจนมันก็มีธรรมะสำหรับถ่อมตน สำหรับฝากเนื้อฝากตัว เพราะเขาถือว่าเขาจน เขาพอใจในความจน เขาเชื่อว่าผีหรือเทวดาหรือกรรมหรืออะไรก็ตามสร้างเขามาอย่างนี้ ฉะนั้นเขาก็สมัครเป็นคนจน ฝากเนื้อฝากตัวกับเศรษฐีหรือคนมั่งมี เศรษฐีหรือคนมั่งมี มันก็ไม่ใช่อย่างเศรษฐีหรือคนมั่งมีอย่างเดี๋ยวนี้ มันประกอบไปด้วยธรรม มันถือว่าเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายไปด้วยกัน หรืออย่างน้อยก็เชื่อตามลัทธิที่ว่าช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเป็นบุญ จะทำให้เรามีบุญ จะทำให้เราร่ำรวยยิ่งขึ้นไปอีก เศรษฐีพวกนี้ก็เลยรักลูกจ้างกรรมกรบ่าวทาสสเหมือนกับลูก มันก็น่าประหลาดว่า หาอ่านไม่พบ ในคัมภีร์เล่มเก่าๆ ที่ว่าการทำทารุณต่อทาส อ่านไม่พบ ไม่เหมือนสมัยที่พวกอเมริกันจับทาสจากแอฟริกาไปทำทารุณ นี่มันมีในประวัติศาสตร์เมื่อวานนี้ ในประวัติศาสตร์ในพุทธศาสนาในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาสองพันกว่าปีมันไม่พบ ถ้าพบทารุณอย่างยิ่งก็มีแต่ ทารุณผู้ทำความผิด คือลงโทษนักโทษ ผู้ที่ปรากฏว่าเป็นผู้ทำผิดนี่ทารุณมาก ทารุณอย่างที่เดี๋ยวนี้ไม่มี ชนชั้นที่เรียกว่าคนรวยคนจนมันอยู่กันมาได้ด้วยความรักกัน เป็นอย่างนี้ ทีนี้ชนชั้นทาสนั้นไม่อยากเป็นอิสระเพราะอยากอยู่กับนายอยู่เรื่อยไป ลูกหลานเหลนมันก็อยู่เรื่อยๆ ไม่อยากจะหลุดจากความเป็นทาส เพราะมันเหมาะสำหรับเขา รู้สึกเช่นนั้น นี่มันคือผลของความไม่เห็นแก่ตัว เศรษฐีหรือนายหรือชนชั้นฉลาดนั้นมันก็ไม่เห็นแก่ตัว ชนชั้นโง่ชั้นเลวทรามนั้นมันก็ไม่เห็นแก่ตัวในทางที่ว่ากูจะแย่งเอามา กูจะแบ่งเอามา เหมือนลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ต้องการจะเกลี่ยให้มันเสมอกัน เขาอยู่กันมาได้สบาย ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว
ที่นี้มันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามที่ความเห็นแก่ตัวนั้นมันค่อยคืบคลานเข้ามา คืบคลานเข้ามา ฉะนั้นเราก็ต้องถือว่าเพราะความเจริญก้าวหน้าในการสร้างสรรค์สิ่งซึ่งไม่จำเป็นแก่ชีวิต ผมคิดแล้วหลายพันครั้งในข้อนี้ ผมไม่กลัวว่าใครจะหาว่า เดาหรือว่าอะไร มนุษย์ค่อยเจริญก้าวหน้าก็หมายความว่าเจริญก้าวหน้าในการสร้างสิ่งแปลกๆใหม่ๆ แต่ทุกอย่างมันกลายเป็นการเพิ่มความหลง หลงติดในรสอร่อยของสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ใหม่ๆ ที่พูดกันชัดๆ ไม่ต้องละอายอะไรกันก็ว่า มนุษย์สมัยโบราณมีแต่การสืบพันธุ์ มนุษย์สมัยนี้มีแต่การบ้ากาม บ้ากามารมณ์ บ้ากาม เรื่องสืบพันธุ์ไม่ได้พูดถึงกันนัก ไม่ได้เป็นที่มุ่งหมายนัก มนุษย์สมัยโบราณมันจึงทำหน้าที่นี้แต่เพียงที่จำเป็นในเรื่องการสืบพันธุ์ หรือว่าถึงคราวถึงฤดูนี้ แต่เวลานี้เรื่องบ้ากามนี้ไม่มีฤดู ไม่มีขอบเขตด้วย ไม่มีขอบเขตทั้งการกระทำ ทั้งในเวลา ฉะนั้นมนุษย์สมัยนี้ต้องรับบาปมากที่สุดตามที่มันทำบาปมากที่สุดเพิ่มขึ้นๆๆ คือมีความเห็นแก่ตัวความลุ่มหลงในความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง เบียดเบียนตัว เห็นแก่ตัว เบียดเบียนตัว และก็เบียดเบียนผู้อื่น คนที่ไม่เคยฟังคำทางวัดทางวา คงฟังคำว่าเบียดเบียนตัวเองไม่ถูก นี่เป็นสำนวนพูดในทางธรรมทางศาสนา เบียนเบียนตัวเองคือมันโง่ ทำตัวเองให้ลำบาก มนุษย์ทำอย่างนี้โดยไม่รู้สึกตัว มนุษย์เดี๋ยวนี้มีความทุกข์มากลำบากมากกันทั้งโลกนี่ เพราะมันโง่ ไปในทางที่จะทำการเบียดเบียนตัวเอง เจริญก้าวหน้าในทางวิชาการอะไรก็เพื่อเชือดคอตัวเองทั้งนั้นเลย คือไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ มีความยุ่งยากลำบากมากเห็นแก่ตัวจัด ไม่ต้องคิดล้มล้างผู้อื่นทั้งนั้น มันจึงเป็นการเบียดเบียนตัวและเบียดเบียนผู้อื่นพร้อมกันไป
เรื่องนี้ต้องพูดมากเพราะเป็นเรื่องรากฐานของปัญหาทั้งหมด ที่เราต้องมีศาสนาก็เพราะเหตุนี้ ที่เราจะปฏิบัติศาสนาของเราให้ถูกต้องดี ก็ต้องรู้เรื่องนี้ คือเรื่องความเห็นแก่ตัว และที่สุดในการที่เราจะทำประโยชน์ให้ผู้อื่นจะช่วยกันเผยแผ่ธรรมะ เผยแผ่ศาสนาก็ต้องคิดเรื่องนี้ ผมมันก็มีหน้าที่ที่จะต้องเผยแผ่ธรรมะหรือศาสนาตามความสามารถ มันก็ต้องคิดถึงเรื่องนี้ เรื่องที่เราเผยแผ่ไม่สำเร็จเพราะมีแต่ความเห็นแก่ตัว พูดกันไม่รู้เรื่อง เอ้า ทีนี้พูดกันรู้เรื่องมันก็ไม่ทำตาม เพราว่าความเห็นแก่ตัวมันมากกว่า นี่การสอนธรรมะสอนศาสนาเดี๋ยวนี้ก็นับว่ามีมากพอสมควร แต่แล้วไม่มีใครปฏิบัติ เพราะอำนาจของความเห็นแก่ตัวมันมากกว่า ก็จงทำดี มีศีลธรรม ถือความสัตย์หรืออะไรแบบนี้ ก็เป็นที่เข้าใจกันดี แต่แล้วคนมันไม่ทำเพราะมันมีความเห็นแก่ตัวมากกว่า คำพูดมันเลยกลายเป็นคำพูดอย่างเดียว แม้แต่คำพูดของพระพุทธเจ้าก็ยังเป็นอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน นี่ปัญหามันมีถึงอย่างนี้ เราเป็นทุกข์ก็เพราะข้อนี้ ทั้งโลกเบียดเบียนกันก็เพราะข้อนี้ เราช่วยกันแก้ไขไม่ได้ก็เพราะข้อนี้ เพราะความเห็นแก่ตัวมันหนาๆๆขึ้นมาจนครอบคลุมไปหมด
ฉะนั้นในระหว่างที่บวชนี้ขอให้สนใจเรื่องนี้ ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง แล้วเรื่องอื่นจะเข้าใจได้ง่าย ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่า “ตัวกูของกู” ในที่นี้ โดยธรรมชาติมันก็เป็นอยู่เองอย่างนั้น โดยธรรมชาติมันก็ต้องการธรรมะที่จะเป็นเครื่องแก้ แก้ปัญหานี้คือความไม่เห็นแก่ตัวเหมือนกัน แต่ธรรมชาติมันพูดไม่ได้ หรือถ้าพูดได้มันพูดอย่างอื่น มันจะพูดว่ามันแล้วแต่มนุษย์จะโง่หรือฉลาด ถ้ามนุษย์จะโง่เห็นแก่ตัวก็เอาเข้าไปสิ มนุษย์ก็เป็นสัตว์นรกตลอดเวลา เบียดเบียนกันเดือดร้อนอยู่ตลอดเวลา ถ้ามนุษย์รู้ถึงข้อนี้ มีอะไรมาเป็นเครื่องกำจัดความเห็นแก่ตัวเสีย มนุษย์ก็สบายอย่างมนุษย์ เป็นมนุษย์ได้ ธรรมชาติมันพูดอย่างนี้มากกว่า ก็ไม่อาจจะมาห้ามใครอย่างที่มาเป็นผู้สั่งสอนหรืออะไรทำนองนั้น นี้มนุษย์เรานี่ มันมีบางคนที่มองเห็นข้อนี้เหลือประมาณ เห็นถึงที่สุดอย่างพระพุทธเจ้า ออกไปหาความรู้ สละชีวิตอย่างโง่เขลานี้ อย่างลุ่มหลงในกามารมณ์นี้ออกไปเสีย ไปค้นคว้าอย่างผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็พบข้อนี้ แล้วก็มาสอนข้อนี้ แต่แล้วก็ไม่ค่อยมีใครยินดีรับสักกี่คน ส่วนที่ไม่รับมีมากกว่า แต่ว่าส่วนที่รับมันก็มีมากพอที่จะทำให้สังคมอยู่อย่างเป็นสุขบ้าง อยู่ด้วยความสงบสุขบ้าง ไม่ถึงกับวอดวายไปหมดในพริบตาเดียว การต่อสู้ป้องกันตัวนั้นมันก็มีอยู่โดยธรรมชาติ โดยสัญชาติญาณ แต่มันไม่พอ ที่จะหยุดความเห็นแก่ตัวของมนุษย์จากฝ่ายตรงกันข้าม ต่างฝ่ายต่างก็มีความสามารถในการป้องกันตัว มันไม่พอที่จะหยุดความเห็นแก่ตัวของแต่ละฝ่าย มันจึงก้าวหน้าๆๆๆ พร้อมกับความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เราอยู่ในสภาพที่ว่ามีปัญหามาก เพราะโลกเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นทุกที นี่ขอให้เข้าใจในข้อนี้เป็นเหมือนกับพื้นฐานสำหรับเข้าใจในเรื่องอนัตตา สุญญตาในพระพุทธศาสนา เพราะว่าเรื่องอนัตตา สุญญตาในพระพุทธศาสนานั้นก็มีขึ้นเพื่อแก้ปัญหาข้อนี้ เพื่อมนุษย์จะเบาความเห็นแก่ตัว กระทั่งไม่มีความเห็นแก่ตัว เป็นพระอรหันต์ก็คือหมดความเห็นแก่ตัว เป็นปุถุชนคือยังมีความเห็นแก่ตัวตามธรรมชาติธรรมดา ทีนี้ระหว่างนั้นคือเป็นพระโสดา สกิทาคา อะไรก็คือมีเห็นแก่ตัวน้อยลงๆๆๆ
ทีนี้เรื่องความไม่เห็นแก่ตัวนี่มันก็ยังมีเป็น ๒ ฝ่าย คือฝ่ายเท่าที่มันเกี่ยวกับสังคมการเป็นอยู่กับสังคมก็ไม่มากมายเท่าไหร่ ไม่ต้องการมากเท่าไหร่นัก ความไม่เห็นแก่ตัวฝ่ายที่ต้องการส่วนบุคคล คนเดียว คนหนึ่งๆทางปัจเจกชนต้องการให้จิตใจใฝ่สูง ใฝ่เหนือความทุกข์ นี่มันต้องการมากกว่า ต้องการความไม่เห็นแก่ตัวอย่างยิ่งจนเป็นพระอรหันต์ไปเลย นั่นมันส่วนบุคคล ทีนี้ส่วนสังคมที่อยู่ในโลก ก็ไม่ได้ต้องการมากถึงขนาดนั้น ต้องการในอัตราหนึ่งเท่านั้นเอง คืออย่าลืมตัวถึงกับไปเอาผลประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัวในทางที่มันไม่ถูกต้อง เท่านี้ก็พอที่จะทำให้โลกอยู่เป็นสุขได้ เดี๋ยวนี้มันไม่มีใครถือหลักข้อนี้ เขาเปลี่ยนเป็นถือศาสนาใหม่ ศาสนาวัตถุนิยม คือมีหลักว่าได้ตามใจตัว แล้วก็เป็นของดี เป็นของถูก ฉะนั้นในประเทศที่ก้าวหน้าทางการศึกษา ที่นิยมกันนักในโลกเวลานี้ไปดูให้ดี ก็เป็นประเทศที่พ่ายแพ้แก่ความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าพวกเราที่ไปตามก้นเขา คนไทยยังเห็นแก่ตัวน้อยกว่าฝรั่งที่เราไปตามก้นเขา ฉะนั้นผมจึงว่าไปเอาปริญญายาวเป็นหางมาจากเมืองนอก ระวังให้ดี ยิ่งยาวเท่าไหร่จะยิ่งได้ความเห็นแก่ตัวมามากเท่านั้น เพราะเขาไม่ได้พูดถึงการทำลายความเห็นแก่ตัวเลย ทีนี้ความรู้มันเป็นเครื่องมือเป็นอาวุธสำหรับแสวงหาประโยชน์ ถ้ามีมากมันก็มีช่องทางให้เห็นแก่ตัวมากคนก็ลืมตัว ความรู้ทุกแขนงที่ไปเรียนมามันก็เพื่อแสวงหาประโยชน์ของตัว นี้โลกนี้มันก็อยู่ในกำมือของชนชาติที่ได้รับความนิยม ฉะนั้นมันก็จัดโลกนี้ไปในทางที่ไม่น่าปรารถนา เราก็ไปนิยมกันอย่างโง่เขลา นิยมว่าเขารวย นิยมว่าเขาเก่ง นิยมว่าเขาทำอะไรได้อย่างที่เราทำไม่ได้ แล้วก็เข้าใจว่าถูกไปหมด ไม่ได้มองดูสิ่งเหล่านั้นมันเพิ่มความเห็นแก่ตัว ถ้าเขาไม่ใช้ในทางความเห็นแก่ตัวมันก็ดีมาก ก็เป็นสวัสดีมงคลแก่มนุษย์นี้มาก ทีนี้ถ้าเขาลืมตัว เห็นแก่ตัว ก็เป็นเสนียดจัญไรอย่างยิ่งแก่มนุษย์ในโลกนี้ วิชาก้าวหน้าเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่ทำลายมนุษย์ให้หมดความเป็นมนุษย์ มีแต่ความเห็นแก่ตัวยิ่งกว่าสัตว์
นี่คือปัญหาหรือรากฐานของปัญหาที่เราจะพูดเรื่องธรรมปาฏิโมกข์ ซึ่งมันสรุปรวมอยู่ที่เรื่องความมีตัวกูของกูกับความไม่มีตัวกูของกู ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็คงฟังไม่รู้เรื่องนัก ก็เข้าใจแต่เรื่องแคบๆ อยู่ในวงของพุทธศาสนา เรื่องสุญญตา เรื่องอนัตตา แคบๆ ที่จริงเรื่องสุญญตา เรื่องอนัตตา มันไม่ใช่เรื่องแคบๆ มันเป็นเรื่องทั้งหมด คนไม่รู้เรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา ก็เป็นคนเห็นแก่ตัว ที่มันไม่รู้ ที่มันเห็นแก่ตัวมาตามลำดับก็เพราะมันไม่รู้เรื่องนี้ มันเห็นแต่มีตัวกูเพื่อประโยชน์กู อะไรกูเสียเรื่อยไป นี่ละจากความเป็นป่าเถื่อน ละจากความเป็นป่าเถื่อนของคนป่าสมัยหินมาเป็นมนุษย์ กลับมาพบกับความเห็นแก่ตัวมากไปกว่าเดิม มนุษย์ก็เป็นมนุษย์อย่างที่พร้อมที่จะทรมานตัว ทำตัวให้เป็นทุกข์โดยไม่รู้สึกตัว ฉะนั้นเป็นโรคเส้นประสาท เป็นโรคจิตเป็นโรคอะไรกัน โดยไม่รู้สึกตัว ว่าเหตุเพราะอะไร ในเมืองที่เจริญก้าวหน้ามาก ก็คนเป็นโรคประสาทมาก เป็นโรคจิตมาก ประเทศที่ก้าวหน้าน้อยก็คนเป็นโรคประสาท โรคจิตน้อย
เพื่อจะเข้าใจเรื่องนี้ก็ไปนั่งหลับตาเงียบๆ มืดๆค่ำๆนั่งหลับตาพิจารณาดูไปทั่วๆ โลก ตั้งแต่ต้นามาจนบัดนี้ว่ามันเป็นมาอย่างไร ว่าต้องการธรรมะมากขึ้นหรือว่าไม่ต้องการธรรมะมากขึ้น แล้วจะเข้าใจคำสำคัญในพระพุทธศาสนาที่ว่ายึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน มีตัณหาและยึดมันถือมั่นด้วยอุปาทานนั้น คืออะไร ถ้าไม่อย่างนั้นฟังไม่ถูก เป็นการมานั่งฟังผมพูด แล้วก็ลืม ฟังพูดแล้วก็ลืม ลืมให้ท่องบทมนต์อะไรสักอย่างหนึ่งนี้ มันไม่มีประโยชน์อะไร ต้องรู้จักตัวจริงของจริง คือสิ่งที่เรียกว่า “ตัณหาอุปาทาน” ที่มีอยู่จริงในตัวเรา อย่าให้เป็นเรื่องของหนังสือหรือเรื่องจดจำ ต้องรู้จักแต่ความเห็นแก่ตัวที่เรามีอยู่จริงในวันหนึ่งๆ เราเกิดมาในยุคนี้ เรามีอายุร้อยปี ถ้าสมมติว่าโลกนี้มันมีมาแล้วสักสองแสนปี มนุษย์มีแล้วสักสองแสนปี เรามันเอาร้อยปีหารดู เรามันอยู่ในระยะอันสั้นมาก เราเห็นอะไรน้อยมาก แต่เราอาจเห็นได้ด้วยปัญญาว่าเปลี่ยนมาอย่างไร เปลี่ยนมาในทางว่ามีบาปหนาขึ้นๆๆอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้คัมภีร์ของพวกคริสเตียนเขียนไว้ดีมากไว้ไปหาอ่านเองนะ อ่านให้เข้าใจ คัมภีร์เยเนซิส หนังสือเล่มแรกของคัมภีร์คริสเตียน มนุษย์เริ่มเป็นทุกข์เมื่อรู้จักดีรู้จักชั่ว ก่อนนั้นไม่เป็นทุกข์ พอเริ่มรู้จักดีรู้จักชั่วก็เป็นทุกข์ เพราะมันเริ่มเห็นแก่ตัว รายละเอียดมีมาก พอรู้จักดีรู้จักชั่ว มันก็รู้จักละโมบในสิ่งที่ว่าดี ก็ได้เป็นทุกข์ ไม่ทันใจมันก็เอาเปรียบผู้อื่นเบียดเบียนผู้อื่น การรู้จักชั่วนี่มันไม่ได้รู้จักในทำนองที่ว่าจะหลีกชั่ว มันเพียงรู้จักแต่เพียงว่าไปเพิ่มค่าให้แก่ความดี ก็โง่เข้าไปอีก ฉะนั้นทางที่ไม่เป็นทุกข์ มันก็อยู่เหนือดีเหนือชั่วเหมือนกันคือไม่มีดีไม่มีชั่ว แม้แต่หลักของทางคริสเตียนมันก็ยังเป็นอย่างนี้ แต่ผมพูดอย่างนี้เขาหาว่าผมกบฏทรยศต่อพุทธศาสนา ก็ว่าไปก่อนแล้วกัน เรื่องดีเรื่องชั่วทำให้เห็นแก่ตัว เรื่องเหนือดีเหนือชั่วทำให้ไม่มีตัว เดี๋ยวนี้เรามีอุปาทานยึดมั่นที่ดีและที่ชั่ว ยึดมั่นเมื่อไหร่ก็เป็นเกิดเรื่องเมื่อนั้นเป็นทุกข์เมื่อนั้น มีตัวกูของกูขึ้นมาเมื่อนั้น ถ้าจิตมันอยู่ว่างๆเฉยๆ ไม่เกี่ยวกับดีกับชั่ว มันก็ยังสบายก็นอนหลับอยู่ พอมันเกิดไปยึดมั่นเรื่องดีเรื่องชั่ว มันก็นอนไม่หลับ
ฉะนั้นในโอกาสที่ลางานบวช ๓-๔ เดือนนี้ พยายามเข้าใจธรรมชาติแท้ๆ ที่ไม่เรียกว่าดีว่าชั่ว นี้กันเสียบ้าง คือคอยเฝ้าสังเกตจิตใจของตัวเราอยู่เสมอว่า เมื่อไหร่มันรักดี หลงในความดี เมื่อไหร่มันไปรักชั่ว หลงในความชั่ว แล้วเมื่อไหร่มันไม่ไปข้องแวะกับทั้งสองอย่างนั้น มีบ้างไหม ในเวลาไหน เมื่อไหร่แม้แต่ลืมไปก็ยังดี
เราไปเห็นก้อนหินก้อนหนึ่งเราไปเกิดสนใจว่ามันเป็นอย่างไรนะ มันเป็นอย่างไรนะ ลืมนึกเรื่องดีเรื่องชั่วไป จากนี้ก็เป็นเวลาที่อยู่เหนือดีเหนือชั่วชั่วขณะหนึ่งเหมือนกัน แล้วก็สังเกตดูเวลาอย่างนั้นว่ามันไม่ทรมานใจ เป็นการดู การศึกษาที่แปลกๆลึกๆออกไป และกำลังไม่มีอุปาทาน จนกว่าจะไปคิดว่าก้อนหินนี้จะไปขายได้อย่างไร จะหาเงินได้ ทำเงินได้อย่างไร อย่างนี้เป็นต้น นี่มันจึงจะเริ่มมีอุปาทานไปในทางดีหรือทางชั่ว แต่ว่าตามธรรมดาก้อนหินหรือต้นไม้กรวดดินทรายธรรมชาติทั้งหลาย มันชวนให้หยุดจากไปยึดมั่นถือมั่นเรื่องดีเรื่องชั่ว ในระหว่างที่อาศัยอยู่ที่นี่มีโอกาสมากกว่าที่จะไปหาความรู้สึกหรืออารมณ์อย่างนี้ที่กรุงเทพฯ เพราะว่าที่กรุงเทพฯเป็นต้นนั้นมันมีแต่สิ่งที่กระตุ้นให้ยึดมั่นในดีหรือในชั่วอยู่เสมอไป ฉะนั้นเราก็ไม่เป็นอิสระ ถือโอกาสศึกษาเมื่ออยู่อย่างนี้เสียให้พอ ทีนี้ออกไปจากนี้มันก็จะมีจิตใจที่มีอะไรบ้าง เป็นความสามารถสำหรับจะต่อสู้กับสิ่งที่มันยั่วให้หลงดีหลงชั่ว หลงยึดมั่นถือมั่น ไม่มีความเป็นอิสระ ต้องเป็นเรื่องทางจิตที่สูงขึ้นไปที่เรียกว่า “เรื่องทางวิญญาณ” คือสติปัญญาที่สูงไปกว่าธรรมดา ไม่ใช่เป็นเรื่องจิตที่ไปตามการปรุงแต่งของร่างกาย จิตอย่างนี้มันไปตามร่างกาย ทีนี้ต้องมีปัญญามาควบคุมความรู้สึกชนิดนี้ มันจึงจะควบคุมจิตได้หรือว่าควบคุมความยึดมั่นถือมั่นตัณหาอุปาทานอะไรได้
เดี๋ยวนี้คนในโลกก็รู้แต่เรื่องร่างกายกับจิตใจที่เป็นทาสของร่างกายเหมือนพวกคอมมิวนิสต์ว่า พวกคอมมิวนิสต์เขามีหลักว่าจิตนี้มันไปตามร่างกาย ไปตามร่างกาย นั้นมันไม่ใช่จิตอย่างที่พุทธศาสนาหมายถึง ผมยักไปเรียกว่า “วิญญาณ” เสียดีกว่า จิต หรือระบบ Mental หรือ Mentality นี้ขึ้นอยู่กับร่างกายจริง อยู่ใต้อำนาจของร่างกาย เกี่ยวกับต่อม Gland อะไรต่างๆในร่างกายมีสภาพอย่างไร มันก็ปรุงความคิดชนิดนั้นมา นี่มันอยู่กับร่างกาย ฝ่ายร่างกาย เขาว่าก็ถูกแล้ว เพราะว่าเขาไม่รู้เรื่องจิตที่เลยไปกว่านั้นคือเป็นเรื่องทางวิญญาณ ความรู้สึกที่จะสามารถบังคับความรู้สึกเหล่านี้ได้ ฉะนั้นเราจึงแบ่งแยกกันว่าพวกนั้นเป็นวัตถุนิยม ถือว่ามีร่างกายและร่างกายเป็นใหญ่เหนือจิต
ส่วนของเดิมของเขาทางศาสนาทุกศาสนา เห็นว่าร่างกายนี้มันเป็นขี้ฝุ่นหรือเป็นของสกปรก หรือเป็นตัวร้ายกาจ น่าเกลียดน่าชัง ไม่เอาเป็นประมาณ แล้วเอาจิตนี่เป็นประมาณ ให้จิตมันเบิกบาน วิวัฒนาการเต็มที่ คือความรู้ในทางลึกซึ้งสูงสุดก็มาควบคุมจิตที่อยู่กับร่างกายนี้ทีหนึ่ง ฉะนั้นจึงเรียกว่าพวกที่เป็นนิยมวิญญาณที่นิยมจิตฝ่ายวิญญาณ ถือว่าร่างกายอยู่ใต้อำนาจของจิต ตรงกันข้ามอยู่อย่างนี้
ถ้าเราเอามาเปรียบเทียบกันดู เราเห็นว่าอันไหนถูกกว่า ถ้าเราโง่ขนาดไม่รู้ว่าอันไหนถูกกว่า เราต้องถือหลักธรรมชาติอย่างหนึ่งว่า ที่มันเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ เป็นไปเพื่อสันติภาพสันติสุขของมนุษย์ อันนั้นถูก ถูกที่สุด ถูกกว่าหรือถูกที่สุด แต่ถ้ามันเป็นไปเพื่อทำให้มนุษย์มีความทุกข์มากขึ้นแล้วก็ เรียกว่าผิด อย่าไปใช้วิธีตัดสินทางปรัชญาสมัยใหม่ของพวกฝรั่ง ปรัชญาของพวกฝรั่งแขนงที่ตัดสินว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรจริง อะไรไม่จริงนั้น กลับไม่ถูกเสียอีก และอย่าเอามาใช้ตัดสินเรื่องนี้เป็นอันขาด ให้มันบ้าไปตามพวกของเขา เขามีส่วนถูกเหมือนกัน ไม่ใช่จะผิดไปเสียหมด แต่เขาไม่ได้เอาหลักว่าถ้าสิ่งใดมันเป็นไปเพื่อความไม่ทุกข์ ดับทุกข์ เป็นสันติภาพของสัตว์และคน มันเอาเหตุผลทาง Logic ทางปรัชญาทางอะไรไม่รู้เสียเรื่อย
ทีนี้ทางของพระพุทธเจ้านี้ เมื่อมีปัญหาทางปรัชญาขึ้นมาว่า อะไรจริง อะไรไม่จริง อะไรถูก อะไรไม่ถูก ให้ถือหลักว่าถ้ามันเป็นไปเพื่อไม่สร้างกิเลส เพื่อไม่สร้างความทุกข์ มันเป็นสันติสุขนั้นแหละถูก นั้นแหละจริง จริงตามหลัก Logic ไม่เอา ใช้ไม่ได้ อะไรมันก็จริงไปหมดเหมือนกัน แต่มันเป็นจริงที่ไม่มีประโยชน์ เราก็ไม่เอา เอาจริงที่มีประโยชน์ หรือถูกที่มีประโยชน์แก่มนุษย์โดยตรง สำหรับเป็นความจริงหรือความถูกของมนุษย์ ความจริงหรือความถูกของธรรมชาติ อาจจะมากเกินไป อย่าเอามาใช้สำหรับมนุษย์เลย ที่มนุษย์เอาแต่ความจริงก็ตาม ความถูกก็ตาม ที่ทำให้มนุษย์มีความสงบสุขหรือสงบสุขยิ่งขึ้นไปนี่แหละว่าถูกว่า จริง หลักเรื่องอริยสัจ เรื่องมรรคมีองค์แปด เรื่องอะไรต่างๆ ทั้งหมดนี้ บัญญัติโดยอาศัยหลักนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่จริงอย่างวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่จริงอย่าง Logic ไม่ใช่จริงอย่างปรัชญาสมัยปัจจุบัน จริงแต่ในทางฝ่ายวิญญาณ ใช้คำว่า “Spiritual” Spiritual กันอยู่เดี๋ยวนี้ จริง หรือสุข หรืออะไรก็ตาม ทางฝ่าย Spiritual นี้มันไม่คำนึงถึงวัตถุ ถึงวิทยาศาสตร์ ทางวัตถุอะไรหมด คำนึงแต่ที่ว่ามนุษย์จะมีจิตใจสูงอยู่เหนือความทุกข์อย่างเดียว อย่ามามัวเถียงกันเรื่องนี้ ถ้าเพื่อนคนหนึ่งก็ยึดจริง หลักของความจริงความถูกตามที่เขาไปเรียนมาจากพวกฝรั่ง ถ้าเรายึดจริงยึดถูกตามแบบของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ คงมีสักวันหนึ่งที่จะต้องสูญเสียความเป็นเพื่อนกัน มันก็มีส่วนที่ตรงกันอยู่มาก เขาก็อยากเหมือนกันที่ว่าจะให้มันดี แต่บางทีมันก็เถรตรง เป็นเรื่องเถรตรง เป็นเรื่องอาศัย Logic ที่เนื่องกับวัตถุเสีย มันก็ไม่ตรงกันเสมอไป เดี๋ยวนี้เรายึดหลักจริงหรือถูกตามแบบของพระพุทธเจ้า โดยอาศัยหลักที่ว่ามันต้องไม่เพิ่มความทุกข์ จะต้องลดความทุกข์ จะต้องหมดความทุกข์ มันต้องพิสูจน์กันอย่างนั้น พิสูจน์อย่างอื่น ไม่เอาทั้งนั้น นี่คือเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกู ฉะนั้นก็ต้องไปพิสูจน์ในข้อที่ว่าตัวกูของกู ทำให้เกิดทุกข์จริงหรือไม่ เมื่อไม่มีตัวกูของกู มันไม่มีทุกข์เลยจริงหรือไม่ แม้แต่ชั่วคราวก็ยังดี ไม่มีตัวกูของกูขั่วคราวแล้วก็ไม่มีความทุกข์ชั่วคราว
นี่คือเรื่องที่ผมเรียกว่า “ตั้งต้นกันใหม่” ตั้งต้นพูดจากันใหม่ สำหรับ ธรรมปาฏิโมกข์ พูดเรื่องตัวกูของกูเรื่องเดียว ไม่พูดเรื่องอื่น แต่มีแง่มุมให้พูดมากมายหลายๆแง่ ซึ่งในวันนี้เราก็ได้พูดแง่รากฐาน พื้นฐานว่า แม้จะอาศัยรากฐานของธรรมชาติแท้ๆ ไม่เกี่ยวกับศาสนาเลย ความเห็นแก่ตัวก็คือ “พญามารอันร้ายกาจ” คือธรรมชาติอันร้ายกาจที่จะทำลายมนุษย์ ทีนี้ถ้าจะพูดกันทางศาสนา ทางศีลธรรม อะไรก็ตาม เรียกว่าศาสนาก็พอ เพราะว่าศีลธรรมหรือขนบธรรมเนียมประเพณี มันก็งอกงามออกมาจากศาสนา หรือเป็นแขนงน้อยๆของศาสนา ทีนี้ถ้าพูดทางศาสนาก็ตาม เรื่องตัวกูของกูคือเรื่องพญามาร ศัตรูร้ายกาจของมนุษย์ ไม่ว่าศาสนาไหน ถ้าศาสนาไหนบูชาความเห็นแก่ตัว ถ้ามันมีนะ มันไม่มีหรอก ที่จริงมันไม่มี ถ้ามันเกิดมีขึ้นมามันก็ไม่ใช่ทางศาสนา ทีนี้ทางศาสนาก็เรื่องความไม่เห็นแก่ตัว โดยกฎของธรรมชาติ ฝ่ายที่มนุษย์จะรอดอยู่ได้ จะ Survive อะไรอยู่ได้นี้มันก็ต้องเป็นผลจากความไม่เห็นแก่ตัว ทีนี้เราจงสนใจสิ่งที่เรียกว่า “เห็นแก่ตัว” หรือ “ไม่เห็นแก่ตัว” นี้ก็แล้วกัน จะเป็นเรื่องเดียวซึ่งครอบหมดทุกเรื่อง เรื่องโลกเรื่องธรรมเรื่องสูงเรื่องต่ำ เรื่องขนาดกลาง เรื่องอะไร เรื่องเด็ก เรื่องผู้ใหญ่ เรื่องหญิง เรื่องชาย ในบ้านในเรือน เรื่องในวัดในวา มันก็เรื่องเดียวนี้คือความเห็นแก่ตัวนี้คือต้นเหตุของสิ่งอันไม่พึงปรารถนาทุกอย่างทุกประการ มันมีความสำคัญมากอย่างนี้และขอให้สนใจมันให้มาก ให้มันสมกัน
ทีนี้ก็เป็นอันว่าเราเรียนเรื่องทางฝ่ายวิญญาณที่มันลึกหรือพิเศษออกไปจากเรื่องที่เขาสนใจกันอยู่ในเวลานี้ โลกส่วนใหญ่วันนี้สนใจแต่เรื่องวัตถุ จะแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยวัตถุ เช่นว่าถ้าดับความเร่าร้อนกระวนกระวายอะไรไม่ได้ ก็กินยาประเภท Tranquilizer เข้าไป ทีนี้ยาประเภทนี้ ยาระงับความกระวนกระวายของจิตใจมีมากขึ้นๆๆๆ ทีนี้คนที่มันโง่เง่ากว่านั้นมันก็ใช้ กัญชา ใช้ เฮโรอีน ใช้อะไรก็ตามเรื่องของเขาสิ จะระงับความทุกข์ร้อนในใจ แต่ทีนี้ชนิดที่หมอเขารับรองกัน ยา Tranquilizer เพื่อระงับความรู้สึกกระวนกระวายก็กำลังแพร่หลายมากขึ้น นี้แสดงว่าต้องการแก้ปัญหาเหล่านี้ทางวัตถุกันเรื่อยไป มันก็จะเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นหรือเพิ่มปัญหาให้มันแก้ได้ยากยิ่งขึ้นทุกที พอหมดฤทธิ์ยานี้ ทีนี้ก็ไม่รู้จะใช้ยาไหนอีก เดี๋ยวนี้มันคงจะช่วยไปได้ในหลายๆปี แต่อีก ๒๐ – ๓๐ ปีข้างหน้ามันก็ช่วยไม่ได้เองหรอก ก็ต้องไปสู่เฮโรอีนอย่างพวกที่เขาคิดว่ามันง่ายดี
ทีนี้ทางพุทธบริษัท คือ สัตว์ที่มีมันสมองแจ่มใจ ก็มุ่งหมายแต่จะแก้กันในทางภายในคือทางจิต คำพูดของบุคคลอย่างไอน์สไตน์ก็หมุนมาทางนี้ Security Purity เป็นปัญหาที่จะต้องแก้ด้วยเรื่องทางจิต นี่ ไอนสไตน์ว่าอย่างนี้ แต่ยังไม่มีใครยอมรับ สร้างระเบิดปรมาณูดีกว่า สร้างอะไรต่างๆที่เป็นเครื่องมือที่จะฆ่าผู้อื่นให้หมดให้เหลือแต่พวกตัว นี่เรียกว่าแก้ด้วยวัตถุ ด้วยอำนาจ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ถ้าเราทำได้ เขาก็ทำได้ เราทำได้ เขาก็ทำได้ มีแต่ความวินาศรออยู่ข้างหน้า ทีนี้สักวันหนึ่งมันคงจะรู้สึกกลัวขึ้นมา หรือเห็นจริงกันทางนี้ขึ้นมาว่าต้องแก้กันด้วยเรื่องทางจิต ไม่ใช่แก้กันด้วยเรื่องทางการเมืองซึ่งเป็นเรื่องโกหกหลอกหลวง จอมโกหกอยู่ที่พวกนักการเมือง มันแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ มันต้องแก้ด้วยเรื่องทางจิตล้วนๆอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่า แล้วคนฉลาดสมัยปัจจุบันนี้อย่างไอน์สไตน์ก็ว่า ก็เริ่มเห็นด้วย ก็เริ่มลืมตาขึ้นมาเห็นด้วย
ฉะนั้นขอให้โลกหันไปสนใจเรื่องพัฒนาจิตใจ แล้วมันก็ทำไม่ลงเองที่จะไปฆ่าคนอื่นเอาเปรียบคนอื่นเพราะความเห็นแก่ตัว ผมจึงเสนอประโยคที่ว่า “รบกันพลางแลกธรรมะกันพลาง” ขึ้นมาในลักษณะอย่างนี้ เพื่อบรรเทาความเห็นแก่ตัวลงไปเรื่อยๆๆ จนกว่าจะถึงขนาด หรือถึงระดับที่พูดกันรู้เรื่อง ที่ว่าพูดกันรู้เรื่องคือต่างคนก็ต่าง ตั้งใจทำ ตั้งใจทำ ตั้งใจทำจริงๆ ตัดทอนสิ่งที่มันเป็นความหลอกลวง เป็นความเห็นแก่ตัวออกไปๆ มันก็มีหวังว่าสักวันหนึ่ง มนุษย์นี้จะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง คืออยู่กันอย่างผาสุกได้ มันควรจะเป็นอย่างนั้นมากกว่าที่ว่าจะวินาศกันเสียให้หมดจนเหลือไม่กี่คนแล้วจะมาตั้งต้นรู้สึกที่ถูกต้องนี้มันไม่น่าดู จะฆ่ากันด้วยอาวุธใหม่ๆนี้ให้มันเหลือไม่กี่คนในโลกนี้ แล้วไปตั้งต้นใหม่ กับที่ว่าเราเริ่มรู้กันเสียแต่เดี๋ยวนี้ คนละความหมาย นี่เรื่องเกี่ยวกับภาษา ความเห็นแก่ตัวจึงเป็นต้นเหตุของความเบียดเบียน นี่คือความเห็นแก่ตัวจึงเป็นกิเลส ความเห็นแก่ตัวมันทำให้ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อตัวเองรอด นี่เขาก็เรียก จะเอาภาษาอะไรกันละนี่ ภาษาธรรมะ คำว่า “ความเห็นแก่ตัว” มันไม่มี มันมีแต่ความยึดมั่นถือมั่นและเป็นอุปาทาน เป็นตัวกูของกูมาเลย เรื่องชื่อก็สำคัญ คำพูดนี่ พวกหนึ่งใช้อย่าง พวกหนึ่งความหมายอย่าง พวกหนึ่งความหมายอย่าง ความเห็นแก่ตัวหมายถึงว่าโง่ มีอวิชชา มีตัณหาอุปาทานจนไม่คำนึงถึงผู้อื่น ก็เรียกความเห็นแก่ตัว แต่ถ้าความเห็นแก่ตัว เป็นเห็นระดับตัว เป็นเห็นระดับผู้อื่นไปพร้อมๆกัน ไม่ใช่สิ่งนี้ แต่จะเรียกว่าอะไรก็ตามใจ ใครรู้บ้างว่าภาษาฝรั่งใช้คำว่าอะไร ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เกี่ยวกับตัวเราและผู้อื่นนั้น มันจะเรียกว่า Selfishness หรืออะไรพรรค์นั้นไม่ได้นะ
คือให้รู้เสียว่าภาษาฝรั่งก็ดี ภาษาบาลีก็ดี ภาษาไทยก็ดี ทำยุ่งเหมือนๆกันนั่นแหละ ยุคหนึ่ง ในเวลาหนึ่ง ในกรณีหนึ่ง ใช้ไม่เหมือนกัน ในภาษาบาลีอย่างเดียว คำคำหนึ่งที่ในกรณีใช้ไม่ได้ บางกรณีใช้ได้ ยิ่งภาษาไทยยิ่งลำบาก ภาษาไทยถอดรูปมาจากสันสกฤตบ้าง บาลีบ้าง ส่วนมากมาจากสันสกฤตเพราะว่าพวกพราหมณ์มาเป็นอาจารย์ตั้งแต่สมัยโบราณ ใช้สันสกฤต ยกตัวอย่างคำหนึ่ง เช่น ความอยาก ภาษาไทย ความอยาก เวลาแปลคำว่า “ตัณหา” ในภาษาบาลี แล้วเป็นภาษาไทยคำว่าตัณหาแปลว่าความอยาก มันเลยตีกันยุ่งไปหมด ตัณหาในภาษาบาลี เขาอยากด้วยความโง่ เขาจะเรียกว่าตัณหา อยากด้วยอวิชชา อยากด้วยความโง่ อยากด้วยอวิชชาตัณหาอุปาทาน นี่เรียกว่า “ตัณหา” ถ้าอยากด้วยอย่างรู้สึกถูกต้อง อยากด้วยปัญหา อยากด้วยวิชชา ก็เรียกว่า “สังกัปโป” ความอยากนั้นดีนะ ถ้าอยากด้วยความโง่ ด้วยอวิชชา ก็เรียกว่าตัณหา พอแปลเป็นไทยแล้ว ความอยากเหมือนกันหมด ไม่รู้ว่าอยากด้วยวิชชาหรืออยากด้วยอวิชชา ถ้าพูดเรื่องตัณหาในบาลีก็หมายถึงเฉพาะอยากด้วยความโง่ ด้วยอวิชชาอยากอย่างใดอย่างหนึ่ง พอมาถึงภาษาไทยกลายเป็นความอยาก ความหมายรวนเรหมด ใช้คำเดิมว่าตัณหา ตัณหาในภาษาไทยหมายถึงเรื่องราคะ เรื่องเพศไปหมดแล้ว ไม่ตรงตามบาลี คำว่าตัณหาในภาษาไทยหมายถึง ราคะ ที่เรียกว่า กาม ตัณหาในภาษาบาลีหมายถึงอยากด้วยความโง่ทุกชนิดแม้ไม่เกี่ยวกับกาม แม้แต่อยากดี แต่อยากด้วยความโง่ก็เรียกตัณหา นี่เป็นภาษาสันสกฤตเรียก “กฤษณา” เป็นภาษาไทยว่า ดำกฤษณา นี่หมายถึงราคะจัดอย่างเดียว ราคะจัด ตัณหาหน้ามืดอย่างเดียว จริงๆ คำเหล่านี้ตรงแล้วนะ กฤษณาในภาษาสันสกฤตก็คือตัณหาในภาษาบาลี แต่ก็เป็นความอยากของภาษาไทย ยุ่งหมด แคบไปมั่ง กว้างไปมั่ง ทีนี้ทว่า เราอยากให้ตัวดี เขาหาว่าเราเห็นแก่ตัวหรือไม่ อยากให้ตัวดี อยากให้ตัวรอด มันต้องทำด้วยปัญญา ทำด้วยวิชชา ทำด้วยปัญญา ถึงแม้ว่าอยากให้ตัวดี แต่ถ้าทำด้วยตัณหา ด้วยอวิชชา ด้วยความโง่ ผิดนะ เป็นมาร เป็นกิเลส เป็นความทุกข์ ที่เราเห็นแก่ตัว ภาษาไทยเราต้องพูดตามความหมายว่าไม่มีส่วนดี เพราะมันเป็นเห็นแก่ตัวด้วยอำนาจของกิเลส จะให้ดีต้องว่าเห็นแก่ธรรม เห็นแก่พระธรรม เห็นแก่ความถูกต้อง เอาตัวเป็นพระธรรม เอาพระธรรมเป็นตัว อันนี้ได้ เห็นแก่พระธรรม พระธรรมในทางที่ดีให้ตัวรอด ธรรมชาติให้มาเป็นกลาง แต่ว่าสัญชาติญาณ ความเห็นแก่ตัวนี่ให้มาเป็นกลาง จะไปเห็นแก่ตัวด้วยกิเลสก็ได้ เห็นแก่ตัวด้วยปัญญาวิชาความถูกต้องก็ได้ เห็นแก่ตัวทำให้ต่อสู้ดิ้นรน เพื่อตัวมีชีวิตรอด นี่เป็นรักทั่วไป ถ้าเห็นแก่ตัวด้วยความผิด ด้วยกิเลส ต่อสู้ด้วยวิธีอันธพาล ตัวรอดมาเป็นคนโง่ คนเลว คนพาล คนอันธพาล ไม่พึงปรารถนา อย่ามีดีกว่า แตว่าเห็นแก่ตัวต่อสู้ด้วยความถูกต้อง ด้วยสติปัญญา รอดมาก็รอดมาอย่างดี มาเป็นมนุษย์ก็ดี ก็น่าปรารถนา ควรปรารถนา
นี่คำพูดกำกวม เคยบอกหลายหนแล้ว จนขี้เกียจบอกแล้วว่า ธรรมะยากเพราะภาษากำกวม ธรรมะยากเพราะภาษามีไม่พอใช้ ธรรมะหรือแม้แต่ปรัชญาก็ตาม ยาก ยากแก่เราเพราะว่าภาษามีไม่พอ และในอีกแง่หนึ่งก็เพราะภาษาเกิดกำกวมสับสน พูดทีเดียวไม่รู้เรื่อง ฟังไม่รู้ ฉะนั้นความทุกข์เกิดมาจากความยาก ฟังไม่ถูกหมด และไม่เชื่อก็มี เพราะว่าความอยากนี่มันเป็นคำบัญญัติเฉพาะ ความอยากนี่มันมาจากอวิชชา อุปาทาน นี่ภาษากำกวม ภาษาไทยกำกวม ฉะนั้นบางทีภาษาไม่มี เช่น คำว่า “นิพพาน” ภาษาไม่มี เอาภาษาธรรมดาไปใช้ ฟังไม่รู้เรื่อง คำว่า “สุญญตา” ว่าง ความว่าง ทีนี้พอเราพูดว่าว่าง ไม่มีอะไร เลยไม่มีประโยชน์อะไร ใช้ไม่ได้ ไม่ต้องการ คำว่า “จิตว่าง” มันหลายความหมาย มันหลายชั้น ถ้าเราไม่ใช้คำนี้ก็ไม่รู้จะใช้คำไหน แต่ถ้าใช้คำนี้คนก็ฟังว่า จิตว่างคือจิตไม่คิดอะไร อันนั้นมันจิตว่างแบบทางวัตถุ ทางภาษาธรรมดา ภาษาทางธรรม ภาษาธรรมะชั้นสูง จิตว่างคือจิตไม่มีความรู้สึกว่ากู แต่จิตกำลังคิด กำลังไตร่ตรอง กำลังทำงานทางจิตอยู่อย่างยิ่งเลย แต่ไม่เจือด้วยความหมายว่าตัวกูว่าของกู อันนี้เขาเรียกว่า จิตว่าง จิตว่างนี่คนฟังไม่รู้ ก็ ต้องพูดให้ยาวกว่านั้น จิตว่างจากความรู้สึกว่าตัวกู นี่เรียกว่าเพราะภาษาในภาษาไทยยังไม่พอ เหมือนจะพอได้ในภาษาบาลี มันยังไม่พอ ก็ตีความหมายบาลีผิดๆ คำบาลีมันก็ยังไม่พอ มันใช้คำซ้ำ คำเดียวกัน ในความหมายต่างกัน ฉะนั้นการแปลจึงมีทางแปลผิด เพราะคำกำกวม คำไม่พอ ก็ยังเอาไปใช้ แปลบาลีตัวนั้นออกมาเป็นภาษาไทยนี่มีมาหลายๆคำ หลายสิบคำ ในบางกรณีแปลได้ แปลตัวนั้นได้ แต่บางกรณีใช้ไม่ได้เลย ทั้งที่บาลีตัวนั้นตัวเดิม คำเดียวคำเดิมนั้นน่ะ คำเดียวกันในกรณีหนึ่งเราแปลว่านี่ภาษาไทยใช้ได้ ในอีกกรณีหนึ่งใช้ไม่ได้ ในภาษาบาลีเอง เห็นได้ชัดว่าจน จนด้วยภาษา จนด้วยคำ ขาดแคลนคำ ก็เลยต้องใช้คำอธิบาย เพิ่มอีกแขนงหนึ่งเรียก “อรรถกถา” ที่ว่าเป็นภาษาไทยมันยังยุ่ง แล้วถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษก็ยิ่งแล้วเลย บทความธรรมะถ้าแปลออกเป็นภาษาอังกฤษน่าหัวที่สุด เพราะคนแปลรู้ภาษาอังกฤษไม่ถึงคืบ ฉะนั้นจะไปแปลตั้งเส้น ตั้งวา ไม่ได้หรอก
ทีนี้เราเราก็ต้องพยายามศึกษาให้รู้ความหมาย อย่าถือเอาคำพูดเป็นหลัก ความเห็นแก่ตัวๆ อย่าถือเอาคำพูดเป็นหลัก เอาความหมาย เอาเรื่องนั้นเป็นหลัก เห็นแก่ตัวก็แปลว่า โง่ก่อน โง่แล้วโลภ แล้วโกรธ แล้วหลง อะไรนี่ เห็นแก่ตัวแล้วทำไปตามนั้น มีแต่เห็นแก่ตัวมันไม่มีทางจะดี ถึงรอดชีวิตอยู่ได้มันก็ไม่ดี จะถือว่าเอาตัวรอดเป็นยอดดีนี้ เลวๆก็เอา มันไม่ถูก ต้องถูกต้องมันถึงจะใช้ได้
ยกตัวอย่างภาษาฝรั่งอีกคำหนึ่ง ความรู้เรื่องดีและชั่ว นี้กลายเป็นของเลว Knowledge ความรู้ Knowledge of Good and Evil นี่กลายเป็นของเลวของชั่ว ทำให้มนุษย์เป็นทุกข์ ไปเปิดเลยไบเบิลทุกเล่มจะใช้คำนี้ ต้นไม้ต้นนั้นมีผล กินเข้าไปแล้วจะเกิดความรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว พอกินเข้าก็เป็นทุกข์ทันที เป็นบาปทันที ที่จริงก็เป็นทุกข์ ไปเปิดเลยคัมภีร์ไบเบิลทุกเล่ม Tree ต้นไม้ต้นที่หนึ่งที่เรียกว่า Tree of Knowledge of Good and Evil ต้นไม้ต้นที่สองคือ Tree of Life ต้นไม้ชีวิต กินต้นไม้ต้นนี้เข้าไปถึงจะตายจะตายเพื่อจะมีความทุกข์ อดัมกับอีวากินเข้าไปแล้วก็มีความทุกข์ก็ตั้งต้นทันที มีบาปก็ตั้งต้นทันที มนุษย์โบราณผัวเมียคู่นี้ทั้งหมดก็เลยมีบาปติดต่อกันมาเรื่อย เป็นทุกข์ติดต่อกันมาเรื่อย เพราะรู้ดีและชั่ว นี้มันรู้สำหรับเพื่อยึดถือ รู้สำหรับยึดถือ ไม่ใช่รู้เพื่อไม่ให้ ยึดถือ ถ้ารู้สำหรับไม่ยึดถือ ไม่เป็นไร คือถูก ความรู้ทั้งดีและชั่วนั้น ถ้ารู้สำหรับไม่ยึดถือทั้งดีและชั่ว นั้นถูก แต่ทีนี้เขาไม่ได้พูดนี่ พูดเฉยๆนั้นหมายความว่า รู้สำหรับยึดถือ สำหรับหลงดี สำหรับเกลียดชั่ว สำหรับหลงดีหลงชั่ว มันก็เป็นทุกข์ทันที เกิดตัณหาอุปาทานยึดมั่นเป็นนั่นเป็นนี่ มีตัวกูเกิดทันที พอดีชั่วเข้ามา มีตัวกูเกิดทันที มันจึงเป็นทุกข์ นี่ภาษามันใช้ได้กันที่ไหน ความรู้เรื่องดีและชั่วนี่ กลับทำให้มีความทุกข์ ต้องใจความของมันเท่านั้น รู้ดีและชั่วสำหรับไปหลงเรื่องดีเรื่องชั่ว กับรู้ดีและชั่วสำหรับจะไม่หลงเรื่องทั้งดีและชั่ว คำพูดคำเดียวได้สองอย่างตรงกันข้ามเลย เอาอย่างแรกก็เป็นทุกข์ทันที เอาอย่างหลังก็หมดทุกข์ทันที ความรู้เรื่องดีและชั่ว ในพุทธศาสนาก็สอนความรู้เรื่องดีและชั่วเหมือนกัน แต่สอนในแง่แค่ว่าไม่ยึดถือเรื่องดีและชั่ว นิพพานไปเลย ซึ่งในคัมภีร์ไบเบิล รู้ดีและชั่วสำหรับยึดถือเป็นตัวฉันเป็นของฉัน สำหรับรักในเมื่อมันดี สำหรับเกลียดในเมื่อมันชั่ว คือสำหรับยินดียินร้าย นั่นคือตัวทุกข์ คือความตายหรือกิเลส
นี่ภาษาในทางศาสนาเอง ภาษาในทางศาสนาเอง ทำความเข้าใจสับสนวุ่นวายยุ่งยาก จนพวกคริสเตียนเองก็ไม่รู้ นี่ผมกล้าพูด พวกคริสเตียนส่วนมากก็เหมือนเราชาวพุทธส่วนมาก ไม่รู้ความหมายข้อความในคัมภีร์อย่างถูกต้อง ทีนี้ถ้าไม่มีความรู้อย่างถูกต้อง เขาก็ให้เชื่อไว้ก่อน ไม่ต้องวิจารณ์ ไม่ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องเลย นี่พวกคริสเตียนส่วนมากก็ไม่ต้องรู้ว่า อดัมกับอีฟ กินผลไม้รู้ดีรู้ชั่วแล้วจึงตาย จึงทุกข์ ก็ไม่ต้องรู้ ความตายคืออะไรก็ไม่ต้องรู้ ก็ให้เชื่อว่าข้อความนี้มันถูกต้องก็แล้วกัน ทีนี้ข้อความว่าดี แปลว่าถูกต้อง รู้ดีรู้ชั่วสำหรับยึดมั่นถือมั่นก็ต้องเป็นทุกข์ ลึกมาก เป็นธรรมะที่ลึกมาก พวกพุทธนี้ก็ไม่รู้ว่าเราทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่น ฟังคำพระพุทธเจ้าสอนยังไม่รู้ พุทธบริษัทก็ไม่รู้เรื่องนี้ของตัวเอง พวกคริสเตียนก็ไม่รู้เรื่องนั้นของตัวเอง นี่เพราะว่าคำพูดไม่พอ คำพูดกำกวม ปรมัตถธรรมจึงเป็นของยากขึ้นมา
เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีปัญหาเมื่อไหร่ก็ถามนะ คุณต้องชะงักไว้ก่อน ว่าต้องมีความหมายอะไรอย่างหนึ่งซึ่งเรายังไม่เข้าใจ ก็ต้องค้นความหมายนั้นให้พบ ถ้าเราใช้ความรู้สึกตามสามัญของเรานี้ด้วย เห็นแก่ตัวมันก็เอาตัวรอดทางเดียว ถ้าเห็นแก่ผู้อื่นแล้วมันก็ไม่เอาตัวรอดข้างเดียว นี่มันเป็นสามัญสำนึกของคนทั่วไป แต่ภาษาบาลีมาเหนือเมฆ ก็ตัวนั่นแหละคือธรรม ธรรมนั่นแหละคือตัว คือตัวจริง มันไม่ปลอม คือตัวจริง คำว่าธรรมก็ได้ อัตตาก็ได้ แต่ก็เป็นภาษาชาวบ้านพูดนะ ตัวจริงคือธรรม ธรรมคือตัวจริง ถ้าเห็นแก่ตัวต้องเห็นธรรม ธรรมคือความถูกต้อง นี่ไม่เป็นไร เห็นแก่ตัวก็ไม่เป็นอะไร ไม่เบียดเบียนใครและไม่เบียดเบียนตัวเองด้วย เห็นแก่ตัวตามความหมายของชาวบ้าน อัตตาตามความหมายของชาวบ้าน ก็คือกิเลสเป็นตัว เห็นแก่กิเลส นั่นคือเห็นแก่ตัว ทำตามกิเลสก็เลยเดือดร้อนกันหมดทั้งเราทั้งเขา ผมก็เวียนหัวเต็มทีแค่อธิบายธรรมะนี่ คิดมาก นึกมาก ก่อนจะมาพูดก็เวียนหัว เวียนหัวเพราะจะอธิบายธรรมะให้เข้าใจเร็วๆ ไม่ได้ คำว่า “อนัตตา” เรื่องอนัตตา อธิบายให้ผู้ฟังเข้าใจเร็วๆไม่ได้ ก็ลำบาก ยิ่งผู้ฟังมาฟังพร้อมๆกันหลายๆชนิดคน รู้อะไรก็มี ไม่รู้อะไรเลยก็มี รู้แล้วฉลาดแตกฉานในทางภาษาสติปัญญานี่ก็มี ลำบาก แล้วคำว่า อัตตา อนัตตา ก็เป็นภาษาอื่น ภาษาบาลี ก็มีภาษาบาลีนี้ความหมายหลายชั้น ถ้าพูดในเรื่องเลวก็ใช้คำว่าตัวกูของกู นั่นคืออัตตา อัตนียา เห็นแก่ตัวกู เห็นแก่ของกู เป็นอันว่าใช้ไม่ได้แน่ คำว่า “ตัว” ตัวนี่เป็นภาษาไทย มันเท่ากับคำว่า “ตน” “ตัว” Self เขาเรียกอะไรในภาษาอังกฤษนะ ตัว แต่หมายถึง ตัวแค่ของจริง ถึงคำว่า Soul ก็ยังไม่ปลอดภัยแต่ยังเป็นกลางๆ คำกลางๆ อย่างกลางๆ ตัวไหนก็ได้ ภาษาอังกฤษธรรมดาก็ใช้ความหมายอย่างอื่น มันก็จิตธรรมดาคำว่า Soul ตัวนี่ถ้าเป็นกลาง ก็ไปเป็นตัวธรรมะไป เป็นตัวพระเจ้าได้ แต่ Self ไปไม่รอด
มีอีกมากมายหลายสิบคำ หลายร้อยคำ ทำความกำกวมยุ่งยากไปหมดในการพูดจา ผลสุดท้ายเลยท้อแท้ เมื่อก่อนเราคิดว่าถ้าพูดให้ฝรั่งฟัง มันคงจะเข้าใจ ถ้าเรามีความรู้ที่จะพูด แต่ว่าต่อมาสังเกตๆ พบว่า โอ, ไม่ได้เข้าใจเหมือนกับที่เราต้องการจะให้มันเข้าใจ เข้าใจไปทางอื่น เพราะว่าคำที่เราใช้กับคำที่ฝรั่งรู้ ความหมายของคำไม่เหมือนกัน คำๆเดียว ก็จนปัญญาไม่รู้จะใช้คำคำไหน วิธีพูดคำไหน สำนวนคำไหนให้ฝรั่งเข้าใจ เหมือนกับเราต้องการให้มันเข้าใจ ข้อนี้เป็นเหตุให้เขียนภาษาฝรั่งไม่ได้ ไม่มีความรู้พอ โทก็โทอยู่คนเดียว เป็นภาษาฝรั่งโทรู้เรื่องคนเดียว
นายแสวงฤกษ์ ดร.แสวงฤกษ์ เอาเรื่องไม่มีศาสนา เรื่องคู่มือมนุษย์ อะไรไปพิมพ์ ไก่กา มันเปลี่ยนถ้อยคำดี ดีที่ว่าต้นฉบับแกหายไป แต่ว่าไม่ได้เป็นทั้งหมด หรือบางเรื่องก็ไม่ได้เปลี่ยน เรื่องคู่มือมนุษย์ พระออสเตรเลียแปลนี่ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ไอ้เรื่องไม่มีทัศนะ นี่ต้องแก้มา ต้องเปลี่ยนคำมา ไอ้เรามารู้ไหม ภาษาอังกฤษนี่เราไม่รู้ แต่พอเรามาอ่าน นี่มันฟังชัดกว่า ทีนี้ถ้าเรามีอยู่ภาษาอังกฤษหลายๆฉบับเวลานี้ ภาษาจำกัดอยู่ในความรู้ของผู้แปล ออกตลาดสากลไม่ได้ ต้องไปแก้ใหม่ ฉบับสั้นๆดี กลับไม่เยิ่นเย้อ คำพูดไม่หลายคำ ผมทำไม่ได้แน่ ไอ้ภาษานี้ทำไม่เป็น ก็ลองเขียนแล้วมันยาวๆๆ ยาวกว่าภาษาไทยหลายเท่า เขาเขียนเป็นๆ ก็จะทำให้สั้นกว่าภาษาไทย ประโยค ตัวหนังสือ จำนวนของคำพูดน้อยกว่าในภาษาไทย ไอ้เราเขียนได้มากกว่าภาษาไทย ๒-๓ เท่า
สรุปความว่าภาษาเป็นอุปสรรค เดี๋ยวนี้ภาษากำลังเป็นอุปสรรค จะพูดอีกสักนิด ภาษาเป็นอุปสรรคนี่เป็นคำสาป คำแช่งในไบเบิล ใครเคยอ่านไบเบิลบ้าง พระเจ้าสาปแช่งว่า “ต่อไปนี้มึงอย่าพูดกันรู้เรื่องเพราะอดัมกับอีฟทำผิดแล้ว” ไปอ่านเถอะ ประโยคหนึ่งน่ากลัวมาก ต่อไปนี้มึงพูดกันไม่รู้เรื่อง มนุษย์นี่จะพูดกันไม่รู้เรื่อง มนุษย์จะแยกแตกต่างกันในความเป็นอยู่ ทางวัฒนธรรม ถิ่นที่อาศัยกระจายกันไปทั่วโลก อย่าให้มันพูดกันรู้เรื่อง นี่คือการลงโทษ นี่กำลังเป็น ผมพูดฝรั่งไม่รู้เรื่อง ฝรั่งพูดกับผมก็ไม่รู้เรื่อง ต่างคนต่างลงทุนเรียนภาษากันตั้งหลายปีก็ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง ในเรื่องของพระธรรมอย่างลึกซึ้ง พระเจ้าสาปเอาไว้ เขาจะพูดรู้เรื่องก็ไม่กี่คน ต้องเรียนเรื่องทางความหมายกันให้ตรงแล้วพูดกันรู้เรื่อง นี่เราจะพยายามพูดกันให้รู้เรื่อง ให้พุทธ คริสต์ อิสลาม พูดกันรู้เรื่อง ไม่เห็นแก่ตัวเป็นความสุข เห็นแก่ตัวเป็นความทุกข์ ไม่เห็นแก่ตัวเป็นความไม่ทุกข์ ให้พูดกันรู้เรื่องเท่านี้ก็พอ เวลานี้ก็จะให้นายทุนหรือกรรมกรพูดกันรู้เรื่อง นั้นมันก็ไม่รู้เรื่อง ก็อีกนาน หรือจะให้พวกวัตถุนิยมกับพวกวิญญาณนิยมพูดให้รู้เรื่องก็ยังอีกนาน มันยังไม่ค่อยมีหวัง ถ้อยคำที่พูดๆ กันนี่จะแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ได้รับประโยชน์นี่ ยังไม่มีหวัง ถึงแม้ว่าพวกฝรั่งจะไปช่วยแก้ ช่วยเกลา มันก็ยังไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคำ ความหมายมันไม่เท่านั้น มันมีอีก แต่ก็ยังดี มันค่อยดีขึ้น หนังสือเล่มแรกๆ ขาย ๒ เหรียญ ๙๕ เซ็นต์ แสดงว่ามันโกงมาก ขายแพง โกง สันดานโกง ๙๕ เซ็นต์ มันก็คือ ๓ เหรียญนั่นแหละ พยายามหลอกเพื่อนว่าคือ ๒ เหรียญ ๙๕ เซ็นต์ ชาติมันเห็นแก่ตัว มันโกง มันไม่ควรจะหลอกเพื่อนว่า ๒ เหรียญ ๙๕ เซ็นต์ เขียนว่า ๓ เหรียญเลยก็ได้ เป็นคนตรง ตรงไปตรงมา