แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๑๔ สำหรับพวกเราที่นี่ ล่วงมาถึงเวลาสี่สามสิบนอแล้ว เป็นเวลาที่ได้กำหนดไว้ สำหรับจะพูดกันถึง งานของธรรมทูต ในแง่ใดแง่หนึ่ง ในวันนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า งานธรรมทูตคืองานปราบผี เป็นครั้งที่ ๒ ของการบรรยายชุดนี้ ซึ่งจะแสดงสถานะของโลกปัจจุบันที่เกี่ยวกับงานธรรมทูต ทำไมจึงกล่าวเรื่องนี้ ความมุ่งหมายก็เพื่อการเตรียมตัวที่เหมาะสมและเพียงพอ ที่จะรับงานอันใหญ่หลวงและทำได้แสนยากไปทำ ถ้ามีความเข้าใจในเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้แล้ว จะเห็นได้ว่างานธรรมทูต เป็นงานที่ใหญ่หลวง ใหญ่หลวงทั้งโดยคุณค่า และใหญ่หลวงทั้งลักษณะของการกระทำที่ทำได้แสนยาก ไม่มีโอกาสที่จะทำเล่นๆ สนุกๆ อย่างธรรมทูตทัศนาจร ในข้อแรกอยากจะพูดเปรียบเทียบกัน ระหว่างงานธรรมทานกับงานธรรมทูต ว่ามันต่างกันอย่างไร ผู้ที่เรียนบาลีมาแล้วเข้าใจได้ง่าย งานธรรมทานแปลว่าให้ทานเป็น เอ่อ ให้ธรรมเป็นทานหรือให้ทานธรรม งานธรรมทูต ผู้ที่เป็นทูตของธรรม ตัวหนังสือก็บอกแล้วว่างานธรรมทานนั้นไม่ได้จำกัด ว่าจะเคลื่อนที่หรือไม่เคลื่อนที่ ส่วนงานธรรมทูตนั้นมันหมาย มีความหมายชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นงานเคลื่อนที่ แต่แล้วก็มีความหมายเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าเป็นงานเผยแพร่ธรรม ธรรมอย่างเคลื่อนที่ มีความหมายเป็นพิเศษที่ต้องประสบกับความยากลำบาก ความเหน็ดเหนื่อยหรืออะไรอีกมากมาย ไอ้งานธรรมทานนี้ก็ทำไปตามสบาย เรียบๆตามความหมายของคำที่มันมีความหมายกว้าง ฉะนั้นขอให้เข้าใจว่าไอ้งานธรรมทูตนั้นมันเข้มข้น มันจะต้องใช้ความอุตสาหะวิริยะหรืออะไรมากเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่มันก็ต่างกันอยู่อย่างนี้ แต่ที่จริงมันก็นับรวมอยู่ในคำว่าธรรมทาน ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าธรรมทาน ชนะทานทั้งปวง ทีนี้อยากจะชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญของเรื่องที่จะพูดในครั้งนี้ว่า ทั้งงานธรรมทานและทั้งงานธรรมทูตล้วนแต่เป็นการปราบผี ผู้ฟังบางคน แรกฟังอาจจะคิดว่าเป็นพูด การพูดเล่นตลกหรือพูดเล่นสำนวนโวหาร หรือแม้แต่เป็นการพูดชนิดที่แกล้งเปรียบเทียบ เกี่ยวกับข้อนี้ผมอยากจะขอให้ย้อนระลึกนึกถึง เรื่องในตำนาน การส่งภิกษุไปประกาศพระศาสนา ที่จัดทำโดยความอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช มีเจ้าหน้าที่ที่เป็นหัวหน้าใหญ่คือพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ เรื่องนี้ไม่มีในพระไตรปิฎก มีอยู่ก็มีอยู่ในรูปตำนานไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เราก็เอามาเรียน เป็นวิชาความรู้ในเรื่องของคีติคาถา เพราะว่ามันก็มีเหตุผลที่จะต้องสนใจหรือเอาความหมายให้ได้ ตำนานนี้ก็แต่งโดยพวกลังกา ซึ่งมักจะถูกหาว่ามีอะไรที่ ใช้สำนวนโวหารพิเศษ แต่ถึงจะพิเศษอย่างไรเราก็ถือเอาความได้ ในตำนานนั้นก็มีใจความว่า พระเจ้าอโศก โดยคำแนะนำและควบคุมของพระมหาโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ จัดภิกษุเป็นสายๆ ออกไปเผยแผ่ศาสนาตามทิศต่างๆ ที่พระเจ้าอโศกมหาราชจะพึงกระทำได้ เรื่องนี้แม้ประวัติศาสตร์ในปัจจุบันก็ยอมรับ มีหลักฐานพยานปรากฏอยู่ ทางทิศตะวันตก ก็ไปถึงยุโรปหรือว่าเลยไปกระทั่งถึงสุดปลายโน้น แต่ว่ามันไม่สำเร็จ มันก็ไม่มีหลักฐานเหลืออยู่ ทางทิศใต้ลงไปถึงลังกา ทางตะวันออกเฉียงใต้มาถึงสุวรรณภูมิ คือแถวบ้านเรา ฝรั่งบางส่วนก็ว่าไปถึงประเทศแรกแลนด์ 7.56 ไกลสุดทางเหนือ ในแง่ของประวัติศาสตร์ปัจจุบันก็ไม่มีทางปฏิเสธ คือยอมรับ แต่ว่ารายละเอียด อย่างที่กล่าวไว้ในตำนานการแผ่ศาสนาอย่างที่พวกลังกาเขียนนั้นบางอย่างนักประวัติศาสตร์ไม่ได้ยอมรับ ซึ่งจะได้กล่าวให้ฟังต่อไป การค้นพบผอบศิลาที่สถูป องค์ที่ ๒ ที่ ๓ หรือองค์บางองค์นั้น มีจารึกชื่อพระโมคคัลลีบุตรติสสะ และชื่อสาวกบางองค์ที่ส่งไปเผยแผ่พุทธศาสนา ซึ่งดูเหมือนชื่อโสณะอุตตระ ก็จะมีอยู่ที่นั่นด้วย ผมก็จำไม่แน่นัก แต่ว่าก็มีหลายชื่อที่จำได้ว่าตรงกับที่ในตำนานพูด ที่ตำนานนี่มันเป็นเรื่องที่เขียนขึ้น ในลังกามันก็มีพิสดาร แต่เรื่องสำคัญที่เราจะพูดกันวันนี้ก็คือเรื่องปราบผี ทุกสายที่พระธรรมทูตไป ก็ได้แสดงธรรมสำคัญสูตรนั้นสูตรนี้ ก็มีรายละเอียดที่ว่าต้องปราบผีบ้าง ปราบยักษ์บ้าง ปราบผีเสื้อน้ำบ้าง จำนวนเท่านั้นเท่านี้เป็นเหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน แล้วก็มีคนบรรลุธรรม คือได้รับเอาธรรมะนี้ได้จำนวนเท่านั้นเท่านี้ ที่ทางสุวรรณภูมินี้ก็ว่าแสดงพรหมชาลสูตร แล้วก็ดูจะปราบผีประเภทผีเสื้อน้ำ นี้ก็จำไม่แน่แต่ว่ามันก็เป็นผีก็แล้วกัน มากมายก่ายกอง ขอให้ลองคิดดูว่าทุกสายต้องปราบผีในชื่อที่ต่างๆกัน ว่าผีเฉยๆบ้าง ว่ายักษ์บ้าง ว่าผีเสื้อน้ำบ้าง มันจึงทำงานสำเร็จ ทีนี้คำว่าปราบผีในที่นี้หมายความว่าอะไร เป็นที่หน้าสังเกตสำหรับจะรู้เรื่องจริงหรือเรื่อง หรือข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ มันดูคล้ายๆกับว่า แผ่นดินเหล่านั้นเต็มไปด้วยผี นี่ไปอ่านดูสิ ไปอ่านซ้ำดูสิ ในแผ่นดินที่ไปประกาศศาสนานั้นมันเต็มไปด้วยผี ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น หรือว่าผีนั้นมันคืออะไร ไอ้ผีที่มีความหมายเป็นผีทั่วไป ไอ้ยักษ์มันก็เป็นอะไรชนิดหนึ่ง ซึ่งมันดุร้ายแล้วต้องกลัวมัน ส่วนผีเสื้อน้ำนั้นมันเป็นผีที่อยู่ในน้ำ ไอ้ผีที่เรียกว่าปีศาจหรืออะไรพวกนั้นมันก็ไม่ได้อยู่ในน้ำ แต่ผีที่เรียกว่ารักขสะ ที่มาเป็นภาษาไทยว่ารากษส หรืออะไรนี้มันอยู่ในน้ำ แล้วก็ยังมีไอ้ยักษ์ที่อาละวาด ที่ตามป่าตามดงนี้พวกหนึ่ง เข้าไปที่ไหนก็ต้องเผชิญกับพวกเหล่านี้ เอ้าตรงนี้อยากจะแทรกคำว่ามาร คำว่ามารไม่ได้รวมอยู่ในคำว่าผีปีศาจ ผีเสื้อน้ำอะไรเหล่านี้ คำว่ามารมีความหมายกว้าง อย่างในคำว่ามารทั้งห้า ขันธมาร กิเลสมาร มัจจุมาร อภิสังขารมาร เทวบุตรมาร อะไรมารก็ตามใจ มันเป็นนามธรรมที่ไม่มีตัว เป็นสภาพขัดขวาง ถ้าพูดเป็นปุคคลาธิษฐานก็ว่าเป็นคนเป็นเทวดาเป็นอะไรออกมาได้เหมือนกัน แต่พูดภาษาแท้จริงแล้วมันคือสภาพขัดขวางที่เป็นนามธรรม ไอ้มารนี้มันคนละเรื่องกับผีที่ว่านี้ ไอ้มารนี้คือสิ่งที่พระธรรมทูตจะต้องชนะเองเสียก่อน ชนะมารเหล่านี้เสียก่อน แล้วจึงไปเผชิญหน้ากับไอ้พวกผีที่ว่า จะผีอะไรก็ตาม ทีนี้พระธรรมทูตที่มีคุณธรรมครบบริบูรณ์แล้ว มันก็คือชนะมารได้แล้วตามควร อย่างพระพุทธภาษิตที่ตรัสในตอนที่ส่งภิกษุไปประกาศพระศาสนา นี้ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ว่าภิกขุทั้งหลาย บัดนี้เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลาย ทั้งที่เป็นของทิพย์และเป็นของมนุษย์ แม้เธอทั้งหลายเหล่าก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลาย ทั้งที่เป็นของทิพย์และเป็นของมนุษย์ จงเที่ยวจาริกไปเถิด เพื่อประโยชน์แก่ชนมาก เพื่อความเกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อความสุขและความเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์ จงไปสายหนึ่งคนเดียว ทางหนึ่งคนเดียว อย่าไปสองคน แม้เราทั้งหลาย เอ่อ แม้เราเองก็จะไปยังตำบลอุรุเวลา นี่เราถือว่าเป็นพระพุทธภาษิตต้นกำเนิดของงานธรรมทูต ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวมาในลักษณะอย่างนี้ ผู้ที่เป็นนักเรียนภาษาบาลีก็อาจจะเข้าใจได้ว่า เรา แม้ว่าเราไม่ได้ยินสำเนียงด้วยหูจากพระพุทธดำรัสนี้ เราก็รู้ได้ว่าสำนวนนี้มันหมายความว่าอย่างไร มันไม่ใช่สำนวนบังคับ มันเป็นสำนวนอ้อนวอนขอร้อง ทีนี้ถ้าเราจะแปลกันอย่างวิธีแปลหนังสือธรรมดา คือว่าให้มันตรงกับเรื่อง มันต้องแปลอย่างสำนวนขอร้องวิงวอนที่สุด แปลอย่างสำนวนพวกคริสเตียนก็จะต้องใช้คำว่า ลูกเอ๋ย บัดนี้พ่อก็พ้นแล้วจากบ่วง ทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ แม้ลูกทั้งหลายเหล่าก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และเป็นบ่วงมนุษย์ ขอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์แก่คนมาก เพื่อความสุขแก่คนมาก เพื่อความสุขความเกื้อกูลแก่เทวดาและมนุษย์ ลูกจงไปทางหนึ่งคนเดียว อย่าไปสองคน แม้พ่อก็จะไปยังตำบลอุรุเวลา แสดงว่าพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงเอาเปรียบ ไม่ได้บังคับบัญชา เป็นเรื่องขอร้องวิงวอน นี่ถ้ายังระลึกถึงพระพุทธภาษิตข้อนี้ได้อยู่เพียงไร มันก็มีกำลังใจสูงสุดที่จะดำเนินงานธรรมทูต และผมขอร้องให้สังเกตตรงคำขึ้นต้นที่ว่า แม้พ่อก็พ้นแล้วจากบ่วง ทั้งที่เป็นทิพย์และมนุษย์ แม้เธอทั้งหลายก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งที่เป็นทิพย์และมนุษย์ นี่ใจความสำคัญที่เรามักจะมองข้ามไปเสีย โผล่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องไปไปไป คือพระพุทธองค์ทรงมองเห็นไอ้ความเหมาะสม ความเหมาะสมที่ว่า บัดนี้เราพ้นจากบ่วงแล้วด้วยกันทุกคน เรื่องส่วนตัวไม่มีอะไรแล้ว ก็มีแต่เรื่องที่จะทำประโยชน์ แก่สัตว์โลกทั้งหลาย นี่จึงคิดถึงการไป งานธรรมทูตก็ตั้งขึ้น เมื่อเวลาตั้งสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว ก็เป็นที่น่าภาคภูมิใจว่าไอ้ Missionary work ในโลกนี้ ได้มีขึ้นในพุทธศาสนา เมื่อสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว ไม่ใช่ของใหม่ๆ เมื่อพวกฝรั่งที่เพิ่งมาสอนศาสนาคริสเตียนในดินแดนแถวนี้ เพิ่งมาไม่กี่วันนี้เอง มันคุยได้อยู่หลายอย่าง ถ้าอยากจะอวดจะคุย ไอ้งานมหาวิทยาลัยก็มีขึ้นในพุทธศาสนาตั้งพันสองร้อยปีกว่าปีมาแล้ว ไอ้งาน Missionary work นี้ก็มีในพุทธศาสนา เมื่อสองพันห้าร้อยปีกว่ามาแล้ว คิดดูสิ ฉะนั้นผู้ที่จะเป็นธรรมทูตก็ควรจะภาคภูมิใจในอะไรหลายๆอย่าง คำวิงวอนขอร้องของพระพุทธองค์ ซึ่งก็เรียกกันว่าพระพุทธบิดา ในงานศึกษา การศึกษาที่เรามี การลืมหูลืมตาก่อน ก่อนลัทธิอื่นศาสนาอื่น แล้วทีนี้ก็เป็นเรื่องว่ามาร เป็นสิ่งที่ต้องชนะก่อน แล้วก็ไปเผชิญกับผี นี่คือหัวใจของงานธรรมทูต ผมจึงพูดว่างานธรรมทูตคืองานปราบผี เห็นหรือยัง ว่ามันเป็นความจริงเท่าไร กี่มากน้อย แล้วมันจะยากหรือง่ายก็ลองคำนวณดู งานไปเล่นกับผี ไปทำกับผีนี้มันแสนยาก เอาล่ะพูดกันต่อไปอีกหน่อยว่าผีคืออะไร เพราะว่ามันจะต้องไปสู้กับผี จะหลับหูหลับตาไม่รู้ว่าผีคืออะไร ไปเล่นกับผี แล้วมันก็น่าสงสาร คำว่าผีในภาษาไทย ในความหมายธรรมดา ภาษาคนน่ะ ภาษาคนธรรมดานี้ก็ว่า ผีที่เด็กๆ กลัวกันนัก คนใหญ่ก็กลัว คนหัวหงอกแล้วก็ยังโง่กลัว กลัวสิ่งที่เรียกว่าผี ผู้หญิงกลัวมากกว่าผู้ชายนี่ทำนองนี้ มีชื่อเรียกต่างๆ กันว่า ผีปอบ ผีฟ้า ผีเรือน ผีป่า ผีอะไรจิปาถะ มากจนนับไม่ไหว โง่เท่าไหร่ก็สร้างผีขึ้นมากเท่านั้น ขออภัยไม่ใช่ว่าจะพูดตำหนิติเตียนอะไรกัน ต้องพูดว่าทางภาคอิสานมีมากที่สุด ตามที่ผมได้ยินได้ฟังมา ได้พบปะกับเพื่อนฝูงชาวภาคอิสาน มานั่งคุยมานั่งปรึกษากัน เขาชวนผมไปช่วยกันปราบผีที่ภาคอิสาน คือลัทธิถือผีปอบผีฟ้าผีอะไรที่ภาคอิสานเข้มข้นกว่าทุกภาค มันมีทุกภาคแหละ แต่ว่าตรงไหนเชื่อมาก ตรงนั้นผีมีฤทธิมีเดชมาก เพราะผีเกิดมาจากความโง่ของคน คืออวิชชา คนโง่ก็มีกำลังใจที่ประกอบอยู่ด้วยความโง่ แล้วก็ระบายไอ้ความโง่ใส่ไว้ในบรรยากาศ บรรยากาศที่นั่นมันก็เลยเต็มไปด้วยไอ้กระแสจิตของความโง่ ที่สร้างพลังชนิดหนึ่งขึ้นมา สำหรับจะครอบงำจิตใจที่มันมีกำลังต่ำกว่า จะเป็นจอมปลวกก็ดี ต้นไม้ก็ดี หรืออะไรก็ตามที่มันสมมติกันว่าศักดิ์สิทธิ์มีผี เพราะว่าคนโง่มันมากแล้วก็ใส่พลังโง่ลงไปในจอมปลวกบ้างต้นไม้บ้าง แถวนี้ก็มี บางที่เอากันทั้งภูเขาเลย ภูเขานี้ศักดิ์สิทธิ์มีผีชื่อนั้นชื่อนี้ เป็นพ่อเป็นปู่เป็นอะไรของเขา มันเข้มข้นเมื่อคนโง่ถึงจุดสูงสุด แล้วมันก็จางไปเมื่อคนค่อยฉลาด ฉลาดเข้า จนหายไป เมื่อผมมาแถวนี้ใหม่ๆ ที่ตรงโน้นห่างไปสัก สักกิโลกว่าๆ นั่น มีจอมปลวกใหญ่เบ้อเร่อ มีไม้ชิ้นเล็กๆ สุมอยู่ ทุกคนที่เดินผ่านไปนั้น ต้องหักไม้เล็กๆ อีกอันหนึ่งมาสุมทับลงไป ไม่อย่างนั้นผีจะทำร้าย หรือว่ามันจะทำให้จุกตายอะไรทำนองนี้ มันก็มีอยู่มาก มากขึ้นๆ จนเป็นรูประหลาดที่สุดเลย ชิ้นไม้สุมลงไปคล้ายๆ กับรังนก หรือรังบีเวอร์ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วใช่ไหม เมื่อคนมันเชื่อ ใจมันก็เสียไปตั้งแต่เข้าไปใกล้สถานที่นั้น ยังไม่ทันถึงที่นั้นใจมันก็เสียแล้ว โดยเฉพาะเด็กๆ หรือผู้หญิง เมื่อใจมันเสียหมดกำลังแล้ว ไอ้ ไอ้กระแสจิต พลังของความโง่ที่ตรงนั้นที่คนใส่ไว้ มันก็ทำให้คนนั้นให้รู้สึกอย่างนั้นๆ ได้จริงเหมือนกัน นี่เป็นของจริงเหมือนกัน ไม่ใช่เท็จหรือจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ มันจริงที่ว่ามีกระแสของความโง่ เป็นอิทธิพลผี ครอบงำคนที่มีจิตใจอ่อน ก็เป็นอย่างนั้นทุกคนที่ใจอ่อน ที่ว่า ถ้าเผอิญมันเกิดมีคนใจแข็งขึ้นมา วันดีคืนดี มันว่าพ่อตานี่ ผมเผ้ารกนักแล้วก็จะช่วยสักที ช่วยตัดผมให้พ่อตาสักที มันเอาไฟสุมเข้า มันก็ติดดี ชิ้นไม้เล็กๆ สุมกันอยู่มากมาย ปลวกมันก็พลอยตายไปด้วย แล้วมันก็ไม่มีใครทำอย่างนั้นอีก ผีก็หมดไป แล้วพ่อตาอะไรของภูเขาลูกนี้ก็เหมือนกัน ก่อนนี้ร้ายกาจมาก ต้นตะเคียนตรงหัวเลี้ยวที่ไปโรงปั้นนั้นน่ะ ก่อนนี้ผู้ชายคนหนึ่งก็ไม่กล้าเข้าไป กลางวัน มันกลัวผีตะเคียนต้นนั้น มันรอดอยู่ได้ไม่มีใครกล้าตัด จนเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครรู้สึก เมื่อความโง่มันหายไป ความเชื่อมันหายไป ผีมันก็ตายไป นี่ผีโดยแท้จริงมันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าผีชนิดนี้ไม่น่ากลัว ไอ้ผีที่น่ากลัวยังมีอีกมากมาย ฉะนั้นผีปอบผีฟ้าผีเรือนผีป่าผีของคนโง่ นี้ไม่น่ากลัว แล้วค่อยๆ จางไป แม้ที่ภาคอิสานก็ได้ข่าวจากเพื่อนคนนั้นว่ามันก็ค่อยจางไปแล้ว นี่ก็ผีในภาษาคน ความหมายตามธรรมดามันไม่น่ากลัว มีไว้สำหรับคนโง่ จะมีได้แต่สำหรับคนโง่ หรือคนที่จิตใจอ่อนแอ คุ้มดีคุ้มร้ายจนต้องแขวนตะกุดพิสมร แขวนนั่นแขวนนี่เพื่อให้ใจมันดีขึ้นมาบ้าง แล้วมันก็ไม่ถูกครอบงำโดยกระแสแห่งความโง่ ทีนี้ผีในภาษาธรรม ผีในภาษาธรรมาธิษฐานนี้มันน่ากลัว ใช้คำเดียวกันล่ะคือคำว่าผี แต่มันไม่ได้หมายถึงไอ้เรื่องอย่างที่ว่า เพราะว่าผีในภาษาธรรมหมายถึงไอ้ตัวลัทธิหรือตัวความเชื่อ คือตัวที่เรียกกันว่า ism นั้นน่ะ ไอ้ ism ที่จะไป ที่จะต่อท้ายคำนั้นคำนี้ มันคือลัทธิที่สร้างขึ้นมา จนเป็นสถาบันในวิญญาณในจิตใจ ism นั่น ism นี่ เดี๋ยวนี้มัน ism ผี คือความเชื่อในผี มันสำเร็จอยู่กับการศึกษาว่าถูกหรือผิด การศึกษาที่เดินไปผิดก็เพิ่มผีนี่ให้มีมากขึ้น ism ผีนี่มากขึ้น นี่มันแก้ยากถ้าการศึกษามันเดินทางไปผิด แสนที่จะล้างออกให้หมดได้ เพราะฉะนั้นผีที่น่ากลัวที่สุดก็คือไอ้ ism เรื่องผี ที่มีอยู่มาก ทั่วไปทั้งโลก โดยไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน และคืออะไร มันเป็นนามธรรม ไม่ใช่จอมปลวก ไม่ใช่ต้น ต้นตะเคียน ทีนี้ถัดมาก็คือคน ที่มีความคิดนึก ความรู้สึกหรือการกระทำเป็นผี ผีมีความหมายว่าโง่ ว่าหลอกลวงหรือว่าอะไรทำนองนี้ ทีนี้คนที่มีการกระทำอย่างนั้นแหละนั่นล่ะคือผี มันเป็นคนที่กำลังเดินไปเดินมาสวนทางเราอยู่ทุกวันก็ได้ มันเป็นผี มันมีการกระทำอย่างผี คำว่าผีนี่ควรจะมีความหมายว่าหลอกลวงหรือหลอกดีกว่า ในเมื่อคำว่ามาร พญามารหรือมารมันมีความหมายว่าทำลายล้าง ไอ้ผีนี่มันไม่มีอะไรมากไปกว่าไอ้หลอก หลอกคนโง่ อันที่หนึ่งคือลัทธิ ism ที่โง่ไปว่าเป็นผีอย่างนั้นอย่างนี้ อันที่สองคือคนเป็นๆ นี่ มันเป็นผี อย่างที่สามอยากจะระบุไปยังอวิชชา สิ่งที่เรียกว่าอวิชชาในพุทธศาสนานี่ นี่เป็นที่เกิดแห่งผี ในทุกความหมาย ผีในความหมายไหนกี่ความหมายก็ตาม มันเกิดมาจากอวิชชา แล้วก็ระบุตัวผีไปที่ตัวอวิชชา ปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉะนั้นตัวอวิชชาเป็นผีที่ร้ายกาจกว่าไอ้ที่ว่ามาแล้ว แต่ว่าเป็นไปในความหมายที่กว้างๆ กว้างๆ ไม่ไม่ไม่เข้มข้น ไม่ระบุให้เป็นนั่นนี่ขึ้นมา ถ้าจะระบุให้เป็นนั้นนี่ขึ้นมาเราจะระบุอันที่เรียกว่าอุปาทาน อุปาทานที่มาจากตัณหาสามประการนั้นแหละ ในปฏิจจสมุปบาทนั้น มาจากกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ปรุงเป็นตัวกูของกู ดิ้นเร่าๆ ขึ้นมา ที่จะมาเป็นภพเป็นชาติ อันสุดท้ายของปฏิจจสมุปบาท อุปาทานเหล่านี้มันมาจากตัณหา แล้วตัณหามันก็มาจากเวทนา ในที่สุดมันก็มาจากอวิชชา เมื่อใดคนเผลอสติ กระทบอารมณ์ทางตาทางหูทางจมูก เป็นต้น อวิชชาครอบงำแล้ว กายและใจนี้ก็พร้อมที่จะให้มันสร้างผัสสะและเวทนา ที่จะเป็นไปเพื่อตัณหาอุปาทานนั้น มันก็มีมูลมาจากอวิชชา คำต้นของปฏิจจสมุปบาท แต่เราไม่พูดถึงอันนั้น เราพูดถึงอุปาทาน ที่กำลังเข้มข้นอยู่ในจิตใจในเวลานี้ กูอย่างนั้น กูอย่างนี้ กูได้อันนั้นมา กูเสียนี่ไป นี่ลูกของกู นี่เมียของกู อะไร อะไรกูนี่ ที่เรียกว่าไอ้ Egoism อย่างกว้างๆ มันเป็น Egoistic concept อันหนึ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะเรื่องเฉพาะเรื่อง มันก็มีไอ้ตัวตนขึ้นมา มี Self ขึ้นมา แล้วก็ Selfishness ขึ้นมา อันนี้ผีที่น่ากลัวที่สุด ที่ผมเรียกในภาษาไทยง่ายๆ ว่าตัวกู แล้วก็พ่วงมาด้วยของกู อุปาทานก็ออกมาในรูปของโลภะโทสะโมหะ เพราะฉะนั้นโลภะโทสะโมหะนี่คือผีที่น่ากลัวที่สุด เป็นอาการอันหนึ่งๆ ของอุปาทานที่มันแสดงออกมา หรือว่าเป็นอุปาทานอยู่ในตัวโลภะโทสะโมหะอย่างใดอย่างหนึ่ง นี่คือผีที่น่ากลัวที่สุด นี่คุณจะต้องรู้ว่าธรรมทูตจะต้องปราบผี มันจะปราบยากหรือปราบง่ายก็ลองดู ทีนี้พอพูดถึงต่างประเทศ ธรรมทูตต่างประเทศจะไปต่างประเทศ มันก็มีผีต่างประเทศ ผีที่ต่างประเทศ คืออะไรรู้ไหม อยากจะพูดว่าแม้ในโลกสมัยปัจจุบันนี่ ทั้งโลกนี้ ก็เต็มไปด้วยผี แห่งยุคอะไร ยุคอวกาศ ไอ้ยุคปรมาณูน่ะมันล้าสมัยไปแล้วนะ เป็นของเก่าคร่ำคร่าล้าสมัยไปแล้ว ที่เราพูดกันว่ายุคปรมาณูเมื่อไม่กี่ปีมานี้ นี่มันวิ่งเร็วถึงขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ยุคอวกาศโผล่ขึ้นมา ไปโลกพระจันทร์ ไปนั่นไปนี่ โลกสมัยปัจจุบันคือยุคอวกาศ ไม่ใช่ยุคปรมาณู มันก็เต็มไปด้วยผี และยิ่งยิ่งยิ่งที่จะเต็มไปด้วยผี ผีตัวแรกก็คือผีปีศาจแห่งวัตถุนิยม ทางเนื้อทางหนัง ภูตผีปีศาจแห่งวัตถุนิยม ทางเนื้อทางหนัง กว้าง กว้างมาก ความหมายของคำๆ นี้ คือมนุษย์ตกไปเป็นทาสของวัตถุนิยม ทางเนื้อทางหนัง ทางตาทางหูทางจมูก ทางลิ้นทางกายทางใจ อย่างที่ว่ากันแล้วเมื่อครั้งที่แล้วมาว่าโลกกำลังลำบากที่สุดด้วยผีตัวนี้ ตกเป็นทาสของเนื้อหนัง อะไรอะไรก็จะเอาแต่ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง อย่างไม่ลืมหูลืมตา การศึกษาของมนุษย์ปัจจุบัน ไปสูงสุดอยู่แค่ความเป็นฮิปปี้ คือ Hippyism นี้ ทั้งเสรีภาพที่ได้จากการศึกษา ประชาธิปไตยแห่งยุคปัจจุบัน ให้มันเลือกเอาเองตามชอบใจ ในที่สุดมันไปเลือกเอาไอ้ที่ตรงนั้น เพื่อความตามใจตัวเองได้ถึงที่สุดทางเนื้อทางหนัง นี่การศึกษาก็ไม่มีเสรีภาพ ประชาธิปไตยก็ไม่ใช่เสรีภาพ นี่เขาต้องการที่จะมีเสรีภาพก็คือ Hippyism ทีนี้ดูที่คนทุกคนน่ะ มันมี Hippyism อยู่ในคนทุกคนแม้ที่ไม่เรียกตัวเองว่าฮิปปี้ มันต้องการจะตามใจตัวเองทางเนื้อหนัง อย่างฟรีที่สุด อิสระที่สุด ไม่มีขอบเขตที่สุด ฉะนั้นอย่าไปมองที่พวกฮิปปี้ผมยาวๆ ตามสนามหญ้านั้น มองที่คนทุกคนเลย ที่มันอยู่บนตึก บนไอ้อะไรก็ตามใจ ที่มันอยู่ในสภาพเช่นไรก็ตาม ไอ้วิญญาณแห่งฮิปปี้มันอยู่ในนั้น ในคนเหล่านั้นทุกคน เป็นเศรษฐี เป็นนายทุน เป็นกรรมกร เป็นชนกรรมาชีพ เป็นอะไรก็สุดแท้ ไอ้ความหวังที่จะถึงที่สุดแห่งความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังมันมีอยู่ในใจ นี่ผมเรียกว่า Hippyism คือความเป็นทาสของวัตถุนิยม นี่ผีที่ร้ายกาจที่สุดแห่งยุคอวกาศปัจจุบันนี้ ทั้งการไปโลกพระจันทร์ ไปไหนต่อไหน เป็นเพียง เป็นอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ ไอ้ของลัทธิที่เป็นทาสของวัตถุทางเนื้อหนัง ความก้าวหน้าในทางอวกาศนี้ เพื่อประโยชน์แก่สงคราม เพื่อประโยชน์แก่การเมือง เพื่อประโยชน์อะไรก็ล้วนแต่เป็นไปเพื่อจะให้ได้มาซึ่งความสูงสุดทางเนื้อหนัง มันรบกัน ฆ่ากันตายเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน มันก็ผลมุ่งหมายก็คือว่าจะชนะแล้วก็จะกอบโกยประโยชน์ทางวัตถุ เพื่อประโยชน์แห่งเนื้อหนังของตัวเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ที่พูดว่ารบกันเพื่อความยุติธรรม เพื่อมนุษยธรรมนั้นมันพูดเท็จทั้งเพ มันเป็นเรื่องบังหน้า แฝงไว้ซึ่งอะไรต่อมิอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลัง สงครามของมนุษย์สมัยที่มีจิตใจเป็นธรรมนั้นก็สงครามเพื่อความเป็นธรรมก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นสงครามของมนุษย์ที่เป็นทาสของวัตถุ ทางเนื้อหนัง แล้วก็สงครามเพื่อภูตผีปีศาจทางเนื้อหนัง ทำให้คนฆ่ากันก็ได้หรือว่าลุ่มหลงอยู่บนตึกบนวิมานกันก็ได้ สารพัดอย่าง นี่คือผีที่ร้ายกาจที่สุดในที่สุดในโลกแห่งยุคอวกาศ เรียกง่ายๆ ว่าปีศาจแห่งวัตถุนิยมทางเนื้อหนัง ในยุคอวกาศ ทีนี้ผีตัวสอง คือปีศาจแห่งทิฐิมานะ ในทางวัฒนธรรมในทางการศึกษาวิชาความรู้การก้าวหน้า เขามีทิฐิมานะของเขาเอง ว่ากูมีวัฒนธรรมอย่างนี้ กูก็จะเอาตามวัฒนธรรมนี้ ไม่เอาตามวัฒนธรรมโง่ๆ ของพวกตะวันออกนี่ ถ้าพวกตะวันตกเขาพูดเขาก็พูดอย่างนั้น เพราะเขาถือว่าเป็นพวกที่ก้าวหน้าทุกอย่างทุกประการ ในทางวิชาความรู้ การประดิษฐ์คิดค้น หรือไอ้เรื่อง ฝันลมๆ แล้งๆ เรื่องปรัชญานี่ เขาก้าวหน้าหมด ก็มีทิฐิมานะจัด เขาไม่ยอมตามก้นพวกตะวันออก ส่วนพวกตะวันออกไปตามก้นพวกตะวันตกนู่น ก็แปลว่าไอ้ ไอ้คนพวกที่ก้าวหน้ามากที่สุดของโลกเวลานี้ก็คือพวกตะวันตก เพราะเขาทนงตัว เขาก้าวหน้า เขามีทิฐิมานะอย่างร้ายแรง นี้ก็เป็นผีอันหนึ่ง คือผีแห่งทิฐิมานะ เมื่อตะกี้นี้ผีแห่งเนื้อหนังนะ นี่ผีแห่งทิฐิมานะ ก็ต้องไปต่อสู้กับผีพวกนี้ ในการที่จะไปปฏิบัติงานธรรมทูต ทีนี้ผมก็อยากจะชี้ผีตัวที่สามซึ่งมัน มัน มันชัดเจนที่สุดก็คือผีแห่งความเห็นแก่ตัว เมื่อไปพูดกันถึงเรื่องอื่นได้แล้วก็พูดกันได้ถึงเรื่องผีแห่งความเห็นแก่ตัว ในโลกเต็มอัดไปด้วยผีแห่งความเห็นแก่ตัว ที่ไหนมีความก้าวหน้าทางเนื้อหนังทางวัตถุมาก ที่นั่นมีความเห็นแก่ตัวมาก แล้วก็ได้แก่ฝ่ายตะวันตกอีกเหมือนกัน คนบ้านนอกคอกนาไม่รู้จักเห็นแก่ตัวมากเหมือนกับพวกที่เจริญด้วยการศึกษาแบบก้าวหน้า แต่แล้วพวกที่อยู่ตามบ้านนอกคอกนาได้รับการศึกษา ลืมหูลืมตาขึ้นมาก็ไปในทางที่ตามก้นไอ้พวกที่ดันนำหน้าที่เห็นแก่ตัวจัด เขาเห็นแก่ตัวกันทุกที ฉะนั้นไอ้ความเจริญแผนไหม่ไปที่ไหน ไอ้ความเห็นแก่ตัวก็รกหนาขึ้นที่นั่น เพราะความเจริญแผนใหม่มันไปถึงที่นั่น มันพาความเห็นแก่ตัวไปให้ ความเจริญแผนใหม่คือความเห็นแก่ตัว ถนนไปถึงไหน ไนท์คลับหรือโสเภณีเถื่อนก็เกิดขึ้นที่นั่น เดี๋ยวนี้เขาพูดกันอย่างนี้ ผมก็คิดว่าจริง เมื่อถนนยังไปไม่ถึง ไอ้สิ่งต่างๆ ที่จะให้เกิดความลุ่มหลงทางเนื้อหนังนี้มันยังไปไม่ถึง มันไม่ค่อยมี อยู่ในป่าในดง พอถนนดี ถึงที่สุด ก็ขนทุกสิ่งทุกอย่างไปใส่ให้เพื่อให้เกิดความลุ่มหลงทางเนื้อหนัง นี่ดูส่วนดีหรือส่วนเลวของถนน ที่ว่าความเจริญนั้นน่ะ ถนนไปถึงไหน อารยธรรมแผนใหม่ไปถึงนั่น มีบาร์มีไนท์คลับที่นั่น มีโสเภณีเถื่อนที่นั่น แล้วส่วนดีที่มันนำไปให้ก็คืออะไร มอง มองยากเต็มที ที่เขาเรียกว่าความเจริญนั่นมันเป็นความเจริญทางวัตถุทั้งนั้น ความเจริญทางวิญญาณ คือทางมีธรรมะ ทางมีจิตใจสูงมันไม่เห็นเลย เพราะว่าไอ้ทางวัตถุมันไปบังหมด ไปท่วมทับหมด ฉะนั้นโลกนี้จะมีแต่ไอ้ความยุ่งยากลำบาก เพราะความเห็นแก่ตัวนี้มากขึ้นๆ ทวีขึ้นเร็วขึ้นกว่าการเกิดของพลเมือง นี่ช่วยจำกันไว้ด้วย ไอ้ความทวีหนาแน่นขึ้นของความเห็นแก่ตัวนี่มันทวีเร็วกว่าไอ้การเกิดของพลโลก ที่ว่าเกิดขึ้นมากแล้วจะไม่มีอาหารกิน ที่เป็นห่วงกันนักนั่น เป็นห่วงกันเหลือเกินนั่น แล้วโง่ขนาดไม่เป็นห่วงว่าไอ้ ความทวีแห่งความเห็นแก่ตัวที่ร้ายกาจ อันตรายกว่านั้น ไม่ ไม่น่ากลัว ไม่เห็นสนใจเลย นี่คือการแก้กันแต่ปลายเหตุ ไม่แก้กันที่ต้นเหตุ มันก็ทำโลกนี้ให้มีความสงบไม่ได้ นี้ผมเรียกว่าผี มันหลอกยิ่งกว่าหลอก จนไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรดี ปีศาจแห่งวัตถุนิยม ปีศาจแห่งทิฐิมานะ ปีศาจแห่งความเห็นแก่ตัว ที่เต็มอัดเข้มข้นยิ่งขึ้นทุกที ในโลกยุคอวกาศ เอ้า คุณก็ไปสิ เป็นธรรมทูต ไปเผชิญกับผีพวกนี้ จะยากหรือจะง่ายก็ค่อยรู้กันในวันหน้า นี่ผมพูดว่างานธรรมทูตคืองานปราบผี หมายความอย่างนี้ อย่าหาว่าผมพูดเล่นลิ้น คุณมองดูด้วยสติปัญญาของตัวเอง ด้วยเหตุผลของตัวเอง ให้เห็นความจริงข้อนี้ ถ้ามันไม่ยากลำบากมากถึงขนาดนี้ พระพุทธเจ้าคงไม่อ้อนวอนว่าไปเถิดลูกเอ๋ย ไปด้วยความเสียสละ นี่ไป อย่าไปทางเดียวกันสองคน แม้พ่อก็ไป มันเป็นเรื่องที่วิงวอน ด้วยการมองเห็นความยากลำบากที่จะต้องเผชิญ นี่มันสำคัญไอ้ตรงที่คำว่าบ่วง พ่อก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ ลูกก็พ้นแล้วทั้งจากบ่วงทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ แล้วบ่วงทิพย์น่ะคุณรู้ไหมว่าคืออะไร ไอ้บ่วงมนุษย์สิยังดี ไอ้บ่วงทิพย์มันคือวัตถุนิยมจัด ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางผิวหนังนี่สิร้าย เดี๋ยวนี้เขาทำอะไรก็ต้องเป็นเรื่องเอร็ดอร่อยทางผิวหนัง อย่างผมพูดให้ฟังแล้ว เป็นตัวอย่างที่ควรจะสำเหนียกไว้อย่างยิ่ง ว่าสมัยนี้เขาสำรวยสำอางค์ เขาถือหลักว่าต้องได้รับสิ่งประเล้าประโลมใจ เช่นว่า จะสอนศีลธรรมสักข้อ พูดกันตรงๆ ไม่ได้ ลูกศิษย์มันจะด่าเอา ต้องทำหนังให้ดู ต้องไปคิดไปนึกต้องลงทุนทำหนังเรื่องดีๆ ให้ดู เรื่อง The The อะไร The love bug รถยนต์อาละวาดชนไอ้เจ้าของที่ไม่เอาใจใส่ดูแล นี่เขาสอนเรื่องกตัญญู จะสอนเรื่องกตัญญูหรือให้รักของใช้ ต้องทำหนังให้ดู เสียเวลาเป็นก่ายเป็นกอง แล้วก็เหลวทั้งเพ คือการทำหนังให้ดูไม่อาจจะทำให้คนมีศีลธรรมข้อนั้นได้ เพราะคนมันเลวเกินไปเสียแล้ว แล้วมันต้องการสิ่งประเล้าประโลมใจ entertainment ไม่มีขอบเขต จะให้คนนิยมการเมือง แต่งเพลงขึ้นมาบทหนึ่งก็ว่าสำเร็จแล้ว ให้เดินร้องกันตามถนน แง่นั้นแง่นี้ ให้นิยมใช้ของไทยก็จะต้องแต่งเพลงขึ้นมาสักบทหนึ่ง แล้วก็ร้องกันไปแล้วมันก็จะสำเร็จหรือไม่ก็ลองดู สำหรับคนที่มันเต็มด้วยวัตถุนิยมในจิตใจ มันจะมีศีลธรรมไม่ได้ มันต้องแก้ไขกันที่ต้นตอคือว่า ถ้าไม่พ้นจากบ่วงทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ คือชี้ให้เห็นอันตรายของการที่อยู่ในบ่วงที่แสนจะทรมาน อย่าไปลุ่มหลงการอยู่ดีกินดี ขอให้ลุ่มหลงการกินอยู่แต่พอดี สองคำนี้ช่วยจำไปด้วย กินดีอยู่ดีมันอีกเรื่องหนึ่ง กินอยู่แต่พอดีนั้นอีกเรื่องหนึ่ง กินอยู่แต่พอดีเป็นพระพุทธภาษิต เรียกว่า มัตตัญญุตา จะภัตตัสมิง ในโอวาทปาติโมกข์ มีอยู่คำหนึ่งว่า มัตตัญญุตา จะภัตตัสมิง ผมขอร้องว่าพวกเรา พวกมหาเปรียญอย่าไปแปลคำนี้ว่ากินดีอยู่ดี มันจะบ้าเลยต้องแปลว่ากินอยู่แต่พอดี แล้วจะไม่เป็นทาสของวัตถุนิยมทางเนื้อทางหนัง แล้วก็จะพ้นจากบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ได้โดยง่าย ถ้าไปบูชาไอ้กินดีอยู่ดีมันก็ยิ่งถลำเข้าไปในบ่วงทิพย์บ่วงมนุษย์มากขี้น ไม่มีทางจะพ้น ฉะนั้นผู้ที่เป็นธรรมทูต โดยเฉพาะเป็นภิกษุธรรมทูตนี้ อย่าไปเอาอะไรๆ เข้ามาใส่ไว้ในกุฏิที่มันจะเพิ่มไอ้บ่วงทิพย์บ่วงมนุษย์ให้มันมาก เอาไปทิ้งเสีย มันก็ควรเป็นอิสระเป็นฟรีออกไป ไปเป็นธรรมทูต นอกนั้นจะต้องมองให้ดีว่าธรรมทูตในประเทศก็ดีจะต้องปราบผี ธรรมทูตนอกประเทศต่างประเทศก็ดีจะต้องปราบผี แล้วพวกที่ไปต่างประเทศนี่จะพบผีที่ปราบยากยิ่งกว่า แล้วก็ต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวอะไรกันให้มากมายพอสมควร คือเรื่องที่จะพูดกันต่อไป เรื่องอธิจิตตาโยค หรือเรื่องอะไรก็ตามล้วนแต่เป็นเรื่องที่จะทำให้พ้นจากบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น เราก็ต้องพ้นแล้วไปช่วยผู้อื่นให้พ้น นี้คืองานของธรรมทูต ฉะนั้นสมาธิภาวนาหรืออธิจิตตาโยค มันก็เป็นเครื่องมือสำหรับการธรรมทูต สำหรับงานธรรมทูตอย่างจำเป็นที่สุด เพราะว่ามันจะต้องพ้นจากบ่วง ไอ้บ่วงนั้นคือบ่วงของผี บ่วงทิพย์ก็ตาม บ่วงมนุษย์ก็ตาม บ่วงมนุษย์นี้หมายความว่ามันธรรมดาสามัญ ต้องเอาเหงื่อออกมาแลกเอาไอ้ความสุขนั่น ที่เรียกว่าความสุขอย่างโลกๆนั้นต้องแลกเอาด้วยเหงื่อนี้อย่างนี้ คนก็ยังหลงจมติดกันอยู่อย่างเหนียวแน่น อย่างนี้เรียกว่าบ่วงมนุษย์ ทีนี้ถ้าไม่ต้องใช้เหงื่อเลย เหมือนคนบางคนบางพวกเขาไม่ต้องใช้เหงื่อเลยเขายังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยกามารมณ์ อย่างนี้เรียกว่าบ่วงทิพย์ แล้วคนส่วนมากเขาติดอยู่ในบ่วงมนุษย์ ต้องเอาเหงื่อแลกกามารมณ์ นี้บ่วงทิพย์นี้เขาไม่ต้องเอาเหงื่อเหรืออาอะไรแลกเขายังได้มากมายได้วิเศษวิโสนี้เป็นบ่วงทิพย์ ทั้งบ่วงมนุษย์และบ่วงทิพย์ล้วนแต่ทรมานคนอย่างไม่รู้สึกตัว คนที่ก้มหน้าทำงานเหงื่อต่างน้ำ อาบเหงื่อต่างน้ำมันก็พอใจด้วยความลุ่มหลงหรือว่าพอใจด้วยอะไรก็สุดแท้ และมันก็สมัครที่จะอยู่ในบ่วงนั้นไม่ออกจาบ่วง ทั้งที่ว่ามันต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ฉะนั้นไปดู ไปยืนบนตึกสูงๆ หน่อยที่กรุงเทพ แล้วมองดูไปในถนน ก็จะเห็นคนที่ว่ามันจะต้องอาบเหงื่อต่างน้ำอย่างไรบ้าง ร้อนระอุอยู่ในรถยนต์นั้นก็เพื่อผลทางวัตถุทางเนื้อหนัง ทีนี้พวกที่ไม่ต้องเป็นอย่างนั้นเขามีโชคดีมีบุญมีวาสนาก็มีอยู่เหมือนกัน ไม่มีต้องออกเหงื่อ ไม่ต้องยุ่งยากลำบากในทางร่างกาย เขาก็ได้กามาารมณ์ตามที่ปราถนา แต่แล้วมันก็คือผี คือความที่ถูกผีสิง ที่เป็นบ่วงทิพย์ก็ตามบ่วงมนุษย์ก็ตาม สรุปความว่าเราอยู่ในโลก แม้ยุคอวกาศนี้มันก็อยู่ยาก มันเต็มไปด้วยผี ฉะนั้นก็จะต้องช่วยกันปราบผี โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่าธรรมทานหรือธรรมทูตนี้ เป็นองค์การดำเนินงาน ทำกับผีเล่นกับผีนึกแล้วน่าท้อใจ แต่มานึกถึงคำวิงวอนของพระพุทธองค์แล้วก็พอจะมีกำลังใจ ขอให้นึกภาวนาอยู่เสมอ และวันนี้ผมมีเรื่องที่จะพูดเพียงเท่านี้ว่า งานธรรมทูตคืองานปราบผี โลกนี้เต็มไปด้วยผีและเต็มไปด้วยผีที่มากยิ่งขึ้นทุกที และก็เต็มไปด้วยผีที่มันยิ่งปราบยากยิ่งขึ้นทุกที คือผีมันก็ก้าวหน้าเหมือนกัน ก้าวหน้าไปตามอวิชชาของคนในโลก ที่มันก้าวหน้าเท่าไร ผีมันก็ก้าวหน้าเท่านั้น นี้ภาระหนักของคนในโลกที่จะสร้างสันติภาพอันถาวรมันก็มีมากขึ้นเท่านั้น เพราะว่ามันไปสร้างผีขึ้นมามากขึ้นมากขึ้น แล้วก็เข้มข้นยิ่งขึ้น เข้มข้นยิ่งขึ้น ฉะนั้นการพูดพร่ำถึงสันติภาพถาวร เป็นการพูดเพ้ออย่างน่าสงสาร มันก็เบียดเบียนกันไป ทั้งทางสงครามร้อนและทั้งทางสงครามเย็น ใช้เศรษฐกิจการเมืองเบียดเบียนกันเป็นสงครามเย็น ใช้ทหารเข้าใส่กันเป็นสงครามร้อน มันมีได้เท่านี้ นี่แหละคือผี คือการกระทำอย่างผี ที่กำลังเต็มไปทั้งโลก แล้วเหลืออยู่กี่คนที่จะมองเห็น แล้วก็คิดว่าจะช่วยกันแก้ไขเรื่องนี้ นี่คืองานของธรรมทูต หรือว่า spirit แห่งงานของธรรมทูต พอกันทีสำหรับเวลาที่กำหนดไว้