แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อเช้าเราพูดถึงเรื่องธรรมทูตอยู่กับที่ นี่เราก็จะลองดูไปรอบ ๆ ว่าไอ้พวกที่ไม่อยู่กับที่ก็มี บางทีเราก็ต้องทำพร้อมกันไป ทั้งชนิดที่อยู่กับที่และเคลื่อนที่ เพราะว่าเรามีสำนักงานที่จะทำการเผยแผ่ธรรมทูตอยู่กับที่ด้วย แล้วก็ส่งคนออกไปจาริกไปด้วย ยิ่งพิจารณาดูถึงความก้าวหน้าของโลกปัจจุบันนี้ เขาใช้เครื่องมือสื่อสารไปได้โดยที่คนไม่ต้องไป ไปโลกอื่นก็ยังได้ งานธรรมทูตมันคงจะเปลี่ยนแปลง ถึงกับว่าคนก็ไม่ต้องไปแต่มีผลมาก เดี๋ยวนี้ก็เห็นอยู่ว่าอย่างออกหนังสืออยู่เป็นประจำอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องเคลื่อนที่แต่คนไม่ต้องไป ก็ส่งวิทยุอยู่เป็นประจำมันก็เป็นเรื่องออกเคลื่อนที่โดยที่คนไม่ต้องไป สถานีของบางศาสนาเดี๋ยวนี้เขาก็มีส่งอยู่ตั้งครึ่งโลก คลุมพื้นที่ตั้งครึ่งโลก ไอ้เรามันทำถึงขนาดนั้นไม่ได้ ก็ขอให้ทำโดยเอาผลแท้จริงเป็นประมาณ เดี๋ยวนี้แม้ว่าจะเครื่องมือวิเศษอย่างที่ว่ายังไม่เกิดผลอะไรก็มี อย่างที่ว่าเดี๋ยวนี้คนไม่สนใจใยดีกับศาสนามากขึ้น ก็แปลว่าไอ้งานธรรมทูตนั้นมันไม่ประสบความสำเร็จนั่นเอง จนกระทั่งแม้ที่บางแห่งบางประเทศเขาให้เอาเรื่องของศาสนาออกไปเสียจากเรื่องการศึกษาทั่วไปในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยนี่ นั่นเห็นได้ว่าไอ้งานธรรมทูตมันไม่สำเร็จและยังถูกลิดรอนด้วย นี่เราพวกเรา ประเทศไทย โดยเฉพาะภิกษุในพุทธศาสนานี้ จะรู้สึกอย่างไร จะต้องทำอย่างไร อย่างที่พูดแล้วในวันแรกว่า เรามันทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เสียสละ อุทิศบูชา อย่างน้อยที่สุดก็ต่อพระศาสดา เพื่อให้งานธรรมทูตของเรามันมีรากฐานมากถึงขนาดนี้ เราจะเรียกว่าเราสนองพระคุณพระพุทธเจ้าก็ได้ในการดำเนินงานธรรมทูต หรือจะเรียกว่าเราเห็นแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยความเมตตากรุณาแก่มนุษย์เราก็ทำ มันก็ไปตรงกับพระพุทธประสงค์อยู่เอง จึงขอให้ทำเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ เป็นอันว่าเรามันต้องทำ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความเสียสละ ซื่อตรงต่ออุดมคติหมดทั้งเนื้อทั้งตัวแหละ อย่าต้องมีปัญหาอะไรเหลืออยู่ ขอให้นึกถึงไอ้วันแรกที่พูดว่า ไอ้งานธรรมทูตนั่นแหละ มันคือตัวการงานของภิกษุเรา เหมือนกับที่ว่าเป็นไอ้ตัวการงานสำหรับพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ผู้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะต้องทำต่อไป นอกจากไอ้งานธรรมทูตเพื่อเผยแผ่ นี่เรายังไม่เป็นพระอรหันต์แต่ก็มีเหตุผลที่จะทำการเผยแผ่อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วในวันแรก แล้วก็ไม่ขัดกันกับที่จะปฏิบัติเพื่อก้าวหน้าส่วนตัวพร้อม ๆ กันไป ถ้าว่าที่จริงไอ้การงานธรรมทูต ตัวการงานธรรมทูตมันก็เป็นการปฏิบัติธรรม เพราะว่ามันต้องทำด้วยความไม่เห็นแก่ตัว นั่นมันก็ทำลายกิเลสมากอยู่แล้ว ไม่เห็นแก่ตัว แล้วไม่ใช่เรื่องของคนโง่ ถ้าทำได้มันก็หมายความว่าต้องเป็นคนฉลาด ไอ้คนโง่มันทำไม่ได้ แล้วคนประมาททำอะไรหวัด ๆ ชุ่ย ๆ ทำอย่างชุ่ย ๆ ความคิดนึกชั่วขณะ ตามสบายอย่างนี้ ประมาทอย่างนี้ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
ดังนั้นเรามันจึงปฏิบัติธรรมะ เพื่อแก้ไขในภายในของเรา พร้อมกันไปกับงานธรรมทูต ขอให้จัด จัดให้มันเป็นอย่างนี้ คือว่าไม่เสีย แม้ในการปฏิบัติส่วนตน ถ้าสมมุติว่าต้องเดินทางไป เดินทางไกลไป ในขณะเดินทางไปมันก็มีการศึกษาปฏิบัติจากภายใน แม้ว่าพวกธรรมทูตไม่สะดวกที่จะเอาหนังสือหนังหาไป มันก็มี เนื้อตัวของตน ของตัวเป็นยังไง เริ่มศึกษาว่ามีกิเลสเท่าไร มีความเกียจคร้านเท่าไร มีความเสียสละเท่าไร มีอะไรเท่าไร ทำไปเรื่อย ๆ มันก็เจริญด้วยธรรมะ เรื่อย ๆ ไปเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้เราก็ได้จัดให้มันเป็นฤดู ตามฤดูกาล นี้ก็ถูกแล้ว เมื่อถึงฤดูกาลที่จัดไว้สำหรับงานธรรมทูต เราก็ทำกันเต็มที่ ฉะนั้นการที่มาแสวงหาวิธีการ งานธรรมทูตด้วยดีขึ้นนี้ก็นับว่าเป็นการถูกต้องแล้ว เพราะว่าถ้าเราทำถูกมันแม้จะทำน้อย มันก็ได้ผลมาก ทำไม่ถูกมันก็จะไม่ได้ผลเลย เราจะต้องทำอย่างเฉลียวฉลาด แล้วก็ไม่ประมาท แม้จะทำชั่วระยะเวลาเล็กน้อยมันก็ยังได้ผลมาก ขอให้จัดมันให้ดี คือให้มันมีหลักการที่ดี แล้วก็ทำไปตามหลักการอันนั้น ไอ้การที่มาขอคำแนะนำจากผมนี่ก็ได้เพียงเท่าที่สังเกตเห็นมา มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด คือไม่ได้รู้อะไรไปหมด ก็รู้เท่าที่ได้เคยขวนขวายมา เป็นเวลานานพอสมควร เมื่อมันสิ้นเรื่องที่เกี่ยวกับตำรับตำรา พระคัมภีร์อะไรแล้วมันก็ มันเหลือเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษา สังเกตเอาจากภายใน ดังนั้นผมก็มีบ้าง ไอ้เรื่องที่มันไปศึกษา ค้นคว้า สังเกตอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องในภายใน หาพบไม่ได้ในพระคัมภีร์ ในหนังสือ ไอ้เรื่องอย่างนี้ก็ยินดีที่จะเล่าให้ฟัง เอาไปใช้ประกอบกันกับเรื่องในพระคัมภีร์ แต่ว่าในพระคัมภีร์มันก็มีเรื่องวิชาการเสียเป็นส่วนมาก ไอ้วิธีการ ไอ้การ ธุรการ อันนี้มันไม่ค่อยมี มันจะต้องอาศัย ช่วยกันคิด ช่วยกันนึก ช่วยกันถ่ายทอดเกี่ยวกับวิธีการ
เมื่อเรามุ่งหมายจะทำจริง ให้ได้ผลจริง ไม่ใช่ทำหลอก ๆ ไม่ใช่ทำเอาหน้า ไม่ใช่ทำพอได้เขียนรายงาน มันก็ต้องทำให้สำเร็จจริง ๆ มันจะต้องไม่ประมาทกันก็ในตอนนี้ ดังนั้นเราจะต้องดูเอาเองว่าทำอย่างไรจึงจะสำเร็จประโยชน์ และเราก็ไม่ได้ทำในอาณัติของใคร ไม่ได้ทำในอาณัติของกระทรวง หรือของอะไร เราทำด้วยความสมัครใจ ด้วยความเสียสละ ด้วยความหวังผลดีอันแท้จริง เพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ หรือเรียกว่าตามหน้าที่ของมนุษย์ก็ได้ หรือว่าตามพระพุทธประสงค์ก็ได้ เรื่องมันก็ไปพบกันข้างหน้า คือทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่มนุษย์ก็แล้วกัน ผมคิดว่าดีตรงที่ว่าเกิดมาไม่ตายเปล่า ก็ได้ทำงานธรรมทูตเพิ่มขึ้นอีกแขนงหนึ่ง บางคนไม่ได้ทำ ไม่มีโอกาสจะทำ เกิดมาก็ตายเปล่า ไม่ได้ทำงานธรรมทูต ฉะนั้นเมื่อเราได้ทำงานธรรมทูต ก็เรียกว่าได้ทำอะไรเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ตายเปล่า ได้ทำอะไรมากกว่าธรรมดา ขอให้ความรู้สึกอย่างนี้ หรือจะเรียกว่าเหตุผลก็ตามใจ อย่างนี้มันแจ่มชัดอยู่ในใจของเราเสมอ เราจึงจะมีเรี่ยวแรงสำหรับทำ คือไม่ทำไปอย่างเหนื่อย ๆ ทำอย่างตามบุญตามกรรม ไม่ค่อยจะมีแรงทำ เพราะมันไม่มีสิ่งกระตุ้น การที่มองเห็นความจริงเหล่านี้ เหตุผลเหล่านี้ ซึ่งรวมทั้งพระพุทธประสงค์อะไรด้วย ทำให้ทำงานไม่รู้จักเหนื่อย เมื่อผมแรกทำงานเมื่อยังหนุ่ม ๆ อยู่ ทำงานวันละ ๑๘ ชั่วโมง ไม่รู้สึกเหนื่อยเพราะมันมีสิ่งเหล่านี้กระตุ้นกระตุ้นเตือนอยู่ มันจึงนั่งคิด นั่งเขียน นั่งค้นอะไรอยู่ได้วันละ ๑๘ ชั่วโมง ไม่น่าเชื่อ คือทำตลอดเวลา เหลือเวลานอนอยู่สัก ๔ ชั่วโมง
เอาละที่นี้เราก็จะลองพูดถึงแนวของการกระทำ ที่จะทำกันต่อไป ผมอยากจะระบุลงไปเป็นข้อแรก ว่างานธรรมทูต สิ่งแรกนี่ก็คือ การยกสถานะทางวิญญาณของยุวชน ยุวชนคือเด็ก ๆ อันนี้เรามาพูดกันถึงเรื่องที่เกี่ยวกับเด็ก ๆ พระธรรมทูตจะต้องรู้จักเด็ก ๆ ให้ดีนะ อาจจะรู้อย่างหวัด ๆ ชุ่ย ๆ เหมือนที่พูด ๆ กัน เด็ก ๆ นี่มันคืออะไร ผมมันมองเห็นว่าเด็ก ๆ นี่มันคือพระเจ้าผู้สร้างโลก เขาพูดกันอยู่ก่อน พูดแต่เพียงว่าเด็ก ๆ คืออนาคตของชาติ อนาคตของประเทศ มันน้อยไป ตามันมองแคบไป เมื่อพูดโดยส่วนบุคคล ไอ้เด็ก ๆ มันก็ผู้สืบมรดก ผู้สืบทายาท ผู้สืบสกุลของบิดามารดา เด็ก ๆ ก็เป็นได้เท่านั้น ถ้ามองในวงแคบเกี่ยวกับบุคคล แต่ถ้าเรามองด้วยจิตใจที่มันกว้างขวางตามแบบของพุทธบริษัท มันจะมองเห็นว่าไอ้เด็ก ๆ มันคือผู้สร้างโลกทีเดียว การที่มองเห็นว่าเด็ก ๆ คือผู้สืบสกุลนี้มันเป็นเรื่องแคบมาก เป็นเรื่องมีตัวตน เห็นแก่ตัวตน เห็นแก่วงศ์สกุล วงศ์สกุลของตน แล้วก็ช่วยอยากจะให้ลูกหลานมันช่วยสืบกันไว้ มันก็แคบเพราะความคิดเป็นไปในทางเห็นแก่ตน แต่ถ้าหากว่าเราจะคิดอย่างอิสระ อย่างกว้างขวางก็จะมองเห็นว่าเด็ก ๆ นี้มันไม่ใช่ว่าเพียงแต่จะตามหลังบิดามารดาสืบสกุลมาอย่างนี้ มันเป็นผู้ที่จะกระโดดไปข้างหน้าเพื่อจะสร้างโลกในอนาคต ผมว่าพระธรรมทูตทุกองค์ควรจะมองเห็นข้อนี้ จะพูดหรือไม่พูดก็ตามใจ มันก็ต้องพูดเมื่อควรพูด หรือมันจะใช้ให้เป็นประโยชน์ในเมื่อจำเป็นจะต้องใช้ เพราะโลกในอนาคตมันจะดีจะเลวยังไงมันก็แล้วแต่เด็ก ๆ ที่มันจะโตขึ้นมา โลกทั้งโลกนี้มันประกอบอยู่ด้วยคน ก็คือมนุษย์ ถ้ามนุษย์ดีโลกก็ดี มนุษย์เลวโลกก็เลว นี่คนเหล่านั้นมันก็ต้องเป็นเด็กมาก่อน และโตขึ้นเป็นคนในโลก ไอ้โลกก็เป็นไปตามคน จะดีหรือจะเลว ถ้าอย่างว่า สมมติว่าเราทำให้เด็กทุกคนในโลกปัจจุบันนี้เป็นเด็กดีหมด เด็กดีหมด แล้วโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะเด็กเหล่านี้โตขึ้นโตขึ้นเป็นคนในโลกเต็มไปทั้งโลก โลกนี้จะเป็นอย่างไร จะเป็นยิ่งกว่าโลกพระศรีอาริย์ เพราะมีการศึกษากว้างขวางดีกว่าสมัยโบราณ
เราพูดอย่างนี้พวกที่เขามีพระเจ้า ยึดถือพระเจ้าเป็นหลักเขาไม่ค่อยชอบ เพราะเขาจะให้พระเจ้าเป็นใหญ่อยู่เสมอ จะให้เด็ก ๆ มาเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกเสียอย่างนี้ เขาไม่ค่อยชอบ ไอ้เราก็ไม่ต้องไปขัดคอกัน แต่ถ้าถึงคราวที่จะต้องพูดเราก็พูด พอเราพูดออกไป เขาไม่มีทางค้าน ว่าไอ้เด็ก ๆ นี่คือพระเจ้าผู้สร้างโลกในอนาคต ถ้าทำให้เด็กมันดีได้เป็นเด็กที่ดีได้ โลกในอนาคตจะวิเศษที่สุด จะดีที่สุด จะมีสันติภาพยิ่งกว่าสันติภาพ มีความสะดวกสบายยิ่งกว่าสะดวกสบาย เพราะมันเจริญด้วยวิชาความรู้ อยู่กันด้วยความรักสามัคคี มันก็ดีแล้ว แล้วมันก็น่าหัวที่ว่า ศาสนาทุกศาสนาก็ต้องการอย่างนั้นแหละ ศาสนาพุทธก็ต้องการอย่างนั้น ศาสนาคริสต์ก็ต้องการอย่างนั้น ศาสนาอิสลามก็ต้องการโลกในลักษณะอย่างนั้นในอนาคตเหมือนกัน ไปดู ไปศึกษาดูความมุ่งหมาย จุดมุ่งหมายของศาสนาทั้งหลายก็เพื่อมนุษย์อยู่กันอย่างดีที่สุด สงบสุข สันติภาพที่สุด ทุกศาสนาเลย แต่แล้วมาทำไม ทำไมมันมองข้ามเสียว่าไอ้เด็ก ๆนี่คือผู้สร้างโลก ศาสนาจะต้องสนใจกับเด็ก สร้างเด็ก ๆ ให้สำเร็จแล้วโลกในอนาคตก็จะเป็นโลกตามที่เราปรารถนา
ดังนั้นเราชาวพุทธก็ต้องสนใจไอ้คำว่าเด็ก ๆหรือยุวชนให้มาก ฝ่ายคริสตังเขาก็สนใจมาก วางหลักเกณฑ์ไว้ในลักษณะที่จะมีประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าเขาถือว่าทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า ทุกคน มนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า ผู้ชายเป็นบุตรของพระเจ้าโดยตรง ผู้หญิงเป็นบุตรของบุตรมนุษย์ คือของพระเยซูใช่ไหม แต่ก็ไม่วายที่ว่าก็ล้วนแต่เป็นลูกของพระเจ้ากันทั้งนั้น ก็ไปอ่านรายงานการกิจกรรมเกี่ยวกับคณะสงฆ์ก็จะเห็นว่าเขายกเอาเรื่องเด็กนี่เป็นใหญ่ จัดกิจกรรมวันเรื่องเด็กเป็นพิเศษ แล้วก็เอาใจใส่กับเด็กเป็นพิเศษ ซึ่งพวกพระเรายังทำไม่ได้ อย่างนั้นนะ ยังหลับหูหลับตากันอยู่ก็ยังมี เมื่อพวกคริสตัง คริสเตียนเขาทำได้มาก ในกิจกรรมเกี่ยวกับเด็ก เขาสนใจกับเด็กมากกว่าเรา นี่เราเพิ่งจะมารู้จักโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์กันเมื่อไม่นานนี้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้กี่มากน้อย พวกนั้นเขาทำได้มากกว่า ผมอ่านไอ้รายงานกิจการของคณะ ของโรงเรียนอะไรอยู่เสมอ เห็นไอ้รายการที่เขาจัดกับเด็กมากกว่า ดีกว่า เก่งกว่า พวกลังกาเริ่มสนใจเรื่องเด็ก จัดโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์นี่มาหลายสิบปี ก่อน ๆ ๆ พวกเรา เราเพิ่งจะรู้จักจัดพุทธศาสนาวันอาทิตย์เมื่อไม่กี่ปีมานี้ เริ่มจับปัญหาเด็กขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้ ดังนั้นขอให้มองดูข้อนี้ที่มันยังล้าหลัง หละหลวมอะไรอยู่ เราจะทำให้ดีกว่าเขาได้ก็ยิ่งดี แต่ว่าอย่างน้อยอย่าทำให้มันเลว หรือมันล้าหลังเขามากเกินไป
พิธีกรรมเกี่ยวกับเด็ก ๆ เด็กคลอดออกมา แล้วก็ทำพิธีให้รับศีล ให้รับศีลมาเป็นระยะ ๆ รับศีลนั่น ศีลนี่ที่เขามีชื่อเรียกเฉพาะ จนกระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ยังมีรับศีล จนแต่งงานก็เรียกว่าเป็นการรับศีลชนิดหนึ่ง การแต่งงานมาปฏิญาณเพื่อจะอย่างนั้น เพื่อจะอย่างนี้ ก็เหมือนกับรับศีลสมรส คู่สมรสเหมือนกับรับศีล ในการแต่งงานในโบสถ์ ก็ยังจะมีรับศีลอะไรเรื่อย ๆ จนกว่าจะตายจะเข้าโลงก็ยังรับศีลสุดท้าย ศีลสำหรับเข้าโลง ก็จริงกว่า เด็ก ๆ ได้รับการชี้ชวน ชักจูงมากจนปลอดภัย แต่เดี๋ยวนี้มันก็ค่อย ๆ เสื่อมไป ค่อย ๆ โรยรา ไม่ ไม่เคร่งครัดเต็มที่เหมือนกับยุคที่แล้วมา มันก็ประสบปัญหาเดียวกันหมด ทั้ง ๆ ทุก ๆ ศาสนาประสบปัญหาเดียวกันหมด คือว่าไอ้โลกมันก้าวหน้าทางวัตถุ ไอ้คนมันก็ไปยุ่งแต่กับเรื่องวัตถุ จนไม่มีค่อยเวลาจะมาสนใจกับธรรมะ กับศาสนา กับวัดวา กับโบสถ์ ก็เสื่อมลงด้วยกัน แต่ว่าเรายังมีกำลัง มีเวลาพอที่จะปรับปรุงแก้ไข ฉะนั้นก็ขอให้ไปคิดไปนึกกันให้เต็มที่ วางระเบียบอบรมเด็กยุวชนให้สำเร็จประโยชน์ ที่แล้วมาถ้าใครเขาจะพูดว่า นี่ทำพอให้ได้เขียนรายงาน ถ้าเขาว่าอย่างนี้ก็อย่าโกรธเขาเลย แต่เราจะไปทำข้างหน้าในอนาคตให้มันดีกว่านั้น ไม่ใช่ว่าทำเพียงสักว่าเพื่อเขียนรายงาน
ไปเผยแผ่ธรรมทูต เผยแผ่ธรรมะ แก่บิดามารดาของเด็ก รบเร้าจนให้บิดามารดาของเด็กรู้จักความเป็นบิดามารดา รู้จักความเป็นเด็ก รู้จักความสำคัญของเด็ก ถึงขนาดที่ว่าเด็กมันจะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต แม้ว่าเดี๋ยวนี้จะเป็นผู้สืบสกุลของบิดามารดา ถ้าไม่ได้รับการอบรมที่ดีมันก็สืบไม่ได้นะ มันสืบไม่ได้ มันเห็น ๆ อยู่ คอยจะจับบิดามารดาใส่ในนรกกันเสียหมด ไม่เห็นเหรอ บุตรที่เลวทราม หลอกลวงบิดามารดา ขายไร่ ขายนา ขายบ้าน ขายช่อง ส่งไปให้เล่าเรียน แล้วมันก็ไปเหลวไหลหมด นี่แหละเด็กที่เขาจับบิดามารดาใส่นรก มันก็ยังมีอยู่ มันก็จะไปโทษใคร มันก็โทษบิดามารดาที่จัดการมาไม่ถูกตั้งแต่ต้น ดังนั้นเราไปเผยแผ่สัจธรรมให้บิดามารดารู้จักตัวเอง ให้บิดามารดารู้จักบุตร รู้จักสิ่งที่เรียกว่าบุตรนั้นให้ถูกต้อง ให้บิดามารดาเอาใจใส่ในการที่จะมีบุตรที่ดีมาตั้งแต่ต้นเลย จนถึงวาระสุดท้ายแหละ จนเป็นเด็กที่ดี ไปสร้างโลกที่ดีในอนาคตได้ ดังนั้นอะไรที่มันมีประโยชน์เกี่ยวกับการอบรมบุตรให้ดีนี่ จะต้องค้นคว้าเอามาให้หมด
เรื่องราวมีอยู่ในบาลี ในอรรถกถา ในพระคัมภีร์ ก็มีเค้าเงื่อนพอให้เห็นได้อยู่ เช่นพอมารดาตั้งครรภ์ เขาก็มีพิธีเชิญพระ ว่าพระในศาสนานั้น ๆ ในศาสนาที่ตัวถืออยู่มาทำพิธีที่เรียกว่า(นาทีที่ 30.31) คัพพะปะริหาร คัพพะปะริหารัง ไง ไอ้นักเรียนบาลี ธรรมบทเรามักจะเข้าใจว่า ให้สิ่งของ เกื้อกูลแก่บิดามารดา แก่เด็กในครรภ์ ให้กินอาหารดี ให้อะไรดี แต่ผมถามพวกอินเดียไอ้ คัพพะปริหาร นี่เขาทำพิธีทางจิตใจ เป็นเรื่องทางจิตใจด้วย ให้บิดามารดา โดยเฉพาะมารดามีจิตใจดี เริ่มมีจิตใจดีตั้งแต่ลูกตั้งครรภ์ เขาจะต้องสมาทานนั่นนี่ตามระเบียบของหญิงมีครรภ์ ไม่ผิดทั้งทางกาย ทั้งทางจิต เพื่อให้เป็นมารดาที่ดี ลูกในครรภ์มันจะได้ดี บริหารครรภ์กันมาโดยวิธีนี้จนกว่ามันจะคลอด พอคลอดก็ทำพิธีกันอีก ไม่ใช่ไสยศาสตร์งมงาย มันเป็นเรื่องทางจิตใจ เป็นวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำไป คล้าย ๆ กับว่าเตรียมพร้อมกันเลย ทั้งตัวมารดาก็ดี คนในครอบครัวทุกคนก็ดี เขาก็ยังรู้จักทำให้เด็ก ๆ นั้นได้รับการแวดล้อมที่ดี ตั้งแต่พอลืมตาขึ้นมาดูโลก แต่เพื่อให้มันศักดิ์สิทธิ์ ให้มันจริงจังเขาถึงทำเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ พิธีทางศาสนา ก็ไม่เห็นเสียหายอะไร ถ้ามันได้ผลทางจิตใจแก่มารดา เป็นมารดาที่ดี เป็นมารดาที่ตั้งอยู่ในธรรมมาตั้งแต่แรกตั้งครรภ์ มันก็ต้องผิดกันจากบิดามารดาที่จะกินเหล้าตั้งแต่แรกตั้งครรภ์จนกว่าคลอดลูกก็ยังจะกินเหล้าอยู่ มันก็ต้องต่างกันแหละ ดังนั้นถ้ามารดาก็ได้รับการบริหารถูกต้องที่สุดในระหว่างที่เด็กอยู่ในครรภ์โดยมีจิตใจดี ไอ้ลูกนั้นมันต้องดีแน่แหละ มันเป็นปัจจัยเดี๋ยวนี้แหละไม่ใช่ว่ากรรมเก่าอะไร เป็นปัจจัยเดี๋ยวนี้ ไอ้ธรรมเนียมเก่าเขาก็ดีอยู่ แต่มันก็เลิก ๆ กันเสียหมด ธรรมเนียมใหม่นี้ก็ไม่ค่อยสนใจ มักมากในกามารมณ์อยู่จนกระทั่งคลอด ลูกมันก็ดีไม่ได้ บางทีพิการมาแต่ในครรภ์ เพราะมารดามันมักมากในกามารมณ์จนกระทั่งคลอด ไอ้ลูกมันก็พิการมาตั้งแต่ในครรภ์อย่างนี้เป็นต้น ช่วยไปชี้แจงแนะนำอะไรให้เข้าใจกันเสียใหม่เถอะ ในฐานะที่เป็นธรรมทูต โปรดมาตั้งแต่ในครรภ์เลย เดี๋ยวนี้ถ้าจะเหลืออยู่บ้างมันเป็นเรื่องไสยศาสตร์ล้วน ๆ ไปหมด ที่จริงเขาไม่ได้จะเป็นไสยศาสตร์หรอก เขาเป็นเรื่องเหมือนกับวิทยาศาสตร์ที่จะแวดล้อมคนให้ดี แต่เพื่อให้มันขลัง ให้มันศักดิ์สิทธิ์ ให้มันทำกันจริงจังถึงทำไปในรูปแบบขลังและศักดิ์สิทธิ์ จนดูเป็นไสยศาสตร์
คริสตังเขามีแม่ที่มาแปลเป็นภาษาไทยว่าแม่ทูนหัว พ่อทูนหัวอีกชุดหนึ่งต่างหาก คือว่าไอ้แม่จริงพ่อจริงมันก็มีอยู่คู่หนึ่งแล้วนะ เขายังจัดหาไอ้พ่อทูนหัวแม่ทูนหัว มันมีความหมายเหมือนกับทางจิตทางวิญญาณ ไอ้พ่อแม่คู่นี้จะต้องดูแลเด็กคลอดใหม่นี้ในด้านจิต ด้านวิญญาณ เหมือนกับจะรับผิดชอบมันจะมีความถูกต้องด้านจิตด้านวิญญาณ เผื่อว่าไอ้พ่อแม่โดยตรงนั้นมันเป็นชาวนาที่โง่เขลา มันเป็นชาวตลาดที่โง่เขลา เห็นแต่เรื่องวัตถุ มันทำไม่เป็นในเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงแต่งตั้งให้มีพ่อแม่ด้านจิตด้านวิญญาณพึงสำรองไว้อีกสักคู่หนึ่ง เรียกว่า พ่อทูนหัว แม่ทูนหัวอย่างนี้ ก็เป็นหน้าที่ของไอ้แม่ทูนหัว พ่อทูนหัวที่จะช่วยดูแลเด็กนั้นให้ดีในด้านจิตใจ มันก็เหมือนกับพระนั่นแหละ เหมือนกับเอาพระเข้าไปควบคุม ให้มีความถูกต้องในด้านจิต ด้านวิญญาณ มาตั้งแต่แรก ๆ เด็กก็โตขึ้นมาในท่ามกลางพ่อแม่ทางเนื้อหนังนี่ก็ว่ากันไปเลี้ยงดู ทำไปตามทางฝ่ายเนื้อหนัง ฝ่ายวัตถุ พ่อแม่ด้านจิต ด้านวิญญาณ เขาก็จะคอยดูแลชักจูงให้มันถูกต้องด้านจิตด้านวิญญาณ เด็กนั้นจะเป็นยังไงคิดดู มันจะเป็นเด็กที่ดีสักกี่มากน้อย มันจะเป็นเด็กที่ประกอบไปด้วยธรรมะตั้งแต่เล็กนะ คือถูกต้องมาตั้งแต่เล็กแล้วเราจะโตขึ้น บางทีต้องรับผิดชอบกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ไปอยู่วัด ไปมอบให้วัด ให้พระเจ้า พระสงฆ์ หรือจะถือจนตายก็ได้ ผู้ที่เคยเป็นแม่ทางจิตทางวิญญาณเมื่อเล็ก ๆ จะนับถือเคารพกันไปจนตายก็ได้ เพราะเขาจะต้องเลือกเอาไอ้คนที่ดี ที่สามารถมาเป็นแม่ทางฝ่ายนี้ และเด็กคนนั้นก็จะเคารพพ่อทูนหัว แม่ทูนหัวนี้ไปจนกระทั่งตาย มันก็ยิ่งดีใหญ่ มันก็ทำผิดยาก เขาให้รับศีลด้วยความเข้าใจอย่างถูกต้องว่ารับศีลนั่นนะ รับศีลนี่นะ รับศีล เพื่อเด็กมันดีขึ้น โตขึ้น โตขึ้น โตขึ้น ดังนั้นแล้วถ้าเราจะนึกถึงข้อนี้ แล้วก็ชี้แจงสั่งสอนให้บิดามารดาชาวพุทธของเรารู้จักอบรมเด็กอย่างนี้กันบ้าง เพราะมันอยู่ในครรภ์ ยังอยู่ในครรภ์ เราก็ช่วยอะไรไม่ได้เป็นพระ เพราะที่ทางบ้าน ทางพ่อทางแม่ก็ต้องช่วยให้เด็กคลอดมาเล็ก ๆ เราก็ช่วยอะไรไม่ได้ ที่บ้านเขาก็ต้องช่วย จนกว่าเด็ก ๆ มันจะเกี่ยวข้องกับวัดกับพระได้ มันเป็นระยะยาวอยู่เหมือนกัน ไอ้ระยะนั้นถ้าทำถูกต้องมันจะมีผลดีที่สุด คือมันจะมีเด็กดี เป็นเด็กดี เด็กว่านอนสอนง่าย เป็นเด็กที่ซื่อตรง เป็นเด็กที่กลัวบาป รักบุญมาตั้งแต่เล็ก ไม่มีทางที่จะจับพ่อแม่ใส่นรก เหมือนเด็กที่อบรมกันมาผิด ๆ
นี่ผมเห็นว่าไอ้งานธรรมทูตของเรา ลองย้อนกลับไปตั้งต้นกันใหม่มาตั้งแต่จุดนี้จะดีไหม คือว่าจะอบรมยุวชน จะช่วยเหลือยุวชนให้เป็นยุวชนที่ดีในอนาคต โดยยื่นมือเข้าไปจัดการตั้งแต่เล็ก ๆ เท่าที่จะทำได้ ในสิ่งที่เราจัดการเองไม่ได้ เราก็ต้องไปสอนพ่อแม่ของเขาให้ลืมหูลืมตา ฉะนั้นที่เราต้องไปอบรมพ่อแม่ของเด็ก คนที่เป็นพ่อแม่ของเด็กให้มันรู้ ว่าเป็นพ่อแม่นี้คืออย่างไร แล้วเป็นบุตรนั้นคืออย่างไร ให้เขาเกิดบุตรมาเป็นบุตร เตรียมบุตรสำหรับเป็นบุตร สำหรับจะได้รับประโยชน์ที่สุดในการที่มีบุตร อุดมคติธรรมดาสามัญก็ว่ามันจะสืบสกุล มันก็ต้องดี มันถึงจะสืบได้ ถ้ามันไม่ดีมันก็ทำลายสกุลเสียในเวลาอันสั้น สืบสกุลนี้ก็ขอให้เป็นทั้ง ๆ ทางฝ่ายร่างกาย และฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณด้วย คือสืบฐานะของวงศ์สกุลให้พอดูได้ เหมือนกับที่พ่อแม่เคยทำมาแล้ว เรียกว่าสืบสกุลไอ้ทางฝ่ายกาย ฝ่ายวัตถุ ฝ่ายเนื้อหนังก็สืบให้ได้ ให้ได้จริง เดี๋ยวนี้มัน แม้แต่อย่างนี้มันก็ยังสืบไม่ได้เลย มันทำลายวงศ์สกุลวินาศไปในเวลาอันสั้นหลังจากพ่อแม่ตาย นามสกุลนี้ก็ต้องสืบได้ ต้องปึกแผ่นมั่นคงยิ่งกว่าพ่อแม่ แล้วก็สืบในทางจิตทางวิญญาณคือเพื่อให้มันมีความดี ความงาม ความอะไรที่เป็นเรื่องจิตวิญญาณด้วย ผมใช้คำว่า สืบต่อการเดินทางเพื่อความหลุดพ้น ไปนิพพาน ไปเป็นพระอรหันต์ เมื่อพ่อกับแม่มันไม่สามารถจะทำมันได้แล้ว มันตายด้านแค่นี้เอง ก็ขอให้ลูกนี่สืบต่อ เดินทางต่อไปจนถึงกับว่าบรรลุความเป็นพระอรหันต์ บรรลุธรรมะสูงสุด เพื่อว่ามนุษย์ไม่ตายด้าน มนุษย์จะเดินไปได้จนถึงความเป็นพระอรหันต์ มันก็เรียกว่าสืบเหมือนกัน สืบสกุลสืบอะไรพวกนี้ แต่เป็นเรื่องฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ แต่ว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคล มันยังไม่แก้ปัญหาของโลกได้ ฉะนั้นก็ให้เด็กนี้เป็นผู้สร้างโลกที่ประเสริฐที่สุดด้วยประการทั้งปวงขึ้นมา ในอนาคตอันใกล้นี้ เด็กทุกคนดียังไง ถ้าว่าการศึกษาอบรมสั่งสอนเป็นไปอย่างถูกต้อง เด็กทุกคนดี พอโตเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ให้จัดการบ้านเรือนในโลกนี้ โลกนี้ก็เป็นโลกที่ดี ที่สุดนะก็เต็มไปด้วยคนดี เป็นสัตบุรุษทั้งนั้น ยึดหลักเศรษฐกิจของพุทธบริษัทว่า เราผลิตมาก ผลิตมาก ได้ผลมาก แล้วกินแต่น้อย เหลือเอาไปทำประโยชน์ผู้อื่น นี่ธรรมะที่จะคุ้มครองโลกได้โดยแท้จริง เมื่อธรรมะอย่างนี้มันมีอยู่ในโลก มันก็เกิดลัทธินายทุน หรืออะไรขึ้นมาไม่ได้ ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็เกิดไม่ได้ ลัทธิคอมมิวนิสต์มันเกิดเพราะมันมีลัทธินายทุนเกิดขึ้นก่อน นี่ถ้าว่าทุกคนมันผลิตมาก กินแต่น้อย เหลือมากไปช่วยผู้อื่นอยู่ทั่วไป เหมือนกับหลักพุทธศาสนาในครั้งพุทธกาลอย่างนี้ พวกเศรษฐีทั้งหลายก็จะผลิตมาก มีข้าทาสบริวารอะไรก็เพื่อช่วยกันผลิต ผลิตมากไว้ใช้แต่น้อย ที่เหลือก็เอาไปช่วยมนุษย์โดยผ่านทางพระศาสนา ช่วยโลกมนุษย์โดยผ่านทางพระศาสนามันมีกำไรหลายต่อ มากกว่าที่จะเอาเงินเอาของนั้นไปแจก ๆ ๆ มันได้ผลมากกว่า คือเอาไปทำให้ศาสนามีอยู่สำหรับเป็นแสงสว่างนำทางคนตลอดไปนี่มันก็เป็นการช่วยโลกที่มากกว่าที่ว่าจะเอาของไปแจก
ไอ้ลัทธิอย่างนี้ยังพอกู่ได้ยิน หมายความว่ายังพอกู่ได้ยิน แม้ในประเทศเรานี่แหละ เมื่อสักสองสามร้อยปี สองร้อยปีได้มันยังได้ยินอยู่ ยังได้ยินข่าวไอ้คนชนิดนี้อยู่ ทำนาทำไร่มากได้มาก แล้วก็ใช้กินใช้อย่างประหยัด เหลือทำบุญทำทานทั้งนั้น สร้างวัดสร้างวา หรือทำบุญทำทานอะไรก็ตาม นี่มันยังแว่ว ๆ อยู่ ยังได้ยินอยู่ นี่เรียกว่ากู่ได้ยินอยู่ มันเพิ่งมาหมดเมื่อโลกมันเปลี่ยนมาเป็นไอ้ยุควัตถุนิยมนี้ เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้ว ผลิตให้มาก กินแต่น้อย เหลือไว้ให้ผู้อื่นนี้มันไม่มี เดี๋ยวนี้เขาก็ผลิตให้มาก ได้กำไรมาก มาเพิ่มทุนให้มาก ผลิตให้มากจนผูกขาดเสียคนเดียวหมด ทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งโลกต้องการอย่างนี้ นี่ลัทธินายทุนเกิดขึ้นทำให้คนพวกหนึ่งร้อน ร้อนจนต่อสู้จนเกิดลัทธิคอมมิวนิสต์อะไรขึ้นมา ถ้าทุกคนถือธรรมะอย่างที่ว่า ไม่มีโอกาสที่จะเกิดลัทธินายทุนขึ้นมาในโลก แล้วคอมมิวนิสต์ก็ไม่ต้องเกิดในโลก มันเกิดไม่ได้ ดังนั้นเราบอกให้คนทุกคนรู้ว่าไอ้โลกนี้มันเป็นอย่างไร มนุษย์โลกในโลกนี้มันเป็นอย่างไร แล้วมันจะเป็นอย่างไร แล้วมันเคยเป็นมาอย่างไร เราจะต้องช่วยกันทำอย่างไรจึงจะปลอดภัย เพราะว่านี่คือธรรมทูตที่แท้จริง ธรรมทูตที่จะมาโปรดมนุษย์ ตั้งแต่จุดตั้งต้น จุดตั้งต้นเหมือนกับว่าตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนสามารถสร้างโลกพระศรีอาริยเมตไตรยได้ในที่สุด
งานธรรมทูตควรจะมีเป้าหมายจะโปรดยุวชนให้รอด ทีนี้ไอ้การโปรดยุวชนให้ดีนั้นต้องตั้งต้นมาตั้งแต่ในท้องแม่ เมื่อมันปฏิสนธิเป็นคนอยู่ในท้องแม่ มันก็จัดให้มีการประพฤติกระทำอย่างถูกต้องโดยสอนพ่อสอนแม่ของมันนั้นแหละ ให้รู้จักบริหารครรภ์ สำหรับลูกในครรภ์มันจะเป็นบุตรที่ดี แล้วออกมาเป็นบุตรที่ดี ธรรมเนียมในอินเดียเขาก็มีอยู่อย่างนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าบริหารครรภ์ บริหารครรภ์ของพระพุทธมารดานี่มันมีหลักเกณฑ์อย่างนี้ มันดีมาตั้งแต่ในครรภ์ ได้รับการแวดล้อมดีมาตั้งแต่ในครรภ์ ฉะนั้นเด็กนั้นก็ไม่พิการ ไม่เกิดมาพิการเหมือนเด็กเดี๋ยวนี้ ที่มักมากในกามกันจนกระทั่งคลอด เป็นปัญญาอ่อนบ้าง พิการอย่างนั้น พิการอย่างโน้น เพราะมันไม่มีธรรมะกันในระหว่างที่มันอยู่ในครรภ์ ฉะนั้นไปสร้างหลักสูตร โครงสร้างอบรมผู้หญิงมีครรภ์ให้รู้จักบริหารครรภ์ พอเด็กเกิดมาก็แทรกแซงเข้าไปเป็นพ่อทูนหัว แม่ทูนหัวอย่างนี้ ที่คนที่มันดี แม้พระเราก็ได้ เข้าไปแทรกแซงในวงศ์สกุลที่เป็นกันเอง ให้มันเกิดความถูกต้องแก่เด็กเล็ก ๆ เด็กทารกนั้นเรื่อย ๆ มา เรื่อย ๆ มา เรื่อย ๆ มา ทำหน้าที่เหมือนกับว่าพ่อทูนหัว แม่ทูนหัว อย่างคริสตัง อย่าให้เด็กทำผิดได้ จนจบชั้นอนุบาล ชั้นประถม ชั้นมัธยม รอดตัวไปได้ หรือว่าจะมาบวชเป็นพระเป็นเณรกันก็ได้ ให้มันถูกต้อง สำเร็จประโยชน์ อย่าให้มันเหลวไหล บวชก็เหมือนกับไม่บวชใช่สิ บวชพระก็ดีบวชเณรก็ดี มันล้มเหลวมันก็ไม่ค่อยได้บวช เป็นอันธพาลต้องบวช สึกออกไปก็เป็นอันธพาลทันทีก็อย่างนี้ นี่การอบรมเบื้องต้นขั้นรากฐานนะมันไม่พอ ดังนั้นถ้ามีโอกาสออกไปอบรมประชาชน ผมอยากจะให้พูดเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก อบรมประชาชนบิดามารดาให้รู้ว่าลูกนี่มันคืออะไร จะต้องจัดต้องทำกันมาอย่างไรมันจึงจะเป็นลูกที่ออกมาสำหรับโปรดบิดามารดา จนได้บวชได้เรียน โปรดบิดามารดา ยกบิดามารดาขึ้นมาจากนรกเสีย เมื่อมันยังไม่คลอดออกมาก็อบรมพ่อแม่มัน พอมันคลอดออกมาก็อบรมพร้อมกันไปทั้งพ่อทั้งแม่ แล้วทั้งเด็ก เมื่อมันโตขึ้นก็ได้รับ ก็ได้รับการอบรมเฉพาะยิ่งขึ้นไปอีก จนเป็นหนุ่มสาวที่ดี เป็นผัวเมียที่ดี เป็นครอบครัวที่ดี โดยส่วนตัวก็ดี คือมีธรรมะส่วนตัวอยู่เป็นสุขสงบเย็น โดยสังคมทั้งหมดทั้งหมู่ก็ดีเพราะว่ามันเป็นสังคมของสัตบุรุษ อยู่กันอย่างสัตบุรุษ เหมือนกับว่ามนุษย์สมัยในโลกพระศรีอาริยเมตไตรย
อบรมอย่างอื่นเห็นเป็นเรื่องเด็กเล่นหมด ผมว่านะ ผมรู้สึกว่านะ อบรมนี่คือว่าเป็นเนื้อหาสาระ เป็นแก่น เป็นหลัก ให้เป็นมนุษย์ที่ดีมาตั้งแต่ในครรภ์ แล้วก็โตขึ้นเป็นมนุษย์ที่ดีจนตาย แล้วเป็นผู้สร้างโลกใหม่ ไอ้คนไม่ดีก็ค่อยตายหมดไป เหลือแต่เด็กที่เราสร้างขึ้นมาดีอยู่แทน เต็มไปทั้งโลก ก็เป็นโลกใหม่ โลกที่สวยสดงดงามที่สุด สันติสุขที่สุด สันติภาพที่สุด งานธรรมทูตมีความหมายก็เหมือนกับสร้างโลกใหม่ เป็นสื่อธรรมทูตหมายความว่าเป็นผู้เอาธรรมะมาให้ เป็นสื่อให้ธรรมะถึงกันเข้ากับคน ให้คนถึงกันเข้ากับธรรมะ หรือว่ามันถึงกันเข้ากับพระเป็นเจ้า ถ้าคนถึงธรรมะมันก็ถึงพระเป็นเจ้า คือสิ่งสูงสุด คือนิพพาน มีธรรมะพอถูกต้องจริง คนก็ถึงกันเข้ากับพระนิพพาน เรียกอย่างเราเรียก จุดหมายปลายทางคือนิพพาน พวกโน้นก็ถึงพระเจ้าแต่ความหมายมันอยู่ว่า ถึงโลกของพระเจ้า ได้ไปอยู่ในโลกของพระเจ้า ก็หมายความว่ามันมีความสุขสงบถึงที่สุดเหมือนกับเราเข้าถึงพระนิพพานด้วยเหมือนกัน นี่เราจะพูดชนิดที่จะช่วยกันทำโลกให้สงบสุข อย่าให้เกิดเกลียดชังกันขึ้นในระหว่างศาสนา ที่แล้วมาแต่หนหลังมันทำผิด มันมีความเกลียดชังระหว่างศาสนา คิดทำลายล้างซึ่งกันและกันใต้ดินบนดิน เดี๋ยวนี้มันควรจะมองเห็นแล้วไม่ควรจะทำอย่างนั้น ทุกศาสนาควรจะร่วมมือกัน สร้างสันติภาพให้มนุษย์ทุกคนในโลก โดยถือว่าทุกคนเป็นลูกของพระเจ้าร่วมกันหมด เขาใช้คำว่าพระเจ้า เราก็ใช้คำว่าพระธรรม ทุกคนเป็นลูกของพระธรรม ออกจากธรรม พระธรรม โดยอำนาจของพระธรรม สมกับที่มันเป็นลูกของพระธรรม หรือเป็นลูกของพระเจ้า คือมันจะไม่กัดกันอีกต่อไป เดี๋ยวนี้มันในโลกมันมีแต่การกัดกันอยู่ และจะกัดกันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด คุณอ่านหนังสือพิมพ์ดู ตรงนั้นก็กัดกันตรงนี้ก็กัดกัน ตรงโน้นก็กัดกัน กลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่กลุ่มน้อยกลุ่มมันก็มีแต่เรื่องกัดกัน มันก็ไม่ใช่ลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ลูกของพระธรรม
เราก็มีพระพุทธเจ้านี่เป็นประธานของธรรมทูต คือเป็นสื่อให้มนุษย์ถึงธรรมะ ท่านมีสาวกทั้งหลายเป็นผู้ช่วย เราทั้งหลายเป็นผู้ช่วยพระพุทธเจ้าในงานธรรมทูต ก็เหมือนได้กล่าวแล้ว ครั้งแรก วันแรก ก็ให้มันสำเร็จจริงตามนั้น ทำคนให้ถึงธรรม หรือให้ถึงพระนิพพาน หรือจะพูดอย่างพวกฝ่ายโน้นพูดก็ว่า ทำคนให้ถึงพระเจ้า ให้ถึงเมืองของพระเจ้า ถึงอาณาจักรของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ก็ได้ผลเท่ากันเขาจะใช้คำว่าพระเจ้าก็ได้ เราใช้คำว่าพระธรรม มันก็เหมือนกัน ฉะนั้น เตรียมตัวสำหรับจะทำความเข้าใจกันดีกว่า ไม่ว่าศาสนาไหนหมด ไอ้สิ่งที่จะทำให้เกลียดชังขัดกันอย่าเอามาพูด ที่จริงมันก็ไม่ค่อยมี แต่ถ้าต้องการจะพูดมันก็มี มันก็มีแง่ที่จะพูด เช่นจะพูดว่าพระเยซูเป็นลูกคนไม่มีพ่ออย่างนี้นะ เป็นลูกคนชั่วอย่างนี้เขาก็พูดได้ ข้อความก็มีให้พูด แต่เรื่องอย่างนี้มันไม่ต้องพูด มันไม่มีประโยชน์อะไร ไม่จำเป็นจะต้องพูด พูดแล้วมันก็ยกพระพุทธเจ้าเป็นลูกกษัตริย์ เป็นอะไรไปทำนองนั้น มันก็เกลียดชังเท่านั้น ถ้าใครถามปัญหาอย่างนี้ คุณก็บอกว่าไม่ใช่ตัวเรื่องโว้ย ไอ้ตัวเรื่องมันมีว่าพระเยซูสอนอย่างไร พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร นี่แหละเรียกว่าถึงกันเอง สอนเหมือนกันที่ให้เกิดสันติภาพในโลก ส่วนที่เป็นลูกใคร เกิดตรงไหน ในลักษณะอย่างไร อย่าเอามาพูดมันไม่มีประโยชน์ มันไม่ใช่ตัวเรื่อง เพราะว่าเขาเกิดขึ้นมาแล้ว เขาสอนอย่างไร นั่นแหละคือตัวเรื่อง ยิ่งพระมูฮัมหมัดด้วยก็ยิ่งมีปมด้อยเรื่องนี้มาก อย่าพูด อย่าเอามาพูด พูดแต่ว่าท่านสอนอย่างไร มีทางที่จะปรับให้เข้ากันได้อย่างไร แล้วจะช่วยมนุษย์ได้อย่างไรนี่ ผมก็จะพูดสักครั้งหนึ่งนะไอ้เรื่องนี้นะ วันนี้พูดเรื่องเด็ก งานธรรมทูตตั้งต้นที่เรื่องเด็ก ขอให้ตั้งต้นให้สำเร็จ
ไอ้การทำความเข้าใจระหว่างศาสนาให้สัมพันธ์กลมเกลียวกันนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องรู้นะ เป็นเรื่องที่พระธรรมทูตจะต้องรู้ และก็ต้องทำได้ด้วย แต่เดี๋ยวนี้อยากจะพูดไอ้เรื่องสำคัญที่สุดก่อนก็คือว่า ช่วยเด็กให้รอดก่อนเถอะ เพราะเด็กมันคือผู้สร้างโลกในอนาคต ถ้าเด็กทุกคนของเราดี บ้านนี้เมืองนี้ก็ดี ประเทศนี้ก็ดี โลกนี้ก็ดี โลกมันประกอบขึ้นด้วยคนทุกคนในโลก ดังนั้นโครงการธรรมทูตก็คือช่วยทุกคนในโลกให้เป็นคนดี สมกับคำว่า เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เกิดมาเป็นแต่เพียงคนแล้วก็พอ เป็นคนยังไม่ใช่มนุษย์ ต้องมีคุณธรรมสูงพอจึงจะเป็นมนุษย์ ผู้บวชต้องยืนยันตัวเองว่าเป็นมนุษย์ และเป็นบุรุษ เป็นผู้ชาย ต้องมีคุณธรรมแห่งมนุษย์ มีคุณธรรมแห่งมนุษย์ผู้ชายจึงจะบวชได้ อย่างน้อยก็สองพันปีมาแล้ว เขารู้จักแยกความหมายอันนี้นะ ก็เลยอ่านพบเรื่องทำนองนิยายแต่มันเป็นเรื่องที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ ประวัติเขาว่าให้ไอ้คนที่เป็นนักปราชญ์เอกสองพันปีมาแล้วในประเทศกรีก โสเครติสมันเที่ยวจุดไฟส่องตามถนนเหมือนกับหาอะไรอย่างนั้นแหละ พอชาวบ้านถามว่าจุดไฟส่องหาอะไรอาจารย์ เขาก็บอกว่าหาคน เอ้ย,หาคน คำแปลนี้มันแปลไม่ถูก เพราะว่าไอ้คำว่าคนกับคำว่ามนุษย์มันกำกวมกัน มันก็ควรจะแปลว่าหามนุษย์ ถ้าจะพูดกันแล้วก็จะต้องนึกถึงคำว่า Human being Human being นี่มนุษย์ ถ้า Sentient Being คือคนหรือสัตว์ทั่ว ๆ ไป สักว่าเกิดมาก็เป็นคน เป็น Sentient Being แต่ถ้าเป็น Human being แล้วมันต้องเป็นมนุษย์ นี่คุณสมบัติอย่างมนุษย์ ที่ไอ้หนังสือมันไม่ตายตัว เขาก็แปลว่าเที่ยวหาคนโว้ย นี่ประชาชนก็ถามว่าแล้วพวกฉันทั้งหลายนี่ไม่ใช่คนเหรอ อาจารย์คนนั้นก็ตอบว่ายังไม่ใช่คนตามที่ฉันต้องการ หรือว่าต้องการคนที่ประกอบไปด้วยคุณสมบัติพอที่จะเรียกว่า Human being ถือเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สักว่าเกิดมา เหมือนกับที่ในฝ่ายเราต้องการให้คนที่เป็นมนุษย์ และเป็นมนุษย์บุรุษอยากจึงจะได้บวช ทำไมต้องถามว่าเป็นมนุษย์ล่ะ เพราะมันมีความหมายพิเศษกว่าคำว่าคนตามธรรมดา
เมื่อเราไปพูดจากันอบรมสั่งสอนกัน เราก็เตือนเขาไว้ว่าไอ้เป็นคนยังไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงคนยังไม่ใช่มนุษย์ ผมเคยพูดวิทยุไปครั้งหนึ่งแล้วโดยหัวข้อ เป็นแต่เพียงคนยังมิใช่มนุษย์ เราก็มีหลักคำพูดที่จะพูดสอนว่าเป็นมนุษย์อย่างไร เป็นสักเพียงแต่ว่าคนนั้นอย่างไร ไอ้เพลงกราวกีฬาที่เขาร้องอยู่ในวงกีฬา นั้นก็เพราะความจำเป็นมันบังคับมา ไม่ ไม่สามารถจะแยกใช้คำว่ามนุษย์จึงต้องใช้คำว่า ทำคนให้เป็นคน กีฬาเป็นยาวิเศษแก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน ที่มัน มันอาศัยหลักได้ตรงที่ว่ามันแก้กองกิเลส ถ้ามันบรรเทากิเลสนั้นมันจึงจะเป็นคน คือเป็นมนุษย์นั่นเอง ถ้ายังไม่มีการแก้ไขกิเลสเสียเลยมันก็ยังไม่เป็นมนุษย์ แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน เราก็เตือนพวกประชาชนชาวบ้านของเราให้ระวังให้ดี ๆ เกี่ยวกับคำว่า คน ถ้ามันเป็นคนกันได้จริง มันก็พอ ปัญหามันก็หมด เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นคนอย่างถูกต้อง มันเป็นคนสักว่าเกิดมาเหมือนกับสัตว์ เกิดมามันก็เป็นสัตว์ คนเกิดมาก็เป็นคน ไม่มีคุณสมบัติสำหรับเป็นมนุษย์ ฉะนั้นไปเตือนในเรื่องนี้กัน มันจุดตั้งต้นของการสั่งสอนอบรมธรรมะ ที่ว่าธรรมทูตจะนำธรรมะไปให้ แล้วก็นำไปให้มันตั้งต้นถูกต้อง มันเป็นบุตรในครรภ์ที่ถูกต้องออกมาเกิดมาให้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง อย่าเป็นสักว่าคนโดยสักว่าเกิดมา มันก็เป็นหลักการใหญ่อยู่นะ เป็นหลักการที่เรียกว่าครบถ้วนหรือสิ้นเชิง ที่เราจะไปปรับปรุงกันใหม่ให้เด็กในครรภ์ได้รับการบริหารที่ถูกต้อง สำหรับเป็นคนที่ถูกต้อง เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนเกิดมา จนมาเป็นเด็ก มาเป็นหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นคนแก่คนเฒ่า อย่างน้อยก็ได้รู้เรื่องธรรมะ เย็นอกเย็นใจ เป็นพระนิพพาน ได้ตามสมควรแหละ ก่อนแต่ที่มันจะตาย แล้ววันนี้ก็พูด เรื่องเด็ก เรื่องคน เรื่องช่วยทำเด็กให้เป็นเด็กที่ดีมาตั้งแต่ในครรภ์ เป็นมนุษย์ที่ดีสร้างโลกที่ดี ช่วยเอาไปคิดไปนึกให้เข้าใจแตกฉาน จนสามารถเอาไปพูดไปสอนไปอะไรให้มันสำเร็จประโยชน์ แล้วมันก็จะไปรวมอยู่ในเรื่องที่ว่าพุทธศาสนาวันอาทิตย์ จะอบรมเด็กให้ดีมันต้องดีถึงขนาดนี้ ต้องดีอย่างนี้นะ การสอนพุทธศาสนาวันอาทิตย์จะสำเร็จประโยชน์ ก็อย่าไปสอนแต่เด็ก ๆ ไปสอนพ่อแม่มันด้วย และก็สอนมันตั้งแต่มันตั้งครรภ์ หรือมันก่อนตั้งครรภ์ ให้มันตั้งครรภ์ที่บริสุทธิ์แล้วมันถูกต้องมาจนกว่าลูกมันจะคลอด แล้วมันถูกต้องมากว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่ารื้อฟื้นกันมาตั้งแต่จุดตั้งต้นให้มีความถูกต้องมาตั้งแต่ตั้งต้น และผมคิดว่ามันจะง่ายเข้า หรือจะเร็วเข้า มันจะพอทันแก่เวลาหรือเหตุการณ์ และวันนี้ขอพูดเรื่องเด็กเรื่องเดียวพอ ยุติการบรรยายวันนี้เพียงเท่านี้