แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย เราถือกันว่า เมื่อเราสนใจในธรรม เพื่อจะใช้เป็นเครื่องแก้ปัญหาสังคม การบรรยายในลักษณะเช่นนี้ เป็นลักษณะของการอบรมศึกษาในเรื่องความรู้รอบตัว มากกว่าที่จะเป็นเรื่องในหน้าที่โดยตรงของบุคคล คณะใดคณะหนึ่ง วิชาเกี่ยวกับสังคมในแง่ต่างๆ ท่านศึกษาได้จากสถาบันการศึกษานั้นๆ มันยังเหลืออยู่แต่เรื่องวิชารอบตัว วิชาความรู้รอบตัว เพื่อจะไปช่วยสนับสนุน วิชาในหน้าที่ ที่ระบุไว้ชัดแล้ว
เพราะถ้าว่ากันโดยแท้จริง ในหลักธรรมะ ในทางศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนา ย่อมอาจจะใช้ แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ไม่ว่าปัญหาของสังคม หรือปัญหาอะไร ฉะนั้นจึงมีการศึกษาพุทธศาสนา ในส่วนจะนำไปใช้ ประกอบวิชาการความรู้ หรือการปฏิบัติหน้าที่การงานให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดกันถึงเรื่องเกี่ยวกับสังคม ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นนักศึกษาสังคมศาสตร์ และหวังแก่ประกอบหน้าที่การงานในอนาคตเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในครั้งที่แล้วมา เราก็ได้พูดกันถึงสิ่งที่เรียกว่า สังคม ตามทัศนะของทางศาสนา หรือทางอะไรที่มันไม่เหมือนกันกับที่สอนกันอยู่ในหลักสูตร ตามหลักสูตร และได้กล่าวให้ฟังแล้วว่า จะรู้จักสังคมได้ก็ต้องดูที่ปัญหาของสังคม ในครั้งที่แล้วมา เราไม่ได้พูดกันถึงปัญหาของสังคม เราจึงรู้จักสังคมตามที่บัญญัติไว้ คือรู้กันอยู่ในฐานะเป็นทฤษฎีบ้าง เป็นประวัติบ้าง ทีนี้ปัญหาสังคมจริงๆ มันมีอยู่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะ จะต้องเอาสิ่งนั้นเข้ามาพิจารณาดูอีกทีหนึ่ง ถึงจะรู้จักพร้อมกันไปทั้งสองอย่าง คือทั้งตัวสังคม และตัวปัญหาของสังคม เราจึงจะรู้เรื่องที่เกี่ยวกับสังคมกว้างขวางออกไป จนถึงจุดประสงค์ที่มุ่งหมายว่าจะรู้กันอย่างไร จนถึงกับจะแก้ปํญหาของสังคมนั้นๆ ได้
ที่นี้ก็อยากจะให้ทราบว่าวิชาความรู้ที่เกี่ยวกับทางธรรมะ หรือทางศาสนานี้ มันเป็นเรื่องทางจิตใจเป็นส่วนใหญ่ มุ่งหมายเป็นเรื่องทางจิตใจเป็นส่วนใหญ่ วิชาความรู้ของชาวบ้าน หรือทางโลก โลกในปัจจุบันนี้มันมุ่งหมายวัตถุเป็นส่วนใหญ่ ที่นี้มันอาจจะขัดขวางกัน หรือว่าตีกันบ้างก็ได้ จำเป็นที่จะต้องอดทน รอไว้ก่อน เพราะฟังดูให้ดี ให้ครบถ้วน แล้วจึงจะเอาไปลงสันนิษฐาน ลงมติอันสุดท้ายว่ามันควรจะเป็นอย่างไร เรื่องทางธรรม หรือทางศาสนา เพ่งเล็งทางจิตใจเป็นส่วนใหญ่ เรื่องของทางชาวบ้าน การเมือง นั้นมันก็เพ่งไอ้ทางวัตถุเป็นส่วนใหญ่ ถ้าได้เอาไปรวมกันเข้าแล้วก็จะพบความถูกต้องมากขึ้น กว่าที่จะให้มันแแยกกันอยู่ นั้นสิ่งที่เราจะพูดกันในที่นี้ ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทางฝ่ายธรรมะ ทางฝ่ายจิตใจเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่าดูโลกข้างใน โลกข้างในก็คือจิตใจของมนุษย์ ไอ้โลกข้างนอกก็คือ เปลือก คือ ร่างกายของมนุษย์ ที่พูดกันว่าสังคม สังคมนี่ มันจะเล็งถึงไอ้เรื่องข้างนอกเป็นส่วนใหญ่ แม้จะมีหลักที่ถือกันว่า เรื่องข้างนอกหรือทางร่างกายนี้ มันก็ออกมาจากจิตใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ดูที่ร่างกายภายนอก แล้วมันจะรู้จักจิตใจไปเสียหมด เพราะว่า เรื่องตลบตะแลง แอบแฝงซ่อนเร้นมันก็มีอยู่ การดูข้างนอก ดูไปจากข้างนอก ดูทางกายเข้าไปให้ถึงจิตใจนั่นแหละ จะทำให้รู้ถึงความจริง
นั้นคำบรรยายที่นี่ ก็จะเป็นไปในด้านจิตใจ มากกว่าทางวัตถุ เผื่อว่าจะมีส่วนที่ท่านทั้งหลายยังไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง หรือไม่เคยสังเกต เราจะศึกษาโลกข้างใน คือ เรื่องจิตใจ เพื่อจะเข้าใจปัญหาของโลกข้างนอก คือ ทางวัตถุ ทางร่างกายที่มันกำลังยุ่งเหยิง
ที่นี้ในครั้งที่แล้วมา ได้พูดถึงสังคมประหลาดชนิดหนึ่ง คือสังคมของสัตว์ประเภท อนาคาริก สัตว์ประเภทที่ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีคู่ครอง ไม่มีทรัพย์สมบัติที่จะยึดถือเป็นของตัว โดยเฉพาะปลาประเภทตระกูลที่มันไม่อยู่เป็นที่ ไม่มีการยึดครองอะไรนั่น ว่านั่นแหละเป็นสิ่งที่ควรสนใจ เพื่อจะให้รู้ว่าปัญหาต่างๆ มันเกิดมาจาก การยึดครองอะไรว่าเป็นของเรา จนกระทั่งเกิดความเห็นแก่ตัว ในพระไตรปิฎกก็มีเรื่องที่แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงข้อนี้อยู่มากมายเหมือนกัน เช่นเรื่อง พระเจ้าสมมติราช(นาทีที่ 9:20) ที่เอาไปเป็นเรื่อง เรื่อง เริ่มแรกของไอ้กฏหมายโบ-รมโบราณนั้น ในสูตรนี้แสดงให้เห็นว่า มันเป็นความจริงอย่างนั้น คือเมื่อมนุษย์อยู่กันอย่างแบบไม่มีการยึดครองอะไรเป็นของตัว มนุษย์แรกมีในโลกปัญหามีน้อย เรื่องความเบียดเบียนกันมันยังไม่มี จนกระทั่งข้าวสาลีที่เกิดเองในป่ามันหมด มันหมด ก็เพราะว่ามันมีคนเห็นแก่ตัว ไม่ ไม่..ไม่ส่งเสริมการเกิดของข้าวสาลีในป่า มีแต่จะเก็บโกยเอามา เก็บมาใส่ยุ้งใส่ฉาง นักเข้ามันก็หมด มนุษย์ก็ต้องปลูกข้าว ที่เรียกว่า ทำกสิกรรม ทีนี้มันก็มีความเห็นแก่ตัวที่ขยายตัวมากขึ้น ก็ลักขโมยกัน จนกระทั่งต้องมีกฏหมาย ต้องมีอะไรต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งมันยังไม่เคยมี
สังคมในยุคนั้นเป็นอย่างไร ก็ลองคิดดู เทียบเคียงดู กระทั่งสังคมในยุคนี้ มันต่างกันอย่างไร ในยุคที่ไม่มีกฏหมาย ไม่มีศาสนา ไม่มีศีลธรรม เขาอยู่กันอย่างไร กระทั่งมีกฏหมายขึ้นมา จนมีกฏหมายท่วมหัวท่วมหู แล้วมันก็ยังไม่มีความสุข สงบ ยิ่งไปกว่ายุคที่มนุษย์ยังไม่รู้จักกฏหมาย แต่ความสำคัญมันมีอยู่นิดเดียวตรงที่ว่า มันมีความเห็นแก่ตัว หรือไม่มีความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันเพิ่มขึ้น หรือมันขยายขึ้นอย่างไรนี่ ต้องเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเห็นแก่ตัว’ จึงจะเข้าใจไอ้สิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ มนุษย์นี่มันแปลก เมื่อยังเป็นมนุษย์น้อยๆ อยู่ เมื่อยังมีความเป็นมนุษย์น้อยอยู่ มันเห็นแก่ตัวน้อย พอมันมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น มันก็ยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้น พูดแล้วมันก็ไม่น่าเชื่อ ต้องไปคิดดูให้ดีๆ สิ่งที่เป็นตัวการอันร้ายกาจที่สุดของมนุษย์นั่นน่ะ ก็คือสิ่งที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัว ถ้าควบคุมได้ ก็เป็นไปในทางดี ถ้าควบคุมไม่ได้ มันก็เป็นไปในทางร้าย ทีนี้เราควบคุมไม่ได้ พูดอย่างกำปั้นทุบดิน เพราะเราประสบปัญหาที่ร้ายมากขึ้น มากขึ้นๆ ความเห็นแก่ตัวมันก็แสดงบทบาทอย่างนี้
ถ้าเราดูประวัติศาสตร์แห่งความเป็นมนุษย์ให้ดีๆ ก็จะพบแต่ว่าความเห็นแก่ตัวที่ขยายตัวมากขึ้นนั่นเอง มันจะเป็นการด่า ทีนี้มองในด้านจิตใจ ด้านวิญญาณ ไม่ใช่มองในด้านวัตถุ ความเจริญของมนุษย์ในด้านวัตถุมันก็มี รู้จักทำกสิกรรม รู้จักทำกิจการต่างๆ มากขึ้น จนยุคนี้รู้จักทำอะไรบ้างก็รู้กันอยู่แล้ว นี่ก็เรียกว่าเจริญทางวัตถุ ทีนี้ทางฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณนั้น ก็คือความเห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ ตามที่ความเจริญทางวัตถุมันมากขึ้น ประวัติศาสตร์ทางวัตถุก็เป็นไปอย่าง ประวัติศาสตร์ทางจิตใจไม่มีอะไร นอกจากความเห็นแก่ตัวที่มันมากขึ้นๆๆ ความเฉลียวฉลาดทางวัตถุนั้น ไม่ได้ช่วย ไม่ได้ช่วยกำจัดความเห็นแก่ตัว กลับจะส่งเสริมความเห็นแก่ตัว นี่มันเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหลาย ที่เป็นพวกความทุกข์ที่เราไม่ต้องการ จนกระทั่งต้องเกิดกฏหมาย ยังหยาบไป ก็ยังต้องเกิดศาสนา เพื่อจะประทังไอ้ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ และควบคุมความเห็นแก่ตัวของมนุษย์อย่างละเอียดที่สุด ให้มนุษย์มันเป็นมนุษย์สมชื่อ คือมีจิตใจสูง ไม่สร้างปัญหาที่เลวทรามขึ้นมา
นั้นในที่นี้เราจะมองกันแต่ในทางจิตใจ แล้วมองให้มันลึกจนใช้เป็นประโยชน์ในทางวัตถุ เพื่อจะแก้ปัญหาทางวัตถุได้ด้วย ความเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ กระทั่งทางสังคมที่เป็นฝ่ายร่างกายภายนอกนี้ ท่านทั้งหลายคงจะได้เล่าเรียนมาเป็นอย่างดีแล้วในหลักสูตรของการศึกษา จึงไม่อยากพูดในลักษณะที่ว่ามันจะเอามะพร้าวมาขายสวนอะไรทำนองนี้ นั้นจึงจะพูดในด้านภายใน โลกภายใน คือเรื่องจิตใจไปตามสมควร ต่อจากครั้งที่แล้วมา
วันนี้จะพูดถึงปัญหาของสังคม เมื่อเราจะถือเป็นหลักว่า ไอ้เรื่องนี้มันตั้งต้นกันที่ความเห็นแก่ตัว ที่มันเริ่มวิวัฒนาการ เจริญ ก่อนนี้มนุษย์รู้จักเห็นแก่ตัวนิดเดียว ไม่มากไปกว่าสัตว์ แล้วก็มีการเจริญทางภายนอก ก็เริ่มเห็นแก่ตัวมากขึ้น นี้ความเจริญทางภายนอกมันไม่ช่วยได้ ถ้าว่าทางภายใน มันยังทำผิดอยู่ เรื่องนี้ไม่มีใครสนใจกันในเวลานี้ ในยุคนี้ เป็นยุควัตถุนิยม เขาถือกันว่าเมื่อทางร่างกาย ทางวัตถุดีแล้ว คนก็มีความสุขแล้ว ปัญหาก็หมดแล้ว ในทางศาสนาจะรู้สึกว่ามันเป็นคำพูดที่หลับตาพูด เพราะทางศาสนานี่มองเห็นอยู่ว่า ความก้าวหน้าทางวัตถุนี่ มันเพิ่มความเห็นแก่ตัว เราจึงต้องศึกษากันอย่างละเอียดในแง่ของจิตวิทยาบ้าง จึงจะเข้าใจ เราจะตั้งต้นไปจากสิ่งแรกที่สุด คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ปัจจัย’ ที่จำเป็นแก่ชีวิตมนุษย์ อันนี้ถือได้ว่าเป็นจุดตั้งต้นของทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องอะไร สิ่งที่จำเป็นแก่ความมีชีวิตอยู่ของมนุษย์นี่ เรื่องที่ ๑ อาหาร เรื่องที่ ๒ เครื่องนุ่งห่ม เรื่องที่ ๓ ที่อยู่อาศัย เรื่องที่ ๔ การบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ ครั้งแรกมนุษย์อยู่คล้ายๆ สัตว์ ไอ้ปัจจัยเหล่านี้มันก็ไม่มีอะไรมาก ต่อมา มันรู้จักทำให้มีขึ้นมา แล้วก็มากขึ้น จนเกิน เกินความเป็นปัจจัยที่จำเป็นแก่ชีวิตมนุษย์ นั่นแหละปัญหาจะตั้งต้นที่ตรงนี้
ขอทบทวน เพื่อจะพูด..เพื่อให้ฟังให้เข้าใจว่า ไอ้ปัจจัยที่จำเป็นแก่ชีวิต เช่นอาหารเป็นต้นนี้ มันอยู่ในระดับที่เป็นปัจจัยที่จำเป็นแก่ชีวิตอยู่ก็ยังดีอยู่ พอมันเกิน มันจะกลายเป็นไม่ใช่ปัจจัยที่จำเป็นแก่ชีวิต มันกลายเป็นวัตถุแห่งกามารมณ์ ปัญหาก็ตั้งต้นที่ตรงนี้ ตั้งต้นที่จะทำมนุษย์ ให้เป็นสัตว์บาป สัตว์เลวทราม คือมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น
ปัจจัยข้อแรกคืออาหาร พิจารณาเรื่องอาหารกัน ก็เข้าใจได้ ถ้าเรากินอาหาร มันมีความหมายไปในทางที่ว่า ให้มันมีชีวิตอยู่ได้ มีความจำเป็นเท่าไร ก็กินเพียงเท่านั้น อย่างนี้เรียกว่า กินอาหาร ทีนี้พอส่วนเกินมันเข้ามา มันกลายเป็นกินความอร่อย ไอ้วัตถุที่กินนั้นก็ ไม่ ไม่..เออ มันหมดความเป็นอาหาร หมดสภาพความเป็นอาหาร มันกลายเป็นกามารมณ์ ภาษาบาลี ภาษาศาสนา เขาเรียก กามารมณ์ นี้มันกว้างไม่ใช่หมายถึงแต่เรื่องทางเพศ หมายถึงความเอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทั้งทางจิตใจ ความอร่อยที่ลิ้นนั้น กลายเป็นกามารมณ์ไป ข้อนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้กินของที่อร่อย จะกินของที่อร่อยก็ได้ แต่อย่าให้มันเกินความหมาย เพราะกินอาหารที่อร่อย ตามปกติของอาหาร ในลักษณะที่เป็นอาหารนี้มันก็ได้ แต่ถ้ามันเกินนั้นไป มันจะเป็นเรื่องอร่อย ที่เป็นเรื่องของกิเลส พอเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว หมดความเป็นอาหาร มันกลายเป็นกามารมณ์
เครื่องนุ่งห่มนี่ก็เหมือนกัน เอาเท่าที่จำเป็นแก่การปกปิดร่างกายมันก็เป็นเครื่องนุ่งห่ม เรียกว่า จีวร ในภาษาบาลี จีวรนี้หมายถึงเครื่องนุ่งห่ม ฆราวาสก็ได้ บรรพชิตก็ได้ ถ้าใช้เท่าที่มันจะเป็นเครื่องนุ่งห่ม มันก็เป็นเครื่องนุ่งห่ม พอเกินนั่นไป มันจะเป็นกามารมณ์ เป็นวัตถุแห่งกามารมณ์ คือเป็นเครื่องประดับตกแต่ง นี่ปัญหามันจะตั้งต้นที่นี่ ปัญหาแห่งความเลวของมนุษย์ ความโง่ ความหลง ความเห็นแก่ตัว มันจะตั้งต้นที่นี่
ที่อยู่อาศัยก็เหมือนกัน ถ้ามันมีความหมายเป็นที่อยู่อาศัย เพียงเท่านั้น มันก็เป็นที่อยู่อาศัย พอเกินกว่านั้น มันก็เป็นวัตถุแห่งกามารมณ์ เป็นวิมาน ความเลวมันก็จะตั้งต้นที่นั่น คือความเห็นแก่ตัวมากขึ้น หยูกยา ที่จะใช้บำบัดโรคนี้ก็เหมือนกัน มันเป็นหยูกยาเท่าที่มันเป็นหยูกยาจำเป็น เดี๋ยวนี้มันใช้เกินความหมายของคำว่าหยูกยา ที่จะแก้โรค มันกลายเป็นหยูกยาที่ส่งเสริมกิเลส หรือแม้แต่หยูกยานี้ก็ต้องเป็นของอร่อยมันจึงจะกินกัน ไอ้ขมๆ เหม็นๆ ไอ้ยาอย่างนั้น ไม่มีใครกินแล้วเดี๋ยวนี้ แล้วยังมีหยูกยาชนิดที่ส่งเสริมแก่กิเลสมากขึ้น อย่างนี้มันก็พ้น พ้นจากความเป็นหยูกยา มันก็เป็นวัตถุ หรืออุปกรณ์แก่กามารมณ์ไปอีก
นี่ทั้ง ๔ อย่างนี้มันเปลี่ยนสภาพ คือมันถูกทำ ถูกใช้ผิดความมุ่งหมายเดิม กลายเป็นวัตถุกามารมณ์ไปหมด ระวังให้ดี ดูให้ดี ไอ้ความเจริญของมนุษย์นั่น คืออย่างนี้ ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จำเป็น หรือที่ถูกต้อง ที่เหมาะสม ที่จะไม่เกิดปัญหา ที่จะไม่เกิดความเห็นแก่ตัว เกิดกิเลส แล้วก็เบียดเบียนกัน มันเลยเถิดไป มันเป็นเกินไป เป็นวัตถุแห่งกามารมณ์สำหรับหลอกตัวเอง ให้หลง แล้วก็เห็นแก่ตัว ก็มีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น ทีนี้พอมนุษย์มีความเกินในเรื่องปัจจัย ๔ จิตใจก็เปลี่ยน สภาพทางภายนอกก็เปลี่ยน นั้นประวัติมันก็เปลี่ยน สังคมโบราณของบุคคล เอ้อ..สมัยหิน สมัยอะไรมันก็เปลี่ยน เปลี่ยนๆ มาเป็นสังคมอย่างที่เห็นๆ อยู่เดี๋ยวนี้ แต่ดูสิ มันต่างกันสักเท่าไร ถ้าเราจะเปรียบเทียบกันกับคนสมัยหิน
ทีนี้มันเปลี่ยนมากขนาดนี้แล้ว จะไม่ให้มันเกิดปัญหาอย่างไรได้ มันไม่มีใครช่วยได้ พระเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ที่จะไม่ให้เกิดปัญหาแปลกๆ ใหม่ๆ มันเปลี่ยนไปหมด เนื้อหนังร่างกาย มันก็เปลี่ยน ที่มันเคยมีขนหุ้มตัวไม่ต้องใช้ผ้าห่ม มันก็ต้องเปลี่ยนเป็นต้องใช้ผ้าห่ม เนื้อหนังของคนมันก็เปลี่ยน จิตใจของคนมันก็เปลี่ยน การกิน การอยู่ ที่อยู่อาศัย อะไรมันเปลี่ยน เปลี่ยนๆ ปัญหามันก็ มันก็ พรูกันเข้ามา เนื่องมาจากความที่มันเปลี่ยน เปลี่ยนๆ นี่ นี่ก็เรียกว่าปัญหาทางสังคม ที่เป็นชั้นรากฐาน เกิดขึ้นอย่างนี้
นี้เรา มนุษย์เราไม่เคยคิด ว่าเท่าไรมันจะพอดี มันคิดแต่ว่าจะเอาให้เกินเข้าไว้เรื่อย ให้มากเข้าไว้เรื่อย ให้เจริญนั่นหล่ะ ไม่..ไม่เคยคิดกันว่าเท่าไหร่พอดี ทุกคนลองถามตัวเองดู เราเคยคิดไหมว่า เท่าไหร่พอดี มันมีคิดแต่ว่า ทำอย่างไรมันจึงจะได้มากกว่านี้ ทำอย่างไรมันจึงได้มากกว่านี้ นี่มันก็เป็นเรื่องที่น่าสงสาร ทางธรรมะ เขาเรียกว่า อวิชชา ความโง่ ความหลง ความประมาท ไม่รู้ความพอดี ไอ้ความไม่พอดีนี่มันก็คือ ความไม่สมดุลกันในระหว่างสิ่งทั้งหลาย ปัญหาก็เกิดขึ้น ความทุกข์ก็มีมากขึ้น
ไอ้หลักของศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา หรือศาสนาไหนก็ตาม มันมีหลักอยู่ที่ว่าต้อง “ถูกต้อง และพอดี” นี่ช่วยจำไอ้ ๒ คำนี้ไว้ที จะเข้าใจธรรมะได้ง่าย มันถูกต้อง แล้วมันพอดีด้วย ถูกต้องเกินไปก็ไม่ได้ ถูกต้องน้อยไปก็ไม่ได้ ต้องเป็นความถูกต้อง เป็นการกระทำที่ถูกต้อง แล้วนั้น ถูกต้องนั้นพอดี คือเหมาะสมหรือสมดุลแก่ทุกสิ่งที่มันเกี่ยวข้องกันอยู่ ถ้าอย่างนี้ ปัญหาไม่เกิด ไม่เกิดสำหรับจะให้มันเป็นทุกข์ยาก ลำบาก ยุ่งยาก
นี้มนุษย์เหมือนกับวิ่ง วิวัฒนาการของมนุษย์นี่มันเหมือนกับวิ่ง วิ่งอย่างป่าเถื่อน วิ่งอย่างลิ้นห้อย เพื่อมันจะเจริญ มันต้องการความเจริญ มันไม่ต้องดูว่าอะไรพอดี เท่าไรพอดี มันจะเอาให้มากสุด จนไม่มีคำพูดที่ว่า จะมากกันอย่างไร นี่มันมีการวิ่งอย่างนี้ ตั้งแต่สมัยแรกๆ มา จนถึงสมัยบัดนี้ ยิ่งวิ่งเร็วหนักขึ้นอีก ความพอดีไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แล้วก็ไม่เคยสอน ไม่เคยพูดกันถึงเรื่องความพอดี มันมีแต่เรื่องพัฒนา พัฒนาๆ ไม่เคย..ไม่มีใครเคยเหลียวดูความพอดี ความเหมาะสม เพราะมันบ้าที่จะแข่งกัน กลัวจะอยู่หลัง กลัวจะอยู่ล้าหลัง แล้วโดยเหตุที่มันเพ่ง เพ่งกันแต่ทางวัตถุ หรือกำลังทางวัตถุ แล้วมันก็กลัว ถ้าล้าหลังในเรื่องวัตถุ มันก็จะแพ้ผู้อื่น จะถูกเขายึดครองเอาไป ก็เลยวิ่งกันใหญ่ ที่จะพัฒนาทางวัตถุ นั้นปัญหาก็เกิดขึ้นท่วมหัวท่วมหู ท่วมโลก ท่วมอะไรไปหมด จนหมดปัญญาของมนุษย์ที่จะสร้างสันติภาพขึ้นมาในโลกนี้ได้
พูดอย่างนี้ไม่ใช่ดูถูก ไม่ใช่ด่า ก็เห็นๆ กันอยู่ว่า ยิ่งวิ่งไป ก็ยิ่ง..ยิ่งวิ่งหาไอ้ความที่มีปัญหายุ่งยาก ความลำบาก วิ่งไปหาเหว วิ่งไปหานรกนี่ ปู่ย่าตายายเขาพูดว่า วัวยิ่งแล่น ไถยิ่งกิน” นี่คำนี้มาใช้กับเรื่องนี้ได้ดี โลกปัจจุบันนี้มันเหมือนกับวัวที่ยิ่งแล่น แล้วไถมันยิ่งกิน คือมันยิ่งจะเพิ่มความลำบากให้วัวมากขึ้นทุกที เพราะมันไม่ดู ไม่แล ไม่รู้ มันยิ่งแล่นไปอย่างหนึ่ง โง่เขลา บ้าๆ บอๆ มันก็ยิ่งทำให้ตัวเองลำบากมากขึ้น เพราะฉะนั้นมันก็สมกันแล้วที่ว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ การเปลี่ยนแปลงของความเป็นอยู่ของมนุษย์ จากความพอดีไปสู่ความเกินนี่ ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากขึ้นในสังคม นี่พระเจ้าเป็นผู้มองเห็น มนุษย์มองไม่เห็น จะเถียงว่าไม่เกินอยู่เรื่อย แล้วเราจะทำยังไงกันดี คิดดู นี่เขาเรียกว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว คืออวิชชาครอบงำ มนุษย์ไม่มองดูความพอดี ความพอเหมาะ พอสม ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างท่วมหัวท่วมหู เป็นปัญหาทั้งนั้น มันยากแก่การที่จะสะสางปัญหา
ที่นี้ก็จะวกมา เข้ามาหาไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะมากขึ้น ทางธรรมะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ไอ้ปัญหาต่างๆ ปัญหาของมนุษย์ต่างๆ ทุกปัญหา ไม่ว่าปัญหาชนิดไหน ขอให้เข้าใจได้อย่างนั้นเลย มันมีต้นตอ มาจากสิ่งที่เรียกว่าผัสสะ นี่ถ้าไม่เคยเรียนธรรมะ ก็ไม่ค่อยจะรู้เหมือนกันว่าผัสสะนี้คืออะไร ผัสสะคือ ความสัมผัส การสัมผัส กิริยาที่สัมผัส ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส ผิวกายกับสัมผัสที่มากระทบผิวกาย แล้วก็ใจกับธรรมารมณ์ ความรู้สึกที่จะไปกระทบใจ มีด้วยกัน ๖ คู่ ๖ อย่าง ข้างนอก ข้างใน ตากับรูป หูกับเสียง นี่มันเป็นข้างในกับข้างนอก ตาอยู่ข้างใน รูปอยู่ข้างนอก กระทบกันนี่เรียกว่า ผัสสะ คนที่ไม่เคยเรียนธรรมะในพุทธศาสนา จะไม่..จะไม่เข้าใจทันที แล้วก็จะไม่เห็นด้วย แล้วก็จะคัดค้าน นั้นต้องอุตส่าห์ทนหน่อย ศึกษาให้เข้าใจคำเหล่านี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อย่างละ ๖ สองอย่างเป็น ๑๒ นี่ มันต้องตั้งต้นด้วยสิ่งนี้ จึงจะเข้าใจพุทธศาสนาทั้งหมดได้
ไอ้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ที่คน ทุกคนมี ถ้าคนไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ไม่เป็นคน ไม่เป็นสัตว์ ไม่เป็นคนอะไรได้ แล้วเมื่อมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็มีสิ่งที่จะต้องมา พบกันกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นั้นวันหนึ่งๆ ก็หลีกไม่พ้นที่ว่าจะไม่ให้มีการกระทบพบกัน นี้ก็เรียกว่าผัสสะ นี่เป็นการตั้งต้นของโลก ฟังดูก็จะไม่เข้าใจ โลกมันตั้งต้นไอ้ที่ตรงนี้ ไอ้โลกที่จะเป็นปัญหา มันตั้งต้นที่ตรงนี้ หรือแม้แต่โลกนี้ โลกวัตถุมันก็ตั้งต้นที่ตรงนี้
ลองคิดดูสิว่า ถ้าว่าอะไรๆ ในโลกนี้มันไม่เข้ามาที่ ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรา มันก็เท่ากับว่าไม่มี ไอ้โลกทั้งโลก โลกแผ่นดิน โลกอะไรนี่มันก็ไม่มีหรอก มันต้องเข้ามาหาไอ้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ มันจึงเหมือนกับมี มีค่าเท่ากับมี ไอ้โลกแผ่นดินมันก็ตั้งต้นที่ตรงนี้ ไอ้โลกจิตใจมันก็ตั้งต้นที่ตรงนี้ ที่ต้องเรียกว่า ผัสสะ นี่ นี่พระพุทธเจ้าพูดจริง ไม่จริง ลองคิดดู ที่ท่านว่าทุกอย่างมันรวมอยู่ที่นี่ มันตั้งต้นขึ้นที่นี่ ทีนี้พอมีผัสสะแล้ว มันก็มีความรู้สึกต่อไปอีก เป็นเวทนา คือ ถูกใจหรือไม่ถูกใจ มีอยู่ ๒ อย่าง ถ้าถูกใจ ก็เป็นสุขเวทนา ไม่ถูกใจ ก็เป็นทุกขเวทนา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางอะไรตามใจ ถ้ามันเข้ามาในลักษณะที่ถูกใจ ก็เป็นเวทนาที่ถูกใจ ไม่ถูกใจ มันก็ไม่ถูกใจ ทีนี้จิตใจมันก็ถูกกระทำ ให้เกิดความเปลี่ยนแปลง มันรักบ้าง มันเกลียดบ้าง ทีนี้เลยมีปัญหาขึ้นมาทันที ถ้าไม่รู้เท่า เท่าทันไอ้ความรัก และความเกลียดนี้แล้ว จะมีปัญหาหนัก ปัญหาร้าย ปัญหาที่เสียหายได้ ก็ดูเถิด ไอ้คนเราทำอะไรไปในทางที่ไม่ควรทำ เพราะไม่รู้เรื่องนี้ เพราะมันไม่รู้เท่าทันจิตใจที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ นี้เรียกว่า ความคิดนึก หรือการกระทำของมนุษย์ มันก็ตั้งต้นจากผัสสะนี่
ทีนี้เมื่อมันมีความรู้สึกอย่างนี้มากเข้าๆ มันก็บัญญัติอะไรออกไป ก็เป็นลัทธินั่น ลัทธินี่ เป็นปรัชญา อย่างนั้น อย่างนี้ขึ้นมาตามความรู้สึกของเขา เป็นพวกๆ ไป นั้นมันไม่เหมือนกัน แต่มันเหมือนกันอยู่อย่างเดียว คือว่า มันตั้งต้นออกไปจากจิตใจของเขาที่ไม่รู้ ไม่รู้เท่าทันเรื่องผัสสะ เรื่องเวทนา การที่บัญญัติลัทธิต่างๆ ปรัชญาทุกแขนงนี่ มันบัญญัติไปตามจิตใจของมนุษย์ผู้มีความรู้สึกอย่างไร มันมีความรู้สึกอย่างไร มันจะบัญญัติไปอย่างนั้น ฉะนั้นเข้าใจผิดต่อสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ เวทนา นี่ ต่างๆๆ กัน ไม่เหมือนกัน แต่ละคนๆ แต่ละพวก แต่ละหมู่ แต่ละยุค แต่ละสมัย ก็เลยเกิดบัญญัติลัทธิต่างๆ เป็นปรัชญา เป็นศาสนา เป็นอะไรก็ได้ ต้องมองดูทีเดียวให้เห็นว่า ไอ้จุดตั้งต้นมันอยู่ตรงที่ผัสสะ การกระทบระหว่างอายตนะ แล้วก็ส่งผลออกไปทุกทิศทุกทางทุกแง่ทุกมุม เป็นนั่น เป็นนี่ขึ้นมา นี้เราไม่เคยสนใจเรื่องนี้ใช่ไหม ลองคิดดูให้ดีๆ
ถ้าจะเข้าใจพุทธศาสนา หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องเข้าใจไอ้สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้อย่างนี้ มันตั้งต้นตรงกันที่ตรงนี้ โลกทั้งโลกก็ตั้งต้นที่ตรงนี้ การกระทำของมนุษย์ในโลก ความคิดของมนุษย์ในโลก ความทุกข์ ความสุข ความทุกข์ ความอะไรก็สุดแท้มันออกไปจากจุดนี้ทั้งนั้น นั้นเราจึงต้องรู้จักมันให้ดี ผัสสะ ผัสสะ นี่แปลว่า การกระทบ แต่มันไม่ใช่การกระทบของวัตถุ การกระทบของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มีจิตใจอยู่เบื้องหลัง แล้วก็ กับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เกิดอะไรขึ้นมาทุกอย่างได้ แต่ที่ร้ายที่สุด ก็คือเกิดเวทนา เรื่องชอบใจ เรื่องไม่ชอบใจนี่ คนก็เลือกเอาข้างชอบใจ แล้วมันก็เกินไป เกินไป มากเกินไปๆ จนไอ้..ไอ้วัตถุปัจจัยที่จำเป็นแก่ชีวิตกลายเป็นเรื่องกามารมณ์ อย่างที่ว่ามาแล้ว แทนที่จะกินเป็นอาหาร มันกลายเป็นกินเป็นกามารมณ์ บูชาความเอร็ดอร่อย ทีนี้มันไม่ใช่แต่เพียงทางปาก ทางอะไรอย่างเดียว มันทุกทางไปเลย ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทางผิวหนัง ความรู้สึกทางผิวหนัง เป็นที่ตั้งแห่งกามารมณ์ ยิ่งกว่าทางอื่น
ทีนี้พอไม่รู้เรื่องนี้เท่านั้นแหละ ไอ้สิ่งที่เรียกว่า กิเลส จะกรูกันเข้ามารอบด้าน รอบตัว เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง รวมหมด ก็เรียกว่า อวิชชา อวิชชา แปลว่า ปราศจากความรู้ เมื่อปราศจากความรู้มันก็โลภได้ โกรธได้ หลงได้ แจกกิเลสไว้เป็น 3 พวก โลภ โกรธ หลง กิเลสชนิดไหนที่มันทำให้รัก ให้เอาเข้ามา ยึดถือกอดรัดไว้ กิเลสเหล่านั้นก็เรียกว่า ความโลภ หรือ ราคะ ทีนี้กิเลสพวกไหนมันทำให้ผลักออกไป คือ มันไม่ชอบ มันจะตีเสียให้ตาย หรือผลักให้กระเด็นไปให้ออกไปจากตัวนี่ นี่มันเป็นกิเลสประเภทโทสะ หรือโกรธะ นี่ประเภทที่ทำให้ไม่รู้จะเอาอย่างไรดี เต็มไปด้วยความลังเลสงสัย แต่ก็ยังมีความหวัง ความอาลัย อะไรต่างๆ อยู่ นี้ก็เรียกว่า โมหะ กิเลสมีเท่านี้ มี โลภะ โทสะ โมหะ บางทีก็เรียกว่า ราคะ โกรธะ โมหะ
นี่จุดตั้งต้น ที่จะทำให้มนุษย์ลำบาก คือกิเลสนี่ โลภ โกรธ หลง พอมีความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้วมันก็แน่นอนในข้อที่ว่า ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คือสิ่งที่มันจะเป็นทุกข์ มันก็ทำได้ไปสิ มันบ้าสักเท่าไหร่ มันไปทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำ ได้อย่างเต็มไม้เต็มมือ ผลของผัสสะเป็นอย่างนี้ ให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดกิเลส คือโลภ โกรธ หลง นี่คือปัญหาของมนุษย์ ได้เกิดขึ้นเต็มที่ คือทำสิ่งที่ไม่น่าจะทำ ไม่ควรจะทำ คือทำไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วมันก็เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนผู้อื่น ยังไม่ทันเบียดเบียนผู้อื่น มันก็เบียดเบียนตนเองก่อนแล้ว ไอ้ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้นในใจเมื่อไร มันเป็นนรกในอก ในใจ เมื่อนั้นแหละ ไปสังเกตดูทุกคน พอเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ขึ้นในจิตใจเรา นรกก็มีในจิตใจเรา ทันที ไม่ต้องรอ นี่เบียดเบียนตัวเอง ทีนี้ควบคุมไว้ไม่ได้ ก็เบียดเบียนผู้อื่น
นี้การเบียดเบียนนี้มีหลายความหมาย ใต้ดิน บนดิน อะไรมันก็มากมาย ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ขนาดใหญ่อย่างยิ่งเป็นมหาสงครามที่เบียดเบียนกันอยู่เวลานี้ในโลก เป็นสงคราม เป็นมหาสงคราม เป็นอะไร เดี๋ยวก็เป็นใต้ดิน เดี๋ยวก็เป็นบนดิน มันเบียดเบียนผู้อื่น มาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น เพราะมนุษย์มันพ่ายแพ้แก่กิเลสทุกฝ่าย อย่ามาอวดดีว่า ถูกหรือเป็นธรรม มันเสียความเป็นธรรมให้แก่ความโลภ ความโกรธ ความหลง หมดแล้ว มันก็เบียดเบียนกัน ฉลาดหน่อยก็เบียดเบียนอย่างฉลาด โง่หน่อยมันก็เบียดเบียนอย่างโง่ ดูกันส่วนบุคคลมันก็เบียดเบียนกันอย่างนี้
ปัญหาเรื่องอันธพาล เรื่องอะไรต่างๆ ที่มีอยู่ในบ้านเมืองเราเวลานี้ มันมาจากอันนี้ มันเป็นทาสของ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะว่ามันเป็นทาสของเวทนา เพราะว่ามันเป็นทาสของผัสสะ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ผัสสะ เราจะเรียกว่าอะไรตามใจเรา แต่ให้ได้ความเหมือนกันก็แล้วกัน คือความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ที่ทำให้คนมึนเมา มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ปัญหาก็เกิดขึ้นทันที เบียดเบียนตัวเอง เบียดเบียนผู้อื่น นี่มันจบ เรื่องของมนุษย์ เพียงเท่านี้ คือความเบียดเบียนตัวเอง ทำความทุกข็ให้แก่ตัวเอง ไปทั่วทุกหัวระแหง
ทีนี้ก็มันก็ถึงบทบาทของสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา มันมีขึ้นเพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านี้ ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ต้องมี ไม่ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ศาสนามีเพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านี้ คือมันมีมนุษย์บางคน ไม่ใช่ทุกคน และก็น้อยคนที่มองเห็น แล้วก็สังเวชแล้วคิดหาหนทางที่จะแก้ไข มันจึงก่อกำเนิดสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา หรือศีลธรรม หรืออะไรขึ้นมา ที่จริงมันก็ได้มีมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที แต่ทีนี้มันขยายตัวไม่ทัน มันไม่ก้าวหน้า มันไม่มีวิวัฒนาการ เหมือนกับความบ้าหลังของมนุษย์ มันจึงตามมาไม่ทัน
ทีนี้ในบางยุค บางสมัย มีบุคคลที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้น มีความรู้สมบูรณ์ในการที่จะแก้ไขเรื่องนี้ แต่แล้วคนก็ไม่รับเอา อย่าเข้าใจว่าพอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น คนก็รับเอาคำสั่งสอนของท่านได้ทุกคน ที่รับเอาไม่กี่คนหรอก เพราะว่ามันเข้าใจยากอยู่เหมือนกัน มันไม่รับเอาเพราะมันเข้าใจยาก ทีนี้ส่วนใหญ่ที่สุดมันไม่รับเอาเพราะมันไม่ตรงกับไอ้กิเลสตัณหาของเขา เขาต้องการตามกิเลสตัณหา ไอ้คำสอนนี่มันกลายเป็นว่า ให้มัน เอ้อ..กำจัดกิเลสตัณหาเสีย ฉะนั้นคนปฏิเสธจึงมีมาก เพราะฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าก็มีประโยชน์แต่แก่คนที่เข้าใจได้ แล้วรับเอาเท่านั้นแหละ มันมีน้อยมาก
ในสมัยพุทธกาลนี่ ถ้าศึกษาดูจากเรื่องราวในพระคัมภีร์ แล้วจะปรากฏว่า มีคนจำนวนมาก ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า เดินสวนทางกันก็ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่รู้ว่านี้เป็นอะไร นี่เราได้ยินแต่เรื่องราวฝ่ายเรา มีพระสาวกของพระพุทธเจ้า อย่างนั้นอย่างนี้ ก็เข้าใจว่าทุกคนในประเทศอินเดียนั้นยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันไม่ใช่อย่างนั้น มันยังมีคู่แข่งขัน มันยังมีไอ้คนที่เป็นข้าศึกศัตรู คิดทำลายล้างพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถูกด่าว่า ไอ้คนหัวโล้น ดีแต่ทำให้คนเป็นหม้าย คุณลองฟังดูสิว่า ถ้าผัวไปบวช เมียก็เป็นม่าย ถ้าเมียไปบวช ผัวก็เป็นม่ายนี่ นี่แสดงว่าคนส่วนใหญ่นั้นมันไม่ได้เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ความเป็นอย่างนี้ มันมีมากระทั่งถึงเดี๋ยวนี้นะ ประเพณีที่มันถ่ายทอดสืบๆ กันมา มันกลายเป็นไอ้ความงมงายไปเสียหมด แล้วของจริง ก็ยังลึกซึ้งเข้าใจไม่ได้ ในประเทศที่ว่าเป็นประเทศพุทธบริษัทนี่ก็ยังเข้าใจไม่ได้
แต่แล้วข้อเท็จจริงมันก็ยังคงเดิมว่า ไอ้ศาสนานี่มันมีเพื่อจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ บางทีก็มาอยู่ในรูปของวัฒนธรรม จะเป็นวัฒนธรรม หรือเป็นศีลธรรม หรือเป็นศาสนา เป็นจริยธรรมละก็ มันมีความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน เพื่อจะแก้ไขปัญหานี้ของมนุษย์ นี่ถ้ามันมีโชคดี มันเป็นไปได้ง่ายๆ ที่มนุษย์ยอมรับเอาศาสนา เรื่องก็ไม่มี มันก็สบายกันดี เดี๋ยวนี้ทุกๆ ศาสนามันถูกทอดทิ้ง คนเล่นตลกกับศาสนา คือปากว่าถือศาสนาแต่ใจไม่ถือ ใจเป็นทาสของกิเลส คือถือกิเลส ถือพระเจ้ากิเลส แต่ปากว่าถือศาสนา ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือว่าถือพระเจ้าองค์นั้น องค์นี้ มนุษย์ทั้งโลกจึงอยู่ในสภาพอย่างนี้ พวกฝรั่งก็ถือว่า พระเจ้าตายแล้ว มาตั้ง ๑๐ ปี ๒๐ ปีแล้วนี่ คือไม่มีศาสนาที่แท้จริงในจิตใจเขา มีแต่พอเป็นพิธี พอเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์อย่างอื่น พูดกันตรงๆ ก็เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่หาประโยชน์ตามเจตนารมณ์ของศาสนา
ทีนี้ศาสนาพุทธนี่ก็เหมือนกัน ถ้าพุทธบริษัทไปตามก้นฝรั่งเข้า มันก็เป็นอย่างเดียวกันอีก ก็มีศาสนาไว้หลอกๆ กัน ไม่พอที่จะแก้ปัญหาทุกอย่าง ทุกประการ ที่เกิดขึ้นเพราะอำนาจของกิเลสทั้งหลาย ที่มาจากคำพูดคำเดียวว่า ผัสสะ เดี๋ยวนี้มันมีปัญหาอีกอันหนึ่งเข้ามา ก็คือ ความเจริญทางวัตถุ ล้วนแต่จะเป็นเครื่องช่วยให้เกิดความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังนี้เกินเปรียบ หรือเหมือนกับพวกเทวดา พวกเทวดาสนุกสนาน เอร็ดอร่อยกันอย่างไร ไอ้ความเจริญทางวัตถุของมนุษย์มันก็เฉียดๆ เข้าไป อย่างนั้น คนก็เลยไปหลงความสุขชนิดนี้ หัวใจแท้ๆ มันไปหลงความสนุกชนิดนี้ มันก็เล่นตลกกับศาสนา แม้ว่าจะเจริญก้าวหน้าอย่างอื่น ทางการศึกษา ทางอะไรก็ตาม ไอ้ทางนี้มันก็ยังไม่เจริญ เพราะหัวใจมันไปสมัครเป็นทาสของกิเลสเสียแล้ว นี่ ความเจริญทางวัตถุมีมากเท่าไร ก็ทำให้คนเกลียดศาสนามากขึ้นเท่านั้น เว้นไว้แต่ว่าจะได้มีการศึกษาอบรมในด้านจิต ด้านวิญญาณให้มันเคียงคู่กันไป มันจึงจะได้ เดี๋ยวนี้เราไม่ทำ ในโลกไม่มีใครทำ กลับละเลย ละทิ้ง ส่วนที่เป็นเรื่องทางจิตใจ แล้วไปเอาไอ้เรื่องวัตถุ เจริญกันสุดเหวี่ยง
เรื่องนี้อาตมาพูดไว้ให้จำง่ายๆ ว่ามนุษย์ ต้องมีควาย ๒ ตัว เทียมชีวิตลากไป คือตัวหนึ่งเป็นเรื่องทางร่างกาย ตัวหนึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจ หรือวิญญาณ มันจึงจะเป็นมนุษย์ แล้วก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้เอาควายตัวเดียว เอาแต่ทางวัตถุ ก็ก้าวหน้าในทางเทคโนโลยีก็ผิดนี่ ของเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ทางจิต ทางอะไร ทางจิตทางใจด้วยก็ตาม เป็นเรื่องทางกามารมณ์ไปหมด จึงเป็นโลกของวัตถุนิยม บูชาความเอร็ดอร่อยทางวัตถุเป็นพระเจ้า ทีนี้ปัญหาก็เกิดขึ้นท่วมหัวท่วมหูยิ่งขึ้นไปอีกจนแก้ไม่ไหว ดูสิ จน อ่อน..อ่อน อ่อนใจหรือท้อใจ ถ้าไปมองกันในแง่นี้ นี้มันก็ยังโง่ต่อไปที่มันจะแก้ปัญหาเหล่านี้ ด้วยใช้อำนาจทางวัตถุ ก็จะผลิตกันอีกต่อไปอีก โดยเขาหวังว่า จะผลิตวัตถุขึ้นมาให้พอสำหรับหยุดความต้องการของมนุษย์ อย่างนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามันผลิตไปในทางที่จะส่งเสริมไอ้ความหลง ความเอร็ดอร่อยนั่นมากขึ้น นี่เราคอยดูกันต่อไปเกี่ยวกับข้อนี้
เดี๋ยวนี้ก็มีแต่เรื่อง สงครามเย็น คือ หลอกลวง กันยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน มันลำบากที่ว่าเราอายุยังน้อยไม่กี่ปี นี่พวกคุณที่อายุไม่ถึง ๓๐ ปี แล้วยิ่งเห็นน้อย ถ้าอายุสัก ๘๐ ปี ๙๐ ปี จะพอเห็นมาก ว่าชั่ว ๘๐ ๙๐ ปีนี่ มนุษย์มันเป็นผู้หลอกลวงกันมากขึ้นเท่าไหร่ มากขึ้นเท่าไหร่ สังเกตดูให้ดี สักชั่วระยะ ๒๐-๓๐ ปีนี้ก็จะมองเห็นว่ามนุษย์มันเป็นผู้หลอกลวงกันมากยิ่งขึ้นเท่าไร ก้าวหน้าในทางหลอกลวงซึ่งกันและกันนี่ พร้อมกันไปกับความก้าวหน้าทางวัตถุ ความก้าวหน้าทางวัตถุ ช่วยให้เห็นแก่ตัวมากขึ้น ยุคก่อนไม่มีรถยนต์ ไม่มี เรือ รถไฟ เรามีรถไฟ มียุครถไฟ ต่อมามียุคไฟฟ้า ต่อมามียุคปรมาณู มียุคอวกาศ กระทั่งมียุคปิงปอง ๒-๓ วันนี้ มันก็ยิ่งมีแต่เรื่องหลอกลวงมากขึ้นๆ เพราะมัน มันมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตัวมากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้น ก็ต้องหลอกลวงผู้อื่นมากขึ้น
นี้ปัญหาของสังคมมนุษย์ ตั้งต้นจาก ผัสสะ ที่มนุษย์ไม่รู้จัก ที่มนุษย์ควบคุมไม่ได้ เกิดกิเลสตัณหา พอกิเลสตัณหาครอบงำแล้วมันก็ไม่รู้อะไร มันเป็นของมึนเมายิ่งกว่าของมึนเมาใดๆ ในโลก วัตถุเสพติดมึนเมา เช่น กัญชา ยาฝิ่น นี่ก็ไม่มากเท่ากับความมึนเมาของอวิชชา ความไม่รู้ในทางฝ่ายวิญญาณ มนุษย์ก็เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ก็สร้างไอ้ปัญหานั่นแหละขึ้นมา สร้างความทุกข์อะไรขึ้นมา โดยไม่รู้สึกตัว ว่าที่จริงเขาก็มีความบริสุทธิ์ใจอยู่มากที่จะแก้ไขความทุกข์ แต่แล้วมันแก้ไม่ได้ เพราะไม่รู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ หรือว่า ต้นเหตุของความทุกข์ นี้หันไปพึ่งวัตถุ วัตถุมันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว ก็เลยสร้างไอ้ความทุกข์ ปัญหา ความทุกข์มันมากขึ้น ทีนี้ก็เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว
โลกมีอายุมาได้เท่าไหร่ พันปี หมื่นปี แสนปีก็ตาม มันก็คือ ความเจริญของความเห็นแก่ตัว นี่ประวัติศาสตร์ในด้านจิต ด้านวิญญาณ มันมีอย่างนี้ ยิ่งเวลานี้ ยิ่งเห็นแก่ตัว มีปัญหาเกิดมาจาก ความเห็นแก่ตัว ซึ่งมีมูลมาจากการไม่รู้เท่าทันสิ่งที่เรียกว่าผัสสะ ฉะนั้นช่วยจำไว้ให้ดี คำเดียวเท่านั้นว่า ความเห็นแก่ตัว ทีนี้การศึกษาของมนุษย์ในโลก ก็กลายเป็นสิ่งเพิ่มความเห็นแก่ตัวเพราะ ไม่ได้สอนเรื่องทำลายความเห็นแก่ตัว ไอ้วัตถุต่างๆ นี้ เจริญเท่าไร เพิ่มความเห็นแก่ตัวเท่านั้น การศึกษาก็เพื่อจะผลิตวัตถุให้ก้าวหน้า เรื่องจิต เรื่องวิญญาณ เป็นเรื่องหลอกๆ เรียนกันเล่นๆ หลอกๆ พอมันมีความเห็นแก่ตัวมาก มันก็มีความกลัวมาก มีความอยากมาก ก็มีความกลัวมาก ยิ่งอยากเท่าไร ยิ่งมีความกลัวมากเท่านั้น กลัวจะสูญเสียไอ้สิ่งที่อยาก ก็เลยคิดแต่จะป้องกันตัวจนไม่มีเหตุผล ก็คือการเบียดเบียนกัน ปัญหาทั้งหมดเกิดมาจากความเห็นแก่ตัวอย่างนี้
เดี๋ยวนี้ทั้งโลกมีปัญหา อันแรกก็คือ การวิวาท การทะเลาะวิวาทกัน การแก่งแย่ง แข่งดี อิจฉาริษยา เพราะความเห็นแก่ตัวนี้ เมื่อมันเป็นเป็น หนักเข้าๆ มันก็จะมีอะไรที่เกิน เกินคาด คนที่เห็นแก่ตัวหนักเข้านี่อาจจะถึงกับว่า ฆ่าพ่อแม่เสียเลย วางยาพิษ ฆ่าพ่อแม่เสียเลย เพื่อจะเอามรดก พอพ่อแม่ตายแล้ว ไอ้ลูกหลานมันก็ต้องรับมรดก ลูกหลานเห็นแก่ตัวจัดก็จะทำอย่างนี้ คอยดูไปก็แล้วกัน ถ้าการศึกษาของมนุษย์ในโลกเวลานี้ ยังมีแต่ให้เพิ่มความเห็นแก่ตัวอยู่อย่างนี้ จะถึงยุคหนึ่ง ซึ่งยุคฝ่ายลูกนี่จะวางยาพิษบิดามารดา เพื่อจะเอามรดก ไม่ใช่เป็นเรื่องพูดเล่น ความเห็นแก่ตัว ยิ่งเจริญงอกงาม นี่เป็นปัญหาหนึ่ง
ทีนี้ปัญหาถัดไปมัน ก็มันจะมีความเสื่อมสุขภาพในทางจิต ทางวิญญาณ เพราะกิเลสมันเผาผลาญ ไอ้ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละมันปิดบัง มันหุ้มห่อ มันเสื่อมสุขภาพทางจิตทางวิญญาณ เรียกว่าหิวเป็นเปรตอยู่เสมอ มันรู้จักหิว รู้จักอยากให้มากไปกว่าแต่ก่อน มาก แล้วมันไม่ได้ตามต้องการ ไม่ทันความต้องการ มันหิวเป็นเปรตอยู่เสมอ อย่างนี้เขาเรียกว่าความเสื่อมสุขภาพในทางจิต ทางวิญญาณ ศาสนา เขาเรียกว่าตัณหา มีแล้วก็หิวเป็นเปรต มันหิวด้วยความโง่ ถ้าหิวด้วยสติปัญญา ต้องการด้วยสติปัญญา มันจะพอดี มันไม่เป็นเปรต ถ้าอยากต้องการด้วยกิเลสตัณหามันเป็นเปรต ความอยากชนิดนั้นเขาเรียกว่า ตัณหา เรียกว่า กิเลสตัณหา
ศาสนาไม่ได้ต้องการให้คนหยุดความอยาก ต้องการให้อยากด้วยสติปัญญา คือลืมหูลืมตา รู้จักผิดชอบชั่วดี แล้วก็ต้องการ แล้วก็ทำไปตามที่ควรจะทำ ถ้าความอยากอย่างนั้น เขาไม่เรียกว่าตัณหา ความอยากที่เรียกว่าตัณหา มันอยากด้วยความโง่ ด้วยอวิชชา ด้วยความเห็นแก่ตัว เพราะนั้นอันนี้มันเป็นเครื่องทำลายสุขภาพทางจิต ทางวิญญาณ ทำมนุษย์ให้มีจิตใจอย่างไม่ใช่มนุษย์ แล้วมนุษย์ก็จะทำอะไรอย่างที่ไม่เป็นมนุษย์มากขึ้น มันก็มีจิต มีวิญญาณที่ไม่ใช่มนุษย์มากขึ้น นี่เสื่อมสุขภาพทางจิตใจ เปลี่ยนแปลงไป มีโรคทางจิตใจชนิดที่ไม่เคยมีแต่กาลก่อนเพิ่มขึ้น คนจะเป็นโรคประสาทมากขึ้น คนจะเป็นบ้ามากขึ้น กระทั่งจะเป็นอะไรที่ยิ่งไปกว่าบ้า ในโลกนี้มากขึ้น ลองอ่านดูหนังสือข่าวที่เขาลงๆ มนุษย์แม้ฝรั่ง มันเป็นโรคอะไรที่ยิ่งกว่าบ้า มันทำอะไรที่ไม่น่าจะทำได้สำหรับมนุษย์
ทีนี้มันก็เจริญอย่างบ้าหลังกันในทางอย่างนี้ มันก็ทำให้สูญเสียไอ้ทรัพยากรธรรมชาติไปในทางที่ไม่จำเป็น ขุดเอาทรัพยากรธรรมชาติทีมีค่ามาถลุงโดยไม่จำเป็น ไม่ใช้เป็นอาหาร ใช้เป็นส่วนเกิน เป็นกามารมณ์ มีรถยนต์ไว้ขี่ไปเที่ยวบางแสนกันมากกว่าที่จะไปกิจธุระการงานที่จำเป็น แม้กิจธุระที่จำเป็นมันไม่ต้องใช้รถยนต์ก็ได้ เดี๋ยวนี้ยิ่งกว่านั้นมันเอามาสำหรับฆ่าฟันกัน เอามาสำหรับทำสงครามกัน ขุดทรัพย์สมบัติของพระเจ้าในแผ่นดินมาถลุงเพื่อฆ่ากัน นี่ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งเพื่อมามอมมนุษย์นี่ให้เป็นคนบ้าไปหมด เป็นของมึนเมา ให้เป็นบ้ากันหมด เรื่องเอร็ดอร่อย สนุกสนาน สำอางอะไรต่างๆ โดยเห็นว่ามันกินอยู่อย่างเทวดามากขึ้น แต่จิตใจเลวลงอย่างสัตว์ หรือเลวกว่าสัตว์มากขึ้น มันก็เพิ่มปัญหา ไอ้กินอยู่อย่างเทวดานี่ก็เพิ่มปัญหาไม่หยอกอยู่แล้ว กินอยู่อย่างเทวดามากขึ้น จิตใจเลวลงมากขึ้น ทั้ง ๒ ชนิดนี้เพิ่มปัญหาให้แก่มนุษย์ ปัญหาที่ยากยิ่งขึ้นทุกที ปัจจัย ๔ มันก็ยิ่งขาดแคลน ปัจจัย ๔ เท่าที่จำเป็นแก่การประทังชีวิตนี่มันก็เกิดจะขาดแคลนมากขึ้นๆ จะขาดแคลนแก่พวกกระดูกสันหลังของประเทศนั่นล่ะก่อน
ไอ้สังคมกระดูกสันหลังนี่จะน่าสงสาร มันน่าเวทนา มันจะขาดปัจจัยที่จำเป็นแก่ชีวิตมากขึ้นๆ เพราะระบบเครื่องจักรมันเข้ามา ระบบนายทุนที่อำมหิตมันเข้ามาในโลกนี้ ไอ้ระบบเครื่องจักรนี่ทำการเอาเปรียบมาก พวกกระดูกสันหลังก็แย่ เมื่อหมุนไม่ทันมันก็จะเป็นคนที่ทนทุกข์ทรมาน นายทุนนั้นมีใจอำมหิต ไม่เหมือนกับพ่อเลี้ยง หรือไม่เหมือนกับเศรษฐี หรืออะไรในครั้งโบ-รมโบราณ ที่ปรากฏอยู่ในครั้งพุทธกาล ในประวัติศาสตร์ เศรษฐีในความหมายอย่างโบราณนั้นเขาไม่ใช่นายทุนที่อำมหิตเหมือนเดี๋ยวนี้ เขามีคนที่เขาเลี้ยงดูเหมือนลูกเหมือนหลานเป็นร้อยเป็นพัน เพราะมันยังเป็นสมัยที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ นับถือพระเจ้า ไม่ได้นับถือความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง นั้นจิตใจมันก็เลยมีเมตตา กรุณา เดี๋ยวนี้เอาพระเจ้าไปทิ้งเสียแล้ว ตายแล้ว มันก็เห็นแก่วัตถุ เห็นแก่เงิน เห็นแก่อะไรเหล่านี้ มันก็อำมหิต ใช้ระบบเครื่องจักรนี้ ทำอันตรายผู้ที่มีสติปัญญาน้อย มีกำลังน้อยเดือดร้อนไปหมด ถ้ากินอยู่อย่างเทวดามากขึ้น มีจิตใจเลวลงอย่างสัตว์มากขึ้น มันจะเป็นอย่างไร โลกเรานี้ นี่สังคมมนุษย์จะเป็นอย่างไร
ทีนี้ที่ว่าน่าประหลาด น่าอัศจรรย์เกินคาด ก็คือว่า ยิ่งมีการศึกษามากขึ้น ยิ่งมีอันธพาลมากขึ้น สมัยโบราณ เราไม่ค่อยรู้หนังสือกัน แต่อันธพาลมันยังน้อย อันธพาลไม่เป็น สมัยสุโขทัยคนยังรู้หนังสือไม่กี่คน สมัยกรุงศรีอยุธยานี่ยังรู้หนังสืออยู่ไม่กี่คน สมัยกรุงเทพฯ แรกๆ ก็คนยังรู้หนังสืออยู่ไม่กี่คน แต่ว่าสมัยกรุงเทพฯ ตอนปลายๆ นี่ คนรู้หนังสือกันมากขึ้น แต่แล้วผลก็คืออันธพาลมากขึ้น เพราะว่าสอนให้รู้แต่หนังสือนั้นมันสอนให้ฉลาดอย่างเดียว ไม่มีไอ้ความรู้เรื่องธรรมะ เรื่องบังคับจิตใจ ยิ่งฉลาดเท่าไร มันยิ่งเป็นอันธพาลเก่ง นั้นมันจึงเห็นไอ้คนที่รู้หนังสือดีๆ นั้นกลายเป็นอันธพาลอย่างลึกซึ้ง อันธพาลที่ไม่รู้หนังสือนี่ทำอะไรได้นิดหน่อย น้อยกว่า แม้จะทำทารุณอย่างอะไรที่เรียก ในหน้าหนังสือพิมพ์ มีอาชญากรรมทารุณนี่ มันก็ยังน้อยกว่าไอ้พวกที่ฉลาด แล้วทำไอ้..ทารุณกรรมที่ลึกซึ้ง เดือดร้อนกันมากกว่านั้น
แต่ข้อนี้มันก็ยุติได้ว่า ถ้าให้เรียนแต่หนังสืออย่างเดียว ให้การศึกษาให้ฉลาดอย่างเดียวละก็จะมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น รู้จักเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น มากขึ้น ละเอียดลึกซึ้งสุขุมยิ่งขึ้น นั่นแหละคนฉลาดจะเป็นอย่างนั้น แล้วการให้การศึกษาชนิดนี้ จะทำให้เกลียดศีลธรรมมากขึ้นเพราะมันเหินห่างจากศาสนา จากศีลธรรม ไปหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องที่จะให้กูฉลาด กูเก่งกว่าใคร กูเอาให้มากกว่าใคร เรื่องเห็นแก่ตัว พอเรียนจบก็พอเกลียด เกลียดศีลธรรมพอดี พอเรียนจบมหาวิทยาลัยก็พอเกลียดศีลธรรมกันพอดี นี่หมายความว่าถ้ามัวแต่เรียนกันอย่างสมัยใหม่นี่ เรียนเพื่อให้ฉลาดในการกอบโกยนั้น ไม่มีเรื่องจริยธรรม ไม่มีเรื่องอะไรที่มันควบคู่กันไป
ทีนี้ความเจริญทางวัตถุ ทำให้มนุษย์เกิดมากเร็วเกินไปจนควบคุมกันไม่ได้ อบรมกันไม่ได้ดูสิ ความเจริญทางวัตถุ เช่นว่า มีการหยูกยาดีขึ้น การแพทย์ดีขึ้น อะไรดีขึ้น มันก็มีมนุษย์มากเร็วเกินไปกว่าที่จะควบคุมกันได้ ก็เลยเสื่อมเสีย เสื่อมศีลธรรมในการที่มันมีคนมาก มากเกินไปแล้วควบคุมกันไม่ได้ ควบคุมกันไม่อยู่ ทีนี้ทุกคนมันเป็นโรคเห็นแก่ตัวจัดอย่างนี้แล้วมันก็ทำผิดหมด จะทำผิดหมด ไม่ว่าคนพวกไหนมันมีรากฐานอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว ก็ทำทุกอย่างผิดหมด ที่เห็นง่ายๆ พวกสื่อมวลชนทั้งหลายในโลกนี้ สื่อสิ่งที่ไม่ควรสื่อ คำว่าสื่อมวลชนนี่ คุณก็รู้ดีแล้วหมายถึงอะไรกี่อย่าง นับตั้งแต่หนังสือพิมพ์เป็นต้นไป ทุกอย่าง ร้อยอย่าง พันอย่าง มันก็สื่อสิ่งที่ไม่ควรสื่อ คือ สื่อ สิ่งที่ทำให้คนเห็นแก่ตัวจัด ให้มักใหญ่ใฝ่สูง ให้เห็นแก่ตัวจัด ให้เกิดการทะเลาะวิวาท ไปตามอำนาจของความเห็นแก่ตัวนี่ สื่อมวลชนไม่ได้สื่อ สิ่งที่ควรสื่อ ไม่ได้สื่อสิ่งที่จะทำให้คนบรรเทาความเห็นแก่ตัว ทำให้เห็นแก่ตัว ทำให้ ถือเรา ถือเขา ถือพวก ถือพ้อง เป็นพรรค เป็นพวก อะไรมากขึ้นๆ มันมีสื่อกันแต่อย่างนั้น ไม่ว่าอะไร คุณไปสังเกตดูก็แล้วกัน แล้วที่ร้ายกาจที่สุด ก็คือไอ้เรื่องทำให้หลงใหลความสุข ทางเนื้อหนัง ดูดนตรี ดูเพลง ดูอะไรต่างๆ ทางวิทยุ ไอ้อย่างไทยแท้ๆ ที่ทำให้คนเยือกเย็น ไม่มีน่ะ มีแต่อย่างร้อนๆ อย่างแบบใหม่ๆ ที่ทำให้คนมันร้อน นี่เรื่องดนตรี เรื่องเพลง เรื่องเต้นรำ อะไรต่างๆ เรื่องการ เป็นอยู่อะไรต่างๆ มันก็ แม้แต่โฆษณาขายของก็เพื่อให้คนหลงใหลไอ้เนื้อหนังมากขึ้น
มูลนิธิต่างๆ ก็ช่วยเหลือแต่ทางวัตถุ นี่ไม่ใช่แกล้งว่า ไม่ใช่ว่าจะแสดงไอ้ความดูหมิ่น แต่มองเห็นอยู่ว่ามูลนิธิทั้งหลายก็ให้ความช่วยเหลือแต่เรื่องทางวัตถุ แม้จะให้วิชาความรู้ก็ให้แต่เรื่องทางวัตถุ ให้ไปเรียนเรื่องอย่างที่ไม่มีอะไรดีขึ้น ไปเรียนแต่เรื่องที่เป็นเรื่องทางวัตถุ ที่ไม่อาจจะแก้ปัญหาทางจิตใจได้นี่ มูลนิธิทั้งหลายจะตั้งขึ้นมาเท่าไรมันก็ไม่แก้ปัญหาอะไรได้ เพราะช่วยแต่เรื่องทางวัตถุ ช่วยด้วยวัตถุโดยตรงบ้าง ให้กับความรู้ ให้การศึกษา ซึ่งมันเป็นแต่เพียงแต่เรื่องทางวัตถุบ้าง ไม่มีใครให้ความจำเป็นของเรื่องศีลธรรม จริยธรรม มันก็เลยยังไกลต่อ..ต่อ ต่อไอ้ความที่..ต่อความถูกต้อง ไกลต่อความที่จะหมุนกลับไปหาความถูกต้อง การศึกษา ก็ให้การศึกษาชนิดที่ทำให้คนเวียนหัวมากขึ้น คือสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องเรียนมันจะมีมากขึ้น แล้วสิ่งที่นิยมกันมากก็มีแต่ให้หลงใหลในเรื่องความเจริญทางวัตถุ ทำให้มีเรื่องพะว้าพะวังที่ต้องเรียนมากขึ้น จนเวียนหัว
วัดวาอารามก็ปล่อยควันสีขาวกันมากขึ้น วัดวาอารามของศาสนาทุกศาสนานี่มันปล่อยม่านสีขาว ความมืดสีขาวมันมากขึ้น ไม่ตรงตามความมุ่งหมายของพระศาสนา ทำให้คนงมงายหลงใหล นึกเกลียดศาสนาที่แท้จริง แล้วก็หันไปหาความนิยมทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง ทางเอร็ดอร่อย ทางสวรรค์วิมานอะไรมากขึ้น นี่เราจะเรียกว่าไอ้วัดวาอารามทั้งหลายมันก็ปล่อยควันสีขาวออกมามากกว่าเดิม มนุษย์ก็หมดที่พึ่ง เพราะว่าไอ้ที่พึ่งทางจิตใจก็อยู่ที่ศาสนา ที่วัดวาอาราม ที่มันกลายเป็นปล่อยไอ้หมอกควันสีขาว ยิ่งขาวมันก็ยิ่งปิดบัง คิดดู ไอ้ควันสีขาวขึ้นกรุ้มไปหมด มันก็มองไม่เห็นอะไร ก็เหมือนกับควันสีดำ เหมือนกัน ควันสีดำมันน่าเกลียด ควันสีขาวมันน่ารัก คนก็หลงกันได้มากกว่าควันสีดำ
ในที่สุดสิ่งที่เราบูชากันนักก็คือว่า ประชาธิปไตย ชนิดที่อำนาจเป็นใหญ่ในโลก คือ ประชาธิปไตยจอมปลอม เป็นประชาธิปไตยยังไงๆ กันก็ยังอำนาจเป็นใหญ่ในโลกอยู่หล่ะ นี่ประเทศที่เป็นประเทศใหญ่ๆ ที่เป็น.. ที่ได้เกียรติเป็นผู้นำทางประชาธิปไตยมันก็ยังมีอำนาจเป็นใหญ่ มีอำนาจเป็นใหญ่ในโลกตามที่พระพุทธเจ้าท่านว่า เรื่องนี้คุณก็ต้องจำไว้ว่า วโส อิสฺสริยํ โลเก มีผู้ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าอะไรมันเป็นใหญ่ในโลก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “วโส แปลว่า อำนาจ” “ อิสฺสริยํ เป็นใหญ่” “โลเก ในโลก” นี่ครั้งพระพุทธเจ้ามันก็มีอย่างนี้นะ ไม่ได้หมายความว่าธรรมะจะเป็นใหญ่ในโลก นี่กำลังพูดถึงเรื่องโลก ในโลก แล้วก็ไอ้อำนาจนี่มันเป็นใหญ่ในโลก พอมาพูดถึงในธรรม ทางธรรม ฝ่ายธรรม มันจึงจะมีธรรมะเป็นใหญ่ในธรรม นี่มนุษย์ยุคที่หลงใหลในวัตถุมากขึ้น ก็เป็นทาสของวัตถุมากขึ้น เป็นทาสของกิเลสมากขึ้น มันจะเอาธรรมะมาแต่ไหน มันไปเป็นทาสของภูติผีปีศาจทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนังหมดแล้ว มันจะเอาธรรมะมาแต่ไหน เพราะฉะนั้นอำนาจมันก็เป็นใหญ่ในโลกมากขึ้น มันหลงวัตถุ มันต้องการวัตถุ มันก็สร้างอำนาจ อำนาจมันก็เป็นใหญ่ในโลกมากขึ้น มันก็เลยเป็นประชาธิปไตยที่ว่า มีสิทธิที่ว่ามือใครยาวก็สาวเอาได้ นี่ประชาธิปไตย มันอยู่ที่นี่ ให้โอกาสแก่ว่าใครมือยาวก็สาวเอาได้ เขาเรียกว่าประชาธิปไตย คือให้โอกาส นี่ไม่ใช่เราจะมาตั้งบ่อนนินทา ด่าว่ามนุษย์กันที่นี่ เป็นแต่เพียงขอให้มองดูไว้ดีๆ ว่าอะไรมันเป็นปัญหาของสังคม แล้วมันมาจากอะไร
วันนี้เราพูดกันแต่เรื่องปัญหาสังคมที่กำลังเผชิญหน้ามนุษย์อยู่นี่ มูลเหตุอันแท้จริงเราไว้พูดกันวันอื่น วันนี้เราพูดแต่มูลเหตุใกล้ๆ คือ ผัสสะ ที่ทำให้มนุษย์หลงใหลในเนื้อหนัง แล้วเกิดกิเลส ปัญหาสังคมก็เกิดขึ้นตามที่กิเลสมันจะชักพาไป ดังที่ได้ยกตัวอย่างมาให้เห็น ให้มองดูรอบๆ ตัวเรา นี่มันเป็นอยู่อย่างนี้ นี่คือปัญหาสังคมของมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ ยุคที่ว่าเจริญที่สุด แต่เจริญทางวัตถุ แล้วก็มีความเสื่อมทางจิตใจ กินอยู่เหมือนเทวดามากขึ้น มีจิตใจเหมือนกับเปรต หรือสัตว์นรกมากขึ้น จริงไม่จริงไปสังเกตดูให้ละเอียด
แล้วก็อย่าลืมว่าการกระทำที่เป็นอันธพาลที่ไม่เคยมีในมหาวิทยาลัยนั้น มันก็มีมากขึ้น ก็จะยิ่งมากขึ้นต่อไปอีก หนังสือพิมพ์ ๒-๓ วันนี้ก็มีการทำลายสนามกีฬาแห่งชาติ ด้วยเหตุเล็กๆ น้อยๆ โดยพวกหนุ่มวัยรุ่นอันธพาล ซึ่งมันไม่เคยมี ทั้งๆ ที่กีฬากลายเป็นยาพิษที่จะส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ทำลายความเห็นแก่ตัว นี่ดูเถอะว่าปัญหาของมนุษย์ในยุคที่เรียกว่าเจริญยิ่งขึ้นนี้มันเป็นอย่างไร ปู่ ย่า ตา ยายของเรานอนใต้ถุนเรือนบนแคร่ตากลมเล่นจนสว่างสบายตลอดคืน เดี๋ยวนี้ไม่กล้านอน นอนมีคนมายิงตาย เพื่อจะเอาควายในคอกไป นี่ความเจริญ ผลของความเจริญ ความก้าวหน้า เปรียบเทียบกันเพียงห้าหกสิบปีนี้ มันต่างกันอย่างนี้ เอาไปคิดดู ว่าถ้าเราจะเป็นผู้ที่จะเห็นแก่สังคม ศึกษาเรื่องสังคม จะทำตนเป็นผู้มีอาชีพ ในทางทำประโยชน์แก่สังคม ก็ต้องเอาปัญหาเหล่านี้ไปคิดดู มันถึงจะทำได้ เราคงทำไม่ได้หมดตามที่เราหวัง แต่ว่าทำได้เท่าไหร่มันก็ดีเท่านั้น เพราะฉะนั้นจะต้องมีความอดทน ในการที่จะใช้ธรรมะให้ได้ ในการแก้ปัญหาทั้งหลายของมนุษย์เรา ไม่มีความอดทน มันเป็นไม่มีหวัง เพราะธรรมะมันต้องทำด้วยความอดทน มันจะไปฆ่า ไปตี ไปอะไรเขาไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านจะแนะว่า เราตายซะดีกว่าที่จะไปฆ่าคนอื่น แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ถืออย่างนั้นกันแล้ว เขาจะฆ่าคนอื่นได้ตั้งร้อย ตั้งพัน ตั้งหมื่น ตั้งแสน ตั้งล้าน เราคนเดียวอย่าตายก็แล้วกัน
นี่เรียกว่าทั้งหมดนี้เท่าที่เราพูดกันวันนี้ก็เพื่อว่าให้ดูกันในด้านลึก ในด้านจิต ด้านวิญญาณ ที่เกี่ยวกับมนุษย์ว่าธรรมะคืออะไร ความไม่มีธรรมะคืออะไร กิเลสคืออะไร ตั้งต้นกันที่ไหน ถ้าคุณสนใจจะใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาสังคมแล้ว มันหลีกไม่พ้นที่จะต้องศึกษาเรื่องนี้ ธรรมะมีความมุ่งหมายจะกำจัดปัญหาต่างๆ ที่มาจากกิเลส ต้องศึกษาเรื่องกิเลส ต้องรู้เรื่องกิเลส การเกิดขึ้นแห่งกิเลสในหมู่มนุษย์ แล้วจะเข้าใจธรรมะที่จะมีไว้ ที่มีไว้สำหรับจะแก้ปัญหานี้โดยตรง ซึ่งเราจะพูดกันวันหลัง
นี่วันนี้ก็เรียกว่าดูตัวปัญหา ในสายตาของนักธรรมะ หรือตามวิธีของนักธรรมะ เขาจะดูปัญหา คือ ความทุกข์ หรือต้นเหตุที่จะให้เกิดความทุกข์นั้นกันในลักษณะอย่างไร ถ้าตามวิธีของพระพุทธเจ้า ที่ต้องดูกันที่กิเลสอย่างนี้ อย่างที่ว่ามาวันนี้ ดูที่ต้นตอของมัน ว่ามีความโง่ มีความเข้าใจผิด เพราะเป็นทาสของผัสสะ ก็เกิดกิเลสตัณหานานาชนิด ทำไปตามกิเลสตัณหาในสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ก็ต้องหาทางต่อสู้ป้องกันให้ตนได้ทำให้มากเพื่อเอาเปรียบผู้อื่น โลกจึงเป็นอย่างนี้ นี่คือปัญหาของสังคมมนุษย์ในโลกปัจจุบัน เมื่อดูกันกว้างๆ ทั้งโลกไม่ใช่เฉพาะแต่บ้านเรา เอาละพอกันที