แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
แต่ก่อนวัดเป็นพิพิธภัณฑ์ไม้ผล ที่วัดที่ผมอยู่นั้นมีมะม่วงอย่างเดียวตั้งเกือบ ๒๐ ชนิดไม่ซ้ำกันเลย มาเดี๋ยวนี้มันก็ค่อยตายไปอย่างน่าเสียดาย และวัดเป็นพิพิธภัณฑ์ไม้ดอกไม้ใบอันประหลาดและสวยงามทั้งบนบกและในน้ำ มันมีลานวัดมันมีสระน้ำ ไม้ใบไม้ดอกอันสวยงามและประหลาดนั้นไปดูที่วัด เพราะเราชอบไปวัดก็ไปดูไอ้สิ่งเหล่านี้ ที่บ้านมันไม่มี มันแคบ วัดมันกว้างและมันมีไม้ดอกสวย ไม้ใบสวยประหลาด ก็พยายามจะหามาใส่ไว้ให้ครบเมื่อ เมื่อมีการสร้างวัดที่วัดสมุหนิมิต ที่ทันเห็นทันเห็นไอ้ต้นไม้เหล่านั้นมีอยู่มาก ที่ประหลาดที่สุด ดอกจำปาสีม่วงแท้ ๆ ก็มี ดอกจำปาสีม่วงคุณเคยเห็นอะ แต่ว่ากลีบมันยู่ยี่เหมือนกับปีกจิ้งหรีด และดอกมันสีม่วง หรือสีครั่ง เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว มันปล่อยให้ตายหมดแล้ว แล้ววัดเป็นพิพิธภัณฑ์ต้นไม้หยูกยานานาชนิด ไม้อะไรที่จะเป็นยาได้ ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นเล็กต้นน้อยเป็นหญ้าเป็นบอนอะไรเขารวบรวมมาไว้ในวัดเขาไม่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องการจะเรียนหนังสือเป็นนักปราชญ์ แล้วก็ไม่รู้จักเอาใจใส่ผู้อื่น นี่ วัดช่วยกันมีไม้หยูกไม้ยานานาชนิดไว้ในวัด เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็วิ่งไปเก็บที่นั่นที่นี่มา ในวัดนี่ต้มเป็นยาหม้อกินได้ทันทีนี่สมัยโน้น สมัยนี้ไอ้เรื่องหยูกยานี้มันเปลี่ยนแปลง แต่ว่าก็ยังควรจะมี มันเป็นพิพิธภัณฑ์ไม้หยูกยาสวนสมุนไพรอยู่เลยในวัดนี้ ยังมีเบ็ดเตล็ดไม้ใช้ประโยชน์ เช่น ไม้ยางนี้ ต้นยางใหญ่ ๆ นี้ก็มีในวัด ก็เรียกว่ามันมีไม้สารพัดอย่าง วัดคืออาราม อารามคือสวนป่าเต็มไปด้วยไม้นานาชนิดให้ความสบายใจให้ความรู้ให้จิตใจคิดที่ดี แต่โบราณไม่ค่อยมีสนามหญ้าในวัดแต่ก็มีลานทรายที่น่ารื่นรมย์อยู่ใต้ต้นไม้นั่นแหละที่ข้างบนร่มไม้ข้างล่างเป็นทราย อย่างนี้คือความหมายของคำว่าอาราม สวนป่าน่าชุ่มชื่นใจ นี่เรียกว่าสมัยโบราณ วัดเป็นอารามอย่างนี้ สมัยนี้วัดหมดความเป็นอาราม คนที่อยู่มันก็เลยไม่เป็นคนที่ควรจะอยู่ในอาราม แปลคำจำกัดความว่าอย่างนี้ นี้ประโยชน์ของคำว่าอารามตามความมุ่งหมายของวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวพุทธนี่ อารามมีประโยชน์อะไร รู้กันแล้วอารามเต็มไปด้วยสวนป่า พิพิธภัณฑ์ไม้นานาชนิดไม้ดอกไม้ใบอะไรต่าง ๆ นี่ นี้เป็นความหมายอาราม อารามในความหมายอย่างนี้ในลักษณะอย่างนี้มันป้องกันโรคจิตทรามของมนุษย์ มนุษย์เป็นโรคจิตทรามเพราะวัตถุนิยมอย่างลึกซึ้งไม่รู้สึกตัว อารามจะช่วยเป็นเครื่องป้องกันโรคจิตทรามของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง คนทุกวันมองไม่เห็น คนทุกวันเป็นโรคจิตทราม ตะเกลอะ เอ่อ, ตะกละในทางวัตถุ ตะกละเงินตะกละของเป็นโรคจิตทราม เพราะใจมันหรือว่าตามันก็มองเห็นแต่เรื่องวัตถุ ส่วนคนแต่โบราณนั้นตามองเห็นต้นไม้เห็นความสงบเย็นเห็นธรรมชาติอันสงบเย็น จิตมันน้อมไปทางสงบเย็น เหมือนที่เราเคยพูดเปรียบเทียบให้ฟังว่า ไปนั่งที่หินโค้งนั่นแล้วก็ไปนั่งที่กลางตลาด มันจะต่างกันอย่างไร ต้นไม้ ก้อนหิน ก้อนดินในอารามมันแวดล้อมจิตใจไปในทางเย็น ไม่ละโมบโลภลาภ แต่ถ้าไปนั่งในระหว่างตึกระหว่างรามระหว่างสมบัติพัสถาน มันก็เป็นโรคจิตทราม คือมันตะกละวัตถุ เป็นทาสของอายตนะมากขึ้น สิ่งที่เรียกว่าอารามนั้นมีไว้ป้องกันโรคจิตทรามของมนุษย์ มีประโยชน์ลึกซึ้งสูงสุดเหลือจะพรรณนา แต่บุคคลทุกวันนี้มองไม่เห็น พยายามจะเห็นว่าอารามนี้เป็นปอดเมือง ปอดเมืองอย่างที่เรียกกันใหม่ ๆ ปัจจุบันนี้ว่า ไอ้พาร์ค หรืออุทยานนี้เป็นปอดของเมือง คนจะได้ไปหายใจที่นั่น อย่างนี้เขารู้กันมาก่อนแล้วตั้งหลายร้อยหลายพันปี ไอ้พวกนี้โง่ ๆ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่าอุทยานเป็นปอดเมือง มาคุยโตว่าตัวเองมันรู้ เขารู้กันมาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว ที่ดีไปกว่านั้นก็คือว่า ไอ้อารามหรือป่าไม้ร่มเย็นเป็นธรรมชาติอย่างนี้มันช่วยให้มีการได้นิพพานอย่างบังเอิญได้โดยง่าย นิพพานประจวบเหมาะ นิพพานบังเอิญที่พูดกันมาหลาย ๆ หนแล้ว ว่าถ้าสิ่งแวดล้อมมันประจวบเหมาะแล้ว มันจะแวดล้อมจิตใจให้เย็นวาบลงไปทันที เย็นวูบลงไปทันที สำหรับทายก ทายิกา ร้อนมาจากบ้านพอเข้ามาในอารามมันเย็นลงทันที พวกต่างจังหวัดมาที่วัดเรานี้ว่าเย็นสบายเป็นสุขบอกไม่ถูก นิพพานบังเอิญอย่างนี้มันมีง่าย ๆ มันแจกฟรี เพราะอำนาจของสิ่งที่เรียกว่า ความเป็นอาราม
ทีนี้ประโยชน์ของอารามนี้มันจะช่วยอบรมเด็กเล็ก ๆ ให้รักธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติไปเสียตั้งแต่เล็ก ๆ มันก็ไม่ตะกละเรื่องกินเรื่องกามเรื่องเกียรติมากนัก เพราะมันหาความสุขความสงบเย็นใจได้จากธรรมชาติ มันช่วยแบ่งมาเสียครึ่งนึง มันรู้จักรักธรรมชาติเป็นเกลอกับธรรมชาติ เด็กสมัยก่อนไม่คิดไม่นึกที่จะหานั่นหานี่มาประดับนั่นประดับนี่ ได้เล่นตามทุ่งนาก็สบายใจแล้ว แล้วมันก็ไม่เป็นอันธพาลในมหาวิทยาลัยเหมือนเด็กสมัยนี้ เพราะมันเป็นเกลอกับธรรมชาติ มันรักธรรมชาติ ธรรมชาติมันดึงดูดจิตใจไปเสีย นี้เป็นการอบรมเด็ก ๆ ให้รักธรรมชาติโดยไม่รู้สึกตัว
เอาละทีนี้เรามีป่าไม้ทั่วไปทั้งวัดนี้ มันจะได้มีนกร้องเพลงให้ฟังแทนเพลงวิทยุหรือเพลงโทรทัศน์ที่ดังออกมาจากห้องนอนของพระ เพลงวิทยุบ้าง เพลงโทรทัศน์บ้างดังมาจากห้องนอนของพระ เพราะมันไม่มีเห็นนกที่จะร้องเพลงให้ฟัง เรามีต้นไม้มาก ๆ นกมีมาก มันร้องเพลงให้ฟัง ไม่ต้องไปหวังที่จะฟังเพลงวิทยุจากห้องนอนของพระ ของเณร มันดีอย่างนี้ ทำให้ใกล้นิพพานมากขึ้นอย่างนี้ มันมีวิวทิวทัศน์อันสวยงาม รักษาโรคเส้นประสาทของประชาชน ถ้าวัดอยู่ลักษณะที่เป็นอารามไม่ใช่เป็นวัดอย่างเดี๋ยวนี้ วัดเป็นอารามไปตามเดิมนี้จะมีวิวสวยงามทิวทัศน์สวยงามรักษาโรคเส้นประสาทของประชาชน นี่ทำไมเราจึงสะสมพันธุ์ไม้ ทำไมเราจึงเลี้ยงสัตว์นานาชนิดไว้ในวัด มันเนื่องกันสัตว์มันอยู่กับต้นไม้ ต้นไม้มันก็ประกอบกันกับสัตว์แล้วมันก็เป็นอาราม
นี้สรุปความว่าเราจงช่วยกันทำวัดให้เป็นอาราม ผมขอร้องขอวิงวอนพระเณรทั้งหลายว่าช่วยกันทำวัดให้เป็นอาราม ให้เกิดความเจริญตาเจริญใจ เย็นอกเย็นใจ เพราะมีต้นไม้โดยเฉพาะเป็นพิพิธภัณฑ์ไม้ศักดิ์สิทธิ์ ไม้มีผล ไม้ดอก ไม้ใบ ไม้หยูกไม้ยาไม้อะไรสารพัดอย่าง นี้เป็นอาราม เพื่อเห็นแก่พระพุทธเจ้า เพื่อเห็นแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านประสูติใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ นิพพานใต้ต้นไม้ เพราะฉะนั้นขอให้ถือว่าต้นไม้เป็นของศักดิ์สิทธิ์เนื่องด้วยพระพุทธเจ้า อย่าไปฆ่าไปฟันมันง่าย ๆ ความเป็นอารามมันก็จะเหลืออยู่ พระพุทธเจ้าเป็นนักธรรมชาติชอบธรรมชาติ ชอบต้นไม้ ผมอ่านพบในหนังสือพุทธประวัติปฐมสมโภชน์ เขามาทูลเชิญพระองค์ให้ไปโปรดบ้านโปรดเมือง ตรัสรู้แล้วควรจะไปโปรดญาติที่เมืองกบิลพัสดุ์ ผัดเพี้ยนไม่ไปอยู่ตั้งหลายครั้งหลายหน มีนักเลงดีมาทูลว่าเดี๋ยวนี้ธรรมชาติกำลังสวยงามเป็นฤดูใบไม้ผลิ เสด็จผ่านจากที่นี่ไปยังกรุงกบิลพัสดุ์จะพบอย่างนั้นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ไป นี้อย่าเข้าใจว่าความเกิดขึ้นของธรรมชาติอันสวยงามนั้นจะไม่มีผลแม้แก่พระอรหันต์ มันยังมีผลแก่ แม้แต่จิตใจของพระอรหันต์ ฉะนั้นเราอย่าโง่ให้มากเกินขอบเขตเลย ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่านั่นโคนไม้ นั่นโคนไม้ จะอ่านให้ฟัง บาลีตอนนี้ภิกษุทั้งหลาย จิตอันใดที่ศาสดาผู้เอ็นดูแสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูนั่นแล้วจะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย จิตนั้น ๆ เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายนั่นโคนไม้ นั่นที่สงัด เธอจงทำความเพียรของกิเลสอย่าได้ประมาทเลย พวกเธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย นี่แหละวาจาเรื่องต้องสอนพวกเธอทั้งหลายของเราตถาคต พระพุทธเจ้าท่านตรัส นั่นโคนไม้ นั่นโคนไม้ นั่นที่สงัด นั่นโคนไม้ นั่นที่สงัด ถ้ามันตัดต้นไม้ลงหมดแล้วมันจะเอาอะไรที่ไหนมาชี้ว่านั่นโคนไม้ มันก็แสดงว่าเป็นการทำลายสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์จะให้มีอยู่ใกล้ชิดพวกเรา นั่นโคนไม้ จงไปอยู่ที่ตรงโคนไม้อย่างนี้ แล้วต้นไม้มันจะได้ช่วยหลายอย่างทุกอย่างทุกทาง ให้ความสะดวกในการประกอบความเพียรทางจิตใจนี่ ต้นไม้มันร้องตะโกนอยู่เสมอว่า หยุด เย็น หยุดเสียบ้าง เย็นเสียบ้าง ยอมเสียบ้าง อย่าบ้าไปนักเลย พวกมนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย หยุดกันเสียบ้าง เย็นกันเสียบ้าง ยอมกันเสียบ้าง อย่าบ้าไปนักเลยพวกมนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย มนุษย์มันไม่ฟังเพราะหูมันหนวกมันไม่ได้ยินถ้ามันมีสติปัญญา มันก็จะได้ยิน ถ้ามันชอบธรรมชาติมาแต่เดิม มันก็จะได้ยินนี่ นี่มันสอนเรื่องนิพพานของพระพุทธเจ้า ว่าหยุดนี่คือหยุดบ้า หยุดโลภ หยุดโกรธ หยุดหลง เย็นคือสงบกันเสียบ้าง ยอมก็คืออย่าถือตัวกูของกู โอหัง ยกหูชูหาง ให้มันยอม รู้จักยอม ยอมนิ่ง แม้เราถูกเราก็ยอมนิ่ง เขาเป็นฝ่ายผิด เราเป็นฝ่ายถูกก็ยังยอม ยังยอมนิ่ง นี่ต้นไม้มันสอนอย่างนี้ ไม่ด่าตอบไม่ตีตอบไม่อะไรหมด สรุปความว่าต้นไม้นี้มันเป็นอนุสาวรีย์อย่างดีที่สุดถึงพระพุทธองค์ จะทำหน้าที่แทนพระพุทธองค์ จะเป็นอนุสาวรีย์ของพระพุทธองค์ในลักษณะต่าง ๆ อย่างที่ว่ามานี้ เดี๋ยวนี้พวกเรามันดูหมิ่นต้นไม้ ไม่เอาใจใส่ ละเลย ไม่พยายามที่จะให้มันมีขึ้นหรือเจริญอยู่ สนใจแต่เรื่องความสุขสนุกสนานของตัว เขาเอามาพูด แม้แต่เรื่องเกี่ยวกับเลี้ยงสัตว์หรือต้นไม้ ซึ่งมันมีความสำคัญในการที่ว่าจะทำอะไรให้สมตามความหมายของคำว่าอารามนี้ได้ อย่าได้เห็น อย่าได้มองข้ามสิ่งเหล่านี้ หรือเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์ มันยังยิ่งจะมีประโยชน์ มันยังสำคัญที่จะป้องกันโรคจิตทรามของมนุษย์ อย่างมีนกมาร้องเพลงให้ฟังโดยไม่ต้องเปิดวิทยุเพลงฟัง นี่มันจำง่ายดี ลงความว่าอย่าเห็นแก่เรื่อง อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ให้เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่เสมอ ผมขออภัย ตอนนี้ผมขออภัยจะพูดว่า พวกคุณนี้เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยเสียหมด ไม่เห็นเรื่องที่จริงหรือสำคัญนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเสียหมด ถ้ามันโง่ มันก็เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ผมไม่อาจจะเห็นสิ่งใดเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะโยมผู้หญิงของผมอบรมมาในลักษณะอย่างนั้น จะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ได้ จะยกตัวอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ให้ฟัง ว่าเมื่อมีห่อของส่งมา บอกให้เณรแก้ห่อ แล้วก็ให้สนใจกับเชือกที่ผูกหรือหีบกระดาษที่ห่อนั้นก่อน ของข้างในอย่าเพิ่งสนใจ เก็บเชือกเก็บเปลือกห่อนี้ให้ดีเสียก่อน ไอ้เณรมันก็หัวเราะเยาะผมว่าผมบ้า ผมก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร เราอยู่ในร้านขายของจะต้องสนใจกับไอ้เชือกหรือไอ้เครื่องผูกหีบห่อนี้ก่อน จัดให้มันเสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วจึงจะมาจัดการกับของในหีบ นี่มันคล้าย ๆ กับว่าไปสนใจเปลือกยิ่งกว่าเนื้อ ขอให้ลองคิดดูให้ดี นี่เพราะว่าไปเห็นสิ่งนั้นว่าเล็กน้อย แล้วสิ่งนั้นมันก็มิได้เล็กน้อยเลย นี่ต้องการให้เห็นทุกสิ่งไม่ใช่เป็นของเล็กน้อย อย่างนี้ก็หาว่าผมจู้จี้พิรี้พิไร มันก็เลยลำบาก ที่ผมจู้จี้พิรี้พิไรก็กลัว ก็กลัวว่าพวกคุณ เพราะพวกคุณจะไม่สนใจกับสิ่งที่ควรสนใจ แล้วก็ไปเห็นเป็นเรื่องเล็ก ๆน้อย ๆ เสีย ผมจึงทนให้พวกคุณหัวเราะว่าผมขี้เหนียว ว่าผมจู้จี้พิถีพิถัน มัธยัสถ์ หรือว่าโง่เกินไปหรืออะไรก็ตามใจ ผมอยู่ในลักษณะที่ต้องทนและยอมทนให้พวกคุณหาว่าขี้เหนียว ขี้เหนียวเพื่อให้คุณมีใช้ ถ้าจะขี้เหนียวอะไรไว้ ก็ว่าเพื่อคุณจะสะดวกจะมีอะไรใช้ นี่ผมจะเอาไปไหนได้ รอบคอบจู้จี้พิถีพิถันก็เพราะว่ามันเป็นอันตรายแก่จิตใจอย่างยิ่ง ถ้านิสัยมันหยาบแล้ว มันจะรู้เรื่องนิพพานไม่ได้ เรื่องนิพพานมันละเอียดละออกว่านั้นมาก
ฉะนั้นหัดเป็นคนที่ว่าละเอียดละออกันบ้าง โดยให้ทุก ๆ อย่างในพระอารามนี้มันเป็นบทเรียน ให้เป็นคนละเอียดละออ ให้เป็นคนรอบคอบ ให้เป็นคนมัธยัสถ์ และให้เห็นแก่ผู้อื่นด้วยอย่าเห็นแก่ตัวนักเลย และก็ไม่จองหองพองขน เอาใจใส่ผู้อื่นว่าแม้แต่แมวมันจะได้กินข้าวแล้วหรือยัง มันช่วยไม่ได้ก็ผมถูกอบรมมาอย่างนี้ ก็ไม่มีอะไรอื่นที่จะมาพูดให้ฟัง นี่ผมนี่รอดตัวมาได้ด้วยก้านมะยม โยมผู้หญิงเลี้ยงต้นมะยมไว้ต้นหนึ่ง ไว้รูดเอาก้านมาหวดพวกเรานี่ ยังแถมแนะเพื่อนบ้านของแกด้วยว่าตีตั้งชั่วโมงก็ไม่เป็นอันตรายอะไร ถ้าหวดด้วยก้านมะยมตั้งชั่วโมงก็ไอ้ ไอ้ลูกนั้น เนื้อของลูกนั้นก็ไม่เป็นอันตรายอะไร แต่แล้วมันเจ็บเสียเหมือนกับถูกไฟฟ้า ถูกเข้า ๒ – ๓ ทีมันก็จำ ถ้าเราจะไปทำเล่น ๆ เล็ก ๆน้อย ๆ ไม่สนใจแก่เรื่องอะไรนี้ไม่ได้ แม่จะหวดด้วยก้านมะยม มันก็เลยติดเป็นนิสัยว่ามันเป็นเรื่องจู้จี้พิถีพิถันอะไรเกินไปจนพระเณรหัวเราะว่าสนใจแม้แต่เชือกผูกของ ต้องเก็บให้เรียบร้อยเหมือนกับไอ้สิ่งของที่มันมีค่าเหมือนกัน นี่พระเณรองค์ไหนอยากไปนิพพานต้องเปลี่ยนนิสัยที่หยาบคายที่ไม่ละเอียดละออนั้นเสียใหม่ ให้มันมาเป็นนิสัยที่ให้ความสนใจแก่ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างละเอียดละออ ทำวัดให้เป็นอาราม ทำตัวเองให้เป็นภิกษุสามเณรที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า แล้วก็อย่าไปหลงใหลในการศึกษาที่มันทำให้โลกนี้วินาศ การศึกษาที่มันผิดอยู่ในปัจจุบันนี้ปรับปรุงแก้ไขให้มันใหม่เสียถูก ให้มันถูกต้องเสียใหม่ แม้ในวัดในวานี้เอง แล้วก็อย่าได้ดูถูกศาสนาอื่นเลย มันเป็นอย่างเดียวกัน สนใจแม้แต่สัตว์ สนใจแม้แต่ต้นไม้เถิด แล้ววัดนี้ก็จะเป็นอาราม ช่วยให้คนบรรลุนิพพานประสบกับประจวบเหมาะนั้นได้ง่ายขึ้น มันก็คุ้มกันแล้วที่ไปเอาข้าวสุกของชาวบ้านมากินทุกวัน ไม่ต้องมีหนี้สินติดตัวไป นี่ผมก็รู้สึกเหนื่อย รู้สึกว่าการพูดครั้งที่สองนี้ควรจะยุติที พูดมากเฉพาะภิกษุสามเณร สามทุ่มถ้ามีโอกาสพูดอีกก็จะพูดเรื่องชาวบ้านบ้าง เดี๋ยวจะว่าด่าแต่ภิกษุสามเณร อ้าว, พอกันทีก่อน