แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิกและท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายเกี่ยวกับการล้ออายุในตอนที่ ๒ นี้ ต่อจากตอนที่กล่าวมาแล้วเมื่อตอนเช้า แต่ว่าเมื่อตอนเช้าได้กล่าวถึงลักษณะทั่ว ๆไป ไม่ระบุเกี่ยวข้องกับพวกใด ในหมู่พุทธบริษัททั้ง ๔ ส่วนในตอนนี้จะได้กล่าวถึงข้อความที่เกี่ยวกับภิกษุสามเณรเป็นส่วนใหญ่ และถ้าจะมีต่อไปในตอนค่ำ ก็จะได้กล่าวถึงส่วนที่เกี่ยวกับฆราวาส คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ทั้งนี้เพราะเหตุว่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับภิกษุสามเณรนั้นมีอยู่บางอย่างที่มันแปลกเป็นพิเศษจากที่คฤหัสถ์เขาจะต้องเกี่ยวข้องด้วย เช่นมีหน้าที่ต่างกัน มีการเป็นอยู่ที่ต่างกัน ดังนั้นปัญหามันก็ต้องแตกต่างกันบ้างเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้จึงต้องขอโอกาสแยกกล่าวกันคนละที
ในตอนอันเกี่ยวกับภิกษุสามเณรนี้ ก็อยากจะเริ่มขึ้นด้วยการตักเตือนให้พิจารณากันดูให้ดี ๆ ว่าภิกษุ สามเณรสมัยปิงปองนี้ก็ยิ่งเป็นลูกปิงปอง ยิ่งขึ้นกว่าเขาด้วยเหมือนกัน สมัยปิงปองนี้มันยังใหม่สำหรับคนบางคน แต่ขอให้เข้าใจกันสั้น ๆ ว่าโลกสมัยนี้เป็นโลกที่มีอะไร ๆ เหมาะสมที่จะเรียกว่าโลกสมัยปิงปองเป็นอย่างยิ่ง โลกเราเจริญเรื่อยๆ มานับตั้งแต่สมัยอายุหิน เป็นคนป่า เจริญขึ้นมาเป็นสมัยโลหะ เป็นสมัยเพาะปลูกเป็นล่ำเป็นสัน ตั้งสมัยที่มีอะไร ๆ ก้าวหน้ามาตามลำดับ กระทั่งมีเรื่องวิทยาศาสตร์ เกิดนั้น เกิดนี่ขึ้นมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มียุคสมัยปรมาณู เอาสิ่งที่ไม่เคยรู้จักกันมาแต่ก่อนนั้นมาใช้เป็นประโยชน์ แล้วก็มาถึงสมัยอวกาศไปโลกพระจันทร์ แล้วมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มันวกกลับมาหาสมัยที่เหมือนกับเป็นลูกปิงปอง คิดดูให้ดี เดี๋ยวนี้จิตใจของมนุษย์กระดอนไปกระดอนมาจนไม่รู้ว่าจะหยุดอยู่ที่ไหน นอกจากการหยุดก็คือตกไปจากโต๊ะ ยุบแหลกละเอียดไป นี่ขอให้สนใจสังเกตดูให้ดี ๆ ว่าจิตใจของมนุษย์กำลังเป็นเหมือนกับลูกปิงปองยิ่งขึ้นทุกทีและก็ยิ่งขึ้นทุกที จนเดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม นั่นแหละมันจึงกระดอนไปกระดอนมา ไม่มีจุดว่าจะหยุดอยู่ที่ไหน นอกจากจะไปจบไปสิ้นลงด้วยการยุบ ด้วยการแตก เรื่องนี้ก็เคยได้พูดกันมามากแล้วว่าจิตใจของมนุษย์นี้ระส่ำระสายยิ่งขึ้นล เพราะยิ่งเรียนก็ยิ่งไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม โรงเรียนก็ไม่สอนว่าเกิดมาทำไม มหาวิทยาลัยก็ไม่สอนว่าเกิดมาทำไม สังคมบัณฑิตนักปราชญ์ที่ไหน เขาก็ไม่พูดไม่ถกไม่เถียงกันถึงข้อที่ว่าเกิดมาทำไม เขาพูดกันแต่ในข้อที่ว่าจะหาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังได้อย่างไร และจะเอาเปรียบผู้อื่นกอบโกยเอาความสุขนี้มาสำรองไว้ให้มากอย่างไร แล้วจะทำสงครามล้างผลาญกันอย่างไร จะมีกลโกงทางเศรษฐกิจ รวบรัดเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาไว้เป็นของตนได้มากอย่างไร จนกระทั่งนอนไม่หลับ นี่เรียกว่ามันเป็นจิตใจที่ระส่ำระสาย ไม่รู้ว่าจะไปหยุดอยู่ที่ไหน ขอให้ระวังให้ดี ๆ
ทีนี้ที่เกี่ยวกับภิกษุสามเณรสมัยปิงปองนี้ มันก็มีเรื่องที่จะต้องดูว่าในทางปริยัติก็ดี มันก็จะกลายเป็นปิงปองไปด้วย ในทางวิปัสสนาก็ดี มันจะกลายเป็นปิงปองไปด้วย ในทางธรรมทูตเผยแผ่พุทธศาสนาก็ดี มันจะกลายเป็นปิงปองไปด้วย หรือว่าอย่างน้อยที่สุด มันก็ทำสิ่งเหล่านี้แต่เพียงว่าเป็นสะพาน คำว่าสะพานนี้ ใครก็พอจะรู้ว่ามันเป็นเครื่องทอดสำหรับข้ามฟากไปยังจุดใดจุดหนึ่ง ถ้ามันจะเป็นสะพานทอดข้ามวัฏสงสาร มันก็เป็นการดีแน่ แต่นี้กลัวว่ามันจะเป็นการทอดเพื่อให้จมลงไปในวัฏสงสารนั่นเสียมากกว่า การปริยัติก็เรียนกันเพียงเป็นเพื่อสะพาน สำหรับจะออกไปประกอบอาชีพให้สะดวกดาย ให้มีประโยชน์มาก ไอ้การวิปัสสนาธุระซึ่งมันเคยอยู่สูง มันก็กลายเป็นสะพานเพียงสักว่าอาจารย์วิปัสสนานี้ไม่ต้องการอะไรมาก ต้องการจะมีบุหรี่สูบมาก ๆ ต้องการจะมีน้ำชากาแฟกินมาก ๆ ต้องการจะมีลูกศิษย์ลูกหาคอยพะเน้าพะนอ เอาอกเอาใจมาก วิปัสสนาธุระก็กลายเป็นสะพาน ซึ่งงานธรรมทูตเผยแผ่ในประเทศก็ดี นอกประเทศก็ดี ทำไปเพียงสักว่าเป็นสะพานของอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้มีการปฏิญญาตัวว่าจะอุทิศชีวิตแก่พระพุทธศาสนา มันก็ยังสึกออกไปได้ นี่แหละเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ปริยัติก็ดี วิปัสสนาก็ดี ธรรมทูตก็ดี กลายเป็นเพียงสะพานไปหมด ก็เรียกว่าภิกษุสามเณรในยุคปิงปอง มันเป็นลูกปิงปองมากขึ้นทุกที ความเป็นอย่างนี้มันก็ขึ้นอยู่กับปัญหาที่ว่าเกิดมาทำไมอีกนั่นเอง ไม่รู้ว่าจะเรียนปริยัติ วิปัสสนา หรือทำธรรมทูตไปทำไม จะพาคนไปที่ไหนมันก็ไม่รู้ ในที่สุดมันก็กลายเป็นตกสะพานกันหมด จมลงไปในคลอง ในน้ำ ในวัฏสงสาร
นี้เป็นข้อแรก เป็นข้อแรกที่ต้องเอามาดู ดูแล้วมันก็เศร้า เศร้าจนล้อไม่ได้ ล้อไม่ลง ไม่รู้ว่าจะล้ออย่างไร มันมากเกินไปกว่าที่จะเอามาล้อเสียแล้ว นี่ข้อที่ว่าเราไม่สนใจที่จะสอนกันว่าเกิดมาทำไม บรรพชิตมีหน้าที่อย่างไร ฆราวาสมีหน้าที่อย่างไร แล้วมันต่างกันที่ตรงไหน ใครอยู่ข้างต้น ใครอยู่ข้างปลาย เดี๋ยวนี้มันก็จะกลายเป็นว่าฆราวาสนั่นแหละอยู่ข้างปลาย บรรชิตมันอยู่ข้างต้น มันทำอะไร เรียนอะไร ขวนขวายอะไร เพื่อจะฝึกออกไปเป็นลูกเขย หลายเขยคนนั้นคนนี้ ในที่สุดมันก็ไปจบลงที่ความเป็นฆราวาส ฆราวาสก็เลยกลายเป็นขั้นปลาย บรรพชิตทั้งหลายก็กลายเป็นขั้นต้น ขั้นเตรียม ขั้นมูล ขั้นอนุบาล เหมือนกับเด็กทารก มันมีเรื่องที่ก้าวก่ายกันอย่างนี้มากขึ้น ๆ มันก็เลยไม่รู้ว่าจะเอามาล้อกันที่ตรงไหน มันอยู่ในฐานะที่ล้อไม่ไหวแล้ว
ทีนี้สำหรับผู้ที่มีความรักตัว สงวนตัว เคารพตัวอยู่บ้าง ไม่กี่รูป กี่คนนี้ ก็ควรจะนึกดูให้มาก ถ้าอย่างไรก็พยายามต่อสู้กันไปใหม่ ให้รู้ว่าฆราวาสมันเป็นอะไร บรรพชิตมันเป็นอะไร เคยพูดกันมากี่ครั้งกี่หนแล้วว่าฆราวาสนี้เป็นชีวิตที่แบกภาระหนัก เหมือนกับลากวัว เหมือนกับวัวลากเกวียน ลาก ควายลากไถ นี่มันก็ยังฟังยาก คือยังไม่รู้ว่าจะมองเห็นกันอย่างนั้นจริงหรือไม่ ที่จริงมันก็เป็นความจริงความแท้ที่ว่าชีวิตของฆราวาสเหมือนกับวัวลากเกวียน ควายลากไถ ถ้าไปเปรียบกันกับชีวิตบรรพชิตแล้ว มันควรจะต่างกันไกล บรรพชิตไม่มีเกวียน ไม่มีไถสำหรับจะลากมาแต่เดิม แต่แล้วมันก็กลับเปลี่ยนมาให้เป็นมีต้องลากแอก ลากไถ คืออุตส่าห์เล่าอุตส่าห์เรียนก็เพื่อจะไปเป็นฆราวาสที่มีแอก มีไถ จนสับสนวุ่นวายกันไปหมดในข้อที่ว่าไม่รู้ว่าใครจะควรเคารพใคร ฆราวาสมีชีวิตที่เป็นภาระหนัก เป็นความจริงอย่างนี้ มันมีความร้ายกาจที่สุดอยู่ที่ตรงไหนก็ลองคิดดู ความร้ายที่สุดมันอยู่ที่การตกเป็นทาสของเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ฆราวาสมีอุดมคติแต่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกฆราวาส ภิกษุสามเณรไม่ได้มีวัตถุประสงค์อย่างนั้น คือต้องการจะให้เป็นผู้ชนะ ไม่เป็นทาสเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ แต่แล้วมันก็มากลับกันเสีย คือศึกษาเล่าเรียน ปฏิบัติธรรมหรือสั่งสอนอะไรก็ตาม เพื่อผลเป็นเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ไปเสียอีก แล้วแถมจะทำได้ดีกว่าด้วย นี่คือปัญหาที่จะต้องเอามาพิจารณากันในโอกาสเช่นนี้
ความแบกภาระหนักนี่ มันยังไม่เท่ากับว่ามันเป็นความหนักเพราะแบกขันธ์ แบกตัวกู ของกู เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ถ้าควบคุมได้ มันก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่สนับสนุนให้เกิดความปกติอยู่เป็นผาสุกได้ แล้วมันก็ไม่หนักไปกว่าการแบกขันธ์ แบกเบญจขันธ์ แบกตัวเอง ที่เรียกว่า ภาราหะเวปัญจักขันธา (นาทีที่ 16:17) ขันธ์ทั้งหลายเป็นของหนักเน้อ ภาระหาโรจะปุคคะโล (นาทีที่ ไอ้คนนั่นแหละเป็นผู้แบกภาระเหล่านี้ไป นี้แสดงว่ามันแบกกันทั้งบรรพชิต ทั้งฆราวาสเสียแล้ว ข้อนี้ก็เลยยกเลิกไป เหลืออะไรสำหรับฆราวาส มันก็เรื่องลากแอก ลากไถ ลากเกวียน มันก็ถือเอาตามพระพุทธภาษิต พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี นี้เป็นพุทธภาษิตที่ตรัสเล่า ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย เป็นการตรัสเล่าให้ฟังว่าเมื่อพระองค์จะออกบวชนั้น ความรู้สึกมันสูงสุดในข้อที่ว่าฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี ข้อนี้ต้องคิดดูให้ดี ๆ ว่าพระพุทธเจ้าก่อนที่จะออกบวชยังเป็นพระสิทธัตถะอยู่นั้น ท่านเป็นลูกเจ้าแผ่นดิน ท่านไม่ได้ยากจน ท่านไม่ได้อาบเหงื่อต่างน้ำ ท่านมีอะไร ๆ ที่คนอื่นคอยเอาอกเอาใจ ประคบประหงมไปเสียทุกอย่าง ทำไมท่านจึงเกิดไปรู้สึกว่าฆราวาสคับแคบ อึดอัด เป็นทางมาแห่งธุลี ผมไปถามอาจารย์ผู้เฒ่าของผมคนหนึ่ง ไปเล่าให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี จึงได้ออกบวช อาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้ไม่เคยเรียนบาลี ไม่เคยเรียนนักธรรม ท่านบอกว่า อ๋อ, รู้แล้ว อาจารย์บอกต่อ ๆ กันมาว่าที่อกของสตรีเพียงคนเดียวมีภูเขาตั้ง ๒ ลูก แถมยังมีที่อื่นอีก แล้วมันจะไม่คับแคบอย่างไรกัน แล้วท่านก็หัวเราะ ผมก็ลืมไม่ลง ลืมไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ได้ฟังแล้วมันลืมไม่ได้ ก็ต้องเอามาบอกแก่พวกคุณ ว่าผมนี้ก็จะตายอยู่แล้ว คงจะไม่นานนัก ไอ้สิ่งเหล่านี้ก็ต้องรีบเอามาบอก ในฐานะที่อาจารย์ผู้เฒ่าท่านบอก ๆ กันต่อมาอย่างนี้ อย่าให้มันสูญไปเสีย ข้อสำคัญมันก็คือว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่าท่านรอดตัวมาเป็นช่วง ๆ เพราะความรู้ข้อนี้ ไม่เคยเรียนบาลี ไม่เคยเรียนนักธรรม แล้วท่านก็รอดตัวกันมาได้อย่างนี้ อาจารย์ผู้เฒ่าของผมคนนี้ องค์นี้ ท่านมีประวัติประหลาด คือท่านเป็นคนจริงมากเกินกว่าธรรมดา ไม่รู้อะไร รู้แต่ว่าดีที่ละ ละที่จริง บางทีก็เหลือแต่คำว่าจริง จริง เท่านั้น ผมได้ยินเพื่อนฝูงของท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านยังไม่ได้บวชด้วยซ้ำไป ก็จริงมากแล้ว เมื่อเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล สั่งน้ำมูกไปเดี๋ยวมันก็มาอีก สั่งไป เดี๋ยวมันก็มาอีก ก็เลยกำปั้นแน่นแล้วก็ซัดเข้าที่จมูกของตัวเอง เลือดก็ไหลออกมาจากจมูก นี่จริงหรือไม่จริง มันเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยอย่างนี้ ปากของแกจึงพร่ำพูดอยู่แต่คำว่า จริง จริง ท่านเป็นหมอดู เพราะชอบ ใครมาก็ต้องดู ถึงเขาไม่อยากดู ก็ต้องดู ก็ต้องถามว่าเกิดวันอะไร ปีอะไร เดือนอะไร แล้วก็ดู ได้ดูแล้วก็ได้ทาย ได้ทายแล้วได้หัวเราะ แล้วก็สบายใจ แต่ถ้าใครเกิดเอาสตางค์ไปให้ ก็จะเอามาไม้กลองแพ่นศีรษะ โกรธมาก หาว่าดูถูก จะให้ได้ก็เพียงหมากดิบบ้าง ๒-๓ ผล หรือใบชาห่อเล็ก ๆ บ้าง อย่างที่คนธรรมดาเขาไปหาพระ แล้วเขาก็ให้กันเพียงเท่านั้น ถ้าเอาสตางค์ให้ไม่ใช่เรื่องของพระ เอาไปให้ท่าน ท่านหาว่าดูถูก เพราะไม่ต้องการจะดูหมอเอาสตางค์ ลักษณะของท่านอาจารย์ผู้นี้มันเป็นอย่างนี้ ตายแล้วจึงไม่มีเงินแม้แต่จะเป็นค่าเผาศพ ลูกศิษย์ก็ต้องทำกันไปตามประสาที่มันจะทำให้ลุล่วงไปได้อย่างไร ผมก็ไปเยี่ยมกุฏิที่บรรจุกระดูกท่านอยู่เสมอ ท่านเป็นอาจารย์สวดผม อาจารย์สวดธรรมวาจา
นี่ขอให้คิดดูในข้อที่ว่าท่านอาจารย์เหล่านี้ไม่เคยเรียนนักธรรม ไม่เคยเรียนบาลีแล้วก็อยู่มาได้ ไม่พ่ายแพ้ แล้วก็ควรจะนึกดูให้ดีว่าไอ้เรื่องเรียนมากนี้ มันก็ไม่เป็นเครื่องรับประกันว่าจะอยู่ได้ แม้จะทำวิปัสสนาอย่างที่ทำกันอยู่เดี๋ยวนี้ มันก็ยังไม่เป็นเครื่องรับประกันได้ เป็นอาจารย์สอนเขา เป็นธรรมทูต เป็นอะไรเหล่านี้มันก็ยังไม่รับประกัน ซึ่งไม่ทันรู้เป็นต้น ฉะนั้นเรื่องมันก็มีอะไรอยู่สักอย่างหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้รอดตัวได้ ในที่สุดก็มันอยู่ในข้อที่ว่าท่านรู้ดี เหมือนกับที่พระพุทธเจ้ารู้สึกว่าฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี คับแคบคืออึดอัด หาความสะดวกสบายไม่ได้ พระสิทธัตถะเป็นลูกเจ้าแผ่นดิน มีคนเอาอกเอาใจรอบข้าง ทำไมมันจึงรู้สึกคับแคบ และยังแถมว่าเป็นทางมาแห่งธุลี ธุลีนี้แปลว่าขี้ฝุ่น คือฝุ่นละออง ในที่นี้หมายถึงฝุ่นละอองที่เข้าไปรบกวนจิตใจคือกิเลส กิเลสได้ชื่อว่าธุลี เป็นทางมาแห่งธุลี เป็นทางมาแห่งกิเลสรอบด้าน ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้แล้วออกไปบวช มันก็เข้ารูปเข้ารอย เป็นไปตามธรรมชาติ มันก็หนักแน่นไม่เป็นลูกปิงปอง เดี๋ยวนี้พระเณรมีจิตใจเหมือนกับลูกปิงปอง เต็มไปด้วยฝุ่นธุลีในจิตใจ มันก็ไปไม่รอด แล้วก็ไม่รู้จักคำว่าคับแคบ มีแต่ยิ่งไถลเข้าไปในดงของความคับแคบ นั่นแหละมันทำให้สึกออกไป ไปเป็นฆราวาสหลังจากที่เป็นภิกษุสามเณรมาแล้ว มันก็เป็นเรื่องน่าหัว พระพุทธเจ้าออกบวชจากศากยสกุลเพราะฆราวาสมันคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี ไปเป็นบรรพชิต นี้ลูกศิษย์ที่เป็นบรรพชิตอยู่แล้วแต่กลับไปหาที่คับแคบซึ่งเป็นทางมาแห่งธุลี นี่ขออย่าได้ดูถูกดูหมิ่นอาจารย์ผู้เฒ่า ไม่เคยเรียนอะไร ไม่รู้บาลี ไม่รู้นักธรรม แต่แล้วก็มีคาถาดี ว่าที่หน้าอกสตรีมีบุตรเพียงคนเดียว (นาทีที่ 26:12) มีภูเขาอยู่ตั้ง ๒ ลูกยังแถมมีที่อื่นอีก แล้วมันจะไม่คับแคบอย่างไร คนเหล่านี้ตายไปหมด จะไม่มีใครพูดอีกต่อไป ฝากไว้ที่พวกคุณสำหรับเผื่อว่าถ้าจะอยู่เป็นอาจารย์ผู้เฒ่าต่อไปได้แล้ว มันก็คงจะได้บอกกันต่อ ๆ ไป นอกนั้นมันคงจะเอาไปขว้างทิ้งเสียที่ไหน ไม่อยากให้มันมีเหลืออยู่ อาจารย์ของผมอีกคนหนึ่ง เป็นอาจารย์สอน กอ ขอ กอ กา เล่าให้ผมฟังว่าผมเมื่อยังเด็ก ๆ นั่น กลัวสิ่งที่เขาเรียกกันว่าเมีย ความข้อนี้ผมจำไม่ได้ แต่อาจารย์องค์นี้ท่านเล่าให้ฟังว่าถ้าผมร้องไห้ เขาก็ขู่ว่านิ่งเสีย ถ้าไม่นิ่งจะเอาเมียมาให้ มันก็นิ่ง นี้พอนิ่งแล้วเขาอยากให้ร้องไห้อีก ก็ว่าเอาร้องไห้เสีย ไม่ร้องจะเอาเมียมาให้ มันก็ร้องอีก นี่มันก็เขาล้อ คือเขาขู่กันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ผมจำความข้อนี้ไม่ได้ จำได้เพียงแต่ว่ากลัวในสิ่งที่น่ากลัว เช่นเขาเล่นสงกรานต์กัน เขาจับมัดรดน้ำถูทรายนี่ พวกผู้หญิงจับพวกผู้ชายได้ จับมัด เอาน้ำรด แล้วถูทราย ถูโคลน ถูมินหม้อ แล้วก็หัวเราะกันใหญ่ ผมก็กลัวร้องไห้ อย่างนี้จำได้ เรียกว่าผู้ชายต้องพาไปอาบน้ำหนีไปเสียทางอื่น ที่เขาเล่นสงกรานต์กันนั้น ผู้หญิงชนะผู้ชายทุกที คือว่าผู้หญิงก็รุมกันได้ที่จับผู้ชายสักคนหนึ่ง แต่พอผู้ชายจะจับผู้หญิงสักคนหนึ่ง เขาไม่รุมกัน เพราะฉะนั้นผู้ชายเป็นฝ่ายแพ้ทุกที เอาตัวไปทามินหม้อ แล้วก็ทำอะไรที่น่ากลัวไปมากกว่านั้น อย่างนี้จำได้ติดตา แต่ข้อที่ว่ากลัวสิ่งที่เรียกว่าเมียนี้ นึกไม่ได้ นึกไม่ออก มันคงจะได้ยินว่าเสือหรืออะไรทำนองนั้นมากกว่า เด็ก ๆ ออกเสียงสระเอือ เป็นเสียงสระเอียทั้งนั้น ออกเสียงสระอือเป็นเสียงสระอีทั้งนั้น มันคงจะได้ยินว่าเสือหรืออะไรทำนองนั้นมากกว่า เดี๋ยวนี้ไม่รู้สึกว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าเมียนี้มันจะน่ากลัวที่ตรงไหน แต่ถ้าภาระที่สามีจะต้องปฏิบัติต่อภรรยานั้น มันน่ากลัวเหลือเกิน ไปคิดดูให้ดีว่า ภาระหน้าที่ที่สามีจะพึงประพฤติในฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัวต่อบุตรและภรรยานี้มันน่ากลัวเหลือเกิน ส่วนสิ่งที่เรียกว่าเมียนั้น ไม่รู้สึกว่าน่ากลัว อาจจะไล่เตะให้วิ่งหนีไปเป็นฝูง ๆ ก็ได้ แต่ว่าภาระที่จะต้องประพฤติปฏิบัติต่อไอ้สิ่งที่ไอ้เรียกว่าเมียนี้ มันน่ากลัวมาก ขอให้เอาไปนึกไปคิดดูบ้าง ว่าไอ้สิ่งที่น่ากลัวนั้น มันอยู่ที่ตรงไหน แล้วเรารอดตัวกันมาได้อย่างไร อาจารย์ผู้เฒ่าแก่ ๆ นี้ มันรอดตัวกันมาได้อย่างไร แล้วมันรอดตัวมาได้อย่างหวุดหวิด ผมเองนี่แหละ ไม่ต้องอ้างคนอื่น ก็รอดตัวมาได้อย่างหวุดหวิด จากการที่จะไปเป็นลูกเขยหลานเขยใครเข้าสักคนหนึ่ง นี่มันเป็นเรื่องที่ว่าคงจะมีประโยชน์บ้าง บวชมาได้ ๒-๓ พรรษาแล้วก็โยมถามว่าเมื่อไรจะสึก คนนั้นคนนี้ก็มาถามว่าเมื่อไรจะสึก เพราะว่าทางฝ่ายผู้หญิงน่ะเขาคอยอยู่นานนักหนาแล้ว ๒-๓ ปีมาแล้ว ผมบอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าใครเป็นคนไปพูด ไม่รู้ว่าใครนัดแนะ ชื่ออะไรอยู่ที่ไหน ผมยังไม่รู้เลย เขาเสือกกระโหลกไปพูดกันเอง ไปตกลงกันเอง ไปปรึกษาอะไรกันเอง แล้วจะมาถามผม หรือว่าจะให้ผมรับผิดชอบอย่างนี้ ผมว่ามันบ้า แล้วก็ไม่รับรู้ ไม่รับผิดชอบ ไม่รู้ไม่ชี้เรื่องนี้ จะสึกก็ได้ จะอยู่ก็ได้ จะอยู่ จะหยุดเมื่อไรก็ได้ ไม่รับผิดชอบ ใครจะลำบาก หรือใครจะร้อนใจอะไร ไม่ ไม่รับผิดชอบเรื่องนี้
นี่มันจึงอยู่มาได้เพราะเหตุเพียงข้อเดียวเท่านั้น คือมันรู้สึกว่าการที่จะไปลูกเขย หลานเขยของใครนั้น มันธรรมดาเกินไป เมื่อไรก็ได้ คนที่เป็นโรคเรื้อนมันก็ยังมีลูก มี มีภรรยาสามี มันเป็นของไม่แปลก มันเป็นของธรรมดามากเกินไป รอดูก่อนดีกว่า ยิ่งบวชยิ่งเรียนมันก็ยิ่งสนุกสนาน ก็ได้รู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ไอ้รสชาติมันแปลก รอมาเรื่อย ๆ ดีกว่า พอมันมีอะไรที่มันน่าพอใจ ดีน่าพอใจ ศึกษามาเรื่อย ๆ มันก็ยิ่งอยากดี นี่มันอยู่ได้เพราะอยากดี อยากดีหมายความว่าไม่ใช่ธรรมดา แล้วก็ไม่ใช่ซ้ำใคร มันยิ่งรู้ว่ายิ่งเป็นอะไรนี้ มันยิ่งลำบาก เพราะฉะนั้นไม่คิดที่ว่าจะเป็นอะไร ไม่เป็นลูกเขย ไม่เป็นหลานเขย ไม่เป็นพ่อ ไม่เป็นแม่ ไม่เป็นอะไรดีกว่า จนกระทั่งบัดนี้มันก็ยังรู้สึกอย่างนี้ว่าไม่อยากเป็นอะไร หรือว่าถ้าเป็นอะไร ก็ไม่อยากเป็นอะไรให้เหมือนใคร ไม่อยากทำอะไรซ้ำใคร นี่คือต้นเหตุอันสำคัญที่สุดที่ทำให้เราได้มาพบกันที่นี่ ถ้าว่าผมเอาตัวรอดมาไม่ได้ ไปทำอะไรอย่างธรรมดา ตามที่เขาทำ ๆ กันแล้ว เราก็ไม่ได้มาพบกันที่นี่ ไม่มีสวนโมกข์เกิดขึ้น ไม่มีโอกาสจะมานั่งพูด ล้ออายุกันอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันรอดตัวมาได้เพราะว่าไม่อยากทำอะไรที่เป็นของธรรมดา ๆ ไม่อยากทำอะไรเหมือนใคร ไม่อยากทำอะไรซ้ำใคร นี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวผม แล้วก็ได้ยินอาจารย์ผู้เฒ่าเล่ากันมาเรื่อย ๆ ว่าท่านรอดมาได้อย่างไร ผมชอบถามปัญหาข้อนี้ อาจารย์องค์ไหนให้โอกาส ผมก็จะถามปัญหาข้อนี้ ว่าท่านอาจารย์รอดมาได้อย่างไร จนแก่จนเฒ่าอย่างนี้ ผมกำลังเพิ่งบวช กำลังกระสับกระส่าย บวชได้ไม่กี่ปี ท่านก็เล่าให้ฟัง มันก็มีเรื่องต่าง ๆ กัน แต่โดยคนละความ โดยใจความมันจริงเหมือนกันหมด คือมันอยู่ที่จริง ที่จริงต่อความเป็นมนุษย์ของตัว อยากทำอะไรให้มันดี ให้มันจริง ให้มันดีที่สุด และในที่สุดไอ้การศึกษามันก็ช่วยได้ คือเป็นเครื่องรับสมอ้างว่ามันจริง ไอ้ที่เราเห็นอยู่มันจริง และพระคัมภีร์ ข้อความในพระคัมภีร์มันก็บอกว่าจริงเหมือนกัน ตรงกัน มันก็เข้าใจประโยคสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี อย่างนี้ยิ่งขึ้นทุกปี เดี๋ยวนี้ผมกลัวว่าพวกคุณจะไม่เป็นอย่างนั้น จะเห็นว่าฆราวาสเป็นโอกาสโล่ง เป็นทางมาแห่งของเอร็ดอร่อย และมันก็จะค่อยเป็นอย่างนั้นมากขึ้นทุกที แล้วมันก็โกหกว่าจะสึกออกไปช่วยพ่อแม่ทำงาน มันเคยโกหกกันมากี่ร้อยกี่พันแล้วก็ไม่รู้ แม้เดี๋ยวนี้มันก็ยังมี ที่นี่มันก็ยังมี มันจะสึกออกไปหาสิ่งที่เรียกว่าเมีย แล้วมันบอกว่าพ่อแม่ลำบาก ไม่มีใครช่วย มันก็จริง สำหรับเป็นข้ออ้าง ทุกรายกลายเป็นอย่างนี้
นี่คือเรื่องแรกที่สุดที่จะต้องพูดกันเกี่ยวกับเป็นภิกษุสามเณรจะรอดตัวไปได้อย่างไร มันก็เรื่องเพศทั้งนั้น เรื่องเพศตรงกันข้ามทั้งนั้น นักบวชผู้ชาย มันก็มีผู้หญิง เป็นเครื่องลากคอเอาไป นักบวชผู้หญิงมันก็มีผู้ชายเป็นเครื่องลากคอเอาไป ขืนพูดอย่างอื่นโกหกทั้งนั้น นี่พูดตรง ๆ มันก็ต้องพูดอย่างนี้ เหตุผลอย่างอื่นนั้นแก้ไขได้ทั้งนั้น ถ้าบอกพ่อแม่ลำบากนี้ ขอให้มันจริงเถิด คนทั้งบ้านทั้งเมืองจะช่วยขันอาสาเลี้ยงดูให้ อย่าให้ไอ้เจ้าตัวนั้นมันต้องสึกออกไป นี่กลัวแต่มันจะไม่จริง มันหลอกเขาอยู่ตลอดเวลา แล้วใครก็ไม่เชื่อน้ำหน้า เพราะมันหลอกอยู่เรื่อย รวมความว่าไอ้ที่มันหลุดออกไปนี้ มันเป็นเรื่องเพศ เพราะอำนาจของเรื่องเพศทั้งนั้น ฉะนั้นพิจารณาดูกันเรื่องเพศกันบ้าง เรื่องเพศนี้มันยืดยาวลึกซึ้งเป็นมหาสมุทรพูดไปก็ไม่มีเวลาพอ นักปราชญ์สมัยนี้เขามีความรู้กันว่า ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเรื่องเพศ ที่คนเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะเกี่ยวกับเรื่องเพศ ขวนขวายนั้นนี่ก็มันเรื่องเพศ ทำความดีก็เพราะเพศ ทำความชั่วก็เพราะเพศ จะไปตกนรกหรือไปขึ้นสวรรค์มันก็เพราะปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ นี่มันก็จริง ถ้ารู้แล้วสลดใจอย่างนี้มันก็มีประโยชน์ แต่ว่าเรื่องมันมาก นี้มันจะตัดบทให้มันสั้นเข้ามา ก็จะตั้งเป็นปัญหาขึ้นง่าย ๆ ว่ามันมีคน ๒ คน ในระหว่างคน ๒ คนนี้คนไหนมันบ้า คนไหนมันดี คนคนหนึ่งต้องมีเพศตรงกันข้ามมาเย้ายี้ มาเซ้าซี้ยียวนอยู่ข้าง ๆ จึงจะรู้สึกเป็นสุขหรือกระหยิ่มใจอยู่ได้ นี้ก็คนหนึ่ง ทีนี้คนหนึ่ง มันนั่งเป็นสุขกระหยิ่มอยู่คนเดียวได้ ด้วยจิตที่อบรมดีแล้ว ไม่ต้องมีเพศมาเซ้าซี้ยี้ยวน ๒ คนนี้มันต่างกันอย่างนี้ คนไหนมันบ้า คนไหนมันดี หรือว่าคนไหนมันบ้าที่สุด ไปถามเด็ก ๆ เล็ก ๆ มันก็ตัดสินได้ ไอ้เด็ก ๆ ที่มันยังไม่รู้สึกอะไร ไม่เข้าใครออกใครไปถามดูเถิดว่า ๒ คนนี้ คนไหนมันบ้า คนหนึ่งต้องมีเพศตรงกันข้ามต้องมาเซ้าซี้ยียวนอยู่เสมอจึงจะรู้สึกเป็นสุขพอใจอยู่ได้ นี้คนหนึ่งมันอยู่ได้โดยไม่ต้องมีใครมายุ่งมากวน เมื่อเด็กอมมือมันก็ยังว่าอย่างนั้นแล้ว มันก็ควรจะรู้ได้ ใช้เหตุผลของตัวเองก็ได้ รู้ว่าคนไหนมันบ้าคนไหนมันดี แต่ละปัญหามันมีอยู่ตรงที่ว่ามันบังคับตัวเองไม่ได้ ทั้งที่รู้อยู่ว่ามันบ้า มันก็อยากจะบ้า ทั้งที่รู้อยู่ว่ามันจะยื่นคอเข้าไปใส่แอกใส่ไถ มันก็สมัครที่จะยื่นคอเข้าไป รู้อยู่ว่ามันเป็นธาตุของสิ่งเหล่านั้น มันก็สมัครที่จะเป็นทาส ผมก็เลยแยกทางกันเดินว่ามาสมัครเป็นทาสของพระพุทธเจ้าดีกว่า ไม่กี่ปีมันก็จะตาย อย่าต้องไปเป็นทาสของอะไรเลย มาเป็นทาสของพระพุทธเจ้าดีกว่า มันปลอดภัยกว่า ถามเด็กอมมือมันก็คงจะตอบอย่างนี้ว่า เป็นทาสของไอ้ชาวบ้าน กับมาเป็นทาสของพระพุทธเจ้านี้ เป็นทาสใครดีกว่า เด็กอมมือมันก็คงจะตอบว่าเป็นทาสพระพุทธเจ้าดีกว่า เรามาคิดดู มันก็จริงอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมันก็มารวมใจความอยู่ที่เรื่องนี้เรื่องเดียว ว่าสิ่งที่มันทำจิตใจให้กระดอนไปกระดอนมาเป็นลูกปิงปองนั้น มันก็คือเรื่องเพศ ถ้าไม่อยากรวมอยู่ในชุดปิงปองกับเขาด้วยแล้ว ก็ต้องเอาชนะเรื่องเพศ นี้ใครยังมีจิตใจอย่างไร สูงต่ำอย่างไร ก็เป็นหน้าที่ของตัวเอง จะพิจารณาตัวเอง มันเก็บซ่อนไว้ในใจคนอื่นไม่รู้ อย่าไปวินิจฉัยมันเลย ให้ตัวเองเขาวินิจฉัยตัวเองเขาดีกว่า เพียงแต่บอกวิธีที่จะพิจารณาในการวินิจฉัยตัวเองเท่านั้น
นี้เป็นเรื่องแรกที่เกี่ยวกับความเป็นภิกษุสามเณรซึ่งผมก็เป็นอยู่คนหนึ่งด้วยในชุดนั้น บัดนี้ก็ล่วงมาถึงขนาดนี้แล้ว เมื่อหันไปมองดูแต่หนหลังมันก็มีแต่สิ่งที่น่าหัวเราะ น่าล้อเลียน กระทั่งรอดตายมาอย่างหวุดหวิด มันก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ แต่เราก็หัวเราะกันไม่ค่อยจะได้ มันหัวเราะไม่ออก มันไม่รู้สึก นี่ที่จะมีหลักประกันมั่นคง อันแรกก็คือจะต้องเอาชนะปัญหาในเรื่องที่เกี่ยวกับเพศตรงกันข้าม ไม่ตกเป็นธาตุของอายตนะคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเพศที่ตรงกันข้าม เกี่ยวกับเพศที่ตรงกันข้าม มันก็จะหมดปัญหาไปได้ แล้วทีนี้เมื่อรอดตายมาได้แล้วอย่างนี้ แล้วจะอยู่อย่างไรต่อไป จะเอาอะไรมากิน มาอยู่ ข้อนี้ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าเป็นพระที่จริง บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนผู้อื่นจริง ไม่ต้องเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านเลี้ยง พระพุทธเจ้ายังอยู่ อย่าไปโง่ตามคนโง่ ๆ ว่าพระพุทธเจ้าตายแล้ว พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว นิพพานของพระพุทธเจ้าคือความไม่ตาย ดังนั้นท่านยังอยู่ อยู่คุ้มครองคนที่สมัครให้ท่านคุ้มครอง อย่าเป็นลูกนอกคอก แหกคอกออกไปจากความคุ้มครองของท่าน เดี๋ยวนี้ถ้าจะถามว่าที่มีข้าวกินอยู่เดี๋ยวนี้ ทุกวัน ๆ นี้เป็นผลของอะไร มันก็ตอบว่าเพราะไปบิณฑบาตเอามา นี่มันตอบได้อย่างนี้ เพราะมันไปบิณฑบาตเอามา มันโง่ มันหลับตาอกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า มันหลับตาหลบหลู่บุญคุณของพระพุทธเจ้า มันตีเสมอพระพุทธเจ้าโดยไม่รู้สึกตัวอย่างน่าเกลียดน่าชังที่สุด ใครที่ตอบว่ามีข้าวกินเพราะไปบิณฑบาตเอามา นี้ผมอะ เว้นบิณฑบาตไปเสียหลายเวลาแล้วก็ยังมีข้าวกิน ผมได้กินเพราะเป็นทาสของพระพุทธเจ้า ไม่สมัครเป็นทาสของคนอื่น ฉะนั้นจึงไม่กลัวอด มันแน่นอนว่าจะไม่ต้องอดข้าวตาย ทั้งที่ไม่ได้ไปบิณฑบาต นี้ลองไม่มีบารมีของพระพุทธเจ้าคุ้มครองให้ไปบิณฑบาตอย่างไร มันก็ไม่มีข้าวหล่นลงไปในบาตร เขาใส่บาตร เขาใส่เพราะเห็นแก่พระพุทธเจ้า หรือว่าเห็นแก่พระพุทธศาสนา เขาคิดว่าจะเขาได้บุญ เขาจะได้ไปสวรรค์ก็เพราะพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เพราะคนที่ถือบาตรไปขอ เขาไม่ได้เห็นแก่ไอ้คนขอทานคนนี้ เขาไม่ได้เห็นแก่นักบวชที่ประจบคนนี้ บางทีมากถึงกับว่าไปบิณฑบาตเอาของนั้นของนี้ไปแจกก็มี นี่มันเป็นนักบวชประจบอย่างนี้ จะต้องนึกดูให้ดีว่าไอ้สถาบันใส่บาตรมันเกิดฝังแน่นอยู่ในใจของบุคคลนั้นเพราะอำนาจของพระพุทธศาสนาซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้ก่อกำเนิดขึ้นมา สถาบันใส่บาตรคงเรียกอย่างนี้ก็หมายความว่าการที่ประชาชนมีจิตใจยอมรับว่าใส่บาตรนี้ได้บุญ มันเกิดเป็นสถาบันขึ้นมา อย่างหลับหูหลับตาทีเดียว ก็เพราะพระพุทธเจ้านั่นเอง ใส่บาตรนี้ก็เรียกว่าทำกันอย่างหลับหูหลับตาก็ได้ เพราะมุ่งหมายจะได้บุญ จะได้ไปสวรรค์ เพราะบุญนั้น แต่แล้วมันก็เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้วางอะไรเข้าไว้ ไม่ใช่เพราะอำนาจหรือความสามารถของคนที่บวชเข้ามา ทีนี้เราจะต้องตอบว่าเราได้มีข้าวกินอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะบารมีของพระพุทธเจ้า เราจะต้องรู้บุญคุณ พวกถือศาสนาอื่นเขาว่าได้กินก็เพราะพระเจ้า เขาจะต้องขอบคุณพระเจ้าก่อนกิน เราก็ต้องขอบคุณพระพุทธเจ้าก่อนกิน ว่าถ้าไม่มีบารมีของพระพุทธเจ้าจะไม่มีข้าวกิน เดี๋ยวนี้คนจน แม้แต่จะกินเองก็ไม่ค่อยพอ แล้วก็ยังอุตส่าห์ใส่บาตร นี้มันด้วยอำนาจของอะไร มันจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ตาม เพราะบารมีของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ฉะนั้นเราจะต้องรู้พระพุทธประสงค์ว่าพระพุทธเจ้าท่านประสงค์จะให้เราทำอะไร เราก็ต้องทำสิ่งนั้น มันจึงจะเป็นการสมควรที่จะกินอาหารของพระพุทธเจ้า ไม่เสียข้าวสุกเปล่า ๆ ถ้าไม่คำนึงถึงพระพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้าไปกินข้าว นี้ข้าวแล้วมันก็จะมีหนี้สินติดตัวมันจะเป็นบาป จะเป็นคนกินอย่างขโมย เป็นคนกินอย่างโกหกพกลม คือหลอกกิน เพราะว่าสถาบันนี้เขาตั้งขึ้นมาสำหรับบุคคลที่ทำหน้าที่ของบรรพชิตอย่างถูกต้อง แล้วก็เกิดสิทธิที่จะไปกิน รับวัตถุจตุปัจจัยของทายกทายิกาทั้งหลายมาบริโภคเพื่อมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นเราจะต้องนึกถึงข้อนี้ที่มันจะช่วยให้อยู่อย่างบรรพชิตได้ อย่าไปดีว่าถือบาตรไปแล้วได้กินเพราะอำนาจของเรา แล้วก็ไปทำอะไร ไปเรียนอะไร เพื่อประโยชน์แก่ตัวเรา ไปเอาข้าวชาวบ้านกินแล้วมาทำอะไรชนิดที่ประโยชน์แก่ตน เรียนวิชาชีพที่จะไปเป็นฆราวาสอีก อย่างนี้ถ้าคิดดูให้ดีแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าล้อ มันเอาเปรียบมากเกินไป นี่ก็เรียกว่าเราเอาเรื่องอาหารหรือวัตถุจตุปัจจัยมาเป็นเครื่องตักเตือนตัวเองสำหรับภิกษุสามเณร ขอให้นึกอยู่เสมอว่าพระพุทธเจ้าประสงค์จะให้เราทำอะไร เราต้องทำสิ่งนั้น โดยหลักกว้าง ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านทรงประสงค์ว่าจะให้เรารักษาศาสนาของพระองค์ไว้ให้อยู่ยืนนานเป็นที่พึ่งของมนุษย์ตลอดกาลนานสืบต่อไป ฉะนั้นเราจะต้องช่วยกันทำอะไร คนละสิ่ง คนละอย่าง คนละไม้คนละมือ ตามแต่ที่จะถนัด ตามที่จะสามารถทำได้ ให้รวมกันแล้วเป็นการช่วยให้ พระพุทธศาสนาของพระองค์ยังคงมีอยู่ในโลกนี้ พระพุทธเจ้าท่านทรงย้ำแล้วย้ำอีกว่าตถาคถเกิดมาเพื่อประโยชน์และเกื้อกูลความสุขแก่เทวดาแลมนุษย์ พวกเธอทั้งหลายก็จงไป จงกระทำเพื่อเป็นประโยชน์สุข เพื่อเกื้อกูลแก่เทวดาแลมนุษย์ อย่าให้รู้จักขาดตอนได้ นี่คือพระพุทธประสงค์ ตัวเองจะต้องเป็นผู้เข้าถึงพระธรรม ได้รับประโยชน์จากพระธรรม รู้จักว่าอะไรเป็นอะไร รู้จักว่าบรรพชิตคืออะไร ฆราวาสคืออะไร เกิดมาทำไม และก็ทำไปให้สำเร็จประโยชน์ตามนั้น ว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อจะให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรได้รับ คือว่าอย่างน้อยก็ให้ได้มีจิตใจที่สงบเย็น เป็นความสุข เพราะมีความสะอาด มีความสว่าง และมีความสงบ เกิดมาต้องได้สิ่งนี้ การศึกษาเล่าเรียนก็เพื่อให้ได้สิ่งนี้ ที่เรียนอยู่ทุกวันนี้ ปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อให้ได้สิ่งนี้ นี้เป็นการถูกแล้ว แต่พร้อมกันนั้นยังมีเรี่ยวแรง เวลา มีอะไรที่จะช่วยเหลือผู้อื่นก็ช่วยไป เรามีดีเท่าไร เราก็ช่วยผู้อื่นได้เท่านั้น ถ้าเรามีดีถึงที่สุด ก็ช่วยได้ถึงที่สุด ฉะนั้นจะต้องช่วย อย่าผัดวันประกันพรุ่ง มันจะก่อนิสัยให้เกิดความเห็นแก่ตัว ความเอาเปรียบแล้วก็จะเลยไปถึงความหลอกลวง ผมจึงขอร้องว่า จงทำชนิดที่เอาเหงื่อล้างตัวกู จงทำอะไร ๆ ชนิดให้เหงื่อมันออกมา และให้เหงื่อนั้นมันล้างตัวกูของกู ให้ตัวกูของกูมันค่อย ๆ ละลายไป
นี้ก็มาเห็นเสียว่าทำงานให้มันเหน็ดเหนื่อยนี้ มันเสียเปรียบ มันสู้ให้นอนเสียไม่ได้ หรือว่าเล่นหัวเสียไม่ได้ มันก็จริงในส่วนนั้น แต่แล้วตัวกูมันก็หนาขึ้น ความเห็นแก่ตัวมันก็หนาขึ้น ความเห็นแก่ตัวนี่แหละคือสิ่งที่ร้ายกาจที่สุด คือเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ในความเห็นแก่ตัวนั้น เป็นกิเลส เป็นเครื่องเศร้าหมอง ทำให้มนุษย์ไม่เป็นมนุษย์ ไม่ให้ได้สิ่งดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ขอให้ไปคิดดูว่ามันจริงหรือไม่จริง ฉะนั้นอย่ามีชีวิตอยู่ชนิดที่มันเพิ่มความเห็นแก่ตัว จะต้องมีชีวิตอยู่ชนิดที่เป็นการทำลายความเห็นแก่ตัวอยู่เสมอ รับผิดชอบในหน้าที่ และก็อย่าลบหลู่บุญคุณของพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้ประสิทธิประสาทให้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี้เรียกว่าเมื่อยังไม่สึกแล้วจะต้องทำอย่างไร มันก็ต้องทำอย่างนี้ เอาอะไรสักอย่างหนึ่งมาเป็นเครื่องล้างตัวกูอยู่เสมอ ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็เอาเหงื่อ เหงื่อคือการเสียสละเพื่อผู้อื่น
นี้ปัญหาต่อไปก็มีอีก เมื่อตะกี้ก็พูดว่าต้องบวชจริง เรียนจริง ต้องปฏิบัติจริง หมายความว่ามันมีการศึกษาเนื่องอยู่ด้วย เดี๋ยวนี้คำว่าการศึกษานี้มันเกิดสับสน ศึกษาไปเป็นสับสน มันไม่แจ่ม มันไม่กระจ่าง มันไม่ชัดเจนว่ามันคืออะไร ว่าศึกษานี้คืออะไร คนสมัยนี้เขาถือกันว่าศึกษานี้ก็คือสิ่งที่ทำให้มีอาชีพ นี้พูดกันง่าย ๆ อย่างนี้ ศึกษาเพื่อให้มีอาชีพ แล้วจะก็ได้กิน ได้กาม ได้เกียรติ นี้มันคือวัตถุนิยม ศึกษาว่ากันอย่างนี้มากขึ้นทุกที ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่เขาว่าศึกษานี้จะเพื่อไปมรรคผลนิพาน การศึกษาในโลกปัจจุบันนี้ เพื่อปากเพื่อท้อง มีบาง นักปราญช์บางพวกในยุคปัจจุบันนี้ก็พูดเหมือนกันว่าการศึกษานี้เพื่อความอยู่รอด ไม่ตาย เพื่อความอยู่รอด แต่แล้วมันเป็นการอยู่รอดทางร่างกาย มันโง่อย่างเด็กอมมือ ถ้าพูดว่าการศึกษาเพื่อการอยู่รอดทางวิญญาณแล้วก็น่าฟังอย่างยิ่ง ขอให้ช่วยจำไว้ทุกองค์ การศึกษาไม่ว่าศึกษาอย่างไหน ศึกษาที่บ้าน ศึกษาในวัด ศึกษาก็เพื่อการอยู่รอดในทางวิญญาณ อย่าให้วิญญาณมันตาย อย่าให้วิญญาณมันล่มจม การศึกษาต้องเพื่ออยู่รอดของวิญญาณ เดี๋ยวนี้เขาไม่มีความมุ่งหมายกันอย่างนี้ ไม่รู้ว่าศึกษาไปทำไม เพราะว่าเกิดมาทำไมก็ไม่รู้ มันก็เลยเอาสิ่งที่ง่ายที่สุดที่มันถึงเฉพาะหน้าว่าเรื่องปากเรื่องท้อง ศึกษาเลยกลายเป็นเรื่องปากเรื่องท้อง ทีนี้มันร้ายไปกว่านั้นก็คือว่าเอาการศึกษามาทำให้ยุ่งไปหมด จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นการศึกษา เอาการเล่นปนกับการศึกษา เอาดนตรีปนกับการศึกษา เอาเพลงปนเข้าไปกับการศึกษา จนเด็ก ๆ แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นการเล่น อะไรเป็นการศึกษา นี่การศึกษาของโลกในสมัยปัจจุบันมันเป็นอย่างนี้ เรียนจบก็ไปเป็นฮิปปี้ การศึกษาชนิดที่เรียนจบแล้วไปเป็นฮิปปี้ เพราะมันเอาไปปนกันยุ่งหมด จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นการศึกษา อะไรเป็นการเล่น อะไรเป็นการเหลวไหล มันเอาไปปนกันหมด เด็กเรียนเท่าไร ๆ ก็ไม่รู้เรื่องว่าอะไรเป็นการศึกษา อะไรเป็นการเล่น เพราะเขาเอาการเล่นมาเป็นการศึกษา ผลร้ายมันเกิดขึ้นคือว่าเด็ก ๆ ไม่รู้จักคำว่า บังคับกิเลส บังคับตัวเอง การบังคับตัวเองอย่างเป็นสุภาพบุรุษเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะมันเฝือมาตั้งแต่เล็ก ๆ ตั้งแต่แรก ๆ เรียน แรกเริ่มศึกษา พอโตขึ้นมาก็เป็นทาสของเนื้อหนัง เด็ก ๆ โตขึ้นมาออดแอด เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ออดแอดเป็นทาสของเนื้อหนังเพราะการศึกษาอย่างนี้ เรียกร้องเอาแต่ความเป็นอย่างนี้ ไม่ได้อย่างนี้ก็เที่ยวโพนทะนา ไม่ได้ก็ฆ่าตัวตายเลย คนหนุ่มคนสาวเขาเป็นอย่างนี้มากขึ้นทุกที การศึกษาของโลกปัจจุบันมันเป็นอย่างนี้ เขาโง่ ไม่รู้ว่าศึกษาเพื่อจะให้ได้ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ทำให้รู้ว่าชีวิตมันเต็มไปด้วยปัญหา เราจะต้องมีความรู้สำหรับแก้ปัญหาอย่างน้อยที่สุดก็ว่าเกิดมาทำไม ต้องให้ได้สิ่งนั้น การศึกษาที่บ้าน ในโรงเรียนก็ดี การศึกษาที่วัดในการบวชการเรียนก็ดีก็เพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านี้ เดี๋ยวนี้เห็นเป็นเพื่อปากเพื่อท้องไปเสียหมด ศึกษากันเพื่อความเป็นนักปราชญ์เฉพาะวิชานี่ เดี๋ยวนี้เขาเรียนกันอย่างนี้นะ เขาเรียนกันเพื่อให้เก่ง ให้ฉลาด จะเป็นปราชญ์ เป็นดอกเตอร์ เป็นอะไร ยิ่งกว่าดอกเตอร์ แล้วก็เฉพาะวิชา คนหนึ่งรู้เฉพาะวิชา แล้วก็ไปรับจ้าง ได้เงินเดือนแพง เอาเงินมาหากิน หากาม หาเกียรติ เกิดมาทำไมไม่รู้ นี่ศึกษาบ้า นี่ผมพูดเพราะไม่มี พูดดีไม่ได้ พูดหยาบคายตามเคย นี้ผมเรียกว่าศึกษาบ้า ถ้าบวชแล้ว ต้องการจะเป็นนักปราชญ์ทางปริยัติ แล้วสึกออกไปลูกเป็นลูกเขย หลานเขยใคร นี้มันบวชบ้า ที่มันบวชอยู่เดี๋ยวนี้น่ะคือมันบวชบ้า มันเป็นเรื่องบวชของคนบ้า หลับหูหลับตาไม่รู้ว่าจะบวชทำไม ไม่รู้เรื่องบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง เหมือนกับที่พร่ำแล้ว พร่ำอีก
ทีนี้ขออย่าได้ฟังผิด เข้าใจผิดไปว่าผมติเตียนการศึกษา ผมไม่ได้ติเตียนการศึกษา แต่ว่าติเตียนศึกษาที่มันบ้า การศึกษาที่ถูกต้องนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง น่าบูชาอย่างยิ่ง การศึกษาจำเป็นผมยอมรับ และผมก็บูชาการศึกษา สมมติว่าผมจะมีอะไรดีในตัว มีแต่ปัญญาอะไรในตัว มีสืบกรรมพันธุ์มาดี มียีนส์ถ่ายทอดมาดีเป็นชั้นพิเศษละ แต่ถ้าไม่ได้รับการศึกษา มันก็จะต้องเป็นอันธพาลตัวหนึ่งแน่ ๆ ไม่ใช่เป็นผมอย่างนี้ นี้มันพิสูจน์ชัดว่าเพราะการศึกษามันจึงได้มาเป็นอย่างนี้ มาปรับทุกข์กันอย่างนี้ ฉะนั้นไม่ได้ติเตียนการศึกษา แต่ว่ารู้สึกน้อยใจหรือเจ็บใจหรืออะไรก็ไม่รู้ ว่าทำไมไม่ให้การศึกษาที่จะเป็นไปเพื่อสันติสุขกันให้มากพอ จะไปให้การศึกษาชนิดที่ทำให้เกิดระส่ำระส่าย เป็นวิกฤตการณ์ตลอดเวลาไปเสียในโลกนี้ เรื่องนี้ก็เคยพูดมาก เมื่อพูดกับนักศึกษาที่บวชมาขอรับการอบรมระหว่างปิดภาคเรียน ก็พูดกันแต่เรื่องนี้ว่าการศึกษาของพวกคุณนี่ มันมีแต่ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ถาวรยิ่งขึ้นทุกที นี่แล้วมันก็เลยลุกลากเข้ามาในวัด พระเณรเป็นลูกปิงปองมากขึ้น เต้นไปเต้นมาไปหาการศึกษาแบบเดียวกันนั้น มันก็เกิดเป็นปัญหาที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์ มันจะเป็นความล่มจมของศาสนา เป็นความล่มจมของมนุษย์เมื่อไรก็ได้ เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ เล็ก ๆ มันเกิดมันมาไม่รู้อะไร มันก็ยิ่งเป็นไปอย่างนั้นมาก คนที่มันมีอายุมากอย่างชั้นเรานี่ก็ยังดี เพราะมันยังเคยเห็นการศึกษาอย่างเก่าอยู่บ้าง แล้วก็มาเห็นการศึกษาอย่างใหม่ แล้วมันก็รู้จักเปรียบเทียบ รู้จักเลือก ทีนี้ไอ้ลูกเด็ก ๆ ตาดำ ๆ ตัวเล็ก ๆ นี่มันจะรู้ได้อย่างไร พอเกิดมาเขาก็ป้อนการศึกษาที่ปนกับการเล่น จนไม่รู้อะไรเป็นอะไรให้อย่างนี้ มันก็เป็นนักเรียนหรือนักศึกษาที่ผิดแปลกไปจากเดิม มันไปเรียนเมืองนอกเมืองนามามากมาย ก็ไปได้แต่ความรู้ในทางวัตถุนิยม ส่งเด็กเล็ก ๆ ไปเรียนเมืองนอก มันก็ได้อะไร ๆ มาอย่างที่เมืองนอก รู้ความหมายของคำพูดที่มนุษย์เขาพูดกันนี้ เฉพาะแต่อย่างที่พวกฝรั่งเขาบัญญัติให้เรียน พวกฝรั่งเขาบัญญัติอะไรไว้เป็นอย่างไร ตั้งอะไรไว้เป็นอย่างไร มันก็เรียนมาอย่างนั้น มันก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้ว่าพระเจ้าคืออะไร ไม่รู้ว่ามนุษย์คืออะไร ไม่รู้ว่าความทุกข์คืออะไร ไม่รู้ว่าความสุขคืออะไร หรือถ้ามันจะรู้มันจะพูดบ้าง มันก็พูดแต่ตามที่พวกฝรั่งบัญญัติให้เรียน บัญญัติให้พูด ซึ่งมันไกลกันลิบกับที่พระพุทธเจ้าท่านพูด หรือว่าที่ธรรมชาติพูด เด็ก ๆ เหล่านี้ก็เลยเกลียดพระเจ้าเหมือนกับพวกฝรั่ง ไปตามก้นฝรั่ง จึงเกลียดพระเจ้า ฝรั่งที่มันเคยบูชาพระเจ้าตอนเด็ก ๆ ตอนนี้มันก็เกลียดพระเจ้า แล้วพวกลูกเด็ก ๆ ไปตามก้นพวกฝรั่งมันก็เลยเกลียดพระเจ้า ไม่รู้ว่ามนุษย์คืออะไร พระเจ้าคืออะไร เกี่ยวข้องกันอย่างไร นี้คำว่านิพพาน คำว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันก็ยิ่งไม่รู้ นี้คืออันตรายที่มันรออยู่ข้างหน้า ที่มันกำลังจะมาข้างหน้า ที่จะเกิดขึ้นกับพวกลูกเด็ก ๆ เดี๋ยวนี้มันก็เริ่มส่งผลอาละวาดแล้ว แต่ต่อไปข้างหน้ามันจะมากไปกว่านั้น เมื่อต้นปีนี้ข่าวขององค์การอนามัยโลกแสดงมาว่า เดี๋ยวนี้เวลานี้ เฉลี่ยแล้วมีมนุษย์ฆ่าตัวตายวันละ ๑,๐๐๐ คนในโลกเวลานี้ มีมนุษย์ฆ่าตัวตายวันละ ๑,๐๐๐ คนโดยเฉลี่ย ตามแถลงการณ์ขององค์การอนามัยโลก แล้วเขามาศึกษากันว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี ผมฟังแล้วก็นึกขำว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี มันจะแก้ได้เมื่อไร มันจะแก้เดี๋ยวนี้ได้เมื่อไร มันเป็นผลของความผิดพลาดมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วที่ทำ ที่มีการศึกษาที่ไม่เป็นการศึกษาที่ทำให้มนุษย์ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันเกิดมาเป็นทาสของเนื้อหนัง มันก็มีความมุทะลุดุดันแต่ในเรื่องที่จะได้ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง มันก็มีเรื่องกลุ้มใจรอบด้าน มันก็ฆ่าตัวตายมากขึ้นทุกที จนกระทั่งวันละ ๑,๐๐๐ คน แล้วองค์การอนามัยโลกจะแก้ไข ผมว่ายังไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าจะแก้ไขได้ เพราะเขารู้กันแต่เรื่องทางวัตถุ อนามัยโลก อนามัยอะไรก็ตามนี้มันรู้เรื่องแต่ทางวัตถุ มันก็คงจะทำยาเป็นเม็ด ๆ ให้กินเข้าไปแล้วสงบอารมณ์สบายใจไป ไม่ต้องฆ่าตัวตาย นี่อย่างมากก็คงจะได้เพียงเท่านี้ ไม่มีปัญญาที่จะใช้โอสถของพระพุทธเจ้าที่จะให้มนุษย์จิตใจเหมาะสมที่จะต่อสู้กับการเป็นอยู่ในโลกนี้ มีจิตใจสะอาด สว่าง สงบพอสมควรที่จะต่อสู้นั่นแหละมันจึงจะแก้ไขได้ นี้มันเป็นเรื่องน่าหัวที่ว่าฆ่าตัวตายวันละ ๑,๐๐๐ คน ต่อไปมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองพัน สามพัน เพราะอำนาจของการศึกษาในโลกปัจจุบันที่มันเลอะเลือนมากขึ้นอย่างนี้ ไม่รู้ว่าเรียนไปทำไม เกิดมาทำไม ที่ผมเอามาพูดนี้ ไม่ใช่จะติเตียนการศึกษา ผมยังบูชาการศึกษา แต่อยากจะล้อการศึกษาที่มันเลอะเทอะ ที่ไม่เป็นการศึกษา แต่เป็นอะไรอย่างหนึ่งซึ่งทำให้ยุวชนเวียนหัวมากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้น ลงเห็นแก่ตัวมากขึ้นแล้วมันก็ไม่มีทางแก้ มันก็จะทำอะไรชนิดที่ฆ่าตัวตาย หรือว่าฆ่าผู้อื่นตาย หรืออะไรมากขึ้นเสมอไป ขอให้พวกเราที่ยังหวังที่จะเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ระวังสิ่งที่เรียกว่าการศึกษาให้ดี ๆ อย่าถลำลงไปในการศึกษาถึงนั้น เดี๋ยวนี้หนังสือหนังหามันแพร่หลายซื้อได้ง่าย ๆ ในราคาไม่กี่สตางค์ จะไปซื้อหนังสือชนิดที่เป็นยาพิษเหล่านั้นมาอ่าน แล้วก็โง่ แล้วก็หลง แล้วก็บูชา แล้วก็เดินตามนั้น ก็เท่ากับไปในกลุ่มที่จะต้องฆ่าตัวตาย หรือมิฉะนั้นก็อยู่อย่างคนที่ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม นี้เรียกว่าการศึกษาโดยทั่วไปในโลกนี้ ภิกษุสามเณรจะต้องสำเหนียกไว้อย่างนี้ว่ามันกำลังจะมาเล่นงานเรา
ทีนี้มาดูการศึกษาในวงวัดของเราบ้าง ที่เรามีกันมานานแล้ว และกำลังมีอยู่เดี๋ยวนี้เรียนนักธรรม เรียนบาลีอะไรต่าง ๆ นี้ เรียกว่าการศึกษาในวงวัดของเรา มันก็มีสิ่งที่จะต้องรู้ คือจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วยเหมือนกัน ถ้าไม่รู้ มันก็งมงาย ถ้างมงายมันก็ไร้ประโยชน์ แล้วยังจะถูกดูถูกดูหมิ่นด้วย กลายเป็นคนโง่ไป ไม่มีการศึกษานั่นเอง แม้แต่จะศึกษาพุทธศาสนานี้มันก็ต้องถูกต้อง ให้ถูกตัวของพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้มันปรากฏว่ามีอะไรอยู่หลายอย่าง ที่เข้าใจผิด ศึกษาไม่ถูกต้อง ศึกษากันอยู่อย่างงมงาย จะเอามาพูดให้หมดในวันนี้ก็ไม่ไหว เวลามันจำกัด เรี่ยวแรงที่จะพูดมันก็จำกัด ก็พูดได้แต่ว่าจะยกตัวอย่างให้ดู ยกตัวอย่างเช่นเรื่องปฏิจจสมุปบาท ยังเข้าใจผิดกันอยู่ สอนกันอยู่ในโรงเรียนแล้วก็สอบไล่ได้ด้วยทั้งที่มันผิด ที่ว่าปฏิจจสมุปบาทจะกินเวลาตั้ง ๓ ชาติต่อ ๑ วงนั้น มันไม่มีประโยชน์อะไร มันปฏิบัติไม่ได้ มันควบคุมไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องมีปฏิจจสมุปบาท ถ้าว่ากินเวลา ๓ ชาติ มันก็ต้องเป็นชาติอีกชนิดหนึ่งที่ชาติ คือชาติที่เกิดโดยนามธรรม คืออุปาทานว่าตัวกูของกู เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง นั้นเรียกว่าชาติหนึ่ง อย่างนี้ ๓ ชาติทั้งหัวทั้งท้ายทั้งตรงกลางเป็น ๓ ชาติกินเวลาไม่กี่นาที อย่างนี้ที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่งสายหนึ่ง อย่างนี้มันปฏิบัติได้ คือมันควบคุมได้ ควบคุมไม่ให้เกิด ควบคุมไม่ให้เป็นทุกข์ได้ อยู่ในวิสัยที่เราจะควบคุมได้ ฉะนั้นผมจึงเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทเสียใหม่อย่างนี้ แล้วเขาก็หาว่าบ้า ว่าแหวกแนว ไม่พูดไม่สอนเหมือนที่สอน ๆ กันมานี่ มันเกิดขึ้นเป็นปฏิจจสมุปบาทขึ้น ๓ ชนิด ปฏิจจสมุปบาทที่กินเวลา ๓ ชาติ ชาติชนิดเข้าโลงก็มี ปฏิจจสมุปบาทกินเวลาชาติหนึ่งเข้าโลงทีหนึ่งนี้ก็มี หรือปฏิจจสมุปบาทที่กินเวลาเพียงนิดเดียว คือเกิดเรื่องขึ้นในใจเรื่องหนึ่งก็กินเวลาชาติหนึ่ง อย่างของผมพูดอย่างนี้ก็มี มันมีอยู่อย่างนี้ ๓ ชนิดสำหรับเรื่องปฏิจจสมุปบาท นี้อันไหนมันถูก ไม่มีใครตัดสิน แต่ว่ามันมีเหตุผลสำหรับจะตัดสิน ผมจะพูดแล้วช่วยฟังให้ดี ๆ ว่าถ้ามันมีความขัดแย้งกันอย่างนี้แล้วก็ต้องตัดสินว่าชนิดไหนมันมีประโยชน์มันปฏิบัติได้ ชนิดนั้นแหละมันถูก ถ้ามันไม่มีประโยชน์แล้วมันไม่ถูก ถ้ามันปฏิบัติไม่ได้ พูดเสียเปล่า ๆ มันก็ไม่ถูก มันต้องปฏิบัติได้และมีประโยชน์ปรากฏแก่จิตแก่ใจชัดเจนอยู่อย่างนี้ นี้ต้องบัญญัติว่าถูก ว่านี้จริง นี้ควรศึกษา นี้ควรเอาใจใส่ นี้ขอฝากไว้ให้ทุกองค์ทุกรูปจำหลักเกณฑ์อันนี้ไว้ว่าถ้ามันมีปัญหาว่าอย่างไหนถูกก็ต้องถือว่าอย่างที่มันเห็นประโยชน์ชัดเจนอยู่แล้วนั่นแหละถูก และเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ด้วย นี้เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างนี้
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องนิพพาน สอนกันอยู่แต่ว่านิพพานมี ๒ อย่าง นิพพานอย่างหนึ่งเป็น ๆ นิพพานอย่างหนึ่งตายแล้ว เป็นนิพพานที่ได้แต่ตายแล้ว นี้มันน่าหัว น่าหัวเหลือเกิน หัวจนให้ฟันหักหมดไปทั้งปาก มันก็ยังไม่คุ้มกัน ตายแล้วถึงได้นิพพานแล้วมันมีประโยชน์อะไร นี้ถ้าไปค้นดูในบาลี ในพระไตรปิฎกเอง มันกลับมีชัดอยู่ว่าไอ้นิพพาน ๒ อย่างนี้ เรียกว่านิพพานธาตุ สิ้นกิเลส สิ้นอาสวะไปหยก ๆ อย่างนี้เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ (นาทีที่ 01:15:25) เพราะความเคยชินของอายตนะในการรับอารมณ์แล้วกระวนกระวายนั้นมันยังเหลืออยู่ มันต้องรอต่อไปอีกระยะหนึ่งจะนานเท่าไรก็ตามใจ จนถึงอีกระยะหนึ่งอายตนะมันเปลี่ยนไปจนถึงกับว่าเวทนาอะไรมากระทบมันก็ร้อนไม่ได้ เวทนานั้นจะเป็นของเย็นเสมอ อย่างนี้เรียกว่าอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (นาทีที่ 01:15:53) แล้วก็เย็นเลย เย็นที่นี่ เย็นเดี๋ยวนี้ตลอดชาตินี้ ไม่ใช่ตอนตายแล้วถึงได้ ตายแล้วได้มันจะมีประโยชน์อะไร เปรียบเทียบเพื่อกันลืม จำง่าย ๆ ก็ว่าเหมือนกับถ่านไฟ เอาน้ำราดลงไปมันก็ดับ เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีดำ นี่คือดับทีแรก แต่มันยังอุ่นอยู่ ไปจับเข้ามือยังพอง ต้องรอไปอีกระยะหนึ่งจนมันเย็นสนิทไม่มีพิษสงอะไรอีกต่อไป นี้จึงจะเรียกว่ามันดับแท้ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเปรียบเหมือนกับถ่านไฟสักว่าดับลงก็ยังอุ่นอยู่ ยังร้อนอยู่ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นั่นหมายถึงเมื่อมันเย็นสนิท บางคนอาจจะกินเวลาช้ามากก็ได้ มันแล้วแต่ความเคยชินของอายตนะ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกี่ยวกับเวทนา มันไม่เหมือนกันทุกคน แต่ถึงอย่างไรมันต้องเย็นแน่ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุจะต้องมีแน่ นี้ผมเห็นอย่างนี้โดยอาศัยหลักในพระบาลี แต่พอพูดขึ้นหาว่ามันบ้า มันแหวกแนว เพราะเขาสอนกันอยู่อย่างอื่น คือสอนกันอย่างที่มีอยู่ในตำราเรียน ผมก็ไม่ต้องพูด คุณก็เป็นนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอกกันอยู่แล้วก็ไปดูกันเองว่ามันผิดจากที่ผมพูดจากที่เอามาในพระบาลีนี้มันผิดกันอย่างไร
อ้าวนี้เรื่องต่อไปมันเกี่ยวกับภาษาคน ภาษาธรรม เขาพูดกันแต่ภาษาคนไม่พูดภาษาธรรม จะยกตัวอย่างเช่นว่า ภาษาคนมันพูดว่าจิตลุถึงนิพพาน นี่ภาษาคนเขาก็ยอมรับว่าเป็นคำพูดที่ถูกว่าจิตลุถึงนิพพาน แต่ถ้าเป็นภาษาธรรมแล้วมันใช้ไม่ได้ มันผิดมันไม่มีลอจิกส์ จิตจะรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่านิพพานไม่ได้ นิพพานจะเป็นสิ่งที่ถึงได้ด้วยการลุกันได้ถึงไม่ได้ (นาทีที่ 01:18:25) ถ้าพูดด้วยภาษาธรรมมันต้องพูดว่าจิตหมดความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน จิตมันหมดความเคยชินที่จะยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน ก็เดี๋ยวนี้ญาณทัศนะหรือปัญญามันขึ้นถึงขีดสูงสุด ทำลายความเคยชินที่จะยึดมั่น ยึดมั่นถือมั่นนั่นนี้ในจิตออกไปเสียได้ จิตมันหมดจากความยึดมั่นถือมั่นหรือความเคยชินที่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งต่าง ๆ ด้วยอุปาทาน พูดอย่างนี้ถูก แล้วมันมีลอจิกส์ คือค้านไม่ได้ นี้เราพูดว่าจิตลุถึงนิพพาน มันก็เหมือนมีนิพพานอยู่อีกแห่ง แล้วจิตมันก็ไปถึงที่นั่น แล้วก็ลุถึงที่นั่น มันเป็นภาษาคน ภาษาวัตถุ นี้พอมันรับกันไว้ทั้งอย่างนั้น มันก็เข้าใจไม่ได้ ขอให้เข้าใจว่าปัญหาเกี่ยวกับภาษาคนภาษาธรรมนี้ยังมีอีกมากมาย หลายร้อย หลาย หลายร้อยกรณีทีเดียว ช่วยกันไปศึกษาเสียใหม่ให้รู้ดีในเรื่องนี้ จนรู้ว่าภาษาคนเป็นอย่างไร ภาษาธรรมเป็นอย่างไร ที่น่าหัวแต่ละเอียดลึกซึ้งไปกว่านี้ก็คือภาษาอภิธรรม พวกคุณไม่ค่อยเรียนอภิธรรมจึงไม่ค่อยรู้ ผมเคยสังเกตมาเห็นแล้วก็น่าสงสาร เช่นคำพูด ๒ คำ ว่ากายปัสสัทธิและจิตตปัสสัทธิ อย่างนี้ เขาอธิบายกันว่ากายปัสสัทธิคือความสงบของเจตสิกธรรม ๔ อย่างคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เอ้อ, คือ เวทนา สัญญา สังขาร คือพวกเจตสิก จิตตปัสสัทธิหมายถึงความสงบแห่งจิต คือวิญญาณ ผมไม่เห็นด้วย ผมเห็นว่ากายปัสสัทธินั้นคือความระงับทางกาย ไม่ใช่ความระงับของเจตสิก ระงับเจตสิกมันจะมีประโยชน์อะไร แต่ข้อเท็จจริงมันมีอยู่ว่าเมื่อเจตสิกทั้ง ๓ นั้นมันระงับ กายมันระงับ เราเอาผลที่กาย มันแสดงความระงับ แต่เจตสิกกระทำนั้นมันไม่มีผลอะไร และมันก็ระงับให้เป็นผลเป็นที่พอใจอะไรไม่ได้ ผลมันออกมาส่อทางกายให้เป็นกายระงับอย่างนี้เรียกว่าระงับกาย กายปัสสัทธิผมจึงแปลว่าความระงับแห่งกาย จิตตปัสสัทธิความระงับแห่งจิต เขาว่าบ้า เขาว่าอธิบายแหวกแนว และมันยังมีคำพูดอย่างอื่นอีก เช่น ปาคุญญตา ความคล่องแคล่ว มุทุตา ความอ่อนโยน อุชุกตา ความตรง (นาทีที่ 01:21:27) แยกเป็นของกาย ของจิต ของกาย ของจิตไปทั้งนั้น แต่เขาว่ามันของเจตสิกกับของจิตไปทั้งนั้น ผมว่าของกายอยู่คนเดียว เรียกว่ามันถึงสมัยที่จะต้องแหวกแนวแม้ทางปริยัติ
ทีนี้ก็มาถึงไอ้ความแหวกแนวที่เกี่ยวกับศาสนาเป็นส่วนรวม ซึ่งมันก็เป็นปัญหาที่ใหญ่หลวง เขาถือเป็นหลักกันอยู่ว่าศาสนาทุกศาสนาไม่เหมือนกัน แล้วยังแถมค้านกัน นอกจากยังไม่เหมือนแล้วยังคัดค้านกัน เข้ากันไม่ได้ นี่ผมมาถือว่าทุกศาสนาเป็นอย่างเดียวกัน ถ้ามันเป็นศาสนาที่แท้จริงแล้ว มันจะต้องเป็นอย่างเดียวกัน คือมีหัวใจอย่างเดียวกัน ศาสนาจะต้องมีหัวใจอยู่ที่ว่าทำลายความเห็นแก่ตัว ศาสนาไหนไม่ทำลายความเห็นแก่ตัว ศาสนาไม่ใช่ศาสนา ถือเป็นศาสนาบ้า ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์อะไรก็ตาม เขาจะต้องมุ่งหมายเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น แต่เรียกชื่อต่าง ๆ กัน ทำลายตัวกูของกูก็ได้ ทำลายทั้งการกำลังการก็ได้ (นาทีที่ 01:23:07) ทำลายเนื้อหนังอย่างศาสนาคริสต์เขาใช้ก็ได้ มันเป็นการทำลายความเห็นแก่ตัวนั้น ฉะนั้นหัวใจของศาสนามันเป็นอันเดียวกัน แต่วิธีปฏิบัตินั้นมันต่างกันบ้าง ตามสมัย ตามท้องถิ่น ตามเหตุการณ์ การปฏิบัติที่จะทำลายความเห็นแก่ตัวมันจะต้องต่างกันบ้าง เช่นศาสนาพุทธอาศัยกำลังปัญญา ศาสนาอื่นอาจจะอาศัยความเชื่อ แต่ศาสนาคริสเตียนนั้นผมพอใจที่จะกล่าวว่าเป็นศาสนาที่อาศัยปัญญา เพราะมีหลักที่สรุปได้ว่ามีภรรยาก็จงเหมือนกับไม่มีภรรยา มีทรัพย์สมบัติก็จงเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ มีทุกข์ก็เหมือนกับไม่มีทุกข์ ซื้อของที่ตลาดจะเอาอะไรมา นี้มันเป็นเรื่องของปัญญา แต่เขาไม่ดูกันที่นั้น คน คนถูกสอนให้เอาแต่ความเชื่อ ฉะนั้นเลยดูเป็นไม่ใช่เป็นปัญญา แต่เอาเถิด ไม่ว่าศาสนาไหนหมด ต้องมุ่งหมายทำลายความเห็นแก่ตัวด้วยปัญญาก็ได้ ด้วยความเพียรก็ได้ ด้วยความเชื่อก็ได้ เมื่อความเห็นแก่ตัวมันเบาบางไปแล้วมันก็มีผลเหมือนกันทั้งนั้น ฉะนั้นผมจึงพูดว่าศาสนาทุกศาสนาที่เป็นศาสนาแล้วมันจะต้องเหมือน ถือว่าเป็นศาสนาเดียวกัน ก็ถูกหาว่าบ้า ว่าแหวกแนว ว่าอวดดี แล้วก็หามากไปกว่านั้นอีกว่าผมเป็นขบถต่อพระพุทธศาสนาแล้ว ไปยกย่องศาสนาอื่นแทนพุทธศาสนาอย่างนี้
นี้มันเป็นเรื่องที่จะต้องคิด จะต้องนึกสำหรับพวกคุณที่เป็นภิกษุสามเณร เป็นเจ้าหน้าที่ของพระพุทธเจ้า หรือเป็นลูกของพระพุทธเจ้า หรือเป็นอะไรของพระพุทธเจ้าแล้วแต่จะเรียก เพราะว่ากินข้าวของพระพุทธเจ้าอยู่ทุกวัน จะต้องรับผิดชอบในข้อนี้ สำหรับมนุษย์ทั้งโลก อย่าทำให้สิ่งที่เรียกว่าศาสนาเกิดตีกัน แล้วก็เป็นภัยทั่วไปทั้งโลก พระพุทธเจ้าท่านก็ประสงค์ว่าจะเป็นประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่เทวดาและมนุษย์ มันเกินกว่าโลก กว่ามนุษย์ทั้งโลกเสียอีก ต้องการให้ถึงเทวดาด้วย ฉะนั้นเราต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับศาสนาอื่น เพราะว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่ทางศาสนา เป็นพระ เป็นเณร เป็นเจ้าหน้าที่โดยตรง ชาวบ้านเขาไม่เป็นอย่างนั้น เราเป็นเจ้าหน้าที่ทางศาสนา มากกว่าชาวบ้านนะ เราต้องรู้ให้ดี ให้จริง ให้ตรง เราจะต้องมองเห็นว่าจะเป็นพุทธ หรือเป็นคริสต์ก็ไม่มีความหมายที่มันแปลกกันสำหรับเรา เพราะว่าเป็นพุทธหรือเป็นคริสต์ หัวใจก็อยู่ที่ว่าจะทำลายความเห็นแก่ตัว ทำลายความยึดมั่นถือมั่นและเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น เราอย่าไปรังเกียจศาสนาอื่นเลย เพราะว่าเขามุ่งหมายจะทำลายความเห็นแก่ตัวเหมือนกับเรา นี่สมมติว่าถ้าผมเกิดในศาสนาคริสเตียน ฟังดี ๆ นะว่าผมสมมติว่าผมเกิดในศาสนาคริสเตียนที่ประเทศไหนก็ตามใจ แล้วผมก็ศึกษาศาสนาคริสเตียนจนรู้จักหัวใจของศาสนาคริสเตียนอย่างที่เอามาพูดนี้ แล้วผมก็จะพูดทั้ง ๆ ที่เป็นคริสเตียนน่ะว่าศาสนาคริสต์มันก็เหมือนกับศาสนาพุทธ ตรงที่ทำลายความเห็นแก่ตัวนั่นเอง นี้มันไม่มีอะไรที่จะต้องแตกแยกกันเพื่อเป็นศัตรูกันในระหว่างศาสนา ถ้าหากว่าทุกคนมันเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตนด้วยกันทุกคน เมื่อศาสนาทุกศาสนามันเป็นอย่างเดียวกันแล้ว มันก็มีอะไร ๆ ที่เป็นอย่างเดียวกันต่อไปอีก มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวหรือสิ่งเดียว มีธรรมะเพียงสิ่งเดียว เราเรียกว่าธรรมะ เรียกว่าพระธรรม พระธรรมเจ้า คนอื่นเรียกว่าพระเจ้าก็ตามใจเขาสิ แต่มันเป็นสิ่งเดียวกันตรงที่ว่ามันเป็นสิ่งสูงสุด เหนือสิ่งใดหมด พระธรรมเจ้าหรือพระเจ้าน่ะ ถ้าเรียกอย่างภาษาวิทยาศาสตร์ก็ต้องเรียกว่าธรรมชาติ พระเจ้าธรรมชาติ คือตัวธรรมชาติ คือกฎธรรมชาติ คือหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ คือผลที่จะได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ อย่างนี้ก็มันเป็นหมดทุกอย่าง แล้วมันเป็นสิ่งที่เด็ดขาด เฉียบขาด ไม่มองหน้าใคร นั่นน่ะคือพระเจ้าธรรมชาติของพวกที่ถ้าเรียนวิทยาศาสตร์ในทางฝ่ายนามธรรมแล้วก็จะรู้พระเจ้าธรรมชาติ นี่เราก็มีสิ่งนั้นเหมือนกันเลย แต่เราเรียกว่าพระธรรม พระธรรมเป็นที่เกิดแห่งสิ่งทั้งปวง เป็นสิ่งทั้งปวง เป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม มีกฎของธรรมชาติคือสัจธรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาควบคุมอยู่ มนุษย์ต้องปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องตามกฎนั้น และก็ได้ผลโดยสมควรแก่การปฏิบัตินั้น นี้เราเรียกว่าพระธรรม เมื่อผู้อื่นจะเรียกว่าพระเจ้า หรือพระเจ้าธรรมชาติก็ตามใจ เมื่อศาสนามันเป็นศาสนาเดียวกันแล้ว พระธรรมก็ต้องเป็นองค์เดียวกัน พระเจ้าก็ต้องเป็นองค์เดียวกัน เราไม่ต้องไปโง่ เพื่อจะทะเลาะกันในเรื่องนี้ นี้อยากจะพูดว่าแม้พระพุทธเจ้าของเราก็มีพระเจ้า ท่านถือพระเจ้า ในบาลีอังคุตตรนิกายมีระบุชัด พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราไม่เอาอภิวาทผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเทวดา แต่เคารพธรรม ในติกนิบาต อังคุตตรนิกาย (นาทีที่ 01:29:35) พุทธเจ้าตรัสว่าเราเป็นธรรมราชาที่เคารพธรรม ในจตุกกนิบาต อังคุตตรนิกาย ตรัสว่าธรรมใดที่เราตรัสรู้แล้ว เราสักการะเคารพธรรมนั้น พระพุทธเจ้าเคารพพระธรรม เคารพพระธรรมเจ้า ทั้งที่พระธรรมเจ้านั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เอง ตรัสรู้ออกมา นี่หมายความพระธรรมมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้ารู้เข้า แล้วก็เลยเคารพพระธรรมเจ้านั้น นี้ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าไอ้ธรรมะใน ๔ ความหมาย สภาวธรรมได้แก่ธรรมชาติ สัจธรรมได้แก่กฎธรรมชาติ ปฏิบัติธรรมได้แก่หน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ปฏิเวธธรรมได้แก่ผลที่เกิดขึ้นตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็เล็งถึงอริยสัจอยู่ในตัว อริยสัจก็คือเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจก็คือรู้เรื่องนี้ รู้พระธรรมนี้แล้วกลับเคารพพระธรรม นี้พูดได้ว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่า ๔ เรื่องนี้ และพระองค์ก็เคารพธรรมในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด ฉะนั้นต้องถือว่านี่คือพระเจ้าที่พระพุทธเจ้าของเราก็เคารพนับถือ ดังนั้นจึงเป็นพระเจ้าของทุก ๆ ศาสนาเลย ร่วมกันเลย นี้อยากจะมีพระเจ้าในความหมายอย่างนี้ คือเป็นสิ่งที่ไม่จำกัดกาล เหมือนบทว่าอกาลิโล (นาทีที่ 01:31:39) พระธรรมเป็นอกาลิโก พระเจ้านี้เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดเวลา อยู่นอกเหนือเวลา พระธรรมแท้เป็นอสังขตะ คือไม่มีอะไรทำอะไรได้ ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้ และก็พระธรรมหรือพระเจ้าแท้เป็นอพยากตะ คือใครจะพูดว่าเป็นอะไรไม่ได้ จะพูดว่าดี ว่าชั่ว ว่าสัตว์ ว่าบุคคลอะไรไม่ได้ เป็นอพยากตะ ไม่พูดว่าเป็นอะไร นี่ต้องหุบปากเมื่อถามว่าพระเจ้าเป็นอะไร พระเจ้าเป็นอะไร คำตอบที่ถูกต้องที่สุดคือหุบปาก เป็นอพยากตะ พูดว่าเป็นอะไรไม่ได้ มันเป็นพระเจ้านั่นเอง ขืนถามอีกกี่ครั้ง มันก็ตอบเป็นพระเจ้าอยู่นั่นเอง เพราะมันพูดว่าเป็นอะไรไม่ได้ และอวิปริณามัตถะ (นาทีที่ 01:32:30) อวิปริณามะ ก็คือว่าไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ไหนแต่ไรมาแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลง และเป็นอนัตตักกะ (นาทีที่ 01:32:44) คือไม่มีที่สุด ข้างโน้นก็ไม่มีที่สุด ข้างนี้ก็ไม่มีที่สุด เราจะสร้างบทสำหรับนมัสการพระเจ้าขึ้นบทสักบทก็ได้ว่า นโมตัสสะ อกาลิกัสสะ อสังขตัสสะ อพยากตัสสะ อวิปริณามัตตะ อนัตตกัสสะ (นาทีที่ 01:32:57) ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระเจ้า ผู้เป็นอกาลิโก เป็นอสังขตะ เป็นอพยากตะ เป็นอวิปริณามะ เป็นอนัตตักกะ พระองค์นั้นเลย และก็มีพระองค์เดียวยิ่งกว่าอะไรเสียอีก เรามีพระเจ้าอย่างนี้ เราจะบูชาพระเจ้าได้โดยลักษณะอย่างนี้ นี่ขอให้สังเกตดูให้ดี ๆ ว่าอะไร ๆ มันมีปัญหาพัวพันกันหมด พระเณรสมัยปิงปองจะเวียนหัวหนักขึ้น ถ้าพลอยเป็นลูกปิงปองไปตามเขาด้วย คือไม่รู้จะเอาอะไรกันที่ไหน เดี๋ยวนี้ต้องมารู้อะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอย่างไรให้ชัดเจน แล้วก็ทำให้มันถูกกับเรื่องกับราว ก็มีจิตใจชนิดที่เรียกว่ารอบคอบสุขุม อย่าประมาทนั้นเอง อย่าทำเล่น ๆ อย่าทะลึ่ง ต้องนิ่งให้มาก ต้องคิดให้มาก ต้องพิจารณาให้มาก อย่าดูถูกสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็อย่าดูถูกคำพูดของอาจารย์ผู้เฒ่าที่ไม่เคยเรียนนักธรรม ไม่เคยเรียนบาลี แต่กลับรู้สึกอะไรได้ดี พูดอะไรได้ดีกว่าพวกที่เป็นเปรียญตั้งร้อยประโยค ถ้าหากว่ามันจะมี เดี๋ยวนี้มันก็มีเปรียญแค่เพียง ๙ ประโยค นี้เพิ่มให้ ๑๐ เท่า ๒๐ เท่ามันก็ไม่รู้ได้ เพราะมันไม่รู้สึก ครูอาจารย์แก่ ๆ พูดอะไรไม่เป็นกี่คำ พูดได้ ๒-๓ คำแต่มันถูกต้องและรู้สึก
นี่เรื่องที่เป็นจริงเป็นจัง มันก็มีมากมายอย่างนี้ เดี๋ยวจะพูดเรื่องเล่น ๆ บ้าง เพราะผมรู้สึกว่ายังเข้าใจผิดกันอยู่มาก นี้ก็เพื่อจะช่วยเรื่องจริง ไอ้เรื่องเล่นของผมจะต้องเป็นประโยชน์และเป็นการช่วยเรื่องจริง และเป็นเรื่องสนุก จะตั้งหัวข้อว่าไอ้วัดวาอารามแต่โบรมโบราณนั่น เขาเลี้ยงสัตว์ไว้ทำไม มันมีสัตว์อยู่ในวัดทำไม ผมเลี้ยงคางคก เลี้ยงเต่า เลี้ยงปลา เลี้ยงแมว เลี้ยงสุนัข เลี้ยงไก่ เลี้ยงต้นไม้ เลี้ยงไว้ทำไม คุณก็อยู่ด้วยกันที่นี่ คุณรู้ไหมว่าผมเลี้ยงไว้ทำไม คางคกตัวฝ่ามืออยู่ ตัวเท่าฝ่ามืออยู่ข้างประตู พอฝนตกก็ออกมา กินแมลง เลี้ยงเต่ามันก็อยู่ที่นี่ ข้างเรือนี้ เลี้ยงปลาที่นั่น เลี้ยงแมวที่นี่ เลี้ยงสุนัขนี่ เลี้ยงไก่ กระทั่งเลี้ยงต้นไม้ ต้นไม้อย่างนั้น ต้นไม้อย่างนี้ ก็เป็นเรื่องเลี้ยง มีคนถามว่าเลี้ยงไว้ทำไม ผมว่าเลี้ยงไว้เป็นอาจารย์ มันก็ไม่เชื่อ มันยังมองด้วยสายตาที่ว่าพูดโกหก พูดเล่น ฝรั่งถามก็ตอบอย่างนี้ ฝรั่งไม่เข้าใจแล้วคนไทยโง่ ๆ มันจะเข้าใจได้อย่างไร ฝรั่งมันฉลาดกว่าเป็นกอง มันยังเข้าใจไม่ได้ คนไทยโง่ ๆ มันจะเข้าใจได้อย่างไร ถ้าผมตอบว่าเลี้ยงหมาไว้เป็นอาจารย์ มันดูอะไรได้จากหมา หมามันสอนอะไรให้ ก็ควรจะรู้กันบ้าง เลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อเป็น เพื่อจะเป็นอาจารย์สอนให้รู้ว่าเรามันเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายกันอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่เลี้ยงเราไม่รู้ เราไม่รู้ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย สุนัขก็ดี แมวก็ดี ไก่ก็ดี ปลาก็ดี เต่าก็ดี คางคกก็ดี พอมาเลี้ยงกับมัน อยู่กับมันเป็นปีสองปีสามปี ถึงได้รู้ว่า อ้าว, มันมีความหมายเหลือเกิน มันเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย น่าสงสาร ทำอันตรายกันไม่ลง ละเลยกันไม่ได้ มันต้องช่วยกันนี่ มันเกิดความรู้สึกที่ว่าต้องช่วยกัน ทีนี้มันสอนมากไปกว่านั้น ต่อมามันสอน อุ๊ย, สอนว่าเรายังไม่ดีไปกว่าสัตว์เหล่านั้น เราเป็นคนนี้ยังไม่ดีไปกว่าสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นมันซื่อตรงกว่าเรา มันมีความบริสุทธิ์ตรงไปตรงมา ไม่ประสีประสายิ่งกว่าเรา เรามันโกหกคดโกง คดในข้อ งอกระดูก โกหกมดเท็จ ปากพูดอย่างใจพูดอย่าง แต่สัตว์เหล่านั้นมันไม่เป็นนี่ สัตว์เหล่านี้มันเป็นอาจารย์สอนให้เรารู้ว่า แกยังไม่ดีไปกว่าสัตว์เดรัจฉานเลยในบางแง่ แกจงรีบแก้ไขความบกพร่องในบางแง่ของแกเสีย สุนัขก็ถือว่ากตัญญู คนก็ไม่กตัญญูเท่าสุนัข นี่มันจริงหรือเปล่า ถ้าจริงรีบแก้ไขเสีย นี้บางเวลามันเป็นอาจารย์ มันสอนให้ดูว่ามันสันโดษกว่าคน มันเจียมตัว ไม่ยกหูชูหางเหมือนคน พระเณรพูดจาโอหังยกหูชูหาง คางคกทำไมเป็น เต่าทำไม่เป็น ปลาทำไม่เป็น แมวทำไม่เป็น เห็นคางคกทีไร นึกได้ทุกที ไม่อยากดิบไม่อยากดี ไม่อยากเห่อ ไม่อยากทะเยอทะยานอะไรหมด เห็นคางคกทุกทีนึกได้ทุกทีว่าไม่อยากดิบ ไม่อยากดี ไม่อยากเห่อ ไม่อยากบ้า เห็นเต่าทีไรก็นึกทุกทีว่าไม่อยากดิบ ไม่อยากดี ไม่อยากเห่อ ไม่อยากบ้า นี่มันแสดงคำสอนอยู่อย่างนี้ ไอ้เรามันไม่สันโดษ อยากใหญ่ใฝ่สูง ไม่เจียมตัว ยกหูชูหาง มันแสดงความสันโดษเจียมตัว ไม่ยกหูชูหาง ข้อเท็จจริงมันจะเป็นอย่างไร ไม่ ไม่ ไม่สำคัญ มันสำคัญอยู่แต่ว่าเรารู้สึกอย่างไรเมื่อมองเห็นสัตว์เหล่านี้ คางคกมันเป็นอาจารย์ ที่ร้ายกาจที่สุดว่าไอ้เราคนนี่มันยึดมั่นถือมั่นมาก ตัวกูของกู ตัวกูของกู วันหนึ่งหลายเรื่องหลายราว ไอ้สัตว์เหล่านี้มันดูไม่ออกว่ามันยึดมั่นถือมั่นตัวกูของกูอย่างไร เราก็ละอายมันบ่อย ๆ วันหนึ่งหลาย ๆ หน นี้เรียกว่าเลี้ยงไว้เป็นอาจารย์ ฝรั่งถามว่าเลี้ยงสุนัขทำไม บอกว่าเลี้ยงไว้เป็นอาจารย์ เลี้ยงปลาทำไม เป็นอาจารย์ เลี้ยงไก่ทำไม ก็เป็นอาจารย์เหมือนกัน มันมีอะไรที่น่านับถืออยู่หลาย ๆ แง่ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ไม่ต้องพูด แต่ถ้ามันแสดงออกมาให้ ให้เราเห็นในทางที่จะละอายมันแล้วก็ถือเอา รีบถือเอา เราละอาย
ทีนี้เลี้ยงสัตว์ไว้ทำไม ตอบได้ต่อไปอีกว่าเลี้ยงไว้แก้ไขนิสัยความไม่เอาใจใส่ต่อผู้อื่น ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น อย่าอวดดี พวกคุณ อายุยังน้อย ชีพจรยังเต้นแรง มันยากที่จะเอาใจใส่ผู้อื่นหรือเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มันก็กลัดกลุ้มอยู่ด้วยความต้องการของตัวเอง มันไม่เอาใจใส่ผู้อื่นหรอก ปากพูดว่าเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มันโกหกทั้งนั้น มันพูดแต่ปากทั้งนั้น มันไม่เห็นใจ ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น แม้ที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน แล้วมันจะไปเห็นใจสัตว์เดรัจฉานได้อย่างไร อย่างสุนัขนี้ให้มันกินข้าวเปล่า บางทีข้าวเปล่าก็ไม่ให้มันกินด้วยซ้ำไป มันต้องหนีมากินที่วัด อยู่ที่บ้านแม้แต่ข้าวเปล่าเขาก็ไม่ให้กิน นี้ก็พูดว่าเลี้ยงสุนัข แมวนี้ให้มันหาหนูกินเองจนผอม แล้วบางทีก็ยังเอามาปล่อยที่วัด นี้แสดงว่ามันไม่ได้เอาใจใส่ต่อสัตว์เหล่านี้ แล้วมันจะพูดว่าเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เอาอกเอาใจผู้อื่นนี้มันโกหก คนมันเป็นเสียอย่างนี้ หมาไม่ให้กินข้าวเปล่า แมวให้จับหนูเอาเอง แล้วลูกคนนั่นแหละมันก็ผอมแห้งพุงโร ก้นปอด ไปดูสิ ไหนลูกคนมันกลายเป็นผอมแห้งพุงโร ก้นปอด บาปที่มันไม่เคยสงสารแมวหรือสุนัข ฉะนั้นถ้าไปที่บ้านไหน วัดไหน เขาให้ดูแมวหรือสุนัข ถ้าเห็นว่าสุนัขหรือแมวมันอ้วนดีแล้วก็รู้ได้ว่าบ้านนี้เป็นคนมีเมตตากรุณา หรือว่าพระเณรวัดนี้เป็นคนมีเมตตากรุณา เพราะว่าสุนัขและแมวมันอ้วนดี มันจะไปด้วยกันหมดเลย ไม่ให้สุนัขกินข้าว ไม่ให้แมวกินข้าว แล้วลูกของมันเองก็จะต้องพุงโรก้นปอดผอมแห้งแรงน้อย เพราะมันมีนิสัยไม่เอาใจใส่ ไม่เอาใจใส่ผู้อื่น นี้ถ้าสมมติว่าแม่มันเป็นคนรวย มันก็เอาแต่แต้มปากแต้มคิ้วไปงานสโมสร ปล่อยให้ลูกมันเป็นลิง ภาษาคริสเตียนเขาว่าลูกชายเป็นลูกพระเจ้า ลูกหญิงเป็นลูกมนุษย์ แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นลูกลิง เพราะแม่มันมัวแต่จะไปงานรื่นเริงสโมสรของสุภาพสตรีที่ไหนก็ไม่รู้ พ่อมันก็มัวแต่หาเงินกินเหล้า ไปสโมสรปล่อยให้ลูกมันเป็นอันธพาลนี้ นิสัยนี้มันเพาะฟักขึ้นมาอย่างไร คือการไม่เอาใจใส่ผู้อื่น แม้แต่เป็นลูกของตัว ผมน่ะเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไว้เป็นอาจารย์ ไว้แก้นิสัยความไม่เอาใจใส่ผู้อื่น อาจารย์ผมคนหนี่งซึ่งไม่เคยพูดกันเลย และใครก็ไม่รู้ด้วย แต่ผมรับเอาเป็นอาจารย์ เต็มประตู เต็มหัวใจ วันนั้นผมไปเที่ยวที่ท่าฉาง ท่าฉางเป็นบ้านเกิดตายายของผม ผมไปเที่ยวบ่อย ๆ คนคนนี้เขาชื่อแปลก เป็นภารโรงอำเภอ มันร้องตะโกนลั่น สงสารแมว สงสารแมว มันก็แหเหวี่ยงขึ้นบ่าลงเรือออกไปกลางคลอง ทอดแห ๒-๓ ครั้ง พอแล้ว พอแล้ว สำหรับแมว มันก็ขึ้นบกเอาไปต้มให้แมวกิน มันไม่พอสำหรับคนกินเลย มันอุตส่าห์ลงไปทอดแหในคลอง เอาปลา ๒-๓ ตัวมาให้แมวกิน มันเป็นอาจารย์ผมทันที ไม่ได้พูดกันเลย ผมนับถือมันด้วยหัวใจเลย แล้วคนที่เอาใจใส่กับแมวถึงขนาดนี้ มันคงจะไม่มีจิตใจที่จืด ถ้าว่ามนุษย์มันมีจิตใจเป็นอย่างนี้กันเป็นส่วนมากไม่ใช่ทั้งหมด โลกนี้มันจะดีไปกว่านี้ เราลองเอาใจใส่ แม้แต่คางคก เอาใจใส่แก่เต่า แก่ปลา แก่หมา แก่สุนัข แก่ไก่ กระทั่งต้นไม้ซึ่งเดี๋ยวก็จะพูดกัน
ทีนี้พูดอย่างเห็นแก่ตัวบ้างแล้ว เลี้ยงสิ่งเหล่านี้ไว้ เลี้ยงสัตว์เหล่านี้ไว้ให้มันช่วยเราปฏิบัติหน้าที่ เลี้ยงหมาไว้ให้ช่วยปฏิบัติหน้าที่ หน้าที่อะไรคุณก็รู้ เฝ้าขโมยอย่างนี้ก็ดี แต่ผมมากกว่านั้น เลี้ยงหมาไว้ให้เป็นสมภาร ให้ช่วยบอกเบอร์ คนที่จะมาขอเบอร์ คนที่มารบกวนเรา แล้วบางทีไม่มาเลยก็ได้ เลี้ยงไอ้จิ๊กกี๋ไว้ต้อนรับไอ้พวกจิ๊กกี๋ที่มาเจี๊ยวจ๊าวในวัด ไม่มีสมบัติผู้ดี เป็นนักเรียนชั้นประถม มัธยม มหาวิทยาลัยมันยังมาเจี๊ยวจ๊าว ไม่สุภาพในวัด จะได้เรียกว่าจิ๊กกี๋ แล้วก็แถมยังมีนางเบ็ดไว้ให้ช่วยจิ๊กกี๋อีกตัวหนึ่งด้วย เรียกว่าให้มันช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ ที่เป็นภาระของเราที่จะต้องปฏิบัติ นี้เรียกว่าประโยชน์ทั้งนั้นเลย ประโยชน์สูงสุด มันมีบุญคุณแก่เราด้วย เลี้ยงไว้มันเป็นอาจารย์ มีบุญคุณแก่เรา เลี้ยงไว้แก้นิสัยสันดานเลว ๆ ของเรา ที่ไม่ค่อยเอาใจใส่ผู้อื่นนี่ และก็เลี้ยงมันไว้ช่วยทำหน้าที่ที่บางทีคนก็ทำไม่ได้
ทีนี้ผลพลอยได้ พูดกันเสียบ้างก็จะสนุกดี เลี้ยงปลาทอง ยกตัวอย่างมันมีเรื่องที่น่าอัศจรรย์ ปลาทองนี้ถ้าว่าโดยที่แท้แล้วก็มีตั้ง ๓๐๐ กว่าชนิด คำว่าปลาทองอย่างเดียวมันมีถึง ๓๐๐ กว่าชนิด ที่เราเลี้ยงไว้ รอบ ๆ กุฏินั้นมันมีสัก ๓๐ ชนิด ถ้าแยกชนิดตามหลักอันนี้ ชาวบ้านมาเห็นก็ โอ้, มันปลาทองอย่างเดียว กันหมดว่ะ เห็นแต่เป็นปลาทองอย่างเดียว ไม่รู้ว่าทั้ง ๓ ชนิด เอ้อ, ๓๐ ชนิด นี่เรามันโง่ ๓๐ เท่า ไปเห็นว่ามีตั้ง ๓๐ ชนิด ชาวบ้านก็ว่าปลาทองอย่างเดียว มันก็ให้เรารู้ว่าเรามันโง่ เรามันคิดมาก นึกมาก ละเอียดละออ พิถีพิถัน นี้ไปนั่งดูมันนาน ๆ ก็จะเห็นว่ามันโลภมันโกรธมันหลงของมันอย่างไร ไอ้ปลาเหล่านี้มันมีความโลภในแง่ไหน มีความโกรธในแง่ไหน มีความหลงในแง่ไหน โดยเฉพาะปลาทองแล้วมองไม่เห็นแล้วเรามันก็บ้าเอง และปลาอย่างอื่น ไม่ ไม่รับรอง ปลาบางชนิดมีความยึดมั่นถือมั่น มีความโกรธจัด เช่นปลาออสการ์ โดยเฉพาะปลากัดนี้ พอเลี้ยงไว้เต็มที่แล้วไปมองดูมัน มันก็ทำท่าจะกัดเอา นี่คุณไม่เคยเลี้ยง คุณก็โง่ ไม่รู้ ผมเคยเลี้ยง ถึงขนาดที่ว่ามันอยู่ในขวดโหลใหญ่ ๆ นั้น ไปมองมันทีไรมันก็ทำท่าจะกัด พุ่งมาจะกัด นี่มันมีอสะวิมานะจัด (นาทีที่ 01:49:28) อย่างนี้ปลาทองไม่มี มันสุภาพ น่าไหว้ น่านับถือ ไม่แสดงความโลภ ไม่แสดงความโกรธ ไม่แสดงความหลง มันจะมีของมันเสียที่ไหนก็ไม่รู้ แต่มันเตือนใจเราว่าเรานี้บ้ามากกว่าโลภ โกรธ หลง มากกว่า แล้วก็ละอายมัน
นี้ปลาทองผัวเมียคู่เดียว มันออกลูกมาได้ตั้ง ๑๐ ชนิด นี้มันปนกันอยู่ในสายเลือด การที่มันปนกันอยู่ในสายเลือดมาก ๆ นี้จะว่าดีก็ได้ จะว่าร้ายก็ได้ ถ้ามองในแง่ดีก็ว่าอย่าได้ถือเราถือเขา ให้รักกันทุกคนเหมือนกับเป็นคนคนเดียวกัน มันเป็นมาด้วยกันได้ ทุกชาติ มนุษย์ทุกชาติที่ในโลก เป็นมนุษย์เหมือนกัน มันจะต่างกันเพียงผิวพรรณบ้าง มันไม่ควรจะเห็นเป็นของแปลก แต่ถ้าว่าจะแกล้งมองในแง่ร้าย มันก็ร้ายได้ว่ามันไม่ชอบเลว อย่ามาปนกัน มันมีวัฒนธรรมเลว มันมีชาติเลว อย่ามาปนกับเราอย่างนี้ก็ได้ คนที่เคยเลี้ยงปลาขายเขาเล่าให้ฟัง ผมสนใจเที่ยวคุย ผมสนใจเรื่องอะไรก็จะเที่ยวคุยเรื่องอันนั้น มันคุยกันมากมายหลายร้อยชั่วโมงเรื่องปลาทองนี้ คนที่เลี้ยงขายคนหนึ่งเขาว่ามันครอกเดียวกัน มันต่างกันลิบลับ ตัวหนึ่งสงวนไว้ขายได้ตั้งหลายพันบาท นอกนั้นขายลุตัวละ ๒๐ สตางค์ (นาทีที่ 01:51:08) คิดดูสิ มันเกิดมาครอกเดียวกัน ส่วนมากขายลุไปตัวละ ๒๐ สตางค์ ไม่กี่ตัวหรอกเก็บไว้ขายได้หลายสิบบาท ได้หลายร้อยบาท กระทั่งพันบาทก็มี คนที่เขาเลี้ยงไว้ เขาเล่าว่าคนคนหนึ่งเขาขายได้ตั้ง ๘,๐๐๐ บาทแน่ะ เรามันยังโง่มาก แล้วทีนี่มัน มันประหลาดยิ่งไปกว่านั้นว่า ที่มันขายได้ตั้ง ๘,๐๐๐ บาทคือไอ้ตัวที่วิปริต เลอะเทอะที่สุดเลย มันฟลุ๊กทางวิปริตวิตถาร อยู่น่าเกลียดน่าชังด้วยซ้ำไป ปลาชูเพนกวินเจ็ดสี (นาทีที่ 01:51:49) นี่ขายแพงเพราะว่ามันมีอุตริ วิตถารในทางสี ในทางเกล็ดสับสน มันเป็นบ้า มันฟลุ๊กในทางวิตถารนี้มันขายได้แพง นี้มันก็แสดงไอ้ความโง่ของมนุษย์ ที่ไปชอบไอ้อุตริ วิตถาร นาน ๆ จะมาทีหนึ่ง อุตริ วิตถารนี้ นาน ๆ มันจะมาทีหนึ่ง ทีปกติสวยอย่างยิ่ง แต่มันมากเกินไปเลยกลายเป็นธรรมดา ไอ้อุตริ วิตถาร บ้า ๆ บอ ๆ นั่นกลับขายได้แพง
นี้ดูสิว่าเรายังไม่ได้เรียนอะไรอีกกี่อย่าง นี้เราจะต้องเรียนอะไรจากอะไร ก็ต้องเป็นเพื่อนกับธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติ ใกล้ชิดกับธรรมชาติพอสมควร แล้วจึงจะรู้สิ่งเหล่านี้ ฉะนั้นผมพูดอยู่เสมอว่าให้ช่วยกันเป็นเกลอกับธรรมชาติให้มาก ๆ สรุปความว่าเราไม่รู้ธรรมะง่าย ๆ หรือลึกซึ้งนี้ เพราะว่าเราไม่ได้เป็นเกลอกับธรรมชาติ พระพุทธเจ้าเป็นเกลอกับธรรมชาติโดยนิสัย ฉะนั้นท่านจึงรู้อะไรลึกซึ้ง หรือว่าเรามันไม่มีเมตตา กรุณา ไม่ยอมรับเพื่อนที่มีขา ๔ ขา มีขา ๒ ขา สุนัขเป็นเพื่อนมีขา ๔ ขา ไก่เป็นเพื่อนมีขา ๒ ขา ปลาไม่มีขา เราไม่สนใจกับเพื่อน ๔ ขา ๒ ขา หรือไม่มีขา เรามันเห็นแก่ตัวมากเกินไป เราก็เลยไม่รู้จักธรรมชาติ นี้เรียกว่าจะมองกันในแง่ไหนก็ได้ นี้บางคนไม่รู้ มาถามว่าเลี้ยงทำไม ก็ไม่อยากตอบทั้งนั้น เพราะเห็นได้ว่ามันไม่รู้ และมันดูถูก ดูหมิ่น ถ้าตอบก็อยากจะตอบว่าเลี้ยงไว้เพื่อไม่ให้คนที่บ้าดีมายุ่งกับกู พวกมึงบ้าดีมากนัก กูไม่อยากยุ่งกับมึง จริง ๆ ก็ไม่อยากจะตอบ แต่โบราณกาลมาแล้วเขาเลี้ยงเต่า เลี้ยงสัตว์อะไรไว้ก็เพื่อมีประโยชน์ที่ให้วัดนี่มันเป็นที่ศึกษาของธรรมชาติ ศึกษาธรรมชาติ เป็นอาจารย์แล้วก็ให้ฝึกฝนคนเห็นแก่ตัว ให้กลายเป็นคนเอาใจใส่แก่ผู้อื่น พระเณรนี้สมัครจะนอนเสียมากกว่าที่จะไปเอาข้าวให้หมากิน ขออภัยพูดตรง ๆ อย่างนี้ เห็นแก่ตัวที่จะไปนอนมากกว่าจะไปเอาข้าวให้หมากินให้แมวกิน ถ้าลองสนใจกันอย่างนี้ดูบ้าง มันก็จะเปลี่ยนนิสัยได้ แต่ก็ว่าอย่าเลี้ยงจนมันทำความยุ่งยากลำบากขึ้นมา เลี้ยงตัวเดียวก็พอ ถ้าเลี้ยงจนเต็มวัดแล้วมันก็เป็นปัญหาอย่างอื่น มันก็จะโง่มากไปทางอื่นอีก ฉะนั้นจะเลี้ยงอะไรก็ได้ แต่อย่าให้มันเกิดยุ่งยากขึ้นมา พอเป็นบทเรียนสำหรับสอนนั้นสอนนี่ ถ้าสอนอย่างดีที่สุดก็คือว่าเอาใจใส่แก่ผู้อื่นบ้าง นี้มันอยากจะนอน ดีกว่านั้นมันอยากจะอ่านหนังสือ เป็นนักปราชญ์โน้น ซื้อหนังสือมาไว้ท่วมหูท่วมหัวจะอ่านเป็นนักปราชญ์ จะเอาข้าวให้หมากินสักนิดก็ไม่มี นี้มันเห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้ ยิ่งเรียนยิ่งเห็นแก่ตัว นี่คือว่าวัดสมัยโบราณเลี้ยงเต่า เลี้ยงปลา เลี้ยงหมู เลี้ยงหมา เลี้ยงอะไรไว้ทำไม มันก็เพื่ออย่างนี้ หรือว่าอย่างน้อยก็เป็นที่พึ่งของสัตว์ที่ไม่มีที่จะพึ่งแล้ว
ทีนี้มาพูดกันถึงต้นไม้บ้าง วัดนี้มันเป็นอาราม ที่ถูกควรจะเรียกว่าอารามเป็นภาษาบาลี เรียกว่ามันเป็นวัด เรียกว่าวัดนี้มันเป็นภาษาไทย วัดนั้นต้องเป็นอาราม อารามแปลว่าสวนป่าที่น่ารื่นรมย์ ยุคที่เป็นวัตถุนิยมหนักขึ้น ๆ ในโลกเวลานี้ วัดก็ไม่เป็นอารามมากขึ้น วัดไม่เป็นอารามมากขึ้น ฟังดูสิ ว่าวัดมันไม่เป็นอารามมากขึ้น วัดเป็นบ้า ๆ บอ ๆ มากขึ้น มันไม่เป็นอารามมากขึ้น เพราะว่ามันเป็น มันไปตัดต้นไม้ออกเสีย เพราะว่ามันไปกำจัดต้นไม้ออกไป ๆ ออกไป จนวัดไม่เป็นอาราม วัดกรุงเทพฯ เขาโค่นลงหมด เขาสร้างตึกแถวหน้าวัดให้คนเช่า สร้างตึกในวัดทำอะไรก็ไม่รู้ จนต้นไม้ไม่มีที่อยู่ แล้ววัดก็ไม่เป็นอารามมากขึ้น วัดในกรุงมันก็ต้องการจะก่อสร้างเพื่อหาประโยชน์ เพื่อการศึกษาอะไรก็ตาม ต้นไม้ก็ไม่มีที่อยู่ วัดบ้านนอกมันก็ทำลายวัด ทำลายต้นไม้เสีย ไม้คู่วัดมาแต่ดั้งแต่เดิมมันก็ทำลายลงเสีย มันก็ละเลยปล่อยให้ตายไป มันจะปลูกอะไรของมันก็ไม่รู้ มันจะปลูกกล้วย หรือปลูกไอ้สวนครัวเสียมากกว่า ถ้าวัดสร้างใหม่บ้านนอก เขาก็โค่นต้นไม้ที่มีอยู่แล้วหมดเลย ป่านี้เขายกให้สร้างวัด ก็โค่นลงหมดเลย แล้วก็ปลูกกล้วย เป็นหญ้าคา มีหญ้าคามากเหมือนกับความโง่ เท่าความโง่ของคนสร้างวัด นี่วัดสร้างใหม่ นี่เพราะมันโง่ มันโง่แสนจะโง่ มันโง่จนลืมไปว่าพระพุทธเจ้าเกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน ใต้ต้นไม้ ไม่ใช่บนตึก พระพุทธเจ้าประสูติใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ นิพพานใต้ต้นไม้ ไม่ใช่บนตึก นี่มันไม่เห็นแก่พระพุทธเจ้า มันไม่เห็นนึกถึงแก่พระพุทธเจ้าว่าต้นไม้มันมีความหมายแก่พระพุทธเจ้าอย่างไร มันมัวแต่เรื่องความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ไม่เข้าใจ ลืมเสียทางเรื่องวิญญาณ มันหวังว่าจะใช้ห้องปรับอากาศเย็น แทนความเย็นที่จะได้มาจากต้นไม้หรือสระน้ำ มีสระน้ำก็ถมมันเสีย มีต้นไม้ก็ตัดมันออกเสียแล้วก็สร้างห้องเย็น หวังความเย็นจากห้องเย็น ไม่ต้องการจากต้นไม้นี้ ทั้งหมดนี้ทุกอย่างนี้มันช่วยกันทำลายต้นไม้ เป็นอย่างนี้มากขึ้นในสมัยวัตถุนิยม และสมัยปิงปองมันจะเป็นยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนวัดนั้นมันจะต้องเป็นอาราม อารามที่แท้ต้องเป็นอารามสมชื่อ ในสมัยโบราณ วัดเป็นอารามเต็มที่ มาสมัยนี้วัดไม่เป็นอารามมากขึ้น ที่ว่าสมัยโบราณเป็นอารามนี่ วัดนั่นแหละคือพิพิธภัณฑ์ต้นไม้อันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา วัดไหนถึงขนาดมาตรฐาน วัดนั้นจะมีพิพิธภัณฑ์ต้นไม้ทางศาสนา มีต้นไม้ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าคือต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นเกด ต้นจิกอะไรก็ตามที่มันเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า แล้วมันยังมีเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ อีกหลายพระองค์ว่าตรัสรู้ใต้ต้นไม้อะไรก็เอาต้นไม้นั้นมาปลูกไว้เป็นที่ระลึก วัดมันเลยเป็นพิพิธภัณฑ์ต้นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา นี้มันก็มีหลายต้นสิ ทีนี้วัดต้องเป็นพิพิธภัณฑ์ไม้ผล ผลไม้ที่จะมีได้ หมาก มะพร้าวอะไรก็ตาม เพื่อเลี้ยงวัดอยู่ได้ และเลยไปถึงเพื่อสาธารณะ อาจารย์ที่ผมว่าเล่าให้ฟังว่าผมกลัวสิ่งที่เรียกว่าเมียนั้น แกจะเก็บมะพร้าวแจกชาวบ้าน มะขามแจกชาวบ้าน อะไร ๆ อยู่ในวัดแจกชาวบ้าน ไม่ให้ใครเช่า ไม่ขายอย่างเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เขามีอะไรเขาก็ให้คนเช่า มีอะไรในวัดก็ให้คนเช่าแล้วเกิดทะเลาะกันระหว่างสมภารกับชาวบ้าน อย่างนี้มัน มันเป็นเรื่องสมัยนี้