แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการบรรยายครั้งที่แล้วมา เราได้พูดกันถึงเรื่องความมุ่งหมายของการบวช โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ของคนหนุ่ม ว่ามีความมุ่งหมายเพื่อจะได้ฝึกฝนสิ่งที่จำเป็นจะต้องฝึกฝนครั้งสุดท้ายสำหรับไปเผชิญกับโลก ที่พูดว่าการฝึกฝนครั้งสุดท้ายนั่นมันหมายถึงว่าเรามีการฝึกฝนหลายอย่าง ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆมา มีการฝึกฝนนั่นนี่ที่บ้านที่เรือนก็ยังทำได้ เรียนหนังสือหนังหาที่โรงเรียนก็ทำได้ ครั้นเสร็จเรื่องเหล่านั้นแล้วมันก็ยังมีเหลืออยู่อีกอย่างหนึ่ง คือการฝึกฝนทางจิตใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป เพราะฉะนั้นจึงออกไปฝึกฝนในที่ที่มันผิดจากบ้านเรือนหรือโรงเรียน ก็คือชีวิตของนักบวชที่มีระเบียบต่างๆวางไว้ชัดเจนหรือรัดกุมอีกแบบหนึ่งต่างหาก เพื่อเป็นการฝึกจิตใจโดยตรง เมื่อได้รับการฝึกข้อนี้ในชั้นนี้แล้วก็เรียกว่าสมบูรณ์สำหรับผู้ที่จะออกไปต่อสู้ในโลกนี้ เพื่อเอาชนะโลกนี้ให้ได้ หมายความว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ อันกุลบุตรจะพึงได้พึงถึงในชีวิตนี้ มันก็ต้องได้ สำหรับคฤหัสถ์ก็สรุปไว้ในฐานะที่เหมาะสมกับคฤหัสถ์ ฉะนั้นจึงระบุไปยังการมีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว และก็มีมิตรสหายคนรักคนใคร่คนนับถือพอตัวเหมือนกัน ได้ ๓ อย่างนี้ก็เรียกว่าครบบริบูรณ์สำหรับฆราวาสจะพึงได้ ก็เรียกสรุปสั้นๆอีกทีหนึ่งว่าเป็นผู้ชนะโลกนี้แล้ว ที่เหลือต่อไปก็จะชนะโลกหน้า คือประโยชน์ที่ไม่เกี่ยวกับโลกนี้ คือไม่ใช่เงินๆ ทองๆ ข้าวๆ ของๆนี้ ก็เป็นเรื่องทางจิตใจที่สงบสุขสูงขึ้นไปโดยไม่ต้องเกี่ยวกับเหยื่อหรืออมิตรเหล่านี้ คือความสงบในทางจิตใจนั่นเอง เป็นที่พอใจแล้ว ก็ทำหน้าที่ให้สูงขึ้นไปอีก คือ แนะนำสั่งสอนคนอื่นในเรื่องเกี่ยวกับชีวิต นี่ก็คือแนวหรือความมุ่งหมายอันใหญ่ เรามีความมุ่งหมายที่จะให้สามารถได้รับประโยชน์ชนิดที่เป็นการชนะโลกนี้จึงออกบวชแต่หนุ่ม พอสมควรแล้วก็กลับออกไปเผชิญกันกับปัญหาต่างๆจนชนะ และก็สรุปความว่ามันต้องมีการฝึกฝนบังคับจิตใจโดยตรง ในระหว่างที่บวชโดยบังคับจิตใจให้ทำสิ่งต่างๆ ที่ควรทำและก็ทำได้ดี บังคับจิตใจให้ต่อสู้กับสิ่งที่จะมาทำให้เกิดกิเลสและทำความเสื่อมเสียกระทั่งความฉิบหายให้กับตน การฝึกจิตใจมันก็มีอย่างนี้ ให้จิตใจมันได้คุณสมบัติความสามารถที่จะทำหน้าที่และก็ให้รู้จักรักษาความปกติ ไม่ถูกครอบงำด้วยความครอบด้วยความครอบงำของไอ้กิเลส สิ่งที่เรียกว่ากิเลสหรือสิ่งที่จะเข้ามาก่อกิเลส ทีนี้วันนี้เราก็จะได้พูดกันถึงวิธีการอบรมจิตใจนั้นโดยเฉพาะ การฝึกฝนจิตใจตามที่มุ่งหมาย ในชั้นแรกจะให้นึกถึงหัวข้อที่ว่าในการบังคับจิตฝึกฝนจิตนั่น มันก็มีหลักการที่ควรจะรู้ไว้ว่า มันก็มีบังคับกาย วาจา เป็นพื้นฐาน แล้วจึงบังคับจิต ก็เพื่อจะให้บังคับได้ง่ายเข้าก็ต้องมีความรู้หรือสติปัญญา เดี๋ยวนี้เราเอาการบังคับจิตฝึกฝนจิตเป็นวัตถุประสงค์เป็นจุดที่มุ่งหมาย เป็นตัวเรื่องเป็นระบบใหญ่ของเรื่อง ทีนี้ในระบบน้อยๆอุปกรณ์ของมันก็คือจะต้องมีการบังคับกายและวาจาเป็นพื้นฐาน และก็ต้องมีความรู้ที่เรียกว่าปัญญานั้นช่วยทำความสว่าง กระจ่างหรือแนวทาง แล้วก็เลยกลายเป็น ๓ หัวข้อด้วยกัน ที่จะต้องพูด ใน ๓ หัวข้อนี้ ลองคิดดูว่าอันไหนมันเป็นอะไร หรือถ้าจะเรียกตามลำดับ มันควรจะเรียกอย่างไร ถ้าเอาความสูงต่ำมันก็จะ ถ้าเอาความสูงต่ำเป็นเกณฑ์สำหรับจะเรียก มันก็คงจะเรียกว่าบังคับกาย บังคับจิต หรือฝึกฝนปัญญาเหมือนที่เราเรียกกันว่า ศีล สมาธิ และก็ปัญญา นี่ก็เรียกว่าพูดไปตามลำดับสูงต่ำ แต่ถ้าพูดกันโดยการปฏิบัติ วิธีปฏิบัติ มันก็ต้องมีปัญญานี่มาก่อน นับแต่ปัญญาที่ทำให้รู้ว่าเราจะต้องทำอย่างนี้ ที่เราจะต้องบวชหรือเราจะต้องทำอย่างนี้ นี่ก็เรียกว่าปัญญา เรามีความรู้ทั้งในเหตุผลทั้งอะไรทุกๆอย่างเป็นปัญญา จึงทำให้ออกมาเพื่อการมาฝึกฝน เมื่อฝึกฝนในขั้นต้นก็ฝึกฝนอบรมกายวาจาเป็นพื้นฐานตลอดเวลาแล้วจึงอบรมจิตโดยตรง และอบรมจิตนี่มันก็มีผลไปถึงปัญญา เมื่อจิตมันอบรมดี ปัญญามันก็เจริญสูงขึ้นไปตามลำดับ เมื่อปัญญามันเจริญสูงขึ้นไปตามลำดับ มันก็ทำให้กายให้การอบรมกายวาจานั้นดีขึ้นไปอีก อบรมจิตดีขึ้นไปอีก และปัญญามันก็เลยพลอยได้สูงขึ้นไปอีก มันก็วกมาทำให้เราสามารถอบรมกายและวาจาดียิ่งขึ้นไปอีกทุกที การอบรมจิตมันก็เลยดียิ่งขึ้นไปอีกทุกที ยิ่งแนบเนียนยิ่งลึกซึ้งยิ่งสุขุม นี่จะเห็นได้ว่าถ้าเอาการกระทำเป็นหลักมันไม่มี มันแทบจะไม่มีอะไรก่อนหน้าหลัง มันวนๆเป็นวงกลม ถ้าจะพูดก็พูดว่ามีปัญญาก่อนแล้วจึงมีการอบรมกายวาจาที่เรียกว่าศีล และมีการอบรมจิตที่เรียกว่าสมาธิ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่เรียกอย่างนั้น เราเรียกว่าการอบรมจิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นอกนั้นเอามาใช้เป็นเครื่องช่วยในการอบรมจิต เพราะว่ามันมีผลคือว่าจิตมันสูง มันยิ่งขึ้นไป แม้ว่าจิตประกอบไปด้วยปัญญาก็เรียกว่าจิตมันสูงยิ่งขึ้นไปเหมือนกัน ใช้คำว่าอบรมจิตให้มันดีให้มันยิ่งให้มันสูงให้มันประเสริฐก็พอแล้ว ตัวจิตเองมันก็ทำอะไรไม่ได้ มันต้องมีปัญญามาช่วยบังคับ มาช่วยจัดการหรือควบคุมอะไรให้มันเป็นไปได้ และจิตนี่มันก็เป็นที่ตั้งของปัญญา ปัญญามันก็ต้องทำงานทางจิต อาศัยจิตจึงจะมีตัวมีตนของปัญญาออกมาได้ ในเมื่อเรียกสรุปความแล้วจึงเรียกว่าการอบรมจิตอย่างเดียวก็พอ การประกอบความเพียรในการทำจิตให้ยิ่ง “อะธิจิตเต จะ อาโยโค เอตัง พุทธานะสาสะนัง” คำสอนของพุทธเจ้า คือการทำจิตให้ยิ่งด้วยการอบรมพากเพียรที่เรียกว่า อาโยคะ อาโยคะแปลว่าอบรมอย่างทั่วถึง ทำเสร็จแล้วก็มีผล คือจิตมันยิ่งเป็นจิตที่ยิ่ง ยิ่งขึ้นไปได้สูงสุด เต็มตามที่จิตมันควรจะไปได้ และต้องนึกให้ดีว่า ธรรมชาติก็ได้พระเจ้าก็ได้แล้วแต่จะเรียก ธรรมชาตินี้พูดได้เป็นคำกลางๆว่า มันสร้างไอ้สิ่งที่เรียกว่าจิตมานี่ประหลาด คือมันทำให้ไปได้ไกล ไกลริบไกลอย่างที่เรียกว่าไม่ค่อยคาดฝันกันเลย ขอให้รับรู้ไว้อย่างนั้นมันจึงจะมีแก่ใจที่จะอบรมจิตซึ่งมันยังไปอีกไกลมันยังลึกซึ้งมาก ซึ่งเราคาดไม่ถึง อย่าไปเข้าใจผิดหรือโง่ ซึ่งจะทำให้เกิดการจำกัดเขตว่าอบรมเพียงเท่านั้นอบรมเพียงเท่านี้เท่านั้น นอกนั้นทำไม่ได้เหลือวิสัยบ้างอะไรบ้าง ขอให้ถือว่าจิตที่เป็นสิ่งที่อบรมได้ไปไกลมากกว่าที่เราเคยนึก และก็จึงมีเรื่องที่เรียกว่าเหนือโลกเป็นโลกุตระ ก็รับได้ป็นสิ่งที่ไม่มีใครสนใจหรือชอบ หรือบางทีก็ห้ามเสียด้วยว่าอย่าไปสนใจไอ้เรื่องเหนือโลก คนที่จะอยู่ในโลกนั้นมันคือคนหลับตาไม่ลืมตา ยังไม่รู้จักอะไรเป็นอะไร การอยู่ในโลก ถ้ามันอยู่ใต้โลก มันก็คิดดูสิว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง อยู่ใต้การเหยียบย่ำของอะไรมันเป็นอย่างไรบ้าง มันก็ทนไม่ไหวคือความฉิบหายคือความไม่น่าดู อยู่ในโลกอย่างที่เรียกว่าเหนือโลกมันจะน่าดูและไม่มีความทุกข์ คือมันชนะโลก ชนะโลกนี้ ชนะทุกๆโลก และก็เอาชนะทุกชนิด ทุกชนิดของการครองชีวิต ครองชีวิตอย่างเป็นฆราวาส ครองบ้านครองเรือนก็เรียกว่าต้องชนะโลกให้ได้ มันจะไปอยู่ใต้โลกมันก็จะบ้า ก็จะตายเสียก่อน จะเป็นบ้าเสียก่อน เราต้องอยู่เหนือโลกไปตามที่เราจะอยู่ได้ เพราะโลกมันมาทำให้ลง คือ กิเลสมันทำให้ลงต่ำไปสู่ความยากจน ไปสู่ความทุกข์ ความครอบงำของ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่มีอยู่ในโลก ถ้าเราอยู่ใต้สิ่งเหล่านี้มันก็หมดความหมาย และถึงแม้จะเป็นคฤหัสถ์ก็ต้องเอาชนะสิ่งเหล่านี้ให้ได้ตามสมควรแก่ความเป็นคฤหัสถ์ จนกระทั่งมันจะอยู่เหนือโลกโดยประการทั้งปวง หรือต้องอยู่เหนือน ชั้นแรกนี่จะต้องอยู่เหนือความชั่ว หรือว่าโลกชนิดที่มันทำให้ชั่วที่มันทำให้เป็นทุกข์ไปตามภาษาชาวบ้านนี่ ถ้าไม่ตั้งใจจะทำอย่างนี้มันก็ไม่มีเรื่องที่ต้องทำหรอกคนเรา ในเมื่อเราเป็นมนุษย์มันก็ต้องมีหน้าที่อย่างนี้ อบรมจิตใจให้เป็นฝ่ายชนะเหนือสิ่งทั้งปวง เหนือปัญหาทั้งปวง เหนือความทุกข์ เหนือสิ่งที่มันมีอยู่ตามธรรมดาโลกอย่าให้มันทำอะไรเราได้ กระทั่งว่าความเกิดแก่เจ็บตายนี่ก็อย่าให้มันทำอะไรแก่จิตใจของเราได้ มันเกิดแก่เจ็บตายเป็นอย่างไรก็ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ตามเรื่องของร่างกายของวัตถุ อย่าให้ทำอะไรแก่จิตใจของเราได้ เราจึงจะสบาย ไม่เช่นนั้นเราจะต้องนั่งร้องไห้ทุกวันก็ได้ มีแต่ความคับอกคับใจเหี่ยวแห้งใจเป็นทุกข์ทรมานกระทั่งเป็นโรคเส้นประสาทกระทั่งตายไปในที่สุด เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จักบังคับจิตฝึกฝนจิตอบรมจิตบังคับจิตให้มันชนะสิ่งเหล่านี้ อย่าท้อถอยอย่าเข้าใจว่าเหลือวิสัย มันต้องเป็นสิ่งที่ทำได้ แล้วทำไปตามลำดับกว่าจะถึงที่สุด เอาละที่นี้เป็นผู้ที่มองเห็นอย่างนี้แล้ว ต้องการจะบังคับจิตออกไปอยู่ในที่ที่สะดวกแก่การบังคับจิต หรือว่าเรียกรวมๆว่า ออกไปอยู่ในที่ที่มันมีระบบการเป็นอยู่ที่สะดวกแก่การบังคับจิตนั่นก็คือบวช เพราะฉะนั้นคำว่าบวชก็มีความหมายที่ตรงนี้ออกไปให้พ้นจากที่ที่มันเป็นอุปสรรคแก่การบังคับจิตแก่การฝึกฝนในเรื่องจิตนั้น จึงออกไปสู่เพศบรรพชิต ฝึกฝนจิต ที่นี้ก็มาถึงการฝึกฝนจิตโดยตรง ก็อย่างที่ว่ามาแล้ว แม้การออกบวชนี่ก็ขอให้นับรวมเข้าไว้ในระบบใหญ่ระบบเดียวที่เรียกว่าการฝึกฝนจิต และก็ไปออกบวชมาจากบ้านนี่ก็มานับเนื่องเข้าไปในฝ่ายฝึกฝนจิต ที่บวชเข้าแล้วมันก็มีระเบียบที่วางไว้ชัดเจนแล้วว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนั้นอย่างนั้นครบถ้วนทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อการฝึกฝนจิต ในฐานะที่จิตเป็นประธานของในทุกเรื่องทุกสิ่ง นี่เราก็เริ่มมีศีลคืออบรมฝึกฝนกายวาจา และมีปัญญามีความรู้ที่ว่าจะต้องทำอย่างไรให้มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วก็ไปทำตามนั้น จนกระทั่งเป็นการบังคับจิตถึงที่สุด ที่ว่าศีล ศีลนี้ ขอให้ทุกๆ องค์นิยามไอ้ความหมายของคำคำนี้ให้ถูกต้องให้เหมาะสมใช้ได้ตลอดชีวิตเสียเลยจะดีกว่า พูดอย่างกำปั้นทุบดินก็มีบทนิยามว่า ศีลคือการฝึกฝนอบรมในทางมรรยาทให้อยู่ในสภาพที่พึงปรารถนา นี่คุณจะเห็นได้ว่าไม่ได้ระบุเป็นเรื่องทางศาสนาหรือเป็นเรื่องทางไหน เป็นเรื่องกลางๆทั่วไป ใช้ได้ทั้งโลกใช้ได้ทั่วไปทั้งโลก ทั้งโลกก็ต้องการไอ้มรรยาทที่น่าปรารถนา นับตั้งแต่ความเป็นสุภาพบุรุษนี้ก็เรียกว่ามีมรรยาทที่น่าปรารถนา และเรามีศีลคือมีมรรยาททางกายทางวาจาที่อยู่ในสภาพที่น่าเลื่อมใสที่น่าบูชาน่าปรารถนา มันต้องทำได้ไม่มีที่สิ้นสุดคือทำได้ยิ่งๆขึ้นไป ยิ่งๆขึ้นไป ยิ่งๆขึ้นไป ใช้ความน่าปรารถนาน่าบูชามันมีละเอียดสุขุมยิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่า อย่าไปคิดว่ามีเพียงเท่านี้ ศีล ๕ ศีล ๘ ที่เราเรียน(นาทีที่ 23 : 26) กันนี้มันก็ยังไม่พอ นั่นก็เป็นหลักใจความสำคัญ แต่ต้องมาทำให้ประณีตให้ละเอียดละออให้สุขุมยิ่งขึ้นไปอีก เพียงแต่ไม่ฆ่าเขาวันนี้มันก็ มันก็ มันก็ยังไม่พอ มันต้องมีความเป็นมิตรมีความอะไรที่น่ารักน่าไว้ใจยิ่งกว่าเพียงว่าไม่ฆ่าเขาไม่ลักของเขา นี่มันก็เป็นหลัก มันก็ควรจะมีอะไรที่เพิ่มขึ้นรอบ ๆ เช่น มีการสงเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นี่ก็รู้กันอยู่แล้ว หนทางมันยากทั้งหมดนี่ ทั้งที่มันเป็นหัวข้อใหญ่หัวข้อย่อยเป็นของประกอบนี่มันก็มีรวมกันไปหมด และก็ต้องทำให้ดีจึงจะเรียกว่ามีศีล รวมทั้งแม้ในความเป็นอยู่ทุกแบบ เป็นอยู่อย่างกลางๆนี่ก็มี การทำมาหากินนี้ก็มี การบริโภคผลของการงานก็มี ไม่ว่าในลักษณะไหนเมื่อไหร่อย่างไรต้องทำให้มันมีความมีมรรยาทดีไปทุกแบบ มันก็เลยเรียกว่า มีศีลทั้งทางกายและทางวาจา เป็นที่ปรารถนาแก่ทุกคนในโลกไม่ว่าสมัยใหม่หรือสมัยเก่ากระทั่งสมัยปัจจุบันนี้ ในโลกที่มันเต็มไปด้วยความหลอกลวงเวลานี้ มันก็ต้องการไอ้สิ่งที่เรียกว่าศีล เป็นที่พอใจกันทั้งนั้น ไม่ใช่แคบอยู่ในวงศาสนา และไม่ใช่แคบอยู่แต่ในวงของพุทธศาสนา มันต้องเป็นของมนุษย์ทั่วไปเลย นี่ต้องฝึกให้ได้อย่างนี้ ทีนี้ออกมาอยู่ในชีวิตที่เรียกว่าบรรพชา มันก็เป็นโอกาสที่ได้ฝึกให้มีมรรยาทที่น่าไหว้น่าเลื่อมใสไปทุกอย่างทางกายทางวาจา นับตั้งแต่กิน เรื่องกินเรื่องฉันท์ เรื่องเป็นอยู่ เรื่องทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับร่างกายต้องการตามธรรมชาติ เรื่องกินเรื่องนอนเรื่องอาบเรื่องถ่ายเรื่องให้มีระเบียบวินัย ซึ่งล้วนแต่เป็นการบังคับให้ทำให้มันดีที่สุดให้มันน่าดูที่สุด จะเรียกว่าเป็นศิลปะก็ได้ให้งดงามให้น่าดูที่สุด และก็มีเรื่องที่เป็นหน้าที่ต่อไปก็เรื่องการคบหาการสมาคมการศึกษาเล่าเรียนนี่ก็ได้ ต้องอยู่ในลักษณะที่มีศีลดีแล้ว ก็จึงมีศีลมากโดยรายละเอียด และมีศีลเพียงข้อเดียวคือ การบังคับทางมรรยาทให้ดีที่สุด มีศีลข้อเดียวเขาพูดอย่างนี้ ถ้ามีศีลจำแนกเป็นรายละเอียดมันก็มาก ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๐๐ ๓๐๐ กระทั่งนับไอ้พวกอพิสดาจารย์(นาทีที่ 27 : 43) เข้าไปด้วยล่ะเป็นพันเลย เป็นพันข้อ และก็มีศีล รวมความว่ามีศีล คือมีความน่าดูน่าเลื่อมใสที่มรรยาท ที่มรรยาททั้งกายมรรยาททั้งวาจา เพราะมรรยาทระบุที่กายวาจาไม่ระบุถึงใจ มรรยาทคำนี้ตัวหนังสือนี้แปลว่าขอบหรือเขต ขอบเขต มีขอบเขตที่ดี เครื่องสังเกตขอบเขตที่ดี ถ้าคนนี้มันมีขอบเขตที่ดี มันไม่ออกไปนอกขอบเขตที่เลว หรือเป็นอันว่าเมื่อบวชอยู่นี้ต้องอย่าดูหมิ่นสิกขาบทแม้เล็กน้อย ให้สำรวมด้วยดี ทุกข้อเลยที่จะสำรวมได้ การตั้งตนมันต้องตั้งตนอย่างนี้ทั้งนั้น มันลำบากหน่อย แต่พอมันเคยตัวมันชินไปแล้วมันก็เป็นไปเองแล้ว มันทำจนชินเป็นนิสัยแล้วมันเป็นไปเองได้ มันก็ไม่ลำบากอะไร เหมือนเขาเกิดมาในตระกูลที่ดี ได้รับการอบรมที่ดี หรือเป็นความเคยชินมันก็มีมรรยาทดี โดยไม่รู้สึกลำบากหรอก ไอ้จับคนเลวไปให้ทำอย่างนั้นสิ มันลำบากแก่มัน เพราะมันยังไม่รู้ มันยังไม่เคยชิน ถ้าฝึกดีแล้วมันก็ง่าย ก็เป็นความสบายไปในตัว ก็ต้องฝึกกันจนเป็นอย่างนั้น อย่าไปดูถูกสิกขาบทว่าเล็กน้อย ให้เห็นว่ามันเป็นอันตรายไปทั้งนั้นเลย การล่วงสิกขาบท อาจจะเล็กน้อยอย่างไรเป็นอันตรายทั้งนั้น เมื่อขึ้นชื่อว่าอันตรายแล้วก็ไม่เอาดีกว่า ทีนี้เมื่อสึกออกไปก็ยังต้องทำอย่างนี้ อย่าไปเข้าใจผิดว่าไปเป็นฆราวาสแล้ว หาเงินก็แล้วกันจะขาดศีลอะไรไปบ้างก็ช่างมัน ไม่ควรจะถือหลักอย่างนั้น สิ่งใดที่เขามีอยู่ชัดแล้วเป็นศีลเป็นมรรยาท ท่านก็ต้องทำเต็มที่ดีกว่า ถึงจะรักษาความเคยชินของการมีมรรยาทดีนี้ไว้ได้และมันก็ดีอยู่ตลอดไป ถ้ามันเกิดกลับกันเสียว่าเป็นฆราวาสไม่ต้องรักษา เอาแต่หาเงินหาของหากินหากาวหาเกียรติแล้วก็แล้วกัน อันนี้ไม่เท่าไหร่หรอกมันก็ต้องฉิบหายไม่ทันรู้ ไม่ฉิบหายทางกายก็ฉิบหายทางจิต คือมันไม่มีอะไรเหลือเหมือนความดี สำหรับมนุษย์แล้วมันก็มีแต่ความทุกข์ทนหม่นหมองเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น ทั้งที่มันมีเงินมากมีอำนาจมาก ฉะนั้นอย่าทำเล่นกับเรื่องมรรยาทเรื่องศีล มันต้องการไปตลอดชีวิตและทุกคนในโลกต้องการ และต้องการจะเกี่ยวข้องกับคนที่มีศีล พอรู้ว่าไม่มีศีลก็ไม่มีใครอยากเกี่ยวข้อง ฉะนั้นทุกอย่างที่เราเคยฝึกเมื่อบวชนี่ก็ต้องเอาไปด้วย แม้ไม่โดยตรงก็โดยปริยาย ทำเหมือนกับบวชเป็นพระแท้ๆไม่ได้ ก็ต้องทำโดยใจความ ยิ่งตรงอยู่โดยใจความ เพราะว่าขึ้นชื่อว่าศีล สิกขาบทนี่มันมีใจความเหมือนกันหมดแหละไม่ว่าพระไม่ว่าฆราวาส ต้องการจะบังคับตนเองทั้งนั้น สำหรับพระก็กวดขันเข้มงวดหน่อย สำหรับฆราวาสก็เพลาลงไปแต่ยังรักษาความมุ่งหมายเดิมอยู่ ไม่ว่าข้อไหนความเป็นระเบียบเรียบร้อยความไม่ประทุษร้ายผู้อื่น ร่างกายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ความที่ไม่ทำตัวให้เลวนี้มันไม่มีเหมือน เหมือนกันอีก อย่าเข้าใจว่าพระปฏิบัติอย่างฆราวาสปฏิบัติอย่าง นั่นมันหลับตาพูด ปฏิบัติไปทางเดียวกันต่างกันแต่โดยระดับ ยกตัวอย่างแม้ว่าพระปฏิบัติอยู่ ฆราวาสก็เอาไปปฏิบัติได้ เช่น ระเบียบที่ว่าจะต้องปัจเวกขณ์พิจารณาทั้งเวลาก่อนหน้าและเวลาที่กำลังกระทำและกระทำแล้ว ในการนุ่งห่มจีวรในการฉันท์บิณฑบาตในการอยู่ในที่อยู่อาศัยในการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บนี้ พระต้องทำอย่างที่เรียกว่า ปัจเวกขณ์ คืออยู่ในเวลาอย่างเคร่งครัดอย่างนี้ ฆราวาสก็ต้องทำ ไม่ทำก็เดี๋ยวเกิดเรื่องเสียหาย แต่ถึงแม้จะไม่ทำเท่าพระ มันก็ต้องทำอย่างเดียวกันกับพระ คือต้องมีสติสัมปชัญญะรู้จักพินิจพิจารณาในการที่จะนุ่งห่ม กินอยู่เจ็บไข้ ถ้าใครไม่เคยคิดถึงข้อนี้ก็ให้คิดเสีย และพยายามทำให้ได้รับประโยชน์เต็มที่ตามที่มันควรจะได้หรือจำเป็นจะต้องทำ ในเรื่องศีลเป็นอย่างนี้ ตัวหนังสือมันแปลว่าปกติ คำว่าศีลนี่มันแปลว่าปกติ ปกติก็อยู่ในขอบเขตอย่าออกไปนอกขอบเขต พอนอกขอบเขตมันก็ผิดปกติทันที มันยากสำหรับขอบเขต ถ้าความปกติอยู่ในขอบเขตมันก็เป็นมรรยาทก็เป็นศีล ทีนี้ขอบเขตนั้นมันไม่มีใครขีดเส้นหรือล้อมรั้วไว้ให้ มันต้องศึกษาเอาเอง เรียกว่าไม่มีอะไรแล้วก็มีหลักไว้ว่า ถ้ามันเบียดเบียนตนและผู้อื่นแล้วก็ให้ถือเถอะว่ามันนอกขอบเขตแล้ว ผิดศีลแล้ว ถ้ามันทำตัวเองให้เดือดร้อนและทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เรียกว่านอกขอบเขตแล้ว ผิดศีลผิดมรรยาทออกไปแล้ว ไม่ต้องมีใครมาขีดวงให้เรา เราอาจจะขีดวงให้เราเองได้ พอสิ่งใดที่มันแล่บออกไปทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนทำตัวเองให้เดือดร้อนหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเรียกว่าผิดแล้ว ไม่ปกติแล้ว ออกไปนอกขอบเขตแล้ว ก็ระวังตรงนี้กันไว้ก็เป็นอันว่าระวังศีลหมดทุกข้อ ตนเองจะต้องเดือดร้อนเพราะการกระทำนั้น ผู้อื่นจะต้องเดือดร้อนเพราะการกระทำของเรา นี่เขาเรียกว่าเบียดเบียนตนเองเบียดเบียนผู้อื่น ไม่มีการเบียดเบียนตนเองไม่มีการเบียดเบียนผู้อื่นนั้นเป็นศีลเป็นขอบเขต คำว่าผู้อื่นจะขยายลงไปถึงสัตว์เดรัจฉาน แม้กระทั่งต้นไม้ต้นไร่ด้วยตามสมควรก็ได้ เพราะว่ามันมีชีวิตเหมือนกันมีความรู้สึกเหมือนกัน แต่ก็ว่ามันมีความหมายน้อยลงไปกว่ามนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นคนก็ต้องนึกถึง อย่าเกะกะระรานเบียดเบียนมนุษย์ลงไปถึงสัตว์เดรัจฉานในอัตราพอสมควร และลงไปถึงไอ้ต้มไม้ต้นไร่พืชพันธุ์ที่มันมีชีวิตพอสมควร เช่นเดียวกับพระจะไม่ฆ่าสัตว์และก็จะไม่ฆ่าต้นไม้ด้วย เมื่อเป็นฆราวาสแล้วมันก็ต้องมีเหมือนกันแหละ มีหลักเกณฑ์อย่างนั้น เพียงแต่ว่ามันจำกัดไว้พอสมควรแก่ความเป็นฆราวาส พระก็มีไว้เต็มที่ ฆราวาสก็มีตามสมควรความเป็นฆราวาส นี่เรียกว่าศีล ถ้าไม่บังคับและไม่มีนะ ถ้าไม่บังคับตัวเองแล้วก็มันไม่มี มีไม่ได้ มันอยู่ได้ที่การสำรวมระวังตั้งเจตนาที่จะบังคับหรือที่จะกระทำให้มันกลับตรงกันข้าม ที่นี้บังคับอย่างเดียวมันไม่ไหว ก็ใช้วิธีสติปัญญามาช่วยด้วย แม้จะรักษาศีลก็ต้องมีปัญญา ถ้าให้ดีไปกว่านั้นอีกก็มีธรรมะอื่นมาช่วยด้วย ทีนี้ธรรมะอื่นนี่ช่วยจำไว้สำคัญสัก ๒ ข้อ คือหิริและโอตตัปปะ แปลว่าความละอายและความกลัว เดี๋ยวนี้คนมันหน้าด้าน มันไม่รู้จักละอายที่ควรละอาย เดี๋ยวนี้คนมันโง่ไม่รู้จักกลัวในสิ่งที่ควรกลัว เรียกว่ามันขาดทั้งหิริและโอตตัปปะ มันจึงเป็นเหมือนกับโลกในทุกวันนี้ คุณก็เห็นได้เอง อาชญากรรมต่างๆ ในเมืองหลวงนี่หนาแน่นขึ้นทุกทียิ่งกว่าที่อื่น เพราะมันขาดหิริและโอตตัปปะ ถ้ามันรู้จักสิ่งที่เรียกว่าหิริและโอตตัปปะและก็มีอันนี้ มันก็ทำไปไม่ได้ อันธพาลมันก็ก่ออาชญากรรมอย่างโง่เขลาที่สุดโดยไม่มีความกลัว ไม่กลัวความผิดไม่กลัวความชั่วไม่กลัวอะไรจะเป็นอะไร มันจึงทำลงไปได้อย่างไม่น่าทำ เพราะมันยิ่งอยู่ทุกที ทีนี้มันขาดโอตตัปปะ มันโง่และมันไม่กลัว เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ละอายมันหน้าด้าน เขาจะจับได้มันก็ยังไม่ละอาย คนพวกนี้อย่าว่าแต่มันจะละอายอยู่คนเดียวละอายแก่ตัวเองแล้วไม่ทำ มันก็ไม่ต้องพูดถึง เขาจับได้มันยังไม่ละอาย เขาลงโทษอยู่มันยังไม่ละอาย ดูอันธพาลที่ตำรวจจับและจูงมา มันก็ไม่ละอาย ดูหน้าตามันยังจะเหี้ยมโกรธจะกัดฟันต่อต้านอยู่เรื่อยไป มันก็ไม่ละอายและมันไม่กลัว ไม่รู้จักคำว่า หิริ – ความละอาย โอตตัปปะ – ความกลัว นี้เป็นรากฐานที่ทำให้มีศีล เพราะฉะนั้นเราพยายามเป็นผู้ที่มีหิริและโอตตัปปะให้มาก ไม่ ไม่ ไม่มีเกิน หิริและโอตตัปปะนี้จะไม่มีเกิน มีเท่าไหร่ก็ได้ แต่ให้ประกอบไปด้วยปัญญา เพราะมันมาจากปัญญา มันโง่ไม่ได้ ปัญญาทำให้รู้จักละอาย ปัญญาทำให้รู้จักกลัว พอมันอยู่กับปัญญาอย่างนี้ มันก็ไม่มีเกินมันก็ไม่มีขาด เพราะฉะนั้นสร้างความละอายความกลัวเข้าไว้ก็จะมีศีลได้โดยง่าย ความสำรวมระวังมันไม่ต้องระวังมาก เพราะมันเป็นความละอายและความกลัวมันไม่ให้ทำเสียตั้งเยอะแยะแล้ว ความที่ต้องสำรวมระวังบังคับมันก็น้อยลง มันก็ทำได้ มันไม่หนักไม่หนาอะไร นี่เรียกว่ามันช่วยประกอบกัน สมมติว่าศีล ไอ้สิ่งที่เรียกว่าศีลมันอยู่ตรงกลาง หิริโอตตัปปะมันก็อยู่ข้างใต้อยู่ข้างล่างข้างใต้ที่จะหนุนหรือว่าจุนเจือสิ่งที่เรียกว่าศีล สิ่งที่เรียกว่าปัญญามันอยู่ข้างบน ที่มันจะคอยควบคุมเอาไว้ดึงเอาไว้ การรักษาศีลมันจึงมีรูปร่างอย่างนี้ มีหิริโอตตัปปะอยู่ข้างล่าง มีปัญญามีสติสัมปชัญญะอยู่ข้างบน ก็มีศีลแต่โดยง่าย ที่วัดเมื่อบวชนี่ก็ตามที่บ้านเมื่อศึกออกไปก็ตาม ต้องมีอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ล้มละลาย หมายความว่ามัน มันจะหนักจนทำไม่ได้แล้วมันก็เลยทอดอะไรไม่ทำ แต่ถ้ารักษาไว้สภาพนี้มันจะทำได้ไม่ยากเลย มันจะยิ่งรับศีลมีศีลรับศีลมีศีลยิ่งๆ ขึ้นทุกที ก็หมดปัญหาไปเรื่องหนึ่งแล้ว สำหรับที่อยู่ในโลกนี้ โดยไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ด้วยความโง่หรือความไม่ละอายของตัวเอง ทีนี้เหลือบตาดูไปทั่วๆโลกในปัจจุบันนี้สักนิดหนึ่ง มันขาดหิริและโอตตัปปะมากขึ้นทุกที มันหลอกลวงกันมันเอาเปรียบนั่นคือเบียดเบียนกัน จึงออกมาเป็นรูปของสงครามเป็นของอะไรต่างๆ ที่ไม่รู้จักสิ้นสุด สงครามร้อนๆ มันก็ฆ่ากันด้วยอาวุธ สงครามเย็นๆ ฆ่ากันด้วยสติปัญญา ฆ่ากันด้วยลูกปิงปองอย่างสมัยนี้ คือกลอุบายต่าง ๆ ที่เรียกว่าใต้ดินใต้อะไร เพราะโลกกำลังขาดหิริโอตตัปปะ ขาดสติปัญญาในการรู้ว่าเกิดมาทำไมจะต้องทำอะไร ก็หลับหูหลับตาจะเอาแต่ประโยชน์ที่จะนำมาซึ่งความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง คือวัตถุ ต้องการแต่วัตถุและก็ลามปามออกไปทั่วโลก ประเทศที่ไม่เจริญคือไม่บ้ามาก มันก็ปล่อยบ้ามากเข้ามากเข้าจนทุกระแหงในป่าในดง……(นาทีที่ 45 : 22) บ้าในเรื่องวัตถุนิยมที่มากขึ้นเหมือนพวกถิ่นเจริญแล้ว อารยธรรมใหม่ที่เรียกกันว่า ารยธรรมใหม่มันคือเจริญทางวัตถุ คนที่ยังไม่เจริญเรียกว่าด้อยพัฒนา แต่คนที่ด้อยพัฒนากลับมีศีลธรรมดีกว่าคนที่เจริญด้วยอารยธรรมแผนใหม่ ไปดูให้ดีเรื่องนี้ ทีนี้มันก็มีศีลแล้วเรามีศีลชนิดที่มีหิริโอตตัปปะหนุนอยู่ข้างล่างและก็มีสติปัญญาสัมปชัญญะดึงอยู่ข้างบนเรียกว่ามีศีลสำเร็จไปข้อหนึ่ง ทีนี้เวลาของเรามันก็มีจำกัด พูดได้แต่ส่วนที่เรียกว่ารากฐานของการฝึกฝนจิตคือศีลเป็นอย่างนี้ รวมอยู่ในตัวสิ่งที่เรียกว่าการบังคับจิต ฉะนั้นขอให้ถือระบบศีลนี้ในฐานะเป็นไอ้ส่วนหนึ่งของระบบของการบังคับจิต ให้เข้าใจละเอียดถี่ถ้วนไปส่วนหนึ่งก่อน และวันต่อไปเราก็จะพูดเรื่องตัวการบังคับจิตต่อจากนี้เรื่อยๆขึ้นไป วันนี้พูดเรื่องตัวการบังคับจิตฝึกฝนจิตเป็นอย่างไร เริ่มกันที่ตรงไหน มีขอบเขตไปถึงไหน ก็ขอให้รู้ลงไปอีกหน่อยหนึ่งว่า การที่จะบังคับกายวาจาหรือศีล จะให้มีศีลได้นั้นมันก็ต้องมาด้วยการบังคับจิต เพราะจิตมันเป็นตัวประธานเป็นตัวรู้สึกทั้งหมดและมันก็ควบคุมกายวาจาอยู่ กายวาจามันต้องเป็นไปตามอำนาจของจิต เดี๋ยวนี้เราใช้คำว่าบังคับกายวาจา โดยมีขอบเขตระเบียบบังคับไว้ชัดสำหรับกายวาจา ถ้าทำตามนั้นมันเป็นการบังคับจิตอยู่ในตัว มันกระเทือนไปถึงจิตอยู่ในตัว ตั้งหน้าตั้งตาบังคับที่กายวาจาให้เป็นอย่างนี้อย่างนี้อย่างนี้ แล้วมันจะกระเทือนไปถึงไอ้สิ่งที่เรียกว่าจิตอยู่ในตัว และเมื่อพอลงมือบังคับกายวาจามันก็เป็นการบังคับจิตในระดับหนึ่งอยู่ในตัว เรียกว่าตีวัวกระทบคราด นี่ก็อะไรก็ตามใจ ตีคราดกระทบวัวก็ได้ ตีวัวกระทบคราด หรือตีคราดกระทบวัว ทำไมจึงเรียกว่าศีลบังคับกายวาจา ก็เพราะว่ามันเป็นการกระทำในชั้นต้น บังคับจิตใจในชั้นต้นบังคับที่กายวาจา จะไปบังคับจิตเข้าทีแรกโดยตรงมันทำไม่ได้มันยากเกินไป มันต้องทำไปจากขอบเขตข้างนอกที่แวดล้อมอยู่ เพราะเดี๋ยวเป็นอุบายเป็นอุบายเป็นกุศโลบายหรือเป็นอุบายที่ฉลาด ที่จะเล่นงานกับสิ่งที่เรียกว่า ลึก อยู่ลึก แต่เราทำได้จากสิ่งที่มันอยู่ตื้น เพราะมันเนื่องกัน ขอให้เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีศีล เห็นความสำคัญของศีล ข้างนอกนี่ที่ทำดีแล้วมันจะบังคับลึกลงไปถึงที่เรียกว่าจิต ที่จะพูดว่าเราไม่ต้องมีศีล บังคับจิตเลยนี่มันจะหลับตาพูด มันจะต้องมีการกระทำที่ถูกต้องเป็นพื้นฐานทางกายทางวาจา การบังคับจิตก็เป็นไปได้โดยง่าย โดยบังคับจิตทีเดียวมันก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ที่ตรงไหนด้วยซ้ำไป มันไม่คลำออกไปจากข้างนอกไปหาจุดศูนย์กลาง มันก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นการที่เขาเรียกว่า การยกร่างหรือว่าการตั้งต้นของโครงเรื่องหรือที่เรียกง่ายๆ หยาบ ๆ ภาษาชาวบ้านว่าโกรน นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน ถ้าไม่เช่นนั้นจะทำไม่ได้ อยากจะทำเรือสักลำนี่ก็ต้องทำแบบโกรนๆ ถ้าไม่ทำเป็นแบบโกรนๆ ก่อน ไปทำทีเดียว ได้ที่มันก็จะเสียเวลาที่มันทำผิดก็ได้ มันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร มันต้องโกรนก่อนแล้วค่อยทำประณีตเข้าไปประณีตเข้าไปจนสำเร็จรูป มันจะมีเส้นรอบวงเส้นคอนโทรลก่อนมันจึงจะรู้จักส่วนละเอียดที่สวยงามและถูกต้อง นี่เราไปทำให้มันดีที่สุดโดยไม่โกรนก่อนเดี๋ยวมัน มันไม่ได้รูป มันผิดรูป เราจะต้องมีเรื่องโกรนนี้ก่อน จะเอาดินเหนียวมาปั้นตุ๊กตาสักตัวหนึ่ง มันก็ต้องทำในลักษณะที่เรียกว่าโกรนๆนั้นก่อน แล้วค่อยไปแก้ไขให้มันละเอียดๆให้มันถูกต้องดีถูกต้องสวย ฉะนั้นศีลนี่มันก็คล้ายๆกับโกรน ขอให้เห็นความสำคัญของศีล ว่ามีความสำคัญมากอย่างนี้ในการตระเตรียมพื้นฐานที่ดี อย่าเห็นเป็นของว่าไม่ต้อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ในทางสังคม ตัวสังคมหรือปัญหาต่างๆที่เกี่ยวกับสังคมนี่ตั้งรากฐานอยู่บนศีลคือบนระเบียบ พอไม่มีระเบียบสังคมก็ล้มละลาย ยิ่งไม่ต้องเราจะนึกถึงแต่ตัวเรานี่ไม่ได้ เพราะเราอยู่ในสังคม ที่สังคมจะอยู่ได้ก็เพราะมีระเบียบคือศีล ลองไม่มีระเบียบของสังคม มันจะเป็นสังคมชนิดไหน มันก็ไม่เป็นสังคม ไม่มีผู้ที่รักษาระเบียบมันก็ไม่เป็นสภา มันก็เป็นกลุ่มของคนขี้เมาหรือทะเลาะวิวาทกัน มันต้องมีศีลมีระเบียบจึงจะเป็นสภาที่จะควบคุมสังคม เพราะสังคมมันจะได้เป็นสังคมที่น่าดู ก็เป็นอันว่าส่วนตัวเรามันก็จำเป็นสำหรับเรื่องศีลนี่จำเป็น อย่างที่ว่ามาแล้ว ทีนี้ส่วนสังคมก็ยิ่งจำเป็นไม่มีระเบียบก็ฆ่ากันตายหรือว่าทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำเป็นเป็นสรณะไปเลย คำว่าศีลมีขอบเขตอย่างนี้เป็นเบื้องต้นของการบังคับจิต พวกที่มันทะเลาะกันในสภาหรือมันเบียดเบียนกันในสังคมเอาเปรียบกันในสังคม ก็เพราะมันไม่มีศีลเพราะมันไม่บังคับตัวเองเห็นศีลว่ามัน มองในแง่ที่มันดีมีประโยชน์หรือทำหน้าที่ได้ก็จะมองเห็นศีลนี่เป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปทุกหัวระแหง ทุกหัวระแหงที่มีความสงบสุข ทีนี้ในทางตรงกันข้ามจะมองเห็นความขาดศีลความไม่มีศีลไปทั่วทุกหัวระแหงของสังคมที่ไม่มีความสงบสุข ทั้งโลกเลย และเป็นอันว่าเรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าศีลกันเรื่องหนึ่งแล้ว ในฐานะที่เป็นรากฐานเป็นพื้นฐานของการบังคับจิตใจฝึกฝนจิตใจ ให้ได้จิตใจที่ดีที่สุดสำหรับจะเป็นมนุษย์อยู่ในโลกและได้สิ่งที่มนุษย์ควรจะได้อย่างดีที่สุดอีกเหมือนกัน และเวลาวันนี้ก็หมดก็พอกันที ก่อนบอกว่าใครต้องการจะพูดอะไร เขียนใส่เศษกระดาษมาให้