แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๑๔ เออ, สำหรับพวกเราที่นี่ อื้อ, ได้ล่วงมา ถึงเวลา จวนจะ ๔:๓๐ น.แล้ว เป็นเวลาที่ได้กำหนดไว้ ว่าจะได้พูดกันถึงเรื่อง อื้อ, เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในวันนี้จะได้กล่าวต่อไป โดยหัวข้อว่า อื้อ, สิ่งที่จะเป็นเหมือนวัคซีนป้องกันโรคทางวิญาญาณ อื้อ, ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๑๕ ของการบรรยาย อื้อ, ซึ่งจะถือว่าเป็น ครั้งสุดท้าย ของการบรรยายเรื่อง เตกิจฉกาธรรม อื้อ, คือ ธรรมะสำหรับบุคคลผู้รักษา เยียวยา โรคทางวิญญาณโดยเฉพาะ
ถ้าเราจะทบทวนดู อื้อ, ก็จะเห็นได้ว่า ในตอนแรกที่สุด เราพูดกันถึง นายแพทย์ อื้อ, ผู้รักษาโรค ทางวิญญาณ ของสัตว์โลกทั้งปวง คือ พระพุทธเจ้า เรียกว่า สัพพโลกติกิจฉโก (นาทีที่ 02:09) อื้อ, และก็พูดถึงไอ้ ลักษณะอาการของโรค ทางวิญญาณ ซึ่งพระพุทธเจ้าจะต้องรักษาแก่สัตว์โลกทั้งปวง อื้อ, และก็ได้พูดถึงวิธีการเยียวยารักษา อื้อ, หรือสิ่งซึ่งจะเป็น เออ, ใช้เป็นเครื่องเยียวยารักษา อื้อ, นี้ก็ได้พูดถึง ธรรมะประเภท ประเภทที่เป็นหลักตัดสิน ความถูกต้อง ซึ่งเหมือนกับว่า อ่า, จะวินิจฉัยในการ อือ, รักษาโรคหรือใช้ยา อ่า, นั้นให้ถูกต้อง และก็ได้พูดถึงความรู้ที่จำเป็นที่จะต้องรู้ก่อนการลงมือ รักษาเยียวยา อ่า, หลายคราว หลายครั้ง อื้อ, ก็ได้พูดถึงภาวะที่ปราศจากโรค เป็นอย่างไร คือ เป็นวัตถุที่ประสงค์ มุ่งหมาย อื้อ,
และในวันนี้ก็พูดเรื่องประกอบ ครั้งสุดท้ายว่า ไอ้สิ่งที่เป็นเหมือนวัคซีนสำหรับ ป้องกันโรค อื้อ, แล้วก็อยากจะพูดว่า การขยันไหว้ครู อื้อ, ก็รวมอยู่ใน สิ่งซึ่งจะเป็นเหมือนวัคซีนป้องกัน อือ, โรคนั้นด้วย อื้อ, ขอให้พร่ำนึกถึงและพิจารณาอยู่เสมอ ว่า สัพพัญญู สัพพัตถะสาวี ชิโน อาจาริโย มามะ (นาทีที่ 04:21) อาจารย์ของเรา เป็นผู้รู้ทุกสิ่งเป็นผู้เห็นทุกสิ่ง เป็นผู้ชนะมารได้ มหาการุณิโกสัตถา สัพพโลกติกิจฉโก (นาทีที่ 04:40) เป็นผู้สั่งสอน ที่ประกอบด้วยกรุณาอันใหญ่หลวง อื้อ, เป็นนายแพทย์ผู้รักษาโรค ของสัตว์โลกทั้งปวง ดังนี้ อื้อ,
เพราะมันเป็นยิ่งกว่าการท่องบ่น คือ ให้มันซึมทราบ อื้อ, ในข้อเท็จจริง ตามที่กล่าวไว้เป็นคำพูด
นั้น ๆ อื้อ, จนเกิดความรู้สึก ที่มันกระตุ้นหรือที่มัน ทำให้เกิด เออ, กำลังใจ ให้เกิดความแน่ใจ ให้เกิดความ สบายใจ อะไรทุกอย่าง คำว่า ชิโน แปลว่า ผู้ชนะมารแล้วนี่ อื้อ, หมายถึง ไม่มีโรค ไม่มีอุปัทวะ ทางจิตใจ เขาเรียก อื้อ, อุปัทวะ นี้เรียกเป็นภาษาไทย ๆ ว่า อุบาทว์ ไม่มี เรื่องอุบาทว์ทางจิตใจ นี่คือ ภาวะที่ อ่า, ชนะโรค ปราศจากโรค เป็นยอดแห่งลาภ เราจะสามารถ รับช่วงไอ้หน้าที่ แพทย์จากพระพุทธเจ้า อื้อ,
สืบ ๆ กันมาลำดับ จนกระทั่งรักษาแก่ตัวเองได้ มีจิตปราศจากโรค อ่า, แล้วจะช่วยเพื่อนมนุษย์ให้ปราศจาก โรคทางวิญญาณ ปราศจากโรคทางวิญญาณ แล้วโรคทางร่างกายแทบจะเกิดไม่ได้ แม้จะเกิดได้ก็ไม่มีปัญหา คือ มันไม่เหมือน มันเหมือนกับไม่มีความหมาย มันกลายเป็นสิ่งที่น่าหัวเราะเยาะ อือ, แม้แต่ ความตาย ก็เป็นของเด็กเล่น ไม่ทำให้ใครกระวนกระวาย อื้อ,
นี่เป็นความมุ่งหมาย เออ, ที่ อื้อ, ที่พุทธบริษัท เออ, ทุกคนจะต้อง ไปให้ถึง สำหรับไอ้สิ่งที่จะเป็น เครื่องป้องกันโรค ตลอดเวลา และในทุกอย่างทุกกรณีนั้น อื้อ, มันพูดได้ง่าย ๆ ด้วยพระพุทธสุภาษิตที่ว่า เป็นอยู่โดยชอบ อือ, พึงเป็นอยู่โดยชอบ สัมมา วิหะเรยยุง (นาทีที่ 07:53) ถ้าพูดเป็นนามศัพท์ก็ว่า สัมมาวิหาร อื้อ, เมื่อครั้งที่แล้วมาก็เราพูดถึงไอ้ ทิพวิหาร พรหมวิหาร อริยวิหาร และสุญตาวิหาร
ตั้ง ๔ วิหาร อื้อ,
เดี๋ยวนี้เราอยากจะพูดเพียงคำเดียว โดยเป็นที่สรุปของ ไอ้ทั้งหมดนั้นว่า สัมมาวิหาร ตามที่พระพุทธเจ้า อ่า, ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส เหมือนพินัยกรรม สุดท้าย อ่า, เมื่อใกล้จะเสด็จ ปรินิพพาน อยู่ในเวลาไม่กี่นาทีแล้ว ว่า ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ จะเป็นอยู่โดยชอบไซร้ อื้อ, โลกจะไม่ว่าง จากพระอรหันต์ นี่บาลีมีว่า ปัจเจ เม ภิกขเว ภิกขู สัมมา วิหะเรยยุง (นาทีที่ 08:50) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ จะเป็นอยู่โดยชอบไซร้ อื้อ, อะสุญโญ โลโก อะระหันเตหิ อัสสะ (นาทีที่ 09:01) โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ พระอรหันต์ คือ ผู้ปราศจากโรค อย่างแท้จริงนะ หรือมีได้ ด้วยเหตุ สักแต่ เพียงว่า เป็นอยู่โดยชอบ นี้ไอ้คำพูด สักแต่ว่าเป็นอยู่โดยชอบนี้ มันไม่ใช่คำพูดสักแต่ว่า มันมีความหมาย มาก อื้อ, ทรงพูดไว้สั้นได้ เออ, เพียง ไม่กี่พยางค์ ว่าเป็นอยู่โดยชอบ อื้อ, ขอให้สนใจ เออ, คำนี้ อื้อ, แล้วเรื่องนี้ก็ได้อธิบายมาแล้ว เป็นอยู่โดยชอบ นั้นคือ อริยมรรค มีองค์ ๘ อื้อ,
ตรงนี้ก็อยากจะขอเตือน อ่า, ผู้ ผู้ใหม่ ต่อศึกษาพุทธศาสนาสักนิดหนึ่งว่า ถ้าจะเรียกชื่อ มรรค หรือ อริยมรรค ให้ถูกต้อง ก็ต้องเรียกว่า มีองค์ ๘ อือ, อย่าพูดว่า ๘ เฉย ๆ พูดว่า มรรค ๘ นั้น เออ, พูดอย่างสะเพร่า หรือพูดอย่างไม่รู้ เป็นที่หัวเราะเยาะของผู้รู้ กลายเป็นว่า มรรค ตั้ง ๘ อย่าง ๘ ทาง นี้ ต้องพูดว่า มรรค มีองค์ ๘ Eightfold of Paths หนทางประกอบด้วย fold ๘ อื้อ, มันมีอะไร ๘ อย่าง แล้วมารวมกลมเกลียวเป็นอันเดียวกัน ก็เรียกว่า มรรค ๑ เท่านั้น ไม่มี ๘ แต่ว่า ๑ นั้น ประกอบอยู่ด้วย องค์ประกอบ ๘ มีอย่าง มรรค ๘ นี่ ก็น่าหัวแล้ว มัน ๘ มรรค จะเดินกันยังไง เดิน วิ่งไปวิ่งมา วิ่งไปวิ่งมา ทางนั้นที ทางนี้ทีอย่างนี้ ก็ไม่ถูก ก็เดินทางเดียว ประกอบอยู่ด้วยความถูกต้องถึง ๘ อย่าง ในหนทาง อันเดียวนั้น นี้เรียกว่า เป็นอยู่โดยชอบ อื้อ,
แต่ถ้าสรุปนะ มันก็ อือ, ไอ้ ๘ นั้น ก็คือ ความถูกต้อง ไอ้ความถูกต้องนี้ ต้องมาจาก ไอ้ความไม่ผิด ความไม่ผิดนี้ก็คือ ไม่ยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดโดยความเป็นตัวกูเป็นของกูนี้ อื้อ, พอมีความไม่ยึดมั่นอย่างนี้แล้ว มันไม่มีมีทางจะทำผิดอะไรได้ ทางกาย ทางวาจา ทางปาก ทางท้อง ทาง เออ, ความคิดเห็นอะไรทุกอย่าง ดังนั้นคำว่า ชอบหรือถูกต้อง เพียงคำเดียวนี้ มันพอ เป็นอยู่โดยชอบ ก็เหลืออยู่แต่คำว่า ชอบหรือถูกต้อง อื้อ, แล้วจะรู้ว่าไอ้ชอบหรือถูกต้องนี้ มันพอดี อื้อ, คือ ไม่มากไม่น้อย ไม่ตึงไม่หย่อนนี่ ไม่ขาดไม่เกินนี้ ก็ได้ แล้วแต่จะเรียก ฟังดูมันคล้ายกับว่า น้อยไป อื้อ, แต่ว่าไอ้ความถูกต้อง หรือความมากที่สุดนั้นนะ มันอยู่ที่ความพอดี อื้อ,
เราจะเป็นอยู่อย่างไรจึงจะเรียกว่า เป็นอยู่ถูกต้องหรือพอดี อื้อ, นี่เป็นปัญหา ถ้าเป็นอยู่อย่างนั้นได้ มันก็เป็นวัคซีนอยู่โดยอัตโนมัติ ที่จะ ป้องกัน ทางมาของโรค อื้อ, หรือการที่จะเกิดโรค ใด ๆ ขึ้นมา เออ, ในขณะ ที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น อะไรเป็นต้น ๖ ประการนั้น ในชีวิตประจำวันของคนเรา อื้อ, จะพูดว่า ไม่รับเชื้อโรคเข้ามาก็ได้ จะพูดว่า ป้องกันไม่ให้มัน เออ, เกิดอาการ ที่เป็นโรค อือ, ขึ้นมาก็ได้ นี้อยากจะพูดด้วย เออ, ภาษาไทยธรรดา ๆ ว่า จะทำอะไร จะทำอย่างไร ในชีวิตประจำวัน อื้อ, จึง เออ, แล้วจะเป็นวัคซีนป้องกัน โรค อื้อ, จะทำอะไรอย่างไรนี้ เราจะพูดถึงคำว่า อย่างไรก่อน ก่อนคำว่า อะไร มันเข้าใจง่าย สำหรับความจำ หรือความสังเกต
การที่เราจะทำ เออ, อะไรนั้นนะ อื้อ, มันให้กินความกว้าง เออ, ไปถึง การกระทำแม้ ที่ ไม่ได้ตั้งใจ เช่น การกระทำที่มันสะเพร่าหรือเผลอไป เพราะแม้เราจะทำอะไรด้วยความเผลอไป เออ, ไอ้ผลมันก็ต้อง เกิดขึ้นเหมือนกัน แล้วบางทีก็เป็นอันตรายมากเหมือนกัน ที่ทำด้วยเผลอหรือสะเพร่าโดยไม่เจตนานี้ อื้อ, เพราะฉะนั้นคำว่า ทำอะไร มันเล็งถึงว่า ทำโดยเจตนาได้ ไม่มีเจตนาก็ได้ ไม่รู้ไม่มีเจตนา นี่มันไม่รู้ หรือว่า รู้แล้วเผลอไป นี่มันก็เท่ากับไม่รู้
ที่นี้ที่ว่าเจตนานั้น คือ เรามันต้องการ อื้อ, จะทำ หรือต้องการประโยชน์อันใดอันหนึ่ง เออ, รู้อยู่เต็มที่ นั้นเมื่อเอาความเผลอ หรือความไม่รู้ มาบวกกันเข้ากับความรู้ มันก็เป็นการทำ หมดทุกอย่าง หรือทำได้ทุกอย่าง อือ, นี้จะทำอย่างไร มีชีวิตอยู่อย่างไรนี้ เราไม่ ไม่หมายความแต่เพียงว่า ไอ้ทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือสิ่งเป็นเรื่องเป็นราว นิดหน่อย เออ, แต่ว่าหมายถึง เป็นชีวิตทั้งชีวิต
นั้นถ้าจะพูดว่า มีชีวิตอยู่อย่างไร จึงจะเป็นวัคซีนป้องกัน โรคอยู่ในตัวมันเองอย่างนี้จะ จะง่ายกว่า อือ, เช่น มีชีวิตอยู่เหมือนกับ ก้อนหินก้อนดิน อือ, หรือว่าจะมีชีวิต อยู่อย่างต้นไม้ เออ, มีชีวิตอยู่อย่าง ไอ้แมลง มดแมลง มีชีวิตอยู่อย่างสัตว์เดรัจฉาน มีชีวิตอยู่อย่างคนป่า มีชีวิตอย่าง เออ, มนุษย์ โบราณ หรือว่ามนุษย์ปัจจุบัน กระทั่งว่าจะมีชีวิต อือ, อย่างเทวดา อื้อ, ขอให้จับความหมายขอคำพูดเหล่านี้ให้ได้ ที่มันเป็นหลัก กำหนดกันได้ง่าย ๆ ชีวิตอย่างมด อย่างก้อนดิน ก้อนหิน ต้นไม้นี่ หมายความว่า มันเป็นไป อย่างซื่อ ๆ เซ่อ ๆ ตามธรรมชาติ เออ, ที่จะไหลเวียนเปลี่ยนแปลงไปเองนี้ มันไม่บาปไม่กรรม มันก็ อ่า, แต่มันก็ไม่เฉลียวฉลาดอะไร เพราะว่าซื่อ ๆ เซ่อ ๆ
บางคนก็มองมันแง่ร้าย บางคนก็ว่านี้แหละดีที่สุด มันไม่มีความทุกข์ อื้อ, คำสำคัญในทางศาสนา มีอยู่คำหนึ่ง คือ คำว่า เออ, Innocent บางคนก็มองในแง่เลว ว่ามันซื่อ มันเซ่อ มันโง่ แต่ว่านักศาสนา เขามอง คำนี้เป็นคำสูงสุด คือ มันสะอาด เออ, มันบริสุทธิ์ แล้วก็อย่างซื่อ ๆ อย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก คล้าย ๆ กับจะถือว่า ยิ่งคิดมาก ยิ่งรู้มาก มันยิ่งคด มันยิ่งคดยิ่งคุด นั้นไอ้ไม่รู้นี่ มันบริสุทธิ์ นั้น Innocent เป็นลักษณะของ พระเจ้า อื้อ, หรือลักษณะของ เออ, พระ พระอาจารย์ผู้สูงสุดนี้ อื้อ, เราจะมีชีวิตอยู่อย่าง ต้นไม้ เออ, อย่างก้อนดิน ก้อนหิน มันมีอาการคล้าย ๆ อย่างนี้ มันซื่อ ๆ เซ่อ ๆ คงจะไม่มีใครต้องการ ยิ่งสมัยนี้ อื้อ, หรือจะมีชีวิตอย่างมดแมลง ซึ่งก็จะต้องยัง ซึ่งก็จะต้องยังแบ่งออกไปเป็นพวก ๆ เป็นมดแมลงอย่างผีเสื้อ สำรวย สีสวย ๆ บินโฉบไปโฉบมา นี่เป็นคน ขี้เล่น ขี้สำรวย อยู่อย่างเล่น ๆ คนบางคนก็มีชีวิตอยู่อย่างนั้น อื้อ,
หรือว่าเราจะเป็นแมลงชนิดที่มัน ดุร้าย อื้อ, เป็นอันตรายแก่ อ่า, แก่ผู้อื่น มันก็ตรงกันข้ามกับ ผีเสื้อ เช่น แมงป่องนี้ หรือว่าสัตว์มีพิษต่าง ๆ หรือว่าจะเป็นแมลงชนิดที่มัน ขยันขันแข็ง เช่น มด เช่น ผึ้ง แมลงผึ้ง อ่า, มีลักษณะที่ว่าขยันขันแข็งที่สุด อื้อ, มันก็มีความหมายของมัน เออ, ในตัวอย่างหนึ่งเสมอไป ว่าจะขึ้นเล่น หรือว่าจะขยันขันแข็ง หรือว่าจะทารุณโหดร้าย ไม่ยอม ให้อภัยอะไร นี้ก็มีชีวิตอย่างมด เออ, อย่างแมลง จะดีหรือไม่ดีก็ลองไปคิดดู หรือว่าจะมีชีวิตอย่างสัตว์เดรัจฉาน มันก็หลายพวก อีกเหมือนกัน สัตว์เดรัจฉานประเภทที่น่ารัก แล้วมันอ่อนโยน น่าเลื่อมใสอย่างนี้ อื้อ, มันก็เรียกว่า มีชีวิต อย่างที่มี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ นิ่มนวล อ่อนโยน
แต่ว่าสัตว์บาง สัตว์เดรัจฉานบางชนิด เออ, มันกระด้างโหดร้ายหยาบคาย เป็นสัตว์ที่จะคอย กินสัตว์ที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อ่อนโยน เช่น เสืออย่างนี้ มันก็ผิดกับเนื้อทราย เนื้อกวาง อือ, แมวนี้ก็ผิดกับหนู จะเป็นอยู่อย่างสัตว์เดรัจฉานที่โหดร้าย มันก็ได้ อื้อ, นี่ก็เรียกว่า เห็นแก่ตัว อื้อ, สัตว์เดรัจฉานพวก พวกหนึ่งอยู่อย่างอ่อนโยน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อีกพวกหนึ่งมันก็อย่างเห็นแก่ตัว อย่างแมวก็ต้องจับหนูกิน โดยไม่คำนึงถึงชีวิต เออ, เพราะมัน มัน มันไม่มีความรู้อย่างนี้ ไม่ถือว่ามันเป็นบาบหรือขาดศีล เพราะมันไม่มีความรู้ เรื่องนี้ ไม่มีเจตนาจะฆ่า มันมีเจตนาแต่จะกินอาหาร เลื้ยงชีวิต อื้อ, แต่เราถือว่าเป็น ความโหดร้าย
หรือว่าจะมี เออ, ชีวิตเป็นอยู่อย่างคนป่า ไอ้คนป่านี่ ต้องแบ่งเป็นอย่างธรรมดา หรืออย่างป่าเถื่อน อื้อ, ไอ้คนป่าอย่างธรรมดานี่ มันก็คือ คนป่าอย่างสมัยหิน คนป่าสมัยแรก ๆ มีในโลก นี่คนป่าอย่าง ธรรมดา อื้อ, ส่วนคนป่าเถื่อน นั้นมันก็คือ คนป่าในยุคปัจจุบัน ในสังคม อื้อ, คนป่าเถื่อนไม่ถือธรรมะ อะไร อื้อ, มุ่งแต่จะกอบโกย อย่างนี้ก็เรียกว่า ป่าเถื่อน อื้อ, ดุร้าย ทารุณอย่างนี้ ป่าเถื่อน ไอ้ป่าธรรมดาเฉย ๆ มันเป็น barbarianism นี้ มันก็ไม่ดุร้าย หรือไม่อันตรายอะไรนัก ไอ้พวก Savage ที่มันดุร้ายนี้มัน มีลักษณะ ของคนป่าเถื่อนสมัยปัจจุบันมากกว่า อื้อ, เป็นป่าเถื่อนได้ ทั้งที่เล่าเรียนมามีปริญญาเป็นหาง อื้อ,
นี่จะเลือกเอาชีวิตอย่างไหน สำหรับคนป่าเถื่อน อื้อ, คนอนารยะในยุคปัจจุบันนี่ยิ่งมีมาก อื้อ, ถ้าคนป่าอย่างธรรมดาสามัญ ยุคดึกดำบรรพ์โน้น มันก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตัว มีความขลาด มีความกลัว แต่ถ้ามันมีความป่าเถื่อน แล้วก็ มันก็กระด่าง ยกตัว เห็นแก่ตัวจัดกว่าธรรมดา นี่ถ้าพูดเราพูดว่า คนป่านี่ ระวังให้ดี คนป่าตาม ธรรมดา ธรรมชาติ เออ, มันขี้ขลาด มันกลัว มันถ่อมตัว มันวิ่งหนี อื้อ, ไอ้คนป่าเถื่อน อย่างยุคปัจจุบันนี้ มันเห็นแก่ตัวจัด มันทำอันตราย เป็น อ่า, เป็นอันตราย นี้ต่างกัน เรียกว่า จากเป็นหน้ามือเป็นหลังมือก็ได้ ในพวกคนป่า ๒ ประเภทนี้ อือ, เราลองมีชีวิตดู อย่างคนป่าดูบ้าง อื้อ,
หรือว่าจะมีชีวิตอย่างมนุษย์ มันก็มี มีหลาย หลายแขนง อื้อ, คำว่า มนุษย์นี่ ต้อง มีความหมายว่า มีจิตใจสูง อย่างน้อยที่สุด ต้องมีจิตใจสูงกว่าธรรมดา กว่าสัตว์เดรัจฉาน หรือกว่าคนป่า ที่เป็นสักแต่ว่าคน อื้อ, มานะ แปลว่า สูง เอ้ย, มานะ แปลว่า ใจ อุตตยะ แปลว่า สูง (นาทีที่ 25:25) ใจสูงก็ได้ หรือเหล่าก่อ ของผู้มีใจสูงก็ได้ อื้อ, เราให้ถือเอาความหมายของคำว่า มนุษย์อย่างนี้ ถ้าใจยังต่ำ ก็ยังไม่เป็นมนุษย์ ยังเป็นคน ในระดับเดียวกับสัตว์ ในความหมายอย่างเดียวกับสัตว์เดรัจฉาน อื้อ, ถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องมีใจสูง เรามีคำว่า สุภาพบุรุษขึ้นมา เออ, ในภาษาพูด ในโลก ก็หมายความว่า มันมี มีใจสูงเหมือนกัน สุภาพบุรุษนี้ ก็หมายความว่า มีใจสูงนี่ ถ้าผิดจากนี้มันก็เป็นอันธพาล เหนือธรรดาเกินไป
ภาษา จริยธรรม อือ, หรือภาษาวัฒนธรรมมีคำ ว่า สุภาพบุรุษนี่มันก็พอแล้ว ถ้าคนเป็นสุภาพบุรุษ กันแล้ว โลกนี้ มันก็หมด หมดปัญหาได้ คือ ไม่มีอันตราย ไม่มีความยุ่งยากต่าง ๆ ในทาง ธรรมะ ในทางศาสนา เราเรียกว่า สัตบุรุษ ในความหมายอย่างเดียวกับสุภาพบุรุษนี่ อื้อ, สัต นี่มันแปลว่า สงบ ระงับ สัตบุรุษ นี่หมายความว่า ผู้ที่สงบระงับ ไม่มีโทษไม่มีอันตราย ทั้งแก่ตัวเอง และทั้งแก่ผู้อื่น คือ ไม่มีโรคเหมือนกัน ไม่มีโรคทางวิญญาณด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าสูงไปอีกก็จะใช้คำว่า อริยบุคคล หรืออริยมนุษย์ อริยบุคคล มันปรากฎชัดลงไปทีเดียวว่า ไม่มีโรค ความไม่มีโรคนั้นก็เด็ดขาด คือว่า ไม่กลับเป็น ไม่กลับเป็นโรคอีก หายโรคแล้วไม่กลับเป็นโรคอีก ไอ้สุภาพบุรุษ หรืออะไรทำนองนี้ มันยังไม่ ค่อยจะแน่ อื้อ, มันอาจจะหายไปเพียงบางครั้ง บางคราว บางกรณี อื้อ, แต่ถ้าเป็นอริยบุคคล มันก็ต้อง หมายความว่า โรคใดหายไปแล้วโรคนั้นไม่กลับมาอีก อื้อ, นี่ชีวิตอริยบุคคล ชีวิตที่ไม่มีโรค หรือป้องกัน โรค โดยอัตโนมัติอย่างยิ่ง อื้อ, แล้วก็อย่าลืมว่า มันไม่เฟ้อ ไม่เกิน ไม่อะไรไปทางไหน มันพอดี
ความเป็นพระพุทธเจ้านี้ อย่าไปคิดว่ามันเกิน วิสัยที่คนธรรมดาจะมีได้เป็นได้ ให้ถือว่ามันเป็น ความถูกต้องและพอดี นีเถ้าเลยไปจากนี้อีก มันก็เป็น เออ, มนุษย์อย่าง โพธิสัตว์ ไอ้ที่เราออกชื่อมาแล้วว่า สุภาพบุรุษ สัตยบุรุษ อริยบุคคล อะไรต่าง ๆ มันเป็นเรื่องส่วนตัว อื้อ, ถ้าดีกว่ามันก็เป็นเรื่องที่ อ่า, เพ่งเล็งถึงผู้อื่น ดังนั้นคำว่า โพธิสัตว์ ในความหมายสามัญธรรมดานี้ ก็หมายถึง ผู้ที่จะเห็นแก่ผู้อื่น ยิ่งกว่าตัว คำว่า โพธิสัตว์ อาจจะแปลว่า อ่า, สัตว์ที่จะเป็นพระพุทธเจ้านี้ก็ได้เหมือนกัน แต่สัตว์ที่จะเป็น พระพุทธเจ้า นั่นคือ สัตว์ที่เพ่งผู้อื่นจนลืมตัว ลืมตัวเอง อื้อ, มิได้นึกถึงประโยชน์สุขของตัวเอง เพราะมันไปเพ่งเล็งแต่ผู้อื่น อยากให้ผู้อื่นเป็นสุข
กิริยานี้มันปลอดภัย อยู่ในตัว อื้อ, โดยอัตโนมัติ เพราะว่าผู้ที่เพ่งเล็งจะทำประโยชน์แก่ผู้อื่นนั้น มันทำความชั่ว ส่วนตัวไม่ได้ อื้อ, นี่เรียกว่า มันไม่มีทางจะเกิดโรคส่วนตัว ถ้ามันอยู่ด้วย อือ, ความคิดที่ เสียสละเพื่อผู้อื่น ถ้าสละเพื่อผู้อื่น มันไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีตัวกูไม่มีของกู มันจึงเห็นแก่ผู้อื่นได้ นั้นก็เลยเป็นไอ้เรื่องที่สูงที่สุด ในความปลอดภัย เออ, จากโรคกิเลสนี้ อื้อ, คำว่า โพธิสัตว์ นี่ ภาษา หนังสือ ตามธรรมดาอาจจะใช้คำว่า มหาบุรุษ หรือ มหาสัตว์ อะไรก็ได้ อื้อ, ถ้าพูดว่า มีชีวิตอย่างมนุษย์ สุภาพบุรุษ สัตบุรุษ นี่ก็เรียกว่า มีชีวิตที่ประกอบอยู่ด้วยความพอดี
แต่ถ้ามีชีวิตอย่างโพธิสัตว์ อย่าง มหาสัตว์ อย่าง มหาบุรุษ ก็หมายความว่า มีความกรุณา อ่า, อันใหญ่หลวงนี้ เหมือนพระพุทธเจ้า ระดับพระพุทธเจ้าไปเลย มหาการุณิโก นาโถ (นาทีที่ 30:25) พระเจ้าเป็นที่พึ่งของสัตว์ มีกรุณาอันใหญ่หลวง อือ, ถ้าเราอยากจะบำเพ็ญ อุดมคติของโพธิสัตว์ มันก็ เพิ่มความกรุณาอันใหญ่หลวงนี้ อื้อ, จนกระทั่งลืมไอ้ความเห็น เออ, ประโยชน์สุขของตัว นี่คนก็ไม่ค่อย ชอบ เพราะแต่ละคนต้องการจะบริโภคความสุขทางเนื้อทางหนัง ทางเอร็ดอร่อย ของตัวให้มาก ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่มีขอบเขต เนื้อที่สำหรับเป็นพระโพธิสัตว์ จึงไม่ค่อยมี อื้อ, ทั้งที่มันควรจะมีหรือมีได้ อาชีพที่ ประเสริฐ เช่น อาชีพเป็น ครู อาชีพเป็นแพทย์นี่ มีโอกาสที่จะเป็นโพธิสัตว์ ได้มาก อื้อ, แต่ก็มันยาก เพราะมันเป็นโรค เห็นแก่ตัวนี่
ถมไปที่โรงพยาบาล ชั้นใหญ่ ชั้นมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง อื้อ, ไปเพื่อจะตรวจอะไรอย่างหนึ่ง นี่ไม่ต้องออกชื่อ เดี๋ยวคุณจะจับได้ หัวหน้าแผนกเป็นแพทย์ชั้นอาจารย์ ซึ่งนายแพทย์ทั้งหลาย ก็เรียกว่า อาจารยนี้ อื้อ, เขาปฎิเสธว่า เขายังไม่ได้กินข้าว และเขามีคนไข้ อ่า, รออยู่มาก นี่พูดด้วยน้ำเสียงสะบัด ๆ แล้วก็ลุกไป อ่า, ให้ลูกน้อง เออ, ช่วยทำแทน อื้อ, เราก็ไม่ได้นึก น้อยใจ หรือเสียใจ หรืออะไร เออ, แต่มันนึกสงสัยในเรื่อง น้ำใจ ของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นี่ ดูหน้าตา ดูรูปการณ์นี่มันไม่ใช่ว่า มันมีเหตุผล อย่างนั้น แล้วก็ปรากฎว่า ถูกไล่หรือถูกถอด โดยเคสที่มันคงจะไม่มีอะไร นอกจาก ความเห็นแก่ตัว
นี้พวกคุณก็เป็นแพทย์ หรือจะเป็นแพทย์นี้ ที่พูดนี้ไม่ใช่ติเตียน ไม่ใช่เอามาลำเลิกติเตียน แต่ให้ พูดให้รู้ว่า อาชีพที่จะต้องอาศัยอุดมคติของโพธิสัตว์ นี้ มันก็ยังเป็นได้ถึงอย่างนี้ อื้อ, อุดมคติโพธิสัตว์ นี่มัน เออ, มันนึกถึงผู้อื่นก่อนตัว ก่อนตัวเอง หรือว่าอย่างน้อยที่สุดก็พร้อม ๆ กันไป นี่เป็นอย่างน้อย ไอ้อย่าง ถูกต้อง มันก็นึกถึง ผู้อื่นก่อน คำว่า โพธิสัตว์ มหาสัตว์ เออ, มหาบุรุษ หมายความถึง มหากรุณา
ที่อยากพูดอันสุดท้าย ก็จะมีชีวิตอยู่อย่างเทวดา ดูบ้าง อื้อ, คำว่า เทวดา นี่ มันมีความหมาย เออ, กำกวมเหมือนกัน คือ กว้างหลายอย่าง ไอ้ เทวดากามารมณ์ ในชั้น อือ, ดุสิต ดาวดึงส์ อะไรกระทั่ง ปรนิมมิตวสวัตดี นี้ก็เป็นเทวดากามารมณ์ ชั้นพรหมโลกก็มีเทวดา ชั้น อ่า, พรหม รูปพรหมบริสุทธิ์ อรูปพรหมบริสุทธิ์ มันก็เป็นเทวดาด้วยกันทั้งนั้น อื้อ,
นี้ถ้าเป็นเทวดาอย่างไอ้ กามาวจร นี้ เทวดาที่เพลิน เพลิน เพลิดเพลินอยู่ด้วยกามารมณ์นี้ อื้อ, ก็มีชีวิตชนิดที่ กินเหยื่อ เล่นสนุก อะไรอยู่ตลอดเวลา คนบางคนก็เอาแต่อย่างนั้น อย่างนั้น ในโลกนี้เป็น เจ้าสำรวย เจ้าสำราญ อะไรต่ออะไร เรียกว่า มีชีวิตอยู่อย่างเทวดา ชั้นกามาวจร ชีวิตอย่างนี้ไม่ป้องกันโรค ไม่เป็นวัคซีนที่ป้องกันโรค อย่าไปบูชามันมาก มันจะเปิดรับโรค หรือเปิดรับเชื้อโรคอย่างกว้างขวาง อื้อ, และมีชีวิตอย่างเทวดาชนิดพรหม คือ ไม่ยุ่งกับกามารมณ์ ไปยุ่งไอ้ความบริสุทธิ์ หรือว่างจากกามารมณ์ มีตัวกูของกู เออ, ชนิดที่หยิ่ง หรือทนง ตัวเองมากที่สุด พวกนี้ อื้อ, แล้วก็ ซึมกระทือ นี่ใช้คำข้อนี้ โตกกระโดก (นาทีที่ 35:34) อยู่ในความพอใจ เออ, ว่าตัวเองบริสุทธิ์ มีตัวกูจัด แต่ว่าจัดไปในทาง ยึดมั่นถือมั่นว่าบริสุทธิ์ มีความเป็นอยู่เอื่อยเฉี่อย ไม่โลดโผน เหมือนเทวดาไอ้กามารมณ์ อื้อ,
นี่ลองเป็นเทวดาประเภทนี้ดูบ้าง มันก็ไม่ป้องกันโรค ไม่เป็นวัคซีนป้องกันโรค มันมีไอ้ความ เอื่อยเฉื่อย มันก็รับโรค ประเภท ที่เหมาะสำหรับความเอื่อยเฉี่อยเข้ามา นั้นในหลาย ๆ ชนิด ที่ยกตัวอย่าง มาให้ดูว่าจะมีชีวิตกันแบบไหน มันจะเป็นวัคซีนป้องกันโรคอยู่ในตัว คุณใช้สติปัญญาพิจารณาดูเอาเอง จะอยู่อย่างก้อนหิน อ่า, ก้อนดิน นี้ผมก็ว่าสบายดี มันสันโดษ มันไม่ต้องการอะไรมาก แล้วมันก็ซื่อ ๆ
เซ่อ ๆ เป็น Innocent มันก็สบายดี แต่คงไม่มีใครชอบ มันชอบโลดโผน อื้อ, ทีนี้เป็นสำรวยสำราญ อย่างผีเสื้อ มันก็ไม่ไหว อื้อ, จะเคร่งเครียดในการงาน ไม่ดูหน้าอะไรอย่าง มด อย่างแมลงผึ้ง มันก็คงจะ ไม่ไหว เหมือนกัน คงทนไม่ได้ นี่จะเป็นเดรัจฉาน หรือจะเป็นไอ้คนป่า หรือจะเป็นมนุษย์ แบบไหนกันแน่ อื้อ, ในที่สุดมันก็จะมาอยู่ที่ ไอ้ความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้องนั้น นับตั้งแต่เป็น สุภาพบุรุษ เป็นสัตบุรุษ เป็นอริยบุคคล เป็นโพธิสัตว์ เป็นอะไร อื้อ, พระพุทธเจ้า เออ, เป็นยอดสุด
รวมความว่า เป็นมนุษย์กันให้ถูกต้อง นี่จะเป็นวัคซีนที่ดี ป้องกันโรคทางวิญญาณ อ่า, ทุก ทุกชนิดนะ นี่กลัวแต่ว่าจะมีความเป็นมนุษย์ไม่ถูกต้อง แม้คำที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เออ, สัมมา วิหะเรยยุง (นาทีที่ 37:48) เป็นอยู่โดยชอบนี้ อื้อ, ก็หมายถึง ความเป็นมนุษย์ ที่ถูกต้อง คือ ดำเนินอยู่ ในอริยมรรค มีองค์ ๘ ประการ อื้อ, มันถูกต้อง มันก็หวังความสำรวยสำราญอะไร ไม่ ไม่ได้นักหรอก ถ้าพูดถึงสำรวยสำราญ มันก็สำรวยสำราญอย่างถูกต้อง ไม่ใช่สำรวยสำราญ เป็นทาสของอายตนะ ความสำรวยสำราญอย่างเป็นทาส เป็นขี้ข้า ของ อายตนะ นี้มันไม่ไหว เป็นทาสกิเลส เป็นทาส เออ,
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ประกอบอยู่ด้วยกิเลส นี่คงไม่ไหว นั้นคำว่า สำรวยหรือสำราญ อย่างผีเสื้อ มันก็คงไม่ไหว
ถ้าสำรวยสำราญ ที่มีความหมายอย่างอื่น มันก็จะได้เหมือนกัน มันเป็นภาษาที่ว่า เออ, ๒ ภาษา อยู่เสมอแหละ สำรวยสำราญอย่างภาษาธรรม มันคือ อิ่มเอิบอยู่ด้วยความดีความงาม ที่ถูกต้องนี่ สำรวยสำราญอย่างภาษาโลก มันก็เป็นเรื่องของคนโง่ มีสวย ๆ งาม ๆ ตามแบบผีเสื้อ ถ้าสวยงามที่แท้จริง มันเป็นเรื่องทางวิญญาณ แล้วก็มัน เหมือนที่เราสวดเมื่อก่อนหน้านี้ อาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลยาณัง ปะริโยสานะกัลยาณัง (นาทีที่ 39:18)นั้น มันงานอย่างนั้นนะ มันไม่ใช่ผีเสื้อ อื้อ,
ขอให้มี ความเป็นมนุษย์ที่มีความงามอย่างนั้น ก็ใช้ได้แล้ว นี่มันเป็นความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง และมากขึ้น ๆ อื้อ, จนกระทั่งงามอันสุดท้าย ก็งามเพราะว่ามันเห็นแก่ผู้อื่นยิ่งกว่าตัว อื้อ, เป็นเทวดา หรือเทวดาชนิดไหนก็ตาม นี้มัน มัน มันเตลิดเปิดเปิงไปทางไหนก็ไม่รู้ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่ไหว ก้อนดิน ต้นไม้ก็ทนยาก เออ, ก็เป็นมนุษย์ ที่อยู่ตรงกลางที่พอดีนี้ อื้อ, มันถูกต้อง พอดี
ดังนั้นเรามาศึกษาธรรมะ ในพระพุทธศาสนา เพื่อความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ตามแบบที่ พระพุทธเจ้าต้องการ สัมมา วิหะเรยยุง (นาทีที่ 40:19) แล้วโลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ อื้อ, นี่หลักการ อย่างนี้ ผมว่าชีวิตที่ เป็นวัคซีนป้องกัน โรคอยู่ในตัวมันเอง อื้อ, ก็ไปพิจารณาดูเอา โดยรายละเอียด นี่คือ คำที่ว่า อย่างไร มีชีวิตอยู่อย่างไร หรือว่าทำอะไรอย่างไร มีคำว่า อย่างไร ทำอะไรก็คือ ทำการเป็นอยู่ ทำการมีชีวิต เขาทำอย่างไร ก็ทำให้เป็น อือ, มนุษย์ที่ถูกต้องก็พอแล้ว ให้ถือว่า คำพูดคำเดียวว่า มนุษย์ นี่เป็นคำประเสริฐวิเศษสูงสุด ที่สุดเลย
เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นมนุษยกันแล้ว มันลำบากที่ตรงนี้ หรือว่าจะเป็นมนุษย์ ก็มนุษย์ปลอม มนุษย์เทียม มนุษย์เก๊ มนุษย์โกง นี่ไม่ใช่มนุษย์ทั้งนั้นแหละ อื้อ, เป็นอันธพาลทั้งนั้น เป็นปุถุชนคนพาล ไม่ใช่กัลยาณปุถุชน อื้อ, กัลยาณปุถุชน นี่มันเริ่มเป็นมนุษย์ ที่ถูกต้อง หรือว่าเป็นสัตบุรุษ เป็นพระอริยเจ้า มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องขึ้นมาทุกที แล้วก็เป็นได้ทั้งฆาราวาส เป็นได้ทั้งบรรพชิต บวชก็ได้ไม่บวชก็ได้ อื้อ, ความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องนี้ หญิงก็ได้ชายก็ได้ เออ, คนหนุ่มคนสาวก็ได้ ผู้ใหญ่ก็ได้ คนชราก็ได้ อื้อ, แต่ให้มันเป็นอยู่ให้ ถูกต้องอย่างนี้ นี้สำหรับคำว่า อย่างไร
นี้สำหรับคำว่า อะไร เออ, คือ สิ่งที่จะต้องทำนั้น คือ ถูกกระทำนี้ มันก็มีมาก ขืนไปแจก รายละเอียดมันก็ไม่ไหว มันก็พูดกันเป็นเค้า เป็นเค้า ๆ หรือว่าเป็นประเภท ๆ อย่างแรกก็จะมาอย่างสูงสุด ว่า เออ, สิ่งที่ เราจะต้องทำ โดยพุทธพุทธประสงค์ หรือโดยโพธิประสงค์ ก็ตามใจ เหมือนกัน พระพุทธเจ้า ต้องการให้เราทำอะไร เรารู้หรือเปล่า ว่าสิ่งนั้นแหละ คือ สิ่งที่เราจะต้องทำ อื้อ, เรียกว่า ทำโดย พุทธประสงค์ จะเป็นอยู่อย่างไรนี่ จะต้องทำอะไรนี่ เราจะต้องทำอะไรบ้าง ใน ในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ถ้าเรานับถือพระพุทธเจ้า เป็นพระบรมครู เป็นพระศาสดา อ่า, เป็นผู้นำ เราต้องเล็งถึง ข้อนี้ ว่าอะไรเป็นสิ่ง ที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์ จะให้เราทำ อื้อ, แล้วก็ทำอย่าง ที่ท่านต้องการจะให้ทำด้วย ทำสิ่งนั้นตามอย่าง ตามวิธี ที่ท่านต้องการจะให้ทำด้วย
เมื่อก่อนหน้านี้ที่พูดว่า โพธิประสงค์ ก็หมายความว่า ที่สติปัญญามันต้องการให้ทำ พุทธะ แปลว่า พุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ต้องการให้ทำ พุทธะ เป็นบุคคล ไอ้โพธิมันเป็นสติปัญญา ไม่ใช่บุคคล แต่ว่า บุคคลที่มีโพธิ นั่นแหละ คือ พระพุทธเจ้า มันเรื่องเดียวกัน โดยพุทธประสงค์ หรือโดยโพธิประสงค์ นี้ มันเหมือนกัน อื้อ, ทำตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้าก็ได้ ทำตามสติปัญญา ที่มันเป็นสติปัญญา
จริง ๆ ก็ได้ นั้นก่อนที่จะทำอะไรลงไป ก็ถามดู ถามตัวเองดู ว่านี่ทำไปด้วยอะไร โดยพุทธประสงค์ หรือว่า โดยกิเลสประสงค์ อื้อ, มันก็มีอยู่ ๒ ๒ อย่างนี้
ถ้าจะเติมเข้ามาอีกอย่าง ก็โดยความจำเป็นบังคับ เรารู้อยู่ว่าโดยพุทธประสงค์ เป็นอย่างไร โดยกิเลสประสงค์เป็นอย่างไร อื้อ, แต่เดี๋ยวนี้เราถูกอำนาจอะไรบางอย่าง ในโลกมันบังคับ เช่น เราถูกจับไปเป็นเชลยอย่างนี้ เขาบังคับให้เราทำอะไร ตามที่เขาต้องการอย่างนี้ นี่มันไม่ใช่โดยพุทธประสงค์ และก็มันไม่ใช่ โดยกิเลสของเราประสงค์ อื้อ, มันเป็นอำนาจบังคับของคน อ่า, ที่ ๓ หรือคนที่ ๒ ก็แล้วแต่ อ่า, มันจะเป็นกรณีอย่างไร นี้ก็ต้องตัดสินใจ หรือไม่ก็ต้อง แยกไปอีกอย่างหนึ่ง อื้อ, โดยพุทธประสงค์ โดยโพธิประสงค์ มันก็ยังมีว่าเพื่อ ตัวเองหรือเพื่อผู้อื่น และมันก็ยังจะมีว่าอย่างต่ำ ๆ หรือว่าอย่างระดับ กลาง หรืออย่างระดับสูงสุด จำถ้อยคำเหล่านี้ไว้ ไปคิดไปนึก ไป แยกแยะดูเอาเอง
นี้ถ้าว่า โดยกิเลสประสงค์ หรือกิเลสบังคับก็ตามใจ โดยกิเลสประสงค์ หมายความว่า เราสมัครใจ ทำโดยอำนาจของกิเลส ไม่ใช่ทำไปตามรู้สึกผิดชอบชั่วดี นี้มันทำเพื่อกิเลส ไม่ใช่เพื่อตัวตนอันบริสุทธิ์ หรือไม่ใช่เพื่อผู้อื่นอันบริสุทธิ์ แต่มันเพื่อกิเลส ซึ่งมันกำลังเป็นนาย แล้วมันจึงสูงไปไม่ได้ ไอ้ทำเพื่อกิเลสนี้ มันจึงสูงไปไม่ได้ มันมีแต่ต่ำทรามอย่างเดียว พูดอีกทีมันก็ว่า เพื่อฆ่าตัวเอง ถ้าทำไปเพื่อกิเลส ก็เพื่อฆ่า ตัวเอง เพื่อทำลายตัวเอง มันสูงไปไม่ได้ มันก็มีความต่ำทราม นี่ทำอะไร โดยพุทธประสงค์ ก็ไปอย่างหนึ่ง โดยกิเลสประสงค์ มันก็ไปอีกอย่างหนึ่ง อื้อ,
ดังนั้นจงมีความยับยั้งชั่งใจ ในตอนนี้ให้มาก มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีให้มาก มีสติสัมปะชัญญะ มาก ที่ทำอะไรลงไปวันหนึ่ง ๆ นี้ ว่านี่มันโดยกิเลสประสงค์ หรือว่าโดยโพธิประสงค์ โพธิ ก็หมายความว่า เออ, สติปัญญารู้สึกผิดชอบชั่วดี อื้อ, กิเลส ก็หมายความว่า เพื่อความมืดมน ความมืดมน ความที่ไม่มีโพธิ มันก็ ไม่สว่าง แล้วมันก็มืด ทำไปตามกิเลสประสงค์ก็เพื่อฆ่าตัวเอง ด้วยกิเลสมาก ๆ ก็หาเงินได้มาก ๆ ก็เลยเป็นเงินปลอม เงินทุจริต เงินเน่า เงินสปกรก หาเกียรติได้มาก ๆ เป็นเกียรติที่เน่าที่เหม็น ที่มีไอ้ความ เน่าอยู่ในตัวของมันเองไม่มีใครรู้ มีอำนาจวาสนา อ่า, มันก็เป็นอำนาจวาสนาที่สกปรก ไอ้เงิน หรือเกียรติ เออ, หรืออำนาจวาสนาอย่างนี้มันเป็นไปเพื่อฆ่าตัวเอง
ตัวอย่างในประวัติศาสตร์ หรือในปัจจุบันก็มี เขามีเงินมาก มีเกียรติมาก มีอำนาจวาสนามาก เขาก็เพื่อทำลายตัวเอง เพื่อฆ่าตัวเอง อื้อ, นี้คือ กิเลสประสงค์ กิเลสประสงค์จะฆ่าตัวเอง ฟังแล้วไม่น่าเชื่อ อื้อ, นี้อย่าไปหลงไหลในความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง อย่างที่คนหนุ่มคนสาว ต้องการกันมากนัก มันเพื่อฆ่าตัวเอง และเขาก็ไม่ยอมเชื่อ อื้อ, แล้วก็ยังดันทุรังไปอย่างนี้ อย่างน้อยก็เพื่อทรมานตัวเอง อื้อ, อยู่ด้วยไฟที่ ราคะบ้างโทสะบ้างโมหะ มันเผาอยู่ อื้อ, นี้ไม่ไหว แต่ก็เอามาพูดให้รู้ว่า สิ่งซึ่งเราทำไปตาม อำนาจ อ่า, สิ่งที่เราไปตามโพธิประสงค์ กับสิ่งที่เราทำไปตามกิเลสประสงค์นี้ มันต่างกันอย่างนี้นะ
ทีนี้ว่าสิ่งที่ ทำไปหรือว่าต้องกระทำด้วยอำนาจบังคับ นี้ก็มีปัญหาที่จะต้องเลือก คือ ยอมตาย หรือยอมทำ อื้อ, มี ๒ อย่าง สิ่งทีเรียกว่า อำนาจนี้ มันมีความหมายมาก มีความสำคัญมาก เพราะใคร ๆ มันต้อง มันต้องอยู่ อยู่ในวิสัยที่จะต้องเผชิญอยู่กับสิ่ง สิ่งนี้แหละ คือ สิ่งที่เรียกว่า อำนาจนี้ แล้วพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้เสียด้วยว่า อำนาจเป็นใหญ่ในโลก นี่คนฟังไม่ค่อยถูก ผมอยากจะพูดว่า พวกคุณนี้ก็ ทั้งหมดนี้ก็ คงจะฟังไม่ถูก ว่าอำนาจเป็นใหญ่ในโลก อื้อ, พวกนิสิตจะเดินขบวนต่อต้าน รัฐบาลไม่ยอมให้ใช้อำนาจ นั้นมันลืมไป ไม่ ไม่ ไม่รู้ความ จริงข้อนี้ คำว่า อำนาจ มันมีหลายความหมาย อำนาจเงิน อำนาจอาวุธ อำนาจกามารมณ์ อำนาจกิเลส อย่างนี้เป็นอำนาจทั้งนั้นแหละ อื้อ, ถ้าเขาใช้ กำลังกายบังคับ อำนาจกำลังกาย อำนาจปืน อำนาจอาวุธบังคับ มันก็เป็นอำนาจเหมือนกัน อื้อ, ก็รวบรวมอยู่ในคำว่า มันเป็นใหญ่ในโลกเหมือนกัน
คุณลองคิดดูสิ โลกบางคราวทั้งโลกนี่ อื้อ, มันตกอยู่ใต้อำนาจ อ่า, ปีน อำนาจกำลัง ทางวัตถุอย่างนี้ มันก็มีปัญหาว่าเราจะเอาอย่างไร เราจะยอมตาย หรือว่ายอมทำก็ตาม อื้อ, หรือจะประท้วง ด้วยความตาย ก็ได้เหมือนกัน เป็นสิ่งที่ต้องวินิจฉัย ต้องเลือก สัตบุรุษ เขาไม่ได้มีหลักว่า จะ บ้าบิ่น ยอมตายไปนี่ เสียในทุกกรณี ไม่ยอมทำตามอำนาจชนิดนี้ แล้วก็มีหลักเกณฑ์ที่ว่า เออ, เราจะต้องหลีกเลี่ยง ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เออ, เราจะยอมทำตาม ในกรณีที่พอจะทำไหว หรือในกรณีที่ยอมไม่ไหวก็ยอมตาย นี่อย่างนี้มันเป็นเหตุผล มันเป็นความยืดหยุ่น เป็นไอ้ความที่ มุ่งหวังจะทำให้ดีที่สุด เพราะอำนาจนั้นมันจะ ไม่ยืดยาว อ่ะ, มันก็ทนทำไปพักหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ผ่านไปอย่างนี้ อื้อ,
ดูไอ้เรื่องสงครามคราวที่แล้วมานี่ เป็นตัวอย่างก็ใช้ได้ บางทีก็ต้องยอม เออ, ที่เรียกว่า Serrender มันก็ไม่ได้มีความหมาย เป็นเรื่องเลว เรื่องผิด เรื่องน่าละอาย อะไรเสียอย่างเดียว บางที Serender นั้น กลับเป็นความถูกต้อง อื้อ, แต่บางทีก็เป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ ก็ไปเลือกเอาเองสิว่า เราจะปฎิบัติต่อ อำนาจที่มันล่วงล่ำเข้ามา บังคับ อื้อ, ดังนั้นอย่าลืมไปว่าอำนาจอย่างโลก ๆ นี้ไม่ร้ายเท่าอำนาจกิเลส ที่เราสมัครเป็นทาสมัน อื้อ, นี้อำนาจเงิน เดี๋ยวนี้ก็กำลังเป็นปัญหามากในโลก แม้ในประเทศไทยเรานี้ อำนาจเงินนี้ทำความปั่นป่วนมาก อื้อ,
แล้วก็มาถึงอำนาจกามารมณ์นี้ คุณเป็นผู้สำเร็จการศึกษา แล้วกำลังพ่ายแพ้แก่กามารมณ์ อุตส่าห์เรียน อุตส่าห์ทำงานเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อย เพื่อซื้อกามารมณ์นี่ ในอนาคตด้วยซ้ำไป นี่เตรียมตัวที่จะเป็นทาสกามารมณ์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ อื้อ, จะไปมีแฟนสวย ๆ หรือไปมีไอ้ ไอ้เรื่องของ กามารมณ์ทั้งนั้น ที่เป็นมืดที่ไม่มีขอบเขต มันต้องพอดี ไอ้สิ่งที่เรียกว่า กามารมณ์นี้ ต้องควรจะ อยู่ใน ขอบเขตจำกัดและพอดี ถ้าปล่อยไป หมด แล้วมันก็ กลายเป็นบาป เป็นอกุศล อื้อ, นั้นคำว่า กามารมณ์นี้ มันกำกวม จะเรียกว่า กาม กามคุณก็ได้ กามารมณ์ก็ได้ ในบาลีก็มีใช้ทั้ง เออ, ทั้ง ทั้ง ๒ คำหรือหลายคำ อื้อ, แล้วก็ไม่ อ่า, ไม่ได้ห้ามไว้ว่า อย่าไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ หรือว่่ากามคุณ อื้อ, ก็มีหลักว่าเข้าไปเกี่ยวข้อง อย่างถูกต้องนี้ ที่เป็น เป็น เป็นฆราวาสก็เกี่ยวข้องมาก ท่ีเป็นบรรพชิตก็เกี่ยวข้อง เท่าที่จำเป็น เท่าที่ไม่ ผิดศีล ผิดวินัยของ เออ, บรรพชิต กระทั่งว่าไม่เกี่ยวข้องเสียเลย นี่เป็นการถูกต้อง
ก็เท่ากับ กามารมณ์ นี้มัน มันกว้าง คือ สิ่งใดก็ตาม ที่มันตรงกับความต้องการของกิเลส ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันก็เป็นกามารมณ์ไปหมด อื้อ, ความต้องการของกิเลสนี้ ไม่ใช่ ความต้องการของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ถ้าเรามีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เข้าไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ เหล่านี้ ไอ้กามารมณ์เหล่านี้ก็แปรสภาพ เป็นเพียงสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตไปได้เหมือนกัน เป็นชีวิตเติบโต เป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมา ต้องการ อ่า, อารมณ์ทางอายตนะ เช่น ทางผิวหนัง เป็นต้น มันเป็นสิ่งที่ เออ, ยังตัดไม่ได้ ทำลายไม่ได้ มันก็ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องพอเหมาะ พอดี อย่าถึงกับหลงไปหามรุ่งหามค่ำ หรือว่า กลายเป็น อะไรไปก็ไม่รู้
แม้จะใช้คำหยาบ ๆ เลว ๆ ว่า บำบัดความใคร่ อย่างนี้ ต้องให้มันประกอบด้วยธรรม ให้มันพอดี เพราะเดี๋ยวนี้ไอ้ความใคร่เป็นสิ่งที่ต้องบำบัด ตามวิสัยของปุถุชน อยู่ในโลก มันก็มีการกระทำที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นศีลธรรม เขาจึงบัญญัติไว้ เป็นชั้น ๆ ชั้น ๆ สำหรับคนที่อยู่ในโลกเต็มที่ ก็มีศีลธรรม ที่จะต้อง มีครอบครัว มีอะไร มีคู่ครอง มีคู่บำบัดความใคร่ แก่กันและกันใน ทางที่ถูกต้อง อื้อ, แต่ว่าคนที่ต้องการ สูงขึ้นไปกว่านั้น ก็ไม่ ไม่ต้องทำ หรือบรรชิตมีความเกลียดชังสิ่งเหล่านี้ แล้วก็หนีออกไปนี้
ก็ไปทำอย่างอื่นสิ อื้อ,
นี้ที่ว่า เออ, เป็นฆราวาสอยู่ในโลกนี้ ก็มีความถูกต้อง อือ, สำหรับจะเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลก นี่สำหรับสิ่งที่จะต้องทำ มันยังมี เออ, ลักษณะอย่างอื่น ออกไปอีก ที่เราพูดกันมาแต่เพียงว่า สิ่งที่เราจะต้องทำโดยพุทธประสงค์ โดยกิเลสประสงค์ โดยอำนาจบังคับอย่างนี้มันก็ยังมีว่า สิ่งจะต้องทำ ตามระยะ ระยะกาล ระยะเวลา นี่ก็เพื่อจะแบ่งให้มัน เห็นชัดเข้า ง่ายแก่การ ปฎิบัตินี่ ระยะเวลานี้ไปแบ่ง เอาเองก็ได้ อือ, ผมก็ชอบพูดว่า เมื่อศึกษา เมื่อแสวงหา เมื่อได้มา แล้วเมื่อบริโภค คุณลองจำไปดูเอา มันจะ มีประโยชน์กี่มากน้อย เมื่อศึกษาวิชาความรู้ สำหรับการแสวงหา
แล้วทีนี้ก็มาถึง เมื่อแสวงหา อื้อ, แล้วก็มาถึงเมื่อได้มา หรือไม่ได้มา อื้อ, แล้วก็เมื่อบริโภคผล ที่ได้มา ไอ้เราไม่ค่อยจะทำอะไรให้มัน รัดกุมหรือ เออ, ตรงจุด มันเป็นการทำอย่าง เลือน ๆ ปน ๆ เป ๆ กันไป อื้อ, เรามีการงานที่จะต้องทำ อื้อ, แต่ว่ามันมีระยะกาล ที่ว่า เมื่อศึกษาว่าจะทำอย่างไร อือ, แล้วก็เมื่อ เที่ยวแสวงหางานนั้น จนได้ทำ แล้วก็ได้ผลมา แล้วจะบริโภคผลนั้นอย่างไร อื้อ, มันมีปัญหาที่ว่า แม้ว่าเมื่อ จะบริโภคผลนี้ มันก็ยังต้องระวัง เดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยความอวดดี ตลอด ตลอดสาย เมื่อเรียนก็อวดดี เมื่อหาอาชีพก็อวดดี เมื่อประกอบอาชีพก็อวดดี ได้ผลมาก็อวดดีกัน ก็บริโภคผลด้วยความตะกละ หลับหูหลับตานี้ ไอ้สิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น มันผิดไปหมด แม้มันควรจะเป็นของถูก มันกลายเป็นของผิด อื้อ, ดังนั้นจะแบ่งเวลาเป็น ปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย อะไรก็ได้ นี้มันยังมี เรียกว่า โดยสถานการณ์อีก อีกประเภทหนึ่ง สถานการณ์ที่คับขัน สถานการณ์ที่ เมื่อเราช่วยกันไม่ได้ มันก็มีนะ เมื่ออุบัติเหตุ หรือเมื่อ มันคับขัน จนมนุษย์ช่วยมนุษย์ด้วยกันไม่ได้ นี้มันก็มี ไประวังเอาเอง ไปเลือกเอาเอง แล้วทำให้ดี
อื้อ, ทีนี้ก็อยากจะพูดตรงนี้ ว่าทำอย่างไรมันจึงจะเป็นไอ้เครื่องคุ้มครองขึ้นมาได้ ใช้หรือทำอะไร อย่างไร จึงจะเป็นวัคซีนขึ้นมาได้ เออ, นี้ก็ว่าทำให้มันถูกต้องเท่านั้นแหละ พอดีเท่านั้นแหละ คำเดียวเท่านั้น เป็นอยู่โดยชอบ อย่างที่พูดมาแล้ว อื้อ, ถ้าหลงหรืองงไป ก็ไปพูด ไปดูในคำบรรยาย
ตอนต้น ๆ ที่แล้วมา ที่เราพูดถึง การตัดสินปัญหาชีวิต ด้วยหลักกาลาสูตรก็ดี ด้วยหลักตัดสินธรรมวินัย ก็ดีนี้ นั่นแหละเครื่อง เครื่องตัดสินความถูกต้อง อื้อ, แล้วก็ทำไปด้วยจิตว่าง ไม่ยึดถือแม้ในความถูกต้อง มันจะเกินไปอีก ทำถูกต้อง แล้วก็ไม่ต้องยึดถือในความถูกต้อง มันจะมีความหนักอะไรเกิดขึ้นมาอีก นี่เรียกว่า ทำไปด้วยจิตว่าง ทำจงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ไม่เป็นการทำลายตัว ไม่เป็นการทำลายผู้อื่น
สรุปว่า ถูกต้อง ล้วน ๆ ก็ยังไม่พอ ต้องไม่ยึดถือในความถูกต้องนั้นด้วย มันจะไม่เกิดไอ้ ผล ปฎิกิริยาอย่างอื่น ที่มาจากความยึดมั่นถือมั่นในความถูกต้อง ถ้าถูกต้องแล้วจะไม่มีการยึดมั่นถือมั่น สติปัญญามันคุ้มครองได้ โดยไม่ต้อง ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดนี่ นี้เป็นวัคซีนป้องกันโรคทางวิญญาณ แต่ต้นจนปลาย เออ, จนถึงที่สุด อื้อ, นี้ขอให้ อ่า, ไปพิจารณากันเป็นเรื่องสุดท้าย ของการบรรยาย
ชุด เตกิจฉกาธรรม และขอย้ำว่าขยันไหว้ครู ด้วยบทไหว้ครู ที่พูดถึงเกือบจะทุกครั้งว่า สัพพัญญู สัพพัตถะสาวี ชิโน อาจาริโย มามะ (นาทีที่ 01:01:10) อาจารย์ของเรา รู้สิ่งทั้งปวง เห็นสิ่งทั้งปวง ชนะมารแล้ว มหาการุณิโกสัตถา (นาทีที่ 01:01:21) เป็นผู้สั่งสอนที่ประกอบด้วยกรุณาใหญ่ เป็น สัพพโลกติกิจฉโก (นาทีที่ 01:01:28) อื้อ, เป็นนายแพทย์ผู้รักษาเยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง ดังนี้ เอาละพอกันที เวลาจำกัด