แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อยู่ที่นี่มันอาจจะทำไม่ได้ หรือว่าจะยังไงก็ยังคิดดู คราวที่แล้วมี อยู่กันกลางสนามหญ้าประจำ จะนอน กินอยู่กันที่สนามหญ้า คราวนี้ถ้าต้องการอย่างนั้นก็ได้เหมือนกัน ถ้าต้องการ แต่ผมกำลังสู้ไม่ได้ ให้ท่านโพธิ์นี่ไปอยู่ด้วยได้ ถ้าอยากจะนอน แล้วกลางคืน ถ้าอยากจะมีพูดกัน หัวค่ำ หัวรุ่ง แล้วต้องมาที่นี่ ต้องเสร็จเรียบร้อยก่อนตีสี่ แล้วถือโอกาสพูดกัน สี่ครึ่งถึงห้าครึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง ยังมีเลือกได้อีกแห่งคือ บนภูเขา วันนี้ตอนบ่ายขอนิมนต์ไปดูทั่ววัด ให้มันหายความตื่นเต้นหรือว่าหายความผิดที่ผิดทาง หรือว่าตื่นเต้น มีอะไรแปลกที่ไหน ตอนบ่ายต้องรีบไปดูวัดให้ทั่ว ทุกซอกทุกมุมด้วย แล้วก็เพื่อจะเลือกดูว่าเราจะเอายังไง ไม่กี่รูปก็จะนอนที่ไหน จะนอนบน บนยอดภูเขาโน้นก็ได้ ผมคิดว่าดีเหมือนกัน หรือว่านอนกลางสนามหญ้าก็ได้ แต่การพูดกันต้องขอร้องว่าให้เป็นที่นี่ ที่ตรงนี้ หัวค่ำกับหัวรุ่ง แล้วกลางวันถ้ามีบ้าง ก็ในตึกนั้น มีกระดานดำมีอะไรพอใช้ได้ และตอนนี้คนก็ไม่สู้มาก ถึงเวลาเราจะใช้ห้องนั้นเราปิดประตูเสีย ไม่ให้ใครเข้า เมื่อได้ไปดูทั่ววัดแล้วก็ยุติกัน ตอนเย็นนี้ ถือว่าเปิด เปิดประชุม เปิดกิจการตอนเย็น เอากันยังไงตกลงกันตอนเย็นแน่ มันมีเหตุผลที่ว่าเราควรจะชิมไอ้ความยากลำบาก ความไม่ได้อย่างใจ ความหิว ความกระหาย นี่ผมถือว่าเป็นหลักสูตร ขอให้ได้ชิมความยากลำบาก เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องนอน เรื่อง บ้าง เหมือนกับไปเที่ยวธุดงค์ ผมไปเที่ยวที่อินเดีย ๓ เดือน แม้ในเมืองใหญ่ๆ ก็อาศัยเขาตามบริเวณบ้าน ที่บ้านหนึ่งเขาให้นอนที่คอกม้า ก็ได้เหมือนกัน ขี้ม้าทั้งนั้น แต่มันเก่าแล้ว มันแห้ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องศึกษา เป็นเรื่องการศึกษา บ้านนั้นใหญ่โตมาก แต่เราเป็นผู้ธุดงค์ เขาบอกว่าไอ้ตรงนั้นน่ะมันว่างอยู่ พระ เคยมีพระเช่าอยู่ แล้วเขาไม่ ไม่ ไปไหนเสีย เวลานี้ ทิ้งว่างอยู่ ก็ไปดู ห้องเล็กๆ เขาติดกุญแจ แต่ข้างนอกชายคานี่ พอนอนได้ แล้วมีคนเลี้ยงม้า เรายังขาดความรู้อย่างนี้ จิตใจมันจะเป็นอย่างไร เมื่อมันโดนไอ้แบบนี้ บิณฑบาตก็ต้องไปกับท่านโพธิ์ ผมไปไม่ไหว มันกำลังมีโรคอะไรอย่างหนึ่ง มันทำให้อ้วน ร่างกายมันไม่ใช้อาหาร มันอ้วน เลยขอตัว งด ไม่ไปกรุงเทพ ไม่ไปไหนทุกแห่ง จนกว่ามันจะผอมก่อน ไปไหวถึงจะไป นี่ไม่ได้ไปกรุงเทพมาร่วม ๓ ปี และที่ไหนก็ไม่ไป แม้แต่ตลาดนี่ก็ไปต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ อยู่ที่วัด ทำอะไรได้ก็จะทำ เป็นอย่างนี้ เช่นพูดกันไปเรื่อยๆ ทุกวันเสาร์ ก็มีเขามาขอความช่วยเหลือให้พูด ให้อบรม นี้ก็ทำไปได้ วันละ ๒ หน หนละ ๑ ชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นกลางคืนด้วย เวลานี้ กลางวันไม่มีแรง อ่อนเพลีย พออากาศเย็นสบายก็ค่อยๆ มีแรงพอจะพูด ก็พูดได้ทุกวัน วันละ ๒ หน แต่หัวค่ำกับหัวรุ่ง นี่เราจะถือเอาเวลาหัวค่ำกับหัวรุ่งนี้ เป็นเวลาที่พูดกันจริงๆ หรือที่เรียกว่าเป็นการอบรม มันเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดทั้ง ๒ ฝ่าย คือผมว่าเหมาะที่สุด กลางคืนค่อยมีแรง แล้วเหมาะแก่ทุกคนเพราะกลางคืนมันเงียบสงัด กลางวันนี่มีเสียงอย่างนี้ เสียงรถบ้าง เสียงคนบ้าง ไม่สนุก ไม่ได้ผลดี นี่ไว้กลางคืน แล้วก็หัดนอนตื่นดึก คือหัดนอน ไม่นอนสาย นี่ก็ดีมาก นิสัยที่นอนสายนี่แก้ยาก ต้องมีการแก้ ต้องพยายามให้นานพอ เปลี่ยนนิสัยได้ ตื่นแต่ดึก นอนหัวค่ำหน่อย แล้วตื่นแต่ดึกหน่อย ตื่นอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า ตื่นแต่ยังไม่ทันสว่าง เพื่อจะพิจารณาดูว่าจะไปโปรดใครที่ไหน
แล้วอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ต้องบอกผมแล้วทีนี้ คือก่อนนี้ผมกำหนดเอาเอง เพราะมันยังไม่เคยพูดเรื่องอะไร วิธีนี้ปีที่แล้วมามันก็ได้พูดไปมากแล้ว หนังสือนั้นก็ยังอยู่ แจกให้ก็ได้ ก็ไม่อยากให้ซ้ำ นั้นเราจะพูดหรือว่าเอามาวิจารณ์กันในส่วนที่ยังไม่เคยพูด และที่เป็นปัญหา ที่อยากทราบ นั้นตอนบ่ายเราพบกันอีกทีหนึ่ง เพื่อมีคำตอบมาให้ผม เขียนใส่เศษกระดาษก็ได้ หรือจะพูดด้วยปาก ว่ามีปัญหาอะไรบ้างที่อยากจะให้เอามาถกกัน วิจารณ์กัน เพราะจะได้รวบรวมปัญหาที่เป็นความต้องการนั้น มาพิจารณาดู จะได้พูดไปในตัวในการอบรมบรรยายนี้ให้มันตรงกับเรื่องนั้น ถ้าจะพอจะทำได้ นี้เวลาหัวค่ำนี่อยากจะพูดกันแต่เรื่องเกี่ยวกับสมาธิโดยเฉพาะ เพราะเป็นเวลาที่เหมาะ เมื่อได้ฟังคำอธิบายเรื่องเกี่ยวกับสมาธิแล้วมันมีเวลาเหลือกลับไปทบทวน ลองทำดูเลยก็ได้ เวลาหัวรุ่งมันไม่เหมาะ เราพูดจบแล้วเราต้องไปบิณฑบาต มันก็ชักจะลืมเลือน หรือว่าไม่ได้ลองดู เวลาหัวรุ่งเราพูดกันเรื่องปัญหาต่างๆ ตอนหัวค่ำเราพูดกันแต่เรื่องเกี่ยวกับสมาธิโดยตรง แล้วผมก็มีความรู้แต่เรื่องที่เกี่ยวกับอานาปานสติ อย่างอื่นผมไม่สนใจ และเชื่อว่าเหมาะที่สุดสำหรับโลกในสมัยปัจจุบันนี้ กรรมฐานมีหลายแบบ แต่อานาปานสติที่สมบูรณ์แบบอย่างใน มัชฌิมนิกาย นั้นเหมาะที่สุด อานาปานสติที่มีรวมอยู่ในอนุสติ ๑๐ นั้นมันสั้นๆ ลุ่นๆ ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ที่กล่าวไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร กระท่อนๆ กระแท่น เพียงหมวด ไอ้หมวดที่ ๑ ของไอ้อานาปานสติ มัชฌิมนิกายแล้วก็จบแค่นั้น ไม่สมบูรณ์ จึงถือว่าอานาปานสติภาวนาสมบูรณ์แบบ ใช้คำว่าอย่างนั้น ตามหลักที่มีอยู่ในอานาปานสติสูตร มัชฌิมนิกาย เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเองและสำหรับไปเผยแผ่ นี่ก็ใช้เวลาประมาณ ๑๕ วัน ก็พอดี เพราะว่าหลักปฏิบัตินั้นก็มีถึง ๑๕ เอ่อ ๑๖ ขั้น นี่เรามีเวลา ๑๕ วันนี่ก็พอดี วันไหนพูดกัน วันนั้นก็ต้องทดลองดู เพื่อให้เข้าใจแม่นยำ ไม่ลืม
ส่วนหัวรุ่งจะปรึกษาถึงปัญหาต่างๆ ที่พวกธรรมทูตจะได้พบ หรือประสบเข้า เป็นการช่วยในหน้าที่การงานสำหรับโลกสมัยนี้ ผมไม่เคยไปเมืองนอกกับเขา แต่ก็สนใจมากเหมือนกัน สนใจอ่าน ฟัง เท่าที่รู้ได้ ก็มากนะ ก็พอที่จะเอามาพูดให้เป็นประโยชน์ได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะนั่งเผยแผ่พุทธศาสนาอยู่ที่นี่ ก็มุ่งหมายโลก มุ่งหมายโลกทั้งหมด ว่าตัวไปไม่ได้ แต่ว่าจิตใจก็ไป มันก็คงจะเหมือนๆ กัน คือเรามีความคิดนึกอย่างเดียวกัน ก็ผู้ที่จะต้องไปจริงๆ ถ้าจะให้ได้ผลดีจริงๆ น่ะหมายความว่า ถ้ามนุษย์ในสมัยที่มันบ้ากันที่สุดนี่ ให้มันรู้จักหยุดกันซะบ้าง ให้รู้จักหาความสงบ มันก็มีหวังส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนเล็กนิดเดียว ส่วนใหญ่ทำไม่ได้
ตีสี่ครึ่ง หรือก่อนนั้นนิดหน่อย ต้องพร้อมกันที่นี่ แล้วก็หัวค่ำ สองทุ่มครึ่ง ตอนก่อน ก่อนอาทิตย์ตกประมาณชั่วโมงครึ่งนะ เดี๋ยวนี้มันล่าไป สักสองทุ่มครึ่งก็ดี อีกครั้งหนึ่ง ส่วนกลางวันนั้น ใช้เป็นเวลาไปเที่ยวดู หรือไปเที่ยวหาความสงบ ตามบนภูเขา หรือที่ตรงไหนแล้วแต่จะชอบ ลำห้วย ลำธาร เว้นแต่วันไหนมีเรื่องพิเศษที่เราจะใช้ห้องเรียนในตึกนี้ จึงจะค่อยบอก แต่สำหรับที่ตายตัวคือว่าหัวค่ำ สองทุ่มครึ่งต้องมาพร้อมกันอยู่ที่นี่ หัวรุ่ง ตีสี่ครึ่งมาพร้อมกันอยู่ที่นี่ ตี ตีห้าครึ่งกว่าๆ นั้น ต้องไปบิณฑบาต ทีนี้สำหรับการไปบิณฑบาตนั้น อยากให้ลองหลายๆ แบบ ค่อยพูดกัน ค่อยตกลงกันกับชาวบ้าน แบบที่นั่งรถยนต์ไปตลาดก็มี เดี๋ยวนี้มันทำได้ และมันจำเป็นจะต้องทำ เพราะพระที่อยู่ประจำถิ่นนั้นก็มีอยู่มากจนหมดกำลังของชาวบ้าน จนเต็มกำลังของชาวบ้าน เราก็สับเปลี่ยนกัน ไปบิณฑบาตแถวนี้ดูบ้าง สับเปลี่ยนกัน ถ้าสังเกตให้ดีจะได้ความรู้ ที่เขาพูดกันหมด ทั่วกันไปหมดทุกศาสนา ว่าศาสนามันอยู่ได้ด้วยคนจน โดยเนื้อแท้มันอยู่ได้ด้วยคนจน คนมีก็ทำบุญเหมือนกันล่ะ แต่ถ้าเทียบกับคนจนแล้วมันผิดกันมาก จนอยากจะพูดว่าคนจนนี่ทำบุญ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของรายได้ แต่คนมั่งมีอาจจะทำสัก ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ๕ เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ยิ่งมีเท่าไหร่เปอร์เซ็นต์นี่ยิ่งลดน้อยลง จนกระทั่งพระเยซูบอกว่า จูงอูฐลอดรูเข็ม ดีกว่าจูงไอ้เศรษฐีมาวัด นี่ไปดูบ้านดูเรือนเขาสิ จะเข้าใจเขาว่าจนมาก แต่ก็ยังใส่บาตรได้ทุกวัน ช่วยเหลืออะไรได้สม่ำเสมอ บ้านคนจน กับคนพอมีจะกินอยู่แถวนี้ ฝ่ายนี้ไม่มีหล่ะ ก็เลี้ยงพระ ๕๐ รูปไว้ได้ พระ เณร ๕๐ รูปอยู่ได้ด้วยคนจนแถวนี้ แล้วปรากฏว่าศาสนาอื่นก็เหมือนกัน คล้ายๆ กับฝากไว้กับคนจน เพราะว่าคนจนนี่มันคงคิดมาก คิดหวังพึ่งบุญกุศลมากกว่าคนรวย แล้วมัน มันลืม มันลืมไป มันลืมเห็นแก่ตัว ลืมการสะสม พอกพูน มันเฉื่อยๆ อย่างนั้นน่ะ ก็เคยทำมาก็ทำไป ส่วนคนมั่งมีส่วนใหญ่นะ ไม่ใช่ทั้งหมด มันก็ต้องเข้มข้นมากขึ้นในการสะสม ในการเอามา หาเอามา เห็นแก่ตัวนะพูดตรงๆ มันเห็นแก่ตัวอย่างเข้มข้น ในความรู้สึกที่เข้มข้น ส่วนคนจนมันก็มีความเห็นแก่ตัว แต่มันเฉื่อยๆ นี่อย่างหนึ่ง แล้วก็หวังว่าจะพึ่งบุญกุศลนี้ด้วย ตามความเชื่อโบรมโบราณ ปรัมปรา นี่ไปบิณฑบาตที่ตลาดดูว่าเป็นยังไง นั่นเขาก็ตั้งใจช่วยเป็นพิเศษ ธรรมดาเขาไม่ได้ใส่ ส่วนมากเขาไม่ได้ใส่ เขาช่วยเราเป็นพิเศษ ไอ้คราวก่อนที่มากันนั่นเป็นเรื่องแจ้งความประสงค์ไปเป็นพิเศษ ก็จัดสนองความประสงค์ แต่คราวนี้คิดว่าจะไม่ทำอะไรมากมาย เพราะมันน้อยองค์ ไปตามที่เขาใส่ๆ กันอยู่ก็พอ ให้ถือว่าเวลาบิณฑบาตนั้นเป็นเวลาศึกษาด้วย เป็นหลักสูตรเพื่อการศึกษาด้วย ให้ดูข้อเท็จจริงเหล่านี้ หรือว่าดูอะไรต่างๆ นอกกว่านั้นก็ยังจะต้องเที่ยวดูสถานที่ เช่นวัดพระธาตุ มันให้ประโยชน์ ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ให้กำลังใจ ให้อะไรอยู่ไม่น้อยนะ ไปดูสวนโมกข์เก่า ไปดูเมืองไชยาเก่า ก็มีประโยชน์ ให้ความคิด ความรู้ชนิดที่เป็นประโยชน์แก่งานธรรมทูต แม้เป็นความรู้ทางโบราณคดี ก็คงจะพอดี พอเหมาะแก่เวลาที่มีอยู่เท่านี้
ส่วนใหญ่ก็ตั้งใจไว้ว่าจะช่วยทำความเข้าใจเกี่ยวกับอานาปานสติ ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ยินว่าพอพิมพ์เสร็จ เขาเย็บเล่ม อาจจะส่งมาทันในเวลาที่พักอยู่ที่นี่ บางทีจะต้องถกๆ กันบ้างเกี่ยวกับคำ เกี่ยวกับอะไร ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษที่ประหลาดๆ ภาษาธรรมะ ภาษาศาสนา มันยุ่ง ตามที่เคยประสบมาแล้ว ภาษานี่ลำบากที่สุด กับฝรั่งบางคน พูดกันแต่คำว่า suffering ไอ้ทุกข์ ความทุกข์คำเดียวเท่านั้นนะ ตั้งวัน มันไม่เข้าใจได้ คำๆ เดียวมันเข้าใจไม่ได้ นี่คำของกรรมฐานวิปัสสนามันมีเยอะแยะที่เข้าใจยาก ถ้าเราทำให้เขาเข้าใจไม่ได้ แล้วมันก็ไม่สำเร็จ ขืนทำก็เป็นพิธีรีตรอง ทำไปอย่าง อย่างกับว่าได้ทำ แล้วก็เขียนรายงานได้ แต่ทำให้สำเร็จประโยชน์ ให้เขาได้รับประโยชน์ แล้วก็เลื่อมใสถือกันจริงๆ นี่ยากมาก แล้วยิ่งฝรั่งเดี๋ยวนี้ยิ่งลำบากมาก ถ้าพูดกับเขาค่อยๆ ถกกัน วินิจฉัย (นาทีที่ ๒๓:๒๕) คำว่าต่างประเทศ มันก็เพ่งเล็งถึงฝรั่งมากกว่าผู้อื่นเสียด้วย ถ้าเราจะเพ่งเล็งถึงชาวอินเดียก่อนก็ดี ในฐานะที่ไปใช้หนี้คืนเขา แล้วก็เล็งถึงประเทศใกล้เคียง ที่มีวัฒนธรรมคล้ายๆ กัน เช่นอินโดนีเซียนี่ก็เหมาะนะ แล้วค่อยไกลออกไปถึงพวกที่มีศาสนาต่างกัน วัฒนธรรมต่างกัน เช่นพวกฝรั่ง และทางที่ดีที่สุด ก็ต้องรู้อะไรชนิดที่พวกฝรั่งเขารู้ และเขาถืออยู่ก่อน เช่น ศาสนาคริสเตียน เป็นต้น ผมสนใจมานานแล้ว และก็สนใจเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับศาสนาคริสเตียน จนรู้สึกว่ามันเป็น เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งดีมาก ถ้าเราใช้อันนั้นเป็น เป็นเครื่องเปรียบเทียบ เพราะว่าถ้าฝรั่งเข้าใจคริสเตียนดี เกือบจะไม่ต้องสอนพุทธศาสนาอะไรมากมาย ไอ้หลักเนื้อแท้ของมันก็คือ ไม่เห็นแก่ตัวมั้ง ก็มีอนัตตา มีสูญญตาอยู่อย่างประหลาดๆ นะ มีเมียเหมือนกับไม่มีเมีย มีทรัพย์เหมือนกับไม่มีทรัพย์ ซื้อของที่ตลาดอย่าเอาอะไรมา ไปที่ไหนก็ชี้ให้พวกฝรั่งดูว่า นั่นน่ะหัวใจของพุทธศาสนาอยู่ในคัมภัร์ไบเบิ้ล ถ้าคุณเข้าใจข้อนี้แล้วก็ นี่คือเข้าใจพุทธศานา พอถามว่าคุณอธิบายว่ายังไง สามสี่บรรทัดนี้ อึกอัก อึกอัก มองหน้ามองตากันเอง แล้วบอกในที่สุดแล้วสารภาพว่าผมไม่ได้สนใจ เขาว่าอย่างนั้น ผมก็เลยบอกว่า อ้าว, ทำไมไม่สนใจ ไอ้ส่วนที่ดีที่สุดของคริสเตียนซึ่งตรงเป็นอันเดียวกับหัวใจพุทธศาสนา อธิบายให้ฟัง เข้าใจเร็วมาก นี่คือวิธีที่ไปเผยแผ่พุทธศาสนาต่างประเทศ เมื่อไปยัดเข้าไปในสิ่งที่เขาถืออยู่แล้ว แม้ว่าเขาไม่เข้าใจ เราอาจจะล้อเขาเล่นได้ ถ้าช่วยให้เขาเข้าใจ ศาสนาคริสเตียนพร้อมกันไปกับพุทธศาสนามันก็ลึกซึ้งดี มีผลดี นี่ขอให้ช่วยเอาไปพิจารณาดู
สักบ่ายสามโมงพบกันใหม่ เอาไอ้สิ่งที่ต้องการ จะให้ผมพูด สิ่งที่ต้องการจะให้ผมพูดมา แล้วจะได้จัดให้มันเป็นรูปโครงไปเสียแต่ทีแรก ว่าไปตามลำดับ เพลแล้วก็ไปเที่ยว ไปเที่ยวให้มันทั่ววัด ถึงค่ายลูกเสือ ถึงบนภูเขา ให้ท่านโพธิ์พาไป พอจะรู้ว่าควรจะเลือกยังไง เลือกนอนตรงไหน เลือกยังไงก็ได้ ไม่มีขัดข้อง ผมไม่มีขัดข้อง จะนอนบนที่พัก บนกุฏิก็ได้ จะนอนกลางดินก็ได้ หรือว่ากลางวันจะอยู่ในที่พัก ซ่อนเร้นอย่างนั้น กลางคืนมาอยู่กลางสนามหญ้าก็ได้ ให้ถือว่าระหว่างนี้เป็นการธุดงค์ เหมือนกับเที่ยวธุดงค์เอาบุญ หรือว่าธุดงค์เผยแผ่ศาสนา หรือธุดงค์อะไรก็ต้องเหมือนกันแหล่ะ ไอ้กลดนั่นน่ะดี อันที่จริง นอนตรงไหนก็ได้ จะถือโอกาสนอนกันตรงนี้ก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร หัวค่ำพูดกันเสร็จแล้วนอนตรงนี้ หัวรุ่งพูดอีกทีแล้วไปเลย กลางวันหนีเข้าป่าเข้าไปซะ เอาเป็นว่าอยากมีที่นอนกันตรงไหนมันก็ดี มันถูกต้องตามหลัก บ่ายสามโมงพบกันอีกทีหนึ่ง สองทุ่มครึ่งพบกันในฐานะที่เรียกว่าเปิด เปิดห้องเรียน เปิดการเรียน นี่ให้สิทธิที่จะประชุม ตกลงกันเองเลือกกันเองว่าจะเอายังไง แล้วให้พูดอะไรนั้นเขียนใส่เศษกระดาษมา ตามที่จะนึกได้กี่ข้อ ผมก็มารวมๆ กันทำให้มันเป็นรูปโครงสำหรับพูด
สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมาวัดนี้ ภูเขานี้อยู่กลางวัด ศูนย์กลางวัด พระอยู่ข้างหลังทางโน้นหมด อุบาสิกาอยู่ทางนี้หมด เดินไปดูสิ เป็นแถวอยู่นี่ ตลอด มีคนกรุงเทพหลายคนนะที่อยู่ ฝ่ายนี้ก็เป็นลำห้วยลำธาร เป็นสระน้ำ เป็นนที ที่อยู่บ้างเล็กน้อย ข้างหน้านี่เรียกว่า office ติดต่อ โรงครัว โรงฉัน โรงธรรม โรง ติดต่อ ไปเที่ยวดูให้ ให้ ให้ เรียกว่าทำความรู้จักกับสถานที่ ก็เลือกได้ว่าเอายังไง เวลาไหน ผมมันอยู่ในสภาพที่อ่อนเพลีย ปี สองปีมานี่ สามปีนี่ ถ้าไปเดินมากเข้ามันรู้สึกไม่สบายในอก ในอกนี่ รู้สึกคล้ายกับเป็นอันตราย พูดเพียงหนึ่งชั่วโมงก็ต้องหยุด ก่อนนี่พูดสามสี่ชั่วโมง แต่ว่าความคิดหรือความใคร่ครวญ ไตร่ตรอง หรือะไร อันนี้มันไม่ถอย เพราะความอยากจะทำงานมันก็มาก ผลสุดท้ายมันก็ทำไม่ได้ แรงมันไม่มี (พูดสั่งงานกับท่านเพ็ญ เป็นภาษาใต้ นาทีที่ 30:57 – 31:10) ขอให้ถืออย่างธุดงค์ ครั้งพุทธกาล อาหารเหลือในบาตรไว้ฉันเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าต้องการ (ท่านเพ็ญผมฉันแต่เครื่องดื่มสักแก้วหนึ่ง ผลไม้ลูกหนึ่ง) บางทีก็นอนเสียไม่ฉันน่ะ ขี้เกียจ รู้สึกว่านอนสบายกว่า ถ้ายังอยากฉันก็ฉัน ไม่มีอะไรก็ฉันไอ้ของเณรที่หาบน่ะ (นาทีที่ 31:40) จัดจานแมวเล็กๆ ฉัน
ตื่นให้ดึกสักหน่อย ไปส้วม ไปฐานเสร็จ อาบน้ำเสร็จ อะไรเสร็จ มาถึงเวลาพูด ฟังกันได้ผลดี ไม่งัวเงีย ที่อาบน้ำ ทางค่ายลูกเสือ ตอนนี้ดูไม่สะดวก คือมันต้องปั๊มด้วยเครื่อง เครื่อง เครื่อง เครื่องสูบ ปล่อยให้มันออกเอง มันออกน้อย จะต้องลงไปในลำธาร หรือในถังอาบของเราภายในวัด มีน้ำมาก แล้วบางวันก็เปลี่ยนเป็นตักบาตรจานแมวที่นี่ นั่งที่นี่ให้เขาตักบาตร ใส่บาตร ใส่จานแมว ส้วมฉุกละหุกอยู่นั่น หลังตึกนั้นก็มี ส้วมถาวรอยู่ทางโน้น ฝ่ายโน้นก็มีเป็นของอุบาสิกาต่างหาก นี่เขาสิบเอ็ดโมง ออกเป็นเวลาสิบเอ็ดโมง
ท่านมหาเคยเห็นหนังนี่แล้วใช่ไหม ก็คุณวิโรจน์เอาไปฉายอยู่กรุงเทพน่ะ และนอกนั้นยังไม่เคยเห็นนะ อ่า ตั้งบันทึกไว้ดู เรียกว่าทุกระยะ จะขาดไปก็ที่ไม่สำคัญ ไม่ต้องอธิบายด้วยภาพนั้น ไปบิณฑบาตกี่แบบ ฉันอาหารกี่แบบ หรือว่า นั่งพูดสั่งสอนกันกี่แบบ ฉันข้าวกลางแดด จนเหงื่อ ก็มี เรื่องส่วนตัว ลองดูสิ ที่เขาพูดกันไม่จริงนั้นแหละ ที่หมอพูดไม่จริง เป็นหวัดบ้างอะไรบ้าง เห็น ไม่เห็นใครเป็นหวัด ไม่เห็นใครท้องเสีย ฉันข้าวกลางแดด ไม่เห็นใครมีท้องเสีย นอนกลางหาว น้ำค้างหล่นลงรด ก็ไม่เห็นใครเป็นหวัด ไม่ต้องพูดถึงนิวโมเนีย ที่นั่นก็นอนได้ กลางคืนมันไม่มีอะไรหรอก มันเงียบไปหมด นี่ สนามหญ้านี่มันใกล้ ใกล้น้ำ ใกล้ท่า ใกล้ส้วม ค่ายลูกเสือก็วิเวกดี แต่ไกลกว่า ลำบากกว่า ก็เลือกเอา หรือจะเอาทุกอย่างก็ได้ เปลี่ยนไปตามชอบใจ เพียงแต่ว่าถึงเวลาอบรมขอให้มาถึงนี่ตามเวลา ส่วนเวลาจะหลีกไปนั่นตามใจ ไอ้ริมสระน้ำนั่นก็นอนได้ ถ้าเวลาที่ไม่มียุง บางวันไม่มียุงเลย แต่บางวันมันก็มีบ้าง ขึ้นมาทางบนๆ นี่ยุงยิ่งน้อย แต่ว่ายุงกัดเสียบ้างก็ดีเหมือนกัน มันรู้จัก ให้รู้จักความอดทน มัวอยู่กันแต่แบบนั้น ไม่รู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าความอดทน วันนี้วันแรก มีวันเสาร์ติดอยู่สองวันเสาร์ ออกกำลังเสียบ้างก็ดี เดินให้มันมีเหงื่อ หรือกวาดขยะให้มีเหงื่อ ไม่ได้เขียนคำอธิบายไว้ ถึงแม้ภาพของพวกเซนก็เหมือนกัน เขาไม่นิยมเขียนคำอธิบายไว้ เป็นภาพของพวกเซนล่ะก็ ให้คิดเอาเอง แต่ว่า ส่วนมากมันเป็นภาพที่ปู่ย่าตายายอธิบายกันมาเรื่อยๆ เด็กๆ ก็จำไว้ นี่มันก็มี บางแง่ที่ไปไกลกว่านั้น แล้วก็อธิบายกันอยู่อย่างตื้นๆ
นี้ไปดู เขาขอร้องให้พระวรศักดิ์ พระที่มีหน้าที่อธิบายอะไรนี้ อธิบายมันทีละอย่าง อีกทีละประเภท อย่าไปคละกันยุ่งหมด เช่นประเภทโบราณ ของไอ้พวกเซน ประเภทโบราณ ในสมุดข่อยของไทย ไอ้ที่ของใหม่ๆ แต่ลึก อย่างของเชอร์แมน นี้ก็ดี ฝรั่งมาตายที่เกาะพงัน เขียนไว้หลายภาพ แล้วของพวกอินเดีย เขาทำขึ้นล้อ ล้อมนุษย์ปัจจุบันนี้ ก็เขียนการ์ตูนประวัติศาสตร์ ของพวกฝรั่ง พวกญี่ปุ่น มีสุภาษิต มีเป็นเรื่องๆ ไป การ์ตูนเรื่องสุนัขจิ้งจอกของพวกเยอรมัน รุ่นหลังนี่ไม่ใช่รุ่นก่อนรุ่นโบราณนี้ แต่ทำดีมีชื่อเสียง เป็นการ์ตูนชุดหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียง ล้อ ล้อมนุษย์ ล้อการเมือง ล้ออะไรเสร็จ ล้อศาสนา ล้ออะไร ล้อไปเสร็จหมด เขียนไว้ที่เสาเสาหนึ่ง พอดูก็พระที่เฝ้า (นาทีที่ 40:15) แล้วของเรา สมุดข่อยเป็นหมันอยู่นมนาน ผมเอามา แล้วก็ทำมา มาตรวจสอบ มาอะไร เขียนคำอธิบาย ชุดหนึ่งได้พิมพ์ไปแล้ว พิมพ์เป็นหนังสือเล่ม อีกชุดกำลังทำ ที่กำลังเขียนอยู่รอบๆ ชุดนั้นจากสมุดข่อย พอจะอวดฝรั่งได้ ถ้าคนไทยมีหัว มีศิลป์ มีอะไร มีความคิดที่เป็นศิลป์ เป็นเรื่องขนาดลึก แต่ว่าเท่าที่สังเกตดูแล้ว พวกฝรั่งกลับเข้าไม่ถึง เพราะมันเกิดมาในวัฒนธรรมชนิดที่เป็นเรื่องวัตถุ วัตถุทั้งนั้น ศีลของเขาก็เกี่ยวกับเรื่องวัตถุ ลึกก็ลึกอย่างในแง่ของวัตถุ ไม่ใช่ความหมายเรื่องนามธรรม ทางเส้น ทางสี ทางอะไร ที่มันเนื่องด้วยวัตถุ เส้นสีที่แสดงความหมาย ก็แสดงทางวัตถุ ทางเนื้อหนัง ความรู้สึกที่เกี่ยวกับเนื้อหนัง นี่ของเรามันเป็นเรื่องทางจิตใจ ไปไกลลิบ เป็นศิลป์ทางความคิด นี่เขาก็เข้าใจว่าเป็นศิลป์ทาง สี เส้น มันก็มีสี มีเส้นเหมือนกัน พอไปได้ จนกว่าเมื่อไหร่พวกฝรั่งจะเข้าใจไอ้ของอย่างนี้ได้ดี และเมื่อนั้นพวกฝรั่งจะเข้าใจธรรมะได้ พวกฝรั่งยังไม่เข้าใจข้อความในคัมภีร์ไบเบิ้ลของตัวเองอยู่ตราบใดแล้วมันก็ไม่มีทางเข้าใจธรรมะในพุทธศาสนา ถ้ามีเวลาผมก็อยากจะพูดให้ฟังเรื่องนี้ สำหรับเอาไปยันกับพวกฝรั่ง เขาเข้าใจหน้าแรกของคัมภีร์ไบเบิ้ลก็ใช้ได้ คัมภีร์เยเนซิสเป็นคัมภีร์แรกของคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วก็หน้าแรกของคัมภีร์เยเนซิสน่ะไม่เข้าใจ วันที่หนึ่งพระเจ้าสร้างแสงสว่าง วันที่สองพระเจ้าสร้างแผ่นดิน วันที่สาม ที่สี่ สร้างดวงอาทิตย์ มันเข้าใจไม่ได้ สร้างแสงสว่างก่อนสร้างดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ พอมันเข้าใจไม่ได้ มันก็คิดว่าอุ้ย, methodology บ้าง อะไรบ้าง ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องตีความ เลยไม่ต้องรู้กัน แล้วพอมาถึงเรื่องอดัมกับอีฟ ก็ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ ให้ไปเป็นเรื่อง methodology เป็นเรื่องนิยายของคนโง่ เป็นความโง่ของฮิบรูไปเสีย นี่คือฝรั่งที่เขาไม่เชื่อทางศาสนา ที่ยอมเชื่อทางศาสนา ก็เชื่อตามตัวหนังสือ มันก็โง่อีกเหมือนกัน ทั้งสองพวกน่ะเป็นฝรั่งโง่ ที่ไม่เชื่อก็โง่ ที่เชื่อก็โง่ เรื่องประวัติศาสตร์ทางวิญาณของมนุษย์อย่างดีที่สุด ถูกต้องที่สุด ควรจะเอาไอ้ตัวไบเบิ้ลมาดูซะ แล้วก็ทำความเข้าใจเสียสักพัก แล้วก็เอาไปพูดให้ฝรั่งฟัง เขาคงจะสนใจมากขึ้น คือสนใจเรานะ สนใจการอธิบายของเรา ที่จะเอาธรรมะไปให้เขา ก็ได้รับเครดิตว่าเราไม่ใช่โง่ หรือว่าพูดอะไรเอาตาม ตามใจชอบ หรือตามตัวหนังสือ จะไปที่อเมริกา หรือที่อังกฤษ ที่ไหนก็ได้ การแสดงให้เขาเห็นว่าคัมภีร์ไบเบิ้ลดีที่สุด ในเรื่องทางวัฒนธรรมทางวิญาณของมนุษย์ ตลอดถึงทางศาสนาที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น พยายามพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า เขาไม่เข้าใจคัมภีร์ไบเบิ้ล ยังไม่ได้รับประโยชน์ ที่จะมาเรียนพุทธศาสนาในแง่ที่มีความหมายอย่างเดียวกัน มีประโยชน์อย่างเดียวกัน ก็กลาย น่าสงสาร มีอยู่สามสี่ตอน คือสามสี่ข้อ ที่ถามแล้ว แล้วมันงงทั้งนั้นแหละ จนหุบปากเลย พอเราอธิบายให้ฟังแล้วก็ตาเหลือก คือว่าไม่นึกเลย ว่างั้น เช่นทำไมสร้างแสงสว่างตั้งแต่วันที่หนึ่ง แล้วเพิ่งสร้างดวงอาทิตย์วันที่สี่ หรือที่ว่า อย่ากินไอ้ผลไม้ต้นนั้นเข้าไป ทำให้เกิดความรู้เรื่องดีเรื่องชั่วแล้วก็ตาย นี่ฟัง ฟังยาก แต่จริงหรือถูกต้องที่สุด ต้นไม้ต้นที่หนึ่งมีผล คนกินเข้าไป จะมีความรู้เรื่องความดีและความชั่วแล้วตาย คือมีบาป มีความตายทางวิญญาณ ต้นไม้ต้นที่สองมีผลใครกินเข้าไปแล้วจะมีชีวิตนิรันดร ทีนี้ เอ, มันไม่รู้ว่าอะไร ที่ว่ามีความรู้เรื่องดีชั่วแล้วตาย หรือมีบาป มีบาปตลอดกาล มีบาป บาปดั้งเดิมตลอดกาล แล้วต้นไม้ มันเรียกว่าต้นไม้แห่งชีวิตเฉยๆ Tree of Life เฉยๆ ไอ้ Life นั่นคือชีวิตนิรันดร ตรงกันข้ามกับต้นไม้ต้นแรก ที่พระเยซูพูดตอนหลัง ตอนหลังนี้ว่า จงสละชีวิตแล้วจะได้ชีวิต ชีวิตอันหลังหมายถึงชีวิตนิรันดร เพราะได้กินไอ้ผลไม้ของต้นที่สอง นี่พระเจ้าห้าม ห้ามได้สำเร็จ ไอ้ต้นไม้ต้นที่หนึ่ง เพียงแต่พระเจ้าสั่งว่าอย่ากิน อดัมกับอีฟมันดื้อแล้วมันก็กิน อ้างว่างูมาหลอกให้กิน มาล่อให้กิน แต่ต้นไม้ต้นที่สองนี่พระเจ้าเห็นว่าไอ้พวกนี้มันดื้อ แล้วไม่เชื่อ แล้วก็เลยป้องกันเด็ดขาด ให้กินไม่ได้ จะกินได้ต่อเมื่อไรกัน ก็ไม่ได้พูดถึงในคัมภีร์เก่า Tree of Life นี่ พวกฝรั่งที่มาสอนในเมืองไทย แปลเป็นภาษาไทย เป็นคัมภีร์ภาษาไทย แปลว่า ต้นไม้กำเนิดแห่งชีวิต ดูก็ผิดเลย ผิดนับร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ผิดตรงกันข้ามเลย ต้นไม้กำเนิดแห่งชีวิต ถ้ากินเข้าไปแล้วจะ จะเกิดชีวิต มันก็เป็นชีวิตทีแรกที่มีความทุกข์ มันควรจะแปลว่าต้นไม้แห่งชีวิตเฉยๆ คือชีวิตใหม่ ชีวิตนิรันดร เขาไม่ค่อยสนใจกันในแง่ของปัญญา สนใจแต่เชื่อตามตัวหนังสือ ขืนไปสนใจทางปัญญาและมีความถูกต้องเมื่อไหร่ เมื่อนั้นพุทธศานากลืนศาสนาคริสเตียนทันทีอัตโนมัติ ป้องกันไม่ได้เลย นี่มันยิ่งกลัวใหญ่เลย ไปชวนตีความทางปัญญานี่ พอตีออก พอตีถูกต้อง พุทธศาสนาก็กลืน เพราะมันเกิดอยู่ก่อน มันเกิดก่อน แล้วมันพูดอย่างนั้นก่อน ไอ้คุณค่าของคริสเตียนก็หมดไป หรืออย่างดีก็เหมือนกันเลย เขาก็สูญเสียไอ้ความใหญ่โตของเขา แรกเริ่มเดิมที ชีวิตได้มี เอ้อ the word ได้มีอยู่แล้ว word แปลว่าคำพูด the word คำพูดน่ะ ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที the word ได้มีอยู่แล้ว the word คือ the life the life คือ God ถ้าถาม the word คืออะไร มันก็บอกไม่ได้ ว่า the word นี่คืออะไร ถ้าแปลว่าคำพูด ก็ต้องอธิบายให้ได้ ครั้งแรกคำพูดมีอยู่แล้วนี่ก็เลยแย่ ไม่มีคนแล้วคำพูดมันจะมีได้ยังไง เดี๋ยวนี้แปลว่า พระคำ(นาทีที่ 51.51) เหมือนผมบอกแล้ว คัมภีร์รุ่นหลัง ผมมาบอกที่เชียงใหม่มาไม่กี่ปีนี่ ครั้งแรกพระคำ ตอนนี้เขาแปลว่า พระคำ At the beginning the word was ครั้งแรกเริ่มเดิมที พระคำได้มีอยู่แล้วเขาเขียนอย่างนี้ พระคำ คำพูด บอกว่าน่ะคือกฎของธรรมชาติ พระคำ คำพูดของใคร คำพูดของธรรมชาติ แล้วกฎของพระคำนี่ กฎของธรรมชาตินี้ชาวพุทธเรียกว่าพระธรรมโว้ย ไปศึกษาเรื่อง คำว่าพระธรรมของเราดีๆ จะพบ แล้วเรายังมีที่อ้างในพระคัมภีร์ของเรา ธรรมโม หะเวปา ตุระโห. ติปุบเพ. (นาทีที่ 52:58) ธรรมะมีอยู่ก่อนเว้ย นอุปฉา นอุปาติโลเก (นาทีที่ 53:05 – 53:15) มิใช่ธรรมเพิ่งเกิดทีหลังเว้ย พระธรรมมีอยู่ก่อนสิ่งใดหมด พระธรรมคือกฎธรรมชาติ กฎธรรมชาตินั่นแหละ คือคำพูดที่ธรรมชาติมันพูด แต่มันพูดทางภาษาวิญญาณ มันไม่ต้องพูดด้วยปาก กฎธรรมชาติมันพูด คือมันมีความเฉียบขาด บัญญัติอยู่ในโลกนี้ กฎธรรมชาติทั้งหลาย นี่คือ the word the word คือ the light นั่นคือ คือแสงสว่างแห่งความรู้ คือความจริง ธรรมชาติมันพูดความจริงหรือความรู้ แล้วนั่นน่ะคือ the God คือ God คือพระเจ้า ขืนพูดไปอย่างนี้ ไอ้ God มากลายเป็นพระธรรมในพุทธศาสนา ขืนพูดมากมันก็ถูกกลืน มันไม่กล้าพูด เพราะไม่รู้ หรือว่ากลัวจะถูกกลืน ไปที่ไหนก็แสดงไอ้เรื่องนี้ ให้เห็นว่าพวกฝรั่งงมงายไม่รู้เรื่อง ดีที่สุดที่เป็นพุทธศาสนาอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลแล้ว จะมาเที่ยวแสวงหาพุทธศาสนาในเมืองไทย หรือว่าให้ไปสอนกันอีก มันก็เลยสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนที่มาไม้ ที่มาที่นี่ พอโดนเข้าไม้นี้ สนใจไม่ลืม มีคนเยอรมันคนหนึ่ง เป็น Professor แก่แล้วไปสอนคริสเตียนอยู่ที่ญี่ปุ่น แกมาที่นี่ ผมพูดให้ฟัง แกสะดุ้ง ถึงกับสะดุ้งในใจแกหวั่นไหวหมด ครั้งสุดท้ายแกก็ไม่มีทางค้าน ก็ยินดีที่จะรับไอ้วิธีทำสมาธิของเราไปใช้ ไปทำสมาธิในพวกคริสเตียน มีจุดหมายก็คือเข้าเป็นอันเดียวกับ God นี่พอเราอธิบายถึงคำว่า God ในลักษณะอย่างนี้ก็เลยไม่มีทางพูด มันเป็นพุทธบริษัทไปทันที คืนนี้ให้อีกก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ทำไม่ทันคิดไม่ออก ช่วยเขียนให้ชัดๆ หน่อยนะ ผมอ่านหนังสือหวัดๆ ไม่ค่อยได้ ในระยะแรกๆ นี่ เอามาให้ได้ทุกวัน ในระยะแรกๆ สักวันสองวันสามวัน เอาไอ้ความต้องการ ข้อสงสัย มาให้ได้ทุกวัน
สำหรับดอกบัวบาน มันก็ไม่มี คำว่าบานนั่นก็คือพุทธะ ก่อนพ.ศ. ๖๐๐ ลัทธิที่ถือว่าทำรูปพระศาสดาเป็นรูปคน รูป อันนี้ไม่ได้ บาป มันยังเป็นลัทธิที่มีอิทธิพลมาก ก็ยังถือกันแน่นแฟ้น ก่อนพ.ศ. ๕๐๐ก่อนพุทธศาสนาครบ ๖ ศตวรรษนี่ ระหว่างศตวรรษที่ ๕ ที่ ๖ ของพุทธศาสนา ตอนนั้นยังถือกันเคร่งครัด ทั้งอินเดียไม่ยอมทำรูปพระศาสดา คือเขาถือเป็นหลักว่าธรรมะแท้จริง หรือพระพุทธเจ้าแท้จริง แสดงโดยรูปไม่ได้ แสดงด้วยฟอร์มอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ นี่ต้องแสดงด้วยความหมาย คือจะทำรูปคน รูปเหมือนคนอย่างนี้ไม่ได้ มันยิ่งผิดนะ พระพุทธเจ้าตัวจริงจะมีรูปร่างเป็นคนไม่ได้ นั่นมันเปลือก ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม ไอ้เราในที่นี้มันไม่ใช่เปลือกนอก รูปร่างเป็นคน ถ้าไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องตรัส ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา เพราะใครๆ ก็เห็นองค์พระพุทธเจ้าอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านปฏิเสธว่าไม่ใช่เรานะ ต้องเห็นธรรม จึงจะเห็นเรา อันนี้มันเป็นหลักของลัทธิที่ว่า พระศาสดาแท้จริงนั้นแสดงโดยรูปไม่ได้ ต้องแสดงด้วยความหมาย นี่อะไรเป็นความหมาย ก็มีมากอย่าง ถ้าดอกบัวบานนี่เป็น สัญลักษณ์อันหนึ่งที่ใช้มากที่สุด ทำเป็นวงกลมๆ มีดอกบัวบาน อยู่ในลักษณะต่างๆ กัน แต่ขอให้บานก็แล้วกัน ถ้าเป็นสัญลักษณ์การเกิดของพระพุทธเจ้า นั่นแสดงทีเดียวหมด คือแสดงทั้งการเกิดโดยรูปกาย และเกิดโดยนามกาย เกิดโดยการตรัสรู้ ดอกบัวมันบาน และคำว่าบานนั่นน่ะ คือความหมายของคำว่าตรัสรู้ เพราะคำว่าตรัสรู้ คือความหมายคำว่าเกิด เป็นพระพุทธเจ้า การเกิดเป็นพระพุทธเจ้าคือการตรัสรู้ นั้นไอ้ความบานของดอกบัวมันกินความหมดเลย ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า หมายความว่า วิชชาเบิกบานออกมา ที่ใช้แทนการประสูติได้เลย การประสูติจากพระครรภ์มารดาก็ใช้ได้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน ออกมา ออกมาก็แล้วกัน เพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า เราพยายามอธิบายการประสูติของพระพุทธเจ้า คือการตรัสรู้นั่นเอง มันจะได้ไม่ค้านกันกับข้อที่ว่า พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในวันเดียวกัน ซึ่งนี่ถ้าพวกฝรั่งเขาไม่เชื่อ เรามี มีทางอธิบายอย่างนี้ ประสูติคือการเกิดเป็นพระพุทธเจ้า การเกิดเป็นพระพุทธเจ้านั่นคือการตรัสรู้ การตรัสรู้นั่นคือการนิพพานแห่งตัวกู ของกู คือนิพพานแห่งอุปาทาน แห่งกิเลส ท่านมีที่เดียววันเดียวกันได้ เดี๋ยว พุทธบริษัทไทย พวกเราจะถูกถามว่าทำไมพวกมหายานเขาไม่ว่าอย่างนี้ พวกมหายานก็มีพระพุทธเจ้าเกิดวันอื่น เดือนอื่น ตรัสรู้วันอื่น เดือนอื่น ปีอื่นไม่ ไม่ตรงกันล่ะ พวกเถรวาทเมืองไทยเท่านั้นล่ะ พูดแต่วันเดียวกัน หรือพวกที่รับมาโดยต้นตอเดียวกัน เช่นลังกา เช่นอะไรนี่ ถ้าถามว่ามีได้ยังไง เขาไม่เชื่อ แล้วทำไมพวกมหายานจึงว่าอย่างอื่น นี่ถ้าเราจะจน หรือนิ่งไม่ตอบ มันก็ ก็ไม่ได้ มันก็เสียเหลี่ยม นักเลง ถ้าตอบไปแล้วมันตรงกับความ เผอิญมันตรงวันเดียวกันนี่ เขาก็ไม่เชื่อ เขาจะยิ้มเยาะอยู่ในใจ ที่เราก็ตอบโดยการอธิบายอย่างนี้ เข้าใจว่า นั้นเข้าใจว่า ประสูติคือการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะมันเกิดใหม่ทาง ทางวิญญาณ ทางอุปปาติกะ ในการตรัสรู้ ก็คือการ ที่ตรัสรู้นี่เอง ถ้าการปรินิพพานก็คือขณะที่ตรัสรู้นั้นกิเลสนิพพานหมด ตัวฉัน ตัวกู อัสมิมานะมันหมด มันนิพพานหมด ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน จึงมีในขณะเดียวกัน คือวันเดียวกัน เขาก็ว่าอะไรเราไม่ได้ ที่ต้องยอมรับว่าฉลาดกว่าที่จะพูดอย่างตามธรรมดา ซึ่งมันเกิดทางเนื้อหนังเหมือนพวกมหายานพูด นี่มันก็จะได้ ได้แต้ม ได้อะไรขึ้นมา (มีผู้ถาม) ไหน ว่าไง นั่นแหละ ภาษาภาษาลึก กับภาษาตื้น เดี๋ยวนี้เรามาพูดภาษาลึก พูดเรื่องภาษาลึก แต่ด้วยภาษาธรรมดา ว่าเกิดจากท้องแม่ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และนิพพานโดยร่างกายวันเดียวกัน มันก็ เป็นสิ่งที่บังเอิญมากเกินไปจนเขาไม่เชื่อ และพุทธศาสนาด้วยกันคือพวกมหายาน เขาไม่ ไม่มีอย่างนี้นะ เขาไม่มีเรื่องว่าเกิด ตรัสรู้ ปรินิพพานวันเดียวกัน นี้มันเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องอธิบาย ทำไมเราจึงพูดอย่างนี้ ผมถึงว่าทางออกมันมีอย่างนี้ (มีผู้ถาม) ก็ได้ นั่นนะ อย่างนั้นก็ได้ แต่พวกฝรั่งไม่เชื่อแน่ เพราะมันเป็น เป็น เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์นั้นมันใช้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์สำหรับสมัยหนึ่ง พอมาถึงสมัยนี้ต้องอธิบายใหม่หมด จะเกิดมาพูดได้ เกิดมาเดินได้ มันต้องอธิบายกันใหม่หมดเลย ถ้าเราอธิบายได้ เรื่องว่าเกิดมาถึงกับเดินได้เจ็ดก้าว แล้วพูดได้นี่ก็ เราอธิบายอย่างอื่นได้หมด ถ้าไม่อธิบาย บอกว่ามันเป็นบุคคลพิเศษ หยุดพูดกันที ก็ได้เหมือนกัน เขาก็ว่าอะไรเราไม่ได้ แต่แล้วในใจเขาจะไม่ยอมรับ การจะไปสั่งสอนเขาก็ไม่ประสบผล นี่มีปัญหาอย่างนี้ เมื่อจะไปเผชิญหน้ากับพวกฝรั่งที่มัน มันเป็นคนเจ้าปัญญา ในทาง intellect มันไม่มีปัญญาแบบ wisdom แบบจริงๆ จังๆ มันมีปัญญา intellect กรอกไปกรอกมาตามเหตุผล (สั่งงานเป็นภาษาใต้ นาทีที่ 1.05.57-1.06.40)
ในการไปเผยแผ่กับพวกที่ไม่ใช่ฝรั่งนี่คงไม่ยากนะ ไปเผยแผ่กับพวกฝรั่งที่คงแก่เรียนนี่ยาก มันต้องมีอะไรทัน หรือเหนือ เหนือกว่า บัวบานคืออะไรบาน คือ คือวิญญาณมันบาน จิตใจมันบาน อวิชชามันถูกขจัดไป เพราะความบานของไอ้แสงสว่าง นี้เมื่อการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ตลอดถึงการปรินิพพานมันอันเดียวกัน มันก็เอาไอ้การเบิกบานของปัญญา ของวิชชานี่เป็นหลัก นั้นสัญลักษณ์ดอกบัวบานจึงศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะมันเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า แล้วก็สิ้นไปแห่งความมืด แล้วก็สิ้นไปแห่งความทุกข์ นั้นดอกบัวบานนี้เราจะให้แสดงสันติคุณ บริสุทธิคุณ ปัญญาคุณ อะไรนี่ ได้หมดเลย ก็ดอกบัวบานมันสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ก็ได้ บริสุทธิคุณ ปัญญาคุณก็ได้ เพราะไอ้ความบานมันไม่หุบ มันรู้ ไอ้ความเบิกบานอย่างนี้มันเป็นความสุข ไม่ใช่ความทุกข์ นั้นจึงทำมากกว่าไอ้รูปภาพอย่างอื่น เต็มไปหมด ให้มันสะดุดตาไปหมด แม้แต่ลายรั้ว ที่เขาทำเป็นรั้วล้อมรอบนี่ มีเสารั้ว มีไอ้อันขวางนี่ ไอ้ตรงนี้ ใส่ดอกบัวเข้าไปนะ (มีผู้ถาม) ถ้าทำไว้ใต้พระพุทธรูป คือฐานชุกชีต้องดูให้ดี บางทีมันเป็นธรรมจักร มัน ไอ้ลวดลายมันคล้ายดอกบัว จำเป็น หรือว่าศิลปินบางคนมันชอบอย่างนั้น ดอกบัวที่อยู่ใต้พระพุทธรูปมีความหมายเป็นธรรมจักร หรือรูปธรรมจักรนั่นเอง แต่เขาไปทำมัน มันเป็นดอกบัวไป เรื่องนี้เป็นเรื่องทางโบราณคดี ต้องศึกษาในแง่โบราณคดี ของลัทธิไชนะ (นาทีที่ 70:06) ก็ดูเหมือนมีเหมือนกัน ทำดอกบัวไว้ที่ใต้ฐาน ที่ตรงฐานพระพุทธรูป ใต้พระพุทธรูป ของเรานิยมทำเป็นธรรมจักร นี้ธรรมจักรที่เขียนอย่างสัปเพร่าอย่าง เอ่อ ดอกบัวที่เขียนอย่างสัปเพร่าๆ คล้ายธรรมจักรก็ได้ คือธรรมจักรที่อยากให้มันสวยพิเศษไป มันมาคล้ายดอกบัวก็ได้ ดอกบัวบาน
พุทธะแปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แสดงด้วยดอกบัวบาน ความหมายเป็นพระพุทธเจ้า นี่พยายามศึกษาไอ้รูปหินสลักยุคแรกก่อนมีพระพุทธรูปทั่วๆ ไป แล้วดูให้ละเอียดๆ ทีก็ทำไว้นิดหนึ่งบ้าง อะไรบ้าง ไอ้ภาพที่มาติดทีหลังนี่ ที่ตึกหลังนี้จะมีแต่ก่อนมีพระพุทธรูปทั้งนั้น คือก่อนพ.ศ. ๖๐๐ ส่วนที่มีพระพุทธรูปจะรวมทั้งหมดไว้ที่ด้านหลังที่กำลังสร้างใหม่นี่ แปลว่าหลังนี้เป็นธรรมาทิสถาน หลังโน่นจะเป็นปุคลาทิสถาน รูปอะไรก็ตาม ความว่าง วงกลม เป็นสัญลักษณ์ของนิพพาน ดอกบัวที่บานเต็มที่เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า แล้วความคิดนี้อาจจะกล่าวถึงอียิปต์ คือก่อนอินเดีย ที่เอาดอกบัวบานมาเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งชนิดนี้ เพราะผมไปเห็นไอ้รูปดอกบัวในอียิปต์ โบราณสถาน โบราณวัตถุอียิปต์ มันเหมือนกันดิกก็มี กับในอินเดีย ซึ่งมันเก่ากว่ากันตั้งอีกเท่าตัว ไอ้ภาพสลักอียิปต์ที่มีบัวมีอะไรที่ว่านี้ มัน มันตั้งห้าพันปี สี่พันกว่าปี แล้วพวกอินเดียเท่าที่เหลืออยู่เป็นหลักฐานจริงๆ ในเวลานี้มันพวกสองพันปีเศษ สองพันหนึ่งร้อยปี หรือสองพันปี ของอียิปต์มันกระโดดไปถึงตั้งสี่พันกว่าปี มันก็มีรูปที่เหมือนกันดิก เหมือนกับดอกบัวรุ่นสมัยพาราหุต(นาทีที่1.13.11) ในอินเดีย รูปที่เรานั่งขัดสมาธิเพชร เหมือนที่เรานั่งขัดสมาธิเพชรกันเวลานี้ นั่งสมาธิขัดสมาธิเพชร วัชราสนะ พวกอียิปต์มันก็มี ตั้งสี่พันปีมาแล้ว เหมือนกันดิกเลย ฝรั่งมันสันนิษฐานว่าเป็นรูปพระ เป็นรูปพระในศาสนาอียิปต์ นั่งขัดสมาธิเพชรมือทำเหมือนกันอย่างนี้ มือซ้อน เป็นรูปนักบวช หรือมิฉะนั้นก็ต้องประเภทผู้พิพากษา ตุลาการ พวกนี้ อียิปต์มันเก่ากว่าใครทั้งนั้น มันเป็นผู้ ผู้ให้ ผู้แจก อินเดียได้รับจากเปอร์เชีย เปอร์เชียได้รับจากอียิปต์ อะไรเรื่อยไปทางนั้น แม้แต่ต้นตาลโตนดบ้านเรา มาจากอัฟริกา อย่าคิดว่ามันบ้านเรา ตามหลักวิชาทางพฤกษศาสตร์มันมีไม่ได้ ในโลกภาคเอเชียอาคเนย์มีไม่ได้ นี่เด็กๆ หรือเราเองที่อ้าว,นี่มันบ้านเรามีอยู่บ้านเรา แล้วไปมีที่อินเดียโว้ย ที่จริงพวกอินเดียมาให้เรา พวกอินเดียมาจากอัฟริกา แล้วพวกอินเดียมาให้เราอีกทีหนึ่ง ตั้งแต่เมื่ออินเดียเขามากัน สองพันกว่าปีแล้ว เชื่อว่าสองพันปีเป็นอย่างน้อยที่อินเดียมา แล้วเอาอะไรมาให้ เช่น ต้นตาล เป็นต้น มีมากอย่าง เช่นมะขาม เช่นไอ้นี้ก็เข้าใจว่าของอินเดียมาให้ ไม่ใช่พื้นนี้ของเรา ไม่ใช่ทุเรียน ถ้าทุเรียนน่ะพื้นนี้ พื้นแหลมอินโดจีน แหลมอะไร แหลมทอง เพราะฉะนั้นไอ้อะไรหลายๆ อย่าง อย่าเข้าใจว่าของอินเดีย มันอาจจะมาจากอียิปต์ตั้งนมนานแล้วก็ได้ แลกเปลี่ยนกันอยู่ ถ้าไม่รู้ มัน มันจะกลายเป็นย้อนกลับ พอไปถึงอินเดีย อ้าวมีต้นตาล เอาไปจากเมืองไทยมั้ง พอไปดูอัฟริกา อ้าวก็มีต้นตาลเหมือนกัน เอาไปจากอินเดียมั้ง มันจะย้อนกลับอย่างนี้ ก็ต้องเอาวิชาพฤกษศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักว่า ไอ้ต้นผลไม้ชนิดนี้มันเกิดได้ที่ไหน แม้แต่ภาคใต้กับภาคเหนือนี่ มันก็มีต้นไม้ไม่เหมือนกัน ที่ภาคใต้นี้มี ที่ฝั่งเหนือไม่มี ที่ภาคเหนือมี ที่ภาคใต้นี้ไม่มี ที่นี่มีไม้เคี่ยม (นาทีที่ 1:16:42) ภาคเหนือไม่มี ทางโน้นมีไม้เต็ง ไม้รัง ที่นี่ก็ไม่มีเหมือนกัน ไม่มีเด็ดขาด ไม้เล็กๆ ไม้ดอก ไม้เล็กๆ ตามพื้นดินนี่ก็เหมือนกัน ไม่เหมือนกัน ผมไปทางเชียงใหม่เหนือขึ้นไป ผมพยายามจะดูไอ้ต้นเข็มป่านี่ ไม่ค่อยเคยเห็น สำหรับภาคใต้ ที่ไหนก็มีเข็มป่า ดินฟ้าอากาศมันต่างกัน และการปรุงแต่งของธรรมชาติมันก็ไม่เหมือนกัน ไอ้ของที่เกิดอยู่มันก็ต่างกัน ไอ้ที่มันฝืนกัน มันอยู่ไม่ได้ มันตายไปเสียก่อนแล้ว หรือมันไม่ได้เกิดขึ้น หรือครึ้งหนึ่งมันเกิดขึ้นแล้วมันทนไม่ได้ มันก็ตายไปแล้ว มันเหลืออยู่ที่มันตรงกันกับธรรมชาติของโลกส่วนหนึ่งๆ
นั้นควรจะถือว่าแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าศาสนาก็ต้องให้มันต่าง ต่างๆ กัน เพื่อเหมาะสมกับมนุษย์ในถิ่นนั้น หรือยุคนั้น แม้ว่าไอ้หลักหัวใจมันเหมือนกัน แต่วิธีสอนต้องต่างกัน ทำให้คนไม่เห็นแก่ตัวด้วยกัน แต่วิธีสอนต้องต่างกัน เอาความเชื่อเป็นหลักบ้าง เอาปัญญาเป็นหลักบ้าง แล้วก็ไม่เห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น (มีผู้ถาม) นี่มันก็รุ่นหลังแหละ มารุ่นหลังเมื่อเกิดความจำเป็นที่จะต้องเผยแผ่ศาสนาในหมู่มิจฉาทิฐิ ถ้ามุ่งถึงทีแรกทีเดียว มันเกิดขึ้นท่ามกลางความไม่ยินยอมของคนที่ถือลัทธิอะไรอยู่ก่อน นี่ถ้าไม่ถือดาบมันก็ต้องตายอย่างพระเยซู ถ้ามันถือดาบมันก็ไม่ตายอย่างพระโมฮัมหมัด อยู่มาจนกระทั่งหลายปี สอนศาสนาได้หลายปี มันทะลุกลางปล้องขึ้นมา เขาเชื่อกันอยู่อย่างนั้น ตัวเองมาสอนอย่างนี้ มันก็เป็น เป็นศัตรูกันทั้งบ้านทั้งเมือง นี้พระเยซูใช้ ใช้มือเปล่า ใช้ธรรมะ มันก็ถูกฆ่าตายไป พระโมฮัมหมัดใช้กองทัพเป็นเครื่องมือต่อต้าน ก็อยู่ได้นาน แล้วในที่สุดเขาก็เชื่อกันว่าถูกฆ่าด้วยการวางยาพิษ นั้นพระศาสดาในยุคแรกๆ ต้องยอมให้ ก็ต้องเอาชีวิตเข้าแลกเข้าเสี่ยง ทีนี้มาถึงพระพุทธเจ้าท่านไม่ใช้วิธีนั้น ใช้วิธีที่เรียกว่า ปัญญา ปัญญาที่เหนือกว่า แล้วมันผิดกัน ในประเทศอาหรับ ประเทศอะไรทำนองนั้น ไอ้คนมันโง่ มันคือคนโง่ทุกคน แล้วไปสอนสิ่งที่ตรงกันข้าม ส่วนพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นท่ามกลางความฉลาด คือคนมันฉลาดทุกคน มันฟังถูก แล้วมันก็ค่อยเลื่อนขึ้นไปทีละนิด ละนิด ละนิด ละนิด เป็นชั้นถูก ชั้นสุดยอด ก็ไม่ต้องถูกฆ่า เพราะตอนเช้าๆ ก่อนไปบิณฑบาต พระพุทธเจ้าแวะเข้าไปคุยกับพวกนี้ได้สบาย พวกเดียรถีย์อื่น พวกลัทธิอื่น นั้นจึงไม่ถูกฆ่า ในดงแห่งคนมีปัญญา แล้วก็พูดกันด้วยเรื่องของปัญญา เล่าจื้อ ขงจื้อไม่ถูกฆ่า โสเครติส ไอ้พวกนั้นถูกฆ่า ด้วยการสอนลัทธิใหม่ จนเกือบจะพูดได้ว่า พระศาสดาฝ่ายตะวันออกนี้ไม่ถูกฆ่า เพราะมันสอนคนมีปัญญาด้วยกัน ไอ้ฝ่ายตะวันตกพระเยซู หรือพระโมฮัมหมัดนี่เราแบ่งเป็นตะวันตกไปเสีย ทั้งๆ ที่อยู่ฝ่ายตะวันออก กระทั่งโสเครติสนี่มันถูกฆ่า เพราะว่ามัน ในหมู่คนที่มันไม่อาจจะเข้าใจ ทีนี้เมื่อพระเจ้าแผ่นดินไม่เห็นด้วย ก็มีหวังที่จะถูกฆ่า แต่ถ้าเราถือว่าดินแดนปาเลสไตน์ อาหรับเป็นตะวันออก ก็ล้วนแต่เกิดฝ่ายตะวันออกทั้งนั้น พระศาสดาทั้งหลาย (สั่งเป็นภาษาใต้)
เอาทีนี้มาถึงพวกเราสมัยนี้ ที่ว่าจะไปเผยแผ่พุทธศาสนาในเมืองฝรั่งนี่มันคนละปัญหา ฝรั่งมันไม่โง่แต่มันเหมือนกับโง่ มันไม่ใช่โง่อย่างไอ้พวกอาหรับ พวกยิวสมัยโน้น แต่มันก็เหมือนกันโง่น่ะ ที่มันหลงวัตถุนิยม หลงความเอร็ดอร่อย สนุกสนาน มันจะยิ่งกว่าโง่ ฝรั่งทั่วไปจะสอนยากที่สุด โดยเฉพาะฝรั่งกรรมกร ฝรั่งธรรมดานี่จะสอน สอนไม่ไหว ก็เหลือแต่ฝรั่งนักปราชญ์ นี่ถ้าเราไม่มีอะไรเหนือกว่ามันก็สอนไม่ลง นั้นต้องรู้อะไรที่มันจะแสดงให้เห็นว่าเหนือกว่าไว้หลายๆ อย่าง ถึงจะไปเอากันลง
(นาทีที่ 1:24:12-1:25:19 ตอบคำถามและสั่งงานเป็นภาษาใต้)
ผมก็คิดว่าจะพูดเรื่องอย่างนี้ล่ะ นอกจากไอ้เรื่องสมาธิแล้ว จะได้พูดเรื่องอย่างนี้ สำหรับผู้ที่จะไปต่างประเทศ ท่านมหาพยายามอธิบายดอกบัวบาน ว่าบริสุทธิคุณ ปัญญาคุณ สันติคุณ ครบแล้ว ครบหมด จะเป็นสัญลักษณ์ของการประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานได้เลย ทั้งสามอย่าง มันควรจะมีอยู่ในหลักสูตร ที่เรียนในโรงเรียน ไอ้เรื่องนี้ ในแง่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมของมนุษย์ เรื่องอย่างนี้ สอนกันให้ชัด ให้ชัด ให้เห็นชัด ให้เป็นที่ยอมรับทั่วไป ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ต้องมีไอ้เรื่องอย่างนี้ มันถึงจะสมรูปสมร่าง ไม่มีเรื่องอย่างอื่นเกินไป มากเกินไป ปรัชญาฝรั่งนั้นมันใช้อะไรไม่ได้ จะไปโง่เหมือนฝรั่งกัน (มีผู้ถาม) ไม่ค่อยได้อ่าน แต่รู้สึกว่ามัน มันยังไงก็ไม่รู้ ผมไม่ได้อ่าน พูดถึง คือ มันไม่สนใจจะอ่าน (มีผู้ถาม) มันก็ดี ถ้ามีหลักความมุ่งหมายอย่างนี้ก็ดี (มีผู้ถาม) มันมีปัญหาที่ยุ่งยากต่อไปอีก ว่าอริยสัจนี่สอนอย่างไรเป็นปรัชญา สอนอย่างไรเป็นวิทยาศาสตร์ สอนอย่างไรเป็นศาสนา ถ้าไปมัวสอนแบบปรัชญามันก็ไม่ได้ปฏิบัติกันแหละ มันไปเรื่อยแหละ มันไปเรื่อยไปทางที่ถามได้เรื่อย สอนอย่างวิทยาศาสตร์นี่ใกล้เข้ามา เอาหลัก เอาหลักการอย่างวิทยาศาสตร์มาใช้เรื่องทางจิตใจ พอสอนทางศาสนามันก็ไม่มีพูดไอ้ยุ่งยากลำบากมากมายนัก มันต้องเริ่มขึ้นด้วยทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเกิดตัณหาไม่ได้ มันก็คือนิโรธ คืออะไรอยู่ในตัวเสร็จ บางเรื่องก็มาโดยมรรค สรุปแล้วคือ ระวังทั้งหมด ทางกาย ทางหู ทางอะไร ไม่เกิดปรุงเป็นกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ หรือตัณหาอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา เท่านั้นแหละมันมีเท่านั้น อริยสัจในแง่ของศาสนา นั่นน่ะคือ มรรค ๘ โดยแท้ กิเลสเกิดไม่ได้ ความทุกข์เกิดไม่ได้ เรื่องก็จบ อริยสัจในฐานะเป็นศาสนาคือการปฏิบัติ นี่พอเป็นปรัชญา มันทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนั้น แกว่งไปแกว่งมา ที่เขาสอนกันในโรงเรียนมันรูปปรัชญา ตามหนังสือวิสุทธิมรรค โดยตัวหนังสือ โดยอรรถะ โดยพยัญชนะ โดยนั่น โดยนี่มากมาย มันรูปปรัชญา ถ้าพูดกันเรื่องนี้เราต้องถามกันก่อน คือทำความตกลงกันก่อนว่าคุณจะให้พูดแง่ไหน วันนี้เราจะพูดอริยสัจกันในแง่ไหน ในฐานะที่เป็นปรัชญา หรือในฐานะที่เป็นศาสนา เป็นหลักการปฏิบัติของพุทธบริษัท
ไอ้เรื่องปฏิจสมุปปบาท ก็คือเรื่องอริยสัจ สมุทวาร คือเรื่อง สมุทุกข์ กับสมุทัย เรื่องนิโรธวาร คือทุกข์กับนิโรธ ไม่ต้องแยกออกไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันยุ่ง และยิ่งเข้าใจไม่ได้ ถ้าพูดกันในแง่ปรัชญาก็เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง สูงสุด มากมาย จนกับว่าเป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด ปรมัตถ์ที่สุดก็คือ ปฏิจสมุปปบาท พอเป็นเรื่องศาสนา เป็นเรื่องหลักปฏิบัติ ก็เหลือนิดเดียว คือ ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ให้เผลอจนเกิดกิเลสขึ้นมาในจิต เท่านั้นน่ะ ไม่มีตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ เพราะมีสติ คือวิชชา เป็นหลัก นั้นนาม รูป กาย ใจ ผัสสะ อายตนะ มันไม่เป็นไปเพื่อเกิดกิเลส มันอยู่ของมันตามเดิม เรื่องนี้ดูไม่ค่อยสอนกันในโรงเรียน ว่าไอ้ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ มันอยู่ของมันอย่างหนึ่ง ตามธรรมชาติ ไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่ ไม่เพื่อกิเลส และก็ไม่เพื่ออะไรด้วย แต่พออวิชชาเข้ามาทำหน้าที่เท่านั้นล่ะ ไอ้ทั้งหมดนี่ก็กลายเป็นเพื่อกิเลส นั่นก็คือ ปฏิจสมุปปบาท วิชชา สังขาร วิญญาณ นาม รูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา จะกลายเป็นไปพร้อมเพื่อกิเลส และเกิดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ เป็นทุกข์ ถ้าวิชชาอยู่ สติสัมปชัญญะอยู่ อวิชชาเข้ามาไม่จุ ในเมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่นแล้วมันก็ มันก็ไม่ทำให้ร่างกายนี้เป็นไปเพื่อเกิดกิเลส แล้วมันจึงเป็น ปฏิจสมุปปบาทฝ่ายดับอยู่ ในกรณีที่ตาเห็นรูปเป็นต้นในคราวนั้น วิชชาไม่มี สังขารไม่มี วิญญาณไม่มี นามรูปไม่มี อายตนะไม่มี ผัสสะไม่มี เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติไม่มี ในกรณีที่เห็นรูปคราวนี้ แต่ถ้าคราวอื่นมันเป็นอวิชชาเข้ามาทำ มันก็มีพร้อมไปเป็นมี มีทุกข์ มันหมายความว่าเบญจขันธ์ ไอ้ร่างกายนี้มันเปลี่ยนได้ ตามแต่ว่าอวิชชาเข้ามายึดครอง หรือวิชชาเข้ามายึดครองในขณะนั้น ถ้าสอนอย่างนี้ ปฏิจสมุปปบาท เป็นหลักปฏิบัติ เป็นตัวศาสนา ถ้าสอนอย่างในคัมภีร์วิสุทธิมรรค หรือที่สอนในนักธรรมโทหลักสูตรนั้นเป็นปรัชญา แล้วไม่มีประโยชน์อะไร แล้วผมถามจริงว่าเข้าใจหรือที่อธิบายไว้ใน ธรรมวิภาคเฉก ๒ (นาทีที่ 96:46) นักเรียนนี่เข้าใจหรือ เอาซิผมจะไล่ ถ้าเข้าใจแล้วผมจะไล่ คือมันสอนไปในรูปปรัชญาอะไรก็ไม่รู้ มันบังเอิญ สมเด็จวชิรญาณวงศ์ ที่วัดบวรท่านพูดดีนะ หนังสือเล่มเล็กๆ ที่พิมพ์แจกมากันเรื่องอิทธิบาท ท่านเชื่อมันอธิบายผิดมาตั้งพันปีนะว่างั้น
ทำหน้าที่เป็นสังขาร ปรุงแต่งกาย วาจา อะไรทุกอย่างล่ะ กระทั่งนาม รูป อายตนะ ผัสสะ อันนั้นน่ะ ให้มันพร้อมที่จะเกิดกิเลส คือตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ นั้นตามความรู้สึกของผม ปฏิจสมุปปบาท วันหนึ่ง วันหนึ่งก็ไม่รู้ว่ากี่วง หลายวง หลายสิบวง สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ท่านว่า ชาติหนึ่ง ปฏิจสมุปปบาท วิสุทธิมรรค หรือคัมภีร์อื่นเขาเอาตั้งสามชาติ ไว้ชาติหลังมาตอนหนึ่ง ไว้ตรงกลางชาติปัจจุบันตอนหนึ่ง และชาติข้างหน้าที่ยังมาถึงอีกตอนหนึ่ง สมเด็จพระวชิรญาณท่านเห็นว่าอันนี้มันผิดแน่ แล้วผิดมาตั้งพันปีแล้ว หมายความว่าคือวิสุทธิมรรค มันเริ่มเมื่อพันกว่าปีมา แต่ก่อนนั้นมันก็ไม่มี ที่ในพระไตรปิฎกไม่ได้อธิบายอย่างนี้หรอกไปดูเถอะ ไปดูในพระไตรปิฎกเถอะจะเป็นอย่างผมว่า ที่เริ่มอธิบายปฏิจสมุปปบาท โดยเฉพาะมันก็เริ่มสมัยวิสุทธิมรรคนี่ มันก็พ.ศ. ๙๐๐ เศษ ก็ถือว่าพันหนึ่ง นี่ก็อธิบายผิดมาตั้ง ๑,๕๐๐ ปี นี่ไม่ใช่เราจะเอาชนะกันว่าใครจะถูกจะผิด แต่พูดไปตามที่เห็น นั้นปฏิจสมุปปบาท แบบนั้นไม่ ไม่ apply ไม่ practicle ไม่ apply คือเราทำอะไรมันไม่ได้ ก็มันอยู่ข้างหลังเราควบคุมมันถึงหรือ มันอยู่ชาติก่อนไปควบคุมมันได้หรือ จะไปควบคุมอวิชชา สังขาร วิญญาณ ได้อย่างไรล่ะ และผลอยู่ชาติหน้าอีก ก็ยิ่งควบคุมกันไม่ได้ มันต้องควบคุมได้ทุกๆ ขณะที่ตาเห็น หูได้ฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ต้องจัดการทันทีที่ตรงนั้น ให้เป็น ปฏิจสมุปปบาท ฝ่ายนิโรธวาร หรือฝ่ายสมุทยวาร ถ้าควบคุมได้เป็นฝ่ายนิโรธวาร ควบคุมไม่ได้เป็นฝ่ายสมุทยวาร เกิดทุกข์ แม้แต่ความรู้ เรื่อง ปฏิจสมุปปบาท ก็ต้องปรับปรุงเสียใหม่ ถ้าจะไป ไปสอนฝรั่ง ไอ้ที่นั้นไม่ได้แน่ อย่างที่สอนในวิสุทธิมรรคแล้วกระจายออกไปเป็น รับอย่างนั้นกันหมด แม้แต่ฝรั่งเองมันก็พูดอย่างนั้น สอนอย่างนั้น เพราะมันไม่มี ไม่มีทางจะพูดอย่างอื่น เช่น ญาณดิลก เยอรมัน ที่ไอร์แลนด์ เฮอร์มิตเตจ (นาทีที่ 1:40:24) แกก็อธิบายตามนั้น อธิบายได้ดีมาก อธิบายตามนั้นน่ะ มันก็ผิด พันกว่าปีมาแล้ว ผมไม่เอาอย่างนั้นน่ะ ผมก็ถือ dictionary เล่มนั้น ถือคำอธิบายของญาณดิลกอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เฉพาะเรื่องนี้กับบางเรื่องผมขว้างทิ้งเลย เรื่อง ปฏิจสมุปปบาท โดยเฉพาะนี่ ไม่เอาอย่างนั้น (มีผู้ถาม) นั่นน่ะชาติที่ล่วงมา ชาติทางเนื้อหนัง