แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลายในการบรรยายครั้งที่ ๑๓ เป็นครั้งสุดท้ายนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่าทางรอดของสังคมหรือจะเรียกว่าความรอดของสังคมก็ได้เหมือนกัน เนื่องจากการบรรยายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เผอิญเป็นครั้งที่ ๑๓ ก็อยากจะพูดถึงเรื่องเลข ๑๓ สักหน่อย เพื่อเป็นตัวอย่างอันแรกของเรื่องรอดหรือไม่รอด ในพุทธศาสนาคำว่าความรอดนี้ก็คือคำว่า วิมุตติ ซึ่ง อัน อันเป็นคำซึ่งเด็กๆสมัยนี้ชอบล้อกันนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียน นักศึกษาในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยได้ยินคำอย่างนี้แล้วก็มักจะล้อ ก็เพราะไม่รู้ว่าอะไร วิมุตติ คือความรอดออกไปได้ หลุดพ้นออกไปได้ ซึ่งทุกคนก็ต้องการ ตัวเองก็ต้องการ สังคมก็ต้องการ แต่ว่ามันเป็นความรอดทางจิตใจ ความรอดทางวิญญาณ ไม่คอยมีใครรู้จัก เช่นว่าโง่ กลัวเลข ๑๓ เป็นต้น ก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่งที่ยกมาให้ดู เป็นตัวอย่างอันแรกของคำว่า ไม่รอด ไม่หลุดพ้น มันโง่ กลัวสิ่งที่ไม่ต้องกลัว สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ลำบาก ไอ้ความที่มันทำให้เราลำบาก แล้วเราลำบากอยู่นั้นแหละเขาเรียกว่าไม่หลุดพ้นไปได้ และไอ้ความยากลำบากหรือผูกมัดตัวเองเช่นนี้ ก็คนนั่นแหละมันทำขึ้น ด้วยความโง่ เพราะฉะนั้นขอให้รู้ไว้เถิดว่าสิ่งต่างๆที่มันไม่เป็นอิสระเป็นการทำให้ลำบากหรือผูกพันอย่างนี้ คนมันสร้างขึ้นมาเอง พระเจ้าไม่ได้สร้างให้ ความโง่ของคนมันสร้างขึ้นมาเอง เช่นตัวเลข ๑๓ อยู่เดือดร้อนทำอะไรก็จะตรงกับเลข ๑๓ อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็ไม่กล้าทำ ทำด้วยความขลาด ความกลัว ก่อนนี้มันก็ไม่มี เดี๋ยวนี้คนโง่สร้างขึ้นมา มันก็เลยมี มีขึ้นมาสำหรับให้ขีดเกะกะหรือว่ารัดรึงจิตใจของคนอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อก่อนนี้ในเมืองไทยก็ไม่มีไอ้ปัญหาชนิดนี้ ปัญหาเลข ๑๓ โดยเฉพาะนี้ ก็เพิ่งมีเมื่อไปตามก้นพวกฝรั่ง เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยเห็นมีอะไร เกี่ยวกับเลข ๑๓ เพราะว่าเรามันก็ฉลาดขึ้นบ้าง ไสยศาสตร์ทำนองนี้ก็เป็นความโง่เหมือนๆ กันหมด เช่น เลข ๑๓ เกี่ยวกับวันอย่างนี้ ก็ทำให้วันขาดไปหลายวัน ลองสมมติว่าไม่กล้าทำอะไรในวันที่ ๑๓ มนุษย์ก็จะขาดเวลาไปสัก ๑๒ วันต่อ ๑ ปี เพราะว่าปีหนี่งก็มีวันที่ ๑๓ ๑๒ หน หรือสมมติว่าวันนี้เรากลัวเลข ๑๓ เราก็ไม่บรรยาย แล้วมันก็เลิกกัน มันก็มีเลข ๑๔ ไม่ได้ นี้ตัวอย่างของความถูกผูกมัดทางวิญญาณ ไม่รอดออกไปได้ ไม่เป็นอิสระ ถ้าไม่วิมุตติอะไร ก็ไม่เป็นอิสระทางบุคคลก็ดี สังคมก็ดี หรือทั้งโลกก็ดี ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าวิมุตติแล้วมันก็ไม่มีความรอดหรือความเป็นอิสระ แล้วก็จงรู้ว่าไอ้เรื่องทางจิตทางวิญญาณสำคัญกว่าเรื่องทางกาย มันแก้ปัญหาได้ เรื่องทางกายนั้นมันทำกันได้ง่าย ใครจะจับใครมาฆ่าแกง หรือว่าถูกใส่ความ ทำไปด้วยความสำคัญผิดนี้ ในทางจิตใจ ใครจะจับเราไปไม่ได้ ถ้าเรามีปัญญา มีวิชา มีวิมุตติ
อาตมามีอายุ ๖๖ ปีแล้ว ก็พูดเป็นแต่เรื่องของคนแก่ คนที่เรียนมาอย่างนี้ พูดจาสมัยใหม่อย่างฝรั่งก็พูดไม่ได้ ฉะนั้นพูดเรื่องเกี่ยวกับสังคมวิทยาหรือไอ้สังคมศาสตร์อะไรก็ตาม มันพูดได้แต่ตามแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ฉะนั้นจึงถือว่าวิมุตตินั่นน่ะ ภาษากำพืดในวัด นั่นแหละคือวิญญาณแห่งประชาธิปไตยที่ถูกต้องและแท้จริง จะพูดกันทางวัตถุ ร่างกาย เนื้อหนัง มันก็ต้องวิมุตติ คือไม่มีอะไรมาทำให้เสียความเป็นอิสระ ถ้าพูดทางจิตใจ มันก็ยิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ว่าต้องมีความเป็นอิสระ เดี๋ยวนี้เราก็มันมีแต่ความอิสระกันแต่สมมติในระบอบประชาธิปไตย จิตใจของคนเหล่านั้นยังไม่เป็นอิสระ โดยเฉพาะไม่เป็นอิสระจากความโง่ ดังนั้นแหละจะต้องดูให้เลยลงไปถึงอะไรเป็นต้นตอของความเป็นอิสระ ความรอด นี้จึงเป็นเหตุให้ต้องพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าวิมุตติในพุทธศาสนา ตามวิธีของพุทธศาสนา แล้วมันก็ไปตรงกันหมด ไม่ว่าวิมุตติชนิดไหน สังคมไหน เดี๋ยวนี้ก็พูดกันถึงความมีอิสระ แต่ว่าไม่รู้ว่าอิสระกันตรงไหน อิสระเท่าไหร่ พูดว่า Liberation บ้าง พูดว่า Freedom กระทั่งคำสูงสุด Emancipation Emancipation อิสระทางวิญญาณ เป็นคำศาสนาใช้ ตรงกับคำว่าวิมุตติในพุทธศาสนา ส่วน Liberation Freedom นี้เป็นเรื่องของเด็ก ๆ ก็ได้หรือเป็นเรื่องทางร่างกาย ไม่ถูกกักขัง ไม่ถูกอะไร แต่ที่แท้มันควรเล็งถึงจิตใจ ถึงร่างกายจะไม่ถูกกักขัง แต่จิตใจถูกกักขังด้วยความโง่นั่นคือมันไม่มีอิสระ ไม่มีเสรีภาพ ไม่ว่าส่วนบุคคลหรือว่าส่วนสังคม ถ้าความหลุดพ้นทางจิตใจไม่มี แล้วไม่มีไอ้ความหลุดพ้น
ทีนี้เราก็ควรดูคำว่าหลุดพ้นนี้ให้มันละเอียดสักหน่อย ก็จะเป็นประโยชน์ถึงที่สุดในเรื่องของมนุษย์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า พรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นอานิสงส์ หมายความพุทธศาสนาทั้งหมดนี้ มีผลสุดท้ายที่จึงพึงหวังก็คือวิมุตติ ความหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นทางจิตใจ หลุดพ้นจากกิเลสแล้ว ก็ไม่มีใครมาจับตัวได้ มันก็เป็นการหลุดพ้นทางกายไปด้วย แม้ว่ากายจะถูกฆ่า ถูกแกงถูกอะไรก็ตาม มันทำให้รู้สึกว่าอย่างนั้นไม่ได้ เพราะจิตใจมันหลุดพ้น ที่เป็นสิ่งที่เป็น ทำได้ง่าย ทำได้สะดวกกว่า ที่จะไม่ให้ร่างกายถูกระทบกระทั่งอะไรเสียเลย นี่ถ้าพูดกันว่าถือหลักของพระพุทธเจ้าแล้วก็ต้องพูดกันไปตามหลักของพระพุทธเจ้า ชุดหนึ่ง เหมือนกับที่ได้พูดมาแล้วเรื่อยๆ ก็ เอาไปเปรียบเทียบกันดูกับชุดอื่น แขนงอื่น แต่อาตมาขอท้าว่าถ้ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว มันไม่ทิ้งหลักของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าเรื่องอะไรหมด นี่เพราะพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูหมายความว่าอย่างนี้
สำหรับวิมุตตินี้ ในพระพุทธศาสนาก็แปลว่าความหลุดพ้นด้วยประการทั้งปวง รวมทั้งทางกายและก็ทางวิญญาณ ไอ้สิ่งผูกพันจิตใจนั้นเรียกว่าสังโยชน์ คงเป็นคำแปลกอีกตามเคย สัง ก็แปลว่า ครบถ้วนหรือพร้อม โยชน์หรือโยชะนะนี่ก็แปลว่าผูกพัน สังโยชนะ เรียกว่าสังโยชน์ นี่ ญ ผู้หญิงใช่ไหม นี้ถ้าเป็นสัญโยชน์ ถ้าเขียนเป็นสังโยชน์ก็ให้ผัดงอ แต่ที่ถูกต้องเขียนนิคหิต ให้ใช้ ย ยักษ์ แปลว่า ความผูกพัน ตามที่พระพุทธเจ้าทรงระบุไว้ มีอยู่ ๑๐ อย่างด้วยกัน
อย่างแรก อย่างที่ ๑ คือความเห็นแก่ตัวอย่างโง่เขลา เรียกว่า สักกายทิฏฐิ ที่คนมันมีได้เองโดยสัญชาตญาน เมื่อสัญชาตญานมันไปตามลักษณะของตัวมันเอง เป็นชั้นสัญชาตญานอย่างสัตว์ Animal Instinct มันก็ยังมาเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างโง่เขลา เพราะว่ายิ่งโต ยิ่งวัน มันก็ยิ่งรู้จักความเอร็ดอร่อย สนุกสนานเพิ่มขึ้น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ต้องมีคนมาสอน ไอ้สิ่งแวดล้อมนั้นมันสอน เรื่องมีความเอร็ดอร่อยนี้ มันก็เลยเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างโง่เขลา คนหนุ่มคนสาวระวังให้ดี ความเห็นแก่ตัวอย่างโง่เขลามันจะฟักขึ้นมาเรื่อยๆ มันจะได้ร้องไห้ จะได้ฆ่าตัวตาย ในเมื่อมันไม่ได้ตามที่เห็นแก่ตัว นี่ไม่เป็นอิสระ เหมือนกับว่าคล้ายจะแกล้งให้มันเสียใจตายก็ได้ หรือว่าอยู่ตามลำพังมันก็มีความทรมานใจ มีความเห็นแก่ตัวอย่างโง่เขลา มันเป็นเครื่องผูกพันที่เราจะต้องเลื่อนออกไป สังคมก็เหมือนกัน สังคมไหนเห็นแก่ตัวมันอย่างโง่เขลา มันจะต้องเกะกะๆ ระราน เหมือนกับสังคมโลก ถ้ามันเกิดเป็น ๒ ฝ่ายเห็นแก่ตัวอย่างโง่เขลา มันก็ต้องได้ฆ่ากันวินาศ โลกจึงไม่พ้นจากสิ่งผูกมัดซึ่งเป็นการผูกมัดไว้กับความทุกข์
สิ่งผูกมัดข้อที่ ๒ เรียกว่า ความลังเลในอุดมคติ ลังเลแม้แต่ในสมรรถภาพของตัวเอง เรียกสั้นๆ ว่าความลังเลทุกชนิด หัวข้อใหญ่ใจความว่าความลังเลในอุดมคติ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม นี่เรียกเป็นภาษาบาลีว่า วิจิกิจฉา คำนี้แปลว่า ความลังเล สัง สะยะ (นาทีที่ 16:45) แปลว่าความสงสัย วิจิกิจฉาแปลว่าความลังเล แต่มันรวมอยู่ในคำเดียวกันนี้ และคำอื่นๆ อีก ความลังเลในอุดมคติ ไม่รู้เกิดมาจะทำอะไรแน่ อะไรดีแน่ อะไรดีที่สุด นี่เป็นข้อแรก นี่มันก็ลังเลไปหมด ลังเลในสิ่งที่ตัวกำลังจะทำ ลังเลในสมรรถภาพที่ตนมี นี่ถ้ามีของอะไรสูงๆ แปลกๆ เข้ามาก็ลังเล ฉะนั้นพวกเหล่านี้ก็ลังเลในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ลังเลในศาสนา เรียกว่ามีความไม่แน่ใจอยู่ตลอดเวลา เช่น นักเรียนอยากจะเรียนสิ่งนี้ วิชานี้ แต่อะไรมันบังคับให้เรียนไม่ได้ เช่น ไม่มีเงินทอง ไม่มีโอกาสอย่างนี้ มันก็ต้องไปเรียนเรียนวิชาอื่นที่มันอาจจะเรียนได้ มันก็ลังเลว่าจะดีแก่เราหรือไม่ เพราะว่าแม้จะได้เรียนตามที่ต้องการในวิชาที่ตัวต้องการ มันก็ยังลังเลว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ฉะนั้นคนที่เล่าเรียนอยู่ด้วยความรู้สึกชนิดนี้มันดีไม่ได้ ต้องขจัดออกไปเสียให้หมด นี้ก็เรียกว่า วิมุตติเหมือนกัน มันวิมุตติไปจากความลังเล ปลดเปลื้องออกไปเสียได้จากความลังเล วิมุตติชั่วคราวหรือวิมุตติเด็ดขาดนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าวิมุตติก็ต้องหมายความอย่างนี้
สิ่งผูกพันอันที่ ๓ เรียกว่า ความมีหลักการเป็นไสยศาสตร์ มีหลักการในการคิด การทำ การพูด การอะไรต่างๆ เป็นรูปไสยศาสตร์ คือไม่มีความแจ่มแจ้งทางเหตุผล ไม่อยู่ในอำนาจของเหตุผลไม่เชื่อตัวเอง ต้องไปขอรดน้ำมนต์ ต้องไปขอพิธีรีตรองต่าง ๆ กระทั่งคนโง่ก็ต้องแขวนพระเครื่องเพื่อให้มันโง่มากขึ้น อย่างที่พูดมาแล้ววันก่อน มันไม่มีเหตุผล มันแขวนด้วยความโง่ด้วยเชื่อว่าแขวนพระนี้แล้วรอดตัว มันไม่รู้ว่าแขวนพระนี้แล้วเป็นเครื่องช่วยให้เราทำอะไรบ้าง เพียงแต่แขวนแล้วก็รอดตัว ฉะนั้นก็เรียกในภาษาบาลี รวมกันทุกอย่างทุกชนิดว่า สีลัพพตปรามาส เข้าใจศีลวัตรผิด ศีลคือข้อปฏิบัติที่บังคับให้ทำ วัตรคือระเบียบที่ไม่ได้บังคับแต่ก็ควรทำ ศีลวัตร คืออย่างนี้ นี่เข้าใจศีลวัตรผิดหมด เป็นเรื่องงมงาย เรียกว่าสีลัพพตะ ศีลวัตรน่ะ สีลัพพตปรามาส เลื่อนออกไปเสียได้ ก็เป็นอิสระ เป็นวิมุตติเหมือนกัน โดย โดยส่วนบุคคลก็ดีหรือโดยส่วนสังคมก็ดี ไม่งั้นมันจมอยู่ในความโง่ นี่พวกความโง่เริ่มแรก ๓ อย่างที่ต้องเปลื้องออกไปจึงจะมีวิมุตติทั้งในส่วนบุคคลทั้งในส่วนสังคม
ทีนี้มาถึงอันที่ ๔ เป็นเรื่อง ความ ความอยาก ความใคร่ ก็ต้องเรียกสั้นๆ รวมกันว่า อันที่ ๔ นะ อันที่ ๔ เรียกว่า ความหลงใหลในกาม คำว่ากาม แปลว่าของรัก ของใคร่ ของรัก ของใคร่ เกิดขึ้นได้ต้องมีกิเลส ไม่งั้นมันไม่เป็นกาม ไม่เป็นความรักความใคร่อะไรขึ้นมาได้ ต้องมีกิเลสประเภทนี้ กิเลสประเภทนี้ก็มันมีรกรากมาจากอวิชชา ไม่รู้ตามที่เป็นจริง มันหลงใหลในของน่ารักน่าใคร่ ซึ่งมีอยู่มากในโลก แล้วมนุษย์ก็กำลังสร้างมันขึ้นมาอย่างแปลกๆใหม่ๆ ยิ่งๆขึ้นทุกที เป็นไปเพื่อกาม เพื่อกามารมณ์ทั้งนั้นโดยตรงบ้างโดยอ้อมบ้าง พอหลงใหลในเรื่องเหล่านี้ ในสิ่งเหล่านี้ ในรสอร่อยเหล่านี้ ก็เรียกว่าความหลงใหลในกาม เรียกเป็นภาษาบาลีว่า รา กามะ ราคะ กามราคะ ผูกพันจิตใจเท่าไรไม่รู้ ก็ดึงคนไปได้อย่างน่าเศร้า น่าทุเรศ ไปสู่ไอ้ สู่ความ ความเสื่อม ความที่มันเป็นความทุกข์ทั้งนั้น แล้วเราต้องพ้นจากไอ้บ่วงอันนี้ บ่วงโซ่อันนี้ที่มันจะดึงไปหรือจะผูกมัดไว้ ต้องมีสติปัญญาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่ากามนั้นอย่างถูกต้อง ถ้ามันเป็นเพียงสิ่งที่จำเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ น้อย ส่วนหนึ่ง ก็มันต้องมี มันต้องเกี่ยวข้องบ้างเหมือนกัน แต่ว่าอย่างถูกวิธี ไม่เป็นเรื่องบูชาเป็นพระเจ้า ปัญหาวัยรุ่นกลางถนนในกรุงเทพฯ เป็นเรื่องมีมูลมาจากสิ่งนี้เป็นส่วนใหญ่ อาชาญกรรมทางเพศที่อนาจารที่สุด ลามกที่สุด อะไรสุด เกือบจะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทั้ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์มันมาจากกามราคะนี้ ผูกพันสังคมไว้กับสิ่งที่น่าขยะแขยง นี้ปัญหาต่างๆในบ้านในเรือนที่เรียกว่าชั้นดี ชั้นผู้ดีก็ยังมีปัญหาอย่างนี้อยู่นั่นเอง แต่มันอยู่ลึก มันซ่อนอยู่ลึก ต้องวิมุตติ ก็อยู่เหนือ ต้องอยู่เหนือมัน อย่า อย่า อย่าไปอยู่ใต้อำนาจมันนะ
สิ่งผูกมัดอันที่ ๕ ก็เป็นพวกไอ้กิ กิเลส ประเภทโทสะหรือความโกรธ เขาเรียกว่า ความขี้โกรธ มันรวมความหงุดหงิด แค้นอะไรด้วย อยู่เป็นนิสัย ความขี้โกรธอยู่เป็นนิสัยพูดอย่างนั้น ขี้โกรธก็หมายความว่าเป็นนิสัยอยู่แล้วนะ เรียกเป็นภาษาบาลีว่า ปฏิฆะ ฆะ คอระฆัง ปฏิฆะนี้แปล ตัวนี้แปลว่า กระทบกระทั่ง กระทบกระทั่งแห่งจิต หงุดหงิด ขัดเคือง เรามีความหงุดหงิดโดยเป็น Conscious บ้าง โดยเป็น Subconscious บ้าง อยู่แทบตลอดวันไปดูให้ดี โดยเฉพาะพวกที่มีการงานมาก เกี่ยวข้องด้วยคนมากนี้ มันจะมีสิ่งนี้อยู่ตลอดวัน แล้วส่วนมากก็เป็น Subconscious ครุ่นอยู่ข้างใน พอได้เวลามันก็ระเบิดออกมาเป็นไอ้เรื่องข้างนอก ก็เลยไปมีเรื่องมีราวฆ่ากันตายก็ได้ แม้ว่ามันจะหงุดหงิดอยู่ข้างในมันก็เป็นเครื่องผูกอย่างร้ายกาจให้ติดอยู่กับความทุกข์ ต้องวิมุตติ ก็ต้องหลุดพ้นไปจากอำนาจของมันตามที่จะทำได้ วิมุตติชั่วคราวหรือวิมุตติตลอดกาลก็ตามใจ ไม่อย่างนั้นจะตกนรกทั้งเป็น
ทีนี้อันที่ ๖ ความหลงใหลในรูปธรรม อันที่ ๗ ความหลงใหลในอรูปธรรม หลงใหลในรูปธรรม เรียกว่า รูปราคะ ความหลงใหลในอรูปธรรม เรียกว่า อรูปราคะ แล้วก็ไปนึกถึงไอ้อันที่ ๔ที่ว่ามาแล้วว่า กามราคะ หลงใหลในกาม ลำดับมันจัดตามไอ้ความ ความ ความลึกซึ้ง หรือว่าความ ความรุนแรง มันก็ แล้วมันก็มีอะไรมาแทรกตรงนี้ กามราคะ และก็ปฏิฆะ แล้วถึงจะรูปราคะ และอรูปราคะ ไอ้พวกราคะนี้มีอยู่ ๓ ราคะ กามราคะ หลงใหลในกาม รูปราคะ หลงใหลในรูปธรรม อรูปราคะ หลง เอ้อ, รูปราคะ หลงใหลในรูปธรรม อรูปราคะหลงใหลในอรูปธรรม คือสิ่งที่ไม่มีรูป ตามด้วยรสอร่อยทางเพศ หลงใหลในนั้น รูปธรรมในที่นี้คือ รสอร่อยที่เกิดมาแต่สิ่งที่มันมีรูป มีชิ้นมีดุ้น เช่น ของถูกใจของคนแก่ๆ ต้นบอน ต้นโกศล ต้นอะไรต่างๆ แม้แต่ นกเขา ปลากัด ปลาเงินปลาทอง อะไรก็ตาม ถ้าไปหลงใหลมันก็สงเคราะห์เข้าในพวกนี้ เป็นพวกรูปราคะ ไม่เกี่ยวกับกาม ทีนี้อรูปราคะก็หมายความว่ามันไม่มีรูป เป็นก้อน เป็นตน เช่น เกียรติยศชื่อเสียง สรรเสริญเยินยอ แม้แต่เกียรติสูงสุดที่มนุษย์หลงใหลกันนักเวลานี้ ก็อยู่ในพวกนี้ เป็นนามธรรม ก็อย่าไปหลงใหล มีก็มี ก็ไม่ต้องรัก เอ้อ, ไม่ต้องหลงใหลในเกียรติยศชื่อเสียง สรรเสริญก็ไม่ต้องหลงใหล ไม่ต้องกำหนัดพอใจ หลงใหลในสิ่งเหล่านี้ นี่จำไว้เถอะว่า ราคะ ราคะน่ะมีถึง ๓ ชนิด ราคาะในกามารมณ์อย่างหนึ่ง ราคะในรูปธรรมล้วนๆ อย่างหนึ่ง ราคะในอรูปธรรม และที่พวกทายก ทายิกา หลงใหลในบุญ ในกุศลกันนัก ก็มีราคะในข้อนี้คือสิ่งที่ไม่มีรูป แต่ว่ามันไปเนื่องกับสิ่งที่มีรูป เช่นว่าเราอยากจะได้บุญ นี้บุญของบางคนมันคือสวรรค์วิมาน มันก็ไปสู่กามารมณ์อีก แต่ถ้าบุญหมายถึงการชำระบาป ก็ถูกกว่า แล้วก็เข้าใจไม่ได้ ว่า บุญ บุญ บุญ บุญ ในความละเมอเพ้อฝัน ไม่มีรูปไม่มีร่าง นี้อธิบายสำหรับทั่วไป แก่สังคมทั่วไป อธิบายได้กว้างถึงอย่างนี้ ราคะนั้นก็แปลว่าความที่จิตใจเข้าไปจับฉวยเอาอย่างแน่นแฟ้น ไม่ได้หมายถึงไอ้เรื่องกามอย่างเดียว อะไรก็ได้ที่จิตใจไปจับฉวยเอาแน่นแฟ้น แล้วก็เรียกว่าราคะทั้งนั้น นั้นมีราคะในบุตรภรรยาสามี มีราคะในแก้วแหวนเงินทอง เครื่องประดับตกแต่ง มีราคะในช้างม้าวัวควายในบางกรณีก็มีเหมือนกัน มีราคะในนกเขา ต้นบอน มันก็มีได้ มีความกำหนัดจับใจเท่ากัน เพราะใจมันเปลี่ยน ก็ความรู้สึกทางเพศมี มันก็ไปยุ่งกับกามราคะ พอมันแก่เฒ่ามันก็พ้นไปจากราคะ มันก็เปลี่ยนอารมณ์ เปลี่ยนวัตถุของราคะเรื่อยๆ ไป จนมีราคะเข้าโลงไปด้วยกัน ความหมายของคำว่าราคะมันต่างกันอย่างนี้
อันที่ ๖ เขาเรียกว่ารูปราคะ หลงใหลรูปธรรม อันที่ ๗ เรียกว่า อะ อรูปราคะ หลงใหลในอรูปธรรม นี้อันที่ ๘ ถือตัวไปในทางของกิเลส ไม่ยึดมั่นถือมั่น ถือตัวสำคัญมั่นหมายอย่างนั้นอย่างนี้ไปตามอำนาจของกิเลส นี่เขาเรียกว่า มานะ ภาษาบาลีเรียกว่า มานะ ความกว้างขวางเหลือประมาณภาษาไทยแคบนิดเดียว ในภาษาไทยนี้ มานะก็หมายถึงมานะทิฏฐิ จองหองพองขนไปเลย ส่วนมานะในภาษาบาลีหมายถึงความสำคัญตัวถือตัวในแบบใดแบบหนี่ง ทุกแบบเลย จึงมีว่า ถือตัวว่ากูดีกว่ามึง ถือตัวว่ามึงกับกูเสมอกัน แม้แต่ว่าตัวกูเลวกว่ามึง เอ้า, กูกัดฟันทนไปก่อน กูจะเอามึงให้ลงให้จงได้ มานะในภาษาบาลีมันกว้างอย่างนี้ สำคัญมั่นหมายหรือจับตัวเองไว้ว่าดีกว่าเขา และว่าเสมอกันกับเขา และว่าเลวกว่าเขา ล้วนแต่เป็นมานะทั้งนั้น เพราะมันทำให้เกิด ความถือตัว ถือตัววยกิเลสทั้งสิ้น ถือเป็นมานะ เป็นเครื่องผูกพันจิตสัตว์ไว้กับนรกเหมือนกัน แต่ว่าเป็นนรกอย่างสนุกหรือว่านรกอย่างแปลกออกไป ต้องเปลื้องออกไปให้ได้จึงจะวิมุตติ สังคมก็ดี คนๆหนึ่งก็ดี ถ้าขืนมีมานะอย่างนี้แล้วมันก็ร้อนเป็นไฟอยู่เสมอ
อันที่ ๙ เรียกว่ามีความสนใจ หรือมีความทึ่งไม่รู้สิ้นสุด มีสิ่งที่ชวนให้สนใจ ให้ทึ่ง ให้ฉงน ให้ นั่นแหละไม่มีสิ้นสุด แม้ว่าสิ่งนั้นไม่เป็นที่ควรต้องการหรือปรารถนาอะไรเลย จิตมันก็ยังหวั่นไหวอยู่นั่นน่ะ อันนี้ละเอียดมาก ตัวลึกซึ้งมาก อุทธัจ เรียกว่า อุทธัจจะ แปลว่าความฟุ้งซ่าน แต่ไม่ ไม่ได้หมายแต่เพียงฟุ้งซ่านอย่างต่ำๆ มันฟุ้งซ่านแบบวิมานในอากาศไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว มันก็ยังมีอะไรที่สนใจข้องใจอยู่ จิตใจมันยังหยุดไม่ได้ แม้ว่าได้อะไรหมดแล้ว มันก็ยังสนใจในสิ่งอื่น ทึ่งในสิ่งอื่น สิ่งที่ยังไม่รู้ว่าอะไรมันก็สนใจ มันสนใจว่า เผื่อว่า เผื่อว่านี้จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง นี้ก็ทำให้ไม่มีที่สิ้นสุด ในการที่จะไปเที่ยวทึ่งในสิ่งนั้นไปทึ่งในสิ่งนี้ สนใจในสิ่งนี้ ถึงแม้การศึกษาเล่าเรียนนี้ก็ดูให้ดี มันจะมีความสนใจไม่สิ้นสุด แล้วก็เหลวทั้งนั้นน่ะ นั่นอยากเรียนนี่ก็อยากเรียนโน่นก็อยากเรียน ก็สนใจไปเสียหมด เอาดีไม่ได้ มันทำให้จิตกระเพื่อมไม่สงบอยู่ตลอดเวลา เป็นของละเอียดที่ต้องพินิจพิจารณาดูอย่างละเอียดจึงจะพบ มันเป็นโมหะที่ละเอียด เรียกว่าความทึ่งความสนใจไม่รู้สิ้นสุด
นี้อันสุดท้ายอันที่ ๑๐ เรียกว่าอวิชชา นี่มันเป็นตัวการเขาทั้งหมด เมื่อมันแจกให้คนอื่นหมดแล้วมันก็ยังเหลือตัวมันเองเป็นอวิชชา แปลว่าปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง ภาวะที่ปราศจากความรู้ที่ถูกต้องนี้ผูกมัด ผูกมัดสังคม ผูกมัดบุคคล ผูกมัดทุกอย่างให้ติดอยู่กับไอ้เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง คือความทุกข์
๑๐ ประการนี้เรียกว่า สังโยชน์ คือความผูกมัด แปลว่า สิ่งผูกมัด ความผูกมัด การผูกมัด รวมทั้งผลของการผูกมัด ผูกมัดมนุษย์โดยส่วนบุคคล และโดยส่วนสังคม เหมือนกับโซ่ตรวน จะเรียกว่าโซ่ตรวนก็เรียก เป็นพันธะ คือเป็นเครื่องผูกมัด เหมือนกับโซ่ตรวน ผูกมัดจิตใจเป็นส่วนใหญ่ ก็คิดดูสิ ถ้าจิตใจถูกผูกมัดแล้วอะไรมันจะเหลือ ถ้ากายถูกผูกมัด จิตใจไม่ถูกผูกมัด มันก็เหมือนไม่ถูกผูกมัด แต่ถ้าจิตใจถูกผูกมัดเสียแล้วมันก็ไม่มีอะไรเหลือ เหมือนกับเราดึงใครไปสักคนหนึ่ง ดึงไปทางใจ ดึงหัวใจเขาไปได้ก็ได้หมด นี่เขาเรียกว่าโซ่ตรวน ในอริยวินัย ช่วยจำคำนี้ไว้ด้วย อริยวินัย System ของพระอริยะเรียกว่าอริยวินัย วินัยในที่นี้แปลว่า System ระบอบระเบียบ Order ของพระอริยะ จะเป็นกฎ กฎระเบียบหรือไม่ใช่กฎระเบียบอะไรก็ได้ บังคับก็ได้หรือไม่บังคับก็ได้ เรียกว่าในภาษาพระอริยะเรียกว่าอริยวินัย ในอริยวินัย ภาษาพระอริยะเรียกไอ้นี้ว่าโซ่ตรวน นี้พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลหิต โลหิตในอกของมารดาเรียกว่าน้ำนม ที่ดีกว่านั้น ที่ควรจะจำไว้อีกก็ ก็ว่า ในอริยวินัยนะ ใน System ของพระอริยะนี่ การหัวเราะ เหมือนอย่างที่คุณหัวเราะกันอยู่ทุกวันน่ะ เขาเรียกว่าอาการของทารกนอนเบาะ การร้องเพลงเหมือนที่คุณร้องกันอยู่ทุกวันน่ะ คือการร้องไห้ แล้วก็การเต้นรำที่คุณชอบกันนัก คืออาการของคนบ้า นี้ไปดูในพระไตรปิฎก จตุ กกนิบาต อังคุตตรนิกาย (นาทีที่ 38:35) มีอยู่ ๓ อย่างนี้ในอริยะวินัยเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าอย่างนี้ หัวเราะนี้ไม่จำเป็นจะต้องหัวเราะเพราะมันเป็นอาการของเด็กที่หัวเราะแหย ใน ใน เกิดมาได้ไม่กี่วัน นอนอยู่ในเบาะลุกนั่งไม่ได้ มันก็หัวเราะแหยอยู่อย่างนั้น นี่มันขยายตัวออกมาเป็นหัวเราะที่เฟ้อ ที่หัวเราะวันหนึ่งไม่รู้กี่ร้อยครั้งของคนโตๆ นี้ คนที่พอใจในสนุกสนานมันก็หัวเราะ นั้นคือความโง่ นั้นคือความถูกผูกมัด อัน มันตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งที่มาทำให้ต้องหัวเราะ อยู่นิ่งไม่ได้ มันมีผีอะไรที่ไหนมาจี้สีข้างให้มันหัวเราะอยู่เรื่อย ชาวบ้านก็ว่าดี บางคนว่าหัวเราะเป็นยาเจริญอายุ แต่ในอริยวินัยของพระพุทธเจ้าไม่เรียกอย่างนั้น ไม่เรียกยาเจริญอายุ ก็เรียกว่าความโง่ชนิดหนึ่ง ความผูกพันชนิดหนึ่ง ไม่เป็นอิสระแก่ตัว คือต้องหัวเราะนี่ มันอยู่นิ่งๆไม่ได้นี่ ที่ร้องเพลงมันก็ไปตามอำนาจกระตุ้นของความรู้สึกประเภทกิเลสที่ทำให้อยู่นิ่งไม่ได้เหมือนกัน มันก็หลงใหลในเรื่องร้องเพลงกันเสียมากมาย โดยเฉพาะสมัยใหม่นี้ เสียเวลามาก วิทยุกระจายเสียงเต็มไปด้วยเพลงทั้งนั้น เพลงที่ให้โทษทั้งนั้น แม้แต่จะพูดสารคดีก็ต้องพูดคำ เพลงที พูดคำ เพลงที พูดเรื่องเพลงที พูดสารคดียังต้องเอาเพลงมาสลับ มันบ้าเพลงกันใหญ่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านว่า ร้องเพลงคือร้องไห้ มีอาการเป็นความร้องไห้อีกชนิดหนึ่ง มันทนอยู่ไม่ได้ มันต้องทำอย่างนั้น น้ำมูกน้ำตาไหล กล้ามเนื้อที่คอขึ้นมาเป็นเอ็นเหมือนกับการร้องไห้ชนิดหนึ่ง ส่วนเต้นรำมันก็ไม่ต้องพูดถึงละ มันเป็นความบ้าชนิดหนึ่งชัดๆ นั่งอยู่ดีๆ ไม่ได้ ต้องลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นไปตามความโง่ที่เพิ่งอบรมมาใหม่ เพลงนั้น เพลงนี้ เต้นอย่างนั้น เต้นอย่างนี้ เอาเวลาไปอยู่นิ่งๆ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ยังดีกว่า ถ้าจะออกกำลัง Exercise ก็ยังทำอย่างอื่นได้ ไม่ต้องเต้นรำ นี่จะกลายเป็นสื่อให้ผูกมัดอยู่กับไอ้ความรู้สึกที่เป็นกิเลส แล้วก็เป็นสื่อให้มีโอกาสสำหรับทำความชั่วทางเพศเยอะแยะไปหมด เขาเรียกว่าอาการของคนบ้า นี่คำว่าอริยวินัยมันเป็นอย่างนี้ช่วยจำไว้ และไอ้เครื่องผูกพันทั้ง ๑๐ ที่ออกชื่อมาแล้วนั้น เป็นโซ่ตรวนในภาษาพระอริยะเจ้า ในอริยวินัย ต้องหลุดพ้นจากสิ่งนี้จึงจะเป็นวิมุตติ รอดออกไปได้ เรื่องนี้บัญญัติไว้สำหรับคนที่จะรอดออกไป รอดออกไป จนเป็นพระอริยเจ้าใน ๑๐ อย่างนั้น ละ ๓ อย่างขั้นต้นได้ เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี ต่างกันนิดหน่อยเท่านั้น ละได้มากน้อยกว่ากันนิดหน่อย แต่ละเพียง ๓ อย่าง นี้ถ้าละเพิ่มอีก ๒ อย่าง ได้ก็เป็น ๕ อย่าง ก็เป็นพระอนาคามี ละได้ทั้ง ๑๐ ก็เป็นพระอรหันต์ แล้วก็เรียกว่าวิมุตติไปตามลำดับ จนวิมุตติถึงที่สุด นี้หลักเกณฑ์อันนี้มันกว้างใช้กับใครก็ได้ ใช้แก่ปุถุชนก็ได้ เพราะว่ามันถูกผูกมัดอยู่อย่างนี้ คือปุถุชน ปุถุชนเป็นตัวการที่ถูกผูกมัดอยู่อย่างนี้เต็มปรี่ นี่พระอริยะเจ้าท่านรอดออกไปได้ทีละอย่างสองอย่าง ทีละอย่างสองอย่างจนหมด ฉะนั้นปุถุชนนั่นเองแหละคือผู้ถูกผูกมัด ปุถุชนนั่นเองจะต้องรอดออกไป รอดออกไป หลุดพ้นออกไป เดี๋ยวนี้คนในในฐานะ สัง คนเอกชนก็ดี สังคมก็ดี มันสมัคร มันสมัครที่จะอยู่ในความผูกมัด มันก็ต้องยุ่ง เพราะจิตใจมันถูกผูกมัดอยู่ด้วยสิ่งทั้ง ๑๐ นี้ มันก็มีแต่ จะเหมือนกับว่าจมน้ำ ก็ป้วนเปี้ยนๆ อยู่ในน้ำ ขึ้นมาไม่ได้ หรือว่าถูกผูกมัดรัดรึงก็เป็นอย่างนี้
คำว่าผูกมัดนี้ก็ตรงกันข้ามกับวิมุตติ หลุดพ้น คำว่าผูกมัดนั้น อย่า อย่า อย่าเพียงแต่หลับตาเห็นเอาเชือกมาผูกมัด โซ่ตรวนมาผูกมัด หมายความมันผูกมัดอยู่ด้วยอาการต่าง ๆ ผูกมัดอยู่ด้วยโลภะก็อย่างหนี่ง ด้วยโทสะ โกรธะก็อย่างหนึ่ง ด้วยโมหะก็อย่างหนึ่ง นั้นดูอาการของสิ่งที่เรียกว่าสังโยชน์ ผูกมัดหลุดพ้นไปไม่ได้นั้น มันอยู่ในอำนาจของกิเลส จึงมีผูกมัด เอ้า,ก่อน ผูกพันหรือผูกมัดที่เรามันไม่ชอบกันนัก ไม่ชอบให้มี ไม่มีอะไรมาผูกพัน ร้องตะโกนอยู่เสมอว่าไม่รู้อะไรมันผูกพัน ไอ้ที่ผูกพันจริงๆ กลับเห็นเป็นไม่ผูกพัน ไอ้เรื่องเล็กๆน้อยๆ เห็นเป็นผูกพันแต่แล้วก็อยากจะหลุดออกจากเรื่องผูกพัน นี้มันผูกพัน จริงๆมันครอบงำ นี่กิเลสประเภทโมหะมันครอบงำ เหมือนเอากะลาครอบไว้ หลุดออกไปไม่ได้ แล้วมันห่อหุ้ม มันก็เหมือนกับเอาใส่ถุงผูกปากเสีย มันกั้นกลาง มันก็รู้ว่าอะไรที่เป็นเครื่องกั้นกลาง อย่างเผารนทิ่มแทง ร้อยบ่วง มันร้อยรัก ขณะเป็นร้อยพวงผูกไว้เป็นพวงมันออกไปไม่ได้ คุณอยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะมันมีอะไรอย่างหนึ่ง มันร้อยรัด ผูกไว้เป็นพวงออกไปไม่ได้ อย่างตบตี มันตบตีอย่างทางวิญญาณเหมือนที่พูดให้ฟังบ่อยๆ พระเจ้าตบหน้าเอาแล้วนั่นน่ะ นี้ไอ้กิเลสหรือสิ่งผูกพันมันมีอาการเหมือนกับตบตี ตบหน้าเรื่อย แล้วมันกดดัน เราเกลียดคำว่ากดดันกันนักใช่ไหม ไม่ต้องการความกดดัน บีบคั้นและหวาดกลัว กระทั่งเป็นลูกมะเหงกเขกหัวเล็กๆ น้อยๆ เราก็ไม่ชอบ ก็อยากจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ กิเลสน่ะมันทำอาการอย่างนี้แก่เราทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ นี่ต้องออกมาเสียให้ได้ ก็เป็นวิมุตติ ถ้าสังคมก็สังคมวิมุตติ มาจากบุคคล มันวิมุตติได้ สังคมมันก็วิมุตติได้ สังคมวิมุตตินี่จะแปลว่าอะไร วิมุตติของสังคมก็ได้ หรือสังคมของวิมุตติก็ได้ มันเหมือนกันแหละ ถ้าสังคมของวิมุตติก็สังคมที่มันหลุดออกมาจากไอ้สิ่งไม่พึงปรารถนานี้ได้ นี้วิมุตติของสังคมก็คือความหลุดออกมาจากสิ่งเหล่านี้ได้ของสังคม เรียกว่าสังคมวิมุตติ กลางๆ ก็ได้ การหลุดของสังคม หรือสังคมที่หลุดแล้ว สังคมวิมุตติ แต่มันอาจจะแตกแขนงออกไปว่าวิมุตติจากสังคม นี่ระวังให้ดี เราไม่ ไม่ถูกผูกพันสัง เอ้อ, ไม่ถูกสังคมผูกพัน วิมุตติออกมาได้จากสังคม นี่ความหมายกำกวม เก็บตัวไม่ยุ่งกับสังคม ไอ้วิมุตติสังคมแบบนี้มันเป็นคนสตึหรือเป็นคนอะไรไป มันไม่ไหว เพราะมันไม่ใช่วิมุตติจริงเป็นวิมุตติเก๊ ถ้าวิมุตติจากสังคมอันแท้จริงเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น นอกนั้นไม่มี คืออยู่เหนือภาวะครอบงำของสังคมทั้งหมดทั้งสิ้น มีแต่พระอรหันต์ทั้งนั้น พระโสดาบัน พระสกิทาคามีก็ยังไม่พ้น บางอย่าง เรื่องของสังคมไปจบลงที่หลุดพ้นไปเสียได้จากอำนาจของสังคม ไอ้ที่เราไปร่วมทำอะไรกับเขานี่ระวังให้ดีๆ เราไม่หลุดพ้นจากอำนาจของสังคม เขาดึงเราไปทำความชั่วก็ได้ ไปชวนกันฆ่าใครตายก็ได้ หรือว่าดึงไปรบราฆ่าฟันกันให้ตายไปวินาศทั้งโลกก็ได้ เราไม่รอดออกจากสังคม ส่วนใหญ่นั้นคนมันก็ถูกดึงไปทำไอ้สิ่งที่สังคมกิเลสมันต้องการในโลกนี้ นั้นสิ่งที่เรียกว่ารอดพ้นจากสังคมเองนั้นมันก็สูงสุดเหมือนกัน เราอยู่คนเดียวไม่ได้ เราผูกพันกันเป็นสังคม แต่พอเสร็จแล้วเราควรจะรอดออกมาเสียจากสังคม ให้ไปให้ไกล ไปให้ถึงที่สุดของคนๆ หนึ่งจะพึงไปได้ ส่วนที่เหลือกันอยู่เป็นสังคม มันก็เป็นผาสุกได้ คนเดียวก็ผาสุก สังคมก็ผาสุก คนเดียวผาสุกกว่าก็ไปได้ไกลกว่า
นี่ขอให้ดูให้ดีว่าเรื่องของสังคมนี้ เรื่องสุดท้ายก็คือทางรอดหรือความรอดของสังคมในลักษณะอย่างนี้ จึงเอามาพูดเป็นเรื่องที่ ๑๓ อย่าได้กลัวมันเลย มันเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างยิ่ง เดี๋ยวนี้สังคมมันเสื่อมทราม เพราะว่ามันเดินผิด เดินไปผิดทาง เป็นสังคมวัตถุนิยม บูชาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ถูกพระเจ้าตบหน้าทุกวันๆ ทุกวัน ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่น นอนก็สะดุ้งหวาดเสียว หลับไม่สนิท ฝันร้าย สังคมยังไม่รอด นี้ปัญหาสังคมไอ้ทางวัตถุล้วนๆ ทางเทคโนโลยี ทางอะไรที่เกี่ยวกับเนื้อหนังนี้หมือนกันน่ะ ไปไม่รอดหรอก ถ้าจิตใจมันไม่รอดแล้ว อันนี้จะไปไม่รอด มันจะโกงกันเรื่อย มันจะเอาประโยชน์ส่วนตัวเรื่อย มันจะพูดกันไม่รู้เรื่อง เช่นเดียวกับที่เราพูดกับเด็กอันธพาลกลางถนนไม่รู้เรื่อง เหมือนกับเป็นสังคมเมืองนรกในสีที่สวยงามเขียว ๆแดงๆ นั้น ในครอบครัวก็ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง
ทั้งหมดนี้จะสรุปความเหมือนที่พูดมาแล้วว่ามัน โลกมันกำลังขาดแม่ และขาดการศึกษาที่ถูกต้อง ๒ อย่างนี้ทั้งนั้น นี่ตามความรู้สึกของอาตมาอยากจะเสนอในลักษณะที่ตะโกน ตะโกนให้มันทั่วไปทั้งโลกหรือ ว่าไอ้โลกมันขาดแม่กับขาดการศึกษาที่ถูกต้อง การศึกษาแผนใหม่ให้ผู้หญิงไปทำอย่างผู้ชายนี้โง่ที่สุด ทำให้โลกนี้ขาดแม่ นี่พ่อก็ไปทำงานของผู้หญิง ผู้หญิงก็ทำ ก็ทำงานของผู้ชาย ผู้ชายก็ทำงานของผู้หญิง มันเป็นกะเทย มันขาดแม่ แม่คือผู้ที่ต้องดูแลมาตั้งแต่คลอดออกมาทีเดียว ให้กินเลือด ให้ลูกกินเลือดคือน้ำนม ในอริยวินัย เรียกเลือดว่าน้ำนม จะต้องมีความรักพ่อแม่ รักแม่โดยก่อน แม่มาก่อน ภาษาบาลีทั่วไปว่า มาตาติกา ภาษาที่ออกมาจากปากพระพุทธเจ้า ก็มาตาติกา แม่มาก่อนพ่อ เพราะว่าแม่สร้าง สร้างคน สร้างหัวใจ สร้างวิญญาณ สร้าง Nucleus ของคน เพราะว่าแม่ให้กินเลือด นี่ลูกมันก็ใหญ่ขึ้นมาด้วยเลือดในอกของแม่ ฉะนั้นมันต้องรักแม่ยิ่งกว่าตัว ชีวิตทั้งหมดมอบให้แม่ได้ แม่ต้องการอย่างไร แม้ไม่ตรงกับความประสงค์ของตนก็ต้องมอบให้ได้ อย่างที่พูดให้ฟังมาแล้ว ถ้าลูกรักแม่ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้ลูกไม่รักแม่ มีจะดื้อดึง ดื้อดึงมากขึ้น เอาตามใจตัวเองมากขึ้น มันก็ขาดแม่ แล้วอีกอย่างหนึ่งแม่ไม่ได้อบรมบุคลิกลักษณะที่ดี นับตั้งแต่ความเคารพเชื่อฟัง ความซื่อสัตย์ ความกตัญญูกตเวที ความเสียสละ ความอดกลั้นอดทน อุ้ย, มากมาย และสำคัญที่สุดทั้งนั้น ดังที่อาตมาบอกแล้วว่าอันนี้ได้มาจากแม่ พ่อต้องไปทำงานนอกบ้าน ไอ้แม่นี้อยู่ด้วยตลอดเวลาตั้งแต่เล็กๆจนกระทั่งโตก็ยัง ยังอยู่ในบังคับบัญชาของแม่ เกิดอุปนิสัย นิสัยอะไรที่มันดี เพียงแต่เห็นแม่มันไปเป็นอันธพาลไม่ได้ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ไปที่บ่อน แม้แต่บ่อนกัดปลา นี่เพราะมันรักแม่ มันมีความผูกพันกับแม่ถึงขนาดนี้ ชอบเล่นหมากรุก แม่ว่าเอาหมากรุกขึ้นมาบนเรือนไม่ได้ มันก็ไม่ต้องเล่น เป็นอันว่าแม่นี้ปั้นวิญญาณมาตลอดเวลา เดี๋ยวนี้แม่ไม่มี แม่หมดไปจากโลก ตัวโตขึ้นก็ให้กินนมกระป๋อง เอาไปฝากไว้ที่โรงเรียนอนุบาล ความศักดิ์สิทธิ์ของความเป็นมารดาไม่มี เลยเป็นสังคมที่ไม่มีแม่ โลกนี้กำลังเป็นอย่างนี้โดยเฉพาะพวกฝรั่ง พ่อแม่แก่เฒ่าแล้วมันก็ไม่เลี้ยง วัฒนธรรมฝรั่ง ส่วนวัฒนธรรมไทยยอมตายกับแม่กับพ่อ นี้แก่เฒ่าทั้งนั้นแหละ เสียสละให้ได้ทุกอย่าง นี้ว่าโลกไม่มีแม่ยิ่งขึ้นทุกที มารดาไม่มีในโลก มีแต่กะเทย พอลูก เอาลูกไปฝากไว้โรงเรียนอนุบาล ให้เรียนหนังสือต่างหากไม่ได้เรียนนิสัยอย่างที่ว่านี้ พอลูกกลับมาจากโรงเรียนอนุบาล ก็ชมเชย ตามอกตามใจ ให้ลูกเสียนิสัยให้ใช้เงินเปลือง จะเรียกว่าเป็นแม่อย่างไรได้ แม่ทำให้เสียให้ลูกเสีย ให้ใช้เงินเปลือง ตามใจทุกอย่างมันจะเอาอะไร มันจะเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็กก็ได้ มันก็เลยไม่มีแม่ ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้สร้างก่อสร้างวิญญาณที่ถูกต้อง นี้การศึกษามันไม่ดี มันไม่อบรมให้เกิดแม่อย่างนี้ การศึกษาในโลก รวมทั้งประเทศไทยนี้มันไม่ดี มันไม่เป็นการศึกษาเพื่อให้มันมีแม่อย่างนี้ ไม่ศึกษาเพื่อให้ผู้หญิงเป็นแม่ ให้ผู้ชายเป็นพ่อ มันให้เป็นกะเทย ถ้าการศึกษาในโลกถูกต้องจะมีแม่ในโลกมากขึ้นๆ เป็นแม่ที่แท้จริง สร้างวิญญาณของมนุษย์ถูกต้องตามทางของพระเจ้า โลกก็หมดปัญหาเพราะคำๆ เดียวว่าเพราะมันมีแม่ที่ปั้นวิญญาณมาตั้งแต่คลอด การศึกษาต้องช่วยให้มีแม่ในโลก การศึกษาในโรงเรียนไม่สร้างสิ่งเหล่านี้ให้ได้ ดู เดี๋ยวนี้ยิ่งเจริญ ยิ่งตีกันในมหาวิทยาลัย ยิ่งตีกันในสนามกีฬา เพราะมันไม่มีแม่ในทางวิญญาณ มีอันธพาลทางวิญญาณ การศึกษาควรจะจัดกันเสียใหม่ ทำให้คนเป็นคน ทำให้แม่เป็นแม่ ทำให้พ่อเป็นพ่อ ทำให้ผู้หญิงเป็นผู้หญิง ทำให้ผู้ชายเป็นผู้ชาย อย่าให้เป็นกระเทย นี้ไม่ใช่ว่าใคร ไม่ใช่ประชดผู้ฟัง เป็นเรื่องพูดกับโลกทั้งโลก โดยเฉพาะพวกฝรั่งที่เรากำลังจะไปตามก้นเขา ฉะนั้นการศึกษาหรือวัฒนธรรมอย่างฝรั่งนี่อาตมาขอคัดค้านว่าเป็นวัตถุนิยมมากไปเสียแล้ว เป็นควายเปลี่ยวตัวถึกตัวเดียววิ่งไปอย่างไม่รู้จุดหมายแล้ว ย้อนกลับไปสู่สังคมไทย ตามแบบของพุทธศาสนากันดีกว่า ผู้มีหน้าที่จัดการศึกษาควรจัดการศึกษาเสียใหม่ ให้ ให้ ให้ ให้มีแม่ ให้มนุษย์มีแม่ ให้เด็กเติบโตขึ้นมาด้วยวิญญาณที่ประกอบไปด้วยคุณธรรม ไม่ใช่รู้หนังสืออย่างเดียว ไม่ใช่เก่งแต่ทำมาหากินอย่างเดียว
นี่คือสุดยอดของสังคมไปอยู่ที่ตรงนี้ ไปอยู่ที่ความรอดอย่างนี้ นี่ก็เรียกว่าเป็นการบรรยายครั้งสุดท้าย ต้องการจะ จะบอกแต่เพียงว่าความรอดของสังคมนั้น มันอยู่ที่แม่ อยู่ที่การศึกษาที่ถูกต้องเพื่อให้มันมีแม่ แล้วก็เป็นอันว่ายุติการบรรยายครั้งที่ ๑๓ ซึ่งเป็นเครื่องรางที่ดีที่สุด นี้ขอยุติการบรรยายด้วยการปิดการบรรยาย ว่าขอบใจอาจารย์และนิสิตทั้งหลายที่มารบกวน เขามองกันอย่างนั้น ก็ขออภัยกันบ้าง อะไรบ้างว่ามารบกวน ไม่จริง มันเป็นหน้าที่ของอาตมาที่อุทิศอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ไม่ใช่พุทธทาส จำไว้ด้วย ถ้ามาไม่ทำอย่างนี้ ไม่ ก็ไม่ใช่พุทธทาส นี้มันมีหน้าที่ที่ต้องทำอย่างนี้ และการที่พวกท่านทั้งหลายมาทำอย่างนี้ไม่ใช่รบกวน มันเป็นการช่วยให้ได้ทำหน้าที่สมตามชื่อพุทธทาส เพราะฉะนั้นขอแสดงความขอบใจในการที่มานี้ ทำอย่างนี้ ที่คนอื่นเรียกว่ารบกวน อาตมาจะบอกว่ามาช่วยทำให้ความประสงค์สำเร็จ มาช่วยทำให้การสร้างบารมีมันสำเร็จ ฉะนั้นอย่าคิดว่ารบกวนหรือเกรงใจอะไรทำนองนั้น ฉะนั้นการมาทำกันอย่างนี้มันก็มีประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย มีผลเบ็ดเตล็ดอีกเยอะแยะ เช่นว่ามันทำให้เกิดการบรรยายชุดนี้ขึ้นมา มันก็คงจะมีประโยชน์บ้าง หรือว่าอย่างน้อยที่สุดจะไม่ได้อะไรเลยก็มาแก้นิสัยขี้เกียจนอนสายเสียบ้าง อยู่ในห้องพักมหาวิทยาลัย ตื่นเวลาเท่าไร เอาไปเทียบกันดู มันต้องแก้นิสัย มันต้องเปลี่ยนนิสัย ในเรื่องคำบรรยายนี้ ก็ขอแสดงความหวังว่าคำบรรยายชุดนี้จะทำให้สังคมตื่นจากหลับได้บ้างไม่มากก็น้อย คือมีวิมุตติอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่าในปริมาณ ปริมาณใดปริมาณหนึ่ง แล้วจะช่วยให้นิสิตทั้งหลายพ้นจากความถูกติเตียนว่าเด็กอมมือในมหาวิทยาลัย เพราะว่าไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เป็นนิสิตในมหาวิทยาลัยยังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันก็เป็นเด็กอมมือ ทีนี้จะได้พ้นกันเสียที แต่ความมุ่งหมายส่วนใหญ่นี้จะต้องการไม่ให้เราไปติดอยู่ใต้ความผูกพันของวัตถุนิยม คือความสุขทางเนื้อหนัง เพราะฉะนั้นจงดูที่พูดมาแต่ต้นจนปลายนั้นมุ่งหมายอย่างนี้ทั้งนั้น ให้มนุษย์รอดจากความบีบคั้นของไอ้อิทธิพลของความสุขทางเนื้อทางหนัง ซึ่งพวกคริสเตียนเขาเกลียดนักเกลียดหนาพูดไว้มากในเรื่องนี้ ยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก แต่ฝรั่งไม่ถือพิษแล้วเดี๋ยวนี้ มหาวิทยาลัยไหนในโลก ทั้งโลกนี้ก็ไม่สอนให้ว่าจะออกมาเสียจากไอ้ความบีบคั้นครอบงำในวัตถุนิยม มันยิ่งดันเข้าไปในวัตถุนิยมมากขึ้นอีก ด้วยเหตุนี้มหาวิทยาลัยชาวพุทธจึงต้องขอแหวกแนว สวนโมกข์ก็อยากจะเป็นมหาวิทยาลัยเหมือนกัน แต่เป็นมหาวิทยาลัยชาวพุทธ แล้วก็ต้องขอแหวกแนว พูดอะไรไม่เหมือนใคร ทำอะไรไม่เหมือนใคร คิดอะไรก็ไม่เหมือนใคร คุณมาจะได้รับสิ่งเหล่านี้ไป ก็เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ชอบก็ไม่ต้องเอา ถ้าชอบก็เอาไปคิดเอาไปนึก เอาไปใช้ให้มันเป็นประโยชน์ รวมความว่ามาอยู่อย่างแหวกแนว กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่กลางดินนี่อุดมคติของมหาวิทยาลัยสวนโมกข์ ทั้งหมดพูดก็เพื่อให้มันเป็นอย่างนี้ได้ ถ้ามนุษย์เป็นอย่างนี้ได้สังคมหมดปัญหากันทั้งโลกเลย นี่เราปิดการบรรยายชุดนี้ด้วยความพอสมควรแก่เวลา ด้วยคำพูดนี้ ขอให้โลกมีแม่ ขอให้การศึกษาเป็นไปถูกต้อง สังคมชาวพุทธต้องขอแหวกแนว สู้ไม่ไหว เอาละพอกันที
ยังมีอะไรที่เกี่ยวกับอาตมาไหม ก็ว่าไปสิ
ยังมีอะไรที่เกี่ยวกับอาตมาไหม ก็ว่าไปสิ
(เสียงผู้ชาย) ต่อไปนี้เป็นโอวาทครั้งสุดท้ายของท่านอาจารย์ แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(ภาษาใต้) มีอะไร มีอะไรก็ว่า
กราบเท้านมัสการท่านอาจารย์ ในวาระที่นักศึกษา … (นาทีที่ 01:05:06 ) ได้ถือโอกาสมารับ….... ในโอกาสที่พวกเราทั้งหลาย จะลากลับไปในครั้งนี้ เกล้ากระผมจึงขอน้อมนมัสการอารธนาท่านอาจารย์ ได้โปรดประทานโอวาทและพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่พวกเราและเกล้ากระผม ……..
(เสียงท่านพุทธทาส) เอาละ เป็นอันว่าเรื่องให้โอวาทให้พรตามธรรมเนียมของพุทธบริษัท อย่างอื่นก็ทำไม่เป็น โอวาทก็คือเป็นการมอบสิ่งๆ หนึ่งคล้ายกับว่าเป็นเครื่องแทนตัวให้ติดตามไปในทุกหนทุกแห่ง แล้วเราจะได้เป็นเครื่องช่วยเหลือ ราวกับว่าเรานั่งกันอยู่ในที่ต่อหน้า ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าแยกกันอย่างที่เรียกว่าเอาพระไว้ที่วัด เอาตัวเองไว้ที่บ้าน แล้วสิ่งที่เรียกว่าโอวาทที่ให้ไป รับไปนั่นแหละ มันจะช่วยแก้ปัญหาข้อนี้ โอวาทนี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เรื่องซ้ำๆ โดยใจความหรือข้อความที่ได้พูดไปแล้ว ข้อที่ ๑ การแก้ปัญหาต่างๆ ต้องแก้ที่ต้นเหตุอันแท้จริง เดี๋ยวนี้เราในโลกนี้ไม่รู้จักต้นเหตุอันแท้จริง จึงแก้ปัญหาของโลกไม่ได้ด้วยกันทั้งโลก ข้อนี้ก็ไปคิดดู ว่าปัญหาที่รัฐบาลต่างๆในโลกกำลังแก้นั้นไม่ใช่ตรงที่ต้นเหตุ มักจะเป็นปลายเหตุกลางเหตุ ถ้าต่อไปนี้ถ้าเราจะแก้ปัญหาทางสังคมเป็นต้น ต้องค้นให้พบต้นเหตุอันแท้จริง
นี้ข้อ ๒ ต้นเหตุอันแท้จริงนี้ก็อยากจะพูดว่าโลกกำลังไม่มีแม่ เหมือนที่ได้กล่าวแล้วตอนหัวรุ่งครั้งสุดท้าย เพราะว่าการศึกษาของโลกนำไปผิด นำไปสู่ประชาธิปไตยอย่างไม่มีสติปัญญา ไม่ทำให้แม่เป็นแม่ พ่อเป็นพ่อ ไม่มีแม่ที่จะปั้นดวงวิญญาณของเด็กๆ ให้ปลอดภัยมาแต่เสียตั้งแต่อ้อนแต่ออก พอมาถึงโรงเรียน โรงเรียนก็ทำไม่ไหว ถึงมหาวิทยาลัยก็ยิ่งทำไม่ไหวเพราะมันโตเกินไปแล้ว นี้ถ้าว่ามีแม่ที่ถูกต้องมาแต่อ้อนแต่ออก ปัญหาเหล่านี้จะไม่มี
ทีนี้ปัญหามันก็มีมาก แล้วเราก็ไม่ดูว่าปัญหานั้น ปัญหาไหนสำคัญ ดังนั้นข้อที่ ๓ อยากจะบอกว่าปัญหาสังคมทางฝ่ายด้านวัตถุนั้นไม่สำคัญเท่ากับปัญหาฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายด้านจิตใจ เรียกว่าแก้ปัญหาทางวิญญาณนี้มันไม่ตกแล้ว ฝ่ายวัตถุก็แก้ไม่ตก ยิ่งแก้ก็ยิ่งไม่แก้ ยิ่งไปแก้ก็เหมือนกับเพิ่มปัญหา ในที่สุดมันก็จะมีแต่การทะเลาะวิวาท นี้ในข้อที่ ๔ จึงแนะว่าการปกครองจะกลายเป็นเพียงการทะเลาะวิวาทกันกับพวกอันธพาลทั้งนั้น ไม่มีความหมายมากกว่านั้น ถ้ามีความสนใจแต่ทางปัญหาทางวัตถุมันจะเป็นอย่างนี้ นี่เป็นเพราะเหตุที่ว่าเรามันแก้ แก้ไม่ถูกจุด แล้วยิ่งประชาธิปไตยก็ยิ่งพูดกันได้ตามใจชอบ ไอ้พูดได้ตามใจคือไทยแท้นั้นระวังให้ดี เป็นอันธพาลเมื่อไรได้ไม่ทันรู้ตัว มันต้องพูดถูกต้องตามหลักของพระเจ้า ของพระธรรม อย่าถือเอาประชาธิปไตยแล้วก็เดินขบวน มันจะไม่เป็นประชาธิปไตย มันเป็นทาสของกิเลส จะเป็นทาสของยักษ์ของมารของซาตานโดยไม่รู้สึกตัวด้วย
ฉะนั้นข้อที่ ๕ อยากจะแนะว่าประชาธิปไตยนี้กำลังทำอะไรที่มันปนเปกันไปหมด ทำอย่างที่ว่าผู้หญิงไม่เป็นผู้หญิง ผู้ชายไม่เป็นผู้ชาย ปนเปนกันยุ่งหมด ผู้หญิงเรียกร้องสิทธิ เรียกร้องสิทธิทางการศึกษา ทางการ การงาน การอะไรต่างๆ ให้เหมือนผู้ชาย มันก็คือไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้หญิงก็ไม่มีแม่ โลกก็ลงเป็นประชาธิปไตยไปแบบนี้ แล้ว ก็พัฒนากันมาในส่วนจิตใจ (นาทีที่ 01:12:30) จะแนะว่าข้อที่ ๖ อย่าพัฒนากันไปทางวัตถุ ยิ่งพัฒนาเท่าไรยิ่งมีปัญหามากเท่านั้น เพราะ วัตถุมันมีแต่ผู้ล้น (นาทีที่ 01:12:50) ทำให้เป็นผู้บูชาเนื้อหนังมากขึ้นทุกที ต้องพัฒนาจิตใจให้มากกว่าพัฒนาวัตถุ เดี๋ยวนี้ก็มีแต่พัฒนาวัตถุ แม้องค์การกุศล มูลนิธิก็ช่วยกันไปทางวัตถุ ไม่ช่วยในเรื่องจิตใจ ก็ขอแนะเป็นข้อสุดท้ายว่าตัวจริงเป็นอย่างไร (นาทีที่ 01:13 :20)ที่ไหนก็ตาม ขอให้ยกข้อเท็จจริงอันนี้มาพูดกันในที่ประชุม เพื่อประโยชน์ในทางแก้ไขสังคม นี้คือโอวาท สำหรับพรนั้นไม่มีอะไร นอกจาก ถ้า อยู่ที่ไหนก็ดีที่นั้น (นาทีที่ 01:13:50) ทำดีเมื่อไรก็ดีเมื่อนั้น จงสุขเพราะประโยชน์ คือถ้าทำมันถูกต้อง ให้มันเป็นไปในทางที่เขาเรียกว่าเวียน เวียนไปในทางที่ถูกต้อง หมุนไปในทางที่ถูกต้อง อย่าหมุนไปในทางผิด แล้วสิ่งนั้นมันก็จะเป็นศีลเป็นพรเป็นอะไรขึ้นมาเอง การให้พร เหมือนกับที่เขาให้กันเปะปะหรือรดน้ำมนต์นี่ไม่ค่อยสำเร็จประโยชน์ มันต้องเอาไอ้พรจริงๆไป คือว่าจะต้องประพฤติและทำให้ถูกต้องตามคำแนะนำสั่งสอน ถ้าเห็นด้วยก็ไม่ต้องเชื่อ คือไม่ต้องฟังเชื่อทันที เอาไปคิดว่าเห็นด้วย ก็ทำสิ่งที่ … (นาทีที่ 01:14:54) ที่เห็นด้วย มีเหตุผลอันจะพอรับไหว ฉะนั้นจึงขออธิษฐานภาวนาว่าขอให้ประสบความสำเร็จแล้วก็เป็นนักสังคมที่ดี ไม่ว่าจะเป็นสังคมแขนงไหน สังคมมีหลายแขนง สังคมศาสตร์ สังคมวิทยา มีมากแขนงล้วนแต่เป็นเครื่องช่วยมนุษย์ให้ดีขึ้นทุกๆ แขนง ขอให้ประสบความสำเร็จในส่วนนี้ด้วยกันทุกคน มีความเจริญงอกงามไปตามทางของพระศาสนาทั้งส่วนตัวและส่วนของสังคม ด้วยความยึดมั่นอยู่ในพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา ความเจริญงอกงามตามมาทุกๆ เพลา ราตรี (นาทีที่ 01:15:56) กาลเทอญ
[T1]ไม่รู้ตัวสะกด
[T2]ฟังไม่ชัด และไม่รู้ตัวสะกด
[T3]ฟังไม่ชัด
[T4]ฟังไม่ชัด
[T5]ฟังไม่ชัด
[T6]ฟังไม่ชัด
[T7]ฟังไม่ชัด
[T8]ฟังไม่ชัด
[T9]ฟังไม่ชัด