แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๑๓ เมษายน สำหรับพวกเราที่นี่ อื้อ, ล่วงมาถึงเวลา ๔:๑๕ น. แล้ว เป็นเวลาที่จะได้กล่าว กันถึงเรื่องใด เรื่องหนึ่งตามเคย วันนี้เป็น ครั้งที่ ๑๓ ของการบรรยาย อื้อ, จะได้กล่าวถึงเรื่องที่ ๔ เออ, ของสิ่งที่จะต้องรู้ ก่อนที่จะมีการรักษาเยียวยา โรคทางวิญญาณ อื้อ, เราจะได้กล่าวด้วยหัวข้อว่า อภิธรรม เออ, ของชีวิต (ต่อ) หมายความว่า ต่อจากครั้งที่แล้วมา อื้อ, ทำไมจึงได้พูดเรื่องนี้ต่อ อื้อ, ก็เพราะเหตุว่า มันยังมี แง่ลึกหรือส่วนลึก เออ, ของเรื่องนี้ อื้อ, คือ เรื่องโรคของชีวิต ยังเหลืออยู่บ้าง เออ, สำหรับจะให้รู้ต่อไป อื้อ, ที่เรียกว่า เป็นเรื่องอภิธรรมของชีวิต แต่ก็ยังไม่ลึก อ่า, จนถึงกับเป็นส่วนเกิน
ตรงนี้อยากจะซ้อมความเข้าใจ เออ, อีกครั้งหนึ่ง สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง ว่าอภิธรรมคำนี้ มันแปล ได้ว่าธรรมะส่วนยิ่งก็ได้ ธรรมะส่วนเกินก็ได้ คำว่า อภิ โดยปกติแปลว่า ยิ่ง อภิธรรม แปลว่า ธรรมอันยิ่ง ทีนี้คำว่า ยิ่งนั้น ขอให้สังเกตดูให้ดีทุก ๆ คน มันยิ่งไปในทางเกิน หรือว่ามันยิ่งไปในทางสูงสุด อื้อ, ถ้ามันยิ่งไปในทางสูงสุด มันก็มีประโยชน์ หรือมันเรียกว่าดี อื้อ, แต่ถ้ามันยิ่งไปในทางเกิน เออ, มันก็ดีเกินไป จนถึงกับใช้ไม่ได้ อื้อ, ถือว่าเสียเวลาเปล่า ๆ ฉะนั้นอภิธรรมของเรา มันก็มีความหมายไปใน ทางธรรมะอันยิ่ง อันสูงสุด ไม่ ไม่ใช่ส่วนเฟ้อหรือส่วนเกิน ไม่ต้องเกินในส่วนการศึกษาเล่าเรียน จนถึงกับต้องใช้ ก้อนกรวด หรือเม็ดมะขาม ช่วยในการเรียน แล้วก็ยิ่งเรียนก็ยิ่งยกหูชูหาง เป็นอาจารย์อภิธรรม โกรธง่าย โกรธเร็ว ขี้เหนียวจาก อ่า, อาจารย์พวกอื่น ตามที่ปรากฏอยู่ นี่ว่ามันเกินในส่วน อื้อ, ความรู้หรือการศึกษาเล่าเรียน แล้วก็ต้องไม่เกินในฝ่ายวัตถุ อื้อ, เป็นอภิธรรมรังหนู
คุณอาจจะไม่เข้าใจคำว่า อภิธรรมรังหนู คือมันเกิดเป็นประเพณีขึ้นมาว่า ถ้าใครจัดให้มีการเทศน์ อภิธรรม หรือว่าสร้างคัมภีร์อภิธรรมล่ะก็ เป็นการได้กุศลสูงสุดโปรดพ่อโปรดแม่ได้ ก็เลยสร้างพระคัมภีร์ อภิธรรมใบลานกันเป็นการใหญ่ สมัยก่อนโน้น อือ, ชุดละ ๑๕ บาทเป็นคัมภีร์ใบลาน ๗ อ่า, ๗ ผูกนะ อ่านก็ไม่รู้เรื่อง เพราะว่าเขาทำเพียงว่า ให้สร้างกันขึ้นไว้ในพระพุทธศาสนา พวกเจ๊กก็เขียนขาย แล้วก็เที่ยวเร่ ขาย ทุก ๆ บันไดเรือน เขาก็สร้างกันไว้มาก แต่ละวัดละวัด จนไม่มีที่เก็บ ต้องไว้บนเพดานของโรงฉัน มันก็กลายเป็นรังหนู เต็มไปหมด นี่มันก็เฟ้อในส่วนวัตถุด้วย หลีกเลี่ยงการเฟ้ออย่างนี้ ให้เหลือแต่อภิธรรม ที่จำเป็น แล้วก็เป็นส่วนยิ่งหรือสูงสุด อื้อ, ให้สมกับคำว่า อภิธรรม อื้อ,
ซึ่งใน อ่า, สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ใช้คำนี้ อื้อ, ถึงจะมีใช้ ก็มีใช้อย่างภาษาธรรมดา หรือว่าธรรมะส่วนเกิน มีไว้สำหรับนักปราชญ์ หรือผู้ที่มีกำลังมันสมองเหลือเฟือ อื้อ, ส่วนคนทั่วไปไม่ต้อง คู่กันกับคำว่า อภิวินัย อภิวินัยก็เหมือนกัน เป็นส่วนเกินสำหรับผู้ที่จะรู้เพื่อเป็นนักปราชญ์ อภิธรรมก็เป็น ส่วนเกิน สำหรับจะรู้เพื่อเป็นนักปราชญ์ ตามปกติก็ธรรมวินัยเฉย ๆ ก็พอ อื้อ, ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่า อภิธรรม อือ, เป็นคำที่บัญญัติขึ้นใช้ในยุคหลัง จนกระทั่งเกินเลยเถิดไป ทีนี้เราดึงกลับมาให้พอดี อื้อ, เพราะมันเป็นคำที่ เป็นสถาบันในตัวมันเอง ถือเป็นคำศักสิทธิ์จนเป็นที่สนใจของทุกคน อื้อ,
ทีนี้เราก็จะได้พูดถึง ความหมาย อ่า, ของอภิธรรม ต่อไปจากครั้งที่แล้วมา ซึ่งได้ เออ, ครั้งที่แล้วมา ได้พูดถึงเรื่องสุญตา แล้วก็บอกว่า ไม่มีอภิธรรมไหน นอกจากเรื่องสุญตา ที่จะเป็นอภิธรรมจริง คือ เป็นการ บอกความจริงถึงที่สุด บอกความไม่มีคน หรือว่างจากคน นี่เป็นอภิธรรมจริง อภิธรรมสูงสุด อื้อ, ถ้าให้วก กลับไปหาคน ไปหาสวรรค์ ไปหาสุคติ ตามความต้องการของคนนี่ มันก็เป็นอภิธรรมที่เฟ้อไป จนวกกลับมา เข้าหา เรื่องต่ำ ๆ เตี้ย ๆ จะได้ไปเกิดในสวรรค์ ด้วยมหากุศลอย่างนั้นอย่างนี้ อ่า, ไป ไปติดอยู่ที่นี่ ไม่ว่าง มันก็เลยเป็นสิ่งที่น่าหัวเราะ
ตั้งปัญหาดูง่าย ๆ นิดเดียวว่า เรื่องไม่มีคนกับเรื่องมีคนนี่ อันไหนจะเป็นอภิธรรมกว่า อย่าเข้า อย่า อย่าทำเล่นกับไอ้คำถามข้อนี้ คุณเอาไปคิดได้ตลอดชีวิต ว่าเรื่องไม่มีคนกับเรื่องมีคนนี่อันไหนมัน มันลึกซึ้งกว่า แต่พอมาถึงตอนนี้ เออ, ก็จะต้องระวังมิจฉาทิฐิ ไอ้เรื่องมีคนเรื่องไม่มีคนนี้ มัน มันกลายเป็น เรื่องมิจฉาทิฐิไป โดยไม่ทันรู้ตัวก็ได้ อื้อ, พูดว่ามีคน แล้วก็คนนี้ด้วย คนนี้เวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยคนนี้ แล้วก็มีคน อย่างนี้เขา เรียกว่า มิจฉาทิฐิ ชนิดสัสสตทิฐิ สัสสตะ แปลว่า มีอยู่ อื้อ, เพราะจัดเป็นมิจฉาทิฐิ เหมือน ๆ กัน อื้อ, เพราะมันยึดมั่นไปในทางคน แล้วก็มีอยู่แล้ว นี่ถ้าว่าคนไม่มีเสียเลย มันก็เป็นมิจฉาทิฐิอีกชนิดหนึ่ง เขาเรียกว่า นัตถิกทิฐิ นัตถิก แปลว่า ไม่มี สัสสตะ แปลว่า มีอยู่อย่างเที่ยงแท้ ทั้ง ๒ อย่างนี้มันก็เป็นมิจฉาทิฐิ อื้อ, สัสสตทิฐิ มันก็มีอยู่ อย่างเที่ยงแท้ตลอดเวลา คือ คนนั้น นัตถิกทิฐินั้นกลายเป็นว่า ไม่มีอะไรเลย
ส่วนพุทธศาสนาที่ถูกต้องนี้ มันมีอยู่ตรงที่ว่า มันมีทุกอย่าง แต่ไม่ควรเรียกส่วนไหนว่าคน อื้อ, ไอ้ สัสสตทิฏฐิ มันก็เป็น Positive อ่า, มากเกินไป ไอ้นัตถิกทิฐิ มันก็เป็น Negative มากเกินไป ที่อยู่ตรงกลางนี่ เป็น Positive เฉพาะ เมื่อเราพูดกันอย่างสมมุติ อย่างโลก ๆ มันก็เป็น Negative เมื่อพูดกันอย่าง ความจริง อันสูงสุด พูดอย่าง Negative truth เออ, ก็มีคน พูดอย่าง Absolute truth ก็ไม่มีคน ให้จำไว้อย่างนี้
ทีนี่ทำไมจึงจะพูด เรื่องไม่มีคน นี่ล่ะเป็นปัญหา หรือเป็นอภิธรรมตรงนี้ เพราะความรู้สึกที่ว่า มีคนนะ มันทำให้เกิดความทุกข์ แล้วก็อย่างละเอียดด้วย ที่จริงไอ้ที่ว่ามีคนนี่ เป็น Instinct อันหนึ่ง ซึ่งสัตว์มีชีวิต จะต้องมี อื้อ, ในวิชาจิตวิทยาจะเป็นอย่างของ สมัยปัจจุบันนี้หยก ๆ มันก็พูดถึงไอ้ Instinct ที่ที่ทำความรู้สึกว่า เรามีอยู่ แล้วมันเป็นของธรรมชาติ ธรรมชาติที่มีชีวิต จะต้องรู้สึกเรามีอยู่ นี่เป็นที่แน่นอน นักจิตวิทยา สมัยโบราณ ในประเทศอินเดีย ของนักปราชญ์ ของฤษีมุนี มันก็เล็งถึงข้อนี้ว่า คนนี้มีอยู่ อื้อ, พูดไปในรูปมีอยู่ ทั้งศาสนาฮินดู หรือศาสนาพราหมณ์ หรือยอดของศาสนาพราหมณ์ คือ เวตันตะ (นาทีที่ 12:03) นี่ก็พูดไปใน รูปมีอยู่ทั้งนั้น อัตตานี่มีอยู่ แต่ก็ไม่พ้นที่จะ ให้รู้ว่าอัตตาไหนปลอม อัตตาไหนจริง อัตตาที่ทำให้เกิดความทุกข์ นั้นปลอม อัตตา ที่ไม่ทำให้เกิดความทุกข์ เขาหาว่าจริง ส่วนพุทธศาสนาไม่อยากจะเรียกว่า อัตตา มันเสียทั้ง ๒ อย่างเลย อื้อ,
ทีนี้ไอ้ที่มันไม่ทำให้เกิดความทุกข์นี่ เมื่อไม่เรียกว่า อัตตา ไม่เรียกว่า ตัวตน แล้วจะเรียกว่าอะไร อื้อ, ก็เลยไปเรียกว่า ธรรมชาติบริสุทธิ์ ธรรมชาติล้วน ๆ ธรรมชาติที่ประกอบอยู่ด้วยสติปัญญา อื้อ, ไม่ต้องมีอัตตา ไม่ต้องมีตัวกู ไม่ต้องมีของกู แม้ความรู้สึกที่เรียกว่า Egotism นี่ มันก็จำเป็น ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องมี อื้อ, มันพูดได้โดย Logic ว่า ถ้ามันไม่มีความรู้สึกว่า ตัวเรามีและอยากมีชีวิตอยู่แล้ว สิ่งต่าง ๆ ก็มีขึ้นมาไม่ได้ วัฒนา วิวัฒนาการอยู่ไม่ได้ เช่น ต้นไม้ก็มีอยู่ไม่ได้ อื้อ, มันก็จะไม่มีไอ้ความรู้สึกอันหนึ่ง ซึ่งทำให้ อ่า, เซลล์ต่าง ๆ ในต้นไม้นั้น ดิ้นรนแสวงหาอาหาร หรือเจริญงอกงาม อื้อ, ดูว่ามันต้องการแสงแดด มันต้องการอะไร อย่างเห็นได้ชัด ในความรู้สึกที่อยากจะอยู่ ฉะนั้นอันนี้มันก็เป็นรากฐานของชีวิต ทำให้ชีวิตมีอยู่
แต่ในระดับต้นไม้นั้น ไอ้ความรู้สึกว่าตัวฉันนั้น มันยังไม่เข้ม ไม่เข้มข้น ถึงจะเรียกได้ว่า เป็น ทิฐิ หรือเป็นอะไรขึ้นมา แต่มันเป็นความรู้สึกที่มีอยู่ ว่าเรามีอยู่ เราจะต้องอยู่ เราจะไม่ตายนี่ อื้อ, พอมาถึง สัตว์เดรัจฉาน มันก็มีมากขึ้นไปอีก นี่มันเป็นสิ่งที่เคลื่อนที่ได้และวิวัฒนาการสูงกว่า ปัญหาของสัตว์เดรัจฉาน ก็มีมากกว่าต้นไม้ อื้อ, ปัญหาในเรื่องที่ เรียกว่า ฉันมีอยู่ ฉะนั้นสัตว์เดรัจฉาน จึงมีการแสวงหาอาหาร หรือการต่อสู้ หรือการอะไร ที่มันรุนแรงกว่าต้นไม้ อื้อ, มันก็เริ่มส่อแสดง อาการแห่งความทุกข์ให้เห็น ไม่มากก็น้อย
ทีนี้พอมาถึงคนนี่ ปัญหามันอยู่ที่ความเป็นคนนี่ อื้อ, เป็นคนตอนแรก ๆ ก็ไม่ค่อยสนใจ เออ, อะไรนัก ไอ้เรื่องตัวกูนี่ มันปล่อยไปตามธรรมชาติ คล้ายสัตว์เดรัจฉานอยู่มากเหมือนกัน แต่พอมาถึงระยะหนึ่ง ที่เป็นคนเต็มที่ เออ, มีความคิดนึกสูง รู้จักผิดชอบ ชั่วดี ตอนนี้ความเป็นคนแสดงพิษ หรือว่าแสดงฤทธิ์เดช ออกมาเต็มที่ อื้อ, มีความทุกข์ อ่า, อย่างลึกซึ้ง ละเอียดลึกซึ้ง สุขุม เออ, เกิดขึ้นมาใหม่นี่ อย่างสนา เออ, พวกคริสเตียนเขาพูดว่า เมื่อมันกิน อื้อ, ผลไม้ที่พระเจ้าห้ามเข้าไปเป็นครั้งแรก มันก็เริ่มมีความทุกข์ เพราะว่าผลไม้ที่มันกินเข้าไปนั้น ทำให้มันรู้จัก ยึดดียึดชั่ว มีความเป็นคนเข้มข้น เขาถือว่าเป็นทุกข์ตั้งแต่นั้น แล้วก็ตายตั้งแต่ตอนนั้น หมายความว่า ตายจากความสงบสุข ตามธรรมชาติ มีความยุ่งยากลำบาก จะต้องไป ดิ้นรนต่อสู้ ให้ชนะความตายอันนี้ ไปมีชีวิตใหม่ข้างหน้า อย่างสูง อย่างไม่มีตัวตน อย่างเห็นแก่พระเจ้า อย่างมีก็มีของพระเจ้า ไม่ใช่มีของเรา อื้อ, อันนี้คล้ายกันแทบทุกศาสนา
ฉะนั้นศาสานาพุทธก็ ให้ สอนให้รู้จักมีตัวตนชนิดที่ ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่ตน หมายความว่า สัญชาตญานแห่ง ความรู้สึกว่าเรามีอยู่นี่ ต้องถูกควบคุม อื้อ, Egoism อ่า, ที่มันเจริญวิวัฒนาขึ้นมาเรื่อยนี่ ต้องถูกควบคุมยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ตามส่วนที่มันวิวัฒนาเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นมนุษย์จะมีความทุกข์ มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็มากกว่าต้นไม้ มากกว่าอะไร อีกมาก มากจน จนเหลือที่จะ เออ, มีมันเป็นมนุษย์ เออ, เหลือที่จะเป็นมนุษย์ที่มัน สมควรแก่คำว่า มนุษย์ คือ มันมีความทุกข์มากเกินไป ฉะนั้นความรู้อันนี้ เกิดขึ้น อื่อ, เป็นความรู้ สำหรับควบคุม ความรู้สึกที่ว่า เรามีอยู่ หรือว่ากูมีอยู่นี่ ให้มัน อื่อ, ไม่เป็นอันตราย ฉะนั้นความรู้ส่วนนี้เราเรียกว่า อภิธรรม ในที่นี้ เพราะคำอื่นก็ไม่เหมาะ
นี่อยากจะ เออ, ให้ไอ้สูตรท่องจำ Formula สำหรับท่องจำว่า คนนี่ มันมีได้ทั้งที่ไม่มีคน อื้อ, ถ้าคุณเข้าใจประโยคนี้ มันก็เข้าใจไอ้เรื่องนี้แหละ ถ้าไม่เข้าใจประโยคนี้ มันก็ไม่เข้าใจ อื้อ, จะไปพูดกับชาวบ้าน หรือจะไปพูดกับพวกฝรั่ง อะไรก็ตาม มันก็คงจะหัวเราะ แล้วก็ไม่เข้าใจจนกว่ามันจะเข้าใจ เพราะว่าเราพูดว่า คนมีได้ มีอยู่ทั้งที่ไม่ใช่คน ทั้งที่ไม่มีคน คนมีได้ทั้งที่ไม่มีคน ให้มันสั้นที่สุด หมายความว่า ตามธรรมชาติ อันแท้จริงนั่น มันเป็นเพียงไอ้วิวัฒนาการของสิ่งที่มีชีวิต เป็นต้นไม้ เป็น เออ, สัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ ไปตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ แล้วก็เป็นตัวธรรมชาติ
ทีนี้ใน ใน ในตัวธรรมชาตินั้น มีความรู้สึกว่าเราเป็นเรา อ่า, เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมา เข้มข้นขึ้นทุกที อื้อ, ถ้าธรรมชาตินี้ยังไม่วิวัฒนาการ ไอ้ความรู้สึกที่ว่าเราเป็นเรา มันก็มีน้อย มีน้อย ๆๆ น้อยจนเรียกได้ว่า แทบไม่ ปรากฏ เช่น ในต้นไม้นี้ ไอ้ความรู้สึกที่ว่า เราเป็นเรานี่ มัน มัน มันน้อยเกินไป จนไม่ อื้อ, ไม่เป็นความรู้สึกที่ รุนแรงหรือเดือดร้อน ต้นไม้ก็อยู่ได้ หากิน หาเลี้ยงชีวิตได้ เจริญงอกงามขึ้นมาได้ พอเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็มากกว่านั้น พอเป็นคนก็มากกว่านั้น เพราะฉะนั้นคน จึงเป็นสัตว์รับบาปถึงที่สุด คือ มีความทุกข์เพราะมี ตัวกูนี่ มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน หรือต้นไม้
เดี๋ยวนี้เราก็มาศึกษาเรื่องนี้เอง ให้รู้จักไอ้ความเป็นคน ที่มีได้โดยไม่ต้องมีคน และควบคุมมันให้ได้ เพราะฉะนั้นไอ้ ไอ้ความรู้ที่สำคัญนี่ก็คือ อือ, ความรู้ที่จะควบคุมความรู้สึก ว่าตัวกูนี่ให้ได้ จะเป็นการควบคุม ชนิดที่ไม่ให้มันทำผิด หรือว่าจะเป็นความ การควบคุมให้มันไม่รู้สึกว่าเป็นตัวกูเสียเลยอย่างนี้ แล้วแต่จะ สามารถทำได้เท่าไร ดู ๆ มันก็เป็นเรื่อง อ่า, น่าหัวก็ได้ อ่า, น่าสงสารก็ได้ อื้อ, เป็นคนแล้วก็มาสอน กันถึง เรื่องให้รู้ว่าไม่ใช่คน อื้อ, มันยากที่จะเข้าใจ แก่คนที่ว่ามันหลงในความเป็นคนมาก โดยเฉพาะคนสมัยนี้ แม้เรียนมหาวิทยาลัย เป็น Professor เป็นอะไร มันก็ยิ่งมีความหลงในความเป็นคนมากขึ้น
นี่ก็คือเรื่องยาก อ่า, ของพุทธศาสนา อ่า, ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ที่มันยากถึงขนาดที่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ ทรงลังเล ว่าจะสอนดีหรือไม่สอนดี ไอ้เรื่องนี้มันลึกเกินไป ครั้งแรกก็ทรง น้อมพระทัยไปในทางที่ว่าจะไม่สอน มันยากเกินไป แต่ความลังเลมันมีอยู่ เพราะความกรุณา มันมาช่วยสมทบ พระพุทธเจ้าท่านจึง กลับพระทัยใหม่ว่า เอ้า, สอน เผื่อว่าคนบางคนมันจะเข้าใจได้ ถ้าไม่สอน ไอ้คนบางคน นั่นแหละ จะสูญเสียประโยชน์ที่ควรจะได้รับ เพราะฉะนั้นจึงทรงสอน เรื่องหัวใจของธรรมะ คือ เรื่องไม่มีคน ที่เรื่อง ที่เรียกว่า เรื่องอนัตตา หรือเรื่องสุญตา มีแต่ธรรมชาติล้วน ๆ เป็นไปตามธรรมชาตินี่ อื้อ, ถ้าในนั้น เกิดความรู้สึกที่ถูกต้องก็ไม่มีทุกข์ ในนั้นรู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่ถูกต้อง ในธรรมชาตินั้น ก็จะเป็นทุกข์ขึ้นมา ไม่ต้องเอามาจากไหน อื้อ, เอามาจากภายใน ในตัวธรรมชาตินั้น เพราะฉะนั้นอะไร ๆ มันจึงมารวมอยู่ใน ในคน ในสิ่งที่เรียกว่า คน ปัญหาต่าง ๆ มันมารวมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า คน
ทีนี้คำว่า คน นี่ในภาษาธรรมดา ก็จะหมายถึง คน ๆ หนึ่งใช่ไหม มีกายกับใจเป็นคน ๆ หนึ่ง แต่ในภาษาธรรมะอันลึกซึ้ง คำว่า คน หมายถึง ความโง่ ความยึดมั่นสำคัญผิด ว่าฉัน ว่าคน อื้อ, คน คือ ผลิตผลของมิจฉาทิฐิ หรือว่าในความเห็นที่ยังไม่ตรงว่า เข้าใจว่าเราเป็นคน อื้อ, นี่อย่าเอาไปปนกัน คนในทางฝ่ายฟิสิกส์ มันหมายถึง ไอ้ร่างกายที่ยาววา ๑ นี่ มีความคิดนึกได้นี่ แต่คนทางฝ่าย Spiritualism มันก็หมายถึง ไอ้ความเข้าใจผิด ที่เรียกว่า อุปาทาน ว่ามีตัวฉัน มีคน นั้นเป็นมายา อย่างยิ่งเลย แต่ใครจะไป รู้ล่ะว่ามันเป็นมายา เพราะว่าเมื่อจิตนี้ถือเสียว่าฉันเป็นคน แล้วมันก็ว่าเป็นของจริง เป็นของจริงของจิต ที่มันไม่รู้อะไร
ทีนี้มันก็เกิด ๒ อ่า, ๒ คนขึ้นมา คนทางร่างกาย แล้วก็คนทางไอ้มิจฉาทิฐิ หรืออุปาทาน อื้อ, ทีนี้แล้ว สำหรับคนทาง มิจฉาทิฐิ หรืออุปาทาน ว่า ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนนี้ มันก็เห็นชัดอยู่แล้ว มันพูดชัดอยู่แล้ว ว่ามันเป็น อวิชชา ความโง่ ความเข้าใจผิด ความหลง ความลวง อื้อ, ของอวิชชาโดยไม่รู้สึกตัว อื้อ, ทีนี้มาถึง ไอ้ตัวคนฝ่ายฟิสิกส์นี่ ตัวคนที่มันมีร่างกายเป็นคน มีความรู้สึกนึกคิดอยู่ในนั้นได้ นี่มันก็เป็นคน เราจะถือว่า มันมีอยู่จริง หรือไม่มีอยู่จริง มันก็แล้วแต่ อื้อ, สติปัญญาเหมือนกัน ตามปกติเราต้องถือว่ามีอยู่จริง แต่ว่าสิ่งนั้นมันจะควรเรียกว่า คนหรือไม่ควร เรียกว่าคนนั้น มันอีกเรื่องหนึ่ง
ภาษาธรรมดาเขาถือว่า มันต้องเรียกว่า คน เพราะเราพูดกันมาตั้งแต่ เกิดมาก็ต้องเรียกว่า คน ถ้าไม่อย่างนั้น มันพูดกันไม่รู้เรื่อง มันฟังกันไม่รู้เรื่องใน ใน ในภาษาพูด อื้อ, ในร่างกาย อ่า, ร่างกาย ร่าง ตัวร่างกายที่ยาววา ๑ มีความรู้สึกนึกคิดได้นี่ คือ คนในฝ่ายฟิสิกส์ อื้อ, แต่แล้วไอ้ความรู้สึกคิดนึกได้ ที่มีอยู่ใน คนฝ่ายฟิสิกส์นี่ จะเป็นต้นเหตุ ของความมีคนในส่วน อ่า, ที่มันเป็น ปัญหา เป็นปัญหาของศาสนา เพราะว่า ถ้าความรู้สึกอันนั้นมันเดินไป ในทางยึดมั่นถือมั่น ต้องมีความทุกข์ขึ้นในคนนั้นแหละ ในร่างกายที่ยาว ประมาณวา ๑ นั่นแหละ ถ้ามันไม่มีความเห็นผิด เกิดขึ้นในร่างกายที่ยาววา ๑ นั้น ก็ยังไม่มีความทุกข์ หรือมีความไม่มีทุกข์อยู่
เดี๋ยวมันก็มีความทุกข์ เดี๋ยวก็มีความไม่ ไม่มีทุกข์ ในร่างกายที่ยาววา ๑ นี้ แล้วมูลเหตุที่เป็นอย่างนั้น คือ มูลเหตุที่ทำให้ทุกข์ก็มีอยู่ในนั้น หรือสติปัญญาที่จะทำให้ไม่ทุกข์ มันก็มีอยู่ในนั้น รู้จักควบคุมให้ได้ รู้จักแยกกันให้ได้ เอาแต่ไอ้ ไอ้ฝ่ายที่มันจะไม่เกิดความทุกข์ก็แล้วกัน อะไร ๆ ในร่างกายที่ยาววา ๑ นี้ เอาแต่ฝ่าย ที่ไม่เกิดความทุกข์ก็แล้วกัน นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัส เออ, เป็นคำที่น่าสนใจ อีกคำหนึ่งคือคำว่า โลก แทนที่จะ เรียกว่า ความทุกข์ ท่านเรียกว่า โลก เพราะว่าโลกนั่น เป็นความหมายของความแตก แตกดับได้ และแตกดับ อยู่เสมอ อื้อ, ความทุกข์ก็คือโลก โลกก็คือความทุกข์ แล้วก็เอาโลกนี่มา มาอยู่ในคน โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับสนิทแห่งโลกก็ดี สติปัญญาที่ให้ถึงความดับสนิทแห่งโลกก็ดี ล้วนแต่อยู่ในคน
ขอให้เข้าใจ ว่าภาษาธรรมะ ที่ใช้พูดกันอยู่ ศึกษากันอยู่ มันเป็นอย่างนี้ มันตีกันยุ่งกว่าภาษาชาวบ้าน คำว่า โลก มันอยู่นอกคน เขาหมายถึง ไอ้ตัวโลก The Globe นั่น มันก็อยู่นอกคนจริงสิ คนก็เป็นส่วนนิดหนึ่ง อนุภาคนิดหนึ่งของไอ้สิ่งที่เรียกว่า The Globe อื้อ, พอมาถึง The world แล้วก็มีปัญหา ว่า world ชนิดไหน กันแน่ ถ้า world อย่าง The Globe มันก็ ถูกแล้ว มันก็ใหญ่โตอยู่นอกคน ถ้า world อย่างความรู้สึกนึกคิดแล้ว มันก็อยู่ในคน มารวมอยู่ในคนที่ยาววา ๑ นี่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้มันคงแปลก และลำบากสำหรับพวกคุณ ที่ไม่เคยฟังมาก่อน ไม่เคยสนใจมาก่อน ก็เอาไปคิดไปนึกดู อื้อ, คุณก็จะพูดว่า คนอยู่ในโลก แต่พระพุทธเจ้า ท่านว่า โลกอยู่ในคนนี่ ลูกศิษย์กับอาจารย์ มันก็พูดกันไปคนละทาง อย่างนี้ อื้อ,
ต่อเมื่อไรคุณมีความเห็นชัดว่า โลกอยู่ในคน เมื่อนั้นนะจะเข้าใจ อื้อ, คำพูดของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าว่า โลกก็ดี เหตุที่ทำให้เกิดโลกก็ดี เออ, ก็อยู่ในคน แล้วยังแถมว่า ความอยู่เหนือโลกก็ดี ก็อยู่ในคน ไอ้นอกโลก เหนือโลก ก็อยู่ในคน คนในที่นี้หมายถึง ทางฟิสิกส์ คือ ร่างกายที่ยาวประมาณวา ๑ มีความรู้สึก คิดนึกได้ ให้เราหามองให้เห็น โลกก็ดี เออ, เหนือโลกก็ดีอยู่ในคน นี่จะเป็นเหตุให้เข้าใจว่า กิเลสก็ดี ความทุกข์ก็ดี นิพพานก็ดี มันอยู่ในร่างกายที่ยาวประมาณวา ๑ นี้ แล้วแต่จะเอาอันไหนออกมา แล้วแต่ว่าจะดึง เอาอันไหนออกมา ในความรู้สึก ถ้าดึงเอาไอ้ส่วนโง่ขึ้นมา ในความรู้สึก มันก็เป็นทุกข์แน่นอน มันไม่ได้มีคน อยู่จริง ถ้าดึงเอาอภิธรรมแท้ขึ้นมา จะรู้ความจริง เออ, ถึงไม่มีคนได้ มันก็ไม่มีความทุกข์ ฉะนั้นชีวิตนี้ มันก็ไม่มีความทุกข์ อื้อ,
เราจึงเรียกว่า อ่า, เป็นความรู้ เพียงข้อเดียว เรื่องเดียว แล้วก็ลึกซึ้งที่สุด คือ ความรู้เรื่องไม่มีคน แล้วดับทุกข์ให้ได้ เอตังสันตัง เอตังปะนีตัง (นาทีที่ 29:17) เรื่องนี้ลึกซึ้ง เรื่องนี้ประณีต ยะทิทังยะ สัพพะสังขาระสะมะโถ (นาทีที่ 29:22) เรื่องนี้คือเรื่อง ที่สงบระงับเสียได้ ซึ่งสังขารทั้งปวง อื้อ, สังขาร คือ การปรุงแต่งทางกาย ทางวัตถุ ทางจิต ทางใจ อะไรก็ สังขารที่มันปรุงแต่ง อื้อ, นี้มันก็เป็น เออ, สัตว์ เป็นคน เป็นความรู้สึกคิดนึก เป็นตัณหา อุปาทาน นี่คือ สังขารทั้งปวง แล้วมันเป็นทุกข์ ที่จะดับอันนี้เสียได้นี่ ละเอียด ลึกซึ้ง สุขุม อื้อ,
บวชระหว่างปิดภาคเพียงเดือน ๑ นี่คงจะ ทำให้แจ้งไม่ได้ ทำให้แจ้งในเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ก็ต้องพยายาม หาวิธีให้เข้าใจ ไว้สำหรับเอาไปทำให้แจ้งในโอกาสข้างหน้า อื้อ, หรือว่าถ้าใครจะสามารถทำให้แจ้ง ได้เดี๋ยวนี้ ก็วิเศษนะ แต่ว่าทำให้แจ้งในส่วนที่มันเป็นวิธีการ หรือว่าเป็นความจริงอันหนึ่งไว้ก่อนก็ได้ แม้ว่ายังจะ ยัง ยังควบคุมมันไม่ได้ ยังละมันไม่ได้ แต่ก็ให้รู้ว่ามันเป็นอย่างไร จะต้องควบคุมมันอย่างไร แล้วมันอยู่ที่ไหน ถ้าเอาไปไว้ที่อื่น คือ ข้างนอก นอก นอกร่างกายออกไปแล้ว นั้นมันก็ ก็ผิดแน่ สำหรับเรื่องนี้นะ เรื่องนี้โลกก็ อยู่ในคน เหนือโลกก็อยู่ในคน คนในที่นี้หมายถึง ร่างกายที่ยาว ประมาณวา ๑ นี่ นี่คือเรื่องคนก็อยู่ในโลก หรือว่าโลกก็อยู่ในคน อื้อ, มันก็สนุกดี
ทีนี้ไอ้เรามันไม่รู้ว่า ไอ้โลกที่แท้จริง หรือไอ้เหนือโลกจริง มันอยู่ในร่างกายที่ยาววา ๑ นี้ แล้วก็หันไป หาความดับข้างนอกโน้น สวรรค์อยู่ที่ไหน นรกอยู่ที่ไหน นิพพานอยู่ที่ไหน จิตใจมุ่งออกไปนอก ไกลลิบไป ทุกที ๆ เหมือนกับเทวดาองค์นั้น เขาจะไปหาที่สุดแห่งโลก ว่ามันอยู่ตรงไหน อื้อ, หาเท่าไรก็ไม่พบ เกิด อ่า, ตายเกิด ตายเกิดอีกกี่ร้อยชาติ มันก็ไม่พบ อ่า, เพราะว่าเขาว่ามันมีความเร็ว ที่จะไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าเหาะ แล้วก็ว่าจากไอ้โลกฝ่ายนี้ ไปสู่สุดโลกฝ่ายโน้น โลกกลม ๆ นี้ได้ในพริบตาเดียวนี้ เขาก็หาที่สุดแห่งโลกไม่พบ ก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ว่ามันอยู่ที่ไหน ที่สุดโลกนี่ พระพุทธเจ้าท่าน จะต้องตรัสทำนอง ถ้าเราพูดสมัยนี้หยาบ ๆ ก็จะตรัสว่า ไอ้บ้านี่ มันอยู่ข้างใน อ่า, ร่างกายที่ยาววา ๑ นี้ อื้อ,
ดังนั้นการที่จะไปหา อือ, อะไรข้างนอก นอกร่างกายที่ยาววา ๑ นี้ มัน มันไม่ใช่เรื่องของ อ่า, ธรรมะ ไม่ใช่เรื่องของศาสนา มันต้องหาความทุกข์ หาความดับทุกข์กันในร่างกายที่ยาววา ๑ นี้ เดี๋ยวนี้คนทั้งปวง อือ, เขาไปเที่ยวหา ไอ้ความดับทุกข์ นอกโลก อ่ะ, นอกร่างกายนี้ นอกคนนอกร่างกายนี้ อื้อ, มัวแต่จะจัดการ อ่า, กับเรื่อง อ่า, โลก นอก นอก นอกตัวนี้ อื้อ, มันก็มีอาการเหมือนกับคนบ้า มันจะทำไปยังไงได้ ในเมื่อปัญหา มันอยู่ในตัวคน แล้วจะไปแก้กัน แก้ปัญหานอกตัวคน มันก็บ้า ไอ้พวกบ้ากันทั้งโลก มันก็ทำโลก ให้ปั่นป่วน วุ่นวาย นี่คุณก็ อ่า, กำลังศึกษาเล่าเรียน ที่จะช่วยกันทำโลกให้มันมีสันติ อื้อ, ถ้าจะให้มันเป็นสันติจริง มันก็ต้องจัดการในคนนี้ รักษาโรคก็รักษาโรคในคนนี่ ถ้าเป็นโรคกายก็ดี โรคทางวิญญาณก็ดี ต้องจัดการกัน ในคนนี่ แล้วสันติภาพของโลกนั้น มันมาจากไอ้ความโง่ของคน ทำให้เรื่องต่าง ๆ มันเกิดขึ้นมามาก
ทีนี้ความโง่ มันก็มีความหมายสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ไม่รู้จักจัด ไม่รู้จักทำอะไร ให้ถูกต้องในภายในร่างกาย และจิตใจนี้ ไปมัวจัดข้างนอกกันเสียเรื่อย อย่างนี้เขาเรียกว่า แก้กันที่ปลายเหตุ ก็ไม่มีทางจะจัดสำเร็จได้ แก้ที่จิตใจ ของคนที่เป็นต้นเหตุ แล้วมันก็จะออกไปเป็นสันติ หรือความสุข ออกไป ๆ ทั่วโลกได้ ไม่ใช่ไป บีบบังคับมาจากนอกโลก กระทั่งจะไปโลกพระจันทร์ หรือไปโลกพระอังคาร หรือโลกไหน ๆ มันก็เป็นเรื่อง หลอกตัวเอง อย่างดีที่สุดก็เรื่องหลอกตัวเอง อย่างเลวที่สุดมันก็หลอกผู้อื่น หรือว่าข่มขู่ผู้อื่น อื้อ,
เอาละสรุปความในตอนนี้ก็ว่า ให้รู้ว่าโลกมันอยู่ในคนก็แล้วกัน อื้อ, กี่โลก ๆ จะมีกี่ชนิด มันก็อยู่ใน คน คนในที่นี้ หมายถึงทางฟิสิกส์ คือ ร่างกายที่ยาวประมาณวา ๑ ยังมีความรู้สึกคิดนึกได้ คือ ยังไม่ตาย อือ, ไอ้โลกข้างนอกนั้น มันไม่ใช่โลก เออ, ที่เป็นตัวปัญหา ไอ้โลกข้างในนี่ เป็นโลกที่ว่า มันเป็น ตัวปัญหา หรือเป็น ต้นตอของปัญหาทั้งปวง แล้วมันเป็นสิ่งที่เราไป อ่า, แก้ไขโลกข้างนอกไม่ได้ อื้อ, ไปแก้ไข ก็เหมือนก็กับคนบ้า แล้วก็ยิ่งบ้า ถ้าแก้ไขโลกข้างใน มันอยู่ในวิสัยที่แก้ได้ และสำเร็จประโยชน์ได้ ไม่ใช่เรื่องบ้า อื้อ, เรื่องพุทธศาสนา ที่เรามาบวชกันชั่วคราว เพื่อจะศึกษานี้ มันเป็นเรื่อง สรุปแล้วก็คือ จัดการกับโลกข้างใน อื้อ,
ทีนี้อยากจะพูดถึงคำว่า เหนือโลกสักนิดหนึ่ง อื้อ, เหนือโลกนี่ เออ, คำบาลีว่า โลกุตระ อื้อ, โลกะ แปลว่า โลก กุตระ แปลว่า เหนือหรือยิ่งไปกว่า โลกุตระ จึงแปลว่า เหนือโลกหรือยิ่งไปกว่าโลก อื้อ, เมื่อก่อนหน้านี้พูดว่า โลกทั้งโลกก็อยู่ในคน คำว่าไอ้ โลกุตระ เหนือโลกยิ่งไปกว่าโลก ก็ยังอยู่ในคน อื้อ, ในร่างกายยาววา ๑ ที่มีจิตใจนี่แหละ ดังนั้นเขาให้หาให้พบ โลกุตระข้างใน อ่า, ใน ในคนนี้อีก ในร่างกายที่ ยาววา ๑ นี้อีก อื้อ, ไอ้คนที่เป็นมายา เกิดเป็นอุปาทาน ขึ้นมาว่า ตัวกู ของกูนั้น นั้นเป็นตัวทุกข์ เป็นตัวโลกที่ เป็นความทุกข์ อื้อ, ทีนี้ดับไอ้ตรงนั้นนะเสีย มันก็เป็นตัวไม่มีทุกข์ เป็นไม่มีโลก เป็นเหนือโลก
ทีนี้อยากให้พวกคุณ อ่า, ที่เรียนมาแต่โลกฟิสิกส์นี้เข้าใจได้ ก็จะต้องพูดว่า ในบางเวลาเท่านั้น จิตใจของเราอยู่เหนือโลก บ้างก็มี คือว่า เมื่อสิ่งแวดล้อมตัวเราทั้งหมด มันทำอะไรกับจิตใจของเราไม่ได้ เวลานั้นเรียกว่า เราอยู่เหนือโลกได้ อื้อ, หรือว่าเมื่อมันไม่ทำก็แล้วกัน เราไม่มีปัญญาความสามารถอะไร ในเมื่อมันไม่ทำ เมื่อมันยังไม่ได้มาทำ ก็เรียกว่า เมื่อนั้นเราอยู่นอกความครอบงำของโลกได้ แล้วกัน ก็เป็นโลกุตระ โดยอ้อม อื้อ, ก็เมื่อโลกมันยังไม่ครอบงำย่ำยี จิตใจยังสบายดีอยู่อย่างนี้ เมื่อนั้น เวลานั้น ที่นั้น พอจะเรียกได้ว่า เป็นโลกุตระตัวอย่าง โลกุตระโดยอ้อม
ให้เข้าใจกันเสียบ้างว่า เวลาไหนที่ไอ้ ไอ้โลกมันไม่ครอบงำเรา ไม่ ไม่ ไม่ครอบงำจิตใจของเรา จิตใจมัน ก็ไม่มีความทุกข์ หมายความว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส กามารมณ์ ต่าง ๆ ที่มันจะมาทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย มันไม่มาย่ำยีจิตใจนี้ก็ เรียกว่า เวลานั้นเป็นตัวอย่าง ให้เข้าใจคำว่า เหนือโลก เพราะฉะนั้นใน ชีวิตประจำวัน ของเรานี้ ก็มีอยู่เหมือนกัน อื้อ, ขณะบางขณะ ที่โลกมันไม่ย่ำยีจิตใจ อื้อ,
ทีนี้การที่โลกมันไม่ย่ำยีจิตใจ ถ้ามันเป็นเอง อ่า, ก็เรียกว่า มันบังเอิญเป็นเอง เราไม่มีความสามารถ อะไร อื้อ, แต่ในบางกรณีเราศึกษาเล่าเรียน ไอ้ ไอ้ของ ของวิเศษของพระพุทธเจ้านี่ เรารู้จักป้องกันไม่ให้ มันมาย่ำยี หรือว่าเราไล่มันออกไปได้ ตอนนี้พอจะ คุยได้ ว่าเรามีฝีไม้ลายมือ อื้อ, ที่จะต่อสู้กับมัน หรือกีดกัน มันออกไปชั่วขณะหนึ่ง ก็ยังดีว่า อย่ามาท่วมทับย่ำยี จิตใจ อื้อ, จิตใจนี้กำลังฟรี เป็นอิสระจาก จากโลก จากอำ อำนาจบีบคั้นของโลก นี่ก็เป็นโลกุตระตัวอย่างได้
ซึ่งเราก็จะทำได้มากขึ้นทุกที ถ้าเราศึกษาพุทธศาสนาให้ถูกต้อง อื้อ, แม้สิ่งที่เรียกว่า โลกุตระตัวอย่าง โลกุตระชั่วคราวนี่มีได้ อื้อ, แก่คนทุกคน เป็นชาวบ้านก็ได้ เป็นบรรพชิตอยู่ที่วัดก็ได้ เพราะว่าเรื่องจิตใจนี้ มันไม่มีพระ ไม่มี อ่า, ฆราวาสนะ พระหรือฆราวาสนี้ มันอยู่ที่แบบฟอร์มข้างนอกเท่านั้น ส่วนจิตใจมันยังคง เป็นจิตใจ ไปตามธรรมชาติ อื้อ, ฉะนั้นฆราวาส ที่เรียกว่า ฆราวาสอยู่ที่บ้านนี่ บางทีก็มีจิตใจอยู่เหนือโลก ได้เหมือนกัน ถ้าฉลาดพอ ถึงแม้ว่าอยู่ที่วัด ถ้ามันโง่ มันก็จมอยู่ใต้โลกได้เหมือนกัน ถ้าเอาจิตใจเป็นหลัก
ที่ว่ามันกำลังรู้หรือไม่รู้ กำลัง เออ, มีสมรรถภาพแค่ไหน ถ้ามันรู้ธรรมะ อ่า, เพียงพอ มันก็ช่วยป้องกันจิตใจ ไม่ให้โลกท่วมทับ ครอบงำ หรือขจัดออกไปได้ อื้อ, ฉะนั้นอย่าไปเข้าใจ เออ, เสียว่า ชาวบ้านทำไม่ได้ ทำได้แต่พระ เรื่องนี้ไม่มีชาวบ้าน ไม่มีชาววัด
ทีนี้ไอ้ความสำคัญมันมีอยู่อีก ข้อ ๑ ที่ว่า ถ้ามองให้ดี เข้าใจดีแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย อื้อ, ลองคิดดู ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย อื้อ, ที่ว่าไปเห็น เออ, เหลือวิสัยนั้น มันคือความโง่ของเรา อื้อ, จึงทำให้เห็นว่า เหลือวิสัย หรือว่า เราจะพูดกันอย่างแบบอะไร อ่า, อย่างแบบนักเลง เพราะถ้าพระพุทธเจ้า เอาเรื่องเหลือวิสัย อ่า, มาสอน มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร หรือพระพุทธเจ้าเอง ก็จะไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเอาเรื่องที่เหลือวิสัยของมนุษย์มาสอน มันไม่มีค่าอะไร เรื่องที่สอนก็ไม่มีค่าอะไร พระพุทธเจ้าเองก็ไม่มี ประโยชน์อะไร ฉะนั้นถ้าเรา เออ, จะรู้จักพระพุทธเจ้าให้ถูกต้อง ก็ต้องรู้จักว่า ท่านจะไม่ ท่าน ท่านต้องไม่สอน ไอ้เรื่องที่ไม่มีประโยชน์อะไร หรือว่าเหลือวิสัย อื้อ,
คุณควรจะต้องตั้งคำถามต่อมาว่า ทำไมต้องมาบวช อ่า, มาบวชทำไม ถ้ามันมา มาหาเรื่องเหลือวิสัย มันก็บ้าอีกนั่นล่ะ ไอ้การมาบวชนี่มันก็เป็นเรื่องบ้า เพราะมาหาเรื่องที่เหลือวิสัย และไม่มีประโยชน์อะไร นี้ถ้าว่ามาหาเรื่องที่เหลือวิสัย แล้วมันอยู่ตรงไหน ทำไมไม่เอาให้ได้ อื้อ, เพราะถ้าไม่สนใจ มันก็บ้าอีกชนิดหนึ่ง และมันก็ต้องสนใจ และเข้าใจ และเอาให้ได้ อ่า, ตามสัด ตามส่วน แม้แต่อย่างชั่วคราว อย่างตัวอย่างนี้ก็ยังดี ให้เข้าใจว่า แม้แต่ชาวบ้านไม่ได้บวช มันก็ไม่เหลือวิสัย ไอ้ที่มาบวช ก็มาให้มันใกล้ชิดเข้ามาหน่อย ให้มันง่าย ขึ้นมาหน่อย คือ ระบบการเป็นอยู่ของบรรพชิตนี้ มันสะดวกที่จะเข้าใจเรื่องนี้ มากกว่าชาวบ้าน อื้อ, แต่ก็ไม่ได้ หมายความว่า ชาวบ้านจะไม่อาจเข้าใจได้ มันก็ต้องเข้าใจได้เหมือนกัน แต่เราสะดวกกว่า เราตระเตรียม ไอ้ ไอ้ความเป็นอยู่ของชีวิตนี่ ให้มันง่าย ให้มันเหมาะ ที่จะเข้าใจเรื่องลึกซึ้งนี้ เพราะฉะนั้นเรา จึงได้มาบวช นี่ความบวช มันมีความหมายพิเศษอย่างนี้แหละ
อื้อ, ว่าไอ้พรหมจรรย์นั้น มันยากสำหรับชาวบ้าน จะประพฤติให้บริสุทธิ์สะอาดได้ ถ้าอย่างไรหลีก ออกมาเสียจากบ้านเรือนเถอะ จึงจะสามารถประพฤติ พรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์สะอาดได้ไม่ยาก ฉะนั้นจึงออก บวชนี่คือ สูตรของการออกบวช ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก จะมีอย่างนี้ อื้อ, นี้ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน หรือชาววัด ก็ตาม มีเวลาที่จะต้องเป็น เออ, เวลาที่มีจิตใจ ไม่ถูก ไม่ถูกโลกรบกวนกันบ้าง อื้อ, เพราะการกระทำเช่นนั้น ต้องไม่เหลือวิสัย และที่ธรรมชาติเป็นให้เอง ทำให้เองก็มีอยู่ คือ เวลาที่เราว่างจากการรบกวน ของสิ่งแวดล้อม ต้องมีอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณรู้ดีกว่าพวกผม ว่ามันต้องเป็นบ้า แล้วมันต้องตายเพราะบ้านั้นล่ะ ถ้ามันสมอง มันไม่ได้ อ่า, รับการพักผ่อน จากการรบกวนของสิ่งแวดล้อม คนต้องเป็นบ้า แล้วต้องตายเพราะเป็นโรคบ้า
อื้อ, เดี๋ยวนี้มันก็มีการพักผ่อนเสียเอง เช่น มันนอนหลับเสียเอง มันก็หลีก เออ, หลีกออกไปได้ จากไอ้การบีบคั้นของโลก อื้อ, แต่เดี๋ยวนี้มันมีการบีบคั้นชนิดอื่นอีก ที่เพียงแต่การนอนหลับมันช่วยไม่ได้
หรือเมื่อตื่น ๆ อยู่ มันถูกบีบบังคับ ด้วยตัณหา อุปาทาน มันแหลกละเอียดไปเป็นเพราะ อ่า, เป็น เป็นคราว ๆ เราก็มามองว่า มามองกันในแง่ว่า อ่า, ถูกมันบีบคั้นนี่ มันไม่ ไม่ ไม่สนุกเลย หรือว่าถ้าปล่อยให้มันบีบคั้นหนัก หนักเข้า มันก็เป็นบ้าอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนที่ เออ, ปล่อยให้ความวิตกกังวล ครอบงำนี่ เออ, เป็นอย่างไรล่ะ
คุณลองไปคิดดูแล้วกัน ให้ความวิตกกังวลครอบงำมากเข้า ๆ มันจะเป็นอย่างไรบ้าง มันก็จะต้องมี ความผิดปกติ ในระบบของมันสมอง ระบบของประสาท ของโลหิต ผลสุดท้าย มันก็ต้องเกิดโรคชนิดที่ กำลัง เกิดอยู่นี่ อื้อ, ไอ้เรื่องโรคทางวิญญาณ อ่า, เป็นต้นเหตุ ของโรคทางร่างกายนี้ ผมขอยืนยัน โรคทางวิญญาณ คือ โรคที่จิตใจมันไม่ได้รับความเป็นอิสระ จากการบีบคั้นของสิ่งแวดล้อม อยู่มากเกินไป นี่เรียกว่า โรคทางวิญญาณ แล้วมันก็เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคทางร่างกาย อื้อ,
ทีนี้วิชาแพทย์ของคุณ บางทีก็ไปสนใจ แต่ไอ้จุดที่มันเป็นโรคทางร่างกาย ไม่สนใจในจุดต้นเหตุ แท้จริง ที่ว่ามันเป็นโรคทางวิญญาณ วิญญาณถูกกิเลส หรือตัณหา อุปาทาน บีบคั้นอยู่เสมอ วิตกกังวลอยู่เสมอ จนถึงความ อ่า. ในขั้นรู้สึกก็มี ไม่รู้สึกก็มี ความวิตกกังวลของมนุษย์มีได้รู้สึก คือ เป็น Conscious ก็มี เป็น Subconscious ก็มี และมันตลอดเวลา คนก็ต้องเป็นโรคทางวิญญาณ คือ ความวิตกกังวลนั้น อื้อ, แล้วมันก็มา อ่า, เป็นต้นเหตุของโรคทางร่างกาย โดยตรงอีกทีหนึ่ง ถ้าว่าเราไม่เป็นโรคทางวิญญาณกันแล้ว โรคทางร่างกาย ก็จะหายาก หาทำยายาก อื้อ,
ทีนี้เดี๋ยวนี้มันมองกัน แต่ในด้านวัตถุ หรือด้านร่างกาย อื้อ, อย่างว่าโรค อ่า, ที่ ที่เป็นปัญหาอยู่เวลานี้ เออ, เป็นโรคหัวใจ เออ, เป็นโรคความดันสูง เป็นโรคหัวใจ เป็นโรคเบาหวาน หมอก็สนใจกันแต่ในแง่วัตถุ แง่ที่เห็นได้ด้วยวัต วัตถุ ด้วยตา ด้วยเครื่องมือ ไม่มองเลยไปว่า มันมีมูลมาจากโรคทางวิญญาณ อื้อ, คือ ความที่ จิตมันถูกบีบคั้น ด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน อยู่เสมอ จิตไม่เคยได้อยู่ใน สภาพที่ว่า โลกุตระ คือ ว่างจากการ บีบคั้นของโลกนะ มันไม่เคย มันมีน้อยเพียงว่านอนหลับ แล้วนอนหลับ มันก็ยิ่งหลับไม่สนิทมากขึ้นทุกที อื้อ, อยากจะพูดว่า คนในโลกสมัยปัจจุบันนี้ มันนอนหลับไม่สนิท มากขึ้นทุกที เพราะวิตกกังวลมาก หวังมาก อือ, ยิ่งกว่าคนสมัยโบราณ อื้อ,
ทีนี้ความพักผ่อน ที่เป็นอิสระจากการบับคั้นจากกิเลส มันก็เหลือน้อยเข้า หรือมันไม่ มีไม่จริง หรือมันไม่มากพอ มันก็เริ่มเปลี่ยน เริ่มปั่นป่วน ในทางไอ้ระบบประสาท เข้ามาถึงจิตใจ มันก็มีผลเป็น เป็นเพียงปฏิกิริยานั้น ไม่ใช่ตัวโรค ว่าความดันสูงบ้าง หัวใจไม่ปกติบ้าง ใช้น้ำตาลไม่หมดเป็นเบาหวานบ้าง อะไรบ้าง แล้วมาเรามามัวแก้กันแต่ที่ตรงนี้ มันก็ได้เหมือนกัน มันก็ระงับไปได้ เป็นขณะ ขณะ ขณะ อื้อ, ก็เป็นการเพิ่มปัญหาให้ ให้เรื่อยไป ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมันก็ไม่ได้ตัดที่ต้นเหตุ
ผมได้ยินพวก รายงานการทางแพทย์ เขาพูดกันต่าง ๆ นานา แล้วสรุปออกมาดู เช่นว่า โรคเบาหวาน ว่าเป็นกรรมพันธุ์ อ่า, ถ้าคนที่มีปู่ ย่า ตา ยาย เคยเป็นมันก็เป็นง่าย มันก็จริงสิ เพราะถ้าปู่ ย่า ตา ยาย มันเป็นคน ที่มีวิตกกังวลมากขึ้นทุกที อื้อ, เพราะว่าไอ้ความวิตกกังวลนี่ มันทำให้เกิดความปั่นป่วนในร่างกาย แม้ว่าการ ใช้น้ำตาลไม่หมด หรือว่าไม่ ไม่ ไม่สร้างขึ้นใช้ให้พอนี่ อื้อ, เมื่อบิดา มารดา มันมีความเป็นอย่างนั้นมา มันก็ถ่าย พันธุ์นี้มาให้ เออ, ลูกหลานได้เหมือนกัน มันก็ถูกแล้ว แต่มันไม่ใช่กรรมพันธุ์ทางเนื้อหนัง เป็นกรรมพันธุ์ทาง วิญญาณ นี่เป็นโรคทางวิญญาณ
ได้ยินว่า ว่ากันว่าผู้หญิงเป็นโรคเบาหวานมาก ผมก็อยากอธิบายว่า ผู้หญิงสมัยนี้ มีวิตกกังวลมากกว่า ผู้ชาย มันอยาก มันทะเยอทะยาน มันหวังอะไรมากกว่าผู้ชาย ความวิตกกังวล มันก็มีมากกว่าผู้ชาย มันรับภาระผิดชอบในทางครอบครัวมาก มันหยุมหยิมไปหมด มันก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคผู้ อ่า, เบาหวาน มากกว่าผู้ชาย ที่ว่าคนสูงอายุเป็นเบาหวานมากกว่าคน อ่า, ต่ำอายุ มันก็ยิ่งแน่นอน เพราะว่าคนสูงอายุ มันมีวิตกกังวล มากกว่าไอ้เด็ก ๆ นี่
ทีนี้ประประเทศไทยเรา ก็มีสถิติเบาหวานสูงขึ้น ก็เพราะว่าประเทศไทย มันเพิ่งมีเรื่อง เออ, ยุ่ง ๆ ตามก้นพวกฝรั่งมันมากขึ้น มันก็ควรจะเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น คือ ไปรับเอาเรื่องที่มาทำให้วิตกกังวล มากขึ้น เพราะฉะนั้นประเทศไทยก็จะต้อง เป็นโรคเบาหวานกันมากขึ้น อือ, บางทีก็พูดว่า พูดเอาดื้อ ๆ ว่าร่างกายมันผลิตอินซูลินไม่พอ แล้วก็ถามว่า ทำไมมันยังผลิตไม่พอ เพราะว่ามันเป็นโรควิตกกังวลกันมากขึ้น เพราะมันใช้ น้ำตาลไม่หมด อ้าว, แล้วทำไมมันจึงใช้ไม่หมด เพราะมันวิตกกังวลมากขึ้น ทำไมไม่มองกันใน ไอ้โรควิญญาณ อื้อ, ถ้าจะพูดว่า เพราะว่าการออกกำลังกายไม่พอ ก็เพราะว่า คนมันมีวิตกกังวลมาก มันไม่อยากออกกำลังกาย
ทีนี้การออกกำลังกาย มันไม่มีผลก็เพราะว่า ใจมันเต็มไปด้วยการวิตกกังวล ไปขืนออกกำลังกาย มันก็มีโรคลำบากอย่างอื่นเกิดขึ้นมาแทน ดังนั้นการออกกำลังกาย มันไม่สนุก เพราะว่าคนมันมีวิตกกังวลมาก อื้อ, แล้วถ้าไปแก้ ไปออกได้ มันก็แก้ได้เหมือนกัน ออกกำลังเพื่อแก้การวิตกกังวลนี้ ดีกว่าจะมาทำให้ร่างกาย แข็งแรง มันได้ประโยชน์กว่า อื้อ, นี่ถ้ามองกันว่าวัตถุมากขึ้นไปอีก ว่าอาหารบางชนิด อือ, เหมาะสำหรับช่วย แก้โรคเบาหวาน เช่น อาหารโปรตีนจะดีกว่า อาหารไขมันอย่างนี้ เป็นต้น ก็ต้องรู้แต่ว่ามัน ไอ้อาหารชนิดนั้น มันช่วย ช่วยบรรเทาความวิตกกังวลได้ กว่าอาหารอีกชนิด อีกประเภทหนึ่ง อื้อ, ในที่สุดมันก็มารวมอยู่ที่ โรคทางจิต ทางวิญญาณ เป็นต้นเหตุของโรค ในทาง Mental หรือทาง Physical
เดี๋ยวนี้พระก็เริ่มเป็นโรคเบาหวาน เพราะพระไม่เป็นพระมากขึ้น พระไปมีความวิตกกังวล อย่างชาวบ้านมากขึ้น แม้เป็นสมภาร เป็นไอ้ผู้หลักผู้ใหญ่ พระก็เกิดเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งไม่ควรจะเป็น หรือไม่ ไม่เคยจะเป็น เพราะว่าเคยมีแต่ความวิตกกังวลน้อย เดี๋ยวนี้มันก็มาเป็นวิตกกังวลมาก เหมือนกับชาวบ้าน ขึ้นมา นี่ผมพูดพอเป็นตัวอย่างแล้วนะ จะพูดไปหลายอย่าง มันก็ไม่มีเวลา หรือว่ามันเกิน เกินจำเป็น พูดพอให้ เข้าใจได้ว่า ไอ้ต้นเหตุแห่งโรคอันแท้จริงนั่น คือ โรคทางวิญญาณ อื้อ, คือ ความที่ชีวิต หรือวิญญาน มันไม่ได้ เป็นอิสระ จากความย่ำยี ของโลกภายนอกเพียงพอ มันเต็มอยู่ด้วยความวิตกกังวล ทั้งที่เป็นไอ้ คอนชาตเตอ ซับคอนชาตเตอร์ (นาทีที่ 54:03)
ถ้าคุณจะรู้จักพุทธศาสนา ที่มีประโยชน์ ก็จงรู้จักเรื่องนี้ คือ เรื่องที่มีโรคทางวิญญาณ เสีย อ่า, เป็นประจำ อยู่เป็นประจำ โลกนี้ก็มีความทุกข์มากขึ้น ๆ ลึกซึ้ง ซับซ้อนมากขึ้น หรือเอาธรรมะมาแก้ไขโรคนี้ ให้คนมีหัวใจที่เป็นอิสระ จากการบีบบังคั้นของโลก มากขึ้น ดีขึ้นหรือมากขึ้น มันก็จะทำให้มนุษย์นี่ เป็นมนุษย์ที่น่าดูขึ้นมา บ้าง แล้วก็หลับตามองว่า ถ้าเราไม่ได้เป็นโรคทางวิญญาณแล้ว มันจะสบายสักเท่าไร ความเบียดเบียนกันก็ไม่มี ความคอรัปชั่นก็ไม่มี โรคทางร่างกายก็ไม่มี หรือมีน้อยจนหาทำยายาก พอเป็นโรค ทางวิญญาณกันแล้ว มันก็เต็มไปด้วยสงคราม ด้วยการเบียดเบียน ด้วยคอรัปชั่น ด้วยความเห็นแก่ตัว จนทำลายผู้อื่นได้อย่างเลือดเย็น แล้วก็มีโรคภัยไข้เจ็บ ทางกายเพิ่มขึ้น ๆๆ
เพราะว่าพอ เรามีความวิตกกังวลทางจิตใจแล้ว ไอ้ความต้านทานโรค ในร่างกายนี้ก็ลดต่ำลงไป ได้รับเชื้ออะไรมา มันก็ อ่า, ก็จะเป็นโรคนั้น แทบจะทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่โรคง่าย ๆ ถ้าความต้านทาน ทางร่างกายต่ำ เพราะความต้านทานทางจิตใจต่ำ มันก็พร้อมที่จะเป็นโรคทุกโรค และพร้อมที่จะประดิษฐ์โรค ใหม่ ๆ ขึ้นมา แปลก ๆ มันจะแก้ปัญหาทางโรคร่างกายก็ดี เออ, ทางเศรษฐกิจ ทางอะไรก็ดี มันจะต้อง อ่า, แก้ไข เออ, เรื่องเป็นโรคทางวิญญาณ นี่คือ อภิธรรมของชีวิต ชนิดส่วนตัวก็ดี ชนิดสังคมก็ดี ขอให้สนใจ ไอ้เรื่องอภิธรรมของชีวิตในแง่นี้ คงจะได้ประโยชน์คุ้มกันกับที่มา มาทนบวช มาผิดพลาดกันดูบ้าง
ดังนั้นอย่างนั้น เราก็จะได้สนใจ ไอ้เรื่องที่มันจะช่วย แก้ไขโรคทางวิญญาณ ก็คือไอ้หลัก คำสอนเรื่อง อนัตตา ถ้าพูดว่าเรื่องพุทธศาสนาทั้งหมดอยู่ที่อะไร ก็อยู่ที่อนัตตา หรือสุญตา คำเดียว แล้วนั่นนะก็คือ ยา ไอ้ ไอ้ตัวยาทุกอย่าง ที่จะแก้ไขโรคทางวิญญาณ อื้อ, เดี๋ยวนี้ไอ้สิ่งที่เรียกว่า อนัตตา หรืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสิ่งที่ถูกหัวเราะเยาะ โดยคนสมัยใหม่ อื้อ, เขาหันไปสนใจอะไรกันคุณก็รู้อยู่แล้ว ไปหลงไหลอะไรมาก ถึงขนาดที่ว่าจะเห็นเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเรื่องของครึคระ เรื่องคนโง่ คนหนุ่ม คนสาวที่กำลังบ้า สุดเหวี่ยง นะมันเพราะอะไร ว่ามันเป็นอะไร คนเหล่านี้ มันจะดูถูกดูหมิ่น เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่า เป็นเรื่องของคนบ้า คนโง่ ครึคระไม่มีประโยชน์ ไม่มี อ่า, ไม่มีประโยชน์อะไร ที่แท้มันก็คือ เรื่องที่ ที่ทำให้ อ่า, ให้เขา เมื่อเขาไม่มีแล้วเขาก็เป็นบ้าสุดเหวี่ยง
คนหนุ่มคนสาวสมัยนี้ น่าสงสาร น่าสังเวช น่าขยะแขยงเลย มากขึ้น อื้อ, ทั้งที่เรียนในมหาวิทยาลัย หรือเรียน ยิ่งกว่ามหาวิทยาลัย มันโง่ในเรื่องทางจิตทางวิญญาณ มันไปฉลาดในเรื่องทางวัตถุอย่างเดียว จนเฟ้อ แล้วมันก็ช่วยอะไรไม่ได้เห็นไหม อื้อ, มันมีฆ่าตัวตาย มันมี เออ, ระเบิดขวด หรือมันมีอะไรชนิดที่ มันไม่ควร จะมีมากขึ้น ๆๆ พวกนี้คือ พวกที่จะเห็นว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเรื่องครึคระ เสร็จแล้วมันก็ช่วยไม่ได้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร อ่า, ช่วยอะไรได้ หรือพูดอะไรได้ เพราะว่าไอ้เรื่องนี้คือ เรื่องที่มันจะแก้ไขโรคทาง วิญญาณ คุณต้องสนใจเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเรื่องสุญตา ก็ได้
ถ้าเราเรียกรวม ๆ ทีเดียวเราเรียกว่า สุญตา ถ้าเราจะไปแยก มันก็อนิจจังเรื่องหนึ่ง ทุกขังเรื่องหนึ่ง อนัตตาเรื่องหนึ่ง มันเป็น ๓ เรื่อง อื้อ, ขอให้เข้าใจเรื่องนี้จะช่วยตัวเองได้ จะเป็นโรคทางวิญญาณน้อยลง
แล้วถ้าสังคม มันสนใจเรื่องนี้ ก็สังคมก็เป็นโรคทางวิญญาณน้อยลง ปัญหายุ่งยากอย่าง อย่างอื่น
มันก็จะน้อยเข้า ๆ เหมือนกัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้เป็นกฏของธรรมชาติ หรือบางพวกเขาจะเรียกว่า เป็นกฏของพระเจ้า พระเจ้า คือ ธรรมชาติ พอพูดว่าพระเจ้า คนหนุ่มคนสาวสมัยนี้ก็ดูถูก มันมีความโง่มาก จนดูถูกพระเจ้า
อื้อ, ทีนี้เราไม่พูดว่า เป็นกฏของพระเจ้า เราพูดว่า มันเป็นกฏของธรรมชาติ มันก็ยังดูถูกอีกแหละ ว่าปรากฏอื่นของธรรมชาติเรื่องอื่นยังดีกว่า สนุกกว่า อ่า, มีประโยชน์กว่า ทำไมจะมาพูดเรื่องกฏธรรมชาติ อ่า, อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ เพราะเขาต้องการแต่ความเอร็ดอร่อย ทางเนื้อหนัง คนหนุ่ม คนสาวสมัยนี้ ต้องการแต่ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ซึ่งเป็นคำด่าที่หยาบคายเลวทรามที่สุด ของทางศาสนา ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ที่เขาบูชากันนักนั่นล่ะ คือ คำสาปแช่งของทางฝ่ายศาสนา ของไอ้สัตว์นรก บูชา ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง นั่นแหละคือ เป็นเหตุที่จะต้องจมอยู่ใต้โลก ไม่มีวันที่จะโงหัวขึ้นมา เหนือโลก
ฉะนั้นต้องรู้อภิธรรมของชีวิต ในลักษณะอย่างนี้ จึงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า มีประโยชน์ ถือปฏิบัติได้ และมีประโยชน์ อื้อ, สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง นี้มันกฏของธรรมชาติ นี่เราไปหลงว่ามันเที่ยง สิ่งทั้งหลายไปยึด ว่าตัวกู ว่าของกูเข้า มันเป็นทุกข์ เรากลับเห็นเป็นสุข หรือสนุก สิ่งทั้งหลายเป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่ของกู มันก็คิดว่าของกู ความรักของกู ความสุขของกู ความอร่อยของกู อื้อ, ก็ ก็เรียกว่า ทำสงครามกับธรรมชาติ หรือว่าต่อต้านธรรมชาติ ทำสงครามกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า มันก็มีแต่ถูก เออ, แหลกลานไป มันจึงฆ่าตัวตายบ้าง มันจึง เออ, เลวทรามอย่างอื่น อย่างน่าขยะแขยงบ้าง โลกเวลานี้เป็นอย่างนี้
ผมขอร้องว่า คุณอย่าไปสมทบกับเขาก็แล้วกัน อยู่เป็นคนของพระพุทธเจ้าให้ดูก่อนนี่ อย่าไปสมทบ กับคนพวกนี้ มันเป็นพวกต่อต้านพระพุทธเจ้า ต่อต้านกฏของธรรมชาติ ต่อต้านพระเจ้า มันเป็นกลุ่มของ พยามาร อ่า, ของซาตาน อื้อ, บวชสักทีก็ขอให้รู้เรื่องนี้ ซึ่งผมถือว่าเป็นอภิธรรมของชีวิต ที่จำเป็นที่สุด แก่พวกคุณ ไม่มีส่วนเฟ้อไม่มีส่วนเกิน จึงเอาเรื่องสุญตา เรื่องอนัตตามาย้ำอีก มาขยายความให้เห็นว่า มันจำเป็น ที่จะมองเห็นไอ้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสิ่งทั้งปวง ที่เรากำลังโง่กำลังหลง อื้อ, มันมีเสน่ห์ล่อเรา เราโง่ไปกินเหยื่อของมันเข้า อื้อ, ก็มีจิตใจที่ตกไปอยู่ภายใต้ อำนาจของสิ่งเหล่านี้ มันทำให้เราไม่มีความหลับ หรือพักผ่อนทางวิญญาณ มีความกระหายหิว เป็นเปรตอยู่เสมอ ทั้งหลับทั้งตื่น หลับแล้วก็ยังฝันเป็นเรื่อง เออ, หิวกระหาย นี่เป็นอภิธรรมของชีวิต ในส่วนทุกข์ ในส่วนความทุกข์
ดังนั้นอภิธรรมของชีวิต ในส่วนความดับทุกข์ ก็อย่าไปเป็นทาสมัน ถอยออกมาเสีย รู้จักให้เพียงพอ อื้อ, แล้วก็ควบคุมไอ้สิ่งที่เรียกว่า คน นั้นให้ได้ จะถือว่าคนมีหรือคนไม่มีก็ตามใจ ถ้าถือว่าคนไม่มี อ่า, ก็อย่าให้ เตลิดเปิดเปิงไปมิจ ไปเป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าถือว่าสิ่งต่าง ๆ มี อย่าไปคิดว่าเป็นคน หรือเป็นของคน อย่าคิดว่าเป็น ตัวกู หรือเป็นของกู เราควบคุมความรู้สึกว่า ตัวกูหรือคนนี่จะให้เสียได้ อื้อ, หรือชนะมันได้เลยก็ยิ่งดี ควบคุม หมายความว่า มันยังต่อสู้ ถ้าต่อสู้เอาชนะได้ก็ยิ่งดี
การรู้สึกที่เป็น Egoism นั้น ถ้าควบคุมได้ มันก็เป็นคนดี เท่านั้นแหละ แต่ยังมีทุกข์ตามแบบคุณคนดี ถ้าชนะได้เลย มันไม่มีความรู้สึก เป็นคนดีหรือคนชั่ว มันมีแต่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ คือ ร่างกายบริสุทธิ์ และจิตใจที่บริสุทธิ์ เต็มอยู่ในสติปัญญา มันก็ทำให้ร่างกายและจิตใจนี้ ทำอะไรได้อยู่ในโลกนี้ ได้ถูกต้องไปหมด คำว่า ถูกต้องในที่นี้ คือ ไม่เป็นทุกข์ ถ้าเป็นทุกข์แล้วไม่มีใคร อ่า, ทาง ทาง ทางธรรมะถือว่า ไม่ถูกต้อง เช่น คุณ เออ, คุณทำงานสำเร็จ รวยเป็นมหาเศรษฐีอย่างนี้ ทางโลกเขาก็ ก็พูดว่า เป็นความถูกต้อง อื้อ, แต่ทางธรรมเขาจะพูดว่า ต้องดูก่อนว่ามันเป็นทุกข์หรือไม่ทุกข์ ถ้ามันเป็นมีความทุกข์แล้ว มันไม่ถูกต้อง ไม่มีเงินสักบาทเดียวไม่มีความทุกข์ดีกว่า ถูกต้องกว่าที่จะเป็น มหาเศรษฐีมีเงินไม่รู้เท่าไหร่ แล้วก็ยังมีความ ทุกข์ ในความถูกต้อง มันต้องอยู่ที่ความไม่มีความทุกข์ ฉะนั้นจงควบคุม Egoism หรือว่า Egoistic Conception ที่มันจะพุ่งขึ้นมา เป็นตัวกูของกูนี่ให้ถูกต้อง อื้อ, อย่าให้มีความทุกข์ มันก็จบเท่านั้น เรื่องพุทธศาสนาอัน มหาศาล มันก็จบลงที่ตรงนี้ ด้วยคำสั้น ๆ ว่ามัน อ่า, มันเป็น สุญตา ว่างจากตัวกู ว่างจากของกู
ทีนี้ถ้ามันไม่จบ มันก็ไม่จบที่ตรงนี้ เพราะมันไม่รู้เรื่องนี้ แล้วมันไปกัน ไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ไปจนมัน ไม่มีตัวเลขที่จะคำนวณ ว่ามันจะไปทางทิศไหน เท่าไร ล้วนแต่เป็นความทุกข์ทั้งนั้น อื้อ, ถ้าจบมันก็จบนิดเดียว ที่จุดนี้ จุดที่ว่างไปเสียจาก ไอ้ความหมายมั่นว่า ตัวกู ว่าของกู แล้วเหลืออยู่แต่สติปัญญา ถูกต้องในร่างกาย ที่มันไม่มีทางจะทำผิดอีกต่อไป ไม่เป็นโรคทางวิญญาณ ไม่เป็นโรคทางร่างกาย ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียน ผู้อื่น เขาเรียกว่า ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้
อ่า, แล้วมารู้เรื่องอภิธรรมของชีวิต เรียกอย่างอื่นก็ได้ แต่เรียก อภิธรรมของชีวิตนี่ ให้มันเหมาะสมัย อื้อ, คือ เพื่อต่อต้านอภิธรรมเฟ้อ แล้วก็ถือเอาได้ซึ่งอภิธรรมจริง แล้วสิ่งนี้ควรเรียกว่า อภิธรรม คือ สิ่งสูงสุด สิ่งประเสริฐที่สุด ความรู้ที่ประเสริฐที่สุด การกระทำที่ ประเสริฐที่สุด แล้วก็มีผลประเสริฐที่สุด สมกับที่ เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ควรจะมีความทุกข์ ไม่อย่างนั้นจะเลวกว่าสัตว์ และเลวกว่าต้นไม้ และเลวกว่าก้อนหิน ก้อนดิน อือ, แล้วเวลาของเราก็ ก็หมด