แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๑๔ สำหรับพวกเราที่นี่ ล่วงมาถึงเวลา ๐๔.๓๐ น. แล้ว เป็นเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการพูดกันเรื่องใดเรื่องหนึ่ง วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการบรรยายและเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่าการทำจิตให้ยิ่งเป็นทุกสิ่งที่จำเป็นแก่มนุษย์
ทำไมจึงพูดโดยหัวข้อนี้ หัวข้อนี้ย่อมบอกอยู่ในตัวแล้วว่าเป็นการแสดงซึ่งอานิสงส์ของสิ่งที่เรียกว่าอธิจิตตาโยคธรรม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางวิญญาณในระดับสูงสุดของมนุษย์ เราถือว่าวิวัฒนาการของมนุษย์ทั้งทางกายและทางจิต ซึ่งรวมกันแล้วก็คือของมนุษย์ มันสูงสุดอยู่ที่นี่ ความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์สูงสุดอยู่ที่นี่ การทำจิตให้ยิ่งนั้นจะนำมาให้ซึ่งทุกสิ่งที่จำเป็นแก่มนุษย์ ขอให้เข้าใจคำว่าทุกสิ่งให้ดีๆ มันอาจจะมีมากมายหลายสิ่งหลายร้อยสิ่งก็ได้ถ้าเราจะมองกันโดยรายละเอียด แต่ว่าทุกสิ่งนั้นมันขึ้นอยู่กับสิ่งๆ เดียวคือการทำจิตให้ยิ่ง การทำจิตให้ยิ่งโดยปริยายก็มีมากมายหลายแขนงคือหลายวิธี แต่ตัวแท้และผลของมันมีอยู่เพียงสิ่งเดียวคือ การทำให้หมดความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของตัวคือความเห็นแก่ตัว เราจะเห็นได้ว่าใน อานาปานสติทุกขั้นเป็นการกระทำที่เป็นไปเพื่อทำลายเสียซึ่งความรู้สึกว่าตัว ว่าตน ว่าสัตว์ บุคคล เรา เขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นสุดท้ายที่เรียกว่า ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี สละอะไรออกไป ก็คือสละตนหรือสิ่งที่เรียกว่าของตน การสละตนหรือของตนออกไปเสียได้นี้ ย่อมทำให้ไม่มีทางที่จะมีความเห็นแก่ตัว การหมดความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นทั้งหมดสำหรับมนุษย์ที่จะมีความเป็นอยู่อย่างผาสุกทั้งโดยปัจเจกชนและโดยสังคมปัจเจกชนต้องมีลมหายใจเข้าออกอยู่ทุกครั้งโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว พอความเห็นแก่ตัวเข้ามาเท่านั้น ความทุกข์ก็มีทันที แม้แต่เพียงการหายใจครั้งเดียว
ฉะนั้นขอให้พิจารณาในข้อนี้ให้มากสักหน่อย ว่าสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ก็คือความเป็นอยู่ในทุกระยะ ทุกตอน ด้วยความปราศจากความรู้สึกคิดนึก สำคัญมั่นหมายที่เป็นความเห็นแก่ตัว สิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตของมนุษย์ทุกอย่างนั้นมันจะเป็นประโยชน์ได้ก็เพราะมนุษย์มีความไม่เห็นแก่ตัว ความไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูหรือเป็นของกูนั้น สิ่งเหล่านั้นมันจึงจะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ พอมีตัวกูของกูเท่านั้น สิ่งเหล่านั้นก็จะทำลายมนุษย์ จะเป็นอันตรายแก่เจ้าของ คือผู้ที่กล้าคิดว่าเป็นเจ้าของ เพราะว่าตามธรรมชาติที่แท้จริงนั้น ไม่มีใครจะเป็นเจ้าของ ของอะไรได้ เราเป็นเจ้าของกันแต่เพียงขนบธรรมเนียมประเพณีหรือกฎหมายบัญญัติ หรืออะไรทำนองนั้นเท่านั้น ซึ่งมันก็เป็นการบัญญัติของมนุษย์ที่โง่ด้วยกันทั้งนั้น หรือถ้าจะพูดอีกที ก็ว่าบัญญัติสำหรับคนที่ยังอยู่ในโลกของความเขลา ความหลง แล้วก็จะทะเลาะวิวาทกัน ถ้ามีการบัญญัติเป็นกฎหมาย เป็นกติกาอะไรอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ช่วยป้องกันได้ ทีนี้การบัญญัติว่านั่นจะต้องเป็นสิทธิของคนนั้น เป็นอะไรของคนนี้ นี้ก็เพื่อจะป้องกันอันตรายที่จะเกิดมาจากความเห็นแก่ตัว มันก็ได้บ้างเท่านั้นเอง ก็ได้บ้างแต่ส่วนที่เป็นภายนอก ส่วนที่เป็นภายในต้องอาศัยสิ่งที่เราเรียกกันว่าการทำจิตให้ยิ่ง ในฐานะเป็นวัฒนธรรมทางวิญญาณ ไม่ใช่กฎหมาย ไม่ใช่ระเบียบบังคับ มันต้องเป็นเรื่องที่สมัครใจด้วยสติปัญญา หรือวิชชา หรือแสงสว่าง เพราะฉะนั้นจึงเป็นการทำพร้อมกันไปในคราวเดียวกัน ทำจิตให้ยิ่ง ให้มีแสงสว่างยิ่งขึ้นก็เพื่อจะให้มีการเกี่ยวข้องกันในระหว่างบุคคลกับบุคคลหรือว่าบุคคลกับสิ่งของ ทุกอย่างที่มันจะต้องเกี่ยวข้องกัน ไม่เกิดเป็นอันตรายขึ้นมาได้ก็เพราะว่าทุกคนมีจิตยิ่ง ยิ่งอยู่ตามส่วน จนกว่าจะถึงยิ่งอย่างยิ่งคือที่สุด ฉะนั้นเรื่องที่เราพูดกันมาแต่หนหลังจนบัดนี้มันก็เป็นเรื่องที่ไม่เสียหลาย ไม่เสียเวลาเปล่า ไม่เสียแรงเปล่า เพราะเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง หรือเป็นให้ทุกสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งแก่มนุษย์
ทีนี้เราจะพูดกันเป็นการรวบยอดในครั้งนี้ต่อไปอีกสักเล็กน้อย สำหรับคำว่ามนุษย์ในที่นี้เราหมายถึงสัตว์ที่มีความรู้สึกคิดนึกที่เรียกว่า sentient beings คือสิ่งที่มีชีวิต ที่มีความรู้สึกคิดนึก ถึงระดับที่จะรู้สึกอะไรได้ดี สิ่งที่มีชีวิตที่ไม่มีความรู้สึกคิดนึกถึงระดับนี้ ก็ไม่เรียกว่ามนุษย์ก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเกี่ยวข้องกันในลักษณะที่เรียกว่ากำกวมหรือก้ำกึ่ง เพราะมีอยู่เป็นอันมาก เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์นี้มันมีอะไรที่คาบเกี่ยวกันอย่างที่จะขีดเส้นให้ชัดลงไปว่าตรงไหนเป็นเส้นแบ่งแยกที่เด็ดขาดที่สุดได้ยากอย่างยิ่ง ทีนี้เราก็เอาสิ่งที่เรียกว่า คนที่มีจิตใจสูงพอสมควร คนที่ยังเป็นครึ่งคนครึ่งลิงพูดกันไม่รู้เรื่อง มันก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจสิ่งที่เราเรียกว่าวัฒนธรรมสูงสุดของมนุษย์ คือการทำจิตให้ยิ่ง เอาเป็นว่าเราเล็งถึงมนุษย์ทุกคนที่มีจิตใจสูง มีความรู้สึกพอสมควร ว่ามนุษย์ทุกชั้น ทุกวัย ทุกยุค ทุกสมัย ทุกหน ทุกแห่ง มีปัญหาเหมือนกันเหมด คือตกอยู่ใต้อำนาจครอบงำของอวิชชา กำลังเดินไปตามอำนาจของอวิชชา คือความหลงในสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความหลงมากยิ่งขึ้นทุกที แล้วก็มนุษย์นั่นเองเป็นผู้สร้างสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความหลง มันก็เป็นเหมือนกับการขุดหลุมไว้ฝังตัวเอง หรือว่าทำเหวไว้สำหรับตัวเองจะได้หล่นลงไปในนั้น
ทีนี้เมื่อเขาไม่มีความรู้เพียงพอก็จะเห็นเป็นของถูกต้องไป เป็นของดีไป จนได้เวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ แล้วก็ไม่รู้สึกกระตือรือร้นที่จะออกมา เพราะว่ามันพอใจในความเป็นอย่างนั้น จนมองไม่เห็นส่วนที่มันเป็นอันตราย แล้วก็ตายไปก็ต้องไม่รู้สึก ตายไปโดยไม่ต้องรู้สึกว่ามันน่าเวทนาสงสาร นี่ความเจริญทางวัตถุในโลกยิ่งมากขึ้น สภาพอย่างนี้ก็ยิ่งมีมากขึ้น เราจะเห็นได้จากเพื่อนมนุษย์ในโลกเวลานี้ที่มีความเจริญมาก มันก็คือยิ่งมีความลำบากยุ่งยากมาก มีความทุกข์มาก เขาเรียกว่าเขาก้าวหน้าที่สุด แต่เราก็มองเห็นว่ามันเป็นเรื่องก้าวหน้าไปในทางที่จะวินาศ เราไม่เรียกว่าก้าวหน้า ก้าวหน้าที่ถูกต้องมันก้าวหน้าในทางที่จะเป็นมนุษย์ ในความหมายของมนุษย์มากขึ้น คือมีใจสูง มีจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบมากขึ้น แล้วก็อยู่กันเป็นผาสุก ในคำกล่าวที่กล่าวไว้ว่า ไม่มีปัญหาอะไร นอนไม่ต้องปิดประตูเรือน หรือว่าอะไรๆ มันเป็นไปในทางที่ไม่ทำอันตรายแก่ผู้ใด เรียกว่าศาสนาของพระศรีอารย์ ทุกคนจำหน้ากันไม่ได้ว่าใครเป็นใคร เพราะว่ามันดีเหมือนกันหมด คำว่าหน้าตาอย่างนี้มันหมายถึงหน้าตาของวิญญาณ หน้าตาของจิต เมื่อทุกคนไม่มีความต้องการ มันไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีความเห็นแก่ตัว มันหยุด มันเย็น มันยอม มันอะไรกันซึ่งกันและกัน แก่กันและกันหมด มันคล้ายกับว่าเป็นคนๆ คนเดียวกัน
ทีนี้พวกสมัยใหม่ปัจจุบันนี้ก็จะมองไปในแง่ที่ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เอามาพูดอย่างคนบ้า นี้เราก็พิสูจน์ไม่ได้เหมือนกันว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ แต่โดยหลักธรรมะ มันก็มีว่าถ้าคนประพฤติได้หรือคนประพฤติกัน มันก็เป็นสิ่งที่มีได้ ปัญหามันไปอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนมันยอมประพฤติอย่างนี้ นี่คือหน้าที่ของธรรมทูต มันคงจะยากเหมือนกับเอาลูกตรวน ให้หนูเอาลูกตรวนไปผูกคอแมว ผู้ที่หลงในวัตถุนิยมมันมีจิตใจเหมือนกับยักษ์ เหมือนกับมาร เหมือนกับปีศาจ ภูตผีปีศาจ เราจะเอาลูกตรวนไปแขวนคอเขานี่ มันคงมีความยากลำบากเหลือประมาณ แต่อาศัยที่ว่าเราเชื่อฟังพระพุทธองค์ และถ้าเราเป็นผู้ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรที่จะต้องเห็นแก่ตัว ก็ใช้ชีวิตนี้เป็นประโยชน์ที่สุดหรืออย่างยิ่งได้โดยไม่ต้องกลัวตาย โดยไม่ต้องเห็นแก่ความสุขส่วนตัว มันก็มีทางที่จะทำได้ ไม่มากก็น้อย แต่จะหวังเอาทั้งหมดนั้น มันยังเห็นว่าเหลือวิสัย พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงท้อถอยว่าสัตว์ทั้งหลายไม่อาจจะเข้าใจเรื่องนี้ ไม่อยากจะสอน แต่แล้วก็ทรงมองเห็นคนบางจำพวกที่ควรจะได้รับประโยชน์อันสูงสุดนี้แล้วจึงสอน
ฉะนั้นงานธรรมทูตก็คงจะแบ่งแยกไว้สำหรับคนส่วนหนึ่งในโลกนี้ ซึ่งมีกี่คนก็ยังไม่ทราบที่แน่นอน และไม่จำเป็นจะต้องทราบ ก็ทำไป ใครรับเอาได้ คนนั้นก็รับเอา
ทีนี้เมื่อเรามองดูอย่างที่ไม่เห็นแก่ตัว มองดูด้วยจิตใจที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว ก็ต้องมองไปในแง่ว่าพยายามสุดความสามารถ ราวกับว่าจะเอาให้คนทั้งหมดทั้งโลกนี่มันรอดไปได้ ข้อนี้เรียกว่าใช้อุดมคติของโพธิสัตว์ ลืมตัวเอง คือไม่ได้มีโอกาส ไม่ได้มีอะไรที่จะนึกถึงตัวเอง นึกแต่จะช่วยผู้อื่นเท่านั้น นี่เรียกว่าเป็นธรรมทูตที่ถูกต้อง ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ที่สมบูรณ์ อุทิศทุกอย่างให้แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทั้งเทวดาและมนุษย์ เหมือนคำสั่งของพระพุทธองค์ที่ว่า จงไปเพื่อประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่เทวดาและมนุษย์ มนุษย์
ทีนี้ก็มาถึงมนุษย์ที่มีความจำเป็น มนุษย์มีความจำเป็นที่จะต้องมีความก้าวหน้าในทางจิต ไม่ก้าวหน้าในทางจิตก็ไม่เป็นมนุษย์ แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าจำเป็น นี่ความจำเป็นที่เจ้าตัวกำลังไม่รู้สึกว่าจำเป็น นี่มันเพิ่มความยากลำบากให้แก่ธรรมทูต ที่จะไปบอกในสิ่งที่เขาไม่เห็นว่าจำเป็นให้กลายเป็นของจำเป็นขึ้นมา ความไม่สำเร็จมันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้คนก็มาเรียนพุทธศาสนาโดยไม่เห็นว่าจำเป็นอะไร นอกจากว่ามันจะเป็นประโยชน์ที่จะเอาไปใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาวัตถุ หาประโยชน์ทางวัตถุ ไม่ใช่เห็นว่ามันจำเป็นแก่ชีวิตที่จะทำให้ตัวเราไม่มีค่าของความเป็นมนุษย์หรืออะไรทำนองนั้น ฉะนั้นถ้าใครมองเห็นความจำเป็นข้อนี้แล้วก็จะสอนง่าย พูดกันรู้เรื่องง่าย
ผมสังเกตเห็นชาวต่างประเทศที่มาจนถึงนี่ มันก็ไม่ได้มองเห็นความจำเป็นข้อนี้ มันเป็นเพียงความรู้สึกที่เผื่อเลือก เผื่อว่าจะดีหรือจะมีประโยชน์กว่าที่เขามีๆ อยู่แล้ว นี้มันรวมความอยู่ที่ข้อเท็จจริงที่เราเคยพูดกันมาแล้วว่า มันต้องตั้งต้นด้วยความทุกข์ คือต้องมีความทุกข์แท้จริงปรากฏอยู่แก่จิตเป็นปัญหาอยู่จะต้องดับมันให้ได้ มันจึงจะมองเห็นว่าธรรมะนี้จำเป็น หรืองานธรรมทูตนี้มันจำเป็น
มนุษย์มีความจำเป็นอันลึกซึ้งอันหนึ่งคือจะต้องเผชิญกันกับปัญหาทางจิตใจ มันหลีกไม่พ้น ยิ่งเป็นมนุษย์ขึ้นมามากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีปัญหาทางจิตใจมากขึ้นเท่านั้น อย่าไปเข้าใจในทางที่กล่าวกลับกันว่าเป็นมนุษย์มากขึ้น ปัญหามันจะหมดไปเท่านั้น เพราะว่าคำว่ามนุษย์นั้น มัน ๒ ความหมายอย่างที่ว่ามาแล้ว ถ้าเรายิ่งเป็นมนุษย์ตามธรรมดาในความหมายของมนุษย์ คือเป็นคนนี่มากขึ้นเท่าไหร่ ปัญหามันก็ยิ่งละเอียดยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าเรามีความเป็นมนุษย์ในความหมายอื่น คือว่ามีจิตใจสูง เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ไปนั้น อย่างนั้นปัญหามันลดน้อยลง เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันเป็นคนมากขึ้นเท่านั้น ไม่ได้เป็นมนุษย์มากขึ้น ฉะนั้นปัญหามันก็สลับซับซ้อนมากขึ้น มีเงินมาก มีวัตถุปัจจัยเกื้อกูลแก่การเป็นอยู่มาก แปลกประหลาด นึกว่ามีความรับผิดชอบผูกพันกันมาก เหมือนกับที่เขากำลังทำกันอยู่เดี๋ยวนี้ อย่างนี้ปัญหายิ่งมาก ยิ่งใหญ่ออกไป ยิ่งเกี่ยวพันกันยุ่งเหยิงไปหมด โลกก็เลยเป็นวิกฤตการณ์ โดยส่วนตัวมันก็เป็นอย่างนั้น โดยผูกพันกันเป็นสังคม มันก็ยิ่งเป็นอย่างนั้นมากขึ้น นี่โรคเส้นประสาทคือการฆ่าตัวตายมันก็มีมากขึ้น แล้วการทำให้เพื่อนตายโดยไม่เจตนาก็ต้องมากขึ้น เพราะมนุษย์มันเป็นมนุษย์ที่กำลังบ้าคลั่งโดยไม่รู้สึกตัว นิยมความมึนเมา นิยมความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง สติสัมปชัญญะมันก็น้อยลงไป มันก็ทำให้เพื่อนมนุษย์พลอยตายมากขึ้น ก็ลองคิดดูว่ารถยนต์ชนกัน รถไฟอุบัติเหตุตกรางหรือว่าเรือบินอุบัติเหตุนั้น มันมาจากที่มนุษย์มีจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น ฉะนั้นยิ่งมีมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นอันตรายแก่มนุษย์มากขึ้นเท่านั้น เราอย่าไปในหลงข้อนี้ ว่าความเจริญทางวัตถุนั้นมันจะช่วยแก้ปํญหาได้ หรือว่าร่างกายอิ่มหมีพีมันแล้วชีวิตนี้ก็จะมีความสุข มันเป็นอวิชชา มันตรงกันข้ามกับเรื่องที่เรากำลังศึกษาและกำลังปฏิบัติหรือกำลังจะนำไปเผยแผ่
ดังนั้นมนุษย์มีความจำเป็นอย่างยิ่งข้อหนึ่งก็คือ การที่จะต้องทำจิตให้ยิ่ง มนุษย์จะต้องมีอธิจิตตาโยคะให้มากขึ้นๆ ตามสมควรแก่ความก้าวหน้าในทางร่างกายหรือทางวัตถุ เราจึงประมวลเรื่องราวต่างๆ ที่มันจำเป็นเกี่ยวกับการทำจิตให้ยิ่งนี้เอาไว้เป็นทุน ในการที่จะออกไปแจกของส่องตะเกียง เราต้องทำได้เองก่อนแล้วก็สอนผู้อื่น มันก็จะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แม้ว่าเราจะไปสอนในฐานะเป็นวิชาความรู้ ไม่ใช่การปฏิบัติ เราก็ยังจะต้องรู้ ต้องมีความรู้ที่ถูกต้องและเพียงพอ ถ้าไปสอนเป็นการปฏิบัติมันก็ต้องเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องจริงๆ เป็นการทำตัวอย่างให้ดู มีความสุขให้ดู เพื่อมีความก้าวหน้าในทางจิต
นี่ขอย้ำแล้วย้ำอีกในข้อที่ว่าทุกอย่างสำคัญอยู่ที่จิต ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าจิตเพียงอย่างเดียว ดวงเดียว คำว่าทุกอย่าง ขอให้เข้าใจคำว่าทุกอย่าง คือโลกทั้งหมดหรืออะไรทั้งหมด ทั้งกายทั้งใจ ทั้งรูปธรรม ทั้งนามธรรม มันทุกอย่างจริงๆ ไม่มีอะไรยกเว้น ความทุกข์ก็ดี ความดับทุกข์ไม่มีเหลือก็ดี วิธีทำก็ดี อะไรก็ดี มันทุกอย่างไปเลย มันขึ้นอยู่กับสิ่งๆ เดียวคือ จิต ถ้าไม่จัดการที่สิ่งๆ เดียวคือจิต แล้วมันก็ไม่มีหนทาง ไม่มีความเป็นไปได้อยู่ที่ไหน นี่เราจะต้องบอกเพื่อนมนุษย์ที่เราจะไปเผยแผ่กับเขาให้ทราบเรื่องข้อนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นจะพูดกันไม่รู้เรื่อง เมื่อเขาว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเนื้อหนังอย่างเดียว และเราก็ไปมีความเห็นว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตอย่างเดียว พูดกันไม่รู้เรื่องแน่
ทีนี้เรายังมีหน้าที่ที่จะต้องพูดให้ละเอียด หรือถูกต้องยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก ว่าทุกๆ อย่างนั่นหน่ะ มันจะปรากฏแก่เราอย่างไร มันขึ้นอยู่กับการที่เราทำจิตนี้ต้อนรับมันอย่างไร จิตนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ อบรมได้ เปลี่ยนแปลง แก้ไขได้ อะไรได้ ทีนี้โลกทั้งโลกนี่มันจะมาปรากฏแก่เรา ส่วนไหนเป็นอย่างไร อะไร มันขึ้นอยู่ที่ว่าเราทำจิตใจของเรานี่เพื่อต้อนรับมันอย่างไร ถ้าเราทำจิตใจอย่างหนึ่งมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง โลกนี้มันจะปรากฏแก่เราเป็นผีปีศาจ หรือว่าเป็นนรก เป็นสิ่งที่ทำอันตรายอย่างยิ่งก็ได้ หรือว่ามันจะปรากฏแก่เราในรูปที่ว่าเป็นสวรรค์ เป็นสิ่งที่น่าเสน่หา น่าพิสมัยอย่างยิ่งก็ได้ โลกมันก็คืออย่างนั้นแหละมันก็เท่าเดิม แต่ถ้าเราทำจิตของเราเองต้อนรับมันอย่างไร ทำจิตไว้ผิด มันก็เข้ามาในรูปของไฟที่จะเผาผลาญ ทำจิตต้อนรับมันถูก มันก็มาในทางที่ตรงกันข้าม หรือถ้าถูกอย่างยิ่ง มันจะไม่ทำอะไรแก่เราเลย มันจะไม่มีผลอะไรแก่จิตใจของเราเลย
นี่คือแง่ที่พูดว่าโลกนี้เราสร้างได้ และเราเป็นพระเจ้าสร้างโลกได้ ให้มันมาอย่างไร ให้มันมีขึ้นมาอย่างไร ให้มันปรากฏแก่เราอย่างไร เราสร้างที่จิตที่จะต้อนรับมันอย่างไร ก็สร้างโลกทุกอย่างขึ้นมาได้ เป็นพระเจ้าสร้างโลกเสียเอง นี่เป็นคำพูดโดยอุปมา ระวังให้ดี อย่าเอาไปทะเลาะวิวาทกันกับพวกที่เขานับถือพระเจ้าอยู่ในปริยายอื่น
ฉะนั้นเราพูดตามธรรมาธิษฐาน ภาษาธรรมะว่า โลกนี้จิตสร้างขึ้น โลกนี้จิตนำไป จิตเป็นผู้รู้สึก บริโภค เสวย คุณค่าต่างๆ ในโลก พูดได้มากมายตามพระพุทธภาษิต โลกนี้จิตสร้างขึ้น หมายความว่าแล้วแต่เราจะคิด จะรู้สึกต่อมันอย่างไร มันก็ปรากฏแก่เราในลักษณะอย่างนั้น เพราะว่าโลกนี้จิตสร้างขึ้น หรือโลกนี้จิตนำไป อ๊ะ อะไร มีพระพุทธภาษิตชัดๆ จิตฺเตน นียติ โลโก โลกอันจิตนำไป เพราะว่ามนุษย์นี่มันทำสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นให้เป็นไปตามความต้องการของมนุษย์ จิตของมนุษย์นำโลกไป, โลก มันมีความหมายเป็นโลก โดยเฉพาะเมื่อมันมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ ถ้ามันไม่มาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ มันก็ไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไร หรือเท่ากับไม่มี ในส่วนที่มันมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์นี้ ก็คือมนุษย์มีจิต แล้วก็มันทำอะไรไปตามความรู้สึก ความต้องการของจิต ก็สร้างโลกขึ้นมาแก้ไข เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของจิต อย่างนี้เรียกว่าโลกอันจิตย่อมนำไป จิตเป็นพระเจ้า และจิตนั่นแหละมันเป็นอะไร เป็นตัวที่กิน ที่ใช้ ที่บริโภคสิ่งที่เรียกว่าค่าหรือ value ของสิ่งที่เรียกว่าโลก นี่ก็เพื่อให้มองเห็นจุดที่ลึกซึ้งที่สุดและจริงที่สุดคือ สิ่งที่เรียกว่าจิต จนมองเห็นว่าเราสามารถสร้างโลกนี้ขึ้นสำหรับเราอย่างไรก็ได้ ก็สร้างโลกนี้ขึ้นสำหรับเราคนๆ โดยเฉพาะและอย่างไรก็ได้ ถ้าเรารู้จักทำสิ่งๆ เดียวคือ จิต เพราะว่าจิตมันสามารถสร้างโลก ทีนี้เราก็คือจิตในที่นี้โดยสมมติ ในเมื่อมันมีการอบรมอย่างไรมันก็จะสร้างโลกได้อย่างนั้น เป็นโลกนรก ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย ก็ได้ เป็นมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก มารโลกก็ได้ หรือเป็นโลกุตระคือเหนือโลก โลกที่พ้นความหมายของคำว่าโลก อะไรก็ได้
นี่เราสามารถสร้างโลกขึ้นสำหรับเรา เป็นปัจจัตตัง แต่ละคนๆ อย่างไรก็ได้ นี้ใครมาบังคับเราไม่ได้ เรามีโอกาส เรามีอิสระที่จะสร้างได้ นี่ดูพวกฤาษี โยคี มุนี ออกจากบ้าน จากครอบครัวไปอยู่ในป่าเพื่อสร้างโลกขึ้นมาตามความพอใจของเขา สิ่งที่เรียกว่าอธิจิตตาโยคะ มันเกิดมาจากพวกนี้ ผู้สามารถพัฒนาจิตแล้วก็สร้างโลกขึ้นมาใหม่ ที่มันสูงกว่าธรรมดา และเขานั่นแหละบริโภคเสวยอยู่ ดูดดื่มอยู่ ซึ่งค่าของโลกที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่ นี่เรียกว่าทุกอย่างสำคัญอยู่ที่จิต
เอ้า ทีนี้มาถึงพวกเราที ธรรมทูต และงานของธรรมทูต งานธรรมทูตก็คือ เพื่อแนะนำให้ช่วยกันสร้างโลกเสียใหม่ในลักษณะที่ถูกต้อง งานธรรมทูตในประเทศก็ดี นอกประเทศก็ดี เพื่อไปทำการแนะนำ แสงสว่าง ความรู้ ให้ช่วยกันสร้างโลกเสียใหม่ในลักษณะที่ถูกต้อง ทีนี้มนุษย์แต่ละคนๆ ช่วยกันสร้างโลกขึ้นมาในลักษณะที่ไม่ถูกต้อง คือเป็นวิกฤตการณ์ เรื่องนี้เราพูดมามากแล้วในการบรรยายครั้งต้นๆ เอามาใส่เข้าที่ตรงนี้ จิตของมนุษย์ในปัจจุบันนี้สร้างโลกขึ้นมา แล้วก็นำโลกไป แล้วก็ระคนปนกันอยู่ด้วยความไม่ถูกต้อง ศึกษาสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันดูบ้าง จะรู้ แล้วก็จะพบมูลเหตุของวิกฤตการณ์นี้ได้ ลึกซึ้งเข้าไปๆ จนมาถึงจุดที่เรากำลังพูด คือจิตที่ตั้งไว้ผิด คือว่าจิตที่มันไม่ประกอบด้วยคุณอันยิ่ง เพราะมันตั้งไว้ผิด จิตที่ตั้งไว้ผิดนี่ พระพุทธเจ้าตรัสว่าทำอันตรายยิ่งกว่าสิ่งใดที่เป็นอันตรายในโลก เกี่ยวกับข้อนี้ เรามองให้เห็นว่าเพียงแต่ไปทำเขาให้มีความเข้าใจถูกต้องเท่านั้นแหละ ทีนี้การสร้างโลกมันก็เป็นไปเอง ไม่ใช่ว่ามันจะต้องมาสร้างกันขึ้นเหมือนกับสร้างบ้าน สร้างเรือน สร้างวัตถุสิ่งของ นั่นมันโลกวัตถุ
เดี๋ยวนี้เราพูดกันถึงเรื่องโลกทางวิญญาณ ไปทำให้เกิดความเข้าใจอันถูกต้องที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ มันก็เป็นการสร้างขึ้นมาทันที สมฺมาทิฏฺฐิสมาทานา สพฺพํ ทุกฺขํ อุปจฺจคุ สัตว์ทั้งหลายก้าวล่วงความทุกข์ทั้งปวงได้เพราะสมาทานสัมมาทิฏฐิ เพราะมีสัมมาทิฏฐินี่ประจำที่อยู่ที่เนื้อที่ตัว เขาเรียกว่าสมาทานสัมมาทิฏฐิ ทีนี้สัมมาทิฏฐิในพุทธศาสนานี่ เราก็เรียนกันมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันก็รู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรเป็นความไม่มีทุกข์ อะไรเป็นทางให้ถึงความไม่มีทุกข์ นี่สัมมาทิฏฐิ ส่วนสัมมาทิฏฐินอกนั้นมันเป็นเรื่องรองๆ ลงไป
ฉะนั้นไปพูดกันถึงเรื่องสัมมาทิฏฐิ ให้มันเกิดความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับความทุกข์และความดับทุกข์ พอคนเหล่านั้นมีสัมมาทิฏฐิ ไม่มีใครบังคับไม่มีใครเชื้อเชิญ มันก็เคลื่อนไหวกาย วาจา ใจ ไปแต่ในทางที่ถูกต้องตามอำนาจของสัมมาทิฏฐินั้น นี่คือการสร้างโลก การไปช่วยเขาสร้างโลกคือทำอย่างนี้ ก็ได้โลกใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่น่าปรารถนายิ่งขึ้นๆ คือสันติภาพค่อยๆ มีขึ้นมา นี่เราไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจถูกต้อง ในการที่จะช่วยกันสร้างโลกเสียใหม่ในลักษณะที่ถูกต้อง ทั้งนี้ก็เพื่อให้มนุษยชาตินี่มันเต็มเปี่ยมไปด้วยมนุษยธรรม มนุษยชาติคือมนุษย์ทุกคนที่มีจิตใจสูงอย่างมนุษย์ ไม่แยกเป็นเขาเป็นเรา เพื่อให้มนุษยชาตินี้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยมนุษยธรรม คือธรรมที่เป็นของจำเป็นสำหรับมนุษย์ มีความหมายเป็นความสงบสุข ให้ถึงขั้นที่เรียกว่าบรมธรรมในที่สุด
มนุษยธรรมมีมากมายหลายระดับ มีระดับที่เรียกว่าบรมธรรมเป็นสูงสุด บรมธรรมคือความไม่เบียดเบียน อหิงสา ปรโม ธมฺโม อหิงสาเป็นบรมธรรม ทีนี้ไม่เบียดเบียนคือ ไม่เบียดเบียนตัวเองให้เดือดร้อนเป็นทุกข์เพราะกิเลส เพราะอะไรก็ตาม แล้วมันก็ไม่เบียดเบียนผู้อื่นเองแหละ กิเลสอย่าเบียดเบียนปัจเจกชน ปัจเจกชนก็จะไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน และโลกก็เป็นผาสุก นี่เป็นบรมธรรม แม้จะใช้คำว่านิพพานๆ นิพพานเป็นบรมธรรม นิพพานนั่นคือไม่เบียดเบียน คือเย็น คือสงบสุข คือไม่เบียดเบียนตัวเองแล้วก็ไม่เบียดเบียนใครได้ นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวนิพพานว่าเป็นบรมธรรม
ถ้าจะระบุให้แคบต่อมา งานของธรรมทูตคือไปเผยแผ่บรมธรรม เพื่อว่าให้โลกทั้งโลกทั้งทุกโลก ทั้งๆโลกและทุกๆ โลก เป็นโลกของจิตที่อบรมดีแล้ว ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู เดี๋ยวนี้โลกมันถูกทำให้เป็นโลกของกู เป็นตัวกูหรือเป็นของกู นี่เป็นความผิดพลาด เป็นความโง่ เป็นความมืด เป็นความบอด เป็นอวิชชา เป็นการหลับหูหลับตา นี่โลกเป็นโลกของจิตที่อบรมดีแล้ว ไม่มีตัวกู ของกู อยู่ในจิตนั้น ไม่มีความมืด ความบอด อยู่ในจิตนั้น โลกนี้อบรมดีแล้ว โลกนี้เป็นโลกของจิตที่อบรมดีแล้ว นี่มันจะเข้าไปในรูปของอนัตตา ของสุญญตา โดยสมบูรณ์ โลกทั้งปวงมิได้เป็นของตน หรือของๆ ตน แต่เป็นเพียงโลกของจิตที่อบรมดีแล้ว สะอาด สว่าง สงบแล้ว นี่เรียกว่าอธิจิตตาโยคธรรม เป็นไปได้ถึงที่สุดอย่างนี้
ทีนี้ก็มาถึงปัญหาที่ว่าคนบางพวก หรือพวกนักศึกษาชั้นเลิศของโลกนี่ มันจะไม่มองเห็นว่าระเบียบปฏิบัติทางจิต เช่น อานาปานสติ เป็นต้นนี้ จะทำให้เกิดผลอย่างนี้ได้อย่างไร นี่มันเป็นหน้าที่ของเรา ซึ่งเราต้องรู้ถูกต้องและครบถ้วนเพียงพอ ให้เขารู้ว่า โอ้ ไม่ใช่นั่งหลับตาโง่ๆ อย่างชาวอินเดียที่ถูกติเตียน มันเป็นเรื่องหลับตาให้ฉลาดที่สุด อนิจจานุปัสสี มองเห็นอันนี้แล้วฉลาดที่สุด และก็เริ่มวางมือจากโลก คือว่าวางความยึดมั่นด้วยความโง่ในโลก หรือว่าซัดเหวี่ยงโลกออกไปเสียได้ จากความเป็นตัวกูของกู เหลืออยู่คำพูดเพียงคำเดียวว่าไม่เห็นแก่ตัว เราจะพูดอย่างเล่นลิ้น แยกโลกออกไปเสีย หรือว่าแยกตัวกู ของกู ออกไปเสีย อย่าให้มันมีที่อยู่ในโลก และก็เป็นโลกที่ไม่ใช่โลกในความหมายของคำว่าโลกในความรู้สึกของมนุษย์ มันเป็นโลกุตระ นี่โลกของจิตดวงเดียว คือจิตที่ยิ่ง ไม่ใช่โลกของตัวกู ไม่ใช่โลกของกู มันโลกของจิตที่ยิ่ง โลกของจิตที่ปราศจากตัวกู ของกู นี่คืออานิสงส์ ทั้งหมดนี้เป็นการบอกอานิสงส์ในวันสุดท้ายว่า อธิจิตตาโยค มีอานิสงส์อย่างไร แก่เราหรือแก่คนทุกคน ฉะนั้นจึงหวังว่าพวกเราทุกคนจะพยายามในเรื่องนี้เป็นพิเศษ คือในเรื่องอธิจิตตาโยคนี้ แล้วมันจะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ถ้าไม่มีอันนี้แล้วไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาอะไรได้เลย เราเรียนเรื่องนี้กันมาพอสมควรแล้ว เราก็ลงมือปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่ในป่า ไม่ใช่ในถ้ำ คือว่าทุกๆ แห่ง ทุกเวลาที่เรามีชีวิต มีลมหายใจอยู่ในแผ่นดินนี้ อย่าได้เผลอสติเลย เรียนเรื่องนี้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เพื่อมีความสติสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเท่านั้น แม้ที่สุดแต่จะอะไรๆ ก็รู้ดีอยู่แล้ว จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนนี่ หรือว่าจะกิน จะอาบ จะถ่าย จะทำงาน มันก็คือทุกลมหายใจเข้าออก ที่ในป่าหรือที่ในเมือง ที่ในส่วนตัวหรือที่ในสังคม ต่อหน้าสังคม ถ้าหากว่าที่แล้วๆ มามันเป็นไปด้วยความประมาท ก็เลิกเสีย นี้ผมเรียกว่าการทำจิตให้ยิ่ง เป็นทุกสิ่งที่จำเป็นแก่มนุษย์ คือหัวข้อ ในวันนี้ และพอดีกับเวลาของเราก็หมด ถือโอกาสเป็นการปิดการบรรยายในคราวนี้ด้วย /
*คณะพระธรรมทูต ขอโอกาสแสดงสามีจิกรรม...ประมาณ ๑๒ นาที (ไม่ถอดเสียง)/
(ท่านพุทธทาส) กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีโทษน่าติเตียนอันใด ถ้าหากมีอยู่ในระหว่างเรา ๒ ฝ่าย ขอให้เป็นอโหสิกรรมด้วยการทำสามีจิกรรมนี้ และด้วยเหตุที่มีจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ประกอบไปด้วยธรรมอยู่ตลอดเวลา ความพลั้งพลาดมีได้โดยบังเอิญนั้นไม่ถือเป็นประมาณ ทีนี้สิ่งต่างๆ เป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้ว ก็เกือบจะไม่ต้องพูด สำหรับผมไม่มีความรู้สึกอิดหนาระอาใจ หรือว่าอะไรซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดมีสิ่งที่จะต้องขอโทษหรือขมาโทษ แต่ว่าการทำตามธรรมเนียมนี้ก็เป็นการดีที่เป็นการแสดงความเคารพ เป็นการให้อภัยกัน เป็นการแสดงความเป็นกันเอง ความสนิทสนม สำหรับงานอบรมผู้ที่จะเป็นธรรมทูตนั้น ก็เป็นในความประสงค์ส่วนตัวของผมอยู่แล้ว ก็ไม่เป็นเรื่องที่จะทำให้เกิดความหนักอกหนักใจอะไร มีบางอย่างที่จะต้องทำความเข้าใจว่าถ้ามันมีความบกพร่องอะไรบ้าง มันก็เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสังขาร ชั่วเวลาอันเล็กน้อยนี้ มีความเปลี่ยนแปลงในทางร่างกายมาก คือน้ำหนักตัวมาก แขนขา มันแข็งกระด้าง และมันไม่อดทนต่อความหนาว ความร้อน มากเหมือนแต่ก่อน ฉะนั้นจึงไม่สามารถที่จะไปบิณฑบาตด้วยกันได้ หรือนอนด้วยกันได้ หรืออะไรอย่างนี้ สอง สาม ปีมาแล้ว แล้วต่อไปก็ยิ่งจะไม่ได้มากขึ้นในส่วนนี้ ทีนี้ส่วนการอบรมก็เหมือนกัน ขอให้ถือว่าพยายามพูดแต่สิ่งที่ยังไม่ได้พูด สิ่งที่พูดแล้วก็ปรากฏอยู่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นในการอบรมพระธรรมทูตครั้งที่แล้วมา ก็ปรากฏอยู่เป็นลายลักษณ์อักษร ขอให้ถือว่านั้นเป็นสิ่งที่ได้พูดคราวนี้ด้วย โดยอาจจะไปอ่านเอาเองได้ ก็เผอิญผมก็ไม่มีหนังสือเหล่านี้อยู่เวลานี้ ก็เลยยังไม่อาจจะให้ไปได้ มันขาดคราวพิมพ์ และมันมีหนังสืออะไรที่ให้ได้ก็ให้ไปเป็นของระลึกในวาระสุดท้ายในวันนี้ แต่ขอให้พยายามอ่านสิ่งเหล่านั้นเพิ่มเติมเข้ากับสิ่งที่ได้พูดใหม่ในคราวนี้ มันก็จะเป็นการสมบูรณ์ ในที่สุดนี้ก็เป็นอันว่าไม่มีสิ่งอะไรที่จะต้องเป็นห่วงวิตกกังวล ในจิตใจของทุกๆ คน ผู้มีความปรารถนาดี ตั้งใจทำงานเพื่อบูชาพระคุณของพระพุทธองค์ที่เราเรียกกันว่าพระพุทธบิดา ร่วมกันนี้ทุกคนและทุกฝ่าย จึงเป็นอันว่าสิ่งนี้ย่อมเป็นศีล ย่อมเป็นพร ย่อมเป็นความดี ความได้ที่ดีอยู่โดยอัตโนมัติแก่ทุกฝ่ายแล้ว
ขอให้มีความสุข ความเจริญ ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ในการบำเพ็ญประโยชน์ ทั้งแก่ตนและแก่ผู้อื่น ยิ่งๆ ขึ้นไป ทุกทิพาราตรีกาล เทอญ