แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายสำหรับผู้ฟังซึ่งเป็นลูกคนเมืองตำปรื้อ ครั้งที่ ๑๓ จะได้พูดด้วยหัวข้อว่า ปัญหาเกี่ยวกับ สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ในครั้งที่แล้วๆ มาเราพูดถึงธรรมะที่ควรจะประพฤติ และก็ธรรมะที่ทำให้ประพฤติได้สำเร็จ และก็พูดถึงผลแห่งความสำเร็จของการประพฤติธรรมะ ในวันนี้ได้พูดถึงผลสำเร็จของการประพฤติธรรมะนั่นเอง ในฐานะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แต่แล้วมันเป็นปัญหา อย่างน้อยก็มีปัญหาว่าเหตุไรคนจึงไม่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ขอให้ตั้ง ใจฟังให้ได้ความ ในเรื่องปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้
สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือ ผลสูงสุดของการปฏิบัติธรรมหรือประพฤติธรรม แต่แล้วไม่เป็นที่พอใจไม่เป็นที่ปรารถนาของคนยิ่งขึ้นทุกที แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้นคือไม่สนใจไม่ต้องการ เห็นไปเสียว่าไม่มีประโยชน์หรือไม่เกี่ยวข้องกับเรา ปัญหาอันแรก คนเข้าใจไปว่า ธรรมะนี้มีไว้สำหรับคนที่หนีโลกหรือต้องหนีโลก ปัญหานี้ยังมีอยู่ในทุกวันนี้ แม้ในหมู่นักศึกษาที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รู้เป็นนักปราชญ์ก็ยังเข้าใจผิดอยู่ว่า ไอ้เรื่องธรรมะนี้ไม่เกี่ยวกับโลก เป็นเรื่องของคนที่จะทิ้งโลกหนีโลก นี่เป็นคนให้ร้ายแก่ธรรมะ เขาเรียกกันว่า กล่าวตู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยถ้อยคำที่ไม่จริง พระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่ทำให้คนเป็นหม้าย พระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่ทำให้คนหนีเปิดไปจากโลก พระธรรมก็อย่างเดียวกัน เพราะว่ามันพระพุทธเจ้าสอนพระธรรมพระสงฆ์ก็คือผู้ปฏิบัติพระธรรม มันเป็นการกล่าวร้ายต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทีนี้บางคนนั้นไม่กล้าพูดกลัวจะเสียเหลี่ยม หรือว่ากลัวจะบาปปากก็เลยนิ่งไว้ในใจ แต่ในใจมันคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นสำหรับเรา เพราะมันทำให้คนหนีโลก หรือว่าดีแต่สำหรับคนที่จะหนีไปจากโลก ขอให้เข้าใจกันเสียให้ถูกต้อง ว่าธรรมะหรือผลของการปฏิบัติธรรมะนั้น ไม่ได้มีไว้สำหรับให้คนหนีโลก หรือสำหรับคนที่หนีโลกเหมือนที่เข้าใจกันโดยมาก แต่มันกลับตรงกันข้าม คือมีไว้เพื่อให้คนไม่ต้องหนีโลก ควรเข้าใจให้ดีๆ ว่าธรรมะนี้มีไว้เพื่อให้คนไม่ต้องหนีโลก แล้วก็ให้อยู่ในโลกโดยเป็นผู้มีชัยชนะ อยู่ในโลกอย่างผู้ชนะและไม่ต้องหนีโลก ใครขืนพูดว่าธรรมะสำหรับหนีโลก สำหรับคนหนีโลกหรือต้องหนีโลกคนนั้นมันหลับตาพูด มันไม่รู้แล้วมันยังพูด ที่บางกอกยิ่งพูดมากเพราะว่ามันกลัวจะไม่ จะไม่ได้พบกันกับไอ้ความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อย คนที่อยู่ตามป่าไม่กล้าพูด พวกเรามันไม่ได้ต้องการหรือว่าไม่ได้หลงใหลในเรื่องความสนุกสนานเอร็ดอร่อย ความคิดที่จะกลัวไปว่าจะไม่ได้พบสิ่งเหล่านี้ก็มันไม่ค่อยจะมี ทีนี้คนที่อยู่ในบ้านในเมืองที่หมกมุ่นกันอยู่แต่ด้วยเรื่องไอ้รูปเสียงกลิ่นรสนี้มันก็เลยกลัว ทีนี้ฝรั่งควรจะกลัวยิ่งไปกว่านั้น แต่มันอาจจะไม่กลัวเพราะไม่รู้เรื่องนี้เสียเลย ไม่รู้เรื่องพุทธศาสนาในลักษณะเช่นนี้เสียเลย พวกคุณลูกชาวเมืองตำปรื้ออย่าเข้าใจผิดอย่างมงายในเรื่องนี้ ธรรมะหรือผลของธรรมะไม่ได้มีไว้ให้คนหนีโลก มีไว้ให้คนอยู่ชนะโลกหรือเหนือโลก ทีนี้คำว่าเหนือโลกไม่ใช่ว่าอยู่ที่โลกอื่น อยู่ในโลกนี้เหนือการบีบคั้นของโลก โลกบีบคั้นไม่ได้แล้วก็เรียกว่าอยู่เหนือโลก พูดไปให้หมดอีกทีว่า ไม่ได้หมายความว่าต้องบวชจึงจะได้ จึงจะได้ผลของธรรมะซึ่งเรียกว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คนงมงายพูดว่าต้องบวชจึงจะได้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้พูดอย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตรัสแต่เพียงว่า ถ้จะให้เร็วนั้นมันสู้ออกบวชไม่ได้ แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่าคนที่ไม่บวชจะไม่ได้ เพียงแต่ว่าการออกบวชมันสะดวกที่จะปฏิบัติและก็จะได้ ฉะนั้นอย่าไปเข้าใจว่าต้องบวชจึงจะได้ แม้จะพูดว่าในระดับสูงสุดก็ตาม ก็ยังต้องพูดว่ามันได้ ทั้งไม่ต้องบวชก็ได้ มันได้เพราะว่ารู้ถูกต้องเป็นอยู่ถูกต้อง มีความเป็นอยู่ถูกต้อง แบบเดียวกับพระพุทธเจ้าถ้ามีการเป็นอยู่ถูกต้องโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ ทีนี้พูดเลยต่อไปถึงว่ามันไม่ได้หมายความว่าต้องมีชีวิตอยู่อย่างแห้งแล้งจืดชืดไม่มีรสไม่มีชาด พูดให้เต็มๆ ว่า ไอ้ผลของธรรมะในฐานะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์นั้น ไม่ได้หมาย ความว่าจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างแห้งแล้งไม่มีรสไม่มีชาด มีคนเป็นอันมากกลัวว่าถ้ามาเกี่ยวข้องกับธรรมะแล้วก็ชีวิตจะแห้งแล้งไม่มีรสไม่มีชาด นี่เป็นห่วงในทางกามารมณ์มากเกินไป ขนาดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว แล้วก็เลยเดาล่วงหน้า เดาล่วงหน้าว่าไอ้ ไอ้ผลของธรรมะนั้นจะแห้งแล้งไม่มีรสไม่มีชาด พระอรหันต์ไม่มีกิเลสแล้วก็ชีวิตไม่มีรสไม่มีชาด ทีนี้มันพิสูจน์กันยากครั้นเมื่อยังไม่เป็นพระอรหันต์มันก็ไม่รู้ได้ เมื่อพระอรหันต์ก็ไม่มายืนยันให้ใครเชื่อได้ เว้นไว้แต่ผู้นั้นมันจะมีปัญญามากมีการสังเกตดีจะรู้ได้ ทีนี้พูดซ้ำอีกทีว่าผลสำเร็จของการประพฤติธรรม หรือตัวว่าพระธรรมทั้งหมด ไม่ได้มีไว้ให้คนหนีโลกจึงจะได้ ไม่ได้หมายความว่าต้องบวชจึงจะได้ ไม่ได้หมายความว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างแห้งแล้ง แต่กลับหมายความว่าอยู่ในโลกโดยที่เป็นผู้มีชัยชนะ อยู่ในโลกด้วยชัยชนะในทุกกรณี อยู่ในโลกอย่างน่าพอใจในทุกกรณี ชัยชนะในทุกกรณี ฟังยากสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าไอ้แพ้นั้นคืออะไร ไปเอาแพ้เป็นชนะอยู่ตลอดเวลาแล้วมันก็ฟังไม่ออก ว่าจะต้องไปหาชัยชนะที่ไหนอีก เพราะฉะนั้นจะต้องพิจารณาให้ละเอียดลออจนรู้ว่าไอ้ความแพ้ที่เรามีอยู่ทุกวันๆ นั้นมันคืออะไร ชีวิตของคนในโลกมีความพ่ายแพ้อยู่เป็นประจำวันคืออะไร บางคนอาจจะไม่นึกถึงข้อนี้ไม่รู้สึกในข้อนี้ คำว่าพ่ายแพ้ที่นี้หมายถึงมีความทุกข์คือต้องมีความทุกข์ เมื่อใดมีความทุกข์โดยตรงก็ตามโดยอ้อมก็ตามขนาดไหนก็ตาม นี่เรียกว่ามีนั่น เมื่อนั้นมีความพ่ายแพ้ พ่ายแพ้แท้จริงคือพ่ายแพ้แก่กิเลส ไม่ใช่ว่าแพ้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันหรือแพ้แก่ศัตรู สิ่งที่ทำความพ่ายแพ้สูงสุดนั้นคือกิเลส แสดงผลของการพ่ายแพ้ออกมาคือความทุกข์ ฉะนั้นต้องรู้จักความทุกข์ทุกชนิดจึงจะเข้าใจคำว่าพ่ายแพ้ได้ดี สมมติว่าคุณไปรักผู้หญิงคนหนึ่งและสำเร็จตามต้องการ คุณเรียกว่าพ่ายแพ้หรือเรียกว่าชนะ ภาษาโลกก็ประสบสำเร็จชนะแล้วได้ตัวมา ภาษาธรรมเขาจะมองในแง่ โอ๊ย, เป็นทาสตลอดเวลา คือความพ่ายแพ้ เป็นทาสของกิเลสตัณหาตลอดเวลา และก็ต้องเป็นทาสของผู้หญิงที่ได้มา ในฐานะเป็นเทพธิดาหรือเป็นอะไรก็ตามใจ นี้ว่าในกรณีธรรมดาสามัญทั่วไปมันอยู่ในรูปนี้ เว้นว่าแต่จะได้มาโดยไม่มีความเป็นทาสในแง่ใดแง่หนึ่ง จึงจะเรียกว่าไม่แพ้ ทีนี้ตามธรรมดาสามัญเห็นๆ กันอยู่ก็มีแต่ความพ่ายแพ้ คือมันพ่ายแพ้แก่กิเลสของตัวเอง และมันก็เป็นความพ่ายแพ้แก่ทุกอย่างแหละ พ่ายแพ้ไปหมดทุกอย่าง เอาละทีนี้การได้บริโภคกามารมณ์ตามต้องการนี่เรียกว่าความชนะหรือความพ่ายแพ้ ภาษาชาวบ้านก็ว่า โอ้, ชนะถึงที่สุด ภาษาธรรมะว่าคือการพ่ายแพ้จมมิดลงไปเลย คือมันเป็นทาสของอารมณ์ ก้มหัวลงไปเป็นทาสของอารมณ์ จมมิดไปเลย ฉะนั้นถ้าเราไม่มองเห็นข้อนี้แล้วมันก็จะเถียงกันเรื่อยไปเกี่ยวกับว่าแพ้หรือชนะ ขึ้นอยู่กับภาษา ภาษาโลกหรือภาษาธรรมะ ภาษาโลกมองไปในแง่ที่ว่าชนะและนิยมกันเป็นการใหญ่ มันจะกลายเป็นพ่ายแพ้ที่สุดในภาษาธรรมะก็ได้ ขึ้นอยู่กับความโง่หรือความฉลาดความลืมหูลืมตามากหรือน้อย ขอให้ระวังให้ดี ไอ้การที่จะไปเกี่ยวข้องกับเพศตรงข้ามหรือไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์ ขอให้มันชนะจริงๆ คือมีจิตใจชนิดไหนจึงจะเรียกว่าชนะจริงๆ ให้มันเป็นชนิดนั้น ให้สิ่งเหล่านั้นอยู่ในอำนาจของเรา อย่าให้เราอยู่ในอำนาจของสิ่งเหล่านั้น แม้ที่สุดแต่ว่ามีเงินมากกว่านี้ต้องให้เงินอยู่ในอำนาจเราอย่าให้เราอยู่ในอำนาจเงิน ถ้าเราอยู่ในอำนาจเงินใต้อำนาจเงินเราก็นอนไม่หลับ นี่ข้อนี้ต้องสังเกตดูให้ดีๆ คำว่าแพ้คำว่าชนะหมายความว่าอย่างไร กลับตรงกันข้ามอย่างน่าตกใจ อย่างที่เรียกว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว การที่จิตใจของเราจะไม่อยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดที่เรารักที่สุดหรืออะไรที่สุด นั้นก็เรียกว่าชนะ แม้ในทางที่ตรงกันข้าม คือสิ่งที่ไม่น่ารักที่น่าเกลียดน่าโกรธน่าอะไรก็เหมือนกัน ถ้าเราไปโกรธเข้าก็คือแพ้ สิ่งที่เราโกรธนั้นน่ะมันชนะเรา ไม่ใช่เราชนะสิ่งที่เราโกรธ ถ้าเราไปตบหน้าใครเข้าคนหนึ่งนี่ เด็กๆ ก็ยืนโห่ ก็คงจะคิดว่าเราชนะ แต่ถ้าธรรมะออกมามันจะกาหน้าให้เป็นคนแพ้ ให้คนที่ไปตบหน้าเขากลายเป็นคนแพ้ แพ้แก่กิเลส แพ้แก่ความรู้สึกฝ่ายต่ำ ปู่ย่าตายายของคนเมืองตำปรื้อนี่พูดไว้ดีแล้วว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร สมัยก่อนจะได้ยินคำนี้วันหนึ่งหลายๆ ครั้ง เป็นคำสำหรับปัด ปัดไอ้ความรู้สึกเลวๆ ออกไปจากใจ อะไรเกิดขึ้นในจิตใจ เกี่ยวกับเพื่อนข่มเหงหรือว่าอะไรที่ไม่เป็นไปตามใจนี่เขาจะพูดคำนี้ขึ้นมาเลย แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร ยังถูกต้อง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์อยู่จนกระทั่งวันนี้ อย่าเข้าใจผิด เอาไปใช้ประจำตัวในโรงเรียนในวิทยาลัยในอะไรของคุณ แล้วคุณจะดีจะมีความสุข จะประสบความสำเร็จในการเรียนในการงาน ถ้าไม่ถือหลักแพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร มันจะกลายเป็นมารขึ้นมาทันที คือไปหวังชนะด้วยกำลังแล้วมันก็ได้รบราฆ่าฟันกันแหละ เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์มันเอาไปลงด่า นิสิต หรือว่านักศึกษาสมัยนี้ ฉะนั้นจึงพูดว่าในทุกกรณี ชนะในโลกทุกกรณี ตั้งแต่เรื่องวัดเรื่องบ้านเรื่องเด็ก เรื่องผู้ใหญ่ เรื่องหญิง เรื่องชาย ถ้าถือหลักในทางธรรมะถูกต้องมันจะชนะในทุกกรณี และเป็นความชนะแท้จริงเพราะฉะนั้นจึงไม่ ไม่ลำบากไม่เดือดร้อนไม่เผาลน จึงว่าน่าพอใจอย่างน่าพอใจ จะกล่าวได้ว่าเป็นที่น่าพอใจในทุกกรณี เป็นความชนะที่ไม่ ไม่รู้จักแพ้ไม่กลับแพ้ ที่ว่าน่าพอใจ ไอ้เราชนะเพื่อนชนะคนด้วยกันชนะไอ้ชนิดเป็นมาร ไม่เท่าไรก็กลับแพ้ แพ้กันไปแพ้กันมา ชนะกันไปชนะกันมา ไม่มีความจริง แต่ถ้าชนะกิเลสแล้วก็แน่นอน หมายความว่ากิเลสนั้นจะไม่มาอีก ถ้ามันมาอีกก็หมายความว่ายังไม่ชนะ สิงที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์นั้นคือผลของการปฏิบัติธรรมสำเร็จ เรียกตามธรรมดาว่าชนะกิเลสชนะ ชนะมาร เรียกด้วยสำนวนโวหารที่ลึกซึ้งว่า ชนะตัวเอง ชนะตัวเองฟังยาก ฟังยากกว่าพูดว่าชนะกิเลสหรือชนะมาร เว้นไว้แต่คุณมีความรู้มีความเข้าใจเรื่องตัวกูของกูอะไรดีเท่านั้นน่ะจึงจะฟังรู้ ว่าชนะตัวกูชนะตัวเองมันคืออะไร ตัวเองตัวกูมันปรุงขึ้นมาจากกิเลสจากอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น คราวนี้ชนะตัวกูก็ชนะตัวกูนี่ ชนะตัวเองมันก็ชนะตัวเองนี่ คือชนะกิเลส ตัวเองชนะตัวเองยิ่งฟังยาก โดยแท้จริงก็คือจิตที่ประกอบด้วยสติปัญญาที่มันสามารถหยุดกิเลสได้ สติปัญญาชนะอวิชชา นี่คือตัวเองชนะตัวเอง ชนะกิเลสหมายถึงชนะที่ไม่กลับแพ้ ชนะคนด้วยกันหมายถึงชนะที่ไม่มีความหมาย แล้วไม่จริงแล้วกลับแพ้ ไม่มีประโยชน์ในการที่จะดับทุกข์ ชนะคนภายนอกไม่มีความหมายเป็นความดับทุกข์ มีแต่ทำให้ความทุกข์ซับซ้อนยุ่งยากลำบากยิ่งขึ้นมากยิ่งขึ้น ชนะตัวเองคือชนะกิเลส จะเป็นเรื่องดับทุกข์ลงไปทันทีโดยตรง ฉะนั้นเราจึงถือว่านี่คือดีที่สุดสำหรับมนุษย์ คือชนะความทุกข์ เอ้า, ตรงนี้ต้องแทรกสักหน่อยว่าไอ้ความทุกข์นั้นมันคืออะไร คุณรู้จักความทุกข์ไม่ ไม่ถูก ตัวความทุกข์รู้จักนิดเดียว เช่น ความเจ็บปวดเป็นความทุกข์มันถูกนิดเดียว ความเกิดแก่เจ็บตายเป็นความทุกข์อย่างนี้ มันถูกนิดเดียว ถ้าพูดภาษาที่ถูกต้องสมบูรณ์ต้องโดย ต้องโดยหลักธรรม หลักของภาษาหลักตรรกวิทยา เขามีการพูดว่า ความทุกข์เกิดมาจากความยึดมั่นสิ่งใดๆ ว่าเป็นตัวกูว่าเป็นของกู เขาหมายถึงสิ่งที่ถูกยึดมั่นว่าเป็นตัวกูของกูนั่นก็คือตัวความทุกข์ ไอ้ความเจ็บปวดมันเป็นความทุกข์ เพราะเรารู้สึกยึดมั่นโดยเราไม่รู้สึกตัวว่าความเจ็บของกู พอเจ็บก็ว่ากูเจ็บทันที มัน มันไวเกินไปมันลึกเกินไป มันต้องมีไอ้ที่ความโง่ที่ว่าไอ้นี่ของกูมันจึงจะเจ็บปวดจะเป็นความทุกข์ขึ้นมา เรื่องเจ็บกายเรื่องปวดทางกายนี้ มันก็ยังต้องอาศัยความโง่ความเจ็บของกู ถึงจะเป็นความทุกข์ ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายตามธรรมชาติไม่ได้เป็นทุกข์หรือไม่ได้เป็นสุขอะไร เพราะเมื่อคนมันเกิดรู้สึกว่ามันของกูนี่ ความเกิดของกู ความแก่ของกู ความตายของกู มันจึงจะรู้สึกว่ากลัว หรือว่าเป็นปัญหาขึ้นมาทันที ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายนี่มันปรากฎแก่ความรู้สึกแล้วมัน มันรู้สึกเป็นของกู ความตายของกูมันจะเล่นงานกู ก็เลยเป็นทุกข์ เพราะเหตุที่ว่ามันเจือด้วยความ ความหมายที่ว่าเป็นของกู ถ้าปัดออกไปเสียได้ไม่ใช่ของกูมันก็ไม่ ไม่เป็นความทุกข์ มันเป็นของธรรมชาติธรรมดาที่ ที่ไม่มีความสำคัญอะไร ที่เรียกว่าไม่เป็นทุกข์ไม่มีความทุกข์อยู่เหนือความตาย อยู่เหนือความเกิดแก่เจ็บตาย พระอรหันต์มีจิตใจอยู่เหนือความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย แต่ว่าร่างกายของพระอรหันต์ก็ยังต้องแก่ต้องตายอยู่นั่นแหละ แต่โดยที่ไม่ได้มีความสำคัญเอามาเป็นความเจ็บของเรา เป็นความตายของเรา ฉะนั้นความทุกข์ทางใจมันไม่มี ไอ้ข้อนี้เป็นข้อที่ยากที่สุดที่จะพูดกับคนสมัยนี้หรือพูดกับชาวต่างประเทศ ซึ่งเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้ ที่แจกรายละเอียดเป็นความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความทุกข์กายความทุกข์ใจ ความปรารถนาแล้วไม่ได้ตามใจ ความประสบกับสิ่งที่ไม่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก มันพูดไปได้มากมายเป็นความทุกข์แต่มีความหมายข้อเดียวอันเดียวอยู่ภายใต้นั้น คือเพราะความยึดมั่นว่าตัวกูของกู ยึดมั่นว่าสิ่งนี้กูรัก แล้วสิ่งนี้ไม่ได้ สิ่งนี้กูไม่รักสิ่งนี้เข้ามาหา ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้ตามใจที่กูปรารถนา มันจะต้องเจือด้วยคำ คำว่ากูหรือของกูเสมอไป สิ่งเหล่านี้จะเป็นทุกข์ขึ้นมา ทีนี้เรามองไม่เห็นเราก็ไประบุเอาอาการอย่างนั้นว่าเป็นทุกข์ อันนี้ยังไม่ถูก ถูกตามความรู้สึกหรือความหมายของชาวบ้านของคนธรรมดาสามัญซึ่งยังไม่เห็นธรรมะอันลึกซึ้ง ถ้าเข้าใจธรรมะหรือธรรมชาติอันลึกซึ้งก็รู้ อ้อ, มันเจือด้วยตัวกูของกูทั้งนั้น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ให้ชัดเสียเลยว่า สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ที่เราสวดมนต์กันทุกวัน สังขิตเตนะ แปลว่า โดยสรุป โดยย่อ ปัญจุปาทานักขันธ์ เป็นตัวทุกข์ เบญจขันธ์ คือร่างกายจิตใจที่มีเจืออยู่ด้วยความยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละเป็นตัวทุกข์ มันจะเป็นผู้ยึดมั่นถือมั่นก็ตามหรือมันจะเป็นผู้ถูกยึดมั่นถือมั่นก็ตาม มันเป็นตัวทุกข์ทั้งนั้น เพราะว่ามันเจืออยู่ด้วยความยึดมั่นถือมั่น จิตที่มีความยึดมั่นถือมั่น มันก็เป็น มันก็มีความยึดมั่นถือมั่นในจิตมันก็เป็นตัวทุกข์ ทีนี้สิ่งที่จิตไปยึดมั่นถือมั่นเข้าก็เป็นสิ่งที่ทำความทุกข์ให้ ให้เกิดขึ้นแก่จิต มันจึงแปลว่า ขันธ์หรือเบญจขันธ์ทีเดียวทั้ง ๕ ก็ได้ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานความยึดมั่นนั่นแหละเป็นตัวทุกข์ ความรักมันจึงกลายเป็นความทุกข์เท่ากับความโกรธความเกลียด ความได้ได้ตามต้องการของกิเลสตัณหาก็เลยกลายเป็นความทุกข์เท่าเท่ากับความไม่ได้ หรือยิ่งกว่าความไม่ได้ นี่อุตส่าห์จำความหมายของคำว่าทุกข์วันนี้ให้ดีๆ เช่นว่าสังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ จนพูดได้ชนิดที่คนอื่นฟังไม่รู้เรื่องว่าความสุขก็เป็นความทุกข์ คุณมองเห็นเหรอ ถ้ามองไม่เห็นก็พิจารณาดู ความสุขซึ่งถูกยึดถือว่าเป็นความสุขของกูนี้จะต้องเป็นความทุกข์ ไอ้ความสุขหรืออะไรก็ตามซึ่งไม่ถูกยึดถือว่าเป็นของกูมันหาเป็นทุกข์ได้ไม่ ความทุกข์ก็ตามความสุขก็ตามถ้าถูกยึดถือว่าเป็นของกูแล้วเป็นความทุกข์ทันที โดยเหตุนี้บุญก็เป็นความทุกข์ถ้า ถ้ายึดถือ สุขเองก็เป็นความทุกข์ถ้ายึดถือ สิ่งใดที่ถูกยึดถือ พอยึดถือได้ก็เป็นความทุกข์หมด ฉะนั้นนิพพานลมๆ แล้งๆ ที่ว่าเอาเองถ้ายึดถือว่านิพพานของกูก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ส่วนนิพพานจริงมันยึดถือไม่ได้มันปราศจากความยึดถือ ถ้ายังมีความยึดถือในนิพพาน นิพพานนั้นยังไม่ใช่นิพพานจริง การที่เราจะยึดถือความสุขว่าความสุขของกู มันได้แต่ความสุขที่ยึดถือได้ถูกยึด ถูกหลอกให้ยึดถือได้ ส่วนนิพพานเป็นสิ่งที่ยึดถือไม่ได้ ถ้ายังยึดถือได้ยังไม่ใช่นิพพาน ฉะนั้นยึดถือได้ก็มีแต่นิพพานปลอม ทีนี้เข้าใจคำว่าความทุกข์ว่ามันอยู่ตรงที่มีความยึดถือ สิ่งใดก็ตามเมื่อถูกยึดถือเมื่อมีความยึดถือมันก็เป็นความทุกข์ ทีนี้เราไม่คอยแจกอยู่ว่าความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความเจ็บกายความเจ็บใจความไม่ได้อย่างใจ นั่นมันเล็กนิดเดียว อีกอย่างถ้าว่าไม่ยึดถือมัน มันไม่เป็นความทุกข์ ให้เขาเอามีดมาเชือดเลือดแดงๆ อยู่นี่ ถ้ามันไม่ยึดถือว่าถูกกระทำหรือกูถูกเชือดอะไรมันก็ไม่มีความทุกข์ ใจจะเป็นถึงขนาดนั้นได้หรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งเป็นปัญหาอีกอันหนึ่ง ทีนี้มันเป็นหลักที่ว่าถ้าไม่มีความยึดถืออะไรก็ไม่เป็นความทุกข์ ถ้าเจ็บปวดอยู่อย่างเหลือแสนมันก็เป็นเพียงเวทนาตามธรรมชาติ ไม่ได้เรียกว่าความทุกข์ของจิตใจ ในความหมายของคำว่าทุกข์ในอริยสัจ ความทุกข์ในอริยสัจต้องหมายถึงเนื่องด้วยความยึดถือเสมอ ความเจ็บความปวดความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความอะไรก็ตามที่ถูกยึดถือว่าของของเราว่าของกูนั้นน่ะเป็นความทุกข์ ทีนี้เรามันชนะก็คือชนะกิเลสหรือชนะความทุกข์ โดยที่ว่าไม่มีความยึดถือ โดยการทำลายความยึดถือเสียได้ เรามองกันในแง่ที่ว่าไอ้ความประสบ ความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมนี้อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่ว่าสามารถจะมีจิตใจที่ไม่มีความยึดถือ คือทำลายความยึดถือเสียได้ ถ้าพูดให้ตรงก็แปลว่าต่อไปนี้จิตจะไม่ปรุงเป็นความยึดถืออีกต่อไป นี่สำเร็จพระอรหันต์ อะไรจะมากระทบทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางไหนก็สุดแท้ จิตไม่สามารถจะปรุงเป็นความรู้สึกที่ยึดมั่นถือมั่นว่า ไอ้นั่นของกู ทีนี้ก็ทุกข์ไม่เป็น ทุกข์ไม่ได้ทุกข์ไม่เป็นไม่สามารถจะทุกข์ ขอให้จำคำนี้ให้ดีๆ เพราะว่าเราจะพูดถึงสิ่งนี้ในฐานะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้
เอ้า, ทีนี้จะพูดต่อไปถึงสิ่งนี้ให้มันชัดเจนอีกหน่อย สิ่งทีดีที่สุดสำหรับมนุษย์ว่าตามตัวหนังสือ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นคำพูดในภาษาบาลี แล้วเขียนเป็นตัวหนังสือ เช่นคำว่า นิพพาน นิพพานคือสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา พุทธา แปลว่า พุทธบุคคล หรือผู้รู้ หรือพระพุทธเจ้าทั้งหลาย กล่าวพระนิพพานว่าเป็นของดีที่สุด บรมธรรมเป็น เป็นปรมะ นี้ของดีที่สุดในกรณีนี้เรียกว่า นิพพาน ทีนี้ประโยคที่เก่าแก่ก่อนพระพุทธเจ้าก็ยอมรับแม้ในสมัยพระพุทธเจ้าและแม้โดยพระพุทธเจ้าว่า อหิงสา ปรโม ธัมโม ความไม่เบียดเบียนเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ธัมมะ นั้นแปลว่า สิ่ง ปรโม สูงสุดอย่างยิ่ง ดีที่สุด ความไม่เบียดเบียนสิ่งที่ดีที่สุด พูดใน ในลักษณะแสดงผลหรือโฆษณาชวนเชื่อ นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง ความสุขอื่นนอกจากสันติย่อมไม่มี ทีนี้หมายถึงสันติเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ ทีนี้คุณลองสังเกตดู บางทีเรียกว่านิพพาน บางทีเรียกว่าอหิงสา บางทีเรียกว่าสันติ นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ ที่แท้สิ่งเดียวกันตัวหนังสือต่างๆ กันก็ตามใจ แต่ที่แท้นั้นสิ่งเดียวกัน นิพพานคือสิ่งที่ดีที่สุดก็เพราะว่าความดับเสียได้ซึ่งความทุกข์ หรือเหตุให้เกิดทุกข์ ตามธรรมดาก็แปลว่าเย็น เย็นจริง เย็นแท้จริง คือนิพพาน เพราะมันไม่มีร้อนคือกิเลสและความทุกข์ ดีที่สุด พูดในรูป negative ว่าความไม่มีร้อน คือสิ่งที่ดีที่สุด positive ว่าเย็นดีที่สุด แต่แล้วมันก็สิ่งเดียวกันคือนิพพาน แล้วแต่เราจะใช้ความหมายอันไหนให้มันเหมาะสมกับกาลเทศะที่จะพูด นิพพานคือความไม่มีทุกข์ดีที่สุด ทีนี้ที่ว่าอหิงสาดีที่สุด อหิงสาแปลว่า ไม่เบียดเบียน ถ้าเบียดเบียนมันก็ร้อนหรือเป็นทุกข์ ที่เขาว่าไม่เบียดเบียนอย่าๆๆ มีความคิดเพ่งไปยังเบียดเบียนบุ บุรุษที่ ๒ อย่างเดียว เบียดเบียนตัวเองก็ได้ เบียดเบียนตัวเองร้ายกาจที่สุด เบียดเบียนตัวเองฟังไม่เข้าใจสำหรับเด็กๆ เพราะว่าใครๆ ก็ไม่อยากจะเบียดเบียนตัวเอง แต่ว่าแท้จริงความเบียดเบียนตัวเองมีมากที่สุด ไปเบียดเบียนผู้อื่นคือเบียดเบียนตัวเอง ไปทำผิดทำชั่วตามอำนาจของกิเลส แล้วเสียหายอยู่ที่ตัวเอง แล้วตัวเองก็ต้องเป็นทุกข์เหมือนกัน มันมีความโลภความโกรธความโง่อะไรเกิดขึ้น มันจึงไปเบียดเบียนผู้อื่น ทีนี้ก่อนที่จะไปเบียดเบียนผู้อื่นไอ้ความโลภความโกรธเป็นต้นมันเบียดเบียนผู้นั้นเสียเหลือๆๆ เหลือเกิน ฉะนั้นการเบียดเบียนตัวเองคือสิ่งที่เป็นอยู่ประจำวัน แต่ไม่ค่อยมองและมองไม่ค่อยเห็น พอพูดว่าเบียดเบียนความคิดเพ่งไปถึงเบียดเบียนบุรุษที่ ๒ จะเป็นพุทธบริษัท เป็นผู้ฉลาดในธรรมะของพระพุทธเจ้านี่จะต้องรู้ว่าไอ้เบียดเบียนตัวเองนั่นคือเบียดเบียนที่แท้จริง ไอ้เบียดเบียนผู้อื่นนั่นมันของ ของนิดเดียวของเด็กเล่น พอโง่เมื่อไหร่ก็เบียดเบียนตัวเองเมื่อนั้น ทำผิดเมื่อไหร่ก็เบียดเบียนตัวเองเมื่อนั้น กิเลสเกิดเมื่อไหร่ก็เบียดเบียนตัวเองเมื่อนั้น ไม่มีการเบียดเบียนคือนิพพานนั่นแหละ แต่เขาเรียกอีก อีกอย่างหนึ่งโดยเพ่งเล็งไปยังไอ้กิริยาอาการ นอกจากนิพพานแล้วมีการเบียดเบียนตัวเองทั้งนั้น การที่เว้นไม่เบียดเบียนผู้อื่นได้นั่นมันยังไม่พอ เพราะมันยังเบียดเบียนตัวเองอยู่ แล้วอย่าลืมว่าเบียดเบียนผู้อื่นคือเบียดเบียนตัวเอง เมื่อไม่มีการเบียดเบียนด้วยประการทั้งปวงจึงจะเรียกว่า อหิงสา คือความไม่เบียดเบียนแล้วก็เป็นของดีที่สุด เป็น เป็นบรม บรมธรรม
ทีนี้ข้อที่ว่า นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง เล็งไปยังสันติว่าดีที่สุด คือเป็นสุขอย่างยิ่ง นี่เอาความสุขอย่างยิ่งสุขที่ดีที่สุดสูงสุด เป็นตัวเรื่องเราเรียกว่าสันติ ไอ้ตัวสันติคำนี้แปลว่า สงบ แปลเป็นภาษา ไทยว่า สงบ ไม่วุ่นวาย ไม่ ก็คือไม่มีกิเลสแล้วไม่มีทุกข์ พอมีกิเลสก็มีทุกข์ก็ไม่สงบวุ่นวาย นี่ชี้ให้เห็นโดยตัวหนังสือว่ามันตัวหนังสือมันอาจจะต่างกันได้ แต่โดยความหมายแล้วมันตรงกันเป็นสิ่งเดียว คือไม่ ไม่มีทุกข์ไม่เบียดเบียนตัวเองไม่มีทุกข์ จะเรียกว่าความสงบ หรือจะเรียกว่านิพพาน หรือจะเรียกว่าอหิงสา ความหมายมีสั้นๆ ว่า ไม่มีทุกข์ สิ่งที่ดีที่สุดคือสภาพที่ว่าอย่างไรๆ ก็ทุกข์ก็เข้าไม่เป็น มันจะมีอะไรเกิดขึ้นจะมีอะไรก็ตามใจเราทุกข์กับเขาไม่เป็น บางคนจะถาม เอ้า, บ้าแล้วกระมัง หรือเป็นคนบ้าที่ทุกข์ไม่เป็น มันไม่ใช่อย่างนั้น ไอ้คนบ้าบางชนิดอาจจะทุกข์ไม่เป็น แต่ว่าไม่จริงหรอก มันก็มีส่วนที่มันทุกข์แต่มันไม่รู้สึกหรือว่ามันไม่ได้ ยังไม่ทันจะปรากฎ คนที่ทุกข์ไม่เป็นไม่ใช่คนบ้า คนที่หายบ้าคนที่ไม่มีกิเลส พูดให้ชัดอย่าให้ดิ้นได้ต้องพูดว่าทำอย่างไรเสียก็ทุกข์กับเขาไม่เป็น นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เวลานี้มันอยู่ในสะ สภาพที่ว่าทุกข์เมื่อไหร่ก็ได้ ทุกข์เมื่อไหร่ก็ได้ เรื่องอะไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้มันอยู่ในสภาพที่อ่อนแอขนาดนี้ ทำไปให้มันถึงขนาดที่ว่าทำอะไรอย่างไรก็ทุกข์กับเขาไม่เป็น จะเป็นนิพพานหรือจะเป็นอหิงสาหรือจะเป็นสันติขึ้นมาได้ทันที เราเรียกในภาษาไทยว่า ทุกข์ไม่เป็น ความทุกข์ไม่เป็นนั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ควรจะได้ ทีนี้ปัญหามันก็มีอยู่ว่าคนไม่เข้าใจ ไม่ยอมเชื่อว่าเป็นสิ่งที่มีได้ นี่เป็น เป็นเหตุให้ไม่สนใจในเรื่องนิพพานหรือเรื่องไอ้สิ่งที่เรากำลังเรียกนี้ว่าดีที่สุดสำหรับมนุษย์ ทำอย่างไรจึงจะทุกข์กับเขาไม่เป็น สำหรับเด็กๆ สำหรับคนหนุ่มคนสาว สำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้เฒ่า ทำอย่างไรจึงจะทุกข์ไม่เป็น เมื่อเด็กๆ มันรู้จักยึดมั่นถือมั่นน้อยมันก็ทุกข์ได้น้อยแหละ เด็กๆ ก็เลิก เลิกป้องกันไอ้ความยึดมั่นถือมั่นตามประสาเด็กๆ มันทุกข์น้อยเกือบจะไม่มี เราควรจะสอนเด็กให้รู้จักคิดนึกในทางที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่น มันมีเรื่องที่ยึดมั่นถือมั่นน้อยอยู่แล้วพูดกันไม่กี่คำเด็กๆ ก็จะได้ปลอดภัยจากไอ้ ไอ้ความทุกข์นี้ได้ตามประสาเด็กๆ มันก็เป็นสิ่งที่น่าพอใจ ทีนี้พอมาถึงคนหนุ่มคนสาวนี่เรื่องสำหรับจะทุกข์มันก็มีมากขึ้น เรื่องสำหรับที่จะยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานมันก็มีมากขึ้น ทำอย่างไรจึงจะทุกข์กับเขาไม่เป็น ก็ต้องขยายไอ้ความสามารถสติปัญญาความรู้ความสามารถในการที่จะควบคุมความยึดมั่นถือมั่นให้มันมากขึ้น สำหรับจะควบคุมความยึดมั่นถือมั่นของคนหนุ่มคนสาว ให้ได้ให้หมด ถึงยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็มันเอาแต่ไม่ทุกข์ก็แล้วกัน เอาแต่ไม่ทุกข์เท่ากับคนเหล่านี้จะไม่ทุกข์ได้ ก็ต้องถือว่าเขาก็ได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะได้ เท่าที่จะมีได้ ทีนี้พอมาถึงผู้ใหญ่พ่อบ้านแม่เรือน ซึ่งชีวิตเปรียบเหมือนกับวัวลากเกวียน มีอุปาทานในความยึดมั่นถือมั่นมากไปกว่าคนหนุ่มคนสาว มีภาระมาก มีหน้าที่กว้างขวางความรับผิดชอบกว้างขวาง คนหนุ่มคนสาวเกือบจะไม่รับผิดชอบอะไร มัวแต่หลงใหลในเรื่องที่ถูก ถูกใจของคนหนุ่มคนสาว พอมาถึงพ่อบ้านแม่เรือนนี้มันมีเต็มไปด้วยความรับผิดชอบ สิ่งใดที่ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูเป็นของกูมันก็ต้องเกิดความรับผิดชอบขึ้นมาทันที ไม่ต้องมีใครมาบังคับสมัครที่จะรับผิดชอบเอง มันก็รับผิดชอบด้วยความรู้สึกอันแท้จริงในใจ ฉะนั้นผู้ใหญ่ พ่อบ้านแม่เรือนก็ต้องมีสติปัญญาความรู้ความสามารถ เกี่ยวกับที่จะควบคุมความยึดมั่นถือมั่นหรือว่าทำลายความยึดมั่นถือมั่นมากขึ้นไปอีก จึงจะทุกข์กับเขาไม่เป็น ผลสุดท้ายไปลงที่คำว่าทุกข์กับเขาไม่เป็น เป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่น่านับถือที่สุด ถ้าเป็นได้ถึงขนาดนั้นพระเณรเสียอีก จะกลับจะต้องไหว้ฆราวาส ที่เป็นพ่อบ้านแม่เรือนชนิดนั้น ถ้าสมมติว่าพระเณรยังไม่รู้อะไรเสียเลยเมื่อเริ่มบวช ทีนี้เลยไปถึงคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งมีอะไรแปลกออกไปอีกจากพ่อบ้านแม่เรือน ตามปกติก็มักจะเป็นเรื่องของไอ้ความวิตกกังวล ที่อยู่เฉยๆ กับเขาไม่ได้ต้องวิตกกังวลให้มันกว้างออกไปถึงลูกถึงหลานถึงเหลน แล้วก็วิตกกังวลถึงเรื่องสุขภาพอนามัยที่มันเสื่อมโทรมลงที่มันรบกวน แล้วก็วิตกกังวลถึงเรื่องโลกหน้าโน้น จะไปสวรรค์ดีหรือจะไปนรกก็แน่นี่ยังไม่รู้ มันเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ความยึดถือมันไกลไปถึงเรื่องนรกหรือสวรรค์ซึ่งตัวรู้สึกว่ามันใกล้เข้ามาแล้วโว้ย คนแก่ก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจความสามารถที่จะควบคุม ความยึดมั่นถือมั่นให้มัน ให้มันมากขึ้นอีกให้มันพอ แล้วคนแก่ก็จะไม่ ไม่มีความทุกข์ ทุกข์กับเขาไม่เป็นเหมือนกัน ฉะนั้นช่วยกันไปป่าวร้องโฆษณาว่าทุกๆ คน ทุกๆ ระดับของ ของคนนี่จงช่วยกันทำ อย่าให้ทุกข์กับเขาเป็น เป็นผู้ที่ทุกข์กับเขาไม่เป็น ทำอย่างไรก็ทุกข์ไม่เป็น แล้วก็ใช้ได้คือดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ มันไม่เท่ากันปริมาณหรือคุณค่าอะไรไม่เท่ากัน แต่พูดในหลักเกณฑ์อันเดียวกันว่าทุกข์กับเขาไม่เป็น เป็นเด็กๆ ก็ทุกข์กับเขาไม่เป็น คนหนุ่มคนสาวก็ทุกข์กับเขาไม่เป็น เป็นคนผู้ใหญ่แล้วก็ทุกข์กับเขาไม่เป็น เป็นคนชราแล้วทุกข์กับเขาไม่เป็น นี่คือนิพพานสำหรับทุกคน คือ อมฤตธรรม สำหรับทุกคนจึงเรียกว่าดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ไอ้น้ำอมฤตมันเป็น เป็นชื่อของสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือมันไม่ตาย ทีนี้ปัญหาก็มีอยู่ว่ามันไม่รู้จัก เด็กๆ ก็ไม่รู้จักที่จะทำตัวให้ทุกข์ไม่เป็น คนหนุ่มคนสาวไม่รู้จักทำตัวให้ทุกข์ไม่เป็น พ่อบ้านแม่เรือนก็ไม่รู้จักทำตัวให้ทุกข์ไม่เป็น คนแก่คนเฒ่าคนชรายิ่งเป็นเจ้าทุกข์ ยังไม่มีเรื่องอะไรก็คิดมันให้มันเป็นทุกข์ขึ้นมาเอง เวลานี้ไม่มีใครสนใจ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ไม่สนใจในเรื่องที่จะทำให้ทุกข์ไม่เป็น สนใจแต่เรื่องจะหาจะเอาจะได้ และจะบริโภคจะเสวย แล้วก็ไม่ต้องนึกถึงข้อที่ว่ามันจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ โดยถือเสียว่าถ้าได้มาแล้วก็ไม่ทุกข์ ถ้ากินเข้าไปแล้วก็ไม่ทุกข์ เลยพูดกันไม่รู้เรื่อง เมื่อเขาทำตัวเป็นคนดีเป็น เป็น เป็นคนดี เป็นพลเมืองดีเป็นคนที่ใครๆ นับถือรักใคร่ มีครอบครัวมีอะไรดี แล้วก็จิตใจมันอยู่ในระดับที่ชอบในสุขเวทนา มันก็เข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ แม้ แม้ แม้ถึงอย่างนั้นแล้วเข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้เพราะไปหลงในสุขเวทนา คนดีๆ ที่เรียกคนดีเป็นสุภาพบุรุษ สัตบุรุษ ก็ตามมันหลงในสุขเวทนา มันก็เข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ เขาจึงบัญญัติให้ว่า เอ้า, ไป ไปตายกับเรื่องนี้ ตายไปกับเรื่องนี้ หลงใหลในเรื่องสวรรค์วิมานอะไรอย่างนั้นไปกันตามเรื่อง เพราะมันเป็นความทุกข์ที่ลึกซึ้งเกินไป ไอ้สิ่งที่จะต้องสังเกตก็คือว่า ทุกข์มากขึ้นในเมื่อเราไปหาสิ่งเหล่านี้มามากขึ้น เช่นหาเงินให้มากขึ้น ก็จะมองเห็นได้ว่าเป็นทุกข์มากขึ้น กับเห็นว่ามันดีหรือมันเป็นสุขมากขึ้น พูดกันไม่รู้เรื่องแน่นอน นี้เป็นปัญหาเป็นตัวปัญหาที่ลำบากเหลือเกินในการที่จะเผยแผ่สั่งสอนธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่จะทำให้คนได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คุณก็จำไว้ ไอ้อุปสรรคศัตรูตัวร้ายกาจที่จะทำให้ไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นั่นมันคือสุขเวทนา เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าสุขเวทนาให้ดีๆ อย่าไปหลงอย่าไปบูชามัน เพราะนั่นคือตัวสิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะได้ เพราะสุขเวทนาเป็นที่ตั้งของความยึดมั่นถือมั่นยิ่งกว่าสิ่งใด หมายถึงความสุขทางเนื้อทางหนัง ที่รู้สึกทางเนื้อทางหนังอาศัยกิเลสตัณหาเป็นรากฐานมันจึงจะรู้สึกว่าเป็นสุข ถ้าไม่มีกิเลสตัณหาเป็นรากฐานมันจะกลายเป็นของที่น่าขยะแขยงที่สุด น่าเกลียดน่าชังที่สุด อันตรายที่สุดสำหรับสุขเวทนา เวลานี้มันเต็มไปด้วยอวิชชาไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับเสียเอง สิ่งนั้นคืออุปสรรคที่ทำให้มนุษย์ไม่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่มนุษย์เขาว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ดีที่สุด เอากับมันสิ มันก็เลยพูดกันไม่รู้เรื่อง นี้คือปัญหา และสิ่งนี้ที่ทำให้พระพุทธศาสนาเป็นหมันอยู่ทุกวันนี้ เพราะคนไปติดในสุขเวทนา ความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนัง ทางกามารมณ์พูดให้ตรงๆ ส่วนความที่ไม่เป็นทาสของสุขเวทนานั้นไม่มีใครเข้าใจ เหมือนที่ได้พูดมาแล้วตั้งแต่ต้นว่าไอ้ที่แพ้ พวกเราเห็นเป็นชนะ นี่เราเป็นทาสของสุขเวทนาพ่ายแพ้อยู่ตลอดเวลา กลับเห็นว่าเราได้มันเราชนะมัน นี่คืออุปสรรคที่ทำให้พระธรรมกำลังเป็นหมัน พุทธศาสนากำลังเป็นหมัน ในที่สุดก็คือทำให้ชีวิตของมนุษย์นั้นน่ะเป็นหมัน ไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้
เอาละที่นี้ก็พูดครั้งสุดท้ายว่า พวกคุณอยู่ในพวกไหนโว้ย พวกคุณทุกคนที่ฟังอยู่ในพวกไหน ยังอยู่ในพวกไหน และต่อไปจะยังคงอยู่ในพวกไหน ไปคิดให้ดี นี่เราพูดสำหรับเกียรติยศของเมืองตำปรื้อนะ อย่าให้มันมากนัก คือว่าอย่าให้มันผิดมากนัก อย่าให้มันงมงายมากนัก ให้รู้จักสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ให้ถูกจุดให้ถูกตัว มั่นใจว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์จริง แล้วสิ่งที่กำลังหลงไปเข้าใจผิดนั้นไม่ใช่ ให้รีบลืมหูลืมตาด้วยการศึกษาด้วยการเข้าใจความจริงซึ่งบรรยายไว้ในตัวพุทธศาาสนา ทีนี้สรุปความของเรา ปัญหาก็มีอยู่ว่า คนเขาไม่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เพราะเขาไม่มองเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับและพูดกันไม่รู้เรื่อง ว่าที่จริงการที่พวกคุณต้องมาฟังมารับการอบรมอะไรถึงนี่ ก็มันคือปัญหาอันนี้เหมือนกัน ถ้าคุณได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้แล้วก็ไม่ต้องมีปัญหา ทีนี้กลัวว่าไอ้การเรียนการศึกษานั้นจะเป็นพิษขึ้นมา จะทำให้เป็นทุกข์เพราะผลของการศึกษานั่นเอง มีความเข้าใจในเรื่องนี้ถูกต้องแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเป็นทุกข์ ไม่อยู่ในสภาพที่ทุกข์กับเขาไม่เป็นไม่ว่าในกรณีใด เอาละมันหมดเวลาแล้วพอกันที สรุปความว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับนี่ยังเป็นปัญหา ยุ่งยากลำบาก ทำให้คนไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้