แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย ในการบรรยายครั้งที่สิบนี้ อยากจะกล่าวโดยหัวข้อว่าสติสัมปชัญญะของสังคม เมื่อพูดอย่างนี้คงจะมีใครคิดหรือว่าท้วงขึ้นว่า นี่มันพูดราวกับว่าสังคมเป็นคนเชียวนะ ก็อยากจะตอบเสียเลยว่าก็เป็น เป็นการถูกต้องที่สุดที่จะพูดว่าสังคมเป็นบุคคลคนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อพระเจ้า คนทั่วไปก็คงจะไม่ยอมรับที่จะจัดให้สังคมทั้งโลก สังคมโลกเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวที่จะต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อพระเจ้า พูดในลักษณะที่เป็นภาพพจน์อย่างนี้ ถ้าผู้ใดเข้าใจมองเห็นก็จะเข้าใจได้ทันทีและลึกซึ้งด้วย แต่ถ้าไม่เข้าใจก็จะแย้งอยู่นั่นเองว่า สังคมทั้งโลกจะเป็นเพียงบุคคลคนหนึ่งมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อพระเจ้าได้อย่างไร นี่คนมันเห็นแก่ตัวมากนัก มันก็คิดแคบๆหรือว่าไม่มีความรู้สูงพอที่จะมองอะไรๆในวงกว้าง ถ้าจะคิดแต่เพียงว่าเรารู้เรื่องว่าในสากลจักรวาลน่ะ มันมีโลกมากมาย ในโลกมนุษย์นี้ ก็กลายเป็นของเล็กนิดเดียวเท่าขี้ฝุ่นเม็ดหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อไปเทียบกับส้มโอสักลูกหนึ่ง ไอ้โลกทั้งโลกนี้ก็ไม่ใหญ่โตอะไร มันมีอะไรที่เป็นไปร่วมกันไปตามกฎของธรรมชาติ ถ้ามันทำผิดมันก็เดือดร้อนเดือดร้อนกันไปทั้งโลก ถ้าทำถูกมันก็พอที่จะสบายกันอยู่ได้ทั้งโลก โลกทั้งโลกนี้ก็ไม่ต้องไปโทษใครที่ไหนให้โทษตัวเองต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง ถ้าทุกคนในโลกนี้มันเป็นมนุษย์กันจริงๆ มันก็จะรู้สึกได้และทำให้เกิดผลในลักษณะที่ว่า รับผิดชอบได้อย่างมีความสุขได้ เดี๋ยวนี้คนมันพูดกันไม่รู้เรื่องอย่างที่ได้กล่าวแล้วกล่าวอีกว่าคนมันพูดกันไม่รู้เรื่อง มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ในที่นี้จะเรียกว่ามันไม่มีสติสัมปชัญญะไหนๆก็ศึกษากันถึงเรื่องหลักพุทธศาสนาแล้ว ช่วยจำคำไว้สัก ๓ คำ ในกรณีนี้ว่าสติปัญญาคำหนึ่ง ว่าสติสัมปชัญญะอีกคำหนึ่งและก็ญาณทัศนะอีกคำหนึ่ง แล้วก็จะได้อธิบายให้ฟังว่ามันเป็นอย่างไรไอ้โลกเรานี้มันมีอะไรมากน้อยเพียงไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้และจะเห็นได้ในที่สุดว่า ไอ้ที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ในปัจจุบันนี้มันก็คือสติสัมปชัญญะ ดังนั้นจึงพูดโดยหัวข้อว่าสติสัมปชัญญะของสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมขนาดไหน สังคมในครอบครัว สังคมในหมู่บ้าน สังคมในประเทศ สังคมทั้งโลก จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่าสติสัมปชัญญะ ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะต้องเป็นสังคมบาป ขึ้นชื่อว่าบาปแล้วก็ไม่ต้องอธิบาย พอจะรู้กันได้เองว่ามันหมายความว่าอย่างไร
ในที่นี้อยากจะให้มองเห็นเข้าใจแล้วถือเป็นหลักว่ามนุษยชาติทั้งมวลจะต้องเป็นเหมือนบุคคลที่มีสติสัมปชัญญะ แล้วก็ลืมตาเดินไปถูกทางก็ตรงไปยังโลกของพระเจ้าหรือโลกของพระศรีอาริย์ก็ตามใจแล้วแต่จะเรียก แล้วมนุษย์ทั้งหมดในเครือของมนุษย์จะต้องเป็นเหมือนบุคคลที่ไม่ตาบอดไม่หูหนวกเป็นต้น มีสติสัมปชัญญะ แล้วก็ลืมตาเดินไป เดินไป เดินไป ให้มันถูกทางตรงไปยังจุดหมายปลายทางคือภาวะที่พึงปรารถนา ที่เราจะสมมติเรียกว่าโลกของพระเป็นเจ้า หรือโลกของพระศรีอาริย์ หรือสันติภาพถาวรอะไรก็แล้วแต่จะเรียก ความสำคัญมันอยู่ที่มีสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะไม่ใช่สติปัญญา สติปัญญาไม่ใช่สติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะก็มิได้สูงไปถึงญาณทัศนะ จะได้ดูกันเป็นลำดับไป
ถ้าจะรู้จักสติสัมปชัญญะของสังคมโดยเฉพาะนี่ หรือแม้ของบุคคลคนหนึ่งโดยเฉพาะ อาจจะต้องนึกถึงคำบางคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำที่เราพูดกันมาแล้วและพูดกันเสมอ คือคำว่าสัมมาทิฏฐิอีกนั่นเอง ไปๆมาๆก็ไม่พ้นคำว่าสัมมาทิฏฐิ มีความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ ความเชื่ออย่างถูกต้อง ดังที่ได้กล่าวมาแล้วเกี่ยวกับคำๆนี้และมันตรงกันข้ามกับมิจฉาทิฏฐิ ถ้าปราศจากสัมมาทิฏฐิก็ไม่ต้องสงสัย มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ นี้ลองพิจารณาดูว่าในโลกนี้กำลังมีสัมมาทิฏฐิหรือว่ามีมิจฉาทิฏฐิ ไอ้มิจฉาทิฏฐินี้มีได้โดยไม่รู้สึกตัว แต่สัมมาทิฏฐินั้นมันเป็นสิ่งที่มี ที่ต้องมีโดยรู้สึกตัว หรือว่ามีโดยต้องรู้สึกตัว แต่มิฏฉาทิฏฐินี่มันแปลก มันมีได้ มีได้มากมายจน แต่เจ้าของก็ไม่รู้สึกตัว นั่นแหละมัน มันเป็นเหตุให้มีมิจฉาทิฏฐิได้ ถ้าโลกกำลังเป็นทาสของวัตถุนิยมมันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิโดยไม่ต้องสงสัย ก็ทำให้เกิดความยุ่งยากลำบากเป็นปัญหาไปทั่วทุกหัวระแหงแล้วก็มีความทุกข์ สำหรับพุทธบริษัทแล้วคำว่ามิจฉาทิฏฐินี้เป็นคำด่าอย่างสูงสุด คือคำด่าที่เจ็บปวดยิ่งกว่าด่าพ่อด่าแม่ แต่คนธรรมดาก็ไม่รู้สึกว่ามิจฉาทิฏฐิ มันก็หน้าตาเฉย มันไม่รู้ว่าอะไร ถ้าเป็นพุทธบริษัทจะรู้สึกว่ามันเป็นคำด่าถึงที่สุดเพราะมันไม่มีอะไรเหลือสำหรับที่จะเป็นมนุษย์ที่ดี หรือพูดถึงพระอริยเจ้าแล้วก็ คำว่ามิจฉาทิฏฐินี่มัน มันน่าเกลียดน่ากลัว น่าขยะแขยง น่าทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ามีความเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่มีสัมมาทิฏฐิก็ไม่ต้องพูดถึงสติสัมปชัญญะ เพราะสติสัมปชัญญะมันทำให้มีสัมมาทิฏฐิ แล้วมันก็ไม่ไปเกี่ยวข้องกับมิจฉาทิฏฐิ
ทีนี้คำถัดไปอีกก็ อยากจะรู้จักคำว่าอัปปมาท อัปปมาทะหรืออัปปมาท ไม่ประมาท แล้วก็ปมาทะหรือประมาท อัปปมาทะไม่ประมาทก็คือมีสติ มีสติสูงสุดเป็นพระอรหันต์ มีสติธรรมดาก็เป็นคนดีตามธรรมดา เป็นกัลยาณปุถุชน เป็นพระอริยเจ้าขั้นต้นๆ ก็ต้องมีสติเป็นผู้ไม่ประมาท นี้ถ้าปราศจากสติแล้วก็เรียกว่าประมาท เด็กๆก็คงจะฟังออก อย่าว่าแต่คนโตๆ ว่าถ้าปราศจากสติมันก็สตึ มันเอาไอ้กลมๆใส่เข้าไปที่สระอิ แล้วมันเป็นคำด่ากี่มากน้อย ลองดูลองคิดดู ฉะนั้นต้องตรงกันข้าม คือต้องมีความไม่ประมาทอยู่เสมอแต่แล้วก็อย่าไปมองเห็นว่ามันเล็กๆน้อยๆ เพียงว่าไม่อวดดี ตั้งใจให้ดีดี อย่างนี้เรียกว่าไม่ประมาท อย่างนั้นมันก็ถูกเหมือนกันแต่มันถูกน้อย ไอ้ความไม่ประมาทมันมากกว่านั้นมาก เพราะมันทำให้เป็นพระอรหันต์บรรลุนิพพาน ถ้ายังเข้าใจอะไรไม่ได้มากก็ให้นึกถึงคำที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในขณะที่ท่านจะปรินิพพานคือตายอยู่หยกๆ แล้ว ก็ตรัสเป็นคำสุดท้ายว่าท่านทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท แล้วท่านก็เงียบเลย ไม่พูดอะไรอีกเลย แล้วนิพพานไป ถ้านับถือพระพุทธเจ้ากันจริง ก็ต้องนึกถึงข้อนี้ว่าคำสั่งสุดท้าย คำความหวังสุดท้าย พินัยกรรมสุดท้าย คือความหวังสุดท้ายของท่าน มันมีแต่คำๆเดียวว่าไม่ประมาท ทีนี้มันมีแต่คนไม่รู้ไม่ชี้กับความหวังของท่าน แม้ในหมู่พุทธบริษัทและที่เป็นฆราวาส กระทั่งเป็นพระเป็นเณร มันมีแต่เห็นแต่ปากแต่ท้อง ทั้งที่เป็นพระเป็นเณร ทำอะไรเพื่อปากเพื่อท้องเพื่อวัตถุเพื่อเนื้อหนังก็เหมือนชาวบ้านไปเลย อย่างนี้ก็ถือว่าประมาทอย่างยิ่ง ฟังดูให้ดีๆไอ้ความประมาทนั้นมันไม่ใช่แต่เพียงอวดดีหรือเพียงแต่จะอะไรเล็กๆน้อย มันหมายความว่ามันไม่รู้อะไรเลย นั่นแหละเป็นคนสตึ
นี้คำต่อไปที่ว่าจะต้องจำไว้ก็คือคำว่า หิริโอตัปปะ ถ้าไม่มีหิริโอตัปปะมันก็คือคนประมาท คนโบราณเขาสนใจคำนี้กันมาก หิริแปลว่าความละอาย โอตัปปะแปลว่าความเกรงกลัว ละอายบาป กลัวบาปได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่น หมายความว่าใครจะมารู้ของเราหรือไม่รู้ของเราก็ตามใจ แต่เรากลัวบาปละอายบาป กลัวบาป นั่นแหละคือลักษณะของความเป็นผู้ดีที่แท้จริงในโลก ถ้าลงไม่ละอายบาปไม่กลัวบาปแล้วก็เป็นอันธพาล ก็ดูที่อันธพาลสิ มันมีหิริโอตัปปะเหลืออยู่ที่ไหนบ้าง ภาษากลางทั่วๆไปไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนาในประเทศอินเดียในสมัยโบราณโน้น เขาเรียกหิริโอตัปปะว่าเทวธรรม ธรรมที่ทำให้บุคคลเป็นเทวดา เทวดาที่หมายถึงบุคคลสูงสุด เขาเล่านิทานเปรียบอย่างอุปมาไว้ว่า ยักษ์อยู่ในบึงใหญ่ พี่น้อง ๓ คนมันเดินทางผ่านไปมันอยากน้ำมันก็ให้น้องไปตักน้ำ ยักษ์มันก็จับตัวถามว่ารู้จักเทวธรรมไหม ไอ้นั่นอึกอักอึกอักตอบไม่ถูก มันก็กักตัวเอาไว้สำหรับจะกิน ไอ้อยู่ข้างหลังก็เห็นว่านานนักทำไมไม่กลับ ก็ส่งไอ้น้องคนที่ ที่สองไปตาม ยักษ์ก็ถามอีก ตอบอึกอักไม่ได้อีกก็กักตัวไว้อีก แล้วคนที่สามพี่ของมันเป็นโพธิสัตย์คนนี้ไปถึงยักษ์มันก็ถามอีกตามเคย มันก็บอกถูกว่าหิริโอตัปปะ ความละอายความกลัวต่อบาปนี้ชื่อว่าเทวธรรม ทำมนุษย์ให้เป็นเทวดาได้คือเป็นมนุษย์สูงสุดได้ ยักษ์มันก็เลยปล่อยหมดได้กินน้ำด้วย นี้ไปตีความให้ถูกว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร ถ้าคนไม่มีหิริโอตัปปะมันไม่ใช่มนุษย์ ความไม่ใช่มนุษย์ก็มันมีอะไรบ้าง ก็มีแต่ความเสื่อมเสีย เหมือนกับถูกยักษ์กิน เป็นคนตายทั้งที่เดินได้ คือตายอย่างโง่เขลา ฉะนั้นระวัง ไอ้คำว่าหิริ และโอตัปปะนี้มากๆ ในโลกนี้ถ้าปราศจากหิริโอตัปปะก็หมดความเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรเหลืออยู่สำหรับที่จะเป็นมนุษย์ นี้ก็ต้องเป็นอะไรๆ ที่ไม่พึงปรารถนาไปทั้งนั้นแหละ พวกอันธพาลในกรุงเทพฯ ที่ว่ามากขึ้นๆ นั่นน่ะ มันก็ปราศจากสิ่งเหล่านี้ เป็นปัญหาสังคม นี้ในโลกทั้งโลกที่ว่ามันจะไม่เบียดเบียนกันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่ามันปราศจากสิ่งนี้ ไอ้ละอายบาปไม่กลัวบาปทำได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ฆ่าเขาอย่างเลือดเย็น อ้างเหตุผลโกหก หลอกลวง ว่าเพื่อเห็นแก่อย่างนั้น เพื่อเห็นแก่อย่างนี้จึงต้องฆ่าเขา ที่แท้มันก็ไม่ละอายบาปไม่กลัวบาป แล้วก็เห็นแก่ตัว นี่เราจะรู้จักสติสัมปชัญญะได้ก็เพราะคุณธรรมที่มีชื่ออื่นๆ ที่มันเป็นเครือเดียวกัน มันเนื่องอยู่ด้วยกัน เราก็ต้องละอายไอ้ความที่ไม่มีสติ กลายเป็นคนสตึ ท่องไว้แล้วกัน
ทีนี้อีกทางหนึ่งสติที่คู่กับสัมปชัญญะนี้ มันมีความหมายมาก มันต้องมีทั้ง ทั้งสติ ทั้งสัมปชัญญะรวมกันเป็นสิ่งเดียวเรียกว่าสติสัมปชัญญะ มาเป็นคู่กันอย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าพหุ ปการธรรม พหุปการธรรม (นาทีที่ 21:41) ธรรมที่มีอุปาการะมาก มีคุณมากสำหรับมนุษย์ สติระลึกได้ สัมปชัญญะรู้สึกอยู่เสมอ รู้สึกอย่างถูกต้องอยู่เสมอ พอมันระลึกได้ แล้วมันรู้สึกอย่างถูกต้อง คือเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่เสมอ มันเป็นเหตุให้ไม่ประมาท มันเป็นเหตุให้มีหิริและโอตัปปะ ถ้ามันระลึกไม่ได้ มันลืมไป หรือด้วยเหตุใดก็ตาม มันก็จะไม่มีสิ่งเหล่านี้ ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่มีอัปปมาทะ ไม่มีหิริโอตัปปะ นี้พอมันระลึกได้ รู้สึกตัวอยู่ มันก็มี แล้วก็ทำอะไรไม่ผิด แล้วก็ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำให้หน้าที่การงานในชีวิตเป็นไปถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้อย่างนี้ว่าไอ้ธรรมที่มีอุปาการะแก่มนุษย์อย่างมากที่สุด นี้คือสติสัมปชัญญะในบางคราวพูดถึงสติคำเดียวก็เล็งถึงสัมปชัญญะด้วย ในบางคราวพระพุทธเจ้าตรัสคู่กันมาแฝดเป็นสติสัมปชัญญะ งั้นเราจะต้องเข้าใจไว้ว่ามันมีอย่างนี้ เดี๋ยวได้ยินแต่คำว่ามีสติ แล้วก็เอาสัมปชัญญะไปทิ้งไว้เสียที่ไหน มันก็ขัดขวางกันหมด บางคราวพูดว่าสติคำเดียวก็พอ บางคราวก็พูดเต็มถ้อยเต็มคำว่าสติสัมปชัญญะ
ทีนี้จะดูคำว่าสติ ในความหมายที่มันมีสติ มีสัม มีสัมปชัญญะรวมอยู่ด้วย ว่ามันมีประโยชน์อย่างไร ในแง่ที่มนุษย์ปรารถนากันนัก เมื่อตะกี้ก็บอกแล้วว่าเมื่อมีสติสัมปชัญญะหรือจะเรียกว่าสติอย่างเดียวก็ตามใจ มันก็ทำอะไรไม่ผิดหรือไม่ประมาท หรือมีหิริโอตัปปะ นี้ก็แสดงอานิสงส์ต่อไปอีก สติคือการตื่นจากหลับอยู่ในโลก มีสติคือการเป็นคนตื่นลืมตาอยู่ในโลก เป็นบาลีก็ว่า สติ โลกส.มิ ชาคโร (นาทีที่ 25:10) พระพุทธภาษิต สติ ก็คือสติที่รวมสัมปชัญญะอยู่ด้วย ชาคโร คือความตื่น ไม่หลับ โลกส.มิ ในโลก จะมองกันในแง่ไหนมุมไหนก็ได้ เครื่องตื่นอยู่ในโลก เป็นความตื่นอยู่ในโลก มันก็เป็นโลกที่ไม่หลับ นี่มันเป็นภาษาธรรมคือพูดอย่างลึก ด้วยคำพูดด้วยภาษาคน ว่าตื่นนอน สตินี้ก็เหมือนกับการตื่นนอน ไม่หลับ ไม่อยู่ในโลก ในโลกกำลังหลับ โลกของคนธรรมดาสามัญ สังคมธรรมดาสามัญกำลังหลับ เพราะมันไม่มีสติ มันจึงหลับหูหลับตาทำอะไรชนิดที่ ไม่จำเป็นจะต้องทำ ไม่ควรจะทำหรือน่าขยะแขยงมันก็ทำ เดี๋ยวนี้ก็ทำมากขึ้น เพราะว่าไอ้วัตถุนิยมมันแก่กล้า มันยั่วยวน นี่ก็มี ความหมายต่อไปอีกว่า มีสติทุกวัน ก็ดีทุกวัน มีสติทุกวันก็ต้องดีทุกวัน ไอ้ดีนี้ก็ไม่ต้องอธิบายกันก็ได้ ก็พอจะเข้าใจกันได้เพราะพูดกันมามากแล้วว่าดีจริงเป็นอย่างไร ดีหลอกลวงเป็นอย่างไร แล้วคนเราก็อยากดี ถ้าอยากดีทุกวันก็จงมีสติทุกวัน ที่เป็นภาษาบาลีก็ว่า สติมโต สุเว เสยฺโย สติมโต (นาทีที่ 27:24) ก็แปลว่าผู้มีสติ ชะโย ดี สุเว ก็ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน มีสติทุกวันก็ดีทุกวัน นี้ก็คุ้มครองได้ขนาดนี้ เป็นเครื่องราง เป็นยอดเครื่องราง อย่าลืมที่พูดไว้ก่อนว่า คนโง่แขวนพระเครื่องก็เพื่อให้มันโง่ยิ่งขึ้น คนฉลาดแขวนพระเครื่องก็ให้มันฉลาดยิ่งขึ้น ตอนนั้นก็เพื่อเป็นเครื่องรางคุ้มครอง ทีนี้อยากจะแนะว่าพระเครื่องที่ไม่ต้องแขวนที่ว่าอยู่ข้างใน อยู่ในหัวใจเลย คืออันนี้แหละ คือความมีสติสัมปชัญญะ จะคุ้มครองหมด ทุกอย่างทุกประการ ไม่ว่าในแง่ไหน เรื่องง่ายๆ เรื่องยากๆ เรื่องโลก เรื่องธรรม เรื่องอยู่ที่นี่ เรื่องไปนิพพาน เรื่องอะไรทุกเรื่อง การคุ้มครองอยู่ที่สติสัมปชัญญะ ไม่ให้มีผิด ไม่ให้มีเสีย ไม่ให้มีพลาด ถ้าจะมีไสยศาสตร์กับเขาบ้าง ก็จงมีสตินั่นแหละเป็นไสยศาสตร์ มันเห็นได้ชัดว่า สติมโต สุเว เสยฺโย (นาทีที่ 28:57) ไอ้คำว่า เสยฺโย นี่แหละคือไสยศาสตร์ คำว่า ไสยะในคำว่าไสยศาสตร์ ตัวเดียวกันแท้ คำเดียวกันแท้ ไสยะมันแปลว่า ดีหรือดีกว่า ดียิ่งขึ้นไป ผู้มีสติจะเป็นคนดี ดีกว่าหรือดียิ่งขึ้นไป ทุกวันๆ ถ้าเรารับคำว่าไสยศาสตร์ ก็มีสตินี่เป็นไสยศาสตร์ คุ้มครองได้ดีกว่าใครหมด ดีทุกวัน เอาละทีนี้มันก็ดีทุกวันละ ก็เจริญทุกวัน มีสติก็จะเจริญทุกเมื่อเชื่อวัน เป็น เป็นคาถาที่จะต้องคล่องปากไว้ มีสติก็จะเจริญทุกเมื่อเชื่อวัน ที่เป็นภาษาบาลีพระพุทธเจ้าตรัสว่า สติมโต สทา ภท.ทํ สติมโต สทา ภท.ทํ สติมโต (นาทีที่ 30:06) มีสติ ภท.ทํ น่ะย่อมมีความเจริญ สทา ทุกเมื่อ ทุกเมื่อเชื่อวัน คนมีสติจะเจริญทุกเมื่อเชื่อวัน อย่าไปหวังกับสิ่งอื่นเลย ความมีสติสัมปชัญญะจะทำให้มีความเจริญอยู่ได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ทีนี้มันเสื่อม แม้ที่สุดแต่มันทำงานผิดพลาดนี้ เพราะมันขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความรู้ และขาดความรู้สึกตัว ขาดความระลึก สมปฤดี ต่างๆ (นาทีที่ 30:56)
นี่ในเรื่องทั่วไป ในเรื่องกรณีธรรมดาสามัญ ก็เป็นอย่างนี้ สติเป็นเครื่องทำให้ไม่โง่ คือไม่หลับ มีสติทุกวันก็ดีทุกวัน ดีทุกวันมันก็เจริญทุกวัน ขึ้นอยู่กับสติคำเดียว ซึ่งรวมสัมปชัญญะอยู่ในนั้น ทีนี้ขอโอกาสแทรก พูดเรื่องที่มันสูงสุดไว้เสียเลยที่ตรงนี้ ว่าถ้ามีสติสูงสุด ก็จะได้ถึงประเสริฐที่สุด เรียกว่าอยู่เหนือความตาย คือไม่ตาย มีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าทำอย่างไร ข้าพระองค์จึงจะอยู่เหนือความตาย หมายความไม่ตาย มัจจุตตะโร (นาทีที่ 31:59) แปลว่าอยู่เหนือความตาย มัจจะ ก็มัจจุราช อุตระ ก็อยู่เหนือ มัจจุตตะโรอยู่เหนือความตาย ทำอย่างไรข้าพระองค์จะอยู่เหนือความตาย พระพุทธเจ้าก็ตอบว่ามีสติ แต่ถ้าท่านขยายความของคำว่ามีสติแล้วคือว่าอย่างไร เพราะมันเป็นสติสูงสุด ขยายความว่าให้มีสติเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ว่างคือว่างจากตัวกู ว่างจากของกู ว่างจากไอ้ Egoism ว่างจากไอ้เห็นแก่ตัวนี้ เรียกว่าถอนอัตตานุทิฏฐิเสียได้ การเห็นว่าอย่างนั้นคือการถอนอัตตานุทิฏฐิเสียได้ อัตตานุทิฏฐิก็คือความโง่ ว่าตัวกู ถอนความโง่ว่าตัวกูเสียได้ ว่างจากตัวกูแล้วก็มีสติอยู่อย่างนั้น นั่นแหละจะเป็นผู้มีสติสูงสุด แล้วก็บรรลุถึงสิ่งสูงสุด คืออยู่เหนือความตาย นี่ก็เรื่องโลกุตระ ทำได้อย่างนั้นเป็นพระอรหันต์ ก็ยิ่งกว่าเป็นโสดา สกิทา อนาทาเสียอีก หมายความว่าเป็นพระอรหันต์ไปเลย จะเป็นบาลีก็เป็นกาพย์กลอนที่ไพเราะ สุญญโต โลกัง อเวกขัสสุ โมฆราชะ สทา สโต .... (นาทีที่ 33:30) นี่เป็นคำกลอนเป็นภาษาบาลี ดูก่อนโมฆราช คนถามชื่อโมฆราช ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ ขยายความไปว่าเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง ถอนอัตตานุทิฏฐิ ถอนความโง่ว่าตัวกูไปได้ เอวัง มัจจุตตะโร สยา (นาทีที่ 33:57) แล้วแกก็จะเป็นผู้อยู่เหนือมัจจุ ด้วยการอย่างนี้ นั่นน่ะสติมันเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่ต่ำสุดถึงสูงสุด อาศัยสิ่งที่เรียกว่าสติ จะเห็นโลกธรรมของว่าง ก็คือว่างจากตัวตน ว่างจากตัวกู ว่างจากความคิดเห็นว่าตัวกู ซึ่งเรียกว่าอัตตานุทิฏฐิ นี่ถ้ารู้รายละเอียดก็ไปศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท ก็จะบอกชัดว่าเป็นอย่างนั้นๆ ว่ามีตัวกูที่ไหน ความคิดมันปรุงขึ้นมา ทยอยขึ้นมา ทยอยขึ้นมา หลายๆ ชั้น เช่นพอตาเห็นรูป เกิดจักษุวิญญาณ ตา รูป วิญญาณ รวมกันเรียกว่าผัสสะ คือการกระทบทางตา แล้วก็มีเวทนารู้สึกเป็นรสอะไรบ้าง สวยหรือไม่สวย มันอร่อยทางตาหรือไม่อร่อยทางตา นี้ถ้าว่าอร่อยทางตาก็เป็นสุขเวทนา ไม่อร่อยทางตาก็เป็นทุกขเวทนาเกี่ยวกับตา ถ้าอร่อยมันก็อยากจะยึดครอง ถ้าไม่อร่อยมันก็อยากจะขยี้เสียให้แหลก ทีนี้มันมีความรู้สึกต่อไปคือตัณหา เรียกว่าอยาก อยากอย่างนั้น อยากอย่างนี้ เรียกว่าตัณหา ให้เกิดอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในสิ่งอยากและในตัวกูผู้อยาก ซึ่งเป็นมายาลมๆ แล้งๆ อย่างนี้ก็เรียกว่าตัวกูเกิดขึ้น เป็นอัตตานุทิฏฐิ เห็นความเห็นว่าตน นั่นน่ะความโง่ว่ามีตัวกู ถ้านี้มีก็เรียกว่าหมดเลย ปราศจากสติสัมปชัญญะหมดเลย มันโง่ถึงขนาดนั้น นี่ก็ต้องเกิดเป็นตัวกู มี มีความเป็นอย่างนั้น มีความเป็นอย่างนี้ แล้วก็มีความทุกข์ แล้วตัวกูจะเป็นอย่างนั้น ตัวกูจะเป็นอย่างนี้ ไอ้ปัญหาหรือความกลัวเรื่องเกิด เรื่องแก่ เรื่องเจ็บ เรื่องตาย เรื่องไม่ได้อย่างไร มันก็ประดังกันเข้ามา มันก็เป็นทุกข์ นั่นน่ะคือตาย ตามความหมายนี้ จะอยู่เหนือความตายก็เห็นโดยความเป็นของว่างจากตัวกู เห็นโลกทั้งหมด ไม่ว่าโลกไหน โลกแผ่นดิน ตัวก้อนแผ่นดินก็ตาม โลกคือหมู่สัตว์ก็ตาม จะเห็นโดยความเป็นธรรมชาติ ที่เป็นไปตามธรรมชาติ ตามกฎแห่งเหตุผล ตามกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท นี้คือสติที่เป็นยอดสุดของสติ นอกนั้นก็เป็นสติตามธรรมดาที่เราจะต้องใช้ แต่มันก็เนื่องกันแหละ คืออย่าไปหลงแล้วก็สติมันจะดีอยู่ อยู่ทุกชนิดน่ะ ไม่ว่าสติชนิดไหน ถ้าหลงคือหลับ ถ้าว่ามีความไม่หลง มีสติที่แท้จริง เห็นทั้งหมดโดยความเป็นของไม่น่ายึดถือ เห็นตัวกู ของกู สติอื่นจะสมบูรณ์หมด เพราะว่ามันไม่มีทางที่จะถูกดึงให้ไปโง่หรือให้ไปหลงที่ไหนอีก ก็มีจุดสัมปชัญญะสมบูรณ์อยู่ที่ตรงนั้น นี้พอจะมองเห็นได้ว่า มีสติสัมปชัญญะคือมันรู้ รู้ลึกซึ้งถึงที่สุด และความรู้นั้นก็อยู่กับเนื้อกับตัวด้วย เดี๋ยวนี้เรามีแต่สติปัญญา เป็นความรู้ที่มันรู้แล้วมันไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว มันไม่รู้สึกตัว เฉลียวฉลาดอย่างยิ่งแล้วแต่ก็ไม่มีความรู้สึกที่อยู่กับตัว นี้คนในโลกโดยมากเป็นอย่างนี้ ยิ่งเรียนมากก็มักจะยิ่งเป็นอย่างนั้น มีแต่สติปัญญา ไม่มีสติสัมปชัญญะ
นี้ดูที่ความไม่มีสติสัมปชัญญะ แม้แต่มีสติปัญญา แต่ไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่มีสติสัมปชัญญะเมื่อไร เป็นคนบ้าเมื่อนั้น คำว่าบ้านี้ มันหลายความหมายนะ บ้าอาละวาด เห็นได้ง่ายๆ ก็มี บ้าอยู่นิ่งๆ ก็มี ไม่มีสติ ไม่มีสติสัมปชัญญะเมื่อไรมันเป็นคนบ้าเมื่อนั้น นี้ไม่ใช่แกล้งพูดขู่นะ ไปดูเอาเองก็แล้วกัน ดูให้ดีๆ ให้มันเห็นชัด มันบ้าถึงขนาดฆ่าตัวเองได้ ทำคนอื่นให้ลำบากเดือดร้อนก็ได้ มันนั่งซึมโดยไม่มีความหมายอะไรอยู่ก็ได้ เป็นคนบ้าทั้งนั้น เดี๋ยวนี้มันมีถึงขนาดว่าโลกบ้า ไอ้โลกนี้มันเป็นบ้า โลกทั้งโลกนี้มันเป็นบ้า มันเป็นโลกบ้าเพราะมันปราศจากสติสัมปชัญญะ สังคมทั้งโลกมันไม่มีสติสัปชัญญะ มันมีแต่สติปัญญา สังคมไม่มีสติสัมปชัญญะ คือสังคมบ้า ในโลกที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ คือโลกบ้า จริงไม่จริง ไปคิดดูเองได้อย่างอิสระ ไม่ต้องเชื่อคนพูด จะได้รู้กันเสียทีว่าไอ้โลกนี้มันบ้าจริงหรือไม่ สังคมนี้มันบ้าจริงหรือไม่ แม้แต่คนๆ เดียวนี้มันก็บ้าจริงหรือไม่ มันนั่งซึมอยู่คนเดียวมันก็บ้า ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วมันอาละวาดกับคนอื่นก็บ้า ก็พลอยเดือดร้อน ก็ถ้ามันไปฆ่าตัวเองตาย สนุก นี่คนบ้า คนสมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะก็คือพระอรหันต์ ในวันนี้ กิจจะนี้ (นาทีที่ 41:00) ก็เป็นคนบ้า เป็นสังคมบ้า เป็นโลกบ้า ฉะนั้นขอให้ถือว่ามีสติสัมปชัญญะนั้นดีกว่ามีสติปัญญา เป็นมนต์ เป็นคาถาขอให้ท่องไว้ เมื่อมีสติสัมปชัญญะดีกว่ามีสติปัญญา มีสติปัญญามันยังบ้าได้ และบ้ามาก บ้าไกล บ้าเลือด ตามความมากของสติปัญญา แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะ มันบ้าไม่ได้ จะบ้าที่ไหนก็บ้าไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงพูดว่าสติสัมปชัญญะดีกว่าสติปัญญา มีสติสัมปชัญญะ มันโกงไม่เป็น มีสติปัญญามันยิ่งโกงเก่ง สติปัญญานี่มันหมายถึง Intellect ตามธรรมดา อย่างนี้ภาษาบาลีเขาไม่เรียกว่าปัญญาหรอก เขาเรียกว่าเฉโก เฉโกเป็นคำบาลีแท้ๆ แล้วก็หมายถึงความฉลาด อย่าง Cunning ฉลาดที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรมะ มันฉลาดอย่างสุนัขจิ้งจอกที่เสานั้น ไปดูเรื่องสุนัขจิ้งจอกที่เสานั้นให้ละเอียด และอย่างดีที่สุดก็เป็น Intellect ใช้จับปลาดุกไม่ได้ ที่อยู่ ภาพอยู่ที่ตรงโน้น ตรงข้างประตูน่ะ มัน Intellect ว่าศึกษาเล่าเรียนอย่างที่พวกคุณเล่าเรียนกันในมหาวิทยาลัยนี้ มันได้ Intellectt คือประเภทสติปัญญาที่ยังเป็นกลางๆ ฝากไว้กับตำรา ฝากไว้กับเหตุผล ฝากไว้กับไอ้ปฏิภาณ อย่างนี้เป็น Intellect ส่วนอีกอันหนึ่งมันสูงขึ้นไปเป็น Intuitive Wisdom Wisdom คือปัญญาแท้ๆ แล้วก็ Intuitive ไม่ต้องเชื่อตามคนอื่น มันเป็น Subjective มันอยู่ข้างใน มันเห็นชัดโดยประการทั้งปวงด้วยความรู้สึกของตนเอง ไม่ฝากไว้กับเหตุผล ไม่ฝากไว้กับตำรา ไอ้คนนั้นมันจะจับปลาดุก คือมรรคผลนิพพาน พระนิพพานก็แล้วกัน ปลาดุกนี้ จะเอามรรคผลนิพพานให้ได้ มัน มันมีแต่ Intellect คือสติปัญญาอย่างแบบ Intellect มันไม่มีสติสัมปชัญญะที่รู้ตัวถึงอย่าง Intuitive Wisdom มันก็จับปลาดุกไม่ได้ เปรียบเหมือนจะเอาน้ำเต้าลูกกลมๆ ในภาพนั้นเห็นไหม จับน้ำเต้าลูกกลมๆ ถือมาสองมือหัวท้าย จะไปช้อนปลาดุก มันน่าหัวเราะเท่าไร มันบ้าเท่าไร มันไม่ได้เอาแห เอาอวน เอาไอ้เครื่องมืออย่างนั้น ไปจับปลาดุก มันเอาลูกน้ำเต้ากลมๆ ไปช้อนปลาดุก ไปนั่งช้อนอยู่นั่นแหละ นี่ภาพอยู่ข้างประตูนี้เขียน มันจะจับปลาดุกด้วยลูกน้ำเต้า นี่คนมันมีแต่สติปัญญา มันไม่มีสติสัมปชัญญะ มันจับไม่ได้ จับพระนิพพานไม่ได้ ฉะนั้นแยกไอ้ Intellect ออกไปเสียจาก Intuitive Wisdom เช่นเดียวกับที่เราแยกสติปัญญาออกไปจากสติสัมปชัญญะ คือแยกสติสัมปชัญญะ ออกไปเสียจากสติปัญญา เพราะสติสัมปชัญญะพึ่งได้ สติปัญญาไม่แน่ เดี๋ยวนี้โลก หรือสังคมโลกมันมีกันแต่สติปัญญา มันไม่มีสติสัมปชัญญะ กล้าพูดยืนยัน ให้ใครมาฆ่าให้ตายก็ยอม จะพูดอย่างนี้เสมอ เมื่อโลกบ้า มันมีแต่สติปัญญา มันไม่มีสติสัมปชัญญะ ยังเป็นอยู่ทุกวันๆ มันก็เห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันก็เดินเลยไป เลยไป เลยไป ในทางที่จะทำลายโลก ทำโลกนี้ให้เป็นเมืองนรกยิ่งขึ้น น่าเสียดาย ทำโลกนี้ให้เป็นนรกยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที ก็น่าเสียดาย เปรตอยู่วิมาน ในภาษาธรรมะ ในภาษาศาสนา มันเป็นเปรตแล้วมันอยู่วิมาน สมบูรณ์ด้วยไอ้ Luxury ต่างๆ ในทางฝ่ายวัตถุนั่นวิมาน แต่ตัวมันเป็นเปรต คือมันร้อน ร้อนเป็นไฟ อยู่ในอก ในใจ เหมือนกันมนุษย์สมัยนี้ที่มีความเจริญแผนใหม่สูงสุดก้าวหน้า พรวดพราด ทำโลกให้เป็นนรกยิ่งขึ้น เพราะว่ามีแต่สติปัญญา ไม่มีสติสัมปชัญญะ การศึกษาแผนใหม่เป็นทาสของวัตถุนิยม ไม่มีพูดเรื่องวิญญาณ ไม่มี Spiritual Enlightenment คือไม่ ไม่มีแสงสว่างในทางวิญญาณ มีแต่ความเฉลียวฉลาด Cunning ในทางวัตถุ ที่เรียกว่าสติปัญญา หลงใหลในวัตถุ การศึกษาแผนใหม่นี้ มันให้แต่สติปัญญา ให้กันอย่างสูงสุด มันไม่ให้สติสัมปชัญญะ คนโกงในโลกจึงมากขึ้น คนโกงตัวใหญ่ที่สุดคือคนที่คิดจะเป็นเจ้าโลก เพราะว่ามันมีแต่การศึกษาชนิดที่ให้เพียงสติปัญญา เมื่อไรมันมีการศึกษาตามแบบของพระพุทธเจ้า เมื่อนั้นก็จะมีสติสัมปชัญญะจะรู้ดีรู้ชั่ว รอบรู้ทั่วถึงทั้งโลกนี้ให้มีสันติภาพอันถาวร ตัวเองก็มีสันติสุขอันแท้จริง โลกนี้ก็มีสันติภาพอันถาวร ตัวเองก็อยู่ได้ด้วยสันติสุขอันแท้จริง นี่คือยอดของความปรารถนา เป็นผลเนื่องมาจากการมีสติสัมปชัญญะ นี่โลกเรากำลังสูญเสียมนุษยธรรม เพราะว่าขาดสติสัมปชัญญะ มีแต่สติปัญญาที่จะเอาเปรียบคนอื่น รู้ว่าชั่วก็ละชั่วไม่ได้ เพราะมันไม่มีสติสัมปชัญญะ มันมีสติปัญญาที่จะรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว แล้วก็ลมๆ แล้งๆ ไม่มีความหมาย รู้ว่าชั่วแล้วมันยังละความชั่วไม่ได้ เพราะมันขาดสติสัมปชัญญะ มันมีแต่สติปัญญา มันขาดสติสัมปชัญญะ แล้วมันเฟ้อด้วยสติปัญญา นี่โลกปัจจุบัน เฟ้อด้วย Intellect ขาด Intuitive Wisdom สติสัมปชัญญา อ้ะ, สติปัญญาเป็นคนละอย่างต่างจากสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะเป็นคนละอย่างต่างจากสติปัญญา ฉะนั้นพอมีสติปัญญาแล้ว ฉลาดแล้ว ก็ทำให้มีสติสัมปชัญญะเสีย ต่อจากนั้นจะมีสิ่งหนึ่งซึ่งสูงขึ้นไป คือ Intui คือญาณทัศนะ ญาณะ ญ ผู้หญิง สระอา ณ เณร ทัศนะ ญาณทัศนะนี่คือ Intuitive Wisdom ที่ถึงที่สุดของมัน มันจะทำให้บรรลุมรรคผลนิพพาน ญาณทัศนะมีชื่อต่างๆ เป็นญาณนั้นญาณนี้ที่ละกิเลสได้ แล้วก็เป็นมรรคญาณ แล้วก็เป็นผลญาณ แล้วก็นิพพาน อย่างนี้เรียกว่าญาณทัศนะเป็นปลายสุดของสติสัมปชัญญะ นั้นจำคำ ๓ คำไว้ตามที่ขอร้องทีแรกสุดว่า สติปัญญาคำหนึ่ง สติสัมปชัญญะคำหนึ่ง แล้วก็ญาณทัศนะอีกคำหนึ่ง มีแต่สติปัญญา เอาตัวรอดไม่ได้ แล้วสติปัญญานั้น มันจะเชือดคอไอ้คนนั้นเอง เพราะสติปัญญานั้น พอมันวนเวียนมากเข้ามันก็ทำให้เป็นบ้า สติสัมปชัญญะมันไม่มีทางที่จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นเครื่องป้องกันโดยประการทั้งปวง นั้นขอเตือนอีกครั้งอีกคำหนึ่งว่า จงมีธรรมะในลักษณะที่เป็นเครื่องป้องกันโรค อย่ามีในลักษณะที่จะแก้ไขโรคอย่างเดียวมันไม่พอ เพราะว่าถ้าพอเกิดโรคขึ้นแล้ว มันแก้ไขยาก เพราะพอเกิดโรคทางจิตทางวิญญาณขึ้นแล้ว มันบ้า มันบ้าแล้วจะช่วยตัวเองได้อย่างไร ไอ้โรคทางวิญญาณน่ะมันหมายถึงไอ้อวิชชา กิเลสทั้งหลาย เป็นโรคนี้ขึ้นมาแล้ว มันไม่มีทางที่จะช่วยตัวเอง แก้ แก้ไขตัวเองได้ ฉะนั้นจงเรียนธรรมะ มีธรรมะในลักษณะที่เป็นวัคซีนป้องกันโรคทางวิญญาณ นี่ก็เคยพูดบ้างแล้วนะ เป็นโรคทางกาย ทางฟิสิกส์ Physical Disease นี่ไปหาหมอทางร่างกาย เป็นโรคระบบจิตระบบประสาท เป็น Mental Mental Disease นี้ไปหาโรงพยาบาลทอง สาน (นาทีที่ 51:43) แล้วมันมีอีกโรคหนึ่ง Spiritual Disease ต้องไปหาหมอคือพระพุทธเจ้า ได้รับ Spiritual Enlightenment ที่เป็นยามารักษาโรค Spiritual Disease แล้วมี ๓ โรค โรคทางกาย โรคทางจิตนั่นอยู่เครือเดียวกัน ต่ำๆ เตี้ยๆ ไอ้โรคทางวิญญาณนี่สูงสุด ไปหาหมอคือพระพุทธเจ้า หรือที่เป็นเครือเดียวกับพระพุทธเจ้า พวกหมอกับพระพุทธเจ้าที่จะใช้ไอ้สติสัมปชัญญะ ใช้ญาณทัศนะนี้เป็นยารักษาโรคนี้ให้มันหาย แล้วความเป็นมนุษย์ก็ดีขึ้นๆ จนเป็นพระอรหันต์ พ้นจากความเป็นมนุษย์ เหนือจากความเป็นมนุษย์ จนไม่เรียกว่าเป็นอะไร ก็เป็นพระอรหันต์น่ะ คือผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน ถึงที่สุด ข้อนี้สำเร็จได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าสติสัมปชัญญะ สังคมโลกกำลังขาดสติสัมปชัญญะ เพราะว่ามันเฟ้อไปด้วยสติปัญญาตามประสาชาวโลก ระวังให้ดี อย่าไปมัวเมาในสิ่งที่เรียกว่าสติปัญญา ได้ปริญญาบัตรแล้วก็ยกหูชูหาง มันยังขาดสติสัมปชัญญะอยู่มากทีเดียว นี่เราอย่าไปตามก้นเขา เรียนสำเร็จแล้วได้ปริญญา เขาก็ได้เป็นฮิปปี้ นี่มันคือขาดสติสัมปชัญญะอย่างยิ่ง นั้นเพิ่งมาเจอะ มาเกิดขึ้นในโลก ในลักษณะที่อาละวาดน่าขยะแขยง อยู่นิ่งๆ ก็น่าขยะแขยง
เอาละจำคำว่า สติสัมปชัญญะ เป็นธรรมมีอุปการะแก่มนุษย์ทุกคน พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ต้องเชื่อท่านในขั้นแรก คือรับเอาไปพิจารณา ไม่เชื่อทั้งหมดก็ได้ เพราะท่านห้ามไว้ ไม่ต้องเชื่อทันที ไม่ต้องเชื่อทั้งหมด แต่ว่ารับเอาไปพิจารณาจนเกิดปัญญาของตนเอง เป็น ยถาภูตสัมมัปปัญญา... (นาทีที่ 54:11) แล้วก็ปฏิบัติไป ปฏิบัติไปให้มันมากขึ้น มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น พ้นจากปัญหาส่วนตัว พ้นจากปัญหาสังคม พ้นจากปัญหานานาชนิด นี่ถ้าทุกคนในโลกเป็นอย่างนี้ โลกนี้ก็ไม่มีปัญหา โลกต้องเป็นเหมือนกับบุคคลคนหนึ่ง รับผิดชอบโดยตรงต่อพระเป็นเจ้า ต่อพระธรรม อย่าปฏิเสธว่าไม่รู้ เราก็เรา เขาก็เขา ต่างคนต่างกอบโกยประโยชน์ส่วนตัว นี่มันจะเดือดร้อนกันทั้งโลก คิดไปในแง่ที่ว่าสังคมโลกทั้งโลกนี้เป็นเหมือนบุคคลคนหนึ่ง มีความรับผิดชอบต่อธรรมชาติ ต่อกฎของธรรมชาติ ซึ่งมีลักษณะเหมือนพระเป็นเจ้า มีอำนาจสูงสุดใครต้านทานไม่ได้ ไม่รับสินบนใครด้วย นี่เราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อพระเจ้า กันในลักษณะอย่างนี้ เป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม เป็นอะไรก็ตาม มีสิ่งสูงสุดอยู่สิ่งหนึ่งร่วมกัน ซึ่งจะเรียกไปในทางก่อนว่าพระเจ้า ที่แท้คือไอ้ธรรมชาติในฐานะที่เป็นกฎอำนาจอันสูงสุด มนุษย์ทำผิด มนุษย์ก็เดือดร้อน มนุษย์ทำไม่ผิด มนุษย์ก็ไม่เดือดร้อน ความประโยชน์ เอ้อ, ความสำเร็จประโยชน์มีอยู่ที่ความมีสติสัมปชัญญะ วันนี้เราพูดกันถึงเรื่องสติสัมปชัญญะของสังคมโลก ไม่ใช่มาตั้งกองนินทาโลกกันในหัวรุ่ง แต่ว่าพูดความจริงว่ามันกำลังบ้านักแล้ว พอกันที ตั้งตัวเสียใหม่ นั่นล่ะ พอกันที
[T1]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T2]ฟังไม่ชัด
[T3]ฟังไม่ชัด
[T4]ไม่รู้ตัวสะกด