แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อครั้งที่แล้วมาได้พยายามพูดถึงข้อที่ว่า เราจะต้องพยายามเพื่อให้เป็น พระ ให้มากที่สุด วันนี้ก็จะได้พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน โดยจะยืนยันต่อไปว่าพ่อแม่ของเราคลอดเรามา เพื่อเป็นลูกของพระพุทธเจ้า นี่คือหัวข้อ ซึ่งคิดว่าบางทีจะช่วยให้จำเรื่องนี้ได้ง่ายๆ ไอ้คำพูดทางธรรม-ทางศาสนานี้มีข้อเท็จจริงบางอย่าง ว่าเราใช้คำพูดที่เราสรุปความเอาจากสิ่งที่มันมีอยู่จริง หรือควรจะเป็นเช่นนั้น มิได้หมายความว่า ไอ้คนทั้งหลายเขายอมรับหรือสมัครที่จะให้เป็นเช่นนั้นก็ได้ เว้นก็เสียแต่ว่าเขาจะมองเห็นความจริงข้อนี้ลึกซึ้งเหมือนกับเรา เช่น ที่จะพูดว่า พ่อแม่คลอดเรามาเพื่อเป็นลูกของพระพุทธเจ้านี้ บางคนก็แทบจะฟังไม่ถูก แต่ไอ้ธรรมชาติจริงๆมันก็เป็นอย่างนั้น หรือต้องการอย่างนั้น หรือว่าเหตุผลที่มนุษย์เราจะมีมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น คือว่า บิดา-มารดาสามารถเพียงคลอดเราออกมา ก็เป็นครูบาอาจารย์เล็กๆน้อยๆในขั้นต้น แม้ว่าจะเป็นอาจารย์คนแรกสอนให้กิน ให้ดื่ม ให้อะไรต่างๆ กระทั่งให้รู้นั่น รู้นี่ เป็นอาจารย์คนแรกแล้วมันก็ไม่พอ จึงต้องส่งเราต่อไปยังครูบาอาจารย์ที่มีหน้าที่โดยตรง ซึ่งเก่งกว่าพ่อแม่ของเรา แต่แล้วมันก็ยังไม่พอ มันต้องส่งต่อไปถึงอาจารย์คนสุดท้าย คือ พระพุทธเจ้า เพื่อให้รู้อะไร หรือมีอะไร เป็นอะไร ทำอะไรเพื่อถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้จะเป็น เราจึงเป็นมนุษย์ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เป็นอย่างนี้มันก็เป็นการสืบพันธุ์ตามธรรมดาเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานทั่วไป สัตว์เดรัจฉานคลอดออกมาเป็นอย่างไร-ก็เป็นอย่างนั้น ตามพืดตามพันธุ์ เรียกว่า เป็นสักแต่ว่าสืบพันธุ์ แต่มนุษย์ มนุษย์เราไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น และพ่อ-แม่ของเราก็ไม่ควรจะทำเพียงเท่านั้น คือ จะไม่ทำเพียงสืบพันธุ์ไว้อย่าให้หมดพันธุ์ แล้วต้องการให้มันดีกว่านั้น ประเสริฐกว่านั้น วิเศษกว่านั้น ถึงขนาดว่าคลอดมาแล้วก็ส่งให้พระพุทธเจ้าไป ไปเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ถ้าเราทำได้สำเร็จมันก็เป็นอะไรยิ่งไปกว่ามนุษย์ธรรมดามาก จนกระทั่งเป็นพระอริยะเจ้าเต็มตามความหมายนี้ เกิดมาก็เพื่อเป็นลูกพระพุทธเจ้า ก็เพื่อเป็นพระอริยะเจ้าอย่างพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นเพียงว่ามันสืบพันธุ์ล้วนๆ
ทีนี้ การจะพูดว่าเกิดมาเพื่อเป็นลูกพระพุทธเจ้านี้ไม่มีใครยอมรับฟัง ไม่ยอมเชื่อหรือว่าไม่สมัครด้วยซ้ำไป-เพราะไม่เข้าใจ นี่คือ ปัญหาใหญ่อันหนึ่ง ซึ่งมันลึกลับและมันซ่อนเร้นอยู่ จนถึงกับว่าเราต้องบวช ต้องออกบวช เพื่อให้มันผ่านเข้าไปในปัญหานั้นจริงๆ แล้วก็รู้ได้ถึงที่สุด ที่จริงการที่กล่าวอย่างนี้มันก็ไม่ผิดแปลกแตกต่างไปจากการกล่าวโดยหัวข้อที่กล่าวอยู่โดยเสมอๆว่า เราจะต้องรู้ว่าเราเกิดมาทำไม? แต่คำตอบนั้นมันต้องเป็นคำตอบที่ถูกต้องจริงๆ ไม่ใช่เอาตามสักว่าใครนึกอย่างไรก็เอากันอย่างนั้น มันต้องถูกต้องจริงๆ ถึงที่สุดด้วย ทั้งถูกต้องและทั้งถึงที่สุด เดี๋ยวนี้ถ้าถามว่าเกิดมาทำไม? คนก็ตอบได้กันทุกคนแล้วก็ยืนยันว่าถูกต้องของเขา จนเขาจะไม่พูดกันถึงข้อนี้ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครพูดกันถึงข้อนี้ว่า เกิดมาทำไม? แม้ในโรงเรียนก็ไม่สอน ในมหาวิทยาลัยก็ไม่สอน ที่ไหนก็ไม่สอน เพราะเขาถือเสียว่าเกิดมาเพื่อได้สิ่งที่ กิเลส ของเขาต้องการนั้น มันมี กิเลส เป็นตัวเขาเอง มันก็จะสอนกันแต่การที่จะให้ได้สิ่งที่ กิเลส ต้องการ เพราะฉะนั้น วิชาทั้งหลายจึงกลายเป็น วิชาชีพ ไปหมด แม้เป็นเรื่องปรัชญา เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องจิตวิทยาอะไรก็ตาม มันก็มาเป็น บริวาร ของ วิชาชีพ ไปหมด เพราะเดี๋ยวนี้เขาต้องการกันแต่ความก้าวหน้าในทางการเป็นอยู่ ดังนั้น วิชาเทคโนโลยี่ใช้กันแต่เรื่องที่จะให้ได้มา สิ่งที่ กิเลส ต้องการทั้งนั้น แล้วใครจะไปเรียนวิชาไหนมา ก็มาใช้เพื่อสิ่งนี้ เพื่อเรา คือ ประเทศของเรา ก็คือ เราจะต้องได้ ต้องได้มากที่สุด ก็เรียกว่า ความรอดของประเทศชาติอยู่ที่นั่น เดี๋ยวนี้ก็ถือกันอย่างนี้ทุกประเทศ ที่จะช่วยผู้อื่นบ้างก็เพื่อเป็นเครื่องมือที่จะหาประโยชน์ให้เรามันได้มากไปกว่านั้นอีก ไม่ใช่ช่วยกันด้วยความเมตตา กรุณา นี่ โดยพื้นฐานใหญ่ๆ มันเป็นอย่างนี้ ทีนี้ เราไปถามเขาว่าเกิดมาทำไม? ก็คงจะมีคำตอบหลายๆๆๆชั้น ปัญหาทางสังคมอย่างนี้ก็คงจะตอบว่า เกิดมาเพื่อจะอยู่ร่วมกันโดยสันติ คำนี้ไพเราะที่สุดในบรรดาคำของมนุษย์ แต่แล้วมันเป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี จะเรียกว่า โกหกหลอกลวงมันก็ยังไม่สม เพราะมันยิ่งกว่านั้น ทำไปทั้งที่ไม่รู้ ไม่รู้ว่าเราจะอยู่ร่วมกันได้ด้วยสันติได้อย่างไร? เพราะว่าเราฝึกนิสัยใจคออะไรของเราอย่างนี้ ซึ่งมันไม่มีทางที่จะอยู่ร่วมกันด้วยสันติได้ ตรงนี้ก็ขอให้พิจารณาดูสถานการณ์ในปัจจุบันในโลกนี้ ยิ่งเรียนมาก ยิ่งก้าวหน้ามาก ยิ่งอะไรมาก มันก็ไม่มีทางที่จะอยู่ด้วยกันด้วยสันติได้ เพราะเรียนมากเท่าไรมันก็ฉลาดที่จะเห็นแก่ตัว เข้าข้างตัว เพื่อประโยชน์ตัวมากเท่านั้น ปากก็พูดว่าเพื่อจะอยู่ร่วมกันโดยสันติ แต่การกระทำที่แท้จริงมันตรงกันข้าม เพราะฉะนั้น เราก็ไม่มีหวังว่าโลกเรานี้จะอยู่ร่วมกันด้วยสันติ แล้วก็เป็นคำตอบที่ตอบตามธรรมเนียม เราเกิดมาเพื่อจะอยู่ร่วมกันด้วยสันติ แท้จริงธรรมชาติก็ต้องการอย่างนั้นโดยทางสังคม หมายความว่า เมื่อเล็งถึงไอ้ชนหมู่มาก หรือคราวเดียวหมดกันทั้งโลกนี้ ทางจิตใจมันก็จะไปได้เพียงแค่นี้เท่านั้น ไม่ได้อยู่ร่วมด้วยกันด้วยสันติ
ทีนี้ ถ้าว่าจะดูกันในแง่ของวัฒนธรรมส่วนบุคคล หรือส่วนวงที่มันแคบๆเข้ามาเป็นหมู่คณะน้อยๆ มันยังไปไกลกว่านั้นอีก คือว่า ไกลกันกว่าที่ว่าจะอยู่รวมกัน-อยู่ร่วมกันด้วยสันติ นี่ ก็เรียกว่าจะอยู่อย่างชนิดที่ดีกว่านั้น เพราะสันตินั้นเรายังมีความหมายอีกหลายชั้น สันติส่วนบุคคลยังไปได้ไกลกว่าสันติของทั้งหมดของส่วนรวมทั้งหมด แล้วก็คิดในข้อที่ว่า เราจะมีอะไรต่อไปอีกเพื่อจะเป็นที่พอใจมากไปกว่าเพียงว่าอยู่กันอย่างไม่รบราฆ่าฟันกัน เพราะฉะนั้น จึงมีวิชาที่แปลกออกไปสำหรับให้ได้รับความความสุข ความพอใจตามอัตภาพ ถึงแม้ไม่ค่อยจะเหมือน แต่แล้วพวกนี้แม้จะได้ดีอย่างไรก็ยังไม่หมดปัญหา คือ เขายังไม่รู้ถึงที่สุดว่าเกิดมาทำไมเท่านั้นเอง มันก็มีปัญหาทางจิตใจเหลืออยู่มาก คือ ปัญหาเกี่ยวกับความที่ว่า สิ่งต่างๆตามธรรมชาติจะไม่เป็นไปตามที่มนุษย์ต้องการ เมื่อเรามีความรู้ดี ปรารถนาดี ตั้งใจดี สิ่งต่างๆตามธรรมชาติก็จะยังไม่เป็นไปตามต้องการ เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นเอง เพราะฉะนั้น เรายังมีปัญหาต่างๆนานาที่เหลือวิสัยของมนุษย์ธรรมดาจะทำให้หมดไปได้ มันเกี่ยวกับว่าเราจะต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพ่าย ต้องอะไรหลายอย่างที่จะไม่เป็นตามปรารถนา นี้หมายความว่า ไม่มีใครมายุ่งกับเรา ไม่มีใครมาเบียดเบียนเรา ปัญหาทางสังคม เรียกว่า มันมีการเบียดเบียนกันระหว่างบุคคล มีบุคคลมาเบียดเบียนเรา นี่ ปัญหาส่วนบุคคลอย่างนี้มันก็เหลือแต่ตัวเองว่า แม้ไม่มีใครมาเบียดเบียนเรา เราก็ยังไม่ได้รับความสุขถึงที่สุดอยู่นั่นแหละ เพราะเรายังไม่รู้จักอะไรอีกมากมาย เพราะฉะนั้น ในใจของเราจึงสร้างปัญหาขึ้นมาได้อีกส่วนหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งแก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องไปถึงทางศาสนาซึ่งยิ่งไปไกลกว่าไอ้วัฒนธรรม นี่ เราจึงต้องมาเป็นลูกของพระพุทธเจ้า เราต้องเข้าถึงศาสนาให้ถูกต้อง ให้มันครบถ้วนตามความมุ่งหมายของศาสนา แล้วก็จะสามารถจะแก้ปัญหาต่างๆซึ่งเป็นปัญหาสุดท้ายเกี่ยวกับความเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือว่าสิ่งต่างๆตามธรรมชาติจะไม่เป็นไปตามที่เราต้องการนี้ เดี๋ยวนี้ เราก็เห็นได้ว่ามันมีโรคภัยไข้เจ็บอะไรเกิดขึ้นเป็นของสมัยใหม่เช่นเดียวกับความก้าวหน้าสมัยใหม่ นี้ก็เหลือกำลังแล้ว จะอยู่ตามธรรมชาติเดิมมันก็เหลือกำลังแล้ว มันจะต้องเจ็บ ต้องไข้ ต้องตาย ต้องไปตามธรรมชาติ ถ้าเราตั้งใจไว้ไม่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นความทุกข์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น จึงไปศึกษาวิชาที่จะดำรงใจไว้ให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์ นี่ จึงจะหมด หมดจากความทุกข์ เกลี้ยงเกลาไปจากความทุกข์ นี่คือ ความมุ่งหมายของการที่จะต้องเป็นลูกของพระพุทธเจ้า หรือว่าเป็นความมุ่งหมายของศาสนา ของพระศาสดาทั้งหลายที่ต้องการจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพราะฉะนั้น ขอให้มองดูให้ดีๆ อย่างน้อยให้เห็นสัก ๓ ระดับอย่างที่ว่ามานี้ ในทางสังคมเราไม่เบียดเบียนกัน อยู่กันด้วยสันติ ถ้าได้อย่างนั้นจริง มันก็เป็นปัญหาที่ส่วนบุคคลที่ไม่มีใครมาเบียดเบียน มันก็ยังมีความทุกข์เพราะตั้งใจไว้ไม่ถูกต้อง จึงมามีปัญหาหรือมีความก้าวหน้าทางศาสนาที่จะตั้งใจไว้ถูกต้องจนไม่มีความทุกข์เลย
ทีนี้ใน ๓ เรื่องนี้เราก็เห็นได้ว่า มันยังเป็นปัญหาอย่างหนักกันอยู่ทั้ง ๓ เรื่องนี้ เรื่องสังคม เรื่องโลกนี้เราก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ด้วยสันติ แม้ระหว่างชาติ-ประเทศก็ยังไม่เห็นประสบผลอันนี้ ทีนี้ ภายในประเทศชาติ แม้ประเทศเราประเทศเดียว ภายในประเทศเราก็ยังไม่ได้อยู่ร่วมกันด้วยสันติ ยังมีเบียดเบียนกันมากเกินไป ยังจะต้องแก้ไขกันอีกมาก ก็แก้ไขแต่ปลายเหตุดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีที่หวังว่าจะแก้ไขได้ เพราะมันแก้ไขกันปลายเหตุ โดยที่ถือว่าความลำบากยุ่งยาก ไอ้ปัญหาต่างๆเกิดมาจากเศรษฐกิจไม่ดี นี่ รับกันแต่อย่างนี้ ระดมทุ่มเทกันแต่เรื่องทางเศรษฐกิจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง นี่ มันก็ไม่ถูกเหตุ ไม่ถูกต้นเหตุ มันไปถูกปลายเหตุ คือ ไม่ได้แก้ให้คนมันดี ดันไปเพิ่มไอ้เหยื่อที่ทำไอ้คนที่มันทำชั่วนั้นมากขึ้น มากขึ้น เพราะฉะนั้น ไม่ตายเสียก็คอยดูไปก็แล้วกัน ในระยะที่เรายังไม่ทันตายก็ยี่สิบ สามสิบ สี่สิบปีข้างหน้านี้ยังจะพอเห็น ว่ามันจะยิ่งเตลิดเปิดเปิงไปใหญ่ เพราะการแก้ที่ปลายเหตุ คือ ไม่แก้ให้ตรงกับต้นเหตุ คือ ความที่คนมันไม่ดี คือ มันไม่เป็นคน
แต่อย่างไรก็ดีมันก็จะไปโทษใครก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นพร้อมๆกันไปทั้งโลก มันก็ยากที่จะแก้ และเดี๋ยวนี้มันก็เอาอย่างกันได้ง่ายที่สุด การคมนาคมมันติดต่อถึงกันโดยพริบตาเดียว มันก็เอาอย่างกันหมดทั้งโลกได้ ไม่มีใครจะมัวล้าหลังไปถือศาสนาเป็นที่พึ่งอยู่ แล้วก็การเอาเงิน-เอาอำนาจเป็นที่พึ่งกันทั้งนั้น แต่แล้วเอามาเพื่อที่จะใช้สำหรับประหัตประหารกัน เอาเปรียบกัน แข่งขันกัน นี่ ให้รู้ข้อนี้ไว้ก่อน คือ ข้อที่ว่า-ไอ้มนุษย์ในโลกนี้มันจะเพิ่มปัญหาอย่างนี้มากขึ้น และจะแก้กันไม่ตก เราจะไปอยู่ในระหว่างเขาควายกับเขาด้วย แล้วเราจะอยู่อย่างไร? เดี๋ยวมันก็จะเนื่องมาถึงปัญหาที่ ๓ ว่าจะอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ที่จะบ้ามากขึ้นทุกทีนี้ได้อย่างไร?
เราก็ต้องมาถึงปัญหาข้อที่ ๓ คือ เป็นลูกของพระพุทธเจ้า มันจะอยู่ได้ในท่ามกลางไอ้โลกของคนบ้า และศาสนาทุกศาสนามันก็สอนเหมือนกันหมดในข้อที่ว่า จะไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แม้จะคำพูดต่างกัน ในความมุ่งหมายจะสอนมันก็เหมือนกัน ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ศาสนาไหนก็ต้องเป็นอย่างนั้น แม้คำพูดมันจะต่างกัน ทีนี้ ก็พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ทุกศาสนาก็สอนให้คนเราอย่ากอบโกยให้มันเกินกว่าที่ที่จำเป็นนี้ อย่ามี อย่าหา อย่าให้มันเกินกว่าที่จำเป็น เขาเรียกว่า สันโดษ หรืออย่างอื่นก็มีเรียก แต่ต้องการให้ทุกคน อย่าเอาเกินกว่าที่จำเป็น ศาสนาพุทธก็สอนอย่างนี้ ศาสนาคริสเตียนก็สอนอย่างนี้ ศาสนาอื่นๆก็สอนอย่างนี้ แม้ว่าคำพูดมันจะต่างกัน ดูคล้ายๆกับว่าไม่เหมือนกัน แต่ว่าความมุ่งหมายมันเหมือนกัน ถ้าทุกคนไม่เอาไว้ ไม่หา ไม่มี ไม่เก็บรักษาเอาไว้ ยึดครองไว้ เกินกว่าจำเป็นแล้ว คนมันก็ไม่แตกต่างกันนัก มันพอที่จะอยู่ร่วมกันด้วยสันติได้ เดี๋ยวนี้ ความก้าวหน้าของมนุษย์ มันก้าวหน้าไปตามบาปที่พระเจ้าสาปแช่ง คือ ไม่ให้รักกัน ไม่ให้เห็นแก่กันและกัน มันก็เลยมีคนที่เอาให้มากที่สุดเท่าที่จะเอาได้ อย่างที่เรียกกันว่า มือใครยาวก็สาวเอานี้ พวกหนึ่งมันมีสติปัญญามาก มีอิทธิพลมาก มีอะไรมากมันก็เอาไว้เกินกว่าจำเป็นนี้ไม่รู้กี่ร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่า ล้านเท่า มันก็เกิดความแตกต่างกันมาก แล้วจะอยู่ร่วมกันด้วยสันติได้อย่างไรนี้ถ้าเป็นอย่างนี้ ถ้าประพฤติปฏิบัติตามทางศาสนากันทุกคน-ปัญหาอย่างนี้ไม่มี คือ คนจะไม่แตกต่างกันนัก และพอที่จะรักจนเหมือนกับว่าเป็นพี่-น้อง เป็นอะไรตระกูลเดียวกันได้
นี่ กิเลส ของมนุษย์ มันเจริญทวีเร็วเกินไปจนศาสนาก็รั้งไม่อยู่ พระพุทธเจ้าก็รั้งไม่อยู่ จนตายไปแล้วคนจึงเป็นอยู่ในสภาพแบบนี้อย่างที่กำลังเป็น นี่ ปัญหาของคนมันอยู่ที่นี่ เรียกว่า ส่วนรวมทั้งโลก ที่ถ้าแก้ได้ก็วิเศษ แต่ตอนนี้ยังไม่มีหวัง ก็ยุติเป็นว่าเราจะต้องอยู่ในโลกที่มีลักษณะอย่างนี้ต่อไป จะยิ่งขึ้นทุกที นี่จะหาทางออกอย่างไร? ทางที่ถูกมันก็ต้องมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าอย่างที่ว่านี้ คือ ไม่มีทางอื่นนอกจากทางธรรม เอาธรรมะเป็นที่พึ่ง รู้จักทำจิตใจไม่ให้มีความทุกข์ แม้ว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม เพราะฉะนั้น จึงศึกษาหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาให้รู้ว่าอะไรมันเป็นอย่างไร-ตามที่เป็นจริง ประโยคนี้ช่วยจำไว้ด้วยว่า อะไรเป็นอะไร-ตามที่เป็นจริง นั่นแหละคือ ตัวธรรมะในพระพุทธศาสนา คือ เป็นตัวศาสนา คือ สอนให้รู้อะไรเป็นอะไรตามที่เป็นจริง ตามที่ไม่จริง ก็คือ ตามที่เรารู้สึกนึกคิดเอาเอง เข้าใจเอาเอง หลงเอาเอง ว่าเอาเอง มันไม่เป็นไปตามที่เป็นจริง แล้วมันจึงแก้ปัญหาของธรรมชาติไม่ได้ ความรู้ของเราจึงแก้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้เราก็ยิ่งแก้ไม่ได้ ยิ่งไปหลงกันใหญ่ ชวนกันหลงกันใหญ่ทั้งโลก ไม่ถูกตามเรื่องของธรรมชาติ ยังหวังที่จะกอบโกยในระหว่างบุคคลที่จะเอาเปรียบกันนี้-ยังเป็นไปมาก แล้วที่ระหว่างคนกับธรรมชาติก็ยังเป็นไปอย่างแรงกล้าที่จะทำลายธรรมชาติ การทำลายธรรมชาตินี้ก็เท่ากับทำลายพระเจ้า ทีนี้ พระเจ้าก็จะตบหน้าให้ ก็จะลงโทษให้อย่างสาสมกันทีเดียว เดี๋ยวนี้ คนกระทำแก่ธรรมชาติอย่างที่เรียกว่า ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี คือ มันเลวทรามที่สุด อยุติธรรมที่สุด ไม่มีเหตุผลที่สุด อะไรที่สุด แต่เขาก็ว่ามันถูกที่สุด ถูกต้องที่สุด มีเหตุผลที่สุด สรุปสั้นๆก็คือว่า ไอ้ความเจริญก้าวหน้าของการศึกษา ไอ้การประดิษฐ์ การติดตามเทคโนโลยีอะไรก็ตาม ในสมัยปัจจุบันนี้มันทำลายทรัพยากรของพระเจ้า คือ ธรรมชาตินั้นมากเกินไป มากเกินความจำเป็นยิ่งขึ้นทุกทีเท่ากับความก้าวหน้านี่ ก่อนนี้เราไม่รู้จักเอาน้ำมันใต้ดินมาผลาญเล่นเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ ไม่มีรถยนต์ ไม่มีรถอะไร ไม่มีเรือบิน ไม่มีอะไรต่างๆ แต่เขาเรียกกันว่า ไม่ก้าวหน้า ไอ้สมัยที่ที่ไม่ก้าวหน้านั้น มันก็ไม่มีความสับสน ยุ่งยาก เป็นทุกข์มากเหมือนสมัยที่ก้าวหน้า เดี๋ยวนี้เราต้องดูกันให้ละเอียดสักหน่อยว่าเรามีรถยนต์นั้น มันไม่ใช่ความจำเป็นจะต้องมี เพราะเข้าใจผิด เพราะเราไปขยายการงาน ขยายอะไรต่างๆให้เกินจำเป็น มันก็เลยรู้สึกว่าจำเป็น แล้วยิ่งกว่านั้น ไอ้ที่มันแท้จริงเห็นอยู่ มันก็ที่ไปเที่ยวบำรุงบำเรอ กิเลส เสียนั้นมากเหลือประมาณ การใช้รถยนต์ แม้แต่การใช้เรือบิน ใช้อะไรก็ตามนี้ เพื่อบำรุง กิเลส เสีย มากเหลือประมาณ ไม่ใช่กิจธุระนะ เพราะกิจธุระนั้นก็เป็นกิจธุระหลอกลวง คือ มนุษย์แกล้งทำด้วยความโง่ สร้างกิจธุระที่ไม่จำเป็น เกิดเป็นกิจธุระขึ้นมา แล้วก็มากๆๆ จนวิ่งเป็นเรือบินขึ้นมา แล้วก็วิ่งๆๆไปทั้งโลกก็ยังไม่ทัน นี่ มันก็ต้องสูญเสียทรัพยากรของพระเจ้า คือ น้ำมันใต้ดินต้องขุดขึ้นมา ส่วนประกอบต่างๆที่จะเอาเป็นรถเป็นเรือต่างๆก็เอาขึ้นมาแล้วก็สลายไป สมัยที่ทันเห็นๆกันอยู่ไม่เห็นถึงร้อยปีนี้มันก็ไม่มีเรื่องอย่างนี้ สมัยที่คนศึกษาเล่าเรียนมาก มีปริญญายาวเป็นหางนี้ก็เปลี่ยนเป็นว่า ทำลายทรัพยากรของพระเจ้ามากขึ้น ผลาญทรัพย์ของธรรมชาติมากขึ้น มากขึ้น เมื่อก่อนไอ้เรื่องเล่น เรื่องเล่น เรื่องบำรุง-บำเรอ กิเลส ตัณหามันจะเอาจากไหนมาใช้ รถใช้ เรือใช้น้ำมันใช้เรือบิน แล้วมันก็ทำไม่ได้ด้วย มันก็บำรุงบำเรอ กิเลสตัณหา กันไปในทางที่ไม่ต้องผลาญทรัพยากรธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้ มันก็ต้องบำรุงบำเรอ กิเลสตัณหา ด้วยการทำลายทรัพยากรของพระเจ้านี้มากขึ้นทุกที แต่แล้วเราก็ไม่รู้สึก เราไปรู้สึกว่าเป็นความก้าวหน้า ทั้งทางวิชา ทั้งทางประดิษฐ์ ทั้งทางเป็นอยู่มีชีวิตอะไรก็ก้าวหน้าไปหมด ตัวอย่างเดี๋ยวนี้ - เรามีไฟฟ้าใช้อยู่ที่ตรงนี้ คนก็จะรู้สึกกันว่ามันพอดี ถูกต้อง หรือจำเป็น แต่ความเห็นของผม-ไม่จำเป็น เป็นเรื่องเกินเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ มันกลายเป็นว่ามันมีเต็มไปหมด จนกลายเป็นไม่ใช่เรื่องเกิน สิ่งเหล่านี้มันล้นเอ่อไหลบ่าไปหมดจนมันมีขึ้นมาทั้งที่ว่าเราไม่อยากจะมี หรือไม่ต้องการจะมี หรือเห็นว่ามันเกิน มันก็มีอยู่ ถ้าเป็นสมัยปู่ย่าตายายมันก็ไม่ต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอะไรทำนองนี้ แล้วก็ไม่โง่กว่านี้ ระบุตรงๆไปยังพระพุทธเจ้าว่าไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ การประดิษฐ์ทั้งหลายสมัยใหม่นี้แต่ก็ไม่โง่ไปกว่าคนเดี๋ยวนี้ กลับฉลาดกว่า กลับมีความสุขสงบกว่า อยู่ร่วมกันด้วยสันติกว่านี่ ดังนั้น สิ่งเหล่านี้มันขนานเคียงคู่กันไปกับความโง่ของมนุษย์ ที่จะมีสิ่งที่ไม่ต้องมี แล้วก็เพื่อแข่งขันกัน แล้วก็เพื่อเบียดเบียนกัน เดี๋ยวนี้ เราใช้สิ่งก้าวหน้าเพื่อทำเราให้งงจนไม่รู้ว่าจะไปทางไหนกัน แล้วก็เลยเอาความรู้สึกคิดนึกชั่วขณะ อะไรต้องการเวลานั้น-ก็ไอ้นั่นแหละเราเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น ผลสุดท้าย ก็อยู่แค่มีอาชีพดี แล้วก็มีเงินมาก แล้วใช้เงินไปตามประสงค์ แล้วก็เท่านั้นเอง - เกิดมาเพื่อเท่านั้น แล้วก็แข่งขันกันยิ่งกว่าแข่งขันเท่านั้นมันจึงสงบสุขไม่ได้ คือ อยู่ร่วมกันด้วยสันติไม่ได้ เพราะว่ามันเมา เมาเงิน เมาไอ้รสชาติของ กิเลส โดยที่เรามันรักกันไม่ได้แม้เป็นคนไทยด้วยกัน หรือแม้ว่าบางทีในหมู่บ้านเดียวกัน ในครอบครัวเดียวกันเมื่อบรรลุอำนาจแก่ กิเลส แล้วมันก็เป็นศัตรูกันขึ้นมาทันที
นี่ ไม่ใช่ผมจะพูดในแง่ร้ายหรือพูดชักชวนให้เลิกสิ่งเหล่านี้-ไม่ใช่ แต่พูดเพื่อให้มองเห็นว่ามันกำลังเป็นอย่างนี้ ก้าวหน้าในการศึกษาแผนใหม่นี้ไปเท่าไร จะผลาญทรัพยากรของพระเจ้าโดยไม่จำเป็นมากขึ้นเท่านั้น สมัยก่อนการพักผ่อนหย่อนใจก็เพียงว่าเดินเล่นตามทุ่งนา ถ้าสมัยนี้ต้องขับรถยนต์ไปไกลๆ ไปหลายร้อยกิโลเมตรแล้วไปทำอะไรกันที่นั่น เทียบกันดูเถิดว่าต่างกันอย่างไร? ปู่ย่าตายายพักผ่อนหย่อนใจอย่างไร? คนเดี๋ยวนี้พักผ่อนหย่อนใจอย่างไร? มันผิดกันร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่า แล้วใครทำลายทรัพยากรของพระเจ้ามากน้อยอย่างไร? ถ้าเราอยู่กันพออยู่ได้แล้ว ลักษณะพออยู่ได้ก็ไม่มีความทุกข์ มันไม่ทำลายไอ้ธรรมชาติมากเหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ ก็กำลังเหมือนกับวิ่งในการที่จะทำลายทรัพยากรของธรรมชาติ เพราะเราต้องการจะตามใจ กิเลส อย่างวิ่งเหมือนกัน มันต้องยุ่งกันอีกหลายชั้นอีกอย่างไม่รู้สิ้นสุด จนไม่เท่าไรไอ้น้ำมันในแผ่นดินนี้ก็จะหมด และจะต้องทำอย่างไรต่อไปอีก? มันเป็นปัญหาที่ยากยิ่งขึ้นไปอีกทุกที จะเอาอะไรมาแทนน้ำมันอย่างนี้ มันเป็นปัญหาที่ยากกว่าธรรมดามาก นี่คือ คำสาปแช่งของพระเจ้า - ต่อแต่นี้อย่าให้มีความสงบสุข ในคัมภีร์คริสเตียนมันมีอยู่อย่างนั้น และอย่าให้พูดกันรู้เรื่อง อย่ารู้จักกัน อย่าให้พูดกันรู้เรื่อง นี้คือ สถานการณ์ปัจจุบันนี้ มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง ไอ้ประธานาธิบดีนิกสันไปพูดกับประธานเหมาเจ๋อตุงไม่รู้เรื่องหรอก-คอยดู มันจะไม่มีทางที่จะพูดกันรู้เรื่อง เพราะพระเจ้าสาปไว้สำหรับมนุษย์ที่เป็นเช่นนี้ คือ มนุษย์ที่เหยียบย่ำพระเจ้าโดยเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เหยียบย่ำได้ และพระเจ้าก็ตอบสนองให้อย่างที่มนุษย์นั้นจะแหลกลาญไปเลย มีอยู่ทางเดียว-เมื่อไรจะหันหน้าไปหาพระเจ้า เดี๋ยวนี้กำลังหันหลังหาพระเจ้า เดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนหันหน้าไปหาพระเจ้า เมื่อนั้นแหละจะพูดกันรู้เรื่องได้ยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์กับนายทุนเสียอีกก็ยังจะพูดกันรู้เรื่อง นี้คือ สิ่งที่เราควรจะมองเห็นกันบ้างว่าโลกมันเป็นอย่างนี้ นี่ เราจะอยู่ในโลกนี้ด้วยวิธีใดจึงจะไม่เป็นทุกข์ลำบาก? ก็ว่า-อยู่อย่างเป็นลูกของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ขอให้พยายามคิดนึกตามที่ได้พูดมาแล้วแต่วันก่อนๆว่า จงเป็น พระ ให้มาก จงพยายามที่จะเข้าใจในความเป็น พระ นี่ คือ ความเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะเป็นได้ ให้มากเสียในระยะที่บวชนี้ ถ้าอยู่ตลอดไปมันก็ทำได้มาก ทำได้ง่ายตลอดไป แต่ถ้าจะบวชชั่วคราวก็จะต้องรีบเข้าใจความเป็นอะไรชนิดที่จะไม่มีความทุกข์
ถ้าจะถามว่าเป็นลูกของพระพุทธเจ้านั้นเอาความหมายยังไงกัน? ตอบสั้นๆได้ประโยคที่ควรจะจำไว้อีกว่า คือ เป็นมนุษย์ที่มีความทุกข์ไม่เป็น เป็นมนุษย์ที่ทุกข์กับเขาไม่เป็น นั่นแหละ ลูกของพระพุทธเจ้า มนุษย์อื่นมันทุกข์เป็นและทุกข์เก่งทั้งนั้นนะ ไม่เรียกว่า มนุษย์ หรอก เรียกว่า คน เพราะมันไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ควรจะเรียกว่า มนุษย์ เรียกว่า คน เพราะ คน มันก็ทุกข์เก่ง ทุกข์เก่งเกินกว่าธรรมดามากมายหลายร้อยเท่า นี่ เราเป็นลูกของพระพุทธเจ้า หรือลูกของพระเจ้าก็ตามใจ คือ ผู้ที่ทุกข์กับเขาไม่เป็น ไอ้สิ่งต่างๆมันจะเป็นอย่างไรก็ตามใจในโลกนี้ เราทุกข์กับเขาไม่เป็นเท่านั้น เพราะมันเป็นอุบาย หรือเป็นวิธี หรือจะเรียกว่าอะไรก็สุดแท้ เป็นเทคนิคทางวิญญาณที่จะทำให้ทุกข์กับเขาไม่เป็น เพราะฉะนั้น รีบศึกษาข้อนี้ไว้
วันนี้กำลังตรวจสอบบาลีกัน พอดีถึงตอนที่ว่า พอสักว่ามีความเข้าใจถูกต้องใน ธรรมะ ในตัว ธรรมะ นี้เท่านั้น ความทุกข์ก็จะหมดไปมากจนเปรียบไม่ไหว แต่ในสูตรเหล่านั้นก็เปรียบไว้ให้ว่า เดี๋ยวนี้ความทุกข์หมดไปเหลืออยู่นิดเดียว เปรียบเหมือนกับว่า ขี้ฝุ่นที่ติดที่ปลายเล็บ กับ ขี้ฝุ่นทั้งโลก - ดินทั้งโลกนี้ กับ ดินที่ตักขึ้นมาด้วยปลายเล็บ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอุปมาอย่างนี้กับพระภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์ดับไปแล้ว เหมือนกับไอ้ความสุข ไอ้ความทุกข์ที่สิ้นไปมากเหมือนกับไอ้ดินทั้งโลก และความทุกข์ที่เหลืออยู่นิดเดียวเหมือนกับดินเท่าที่ติดปลายเล็บ นี่ยังไม่เป็นพระอรหันต์นะ ถ้าเป็นพระอรหันต์จะไม่เหลือ แม้แต่ติดปลายเล็บก็จะไม่เหลือ นี่ เป็นเพียงพระโสดาบัน เขาเรียกว่า ทิฏฐิสัมปันโน ทัศนสัมปันโน ล้วนแต่เป็นลักษณะของพระโสดาบัน คือ ผู้แรกถึงกระแสของธรรม มีตั้งมากมายหลายสูตรเหมือนกันหมด เป็นผู้ที่เห็นกระแสของธรรม แรกย่างเข้าสู่กระแส แต่ยังไม่ถึงโดยสมบูรณ์นี้เขาเรียกว่า พระโสดาบัน ถึงกระแสแห่งพระนิพพาน ในสูตรอีกสูตรหนึ่งเปรียบไว้ดีว่า เหมือนบุรุษมาที่ปากบ่อลึก เห็นน้ำอยู่ในบ่อ แต่แล้วก็ตักกินไม่ได้เพราะไม่มีเครื่องมืออะไร ไม่มีเครื่องที่จะให้ตักน้ำในบ่อลึกขึ้นมากินได้ แต่เขาก็เห็นชัดทีเดียวว่ามันมีน้ำที่กินได้อยู่ที่ในบ่อนั้น ลักษณะอย่างนี้เปรียบได้กับ พระโสดาบัน ยังไม่ถึงนิพพานแต่มองเห็นนิพพานชัดอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้ที่แน่นอนที่จะไม่เฉออกนอกทางและจะไม่ถอยหลังกลับ มีแต่จะไปข้างหน้าจนถึงได้ หรือถึงเต็มของความหมาย คือ เป็น พระอรหันต์ เดี๋ยวนี้ยังไม่เป็น พระอรหันต์ เป็นเพียง พระโสดาบัน อย่างนี้ความทุกข์ก็หมดไปมากมายถึงขนาดนั้น ยังเหลืออยู่นิดเดียว
เพราะฉะนั้น ขอให้ไปคิดนึกดูบ้าง สำหรับที่จะทำตนให้ถึง กระแสของธรรม หรือ ของนิพพานก็ได้ แล้วแต่จะเรียก จนมีความแน่ใจแท้จริงที่จะมุ่งไปทางนี้ ไม่มีถอยหลัง ไม่มีเฉออกข้าง ข้างนั้น ข้างนี้ นี่ เป็นลูกของพระพุทธเจ้าที่ถึงขนาดแน่นอน-ขั้นแรก ต่อนั้นไปก็เป็น สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ไปตามเรื่อง ถึงแม้จะเป็นพระสงฆ์ที่ถึงแม้จะไม่เป็นพระโสดาบันเหล่านั้น เขาก็เรียกว่า เป็นผู้ที่กำลังปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ก็นับรวมอยู่ในพวกนั้นเหมือนกัน แม้เป็นชาวบ้านเขาก็เรียกว่าเป็น กัลยาณปุถุชน คือ เป็นคนธรรมดาชั้นดี ที่มันมีแต่จะมาทางนี้ - ไม่ไปทางอื่น คือ ผิด ไม่อาจจะผิดชนิดที่ว่าไปผิด ผิดอยู่ที่ความผิด มีแต่จะมาในทางที่ถูกนี้มากขึ้น เพราะฉะนั้น มองให้เห็นว่าผมนั้นหมายความว่าอย่างไรในการที่พูดว่า พ่อแม่คลอดเรามาเพื่อให้มาเป็นลูกของพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้ ก็กำลังเป็นอย่างนั้น คือว่า เราก็บวช เดี๋ยวนี้เราก็บวชแล้ว เข้ามาใน ธรรมวินัย นี้แล้วตามระเบียบต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้ นี่ เรากำลังมาสมัครเป็นลูกของพระพุทธเจ้าอยู่ด้วยกันทุกคน แล้วก็มีแต่จะตักเตือนกันให้ทำให้ถูก ให้ดี ให้จริง ให้ยิ่งๆขึ้นไปทั้งนั้น เหมือนที่ได้กล่าวมาแล้วในวันก่อนๆ แล้วเรื่องมันก็ไม่มีอะไร - มันมีเท่านั้น คือ หวังผลให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แล้วก็ปฏิบัติชนิดที่ ไม่ เป็นไปตามอำนาจของ กิเลส แต่ว่าจะชนะ กิเลส จะ เอาชนะกิเลส ให้ได้ เรื่องก็จบ ปัญหาทางสังคมมันก็หมด หมายความว่า แม้โลกนี้มันกำลังจะเป็นบ้ากันขนาดหนักอย่างไรยิ่งขึ้นไปอีก ก็ไม่มีอะไรมาทำให้เราเป็นทุกข์ได้ เพราะความรู้ที่ไม่ทำให้ยึดมั่น-ถือมั่นในความมีตัวตน มีตัวกู มีตัวตนนี้ จนกระทั่งว่า ความตายก็ไม่มีความหมาย ความได้-ความเสียไม่มีความหมาย ความอยู่หรือความตายก็ไม่มีความหมาย ทุกๆคู่-ไม่มีความหมาย จิตใจชนิดนี้ ทุกข์กับเขาไม่เป็น แล้วก็อยู่กันปกติได้เหมือนกันไปหมดไม่ว่าอะไรจะเข้ามา นี่ จึงเรียกว่า – ความทุกข์-ก็เหมือนกับไม่มีความทุกข์ ความสุข-ก็เหมือนกับไม่มีความสุข ดี-ก็เหมือนกับไม่ดี ชั่ว-ก็เหมือนกับไม่ชั่ว ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ แล้วก็ไม่มีทุกๆอย่างที่มันเป็นปัญหา นี่ ผลจากการที่ได้เป็นลูกของพระพุทธเจ้าถึงที่สุดมันมีอยู่อย่างนี้
ทีนี้ เราก็ไม่ถือว่าเราจะไปได้ถึงที่สุดถึงกับเป็นพระอรหันต์ ก็เพ่งเล็ง เพ่งว่าอันดับแรกๆต้นๆ ก็เป็นพระโสดาบัน มันก็มีอัตราที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้ พอความทุกข์ดับไปเหลืออยู่นิดเดียว โดยเปรียบเทียบฝุ่นที่ปลายเล็บกับฝุ่นทั้งโลก คือว่า หยดน้ำที่ปลายใบหญ้าหยดเดียว เปรียบเทียบกับน้ำที่มีอยู่ในมหาสมุทร หรือในอะไรก็ตาม ตามธรรมชาตินั้น เปรียบเทียบอีกมากมาย ความหมายอย่างเดียวกันหมด เอ้า ทีนี้ ถ้าสมมติว่าเราไม่ได้เป็น พระอรหันต์ ไม่ได้เป็น พระโสดาบัน อย่างที่ว่าแล้ว เราก็ยังเป็น ปุถุชนที่ดี ทีนี้ มันใกล้กับพระอรหันต์ ใกล้กับพระโสดาบันตรงที่ว่านั้นไปมากแล้ว ดังนั้น ความทุกข์ของเรานั้นคงจะดับไปมากเหมือนกัน พอจะเปรียบเทียบกันได้ว่า ฝุ่นสักเกวียนหนึ่ง-เทียบกับฝุ่นที่มีหมดทั้งโลกนี้ - มันก็ยังดี เพราะ อัตตาสำหรับ พระโสดาบัน นั้นวางไว้ว่า เหมือนกับฝุ่นที่ติดปลายเล็บแล้วก็เทียบกับฝุ่นทั้งโลก มันไกลกันขนาดนั้น ทีนี้ เราเอาว่าเราเหลือฝุ่นสักเกวียนหนึ่ง ในเมื่อเทียบกับฝุ่นทั้งโลก - ก็ยังดีถมไป ยังดีอยู่เหลือประมาณ นั่น มีความหวังอย่างนั้น มันก็อยู่ในวิสัยที่จะเป็นไปได้
นี่ ขอให้ประพฤติปฏิบัติอย่างที่พูดกันมาแล้ว แล้วก็มาสรุปความกันใหม่ในรูปนี้ เพราะพ่อ-แม่คลอดเรามาเพื่อมาเป็นลูกของพระพุทธเจ้า เป็นได้แล้ว-เรื่องก็จบกัน ถ้าเป็นแต่เพียงว่าเกิดมา เกิดมา แล้วก็เป็นอะไรไปตามนั้น มันก็เป็นเพียงการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่านั้น ทีนี้ พ่อ-แม่หมดความสามารถที่จะส่องแสงในทางวิญญาณให้เราแล้วก็ส่งมายังที่ครูบาอาจารย์ กระทั่งส่งไปยังพระพุทธเจ้า ให้มีความสว่างไสวในทางวิญญาณเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น จนถึงกับว่า อยู่ในโลกด้วยชัยชนะ ไม่มีการพ่ายแพ้ นี่ ผู้ที่บวชแล้วทุกคนขอให้ได้เป็นอย่างนั้น ให้ได้เป็นอย่างนั้นตามมาก ตามน้อย ตามความสามารถ อย่าให้เป็นเพียงสักว่าเกิดมาเพียงแต่การสืบพันธุ์ รักษาพันธุ์ อย่าให้สูญพันธุ์ ให้รู้จักสิ่งต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เป็นจริง นั่นคือ หัวใจของพุทธศาสนา ในแง่ของการรู้ ในแง่ของการปฏิบัติเพื่อให้รู้ ให้รู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง แล้วจิตมันก็จะสลัดไอ้ความยึดมั่น-ถือมั่นในสิ่งทั้งปวง กลายเป็นจิตที่ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป สิ่งต่างๆรอบตัวเรานี้มันเป็นพยานให้เราได้อย่างหนึ่งว่า มันเป็น ขี้เถ้า ของ กิเลส ตัณหา เท่านั้นแหละ บางทีคำนี้จะแปลกหรือใหม่ ฟังไม่ถูก ก็ค่อยๆฟังไว้ มันเป็นภาษาธรรมะ ไอ้ที่มันมีอยู่รอบตัวเรานี้ คือ ขี้เถ้าของไฟ คือ กิเลสตัณหา ไอ้ที่เขาเรียกว่า ขี้เถ้า ก็หมายความว่า มันถูกเผา ถูกเผาถึงที่สุดแล้วก็เหลือแต่ ขี้เถ้า นี่ ไอ้สัตว์ที่คลอดออกมานี้เป็นผลของ ไฟ ของ กิเลสตัณหา เผาเสร็จแล้วมีผลเหลืออยู่ คือ ลูกที่คลอดออกมา นี่ก็เรียกว่า ขี้เถ้า ของ กิเลส ตัณหา ทีนี้ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายในบ้าน ในเรือน เงินทองข้าวของนี้ก็เป็น ขี้เถ้า ของ กิเลสตัณหา แล้วก็ ตัณหา มันต้องแผดเผาจิตใจของบุคคลเหล่านั้นถึงที่สุดแล้ว มันจึงจะคลอดเป็น ขี้เถ้า เหล่านี้ปรากฏอยู่เป็นเงิน เป็นของ เป็นนั่น เป็นนี่ เพราะว่าต้องมี กิเลสตัณหา ที่เป็น ไฟ นี้ เผาจิตใจชนิดที่ถึงที่สุดทำให้ต้องหา ต้องแสวง ต้องอะไรๆเอามาจนได้ ความต้องการ ก็เรียกว่า กิเลส ความต้องการของ กิเลส คือ ต้องการโดยที่ว่าไม่รู้ว่ามันควรต้องการหรือไม่ควรต้องการ นี่ เป็น กิเลส เป็น ตัณหา เป็น โลภะ เรียกว่า ไฟ ภาษาธรรมะเรียกว่า ไฟ ไฟ นี้ต้องเผาใจก่อน แล้วคนจึงจะทำอะไรที่เป็นผลออกมา เช่น เราอยากมีบ้านมีเรือนนี้ มันก็ต้องมี ตัณหา ในส่วนนี้ เผา จิตใจเราพ่ายแพ้ไปถึงที่สุด แล้ว มันจึงสร้างเรือนขึ้นมาได้ ถ้าเราชนะเราก็ไม่ปลูกเรือนหลังนี้ บ้านนี้ ตึกนี้ อะไรนี้ นี่ คนมันก็เป็นอย่างนี้ หรือสัตว์ก็เหมือนอย่างนี้ ไอ้สุนัขมันนอนอยู่ที่นี่ มันเป็น ขี้เถ้า ของ กิเลสตัณหา ของไอ้พ่อแม่ของมัน เผา ไปเสร็จแล้ว ทีนี้ ต้นไม้นี้ก็เหมือนกัน ต้นไม้มันก็มี กิเลสตัณหาไปตามประสาต้นไม้ มีจิตชีวิตวิญญาณไปตามประสาต้นไม้ จะไปเชื่อไอ้คนที่มันพูดว่าต้นไม้ไม่มีชีวิตไม่มีวิญญาณ นั้นมันเดาเอาเอง ตามหลักเหตุผลทั่วไปสิ่งที่มีความเป็นอยู่ มีความรู้สึก มีชีวิตนี้มันต้องมีจิตใจ ต้องมีความรู้สึก มีความต้องการ ต้นไม้มันก็มีความต้องการที่จะทรงตัวอยู่ มันจึงดิ้นรนให้มีความรอดให้ มีความเป็นอยู่ แล้วมันจึงรอดอยู่เป็นผลของความดิ้นรนตาม กิเลสตัณหา ของมัน แล้วมันก็สืบพันธุ์ ต้นไม้มันก็มีการสืบพันธุ์ตามความมุ่งหมายอย่างเดียวกันกับสัตว์หรือคน ไอ้ลูกของต้นไม้ที่ออกมาก็คือ ขี้เถ้า ของ กิเลส ตัณหา ที่ เผา หัวใจของแม่ของพ่อมัน เสร็จแล้วมันคลอดออกมาเป็นอย่างนี้
ทีนี้ ขอให้เรามองดูรอบด้านทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งต้นไม้ และทุกอย่างที่มันเกี่ยวข้องกันว่า ทั้งหมดนี้มันเป็น ขี้เถ้า ของ ไฟ ที่ได้ผ่านไปแล้ว คือ กิเลสตัณหา นี่ เป็นตัวอย่างอันหนึ่งในหลายๆ อย่างของการที่ว่า เรารู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ต้องรู้ตามที่เป็นจริง หมายถึง รู้อย่างนี้ รู้ในขณะนี้ เช่นตัวอย่างอย่างนี้ ถ้าเรารู้จริงเราจะมองเห็นว่า ไอ้ทุกอย่างรอบตัวเรานี้เป็นเพียง ขี้เถ้า ของ ไฟ ที่มันได้เผาอะไรวอดวายไปแล้ว เหลืออยู่เป็น ขี้เถ้า แล้วจะไปรักได้อย่างไร? จะไปยึดถือได้อย่างไร? จะไปหลงใหลได้อย่างไร? จิตใจมันก็หลุดพ้น
ดังนั้น จึงมีหลักอย่างนี้เสมอในทุกๆข้อ ก็ต้องเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ยถา ภูตะญาณทัสนะ พอเห็นสิ่งนี้ตามที่เป็นจริงแล้วมันก็จะเกิด นิพพิทา คือ ความหยุดชะงักในการที่จะไปเอาไปบ้ากับมัน แล้วก็เกิดมี ราคะ นาทีที่ 55.53 คือ ถอยหลังออก แล้วก็เกิด วิมุตติ คือ หลุดพ้นไปได้ เกิด วิมุตติญาณทัสนะ รู้ว่า เอ้า หลุดพ้นแล้วและจบกันที่นั่น เพราะฉะนั้น เป็นลูกของพระพุทธเจ้าไม่มีหน้าที่อื่น มีหน้าที่เพียงให้รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ก็จบกันเท่านั้น นี้คือ คำอธิบายของคำที่จะฝากไว้เป็นคำขวัญหรือก็แล้วแต่จะเรียก ว่า พ่อ-แม่คลอดเรามาเพื่อเป็นลูกของพระพุทธเจ้าอีกต่อหนึ่ง หวังว่าคงจะเอาไปคิด ไปนึกกันต่อไป
แล้ววันนี้ก็พอทีเพียงเท่านี้