แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เวลานี้ ล่วงมาถึงเวลา สี่สามสิบนอแล้ว อยากจะให้ถือเอาเป็นนิมิตว่ามันควรที่จะยิ่งสว่าง (0.35) ขึ้นมาแล้ว ที่มุมโลกส่วนอื่นอาจจะยังดึกอยู่ หรือ หลับอยู่ ยังหลับใหล แต่ตรงกันข้ามที่ในโลกอื่นอาจจะสว่าง จะแจ้งแล้ว คือคนกำลังทำการงานอยู่อย่างเต็มที่แล้ว เราถือเอาว่า เรากำลังจะเริ่มสว่าง ก็หมายความว่ามันจะเป็นที่แน่นอนว่าเราจะ จะประสบความสำเร็จ ในการตื่นขึ้นมาจากความหลับ พูดอย่างนี้ถ้าจะถือโชคลาง แต่มันก็ เป็นเรื่องของกำลังใจ หรือความหวังที่จะให้มีเต็มที่ หรืออีกอย่างหนึ่งเช่น วันนี้ก็มีฝนตก ทำให้ไปไหนมาไหนลำบาก มันก็เป็นนิมิตอันดีในวันแรกที่เราจะพูดกันเรื่องธรรมทูต มันคล้ายๆ กับว่าฝนฟ้าอากาศธรรมชาติ ได้ช่วยผสมโรงให้เป็นบทเรียน ที่จะทดสอบดูว่าใครรู้สึกอึดอัดขัดใจบ้าง มีอุปสรรคตามธรรมชาติเช่นนี้ ถ้ามันรู้สึกอึดอัดขัดใจอย่างนี้ มันก็ไม่เหมาะที่จะทำงานธรรมทูต ซึ่งจะต้องเผชิญกับสิ่งที่ลำบากยากเข็ญมากกว่านี้มาก ฉะนั้นผมจึงอยากจะขอร้องให้ยินดี รับเอาบทเรียนต่างๆ ที่มันจะเกิดขึ้น เป็นความยากลำบากหรืออะไรก็ตาม มารวมอยู่ในหลักสูตรสำหรับอบรมผู้ที่จะเป็นธรรมทูต นี่ก็จะหวังที่จะให้มีมาอีกต่อไปข้างหน้าจนครบหมดทุกเรื่องทุกราวทุกชนิด ที่จะช่วยสร้างสรรค์เอาความเข้มแข็งของผู้ที่จะเป็นธรรมทูต สำหรับการบรรยายในวันนี้ เป็นครั้งที่ ๑ ของการบรรยายในเวลาเช่นนี้ ซึ่งจะได้กล่าวถึงปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้เป็นธรรมทูต เรียกง่ายๆว่าเป็นปัญหา ว่าปัญหาที่จะเกิดขึ้นแก่ธรรมทูต มีอยู่นานาประการ อันนี้ก็จะพูดเป็นเรื่องที่หนึ่ง สำหรับปัญหาของธรรมทูตที่จะต้องเผชิญ ซึ่งจะได้พูดโดยหัวข้อว่าสถานการณ์แห่งยุคปัจจุบันของโลก นี้คือปัญหาข้อแรกสำหรับผู้ที่จะเป็นธรรมทูต จะต้องหยิบขึ้นมาพิจารณาก่อนเรื่องอื่นใดทั้งหมด สถานการณ์ของโลกปัจจุบันมีอยู่ในสภาพอย่างไร จะเป็นเหตุให้รู้ได้ว่าเราจะต้องทำอย่างไร และเรามีช่องทางที่จะทำได้มากน้อยเพียงไร หรือว่าจะต้องใช้ความสามารถความรู้อะไรต่างๆอย่างไร เหล่านี้มันล้วนแต่ขึ้นอยู่กับความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของโลก แห่งยุคปัจจุบันด้วยกันทั้งนั้น ถ้าจะถามว่าทำไมจึงพูดเรื่องนี้ ในหัวข้อนี้ ก็อยากจะพูด เอ่อ!อยากจะตอบว่า โลกแห่งยุคปัจจุบัน เป็นเป้าหมายงานของงานธรรมทูตของคณะสงฆ์ไทย เราเป็นที่เข้าใจกันแล้วว่างานธรรมทูตเป็นงานของคณะสงฆ์ไทย แล้วจะทำแก่ใคร ก็ทำแก่โลกแห่งยุคปัจจุบัน นี่จะต้องรู้ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับโลกปัจจุบัน ที่กำลังยุ่งยากอยู่ในโลก สำหรับคณะสงฆ์ไทยเราจะต้องถือว่าเป็นผู้รับภาระที่จะช่วยแก้ไขโลกนี้ให้ดีขึ้น นี้ต้องถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรง ถ้ามิฉะนั้นแล้วกิจการ เอ่อ!คณะสงฆ์นี่มันก็จะแหว่งเว้าอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วยิ่งกว่านั้นก็คือไม่ทำตามพระพุทธประสงค์ที่ว่า “จงช่วยไปเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน” ให้เป็นประโยชน์เกื้อกูลทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ นี้เป็นคำขวัญอย่างยิ่งของพวกธรรมทูต โดยเฉพาะในพระพุทธศาสนา แต่ถึงแม้พวกธรรมทูตแห่งศาสนาอื่น ก็ถือคำขวัญอย่างเดียวกันนี้โดยใจความ แม้ว่าตัวอักษร คำพูดมันจะเป็นอย่างอื่น แต่ใจความมันเหมือนกัน คือออกไปเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ ที่จะได้รอดพ้นจากความชั่วหรือบาปหรือความทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านทรงหวังไว้อย่างนี้ มากถึงกับตรัสออกมาว่า “จงไป จงไปนะ” กระทั่งว่าอย่าไปทางเดียวกันสองคน ก็เพื่อประหยัดคน ประหยัดตัวนักธรรมทูต ให้มันได้ไปมากสาย และถ้าเรายังจำไอ้ พระพุทธดำรัสข้อนี้ไว้ในใจอยู่เพียงใด มันก็ยังมีกำลังใจมากพอที่จะทำงานธรรมทูตได้อยู่เพียงนั้น ที่คณะสงฆ์ไทย มีแผนการที่จะขยายงานธรรมทูตออกไปถึงต่างประเทศ แล้วก็ไม่ได้จำกัดว่าประเทศไหนเสียด้วย นี่เราก็ต้องนึกถึงประเทศเหล่านั้น ซึ่งอย่างน้อยมันก็มีอยู่กันสองพวก เช่นประเทศที่เคยถือพุทธศาสนามาแต่กาลก่อน แล้วก็เสื่อมโทรมไป นี้พวกหนึ่ง แล้วประเทศที่ยังไม่เคยได้รับพุทธศาสนาเลย นี้ก็พวกหนึ่ง มันจึงเป็นสองพวกอยู่ ฉะนั้นปัญหามันคงไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะต้องพิจารณาให้ดีๆ ทีนี้แม้ในพวกที่เคยถือพุทธศาสนามาแต่กาลก่อนแล้วบัดนี้เสื่อมไป นั้นมันก็ยังมีแตกต่างกันอยู่เป็นสองพวกเหมือนกัน แล้วเป็นสิ่งที่ต้องคิดด้วย จะต้องคิดอย่างมาก เพื่อความรับรู้หรือความรับผิดชอบด้วย ว่าในประเทศที่เคยถือพุทธศาสนามาก่อนนั้นมันยังต่างกันอยู่เป็นสองชนิด คือประเทศที่เป็นเจ้าหนี้บุญคุณแก่ประเทศไทย โดยเฉพาะคือประเทศอินเดีย เขาเคยเอาพุทธศาสนามายื่นให้เราจนถึงบ้าน คือว่าสมัยหนึ่งประเทศอินเดียมีการส่งธรรมทูตออกไปแพร่หลายทุกทิศทุกทาง จนเรารู้กันอยู่ดีแล้วว่า ในสมัยอโศก คือว่าทางบ้านเราที่เรียกว่าทางสุวรรณภูมินี้ ก็ได้ส่งมาเป็นล่ำเป็นสัน ปรากฏอยู่ในเรื่องราวสังคีติ ขอให้ไปทบทวนอ่านดูครั้งหนึ่ง มีความสำคัญมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในทางที่จะให้รู้ว่าท่านทำกันอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงข้อที่ว่า ธรรมทูตนั้นเป็นชาวอินเดีย และได้เอามาให้พวกเราจนถึงประตูบ้าน ที่ในดินแดนแถบนี้ เป็นที่เชื่อได้โดยแน่นอน เพราะฉะนั้นเราก็เป็นลูกหนี้ คนเหล่านั้นก็เป็นเจ้าหนี้เรามาจนถึงบัดนี้ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเหตุผล หรือว่าความ เป็นความรู้สึกรับผิดชอบที่เราจะต้องใช้หนี้ ทีนี้ถ้าไปเผยแผ่พุทธศาสนาในประเทศอินเดีย ก็ไปอย่างลูกหนี้ เพื่อไปใช้หนี้ที่สุมอยู่บนศีรษะน่ะมากกว่าสิ่งอื่น เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เล็กน้อย หรือเป็นเรื่องที่ทำเล่นๆ ไม่ได้ มันก็เป็นลูกหนี้ที่เลว นี้เรียกว่าประเทศที่เขาเป็นเจ้าหนี้พวกเรา ที่นอกนั้น ประเทศที่เคยนับถือพุทธศาสนามาด้วยกันแล้วมันเสื่อมไป แต่ไม่ได้เป็นเจ้าหนี้อะไรแก่พวกเรามากมายนักก็มี คือประเทศข้างเคียง เคยนับถือศาสนามาก่อนในยุคในสมัยเดียวกันเช่นประเทศอินโดนีเซียนี่ เขาเรียกว่าประเทศที่เคยนับถือพุทธศาสนามาก่อน จนเรียกว่ามีวัฒนธรรมอย่างเดียวกันก็ได้ ทางสมัยศรีวิชัย มีการรับพุทธศาสนา และศิลปวัฒนธรรมอะไรเหมือนกันหมด พระเจดีย์ชื่อพระธาตุไชยานี่ เหมือนกับพระเจดีย์ทางประเทศชวา เหมือนกันดิบ ( นาทีที่ 15.05 ) พระพิมพ์ดินดิบที่พบแถวภาคใต้ของเรานี้ก็ยังเหมือนกันดิบกับพระพิมพ์ดินดิบที่เราพบในประเทศชวา เมื่อพันกว่าปีมาแล้ว เป็นเรื่องแสดงให้เห็นว่ามีวัฒนธรรมอย่างเดียวกันรับศาสนาอย่างเดียวกัน เรื่องที่หลงเหลืออยู่ในนิยายนิทาน มันก็แสดงว่าประเทศอินโดนีเซียนี่ นับถือพุทธศาสนากันอย่างเคร่งครัด กระทั่งมีข้อความว่าอิเหนาก็ไปไหว้พระปฏิมา นั่นมันแสดงว่าคนสมัยนั้นมีปฏิมา ซึ่งในศาสนาอิสลามไม่มี มันก็น่าสันนิษฐานว่าในยุคสมัยอิเหนาซึ่งเป็นต้นตอของนิยายเรื่องนี้ มันก็มีพุทธศาสนาอยู่ที่นั่น ฉะนั้นควรจะมีความคิดนึกอะไรบางอย่างที่ถูกต้องที่เหมาะสม ไม่ใช่เรื่องที่จะรังเกียจกันระหว่างศาสนา มันจะมีเช่นนี้ก็เรียกว่าไปช่วยฟื้นฟู ไม่ใช่ไปใช้หนี้ นี่ยกตัวอย่างแค่นั้น การไปทำงานธรรมทูตในประเทศอินเดียนั้นคือไปใช้หนี้ที่สุมอยู่บนศีรษะของเรา อย่างไปประเทศ เอ่อ! อินโดนีเซียนี้ไปช่วยฟื้นฟูให้มันกลับมาในฐานะเป็นสหายเก่าแก่ นี่คณะสงฆ์ไทย จะต้องมองเห็นอย่างนี้ แล้วทำไปด้วยน้ำใจที่กว้างขวาง และถูกต้องแก่เรื่องแก่ราว สำหรับประเทศทั้งหลายที่ไม่เคยรับนับถือพุทธศาสนามาก่อน ก็หมายถึงประเทศที่ไกลไปทางตะวันตก ซึ่งจะเรียกรวมๆ กันว่าเมืองฝรั่ง นี่เราพิจารณาดูสิว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่อย่างไร ถ้าเรามีธรรมทูตเพียงไม่กี่ ไม่กี่องค์สองสามองค์นี้มันจะทำได้อย่างไร มันก็อยู่ในสภาพที่เรียกว่าน่าสงสารกันมากกว่าในเวลานี้ นี้ถ้าเราจะช่วยกันคิดนึกทำความเข้าใจ และช่วยกันขะมักเขม้นในการเป็นธรรมทูต ให้มีจำนวนมาก ให้มีคุณภาพมาก นั่นแหละจะเป็นการถูกต้อง สำหรับภิกษุสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า อีกปัญหาหนึ่งแม้ว่าเราจะไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ยังไม่ควรจะออกไปสั่งสอน อย่างนี้ก็ไม่ถูกนัก เพราะว่าไอ้สิ่งที่สั่งสอนได้มันก็มี เราจะถือหลักแต่เพียงว่าเรารู้แล้วเท่าไร หรือปฏิบัติได้แล้วเท่าไร เราก็สั่งสอนเท่านั้น มันก็ไม่เป็นบัณฑิตสกปรก มีพุทธภาษิตว่า พึงตั้งตนให้อยู่ในธรรมที่สมควรก่อนแล้วจึงสอนผู้อื่น มิฉะนั้น กิลิสเสยยะ ปัณฑิโต( นาทีที่ 19.26 ) ก็จะเป็นบัณฑิตสกปรก อาจจะมีบางคนค้าน เราก็อธิบายด้วยหลักข้อนี้ ตั้งตนๆไว้ในคุณธรรมที่สมควรก่อน ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ส่วนนั้นน่ะคือส่วนที่สอนได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องกลัว ว่าใครจะเยาะเย้ยว่า ทำอะไรได้กี่มากน้อยที่จะไปสอนเขา แล้วคณะสงฆ์ไทยเราก็ได้ปรับปรุงกิจการภายใน ทั้งส่วนปริยัติ และส่วนปฏิบัติมาพอสมควรแล้ว ก็ขยายงานธรรมทูตออกไป นี่ก็นับว่ามีเหตุผล เพราะฉะนั้นเราจะช่วยกันสนองความประสงค์อันนี้ของคณะสงฆ์ไทย ในแง่ ในสาขาต่างประเทศ ปัญหาจึงต้องรู้จักโลกส่วนนั้น ที่จะเป็นผู้รับธรรมะจากเรา นี้จึงถือว่าโลกปัจจุบันนี้คือเป้าหมายของงานธรรมทูต แห่งคณะสงฆ์ไทย แม้ว่าโลกปัจจุบันนี้จะอยู่ในสภาพอย่างไรก็ตาม ทีนี้ดูกันต่อไปถึงข้อที่ว่าโลกแห่งยุคปัจจุบันนี้ กำลังดำเนินอยู่ หรือเป็นไปอยู่อย่างที่เรียกว่าผิดกับหลักการของทางฝ่ายศาสนา นี้เป็นทิวทัศน์ที่กว้างขวางมาก ขอให้เราสังเกตดู ว่าทั้งโลกกำลังเดินไปหรือเป็นไป อย่างที่เรียกว่ามันขัดขวางกันโดยสิ้นเชิงกับหลักการของทางฝ่ายศาสนา พูดกันสั้นๆ เสียว่าไอ้หลักการทางศาสนาก็คือจะต้องการสันติภาพ และความสงบสุขของส่วนบุคคล และส่วนรวม ที่โลกกำลังเดินไปในทางที่จะเหยียบย่ำสันติภาพ ทำลายสันติภาพ หรืออะไรทำนองนี้ ทั้งที่ปากร้องตะโกนว่าต้องการสันติภาพ แต่การกระทำนั้นมันตรงกันข้าม แล้วต้องเรียกว่าโดยรู้สึกตัว ไม่ใช่ไม่รู้สึกตัว แต่ว่าส่วนที่ไม่รู้สึกตัวก็มีอยู่มากเหมือนกัน แต่เราเพ่งเล็งไปยังส่วนที่เขารู้สึกตัว แล้วก็ฝืนความรู้สึกเรื่อยๆไปจนเคยชินเป็นนิสัยอย่างนี้ เป็นข้อใหญ่ของส่วนที่เป็นอยู่จริง ส่วนทุกประเทศที่รบกันล้วนแต่ถือศาสนาที่ห้ามการเบียดเบียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาคริสเตียน ซึ่งพระศาสดาสอนว่าเขาตบแก้มซ้ายแล้วให้เขาตบแก้มขวาด้วย เขาขโมยเสื้อไปแล้วให้เอาผ้าห่มตามไปให้ด้วย ถ้าถือหลักกันอย่างนี้แล้วก็ไม่มีทางที่จะรบกัน หรือเบียดเบียนกัน โลกมันจะเต็มไปด้วยสันติภาพ เดี๋ยวนี้มันยิ่งๆไกลออกไป ยิ่งรบราฆ่าฟันกันมาก แล้วก็โดยรู้สึกตัวว่าพระเจ้า เอ่อ! พระเจ้าไม่ต้องการให้ทำอย่างนั้น ก็เล่นตลกกับพระเจ้า คือว่าปากก็พูดว่าถือ นับถือพระเจ้า ในกองทัพก็ออกชื่อพระเจ้า บูชาพระเจ้า แต่แล้วการกระทำมันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงนั้น นี่แหละเป็นข้อสำคัญ คือการที่โลกนี้กำลังเดินไปอย่างผิดกันกับหลักการที่ศาสนาต้องการ มันเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงแล้วก็หนักอึ้งยิ่งกว่าภูเขาเลากา ที่เราจะต้องไปเผชิญนั้น มองดูแล้วก็น่าท้อใจ แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ ที่ท้อใจไม่ได้ เพราะมันเป็นหน้าที่ ที่จะสนองพระพุทธประสงค์หรือว่าจะด้วยความเมตตากรุณาของเราเองก็สุดแท้ ในเมื่อโลกกำลังเหยียดศาสนา หันหลังให้ศาสนา เราก็จะไปหยิบยื่นศาสนาให้เขา มันเป็นปัญหาเท่าไร ลองคิดดู ทีนี้ว่าบางคนกำลังจะหายไปด้วย เอ่อ! ถ้าจะได้รับธรรมะนี่มันก็เป็นส่วนน้อยมาก ไปเทียบเปอร์เซ็นต์ดู จะไม่มีตัวเลขหน้าจุด จะมีแต่ตัวเลขหลังจุดแล้วก็มีศูนย์นำกันแยะ แล้วก็ในหมู่ๆพวกที่ต้องการจะรับพุทธศาสนามันก็ยังมีอยู่ ที่จะต้องแบ่งแยกกันไปหลายพวก ซึ่งจะต้องพิจารณากันต่อไป ทีนี้รวมความว่าสถานการณ์ในโลกปัจจุบันนี้มันกำลังเป็นปฏิปักษ์ หรือเป็นปรปักษ์ตรงกันข้าม ขัดกับหลักการของศาสนา แล้วเราจะทำอย่างไร เมื่อเราสมัครทำงานนี้เราก็ต้องถือหลักที่ควรจะถือไว้อย่างแน่นแฟ้นมั่นคงไว้ เป็นหมอก็ต้องรักษาคนเจ็บ เป็นหมอตามธรรมดารักษาโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมดานี่ก็ต้องถือหลักอันนี้ ถ้าจะเห็นว่าลำบากแล้วก็ไม่เอา หรือว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรตอบแทนแล้วก็ไม่เอา ถ้าอย่างนั้นมันไม่ใช่หมอ มันเป็นลูกจ้างหรือเป็นอะไรอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่เป็นแพทย์เป็นหมอ ที่จะทำหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ ในฐานะเป็นอาชีพปูชนียบุคคล เป็นหมอต้องรักษาคนเจ็บ นี่ขอให้จำไว้สั้นๆ นี่บาลีในเทวคาถาว่า สัพพัญญู สัพพทัสสาวี ชิโน อาตัญโญ มะมัค มหาการุณิโก สัตถา สัพพะโลกะติกิจฉะโก อาจารย์ของเรานั้นเป็นสัพพัญญู ให้รู้สิ่งทั้งปวง สัพพทัสสาวีเห็นสิ่งทั้งปวง เป็นพระศาสดาผู้มีกรุณาใหญ่ เป็นนายแพทย์ที่เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงดังนี้ เป็นพระอรหันต์องค์ดังกล่าว มีความสำคัญตรงที่ว่าพระศาสดาของเราเป็นนายแพทย์ที่เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง และก็มหาการุณิโก เป็นผู้มีกรุณาใหญ่หลวง นี่มันจึงทำได้เพราะเหตุนี้ จะรักษาอุดมคติที่ว่าหมอก็ต้องรักษาคนเจ็บ รักษาอุดมคตินี้ไว้ได้ ถ้าไม่อย่างงั้นจะเป็นหมอกันที่ตรงไหน มันจะไปเห็นแต่ไอ้สกปรก หรือว่ายากลำบาก หรือว่าไม่ได้เงินไม่ได้ค่าจ้างนั้น มันไม่ได้ นั้นมันอีกเรื่องต่างหาก เป็นหมอมีหน้าที่รักษาคนเจ็บ แม้ว่าจะได้รับการต่อต้านจากคนเจ็บ หมอก็ต้องรักษาคนเจ็บอยู่ดี คนเจ็บมันกำลังบ้า คลั่ง ดีเดือด หรืออะไรก็ตาม มันก็ทำอันตรายหมอ แต่ไอ้หมอก็ยังต้องรักษาคนเจ็บ นั่นโรคทางกายทางธรรมดาสามัญก็ยังเป็นอย่างงั้น นี้โรคทางวิญญาณที่จะต้องรักษาด้วยธรรมะ มันก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน มันก็ประสบการต่อต้านเหมือนคนบ้า คนคลั่ง มันก็ต่อต้านหมอ นี้ก็เหมือนกัน ไอ้โลกกำลังเป็นบ้าในทางวิญญาณ มันก็จะต่อต้านธรรมะของศาสนา ไม่ว่าศาสนาไหน มันก็เคยเหยียบย่ำศาสนามาแล้วตามลำดับ อยู่ในสภาพที่น่าเศร้า น่าสงสาร น่าขยะแขยง นี่คือเรื่องโลกในสถานการณ์ปัจจุบัน มันกำลังเป็นอย่างนี้ ซึ่งเราจะต้องรับรู้ไว้ก่อนที่จะดำเนินงานธรรมทูต เพราะฉะนั้นจึงเอามาพูดเป็นข้อแรก ทีนี้ก็จะได้พูดให้ชัดลงไป ในข้อที่ว่าโลกในปัจจุบันมีปัญหาใหญ่อย่างนี้ ก็คือปัญหาที่ว่า โลกอยู่ในภาวะที่ถูกครอบงำด้วยลัทธิวัตถุนิยม โลกอยู่ในภาวะที่ถูกครอบงำด้วยวัตถุนิยมอย่างแรงกล้า คือภาวะที่โลกถูกครอบงำด้วยวัตถุนิยมอย่างแรงกล้านี้เป็นปัญหา วัตถุนิยมคืออะไร ผมเข้าใจว่า ท่านที่ได้รับการอบรมธรรมทูตมาคงเข้าใจได้ดี แล้วคนสมัยนี้ก็รู้จักสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยม ที่กำลังครอบงำโลกอย่างยิ่ง ในรูปประชาธิปไตยก็มี ในรูปเผด็จการก็มี มีอะไรๆที่มีผลเป็นวัตถุ มุ่งหมายเป็นวัตถุ ไม่มีที่เป็นเรื่องจิตใจทางนามธรรม พวก พวกวัตถุ พวกวัตถุนิยมอย่างเผด็จการ วัตถุนิยมอย่างเสรีประชาธิปไตย มันก็ไม่ใช่มุ่งหมายอื่นนอกไปจากวัตถุ ทั้งโลกกำลังเป็นวัตถุนิยม ซีกโลกตะวันออกเราที่เคยนิยมเรื่องทางจิตใจ หรือมโนนิยมนั้น ทำนองนี้ก็กำลังหันตามก้นพวกตะวันตกที่เป็นพวกวัตถุนิยมจัด กำลังจะเป็นวัตถุนิยมกันไปเสียหมดทั้งโลก ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าภาวะของโลกที่กำลังตกเป็นทาสของวัตถุนิยม มันไม่ต้องถามว่าจริงหรือไม่นะ มันมีแต่ต้องพิจารณาว่ามันจริงเท่าไร จริงๆมากเท่าไร เพราะฉะนั้นโลกกำลังเสพติดยาเสพติดคือวัตถุนิยม ยิ่งกว่ายาเสพติดเช่นเฮโรอีนหรืออะไรทำนองนี้ซะอีก เฮโรอีนเป็นยาเสพติดทางเนื้อหนังมันก็ได้เท่านั้นแหละ ไม่ลึกซึ้งเหมือนไอ้วัตถุนิยมที่เป็นยาเสพติดทางวิญญาณ วิญญาณมันตกเหว ไอ้ยาเสพติดอันนี้มันลึกซึ้งเหลือประมาณ มันคือปัญหาใหญ่ ปัญหาหนัก คิดทีนี้ทีว่าคนในโลกกำลังสนใจพุทธศาสนา นี้ก็เป็นความจริง เขากำลังชะเง้อดูพุทธศาสนา หวังว่าพุทธศาสนาจะมีอะไรที่น่าสนใจ แล้วก็ยังแบ่งเป็นสองประเภทอย่างที่ว่า ประเภทที่ไม่เคยรับนับถือพุทธศาสนามาก่อน มันก็สนใจพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นของที่ยังไม่เคยลอง ผมนั่งสังเกตอยู่ที่นี่ เห็นพวกฝรั่งที่มาขอความรู้เรื่องพุทธศาสนานี่ มันอยู่ในฐานะสนใจสิ่งที่ยังไม่เคยลอง เผื่อว่าจะช่วยได้หรือจะมีประโยชน์ ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่ ไม่ได้รู้แน่นอนว่าพุทธศาสนาจะนำไปสู่ภาวะเช่นไร หรือจะนำไปในที่ไหน ก็จะได้ยินในลักษณะตื่นข่าวว่าพุทธศาสนาจะนำไปสู่สันติภาพ ตัวเองก็เชื่อโดยคาดคะเน หรือโดยเหตุผลบางอย่าง แต่ไม่ใช่ด้วยความแน่ใจที่เห็นแจ้งเห็นจริง เพราะยังไม่รู้จักพุทธศาสนา เมื่อผู้สนใจของเรา หรือสมาชิกที่จะรับ ธรรมะนี้มันอยู่ในสภาพอย่างนี้ เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้ นี่เขาเรียกว่า ผู้ที่ไม่เคยถือมาก่อน ทีนี้ในประเทศที่เคยถือมาก่อนเช่นประเทศไทยเราโดยเฉพาะนี้ มันก็ยังมีความงมงายมากมายหลายประการ แผ่พุทธศาสนาให้แก่คนไทยเรากันเองก็ยังยากลำบาก พูดกันไม่รู้เรื่อง ยังไม่ถึงหัวใจของพุทธศาสนา เพราะเอาเรื่องที่เป็นหัวใจแท้ๆของพุทธศาสนา เช่น เรื่องสุญตามาพูด ก็เต็มไปด้วยการปฏิเสธ แล้วหาว่าไม่ใช่ ไม่ใช่พุทธศาสนาไปเสียก็มี นี่ขอให้ลองเปรียบเทียบดู ว่าแม้ในประเทศเราที่เป็นเจ้าของงานธรรมทูตนี้ ก็ยังมีคนที่ไม่ยอมรับเนื้อแท้ของพุทธศาสนา แต่ยอมรับส่วนที่เป็นเปลือกหรือเป็นความงมงาย นี่ปัญหาคือโลกมันเป็นอยู่อย่างไรในเวลานี้ ถ้าเราไม่แจ่มแจ้งในปัญหาเหล่านี้แล้วก็ ก็ทำงานธรรมทูตไม่ได้ จะเป็นงานธรรมทูตในประเทศ หรือนอกประเทศก็ตาม เพราะฉะนั้นผมจึง สังเกตอยู่ทุกวัน แม้การเผยแผ่พุทธศาสนาอย่างแท้จริงในประเทศไทยเราก็ยังทำได้ยากลำบาก ไอ้งานธรรมทูตขั้นศีลธรรมนั้นมันก็ยังลำ ยังลำบาก ทั้งที่ยังไม่ใช่ตัวแท้ของพุทธศาสนา ไอ้ศีลธรรมในระดับทั่วๆไปนี้เราไม่ถือว่าเป็นของพุทธศาสนา เพราะว่าศาสนาไหนมันก็มี หรือแม้ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาเป็นเพียงจริยธรรมสากลมันก็มี ไอ้ศีลธรรมขนาดนี้ เพราะฉะนั้นอย่าเพ่อหยิ่ง หรืออวดดีมากไปว่า เป็นงานธรรมทูตที่แท้จริงหรือสมบูรณ์แบบ ในส่วนที่พุทธศาสนาเรามีอย่างผิดแปลกจากศาสนาอื่น หรือผิดแปลกไปจากจริยธรรมสากลนั้นน่ะ จึงถือว่าเป็นตัวพุทธศาสนา แล้วมันก็ควรจะเผยแผ่กันในส่วนนั้นให้มาก จึงจะเรียกว่าเผยแผ่พุทธศาสนา ทีนี้ข้อเท็จจริงมันๆ มันไม่ใช่ ไม่ใช่มีอย่างนั้น ถ้าเป็นตัวศาสนาที่แท้จริงกันแล้วมันจะเหมือนๆกัน ทุกศาสนาเหมือนกัน คือต้องสละความเห็นแก่ตัวออกไปโดยสิ้นเชิง ศาสนาที่แท้จริงจะสอนให้อย่างนี้ทั้งนั้น สละความเห็นแก่ตัวออกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันก็หมดปัญหา ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดการเบียดเบียนใดๆ ทีนี้เราจะไปสอนไอ้เรื่องให้ทำมาหากิน หรืออะไรทำนองนั้น มันก็ยังไม่แก้ไขความเห็นแก่ตัว มันก็จะเป็นเรื่องไม่รู้จักจบ เหมือนจับปูใส่กระด้งนั้น ต้องไปเผยแผ่ธรรมะที่แท้จริง ทำลายความเห็นแก่ตัวให้มันร่อยหรอไป เบาบางไป แล้วมันก็จะรู้จักทำอะไรให้ถูกต้องขึ้นมาเอง งานธรรมทูตในประเทศจะเป็นอย่างนี้ งานธรรมทูตนอกประเทศก็เป็นอย่างนี้ สำหรับข้อใหญ่ใจความ ทีนี้ฝรั่งมันยิ่งฉลาดในทางวิชาความรู้ มันก็ยิ่งมีข้อบิดพลิ้วได้เก่งกว่าคนที่ไม่ฉลาด ความคิดนึกที่จะต่อต้านมันก็มีมากกว่า เก่งกว่า ลึกซึ้งกว่า มันต่อต้านเพื่อจะรักษาเอาวัตถุนิยมไว้ให้ตามเดิมนั้นไม่มีอะไร เพราะความหลงในวัตถุนิยม เห็นความสุขแต่ในทางวัตถุ นี่ถือว่าพอแล้วไม่ต้องมีอย่างไหนกันอีกแล้ว แล้วเราจะเอาพุทธศาสนาไปยัดเยียดให้เขาอย่างไง นี่! มันมีปัญหาอย่างนี้ ถ้ามันล้างสมองอันเก่าออกไม่ได้ คือสมองแห่งวัตถุนิยมออกไปไม่ได้ ไอ้ธรรมนิยม หรือมโนนิยมนี้มันก็เข้าไม่ติด มันก็ไปปะทะกัน นี่คือปัญหาที่ผมถือว่าเป็นปัญหาหนัก ทีนี้ผู้สนใจจำนวนมากอีกจำนวนหนึ่ง มันก็คือว่าอยากจะลองในฐานะเป็นของแปลก เรียนพุทธศาสนาในฐานะเป็นของแปลก เอากลับไปอวดเพื่อนอวดฝูง ที่บ้านของตัว ทีนี้ที่ต่ำกว่านั้นมันก็มีมาก มีมากทีเดียวที่จะมาเรียนรู้พุทธศาสนาไปเป็นครูสอนในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย เป็นอาชีพตามธรรมดานี่เอง ถ้าอย่างนี้แล้วก็ได้เปลือกของพุทธศาสนาไปเป็นส่วนมาก หรือว่าจะได้เนื้อ ก็ได้เนื้อที่ตัวเองย่อยไม่ออก มันก็ยังมีเปลือกอยู่ ไม่เข้าใจ ย่อยไม่ออก เข้ามาถามเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องวิปัสสนาอะไรก็จำไปทั้งดุ้นๆ หรือว่าแม้แต่จะมาขอคำอธิบายเรื่องอาณาปาณสติ ครบถ้วนทั้งเรื่อง มันก็จำไปในฐานะเป็นไอ้วิชาแปลกประหลาดอันหนึ่ง ไม่ได้แจ่มแจ้งแทงตลอดแล้วก็พูดให้สำเร็จประโยชน์ได้ อันนี้ก็มีมาก เรียกว่าเป็นผู้สนใจในเรื่องแปลก และเป็นผู้แสวงหาโอกาสที่จะเอาความรู้แปลกๆไปใช้เป็นเครื่องประกอบในการดำเนินอาชีพเป็นครู เป็นผู้บรรยาย เป็นผู้อะไรต่างๆ นี่เราก็ต้องรู้อย่างนี้ แล้วเราก็จะไม่หวังเพียงเท่านั้น ฉะนั้นเธอเป็นธรรมทูตพูดอะไรแปลกๆ ให้มันเกิดความตื่นเต้นแบบความรู้แปลกๆ อย่างนี้จะไม่ถือว่าเป็นธรรมทูต หรือเป็นก็ไม่ใช่ธรรมทูตที่บริสุทธิ์ นี่ก็ได้ความว่าไอ้ปัญหาทั้งหลายมันมาจากต้นตอ หรือจากต้นเหตุเพียงนิดเดียว เอ่อ! เพียงคำเดียว คือว่า ไอ้วัตถุนิยมมันครองโลก วัตถุนิยมกำลังครองโลก นี่คือต้นเหตุ มีเพียงอย่างเดียว ไอ้ส่วนที่เป็นปลายเหตุ คือ ปฏิกิริยาไปจากสิ่งนี้มีมากมายนับไม่ไหว นี่เรามัวแก้กันแต่ที่ปลายเหตุ ขอให้มองดูในข้อนี้ให้มาก แม้ที่สุดแต่ที่เราพยายามแก้ แก้ปัญหาทางศีลธรรมของยุวชน วัยรุ่นในประเทศไทยนี้ ก็มัวแก้กันแต่ปลายเหตุ เห็นอยู่ชัดๆ เหมือนจับปูใส่กระด้ง มันก็ยิ่งไม่ได้ เห็น เห็นไหม ลองสังเกตดู มันยิ่งไม่ได้ เลยเป็นอันธพาลยิ่งหนาขึ้นมากขึ้นๆ การแก้แต่ปลายเหตุมันแก้ไม่ได้ แล้วมันยิ่งทำให้ร้ายมากขึ้นๆ มันชินชากันไปแล้ว นึกถึงเรื่องนี้ก่อน นึกถึงเรื่องที่แก้กันแต่ปลายเหตุ เราเพิ่งจะเริ่มงานพุทธศาสนาวันอาทิตย์ หรืออะไรทำนองนี้ขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ โดยไม่หวังว่าจะแก้ที่ต้นเหตุ แล้วก็ยังทำไปไม่ได้เท่าไร ยังไม่ เรียกว่า ยังไม่ปึกแผ่น แล้วก็ยังไม่มีสมรรถภาพพอ แต่มันก็ดี วิเศษกว่าที่จะไม่ทำ มุ่งหมายที่จะแก้กันที่ต้นเหตุ การเกลี้ยกล่อมอย่างอื่นนั้นไม่ ไม่ ไม่ไหว ไปไม่รอด มันเป็นเรื่องหลอกลวง นี้ต้นเหตุแท้ๆ มันอยู่ที่วัตถุนิยมครอบงำโลก คือบุคคลในโลก ทีนี้ปฏิกิริยาเกิดขึ้นมากมายหลายร้อยหลายพันอย่าง จะยกตัวอย่างให้ฟังสักสองสามอย่างแล้วก็จะเข้าใจได้ทั้งหมด เช่นว่า โลกปัจจุบันนี้ มันเป็นโลกของความเห็นแก่ตัว จนจะเรียกได้ว่าเป็นโลกของการสไตรค์ มองการสไตรค์นี้ให้ดีๆ ว่ามันเพื่ออะไร มันเพื่อประโยชน์แก่ความเห็นแก่ตัวที่ไม่รู้จบรู้สิ้นเหมือนกัน ถ้ามองทางหนึ่งก็เห็นว่าเป็นการยุติธรรมที่ชนกรรมาชีพจะสไตรค์เพื่อเรียกร้องประโยชน์ แต่ถ้ามันมีหลักในการที่ว่าจะเรียกร้องจนมีอะไรเท่ากับนายทุน อย่างนี้มันก็ไม่ๆไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ มันก็ไม่พอกิน แล้วมันก็ยิ่งกว่าที่จะไม่พอกิน จึงต้องการที่จะมีอะไรมากเท่ากับนายทุน ไอ้โรคสไตรค์ก็เกิดเป็นโรคระบาด ระบาดทั่วโลก จนกระทั่งไม่เห็นแก่ประเทศชาตินี่ ขอให้พิจารณาตรงที่ว่าการสไตรค์รายใหญ่ หรือกำลังเกิดขึ้นมากขึ้นๆ ในทางที่จะสไตรค์ประเทศชาติ เช่นว่า คนงานรถไฟหรือคนงานไปรษณีย์ หรืออะไรเขาสไตรค์นี่ มันก็เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศชาตินะ และการสไตรค์นี้จะไม่มีหยุด จะขยายตัวไปเรื่อย เพราะว่าไอ้คนเหล่านั้นถูกวัตถุนิยมครอบงำ เขาจะต้องการจะกินดีอยู่ดีไม่มีขอบเขตเหมือนกัน ถึงแม้จะได้รายได้มาพอเป็นอยู่ประทังชีวิตได้ตามแบบของกรรมกร เขาก็ไม่พอใจ ก็ต้องขยายการสไตรค์เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุดน่ะ มันจึงเป็นโลกของการสไตรค์ ถ้ามันได้รับการกดขี่ กดขี่จากนายทุนจริง มันก็ควรจะสไตรค์ และยุติธรรมถูกต้องที่สุด แต่เดี๋ยวนี้การสไตรค์นั้นมันขยายตัวไปไม่มีขอบเขต จนเกินความถูกต้องหรือ หรือว่าชอบด้วยเหตุผล แล้วก็ใช้อำนาจนี้น่ะ ซึ่งมันเป็นอำนาจที่เด็ดขาดเหมือนกัน จนรัฐบาลจะต้องยอม ประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศที่สุภาพที่สุดในประวัติศาสตร์ ก็กลายเป็นดงของการสไตรค์ คือไอ้สไตรค์มันไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น มันทำให้จิตใจของคนอำมหิตมากขึ้นๆ เพราะสไตรค์ทุกทีก็ได้มาทุกที สไตรค์ทุกทีก็ได้มาทุกที ทีนี้ก็เลยระบาดไปถึงไอ้อาชีพชนิดที่ไม่ควรสไตรค์ เหมือนอย่างเมื่อไม่กี่วันมานี้ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เอ่อ! การแพทย์นั้นนายแพทย์จำนวนหลายสิบคนสไตรค์ไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ เป็นเวลากี่วันก็ไม่รู้ ได้โกรธนาง...กิจการ...เอ่อ! ระเบียบของนางพยาบาลที่มีอยู่อย่างไม่ถูกต้องกับความประสงค์ของนายแพทย์ ก็เลยชวนกันสไตรค์ นี้คนไข้จะเป็นอย่างไร คนไข้เหล่านั้นจะเป็นอย่างไร มันก็ต้องแย่เท่านั้นเอง ไอ้สไตรค์อย่างนี้มันก็เรียกว่ามันเกินขอบเขตนะ แล้วก็มาจากวัตถุนิยม ซึ่งเป็นต้นตอเพียงอย่างเดียว ถ้าสไตรค์ ไอ้รถไฟ หยุดเดินไม่ได้ นี้ก็เป็นเรื่องเสียหายทางเศรษฐกิจ นี้ทางไปรษณีย์สไตรค์มันก็เป็นเรื่อง เรื่องยากลำบากบ้าง แต่ถ้าการแพทย์สไตรค์แล้วคนจะต้องนอนตายเป็นแถวๆ แล้วมันก็จะเป็นสิ่งที่ทำลงคอ เป็นเรื่องวัตถุนิยมด้วยเหมือนกัน มีมูลเหตุอย่างเดียวมาจากวัตถุนิยม ทำให้โลกนี้เป็นโลกของการสไตรค์อย่างหลับหูหลับตา ถ้าครูสไตรค์ไม่สอนหนังสือ มันก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้านายแพทย์สไตรค์ไม่รักษาคนเจ็บชั่วเวลา ๒ อาทิตย์ มันก็ ก็หมายถึงความตายใช่ไหม ทีนี้มองอีกทางหนึ่งก็เป็นตัวอย่างว่ามันเป็นโลกแห่งการสำรวยสำราญสำเริง มากขึ้นทุกทีในโลกนี้ ถ้าเราจัดตัวเองไว้ในลักษณะผู้ดี แต่ว่าผู้ดีจัดเกินไปจนสำรวยสำราญอย่างนี้ คือว่ากล่าวกันไม่ได้โดยตรง จะพูดกันตรงๆ ไม่ได้ มันมีเสรีภาพ ใครว่าใครสักนิดหนึ่งก็ไม่ได้ มันต้องใช้วิธีซึ่งเรียกยากเหลือเกิน ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเรียกว่าอะไรดี ก็จะยกตัวอย่างให้ฟัง เช่นว่าจะสอนศีลธรรมสักข้อหนึ่งนี่พูดกันตรงๆไม่ได้ ไอ้เด็กๆ มันจะเตะครู มันก็เลยต้องหาทางออกด้วยการทำหนัง นี่ คิดดูสิ ต้องสร้างหนัง สร้างภาพยนตร์ขึ้นมาเป็นท้องเรื่อง มันมีความมุ่งหมายว่าจะให้มีศีลธรรมข้อใดข้อหนึ่ง แล้วมันดูหนังกันตั้งกี่ครั้งกี่หนมันจะเกิดไอ้ความรู้สึกที่เป็นศีลธรรมข้อนั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไร ผมอ่านหนังสือพิมพ์ ไอ้หนังที่ ที่มาฉายในกรุงเทพฯ บนรถบัสนั้น ก็มุ่งหมายจะสอนไอ้ความกตัญญูกับสิ่งของ ให้รู้จักรักของ นี่ หนังๆ แสดงเป็นเรื่องรถยนต์อาละวาดเพราะเจ้าของไม่รัก ไม่เอาใจใส่ ไม่ปฏิบัติต่อรถยนต์ให้ดี รถยนต์อาละวาดเหมือนกับผีบ้า มุ่งหมายจะสอนเรื่องกตัญญูนิดเดียวน่ะ ต้องลงทุนสร้างหนังขนาดนี้ แล้วมันก็เหลวทั้งนั้นน่ะ มันจะแก้นิสัยอย่างนี้ไม่ได้หรอกเพราะว่ามันมีความเลวมาก แล้วเพียงแต่จะให้ดูหนังเพื่อให้เกิดความรู้สึกนี้ มันเป็นไปไม่ได้ แล้วโลกสมัยนี้มันนิยมมากอย่างนี้ เรียกร้องสิทธิมากอย่างนี้ คืออย่ามาพูดกับกูตรงๆ ว่าต้องประพฤติศีลธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องมาเที่ยวทำหนังให้ดู แล้วในที่สุดมันก็เหลว จะแก้ไขได้หรือไม่ลองไปคิดดูสิ อย่างว่าจะชักชวนประชาชนให้ทำอะไรจริงจังสักหน่อย ก็แต่งเพลงขึ้นมาร้อง ร้องกลางถนนหรือในวิทยุก็ตาม จะชักชวนคนไปในทางใดทางหนึ่ง แม้แต่ทางการเมืองให้นิยมการเลือกตั้ง หรืออะไรก็ตาม มันก็แต่งเพลงขึ้นมาสักบท คล้ายๆกับว่าเสร็จแล้ว สำเร็จแล้ว พูดกันตรงๆ ก็ไม่ได้แล้วต้องไปพูด หรือต้องไปทำอะไรชนิดที่เป็นการประเล้าประโลม นึกขึ้นมาได้แล้วก็จะพูด โลกเดี๋ยวนี้เขาเป็นโรคต้องการให้ประเล้าประโลม หรือจะไปให้ ให้เขาทำอะไร ก็ต้องใช้วิธีการประเล้าประโลม ตัวอย่างเช่นว่าให้เขาเป็นคนรู้จักรักของ มีความกตัญ ความกตัญญูต่อสิ่งที่มีประโยชน์ มีบุญคุณ นี้ก็ต้องใช้วิธีประเล้าประโลมคือ สร้างหนังให้ดู แล้วก็ให้สนุกด้วย ต้องการให้ประเล้าประโลม จนถึงขนาดเป็นโรคจิต เป็นกันทั้งโลก คนที่เขาไปสอนในโรงเรียนโดยตรงนี้ไม่มีใครยอมรับ โลกสมัยนี้ไม่มีใครยอมรับเพราะจิตใจมันกระด้างเหลือประมาณแล้ว มันก็อ้างสิทธิเสรีภาพว่า อย่ามาพูดกับกูในฐานะเป็นครูบาอาจารย์สอนศีลธรรม สอนศาสนา ต้องไปสร้างหนังมาให้กูดู นี่ แล้วก็มีเนื้อเรื่องมุ่งหมายอย่างนั้น ให้กตัญญู หรือว่าให้ซื่อตรงหรือว่าเห็นแก่ประเทศชาติอะไรก็ตาม ทั่วโลกกิเลสมันมาก เหลือประมาณ แล้วไปสร้างหนังให้ดูมันไม่มีประโยชน์ มันแก้ไขไม่ได้ นี่ผู้ที่จะเป็นธรรมทูตต้องไปพิจารณาดูสิ มันมีปัญหาหนักขนาดนี้ สรุปแล้วมันตกเป็นทาสของวัตถุนิยม คือเป็นทาสของภูตผีปีศาจแห่งวัตถุนิยม ผมใช้คำว่าภูตผีปีศาจช่วยจำไว้ด้วย เพราะมันเป็นเรื่องที่จะต้องพูดกันอีกเกี่ยวกับเรื่องผีนี่ นี่คือปัญหาอันแรกที่เราจะต้องรู้ในฐานะเป็นต้นเหตุของปลายเหตุมากมาย ความหวังที่จะแก้ไขได้ก็มีอยู่อย่างเดียวคือว่า ไอ้งานธรรมทูตนี้จะต้องจริงจัง และเป็นปึกแผ่น แล้วก็เข้มแข็งทันกัน ทันกัน เหมือนกับละเฮโรอีนนี่ จะปราบเฮโรอีนนี้ต้องมีวิธีการที่เข้มแข็งมาก เพราะว่ามันเป็นของที่ละยากที่สุด นี้ในโลกนี้ก็เหมือนกัน มันกำลังเป็นติดเฮโรอีนทางวิญญาณ มีความเห็นแก่ตัว โรคความเห็นแก่ตัวลงรกลงรากแน่นหนามหาศาล ฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้ตายทีละแสน มันไม่มีความหมายอะไร ก็ไอ้โรคเห็นแก่ตัวมันขึ้นสมองอย่างนี้ ฉะนั้นงานธรรมทูตจะต้องมีมากน้อยเท่าไร ไปคำนวณดูตามสัดส่วนของมัน ฉะนั้นผมจึงเห็นว่าไอ้เราจะต้องมีธรรมทูต ที่แท้จริงน่ะ แล้วก็มากพอ ไอ้ที่ว่ามากพอนี้จะเอามาจำนวนมากเท่ากับไอ้ของธรรมดาสามัญไม่ได้ ไอ้มากพอนี่หมายความว่ามันมากพออย่างแบบของดีนะ ของดีแม้มีน้อยเอาชนะของไม่ดีแม้มากได้ ก็เป็นพุทธภาษิตด้วยเหมือนกัน สัตบุรุษแม้มีน้อยมันก็ชนะอสัตบุรุษแม้มีจำนวนมากได้ แต่ไอ้คำว่าน้อยในที่นี้ มันก็หมายความว่าต้องมากพอ แล้วก็ต้องจริงจังด้วย แล้วจะต้องเป็นธรรมทูตที่แท้จริงนะ เป็นธรรมทูตที่ทำงานธรรมทูต เป็นธรรมทูตบริสุทธิ์ผุดผ่องทั้งเนื้อ ทั้งๆ ...( นาทีที่ 56.04 -56.13 ) ดังที่พระพุทธเจ้าท่านหวัง จงไป จงไป นี้ ด้วยความเสียสละ ฉะนั้นไอ้เรื่องอุปสรรคยากลำบากนั้นไม่ต้องพูดถึง ผมถือเป็นหลักว่าถ้าจะให้งานธรรมทูตได้ผลเท่าไร ต้องมีความลำบากมากเท่านั้น นี่จริงหรือไม่จริงขอให้ช่วยจำไปด้วยสำหรับผู้ที่จะเป็นธรรมทูต มันได้ผลมากเท่ากับความลำบากที่จะต้องเสียสละออกไป แม้แต่การค้นคว้าก็ดี ในการทดสอบอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี กระทั่งการลงมือทำก็ดี ให้เป็นธรรมทูตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ถูกต้องตามความหมายของคำว่าธรรมทูต อย่าเป็นธรรมทูตการเมือง อย่าเป็นธรรมทูตเอาหน้า อย่าเป็นธรรมทูตสมัครเล่น อย่าเป็นธรรมทูตทัศนาจรเหมือนที่เป็นกันอยู่โดยมาก ไอ้ธรรมทูตการเมืองนี้ระบาดไปทั่วโลก ที่ทำก่อน ที่ทำก่อนก็คือธรรมทูตมิชชันนารีฝรั่งน่ะ ที่มาเผยแผ่ศาสนาของเขาในบ้านเรา นี่เป็นการเมืองทั้งนั้นเลย พวกมิชชันนารีถูกส่งออกเป็นพวกแรกที่มาหาลู่ทาง ที่ประเทศมหาอำนาจของเขาจะมายึดครองเราได้โดยที่ละมุนละม่อมอย่างไร นี้น่ะเห็นชัด มีปรากฏชัดอยู่แล้วในประวัติศาสตร์ จะมาทำให้คนแตกกันหรือว่าอะไรก็ต่างๆน่ะ ไอ้ธรรมทูตการเมืองนี้มีมาก แล้วเขาก็กำลังใช้กันอยู่แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ใช้มิชชันนารีเป็นเครื่องมือทางการเมือง ด้วยเจตนาทุจริต เป็นว่าพวกเราทำไม่ได้ ทำไม่ได้โดยเด็ดขาด มันสูญเสียความเป็นธรรมทูต มันขบถทรยศต่อพระพุทธเจ้า ไม่เป็นธรรมทูตการเมือง ไอ้ธรรมทูตเอาหน้าหรือเอาประโยชน์นี้ มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน จะต้องชำระชะล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ว่าเราทำนี้ไม่ใช่เพื่อเอาหน้า ไม่ใช่เพื่อเอาเกียรติ ไม่ใช่เพื่อเอาประโยชน์ กำลังเสียสละ แม้กระทั่งชีวิตก็สละได้ ถ้ามันสมควรที่จะต้องสละ เพื่อให้ธรรมะมันช่วยโลกให้รอด เราเสียชีวิตคนเดียวไม่เป็นไร ถ้ามันเป็นที่ประจักษ์หรือพิสูจน์ได้ว่ามันจะช่วยคนจำนวนมากให้รอด แล้วชีวิตของเราก็ต้องยอมเสียสละ ตามอุดมคติของโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนา อุดมคติโพธิสัตว์นั่นคืออุดมคติธรรมทูตที่ลึกซึ้งที่สุด ยอมเสียสละชีวิตเพื่อให้คนอื่นรอด ทีนี้ธรรมทูตเอาหน้าเอาประโยชน์ หรือเอาเกียรติ อย่างนี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน นี้ธรรมทูตสมัครเล่นเพราะว่ามันสนุกดี หรือว่าลองดู อย่างนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ หรือว่ายังทำอะไรไม่ได้ พูดอย่างนั้นไม่ถูก แม้กระทั่งธรรมทูตทัศนาจรนี้มันมีอยู่มาก ก็มีปัญหาว่าจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง มันก็ควรจะยอมกันในข้อที่ว่าทีแรกก็ไปอย่างทัศนาจรก็ได้เหมือนกัน แต่แล้วก็ไปพบไอ้สิ่งที่มันดีกว่านั้น ฉะนั้นก็กลายเป็นว่าเราเปลี่ยนความมุ่งหมายจากทัศนาจรเป็นไอ้ทำประโยชน์ด้วยความเสียสละ อย่างเดียวกับที่ว่าเราบวชกันนี้ กล้าพูดได้ว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ มันบวชตามธรรมเนียม ตามประเพณี ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จึงลองดู สมัครเล่นลองดู เขาว่าดี หรือธรรมเนียมมันว่าดี ก็บวชเข้ามาตามธรรมเนียมประเพณี แต่พอมาแตะต้องกับพระธรรมอันศักดิ์สิทธ์เข้า มันก็เปลี่ยนเป็นเกิดการเสียสละ กลายเป็นผู้ทำงาน เอ่อ! กลายเป็นผู้บวชผู้เรียน ผู้อะไร โดยถูกต้องประกอบด้วยธรรมะตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการได้เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าท่านมาสมัครเป็นธรรมทูตด้วยหวังอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามธรรมเนียมหรือว่าตามอะไรก็ตามในตอนแรก ก็ต้องรีบเปลี่ยนให้มันเข้าที่จุดหัวใจของงานธรรมทูตของพระพุทธเจ้า แล้วก็อธิษฐานจิต อธิษฐานจิตอย่างแน่นแฟ้น อย่างเสียสละชีวิตนี้เพื่องานธรรมทูต เพราะมันเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด นอกนั้นมันเป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องๆ ลูกกวาด แล้วก็เด็กๆทั้งนั้น จะมีเกียรติ หรือว่าจะได้ชื่อเสียง หรือว่าจะได้ประโยชน์ หรือว่าจะได้ทัศนาจร หรืออะไร มันเป็นเรื่องของเด็กเล่นทั้งนั้น ไอ้ของจริงก็คือว่าจะไปยกวิญญาณของสัตว์โลกให้มันสูงขึ้น มันต้องมุ่งหมายข้อนั้น เราทำจนเสียชีวิต เอ่อ! เองก็ยอมได้ เพื่อจะยกวิญญาณของสัตว์โลกให้มันสูงขึ้น ให้เป็นวิญญาณที่สะอาด สว่างและสงบ คนนั้นก็รอดตัวไป หลุดพ้นไปได้ ในเมื่อหลายๆคนเป็นอย่างนี้โลกก็มีสันติภาพ นี่จึงว่าเพื่อความสุขของมหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ ในการขอร้องเมื่อส่งภิกษุชุดแรกออกประกาศพระศาสนา วันนี้เราพิจารณากันถึงไอ้ปัญหาที่ว่างานธรรมทูตจะต้องประสบ คือสถานการณ์ของโลกแห่งยุคปัจจุบัน ที่เป็นเป้าหมายของคณะสงฆ์ที่จัดงานธรรมทูตนี้ขึ้น ขอให้พิจารณาด้วยดี ในข้อนี้เป็นข้อแรก แล้วข้อต่อไปก็จะสว่างไสวแจ่มแจ้ง นี้มันง่ายไปในตัวมันเอง นี่เวลาของเราก็หมดตามที่กำหนดไว้