แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการพูดกันครั้งแรกนี้คงจะยังไม่พูดเรื่องวิชาการอะไรมากนัก จะพูดที่เรียกว่าทำความเข้าใจกันในเบื้องต้น หรือที่เรียกว่าปฐมนิเทศทำนองนั้นมากกว่า เรื่องการอบรมธรรมทูต ผู้ที่จะเป็นธรรมทูตนั้นเคยมีมาแล้วที่นี่สองครั้ง เป็นของทางการคณะสงฆ์อบรมธรรมทูตไปต่างประเทศ ก็เลยให้มีการทดลองด้วย ไม่ใช่เพียงอบรมวิชาการอย่างเดียว ทดลองการเป็นอยู่ที่เรียกว่ามันต้องอดทน ลำบากตรากตรำอะไรบ้าง ที่คนที่เป็นธรรมทูตจะต้องได้รับ เขาถือกันว่าการไปในที่ต่าง ๆ เหล่านั้นมันก็ต้องได้รับความลำบากเป็นแน่นอน จึงมาฝึกฝนการเป็นอยู่ธรรมดา ๆ แบบครั้งพุทธกาล มันก็มีผ้าปูนอนเป็นพลาสติกแล้วก็ห่มจีวร ไม่มีมุ้งไม่มีกลด ถ้าฝนตกก็หนีเข้าไปในที่ร่มที่มีหลังคา นอนกลางหาวกลางสนามหญ้าที่ค่ายลูกเสือ ปรากฏว่าไม่มีใครเป็นอะไรตลอดเวลาตั้ง ๑๕ วัน ๒๐วัน แล้วได้ฝึกฝนในเรื่องอยู่กลางหาวทุกอย่าง จึงมีการบรรยายทางวิชาการอะไรบ้าง ฉันอาหารแบบง่ายที่สุด ไปบิณฑบาตสักจำนวนหนึ่งไม่ต้องไปกันทั้งหมด แล้วมาแบ่งกันฉัน เหมือนเรื่องราวในพระคัมภีร์ แม้ยุคแรกที่สุดเช่นยุคอยู่กับปัญจวัคคีย์ก็ไม่ได้ไปบิณฑบาตกันทั้งหมด ไปองค์สององค์มาแบ่งกันฉัน ก็ดูดีอยู่เหมือนกัน แต่พอครั้งนี้เราจะไม่ทำมากเหมือนถึงอย่างนั้น แต่ก็คงจะมีอะไรที่ผิดธรรมดาบ้างนะ เรื่องขบฉันเรื่องนอนเรื่องอะไรต่าง ๆ เพื่อจะได้ระลึกนึกถึงการเป็นอยู่ครั้งพระพุทธกาล จะไม่ลืมในข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน อยู่กลางดิน กุฏิพื้นดินอะไรทำนองนั้น ดังนั้นเราควรจะเอามาทำในใจ ให้เป็นสิ่งที่แจ่มแจ้งชัดเจน ประสูติใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ สอนใต้ต้นไม้ อยู่ใต้ต้นไม้ นิพพานใต้ต้นไม้ สิ่งเหล่านี้ก็ควรจะได้ซึมซาบแก่ใจเป็นอย่างดี ในบาลีไม่เคยค้นพบที่ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงมีมุ้ง หรือมีกลด หรือมีทำนองนี้ไม่เคยพบ ใช้จีวรนั่นแหละเสมือนมุ้งเสมือนกลดที่เขาใช้กันเดี๋ยวนี้ เราควรจะเตรียมตัวเองให้มันเข้ากันได้กับชีวิตแบบนี้ จึงจะเรียกว่ามีเดิมพันพอสำหรับจะทำงานนี้คืองานธรรมทูต จึงต้องได้ทุกอย่างแหละ มันจะมีอาหารอย่างไร มีที่นอนอย่างไร อะไรอย่างไร ถ้าจะเป็นนักเผยแผ่ธรรมทูตจริง ๆ สมบูรณ์แบบ เราคงไม่ได้ทำถึงขนาดนั้น แต่ก็ควรทราบควรรู้
ผมเองเคยคิดถึงว่าเราอาจจะต้องเป็นธรรมทูต กลับไปเผยแผ่ในประเทศอินเดีย คืน คืนธรรมมะให้อินเดีย แล้วก็ไปสังเกตการณ์ดู อู้,มันก็ต้องแน่นอนแหละ มันจะต้องเผชิญกับการเป็นอยู่แบบนี้ มันจึงจะไปสู้เขาได้ ถ้าหวังจะไปกินสบาย นอนสบาย สบายไปหมดแล้วก็ไม่มีทางหรอก เพราะเขาไม่ต้องการนี่ เพราะเขาไม่ต้องการนี่ ไอ้เราต่างหากที่ต้องการที่จะเอาไปให้เขา ทั้ง ๆ ที่ผมไปเที่ยวอย่างมีปัจจัยใช้อะไรใช้ ก็ลองดู บางวันลองดูว่ามันจะมีอะไรบ้าง มันไม่ได้ไปตามนัดหรือได้ตามนัดเสมอไป บางทีก็ค่ำแล้วก็ยังไม่มีใครที่นัดไว้จะมาพบได้ เข้าไปอาศัยบ้านของคน ๆ หนึ่ง ได้นอนที่คอกม้า เอาเสื่อปูทับขี้ม้าแห้ง ๆ แล้วนอนนั่นแหละ อย่างนี้ นี่ไม่ใช่เราไปเผยแผ่แต่ว่าเราไปลองสังเกตการณ์ดูว่ามันจะมีอะไรบ้าง มันไม่เหมือนบ้านเราที่เราจะเอายังไงก็ได้ อันนี้ไปเผยแผ่ต่างประเทศในถิ่นไกล ตามเหตุตามปัจจัย ตามบุญตามกรรม ข้อนี้รวมความว่าต้องฝึกฝนการอดทน และการเป็นอยู่อย่างต่ำที่สุดเข้าไว้ให้เพียงพอ จะเป็นเรื่องการเผยแผ่ต่างประเทศก็ตาม เผยแผ่ในประเทศเราก็ตามมันควรจะทำได้ เช่นเราจะนัดไปเทศน์ ไปสนทนาธรรมอะไรกันที่หัวไร่ปลายนาที่ตรงไหนก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะบนศาลาบนตึกบนอะไรเสมอไป นี่ต้องฉันอาหารชนิดที่พออยู่ได้ ประทังชีวิตไปได้ อันนี้มันไม่ใช่แกล้งทำให้มันวิเศษเกินครูเกินอะไรไม่ใช่ มันคือระดับธรรมดาของพระพุทธเจ้าและของพระสาวก ดังนั้นรวมความว่ากินยังไงก็ได้ นอนยังไงก็ได้ อยู่ยังไงก็ได้มันไม่ตาย แล้วก็มุ่งหมายแต่จะทำหน้าที่ ดังนั้นขอให้ตั้งใจฝึกฝนกันตามสมควรเท่าที่จะฝึกได้ อย่างเรื่องอาหารบิณฑบาตนี่แบ่งไปสัก ๑๐ รูปไปบิณฑบาต ที่นัดไว้กับชาวบ้าน ๑๐ รูปเอามาให้เต็มบาตร ๆ แล้วก็ฉันพอสำหรับ ๓๐ รูปเลย บาตรหนึ่งสามองค์ได้ นี่เขาทำกันอยู่ในครั้งพระพุทธกาล ไหน ๆ จะฝึกแล้วก็ฝึกเสียให้ถูกทุกอย่างเท่าที่จะฝึกได้ อ่อนแอมันก็เสียหมดนะ เพราะจิตใจอ่อนแออะไรต่าง ๆ ก็มืดมัวหมด แม้แต่ความรู้มันก็มืดมัว ถ้าเรามีจิตใจอ่อนแอขี้ขลาดขี้กลัวหิวข้าวร้องไห้อย่างนี้ มันมีแต่เด็ก ๆ เท่านั้นที่หิวข้าวแล้วก็จะร้องไห้ คนตัวโตมันมีไม่ได้ ดังนั้นขอให้ฝึกให้มีความปกติ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นให้มีความปกติที่สุด ใจคอปกติ(ไฟล์ชำรุด นาทีที่ 12.43-13.12)เหมาะสำหรับจะทำอะไรก็ได้ เมื่อต้องอดทนก็ทนได้ เมื่อต้องสั่งสอนก็สั่งสอนได้ดี ถ้ามีใจคอปกติ ถ้าไม่ปกติแล้วมันก็มืดมัวติดขัดไปหมด ดังนั้นเป็นการจำเป็นหรือมีเหตุผลทีเดียวที่ว่าเราจะฝึกความเป็นผู้ปกติ ใจคอปกติ อะไร ๆ ก็ปกติ ทนทานแบบธรรมชาติอย่างสมัยพุทธกาลอย่างนี้ นี่ก็เรื่องหนึ่งที่จะต้องพูด ก็ฝึกฝนให้ตน ร่างกายนี่ ให้มันเข้ารูปกันกับการที่จะเป็นธรรมทูต
ทีนี้พูดถึงคำว่าธรรมทูตกันบ้าง มันเพิ่งเกิดมีคำใช้ขึ้นมาเร็ว ๆ นี้ธรรมทูต ผมก็จะไม่อวดว่าเป็นผู้คิดคำนี้ขึ้นมา อาจจะมีคนอื่นคิดก็ได้แต่ว่าเราเริ่มใช้ เป็นที่รู้จักมากกว่าใคร ๆ คำว่าธรรมทูต แล้วที่อินเดียที่นู่นเขาก็ใช้ (ไฟล์ชำรุดนาทีที่ 14.30-16.47)กันมาก่อน เราได้ยินได้อ่านพบแล้วก็เกิดใช้ขึ้นในเมืองไทย ทีนี้คนที่เขาไม่เห็นด้วย หรือนักค้านนักขัดคอ เขาล้อว่าธรรมทูตเป็นประทุษร้าย ทู-ตะคือผู้ประทุษร้าย ธรรมทูตคือผู้ประทุษร้ายธรรมมะ ก็เลยต้องทำความเข้าใจใหม่ว่าไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ทู-ตะ ประทุษร้าย ทู-ตะ สื่อสารต่างหาก ธรรมทูตสื่อสารธรรมะให้ถึงกับเข้ากับคน ธรรมะของพระธรรม ของพระพุทธเจ้าก็ยังนับว่าธรรมมะของพระธรรม สื่อสารให้มันถึงคน เป็นคนต้องตั้งตนอยู่ในธรรม คือหน้าที่ของธรรมทูต ผมชอบใจไอ้คำพูดของพระเยซูที่มีความหมายของคำว่าธรรมทูตดีมาก เพราะพระเยซูเป็นผู้ที่แน่ใจว่ารู้แล้วเป็นผู้รู้แล้ว คือตรัสรู้ มีพระเจ้าสิงสถิตอยู่แล้วก่อนแต่ที่จะมีสาวก พระเยซูมีสาวกชั้นนำ ๑๓ องค์ สี่ห้าองค์แรกนี่มีเรื่องเล่าว่า เมื่อพระเยซูเข้าไปที่ชายทะเล ที่หมู่บ้านซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมง ไอ้สี่ห้าคนนี้เป็นชาวประมง เตรียมเรือเตรียมอวนเตรียมอะไรจะออกจับปลาอยู่แล้ว พอพระเยซูไปถึง (ไฟล์ชำรุดนาทีที่ 17.26-19.04)พระเยซูก็บอกเขาว่า อย่าไปจับปลาเลยมากับเราเถิด เราจะให้จับคน มากับเรามาไปจับคนด้วยกัน แล้วสามสี่คนนั้นก็พอใจนะ มอบเรือมอบอวนอะไรให้ญาติพ่อแม่ ไว้ที่บ้านแล้วตัวเองก็ออกเดินทางไปกับพระเยซู ตามคำชักชวนของพระเยซู ไปเป็นผู้จับคน เมื่อสี่ห้าคนนี้อยู่ในสาวก ๑๓ คนของ. ถ้าตามความหมายของคริสตังนี่ก็จับคนก็ถูก จับคนมาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ไอ้คนทั้งหลายธรรมดามันไม่ได้อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่นับถือพระเจ้า ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเจ้า แล้วก็ต้องจับออกมา ต้องไปจับเอามันมา มาอยู่ในคอก จะเรียกว่าคอกก็ได้ ก็ในอาณาจักรของพระเจ้าที่เขาจะต้องอยู่อย่างนี้ ๆ ๆ แล้วก็กลายเป็นคนที่อยู่กับพระเจ้าในอาณาจักรของพระเจ้า จะรอด เขาใช้คำว่ารอด เขาก็รอดคือรอดจากความทุกข์ รอดจากสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลาย เพราะว่าพระเยซูไปจับเขาเอามาใส่ไว้ในที่เก็บนะ เหมือนคนไปจับปลา ไปจับปลามาใส่ไว้ในที่เก็บ นี่ก็ไปจับคนมาใส่ไว้ในที่เก็บ เรียกให้เพราะให้ไพเราะก็เรียกว่าระเบียบ หรือระบอบธรรมวินัย จงอยู่กันอย่างนี้ ทำกันอย่างนี้ ปฏิบัติกันอย่างนี้ เหมือนที่เราเรียกว่าพรหมจรรย์ มันเป็นระบอบปฏิบัติ จะเรียกว่ากรอบก็ได้ จะเรียกว่ากรงก็ได้ จะเรียกว่าคอกก็ได้ ในความหมายอื่นคือความหมายที่ปลอดภัย ไม่ใช่ในความหมายที่กักขัง คุณจะเป็นธรรมทูตทั้งทีก็ดูให้ดี คำว่ากรงนี่มันมีความหมายอย่างน้อยก็ได้กักขัง ก็ได้ นี่ก็ลำบาก ทนทุกข์ จะปลอดภัย ไม่มีอะไรเข้ามาทำอันตรายได้นี่มันก็ดี จับคนมาใส่ไว้ในที่ปลอดภัย ทำคนให้ถึงกับพระเจ้านี่เรียกว่างานของธรรมทูต
ทีนี้มาดูทางของเราบ้าง พุทธศาสนานี่มันก็มีความหมายอย่างนั้นนะ คือประชาชนทั่วไปเขาอยู่อย่างไม่ปลอดภัย เพราะเขาไม่รู้อะไร เขาอยู่ด้วยอวิชชา อยู่อย่างไม่ปลอดภัย เราทำหน้าที่เหมือนกับไปจับเขามาใส่ไว้ในขอบเขตที่มันปลอดภัย เหมือนการไปเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ก็เหมือนกับไปจับคนมา อย่างเขาจับปลาแต่ไม่ได้เอามาแกง เอามาให้สู่ความปลอดภัย ถ้าเราไปทำสำเร็จ ไปสอนเขา อบรมเขา เขาเชื่อเรา เขาก็มาอยู่ในขอบหรือในเขต ในระบอบหรือว่าในกรง ก็แล้วแต่จะเรียก ที่มันปลอดภัยจนตลอดชีวิต ก็เรียกว่ารอดเหมือนกัน เป็นผู้รอดได้เหมือนกัน รอดจากความตายทางจิตทางวิญญาณ จิตวิญญาณเขาจะไม่ตายอีกต่อไป เมื่อจิตไม่ตายก็เหมือนกับว่าร่างกายมันก็ไม่ตายอย่างนั้น ถ้านึกอะไรไม่ออก ก็นึกถึงว่านี่เราไปจับคนมาใส่ไว้ในที่ปลอดภัยของพระพุทธเจ้า ในฐานะเป็นผู้เปิดเผยเป็นคนแรก ที่แท้ก็ของพระธรรม แต่ของพระธรรมคือกฎของธรรมชาติ เหมือนกับว่ามีความหมายเท่ากับพระเจ้าของพวกอื่น ที่เขามีพระเจ้าในศาสนาของเขาเป็นสิ่งสูงสุด
พระเจ้าส่งพระเยซูซึ่งเป็นเหมือนบุตรของท่านลงมาจัดการกับมนุษย์โลก พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบ ที่จะทำให้มันดีมีประโยชน์ปลอดภัย ก็ส่งพระเยซูมาในฐานะเป็นพระบุตร มาทำหน้าที่อันนี้ แล้วพระบุตรก็มาชวนคนจับคน ที่นั่นมันมีแต่คนชาวประมง ไอ้แผ่นดินตรงนั้น ฉะนั้นสาวกของพระเยซูก็เป็นชาวประมงเป็นส่วนใหญ่ เขาก็ยังทำกันได้ กับประชาชนที่ไม่ค่อยมีการศึกษาอะไรนัก ไม่เหมือนในอินเดียที่ประชาชนมีการศึกษามาก แล้วประชาชนคนละแบบ มันสอนกันเหมือนกันไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดีพระเยซูก็ทำได้สำเร็จ ในการช่วยคนชั้นชาวประมงเข้ามาหาธรรมะ ตามหลักของคริสต์ธรรมได้ ต้องสรรเสริญพระเยซูเป็นอย่างยิ่ง ในงานนั้นมันยากมากนะ คืออบรมสอนไอ้คนที่ไม่มีการศึกษาอะไรมาได้ ก็เก่งกว่าที่จะไปสั่งสอนอบรมในหมู่คนที่มีการศึกษา ไม่พูดดีกว่าพูดไปแล้วมันกระทบกระเทือนว่าพระพุทธเจ้าสอนประชาชนในอินเดียนั้นล้วนแต่เป็นนักศึกษารุ่งเรืองด้วยการศึกษาทั้งนั้น ท่านก็ประสบความสำเร็จ เรียกว่าประสบความสำเร็จ แต่พระเยซูนี่เขาสอนคนที่ไม่มีการศึกษาเป็นชาวประมงหาเช้ากินค่ำนั้นก็ยังประสบความสำเร็จตามแบบของท่าน ฉะนั้นความเก่งกาจของท่านก็ไม่น้อย ที่เอามาเล่าให้ฟังนี่ก็เพราะผมชอบคำพูดคำนั้นแหละ ว่ามาไปจับคนด้วยกันดีกว่าจับปลา
ก็อยากจะให้พวกเราทุกคนถือคติอันนั้นด้วยเหมือนกัน เพราะถ้าธรรมทูต คณะธรรมทูตยกกองออกไปทำงาน มันจะมีความหมายเหมือนกับว่าจับคนออกมาจากไอ้ความเป็นอยู่ที่ไม่ปลอดภัย ที่มีแต่ความทุกข์เข้ามาอยู่เสียในกรอบในระบอบที่มันปลอดภัยไม่มีความทุกข์ นี่พูดเป็นภาพพจน์ เขาเรียกว่าภาพพจน์ให้เห็นภาพ การกระทำที่เป็นนามธรรม เราเอามาพูดให้เหมือนเป็นภาพพจน์ เหมือนกับเป็นวัตถุ เป็นไอ้ของแข็ง จับคนมาเสียจากสภาพเดิม ๆ ของเขาที่ไม่ปลอดภัยมาอยู่ในที่ใหม่ที่ปลอดภัย เอ้า,คราวนี้มันก็มีปัญหาเรื่องวิธีจับ ถ้าจับปลามันก็ใช้อวนบ้างใช้อะไรบ้างก็จับ ที่เราจะใช้อะไรเหมือนกับว่าเครื่องมือการประมง เช่น อวนเป็นต้น นั่นก็คือระบบธรรมมะ ระบบธรรมมะที่เราเล่าเรียนกัน แต่เราจะเข้าถึงความหมายอันนี้จริงหรือไม่ เราจะสามารถใช้มันได้ตามนั้นจริงหรือไม่ เราจะใช้ธรรมมะเหมือนกับอวนจับคนในโลกมา มาอยู่ในที่แห่งใหม่กัน คือในโลกใหม่ มันจะมีสภาพเหมือนกับเกิดใหม่ ไอ้เรื่องการศึกษานี่มันเหมือนกับทำให้เกิดใหม่ การศึกษาอย่างโลกโลกก็ดี การศึกษาอย่างทางธรรมะศาสนาก็ดี มันเหมือนกับทำให้คนเขาเกิดใหม่ คือเขาเปลี่ยนหมดมันก็เหมือนกับเกิดใหม่ นี่คือการที่มาอยู่เสียในโลกอื่น
ดังนั้นถ้าเราไอ้ธรรมทูตนี่ไปทำให้เขามีการเกิดใหม่อย่างนี้ได้นั้นคือความสำเร็จ แต่ทีนี้เราก็ทำแบบจับปูใส่กระด้งมากี่ปีกี่สิบปี ทำอย่างจับปูใส่กระด้งไม่ประสบความสำเร็จ จงมีความหมาย มุ่งหมายเหมือนกับว่า จับคนมาได้ประสบความสำเร็จ มาอยู่ในชีวิตใหม่ ไอ้ชีวิตเก่านั่นมันชีวิตธรรมดาไม่มีคุณค่าความหมายอะไร อยู่ในชีวิตใหม่ ถ้าเราไม่เข้าใจว่าจะทำได้แล้วก็แปลว่าเราก็ไม่รู้ยังไม่รู้ธรรมมะนั่นเอง ถ้าเรารู้ธรรมมะเพียงพอเราจะมองเห็นว่าทำได้ ทำให้คนเกิดใหม่เปลี่ยนชีวิตใหม่ไปอยู่ในสภาพอย่างอื่น นี่พวกเราโดยส่วนมากนี้ก็เรียนบาลีกันมาแล้ว เรียนนักธรรมมาอย่างไม่ค่อยรู้บาลีบ้าง ผมอยากจะบอกไอ้คำสำคัญพิเศษสักคำนึง ซึ่งมันเกี่ยวข้องกันอยู่กับเรื่องนี้ที่ทำให้สำเร็จได้ คือคำว่า ทิฐิ ไปนึกถึงคำวิชาบาลีวิชาธรรมะอะไรก็ตามที่เรียนมาแล้วแต่หนหลัง คำว่าทิฐิคืออะไร คำนี้สำคัญมากแหละ ไม่ใช่ผมอยากจะเอามาพูดให้เสียเวลา ถ้าพูดไปก็จะประณามว่าไอ้ส่วนมากมันไม่รู้นะไม่รู้เรื่องนี้นะมันจึงทำไม่สำเร็จ
ไอ้คำว่า ทิฐิ ถ้าเป็นในภาษาไทย ไม่ถูกใช้ไม่ได้ มันหมายถึงทิฐิมานะเย่อหยิ่งจองหอง ทิฐิคำนั้นไม่เอา เพราะเป็นภาษาไทย นี่ก็คำว่าทิฐิในภาบาลีเดิมโดยตรง ทิฐิ เขาแปลว่าความเห็น ความเห็นที่ยังเป็นคำกลาง ๆ ไม่ใช่สัมมาหรือมิจฉา ยังไม่ใช่สัมมายังไม่ใช่มิจฉา ยังเป็นทิฐิเป็นความเห็น นี่คือสิ่งที่เป็นตัวปัญหาแหละ เป็นตัวปัญหาของพวกธรรมทูต ถ้าเราทำเรื่องทิฐินี้ถูกต้องเราก็จะสำเร็จประโยชน์ในหน้าที่ของธรรมทูต คำว่าความเห็นนั้นมันไม่ใช่ความเห็นของคนใดคนหนึ่ง หรือแยกออกไปต่างหากจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง คำว่าความเห็นนั้นมันคือตัวบุคคลนั่นเอง คนนั้นมันมีได้เท่าที่ทิฐิของเขามีอย่างไร ไอ้ทิฐินั่นแหละคือตัวเขา ถ้าคุณมองเห็นเรื่องนี้ได้ก็จะดี ยังรู้ยังพอ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าทิฐินั่นแหละคือตัวเขา ไม่ใช่ทิฐิของเขา เรามักจะเข้าใจทิฐิของเขามีสัตว์ มีบุคคล อันนี้จากของทิฐิ ทิฐิของเขา มันพูดเป็นสมมุติไปแล้ว พูดหลับตาเป็นมีสัตว์มีบุคคลไปแล้ว ที่ไปดูที่ของจริง ไอ้คนมันมีทิฐิอย่างไรแล้วมันจะคิดอย่างนั้น แล้วมันจะพูดอย่างนั้นมันจะทำอย่างนั้น ฉะนั้นทุกอย่างที่มันมีอยู่เป็นอยู่ กระทำอยู่อะไรอยู่มันก็คือผลของทิฐิของเขา ดูตัวเราเสียทีก็ได้ว่า ไอ้เราก็คือทิฐินั่นแหละ คือทิฐิของเราที่มันมีอยู่อย่างไรนั่นคือตัวเรา ถึงแม้ว่าจากความคิดว่าตัวตนว่าของตนนั้นมันก็เป็นทิฐิเหมือนกันแหละ โดยอัตตานั่นก็ทิฐิ แล้วก็มีทิฐิตามเห็นว่าเรา แต่เดี๋ยวนี้ผมจะพูดให้มันชัดลงไปกว่านั้นว่าไอ้ตัวทิฐินั่นคือตัวเราหรือตัวคนนั้น ตัวใครก็ตามก็คือทิฐิของเขา
ขอร้องให้ไปใคร่ครวญไปทำวิปัสสนา ขนาดทำวิปัสสนาให้เห็นว่าไอ้ทิฐินั่นคือตัวคนนั้น ทิฐินั่นคือตัวคน ตัวคน ๆ นั้น ทุกคนมีทิฐิเป็นตัวเป็นตนของเขา เขาจะคิดจะพูดจะทำจะอะไรทุกอย่างตามทิฐิทั้งนั้น เหมือนเขาจะรู้สึกเสวยเวทนาเกิดกิเลสตัณหาอะไรก็มันก็เป็นทิฐิของเขาทั้งนั้น เพราะนั้นมันจะเป็นสัมมาที่ถูกต้องเขาก็เป็นคนดี ถ้าเป็นมิจฉามันผิดไปเขาก็เป็นคนชั่ว แต่ชีวิตแท้ ๆ ของเขาก็คือทิฐิของเขา เขามีความเห็นอย่างไรก็มาจากเวทนาที่เขาสัมผัสตั้งแต่เขาคลอดออกมาจากท้องแม่ เมื่อเขาคลอดออกมาจากท้องแม่เขาสัมผัสเวทนาอะไร เวทนาเหล่านั้นทั้งหลายมันจะเป็นบ่อเกิดแห่งทิฐิให้แก่สัตว์นั้น จิตใจนั้น นามรูปนั้น ว่าไอ้นี้เป็นอย่างนี้ ไอ้นี้เป็นอย่างนี้ ไอ้นั้นเป็นอย่างนั้น ดังนั้นเขาจึงมีทิฐิต่อมาจากความรู้ซึ่งเป็นเวทนา เวทนาให้เขารู้สึกอย่างไรเขาสรุปเอาความหมายของมันมาเป็นทิฐิก็ถือไว้ว่าอย่างนั้น ๆ ๆ มีความเห็นว่าอย่างนั้นว่าตัวเรา ว่าของเรา ว่าพ่อแม่ของเรา ว่าบ้านเรือนของเรา ว่าเอร็ดอร่อยว่าไม่อร่อย ว่าค่ำว่ามืด ว่าเดือนว่าปี ว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เขาจะได้แวดล้อม ได้รับการแวดล้อมเป็นความรู้ ฉะนั้นทิฐินี้ก็มากขึ้น ๆ ๆ เป็นกลุ่มเป็นก้อนมากขึ้น ๆ จนมามากมายแหละแล้วมันก็คือตัวบุคคลนั้น ทิฐิคือตัวบุคคลนั้น
ผมอยากจะอวดว่าพวกคุณก็คงไม่เคยคิดอย่างนี้ หรืออาจจะไม่เคยฟังอย่างนี้ก็ได้ หรือไม่อาจจะคิดอย่างนี้ด้วยตนเอง ผมก็ไม่พบในพระบาลีที่ว่าอย่างนี้ แต่ผมก็พบจากความรู้สึกที่ทำกับสิ่งเหล่านี้มาเป็นสิบ ๆ ปีนี่ มองเห็นว่าไอ้ที่มันเรียกว่าทิฐินี้มันประหลาดมาก มันก็คือตัวบุคคลนั้น ทั้งหมดรวมอยู่ที่คำว่าทิฐิ ของเขา จะดีจะชั่วจะผิดจะถูกก็ปนกันยุ่งไปหมด ฉะนั้นคน ๆ หนึ่งก็คือทิฐิของคน ๆ นั้นนั่นเอง ถ้ามองเห็นข้อนี้ได้ก็เรียกว่ามันเข้ามา มันง่ายเข้ามาตั้งครึ่งตั้งค่อนแล้ว เพราะว่างานธรรมทูตมันก็คืองานเปลี่ยนทิฐิเท่านั้นเอง ที่มันเป็นมิจฉามันก็เปลี่ยนให้มันเป็นสัมมาเท่านั้นเอง มันกลายเป็นเปลี่ยนคนเลย นี่คนจึงถูกเปลี่ยนคนจึงย้ายสภาวะย้ายอะไรหมด จนกระทั่งว่าบรรลุนิพพานก็ได้ กระทั่งไปอยู่กับพระเจ้า ไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าก็ได้
ขอให้ดูเถอะคน ๆ หนึ่งแต่ละคนทุกวัน ๆ มันทำอะไรไปตามทิฐิทั้งนั้น จะพูดจาอะไรก็ดี จะทำการงานก็ดี จะคิดนึกจะค้นคว้าจะศึกษาก็ทำไปตามทิฐิมัน ที่มันแสดงออกมาปรากฏแก่บุคคลอื่น พูดจากับบุคคลอื่น แสดงอาการต่อบุคคลอื่นนั่นคือตัวทิฐิของบุคคลนั้น ที่มันแสดงออกมาภายนอก มันจะแสดงออกมาตามทิฐิ เป็นคนพูดหยาบไม่น่าฟัง เป็นคนกระด้างจองหอง เป็นคนบ้า เป็นคนดีอะไรมันก็แล้วแต่ทิฐิ เอาไปคิดกันมากก็ต้องว่า โอ้,ทิฐิคือคน ๆ นั้นเอง ทิฐินั่นแหละคือคน คนนั่นแหละคือทิฐิ คนนั้นก็คือทิฐิของคนนั้น ทิฐิของคนนั้นก็คือคนนั้นเราเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น นี่งานธรรมทูตก็คืองานจับคน จับคนก็จับทิฐิที่เป็นมิจฉาทิฐิมาล้างเสียให้สะอาดแล้วเป็นสัมมาทิฐิเพื่อจะได้ไม่เป็นทุกข์ นี่เขาว่างานธรรมทูต งานธรรมทูตนี่ในความหมายของธรรมชาติ แล้วก็ไม่เกี่ยวกับศาสนาไหนก็ได้ เกี่ยวกับมนุษย์ทั้งหมด อยู่ในสภาพที่เหมือนกับว่าจมอยู่ในอันตรายในกองทุกข์ ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ก็ต้องมีอะไรมาช่วยเขาให้ขึ้นมาเสียจากอันนั้น แต่เดี๋ยวนี้เมื่อตัวคนนั้นมันคือทิฐิของคนนั้นก็เปลี่ยนทิฐิของคนนั้น คนนั้นก็ขึ้นมาจากทิฐิที่ผิดที่เป็นมิจฉา มาสู่ทิฐิที่เป็นสัมมา
นี่ขอฝากไว้ให้เป็นหลักหรือความจริงของธรรมชาติในคำพูดสั้น ๆ ได้ว่า ทิฐินั่นแหละคือคน ทิฐินั้นก็คือคนนั้น คนนั้นก็คือทิฐิของคนนั้น แล้วเอาไปแยกเป็นทิฐิของคนเป็นอะไรมันก็ได้ พูดมันก็ได้แต่ไม่ใช่ความจริง ฉะนั้นคนมันคลอดมาจากท้องแม่มันมีทิฐิก็สร้างขึ้นมาสร้างขึ้นมา ทิฐิทั้งหมดนั้นก็คือตัวเขา ไอ้เนื้อหนังร่างกายนี่ไม่สำคัญมันก็เป็นไปตามทิฐินั้น แล้วมันก็จะทำอะไรตามทิฐินั้นหมด ทีนี้เมื่อมันเป็นไปตามธรรมชาติที่ยังไม่ถูกต้อง ก็เรียกว่ามันมีความทุกข์ ตกอยู่ในกองทุกข์ต้องช่วย ฉะนั้นผู้ที่จะช่วยคือใครล่ะ ไอ้จอมโจกของผู้ที่จะช่วยก็คือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ดูถ้าพูดภาษาธรรมดาเรา ขออภัยที่พูดจ้างจวบ จ้วงจาบพระพุทธเจ้า พูดแต่พูดว่าพระเจ้าหายใจเป็นการช่วยคนอื่น เมื่อยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่เคยคิดที่จะช่วยผู้อื่น พอเกิดเป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วก็มันมีลมหายใจจะเป็นการช่วยผู้อื่น เห็นได้ตรงที่ว่าพอมีพระสาวกจำนวนหนึ่งพอสมควรแล้วก็ไล่ไปเลย ไป ๆ ๆ ๆ ไอ้ ๖๐ รูปนี้ไป ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ทำหน้าที่ ที่เรียกว่าส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนา นี่คือจุดตั้งต้นของธรรมทูตในรูปแบบ ในรูปธรรม ไอ้รูปธรรมของพระพุทธเจ้าเมื่อมีสาวกครบ ๖๐ รูปนี่เราก็รู้กันมาแล้วทุกคน ไม่ต้องเสียเวลาเล่าซ้ำ แต่อยากจะบอกว่า ถ้าเดี๋ยวนี้ พ.ศ.๒๕๒๔ แล้วมันก็ต้องบวกไอ้ ๔๕ ปีเพราะมันเป็นกิจกรรมในปีแรกของพระพุทธเจ้าเข้าไปด้วยอีก ๔๕ เป็น ๒๔ กับ ๔๕ แล้วก็เป็น ๖๙ มันเท่ากับ ๒๕๖๙ ปีมาแล้ว ไอ้งานธรรมทูตมันตั้งต้นเมื่อ ๒๕๖๙ ปีมาแล้ว
ทีนี้นักประวัติสาสตร์ทั้งหลายในโลกมันทำการค้นคว้า มันหาไม่พบว่าในโลกในโลกที่มีประวัติศาสตร์นี่ใครเคยทำงานอย่างนี้บ้าง คือส่งคนมาก ๆ ออกไปเผยแผ่ความคิดเห็นของตัวนี่ ใครได้เคยทำมาก่อนแล้ว ปรากฏว่าไม่มี ไม่มีใครเคยทำมาก่อนเลย ในประวัติสาสตร์ที่บอกให้รู้ได้ มันมีแต่พระพุทธเจ้ารายนี้เท่านั้น ฉะนั้นการส่งคนไปเผยแผ่ความคิดเห็นนี่ที่เขาเรียกว่าเป็นภาษาฝรั่งว่ามิชชันนารี มิชชันนารี มีพระพุทธเจ้าเป็นคนแรก มีกิจกรรมในพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งแรก เพราะก่อนหน้านั้นไม่มีใครเคยทำ ฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นธรรมทูตคนแรก เป็นผู้จัดการธรรมทูตคนแรก คณะธรรมทูตคณะแรกในโลก ก็เพิ่งมีเมื่อพระพุทธเจ้าทำเป็นคณะแรก ๒๕๖๙ ปีมาแล้วถ้านับจริง อันนี้ก็เป็นที่น่าภาคภูมิใจ แก่บรรดาสาวกของพระพุทธเจ้าว่าเป็นงานของเรานะ ที่มีเกียรติของเราเป็นคนแรกที่ได้ทำ มันก็ควรจะทำกันต่อไปแหละ
เอ้า,ทีนี้ก็มาดูให้ชัดลงไปที่ว่าพระสาวกเหล่านั้นไปทำอะไรอย่างไร หรือว่าพระพุทธเจ้าท่านอบรมสั่งสอนให้ไปทำอย่างไร เท่าที่มีในพระบาลีไม่ได้มีข้อความเป็นรายละเอียดว่าทรงสอนอย่างไรทรงอะไรอย่างไร นี่มันเรื่องทีหลังทั้งนั้นถ้าจะมีพูดถึงเรื่องนี้บ้างก็เป็นเรื่องชั้นหลัง ๆ ไอ้ในพรรษาแรกที่มีสาวกรุ่นแรกออกไปนั้นไม่มีข้อความในพระบาลี เป็นอันว่าเราต้องรู้เอาเองแหละว่าพระสาวกเหล่านั้นต้องไปทำตามที่ท่านจะทำได้ตามสติปัญญาของท่าน แต่ว่ามันมีชัดอยู่ว่าไปประกาศพรหมจรรย์ให้ถึงพร้อมด้วยอรรถถะและพยัญชนะ คือทั้งหัวข้อและไอ้ความพิสดาร ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง แสดงธรรมให้ไพเราะเบื้องต้นท่ามกลางเบื้องปลาย มุ่งผลว่า พหุชนหิตาย นี่เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนเป็นอันมากทั้งเทวดาและมนุษย์ คำว่าเทวดาและมนุษย์นี่มีใช้แล้วด้วยกันตั้งแต่วันแรกนะ วันแรกที่พระพุทธเจ้าส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา ท่านได้ใช้คำว่าให้ไปประกาศพรหมจรรย์ชนิดที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ แก่ชนเป็นอันมากทั้งเทวดาและมนุษย์ เพราะฉะนั้นเทวดาพวกไหนที่ว่ามันจะไปทำกันได้โดยสาวกเป็นคน ๆ นี่ก็ไปคิดเอาเอง จะเป็นเทวดาในเมืองสวรรค์ต้องบนฟ้า หรือว่าอย่างที่ผมชอบพูดแล้วก็มีคนค้านด่าก็มี ผมก็บัญญัติให้ความหมายใหม่ว่าเทวดาคือผู้ที่ไม่รู้จักเหงื่อโว้ย มนุษย์คือคนที่อาบเหงื่ออยู่ทุกวัน
ธรรมะนี้จำเป็นที่สุดทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ แม้มันไม่รู้จักเหงื่อร่ำรวยเหลือประมาณแล้วมันก็ยังมีความทุกข์ ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ด้วยความทุกข์ตามนัยยะแห่งปฏิจจสมุปบาทนั้นแหละ ดังนั้นธรรมะนี้มันมีประโยชน์หรือว่าจำเป็นทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ เอ้า,เธอต้องไปทำให้สำเร็จประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ ท่านจำกัดความไว้เพียงเท่านี้ ฉะนั้นสาวกหลังก็ต้องไปรับผิดชอบเอาเองสิ ไปทำอย่างไรก็ตามใจแกสิ แต่ให้มันสำเร็จประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ รายละเอียดจะทำอย่างไรก็ไปทำ ท่านระบุไว้เพียงว่าทำให้สำเร็จประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ เผยแผ่พรหมจรรย์คือแบบแห่งการครองชีวิตอันประเสริฐนี่ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ทั้งเป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ แล้วพระเหล่านั้นก็ไปนะ พระองค์จึงตรัสว่าให้ไปแยกพวกให้มากที่สุดคือสายละรูป ๆ อย่าไปสองสามรูปมันเปลืองคน ให้ไปคน.สายละรูป ๆ แม้เราก็จะไปตำบลอุรุเวลา เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงเลือกเอาสายที่ยากที่สุด คือพูดว่าแม้เราก็จะไปยังตำบลอุรุเวลา ตรงนั้นมันเต็มไปด้วยพวกชฎิลที่มีความรู้ เป็นที่เคารพนับถือของมหาชนทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งประเทศ
ทีนี้ปัญหาก็มันมีอยู่ว่า เมื่อท่านไม่ได้บอกรายละเอียดว่าทำอย่างนั้น ๆ เป็นหน้าที่ที่เราจะหาเอาเอง ก็ต้องจับหลักใจความสำคัญให้ได้ว่าจะไปพูดเรื่องอะไรกัน ในชุดนั้นเป็นพระอรหันต์กันเกือบทั้งหมดแหละ จะมี (นาทีที่50.34ภัททวัคคีย์)อะไรอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏในพระบาลีว่าเป็นพระอรหันต์ สันนิษฐานกันว่าเป็นสกิทาคามี โสดาบันอะไรก็สุดแท้แต่ไม่ใช่พระอรหันต์ แม้กระนั้นพวกนี้ก็ถูกส่งไปนะ พระพุทธเจ้าก็ส่งไปไม่ยกเว้น อันนี้บางทีก็เป็นหลักอ้างอิงแก่พวกเราในสมัยนี้ได้ ว่าแม้ไม่เป็นพระอรหันต์ก็สอนได้ ก็ควรจะสอนไปตามมีตามได้ อย่าไปถือเสียว่าต้องเป็นพระอรหันต์เสียก่อนแล้วจึงสอน ก็มีตัวอย่างอยู่ในชุดนั้น ชุด ๖๐ รูปไม่เป็นพระอรหันต์ก็มี ไปสอนอะไร นี่ไปสอนอะไร..มันก็ต้องสอนเท่าที่จะสอนได้เท่าที่จะรู้ นี่ถ้าเราเข้าใจข้อความตอนนี้ให้ดีเราจะพบหลักที่ว่าเราจะไปสอนอะไร ธรรมทูตทั้งหลายเหล่านี้จะไปสอนอะไร จึงจะไม่ผิดฝาผิดตัว จึงจะสำเร็จประโยชน์เต็มตามนั้น ถ้าพูดอย่างกำปั้นทุบดินก็สอนเท่าที่รู้ แต่ว่าสอนเท่าที่รู้มันคือสอนอะไร เราอาจจะถือเป็นหลักได้เลยว่าเรื่องอริยสัจนั่นแหละ เพราะว่าทุกคนเหล่านั้นได้รับการสอนเรื่องอริยสัจ รู้อริยสัจ อย่างน้อยก็มีดวงตาเห็นธรรมเพราะรู้อริยสัจ ทั้ง ๖๐ รูปนั้นจะสามารถสอนเรื่องอริยสัจ ตามความสามารถของตน ๆ
ไอ้เรื่องรู้อริยสัจนี่มันมีบาลียืนยันอยู่ตายตัวซึ่งผมพบ ก็จดไว้ที่มาแต่ว่าจำไม่ได้จะมาบอกหน้าบอกเล่มกันเดี๋ยวนี้ก็บอกไม่ได้มันมีแต่จดไว้ว่า มันบรรลุธรรมะนั่นนี่ก็เพราะรู้อริยสัจ เช่นเป็นเพียงโสดาบันก็รู้อริยสัจระดับหนึ่ง เป็นสกิทาคามีก็รู้อริยสัจนั่นแหละ เข้มข้นลึกซึ้งกันไปอีกระดับหนึ่ง เป็นเรื่อย ๆ ไปจนถึงกับว่าเป็นพระอรหันต์สมบูรณ์ที่สุด ฉะนั้นก็แปลว่าพระอริยสาวกทั้งหลายนี่รู้อริยสัจตามมากตามน้อย ท่านสอนได้ในเรื่องอริยสัจ แต่มันก็ยังกว้างเกินไปนั่นแหละเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ ทางถึงความดับทุกข์ แล้วมันก็จะไปสำคัญอยู่ตรงข้อสุดท้ายคืออริยมรรคมีองค์ ๘ ศึกษาเรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นแหละให้ดี ๆ ก็ไปสอนเถอะมันจะไม่ผิด มันจะตรงจุดพระพุทธประสงค์ แล้วก็จะไม่ตกเป็นช่องโหว่ให้ใครตำหนิติเตียนได้ว่ายังไม่เป็นพระอรหันต์ไปสอนคนอื่น ดังนั้นเรายึดหลักเรื่องอริยสัจเป็นหลักวิธีก่อน ว่าต้องศึกษาเรื่องนี้แล้วสอนให้ดีที่สุดตามที่เราจะสอนได้โดยที่เรายังไม่เป็นพระอรหันต์นั่นแหละ
ทีนี้ใน ๖๐ องค์นั้น องค์ไหนเป็นพระอรหันต์แล้วก็คงไม่ยากลำบาก เพราะท่านอาจจะสอนไปตามสามัญสำนึกในจิตใจของท่าน รู้สึกอย่างไรก็ว่าไป อย่างนั้นก็ถูก ก็ถูกเรื่องอริยสัจเพราะว่าจิตใจนั่นบรรลุพระพุทธธรรมชั้นพระอรหันต์แล้ว พูดไปตามความรู้สึกนั้นมันก็ได้ ไม่มีทางผิด แต่สำหรับหลาย ๆ องค์ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์จะทำอย่างไร ปัญหานี้มันจะตกลงมาถึงพวกเราด้วยที่จะต้องถือว่ายังไม่เป็นพระอรหันต์ แล้วเราสอนเรื่องของพระอรหันต์คือเรื่องอริยสัจ เรื่องอริยสัจทั้ง ๔ มันสำคัญอยู่เรื่องสุดท้าย คือปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้วมันก็ดับทุกข์แน่ มันก็ดับทุกข์โดยอัตโนมัติของธรรมชาติเอง ฉะนั้นเราก็สอนให้เขาปฏิบัติให้ถูกต้องตาม อัฎฐังคิกมรรค เมื่อเขาปฏิบัติแล้วมันจะเกิดผลขึ้นโดยอัตโนมัติตามกฎของธรรมชาติเอง คือมันจะหยุดเสียซึ่งการเกิดแห่งตัณหา ถ้าอยู่ในหลักของอัฎฐังคิกมรรค นี่ตัณหามันก็เกิดไม่ได้ เกิดยาก ก็ไม่มีทุกข์ เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าอยู่กันโดยชอบไซร้ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ อยู่โดยชอบในนี้ก็คืออัฎฐังคิกมรรคเหมือนกัน มันอยู่กันโดยอัฎฐังคิกมรรคแล้วโลกนี้ไม่ว่างจากพระอรหันต์ นี่ต้องศึกษาเรื่องอริยสัจเป็นพิเศษโดยเฉพาะเรื่องอัฎฐังคิกมรรค แล้วก็สอน แม้ไม่เป็นพระอรหันต์ก็ไม่มีทางจะผิดพลาดได้ ผู้สอนนั้นไม่มีทางจะสอนผิด ดังนั้นก็ไม่มีช่องที่ใครจะติเตียนได้เพราะสอนทั้งที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ส่งคนที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ไปสอนเหมือนกัน
เอ้า,ทีนี้มันมีแฝงอยู่อีกเรื่องหนึ่ง ในเรื่องที่สำคัญนี้คือว่าก่อนจะทรงแสดงในอริยสัจนั่น ท่านจะทรงแสดง อนุปุพพิกถา อันนั้นแหละ นี่เรียนพระธรรมกันมาแล้วผมไม่ต้องพูดซ้ำให้เสียเวลา อนุปุพพิกถามีอะไรบ้าง ก็เรียนกันมาแล้วอย่างแม่นยำ แต่อย่าลืมว่าอนุปุพพิกถานี่มัน มันเป็นเรื่องจำเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือว่ามันเป็นเรื่องเตรียมให้คนเกิดใหม่ เหมือนว่าไอ้การบรรลุมรรคผลเหมือนกับเกิดใหม่ อนุปุพพิกถานี่สำคัญมาก ถ้าไม่เข้าถึงไม่ผ่านไปแล้วก็คนไม่อาจจะเกิดใหม่ คือเขาจะไปติดอยู่ที่สวรรค์ ฉะนั้นเราจะสังเกตได้จากอนุปุพพิกถาเรื่องทานเรื่องศีล เป็นเหตุให้มีสวรรค์หรือ สัคคกถา พอสัคคกถา แล้วสอนให้เห็น อาทีนวะ คือโทษของสวรรค์ที่จมอยู่ในกาม ยังแสดงให้เห็น เนกขัมมานิสังส คือออกมาเสียได้จากโทษของสวรรค์ อันนี้ถ้าทำไม่ได้ ถ้าไม่ทำ แล้วมันไม่มีทางที่ว่าจะทำให้เขาเกิดใหม่ ไม่มีทางที่จะจับตัวเขามาใส่คอกนี้ได้ เพราะว่าเขาจมอยู่ในคอก ของสวรรค์อย่างแน่นแฟ้น เขาไม่ยอมทิ้งคอก เขาไม่ยอมออกจากคอก คือสวรรค์ ดังนั้นเราต้องมีวิธีการสอน หลักคำสอนอะไรก็ตาม ที่ให้เขาเห็นว่าไอ้สวรรค์มันก็เรื่องบ้า ๆ บอ ๆ แค่นั้นเอง ๆ เรื่องสวรรค์ ออกมาเสียจากสวรรค์ เนกขัมมะ อย่างนั้นน่าดูกว่า นี่คนนั้นก็มีจิตใจถอนจากสวรรค์ ทิฐิที่เคยติดแน่นแฟ้นอยู่ในสวรรค์ก็หลุดก็ไม่ผูกพันได้ เขาจึงเกิดใหม่ได้เป็นทิฐิใหม่ที่ว่าไม่หลงอยู่ในสวรรค์ ต้องการจะไปเพื่อดับทุกข์ ฉะนั้นการสอนให้เขารู้จักโทษของสิ่งที่เอร็ดอร่อยที่สุดที่เขาหลงใหลอยู่นั่นแหละสำคัญที่สุด
คำว่าสวรรค์อย่าเอาความหมายให้มันยุ่งยากลำบากอย่างนั้น ที่ว่ามันอร่อยที่สุดแก่เขานั่นแหละคือสวรรค์แล้วเขาก็ติดอยู่ที่นั่น ด้วยทิฐิทั้งหมดอันนี้สูงสุดไม่มีอะไรดีกว่านี้ ทิฐินั้นคือตัวเขา ฉะนั้นตัวเขาก็จมอยู่ที่นั่น เราก็จับปลาตัวนี้มาไม่ได้ ช่วยจับคน ๆ นี้มาไม่ได้ จึงต้องใช้คำสอนอีกระบบหนึ่งให้เขาถอนตัวขึ้นมาเสียจากไอ้สิ่งที่เขาติดอยู่ นี่คืออนุปุพพิกถา คือหลักธรรมะระบบหนึ่ง ที่ทำให้คนหลุดออกมาเสียได้จากไอ้สิ่งที่ยึดตัวเขาไว้ คือเสน่ห์ของสวรรค์ ถ้าพูดอย่างธรรมดาสามัญก็เรียกว่า อัสสาทะ ของสวรรค์ ตรึง ๆ ๆ ตรายึด เกาะอะไรก็ตามบุคคลนั้นไว้ให้มันแน่นอยู่ที่นั่น ดังนั้นที่จะมาสนใจในธรรมนี่ถ้าเราไม่พิสูจน์ ไอ้ความที่ธรรมะดีกว่าที่จะติดอยู่ที่นั่นแล้วไม่มา มันไม่มา อยากจะพูดว่าแม้แต่ว่าจะให้เขาละบุหรี่นี่ ถ้าไม่แสดงอะไรที่มันอร่อยกว่าบุหรี่นี่เขาก็ไม่มา ไม่ได้แสดงอะไรให้เขาเห็นว่ามี (นาทีที่1.01.20)ที่ดีกว่าอร่อยกว่าบุหรี่ เขาก็ไม่ทิ้งบุหรี่ เช่นเดียวกับที่เราไม่สามารถจะแสดงให้เขาเห็นได้ว่ามันมีเรื่องอื่นที่ดีกว่า ที่สูงกว่าที่จะมาหลงความเอร็ดอร่อยในกามคุณห้า เขาก็จะติดอยู่ที่นั่นเขาก็ไม่มา
ฉะนั้นเราจึงเห็นได้ว่าทุกคนที่จะรับคำสอนเรื่องอริยสัจ ๔ นั้น พระองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถาก่อนเสมอไป เข้าใจทุกคนคงจะระลึกได้เมื่อเราเรียนพุทธประวัติตอนนี้ แต่ผมนั้นมันไม่ลืมได้ เพราะมันสะดุดเป็นพิเศษ ว่าทำไมนะจะต้องอนุปุพพิกถาเสียเรื่อย อะไรก็อนุปุพพิกถาเสียเรื่อย มันสะดุดเป็นพิเศษเพราะความคิดที่มันไม่ค่อยยอมง่าย ๆ มันก็ตั้งข้อสังเกตเรื่อย ๆ มา มันจึงพบว่ามันก็จริงอย่างนั้นแหละ ที่เขาใช้อุปมาว่าเหมือนกับผ้านี่ต้องฟอก ฟอกน้ำย้อมทีแรก ให้ออกเสียให้หมด ให้เป็นผ้าขาวบริสุทธิ์เสียก่อน แล้วจึงจะย้อมอะไรทีหลังไปตามความประสงค์ ดังนั้นอนุปุพพิกถานี่ก็เป็นเรื่องฟอกความติดอยู่ในกามคุณห้า ให้มีจิตใจเกลี้ยง พร้อมที่จะรู้อริยสัจที่ดีกว่า ก็ย้อมได้นะที่จะย้อมด้วยสัมมาทิฐิ เรื่องอริยสัจนี่ก็ย้อมได้ มิจฉาทิฐิอันนั้นก็หมดไปไม่มาเป็นอุปสรรคได้
นี่เรื่องที่เราจะต้องสังเกตเป็นพิเศษว่าพระสาวกชุดแรกที่ส่งไปนั้น มีความสามารถเท่าไรมีคุณสมบัติเท่าไร เราก็รู้ได้จากเรื่องราวที่มีอยู่ชัดแล้วว่าท่านเหล่านั้นผ่านมาอย่างไร สำหรับปัญจวัคคีย์นั้นไม่มีปัญหาล่ะ มันเป็นนักศึกษามาแต่ก่อนมันก็แตกฉาน แต่ว่าคนอย่างพระยศ เพื่อนของพระยศเรื่องทำนองนี้มันเป็นชาวบ้านมาเมื่อตะกี้นี่เอง แล้วทำไมมาเปลี่ยนเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยอำนาจของสิ่งทั้งสองคืออนุปุพพิกถาที่จะล้างไอ้ความติดอยู่ในเบญจกามคุณ แล้วก็เรื่องอริยสัจทั้ง ๔ ซึ่งเป็นเรื่องดับทุกข์ ฉะนั้นเราจึงถือว่าท่านเหล่านั้นทุกองค์พร้อมที่จะเป็นธรรมทูตได้ คือสามารถจะสอนสิ่งที่สำคัญที่สุดแก่มนุษย์ได้ ท่านคงสอนเป็นทั้งสองเรื่อง พระสาวกชุดแรก ๖๐ รูปท่านจะต้องสอนเป็นทั้งสองเรื่องคือ เรื่องอนุปุพพิกถาเหมือนกับซักผ้าให้สะอาดเสียก่อน แล้วก็สอนเรื่องอริยสัจ คือย้อมธรรมะใหม่นี่ลงไป ก็สำเร็จประโยชน์งานธรรมทูตชุดแรกในโลกเป็นไปได้แล้วก็สำเร็จอย่างที่ว่านี้ ดังนั้นควรจะเอามาทำเป็นอนุสติอยู่ในใจตลอดเวลาของพวกที่จะเป็นธรรมทูต
ทีนี้ถ้าเราจะเอาพระบาลีตอนนี้มาศึกษาดูอย่างละเอียดสำหรับผู้ที่รู้ภาษาบาลีเพียงพอจะรู้สึกมากที่สุด ว่าคำพูดสี่ห้าประโยคนั้นมันเหมือนกับคำอ้อนวอน เหมือนกับคำอ้อนวอนของพระพุทธเจ้า เราฟังแล้วจะรู้สึกสลดสังเวช ถ้ามานึกถึงเดี๋ยวนี้ก็จะน้ำตาไหลก็ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สั่งอย่างไอ้เผด็จการ มึงทำอย่างนี้ทีมึงทำอย่างนี้ที เหมือนครูบาอาจารย์สมัยนี้สั่งอะไรลูกศิษย์อย่างเผด็จการนี่ล้มเหลวหมดนะ มันไม่สร้างความอะไรขึ้นมาได้ ไอ้สำนวนนั้นมันเหมือนกับสำนวนอ้อนวอน ไม่ใช่ไปขอร้องเพื่อนธรรมดา ที่รู้บาลีแล้วไปเอามาศึกษาดูใหม่ บาลีนั้นมีอยู่ในมหาวรรควินัยปิฎก จงไป จรถ ภิกฺขเว มีลักษณะเป็นคำอ่อนหวาน อ้อนวอนอย่างอ่อนหวาน เมื่อเราระลึกนึกถึงข้อนี้เราก็ทนอยู่ไม่ได้ คือเห็นเป็นพระพุทธประสงค์อย่างยิ่ง และทรงขอร้องในลักษณะที่อ้อนวอน บุคคลสูงสุดมาอ้อนวอนเราอย่างนี้ เรามองเราก็ต้องทนอยู่ไม่ได้ ผมก่อนนี้ก็ไม่ค่อยสนใจไอ้เรื่องอย่างนี้หรือทำอย่างนี้ แต่เห็นคำนี้ประโยคนี้ จรถ ภิกฺขเว จาริกํ นี่หนังสือพิมพ์มหาโพธิมันเอาไปเป็นบท บทคำขวัญหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ มันสะดุดตาเราทุกครั้งที่ไอ้หนังสือพิมพ์นี่มันมาทุกฉบับ นี่หมายความว่าเมื่อ ๕๐ กว่าปีมาแล้วที่เราอ่านหนังสือพิมพ์ชนิดนี้หรือว่าสนใจแต่เรื่องนี้ มันเป็นเหตุให้เอามาดูใหม่ มาค้นดูใหม่ มาลองแปลดูใหม่ มันก็พบความรู้สึกอย่างนี้ พบความรู้สึกซึ่งเป็นคำขอร้องอ้อนวอนของพระพุทธเจ้า มันก็เลยเห็นด้วยกับเขาที่ว่าเขาเอามาเป็นคำขวัญ สำหรับงานธรรมทูตอยู่ในใบแรกของหนังสือพิมพ์รายเดือนมหาโพธิ ฉะนั้นคุณก็ลองดู ไปเอามาแปลศึกษาพิจารณาดูจะเกิดความรู้สึกที่เสียสละ ยินยอม พยายามอะไรอย่างยิ่งเกี่ยวกับงานธรรมทูต มันสักสี่ห้าบรรทัด มันควรจะเป็นข้อความที่เป็น ไว้ในใส่กรอบกระจกงดงามแขวนไว้ในห้องทำงานธรรมทูตด้วยซ้ำไป
นี่ผมเห็นว่าเป็นการพูดแบบปฐมนิเทศไม่ได้พูดเรื่องราวอะไรนัก นี่ชั่วโมงกว่าแล้วใช่ไหมที่พูดนี่ สรุปความว่าไอ้งานธรรมทูตนี้ประเสริฐที่สุด การที่เราอุทิศตัวให้แก่งานธรรมทูตเป็นการได้ที่ดีที่สุด แล้วก็ตรงตามพระพุทธประสงค์ที่สุด จนถึงกับว่าพระพุทธเจ้านี่หายใจเป็นธรรมทูต พูดภาชาวบ้านหน่อยนะว่าหายใจเป็นธรรมทูตนี่พูดราชาศัพท์ไม่ค่อยจะเป็น ดังนั้นเราสนองพระพุทธประสงค์ข้อนี้ก็นับว่าดีที่สุด เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นสาวกของพระองค์ เป็นสมณะ ศากยะ ปุตติยะ ก็ตาม เป็นพุทธชิโนรสก็ตาม เป็นพุทธบุตรก็ตาม เป็นอะไรก็ตาม ล้วนแต่สำเร็จได้ด้วยการสนองพระพุทธประสงค์ ฉะนั้นเรามาทำในใจให้แจ่มแจ้งอยู่เสมอ อย่างน้อยมันก็เกิดกำลังใจแหละ และมันจะไม่เห็นแก่ความยากลำบากจะอด ๆ อยาก ๆ จะลำบากอะไรมันก็ไม่ต้องท้อถอย เพราะมันรู้สึกอย่างนี้ ดังนั้นจึงเอามาพูดว่าคำพูดอย่างของพระเยซูนั้นกินใจที่สุด ว่าจับคนมาไว้ในที่ปลอดภัยของพระเจ้ากันดีกว่าที่จะมัวจับปลา ก็คือเปลี่ยนทิฐิซึ่งเป็นตัวเขานั่นแหละเสียให้เหมือนกับว่าเกิดใหม่เป็นสัมมาทิฐิ เพราะเขาเข้ามาอยู่ในที่ ๆ ปลอดภัยคืออาณาจักรของพระธรรม หรืออาณาจักรของพระเจ้า ทีนี้ใครจะช่วยให้ทำได้อย่างนี้ก็คือพวกธรรมทูตนั่นเอง ฉะนั้นก็เป็นงานสูงสุด เราจะทำได้กี่มากน้อยนี่ก็บอกไม่ได้ แต่ว่างานนี้มันสูงสุดเหลือเกิน ที่เราตั้งใจจะทำกันนี้มันจะทำได้กี่มากน้อยก็บอกไม่ได้ แต่มันเป็นงานสูงสุดที่สุดถ้าทำได้มันก็สูงสุดที่สุด ดังนั้นควรจะลงทุนด้วยเรี่ยวด้วยแรง ด้วยสติปัญญาด้วยอะไรทั้งหมดทั้งสิ้นเอาลงเป็นเดิมพัน อย่างที่เขาเรียกในภาษาการพนันว่ามันต้องเทกระเป๋ากันเลย อุทิศชีวิตให้แก่งานอันนี้ แล้วคำพูดในวันแรกก็สมควรแก่เวลาแล้ว ผมขอยุติไว้เพียงเท่านี้
ท่านที่เป็นหัวหน้านั่นจัดสิบองค์ หกโมงนั่งรถยนต์ไปบิณฑบาตที่ตลาด ผมสั่งรถไว้แล้วหกโมง คุณต้องมีบาตรมาขึ้นรถที่ตรงนี้ เวลาหกโมงครึ่งก็ได้ออกบิณฑบาตที่ตลาด เขาจะให้ไปทางนี้ห้าองค์ แล้วตรง ๆ ไปนี้ห้าองค์ แล้วกลับมาขึ้นรถเจ็ดโมงก็ได้กลับมา แล้วก็มาฉันอย่างธรรมทูต ตรงนี้ เอาตรงนี้ให้เป็นโรงเรียนธรรมทูตไปหมดที่ตรงนี้ มาฉันกันตรงนี้ เผื่อจะได้พูดอะไรกันบ้างด้วย เปิดโรงเรียนธรรมทูตที่ตรงนี้ ผมไม่ค่อยสบาย ไม่ค่อยมีแรงจะพูดได้เพียงวันละครั้ง นอกนั้นจะเปิดเทปฟังหรือจะทำอะไรกันก็สุดแท้ ถ้าคุณวรศักดิ์มาทันจะให้ช่วยบรรยายวิชาครูให้ได้ เกี่ยวกับงานธรรมทูตมากเหมือนกัน ว่าจังหวัดอุทัย แต่เทปที่ผมพูดกับครูอย่างจัง ๆ อย่างตอกใส่หน้ากันนี้ก็มีหลายครั้งนะเทปบันทึกเสียง ก็ลองมาเปิดดู ฟังดู