แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิกและท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย วันที่ ๒๗ พฤษภาคมได้เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่งสำหรับข้าพเจ้า ในฐานะที่เป็นวันที่สมมติว่าเป็นวันเกิด ถ้าถือทางจันทรคติก็ยังอีกตั้ง ๓ วัน คือเดือน ๗ ขึ้น ๗ ค่ำ แต่เดี๋ยวนี้ถือทางสุริยคติ เอาวันที่ ๒๗ พฤษภาคม เป็นวันรับสมมติ แต่เป็นอย่างสุริยคติก็อย่างหนึ่งจันทรคติก็อีกอย่างหนึ่งคือคนละวัน นี้มันก็เป็นเรื่องมายาหลอกลวงที่แสดงถึงสิ่งมนุษย์สมมติกันอยู่แล้ว มันก็เป็นเรื่องที่น่าจะเอามาล้อเล่น เห็นอยู่ได้ชัด ๆ แล้ว ถ้ายิ่งไปนับปฏิทินอย่างอื่น ปฏิทินที่ไม่ทด ไม่มีการทดอธิกมาสเป็นต้นแล้ว วันมันก็ยิ่งเตลิดเปิดเปิงไปกันอย่างอื่น ฉะนั้นเป็นเรื่องที่น่าล้อ นี่เป็นตัวอย่างที่ว่าเราทำไมจึงมีการทำบุญอายุแบบนี้ การทำบุญเนื่องด้วยอายุเกิดมีเป็นหลายแบบ อย่างน้อยก็สัก ๒ แบบ คือคนที่ยึดมั่นถือมั่นและขี้ขลาด มันก็ต้องการจะต่ออายุ อย่าให้มันตาย เราไม่อยู่ในลักษณะเช่นนั้น เราจึงมีทำบุญล้ออายุ อย่างที่เคยทำมาแล้ว ๒ - ๓ ปี ท่านทั้งหลายก็ทราบดีอยู่แล้วว่า เราเรียกว่าทำบุญล้ออายุ
ทีนี้การบรรยายในวันทำบุญล้ออายุนี้เป็นอย่างไร หลายคนคงจะยังจำได้ ที่พิมพ์เป็นเล่มหนังสือแจกไปแล้วก็มี ข้อความในนั้นเป็นอย่างไรก็คงยังจำได้กันอยู่ ฉะนั้นผู้ที่เคยฟังเทศน์หรือบรรยายล้ออายุในปีก่อนๆ มาแล้ว บางคนก็คงจะกำลังนึกอยู่ในใจในเวลานี้ว่าสุนัขปากร้ายแห่งวันที่ ๒๗ พฤษภาคม มาอีกแล้วโว้ย แล้วมันก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คงจะคิดว่าพูดเพราะไม่มี พูดดีไม่ได้ พูดหยาบคายอยู่ตลอดเวลาโว้ย นี้มันก็จริงเหมือนกัน ฉะนั้นขอให้ถือว่าลักษณะอย่างนี้เป็นลักษณะเฉพาะของการทำบุญล้ออายุของข้าพเจ้า ไอ้การเป็นสุนัขปากร้ายเฉพาะวันที่ ๒๗ พฤษภาคมนี้ มันเป็นสมัญญาอันหนึ่ง ถึงใครจะไม่ตั้งให้ก็ตั้งเอาเองได้ หรือมันเป็นของมันเองได้ เพราะรู้สึกอยู่ว่าพูดหยาบคายจริง พูดเพราะไม่มี พูดดีไม่ได้ พูดหยาบคายอยู่ตลอดเวลา ทั้งคนดี คนบ้าชอบแห่กันมาฟัง นี่มันก็เป็นข้อเท็จจริง ฉะนั้นขอให้ถือว่าเป็นสิ่งที่แน่นอนและตายตัวลงไป
ทีนี้เรามาพูดเรื่องสุนัขปากร้ายกันจะดีกว่า สุนัขปากร้ายมันก็คงจะมีหลายแบบ สุนัขปากร้ายนั่นมันดีแต่เห่า นี้เป็นสิ่งที่รู้กันอยู่ มันดีแต่ปาก มันไม่กัดใคร มันดีแต่เห่าอย่างนี้ควรจะถือว่ามันร้องเพลงให้ฟังก็ยังได้ สุนัขปากร้ายดีแต่เห่าไม่กัดใคร ร้องเพลงให้ฟังก็ได้ นี้โดยทั่วไปควรจะมองให้เห็นว่ามันไม่เป็นอันตราย บางทีก็มีผลดีที่จะเห่าหรือเตือนให้รู้สึกตัว แต่ทีนี้มันยังมีดีกว่านั้น วิเศษกว่านั้น คือว่าสุนัขตัวนี้มันเห่าตัวเองด้วย การล้ออายุนี่มันเหมือนกับเห่าตัวเอง ทีนี้ใครเคยเห็นบ้างว่าสุนัขตัวไหนมันเห่าตัวเอง ใครเคยเห็นว่าสุนัขตัวไหนมันเคยเห่าตัวเอง ถ้ามันมีการเห่าตัวเอง มันก็เป็นสุนัขที่ผิดธรรมดาแน่นอน สุนัขปากร้ายในโลกเวลานี้ มันมีสุนัขตัวไหนที่เห่าตัวเอง มีหรือไม่มี มีอยู่กี่ตัว ลองคิดดูในเรื่องนี้ สุนัขทั้งหลายมันไม่เห่าตัวเอง มันมีแต่ยกหูชูหาง ยกย่องตัวเองเสียเลิศลอย นั้นใช่ไหม จงฟังคำที่ว่ามันยกหูชูหางอยู่ตลอดเวลา อาการนี้มีได้แก่ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ยกหูชูหางอยู่ตลอดเวลา สุนัขอย่างนี้ไม่เคยเห่าตัวเอง มันต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดหรือแปลกที่สุด หรือพิเศษที่สุดก็ว่าได้ที่ว่ามันจะเห่าตัวเองกันบ้าง ขอให้แยกจากกันเป็น ๒ พวกว่าไอ้ที่มันเห่าผู้อื่นเสียเรื่อยนั้นมันก็มี มันเห่าตัวเองโดยเฉพาะก็มี ไอ้เรื่องทำบุญล้ออายุของอาตมานี้ มันก็เป็นเรื่องเห่าตัวเองชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน เพราะมันเอาเรื่องที่น่าล้อหรือควรล้อ ให้เกิดความรู้สึกคิดนึกกันนี่มาพูด
ทีนี้ขอให้ดูต่อไปอีก แม้ว่ามันจะเห่าตัวเอง ถ้ามันมีเสียงออกมาแล้วมันก็ได้ยินไปถึงหูคนอื่น ฉะนั้นการเห่าตัวเอง มันก็มีการกระทบผู้อื่นนี้เป็นธรรมดา มันช่วยไม่ได้ที่ว่าเห่าตัวเองแล้วไปกระทบผู้อื่น มันเป็นของธรรมดา มันมีอยู่ ๒ อย่างคือว่า มีคนบางพวกยินดีเข้ามารับเอา เพราะว่าเขาชอบ เพราะเขาว่าด่าเพราะดี เขาอยากให้ด่า นี่เขาสมัครรับเอาเอง นี่ก็มีอยู่พวกหนึ่ง ทีนี้อีกพวกหนึ่งมันเป็นพวกกินปูนร้อนท้อง มันเป็นวัวสันหลังหวะ ไอ้พวกนี้มันก็ออกมารับเอาเองด้วยเหมือนกัน พวกหนึ่งมันออกมารับเอาเองด้วยหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ คงจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ก็อยากให้มีการแนะนำตักเตือน ด่าว่า แต่พวกหนึ่งมันเป็นพวกกินปูนร้องท้อง มันเป็นวัวสันหลังหวะมีแผล มันก็ต้องคอยระวังนั่นนี่ ฉะนั้นขอให้ถือว่าเรื่องด่าตัวเอง เห่าตัวเอง นี้มันมีผลกว้างขวางอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสูตรที่เรียกว่า อัคคิขันธูปมสูตร (นาทีที่ 10:05) ในขณะที่กำลังเดินทางอยู่กลางทางกับภิกษุหมู่ใหญ่ที่เดินไปด้วย มีผลทำให้ ๖๐ รูป อาเจียนโลหิตตาย นี่ไปอ่านดูบาลี อัคคิขันธูปมสูตร มีคำว่าไอ้พวกกองขยะมูลฝอย พวกเน่าข้างในเหมือนกองขยะมูลฝอยอะไรทำนองนี้ เป็นเหตุให้ภิกษุสันหลังหวะ กินปูนร้อนท้องนั้นอาเจียนเป็นโลหิตตายถึง ๖๐ รูป และพร้อมกันนั้นก็ได้บรรลุมรรคผลตั้ง ๖๐ รูปหรืออะไรทำนองนั้นด้วยเหมือนกัน
ทีนี้อาตมายังไม่เก่งถึงขนาดนั้น ยังไม่ทำให้ใครอาเจียนโลหิตตายได้อย่างนั้น แต่คงจะเอานึก ไปคิดไปนึกกันบ้างว่าพวกยกหูชูหางมันมีอยู่ ทั้งพระ ทั้งเณร อุบาสก อุบาสิกา แล้วมันบางองค์ยังไม่รู้สึกตัว ไอ้พระที่ยกหูชูหางบางองค์นี่ยังไม่รู้สึกว่าตนว่าเป็นอย่างนั้น แล้วมันจะอาเจียนโลหิตตายได้อย่างไร เมื่อมันไม่รู้จักความโง่ ความหลง ความประมาทของมันเอง พระนี่ยังน่าติกว่าสามเณร เพราะสามเณรยังเด็ก ทายก ทายิกาก็ยังน่าติน้อยไปกว่านั้นเพราะเป็นชาวบ้าน นี่ขอให้คิดดูว่า พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสคำชนิดที่ฟังแล้วอาเจียนตาย และยังมีอีกมากมายหลายร้อยครั้ง ทุกครั้งที่มีการบัญญัติสิกขาบทข้อใดข้อหนึ่งแก่ภิกษุที่ล่วงสิกขาบท ขอให้ไปอ่านเรื่องนี้ดูโดยรายละเอียดจากไอ้หนังสือที่เขาเรียกว่า ต้นบัญญัติ หนังสือต้นบัญญัตินี้รวบรวมมาจากพระไตรปิฏก ส่วนที่เป็นพระวินัยปิฏกว่าเมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสในโอกาสอย่างนั้น ท่านตรัสอย่างไรนี่ อย่าให้อาตมาต้องเอามาบรรยายเลยเพราะมันมากนัก แต่ว่ามันร้าย ๆ ทั้งนั้น
ทีนี้อาตมาต้องการแต่เพียงว่า จะเห่าตัวเอง คือล้ออายุของตัวเอง ใครได้ยิน พลอยได้ยินก็เป็นกำไรของคนนั้น แล้วก็รู้สึกว่ามันควรพูดเช่นนั้น คนที่ดีแต่ชอบทำตัวเองให้เป็นทุกข์ และก็แถมเป็นตัวอย่างกับผู้อื่นนี้ อาตมาถือว่ามันควรด่า ใช้คำตรงๆ ก็ต้องใช้คำว่าด่า คนโง่ยกหูชูหางอยู่ มันก็ควรจะด่า แล้วมันยิ่งไม่รู้จักว่ามันโง่ก็ยิ่งน่าจะด่า แล้วมันประกอบการกระทำกาย วาจา ใจ แต่ที่ให้ตัวเองเป็นทุกข์ เป็นตัวอย่างให้ผู้อื่นเข้าใจผิด แล้วก็ทำตาม ๆ กันไป นี่คือคนที่ควรด่า ทีนี้คำว่าด่านั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นคำชี้ขุมทรัพย์ มันคงจะเกิดเป็นคำด่า ๒ ประเภทเป็นอย่างน้อย คือด่าที่ไม่ชี้ขุมทรัพย์ก็อาจจะมี แต่คำด่าที่ชี้ขุมทรัพย์อย่างคำด่าของบิดา มารดาครูบาอาจารย์ หรือแม้แต่คำที่ทำให้คนอาเจียนเป็นโลหิตตายตั้ง ๖๐ คนพร้อม ๆ กันนี้ มันก็ต้องเป็นคำด่าอีกชนิดหนึ่ง นี่จริงหรือไม่จริงก็ลองคิดดู ใครอยากจะค้านก็ได้ ว่าคนที่ควรด่านั้นมีอยู่ในโลกนี้ คือคนที่ชอบทำแต่จะให้เป็นทุกข์ ชอบหาเรื่องแต่จะให้มันเป็นทุกข์ ใคร ๆ ก็จะต้องลงความเห็นว่ามันเป็นคนควรฆ่าเสียให้ตาย หรือว่าควรเอาไปตอนเสียอย่าให้มีพืชพันธุ์อีกต่อไป หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเอามาพูดกัน อย่างที่เรียกว่าด่า คิดดูให้ดี ไอ้การเป็นสุนัขปากร้ายแห่งวันที่ ๒๗ พฤษภาคมนี้ มันควรจะเป็นเกียรติยศละมัง อาตมารู้สึกว่าเป็นเกียรติยศ คิดไปคิดมาก็อยากจะทำป้ายแขวนหลังไว้สักอันหนึ่งว่า สุนัขปากร้ายแห่งวันที่ ๒๗ พฤษภาคม โดยเฉพาะในวันนี้ พูดเพราะไม่มี พูดดีไม่ได้ พูดหยาบคายตลอดเวลา ทั้งคนดี คนบ้า แห่กันมาฟัง นี่คือข้อที่อยากจะให้คิดกันเป็นครั้ง เอ้อ, เป็นข้อแรก เพราะเชื่ออย่างยิ่งว่าจะต้องได้ประโยชน์ ไม่ฟังชนิดที่เข้าหูซ้ายออกหูขวา เข้าหูขวาออกหูซ้าย เหมือนที่แล้ว ๆ มา นั่นเพราะมันไม่คิดว่ามีอะไร เป็นอย่างไร มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และก็ต้องการแต่จะฟังให้หลับไป อันนั้นมันไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งแล้วก็หลับไป หรือมายกยอสรรเสริญกันอย่างนั้นอย่างนี้ นี่คือข้อแรกที่อยากจะพูดว่าเราทำบุญเกี่ยวกับอายุแต่เป็นการล้ออายุ มันก็ต้องมีคำพูดที่ฟังแล้วรู้สึกว่ากระทบกระเทือนใจกลายเป็นสุนัขปากร้าย
ทีนี้ก็จะได้พูดกันต่อไปถึงเรื่องแรก ว่าในการล้ออายุนี้ เราจะนึกถึงสภาพปัจจุบันในโลกในวันนี้ เป็นข้อแรกว่ามันมีอยู่อย่างไร และมันเกี่ยวข้องกันกับอะไร มันไปถึงไหน สรุปความสั้น ๆ ว่าในวันที่อาตมามีอายุครบรอบปีในวันที่ ๒๗ พฤษภาคมอีกวันหนึ่งนี้ ในโลกทั่ว ๆ ไป มันมีสภาพอย่างไร วันนี้โลกกำลังมีสภาพอย่างไร นี่ต้องเอามาพูดกันก่อน มองดูกว้าง ๆ โลกในปัจจุบันนี้ เป็นโลกอยู่ในยุคปิงปอง คือลูกปิงปอง มันเป็นยุควิทยาศาสตร์ก้าวหน้า มันเป็นยุคปรมาณูตื่นเต้นกันใหญ่ แล้วมันเป็นยุคอวกาศ เป็นยุคไปโลกพระจันทร์มาเมื่อปีที่แล้วมานี่เอง ส่วนปีนี้มันเป็นยุคปิงปอง โลกทั้งโลกเขาใช้ปิงปองเป็นเครื่องทำความเข้าใจ จะสมานสัมพันธ์กัน เชิญกันมาเล่นปิงปอง มึงเชิญกู กูเชิญมึงนี่ วันนี้โลกกำลังเป็นโลกแห่งยุคปิงปอง ถ้าไม่เคยอ่าน เอ้อ, ไม่เคยฟังหนังสือพิมพ์ เอ้อ, ไม่เคยฟังวิทยุหรือไม่เคยอ่านหนังสือพิมพ์กันบ้างก็เรียกว่ามันหลับตาเต็มที ถ้าฟังวิทยุอยู่ระหว่างนี้ อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ระหว่างนี้ ก็รู้ได้ว่าหมายความว่าอย่างไร โลกกำลังเป็นยุคปิงปอง จีนแดงเชิญอเมริกันมาเล่นปิงปอง อเมริกันก็เชิญจีนแดงไปเล่นปิงปอง ชาตินั้น ชาตินี้ ชาติโน้น ก็จะเชิญกันไปเล่นปิงปอง มันก็เลยคิดว่าจะแก้ไขโลกนี้ให้มันดีขึ้น เราไม่เห็นด้วย ลูกปิงปองนั้นเป็นเพียงแต่กระดกไปกระดกมา กระโดดไปกระโดดมา ยิ่งร้ายไปกว่าโลกพระจันทร์ โลกยุคปรมาณู หรือยุคอวกาศ หรือยุคโลกพระจันทร์ไปเสียอีก มันจะเหลาะแหละโลเล โกหกยิ่งไปกว่ายุคที่แล้ว ๆ มา นี่เรียกว่ายุคปิงปอง นี่คนมันจะตลบตะแลง เหลาะแหละ ไม่จริงทั้งต่อตัวเอง ไม่จริงทั้งต่อใครผู้ใดหมดมากขึ้นทุกที โลกทุกวันนี้ เวลานี้ ชั่วโมงนี้ เป็นโลกแห่งยุคลูกปิงปอง ไม่เคยเห็นก็ไปหาดูเองเองว่าเขาเล่นกันอย่างไร มันกระโดดไปกระโดดมาอย่างไร ที่เอามาพูดว่าโลกเป็นยุคปิงปองนี้ ก็เพื่อให้เกิดความคิดไปตามแนวนั้น ถ้ามันจะหละหลวมเหลวไหลมากขึ้นอีก ก็หมายความว่ามันมีความปั่นป่วน ยุ่งยาก ชนิดที่รุนแรงร้ายกาจ หลอกลวงมากขึ้นทุกที จะผิดหรือจะถูก จะจริงหรือไม่จะจริงก็คอยดูต่อไปข้างหน้า เรื่องมันกลับไปกลับมาอย่างนี้มากขึ้นทุกที เดี๋ยวนี้เกลือถังละ ๒๐ บาท คิดดู เมื่ออาตมาเป็นเด็ก ๆ ช่วยโยมตวงเกลือขาย ตวงเกลือแลกข้าว มันราว ๓ เกลือต่อข้าว เดี๋ยวนี้มัน ๓ ข้าวต่อเกลือ มันกลับกันเท่าไร สมัยนั้นมัน ๓ เกลือ ก็แลกได้ ๑ ข้าว เดี๋ยวนี้ต้อง ๓ ข้าวจึงจะแลกได้ ๑ เกลือ สมัยเมื่อก่อนเกลือถังละ ๕ สตางค์นี่ มันก็แลก ๓ เกลือกว่าจะได้ ๑ ข้าว เพราะข้าวมัน ๑๕ สตางค์ทำนองนี้ เดี๋ยวนี้เกลือถังละ ๒๐ บาท ๑๕ บาท ข้าวมันจะลงมาถังละ ๕-๖ บาท มันกลับตรงกันข้ามอย่างนี้ ทำไมไม่ลองนึกดูบ้างว่าโลกมันกลับกลอกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ถึงขนาดนี้ ทำไมหลับหูหลับตาเรื่อย ถ้าไม่สนใจเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสิ่งทั้งหลายแล้ว มันไม่มีทางที่จะหยุดหรือว่าจะละเลิกความยึดมั่นถือมั่นได้ เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนแปลงไปเปลี่ยนแปลงมา ดูแต่ผมที่อยู่บนศีรษะของคนมันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สมัยนี้คนแก่ ๆ อายุ ๖๐ ปี เกิดจะไว้ผมยาวตามแบบพวกฮิปปี้ซึ่งก็มีแล้ว แต่มันกลายไปเหมือนพระเยซู ก็ดูสวยดีเหมือนกัน เดี๋ยวจะไว้ผมสั้น เดี๋ยวจะไว้ผมยาว หมายความว่าจิตมันดิ้นรนเปลี่ยนแปลงไปตามความหลอกหลวงของโลก และความแท้จริง จริงแท้ หรือความอะไร มันอยู่ที่ตรงไหนขอให้ลองคิดดู ต้องหาให้พบ พูดกันอยู่แต่ความเจริญ ความเจริญนี่ ว่าจะเจริญมากขึ้น เจริญมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจริญด้วยถนนหนทาง ทำถนนดี ๆ วิ่งไป วิ่งมาเหมือนกับเหาะได้เดี๋ยวนี้ อย่างออกเดินทางวันนี้ พรุ่งนี้ก็ไปถึงภาคอีสานแล้ว มันก็เหมือนกับเหาะได้โดยรถไฟ ถ้าโดยเรือบินมันก็ยิ่งไปกว่านั้น แต่เราต้องดูให้ดีว่า ถนนชั้นดีเลิศนั้นน่ะมันไปถึงไหน วัดวา หรือไนท์คลับ หรือโบว์ลิ่ง มันก็จะไปถึงนั่น นี่ถนนชั้นดีเลิศไปถึงไหนก็จะมีบาร์ มีไนท์คลับ มีโสเภณีชั้นดี อยู่ที่นั่นไปถึงนั่น นี่คือความเจริญ โลกกำลังอยู่ในสถานะอย่างนี้ ในสภาวะอย่างนี้ ในวันที่ ๒๗ พฤษภาคมของปีนี้ โลกมันอยู่ในสถานะอย่างนี้ สวนโมกข์นี่บางคนเขาให้นามว่า ดีสนี่ย์แลนด์ นี่ยินดีมาก เป็นดีสนี่ย์แลนด์ทางวิญญาณ ไอ้ดีสนี่ย์แลนด์ของมิสเตอร์ดีสนี่ย์ มันก็ไปตามแบบของแก แต่ว่าของเราเป็นดีสนี่ย์แลนด์แบบวิญญาณ มีอะไรชวนให้ตลกขบขัน สนุกสนาน แต่เพื่อประโยชน์แก่ความแจ่มแจ้งในทางวิญญาณ เพราะฉะนั้นพอใจที่มันไปปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์บางฉบับว่า สวนโมกข์นี้เป็นดีสนี่ย์แลนด์ ก็น่าจะพอใจว่าวันที่ ๒๗ พฤษภาคมนี่ สวนโมกข์มีเกียรติเป็นดีสนี่ย์แลนด์ แต่ส่วนอาตมาเองนั้นอยู่ในฐานะที่กำลังถูกด่า เพราะว่าเป็นสุนัขปากร้ายไปเห่าเขาก่อน เขาก็ด่าเอาบ้างเป็นการตอบแทนมา วันนี้วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๔ กำลังถูกด่าว่าอย่างไรบ้างจะว่าให้ฟัง พวกที่หวงอภิธรรม ไม่ให้ใครแตะต้องก็ด่าอาตมาว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ทำลายพระศาสนา หาว่ามีอภิธรรมเฟ้ออภิธรรมเกิน พวกอภิธรรมเขาก็ด่ากันมาว่าอย่างนี้ นี่พวกถือไสยศาสตร์ก็ด่าอาตมา หาว่าประนามไสยศาสตร์ ที่จริงเปล่าด่าโกหกอย่างนั้นนะ อาตมายังบอกว่าไสยศาสตร์มันก็มีดี ส่วนไสยศาสตร์ดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลย พวกบ้านนอกคอกนาอยู่ป่าเขาไม่มีเจ้านายจึงต้องพึ่งผี นี่สุนทรภู่ว่า แล้วมันก็จริงอย่างนั้น ถ้ามันไม่มีอะไรจะเป็นที่พึ่งเสียเลยมันอยู่ไม่ได้คนเรา ถ้าพึ่งพุทธศาสนาไม่ได้ มันก็ต้องพึ่งไสยศาสตร์ไปก่อน แต่ถ้าประกาศตัวว่ามีพุทธศาสนาอย่างแท้จริงถูกต้องและเจริญแล้ว มันก็ไม่ควรจะมีไสยศาสตร์ พุทธศาสนาจะเจริญจริงเมื่อไร ดูได้ว่าไอ้สำนักงานเผยแผ่พุทธศาสนาต้องไม่มีศาลพระภูมิ ถ้าศาลพระภูมิมันไปหราอยู่ที่หน้าสำนักงานเผยแผ่พุทธศาสนาแล้ว มันยังเป็นเครื่องบอกว่า ยังไม่จริง ยัง ๒ พรรค ยัง ๒ ฝ่าย ยังโง่ ยังขี้ขลาด ถ้ามันออกไปเสียได้นั้นน่ะ มันจะเป็นการเผยแผ่พุทธศาสนาที่แท้จริง ทีนี้อาตมาไม่ได้หาว่าไสยศาสตร์นั้นมันไม่มีอะไรเสียเลย มันก็ช่วยคนที่ขี้ขลาดได้ไปตามความมุ่งหมายของไสยศาสตร์ แต่มันควรจะเลื่อนชั้น นี่ว่ากันอย่างนี้
ทีนี้พวกคริสเตียนเขากำลังด่าหรือมองในแง่ร้าย หรือว่าด่าในใจก็ตามใจ บางพวกก็หาว่าอาตมากำลังจะกลืนศาสนาของเขา พวกคริสเตียนด่าอาตมาว่ากำลังจะกลืนศาสนาของเขา ส่วนชาวพุทธเราก็ด่าหาอาตมาว่า เป็นคนขบถ เอาใจออกห่างไปเข้าข้างคริสเตียนแล้วนี่ มองไปข้างคริสเตียนบางพวกก็ด่าว่าอาตมากำลังไปกลืนศาสนาของเขา ในข้อที่ไปอธิบายให้เห็นว่าหัวใจของพุทธศาสนามีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลเป็นต้น ว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น มีภรรยาก็จงเหมือนกับไม่มีภรรยา มีทรัพย์สมบัติก็จงเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ มีสุขก็เหมือนกับไม่มีสุข มีทุกข์ก็เหมือนกับไม่มีทุกข์ ซื้อของที่ตลาดอย่าเอาอะไรมา นี่อาตมาไปชี้ว่านั่นที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิลนั่นน่ะ หัวใจของพระพุทธศาสนา ยังมีอีกหลายแห่ง ตั้งสิบกว่าแห่งที่ไปชี้ให้เห็นอย่างนั้น พวกคริสเตียนที่งมงาย เขาก็หาว่าอาตมากำลังจะกลืนคริสตศาสนาของเขาแล้ว เขาก็เตรียมป้องกัน ทีนี้ชาวพุทธเรา ทั้งพระ ทั้งฆราวาสนี่ บางคนก็ว่าอาตมานี่เป็นขบถแล้ว อย่างที่เรียกว่าเป็นคนที่เป็นหนอนบ่อนไส้พวกกันเองเข้าแล้ว ไปเข้าข้างคริสเตียน ส่งเสริมคริสเตียนให้เป็นของถูกของดีขึ้นมาแล้ว หรือว่าอย่างน้อยก็เหมือนกันอย่างนี้ เขาก็หาว่าอาตมาขบถทรยศต่อพระพุทธศาสนาแล้ว เพราะเขาต้องการแต่จะให้ถือว่าศาสนาของกูเท่านั้นแหละดีหรือถูก ศาสนาของคนอื่นผิดทั้งนั้น ทีนี้อาตมาทำไม่ได้ เพราะมองเห็นอยู่ว่า หัวใจของศาสนาทุกศาสนามันเหมือนกัน คือทำลายความเห็นแก่ตัว ทำลายตัวกู ทำลายของกูด้วยกันทั้งนั้นทุกศาสนา นี่พวกชาวพุทธก็ด่า พวกชาวคริสต์ก็ด่า ทีนี้มีพวกชาวพุทธแบบที่หลับตาเชื่อแต่ตัวหนังสือก็ด่า ด่าหาว่าตีความหมายในพระบาลีผิด อธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องสุญญตา เรื่องอะไรนี่มันผิดทั้งนั้น นี่ก็หาว่าอาตมาเป็นมิจฉาทิฏฐิ บางคนก็ด่าว่าเป็นคอมมูนิสต์ไปแล้ว ไปถึงที่สุดเลย ทีนี้ก็มีบางพวก คือพวกที่รู้สึกว่า การเผยแผ่ธรรมะของอาตมามันทำให้เขาเสียประโยชน์ เขาเสียเงินที่เคยได้ หรือควรจะได้ เพราะการเผยแผ่ความรู้นี้ออกไป มันไปขัดกับผลประโยชน์ ทำลายผลประโยชน์ของเขา พวกนี้โกรธมากแล้วก็ด่าอย่างคนโกรธ คนเกลียด ด่าอย่างศัตรู ด่าอย่างไม่มีอะไรเหลือ นี้เพราะว่าไอ้คำพูดที่เราเผยแผ่ออกไปนั้น มันไปขัดกับผลประโยชน์ของเขาเข้า ทีนี้ก็ยังมีพวกที่เข้าใจเรื่องจิตว่างผิด เพราะมีจิตว่างแบบอันธพาลเข้าใจแต่อย่างนั้น เราไปสอนเรื่องจิตว่างตามแบบพระพุทธเจ้า เขาเข้าใจผิด เขาก็ทั้งด่า ทั้งล้อ แล้วก็รุมกันเป็นฝูง ด่าล้ออาตมาเรื่องจิตว่างนี่ นี้มันก็มีอยู่พวกหนึ่ง แล้วยังมีพวกที่หลงพระพุทธรูปก็ด่าอาตมาหาว่าประนามพระพุทธรูป นั่นมันหลับตาพูด มันโกหก อาตมาไม่เคยด่าพระพุทธรูปไม่เคยประนามพระพุทธรูป เคยแต่ชักชวนชี้แจงว่าจงมองให้ทะลุพระพุทธรูป จงมองให้ทะลุพระพุทธรูปออกไปก็จะเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่อยู่ข้างหลังพระพุทธรูป เคยพูดว่าพระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้านี้เคยพูด แต่ไม่ใช่ด่าพระพุทธรูป ว่าพระพุทธรูปนี้เขาไว้เป็นสัญลักษณ์ เป็นอนุสาวรีย์ เป็นวัตถุอนุสรณ์ เป็นเครื่องหมาย เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าเอามาตั้งลงไว้ ให้เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า แต่ว่ายังไม่ถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง จะต้องมองให้ทะลุอกของพระพุทธรูปไปยังพระพุทธเจ้าพระองค์จริงซึ่งเป็นนามธรรม เหมือนอย่างที่ชาวอินเดียสมัยพุทธกาลเขาถือว่า พระพุทธเจ้าพระองค์จริงนั้นแสดงไม่ได้ด้วยรูปภาพ ฉะนั้นในหินสลักพุทธประวัติที่เอามาติดไว้ให้ดูนี่ ไปค้นดูเถอะไม่มีรูปพระพุทธเจ้าเลย ตรงนั้นเขาจะทิ้งว่างไว้ เพราะเขาถือหลักว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริง หรือพระธรรมพระองค์จริงนี่แสดงไม่ได้ด้วยรูป ดังนั้นเราต้องดูให้ทะลุรูป ทะลุพระพุทธรูปเข้าไปถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง อย่างนี้ไม่ใช่ประนามพระพุทธรูป แต่บอกให้รู้ว่าเราจะต้องทำอย่างไรกับพระพุทธรูปนั้น ๆ เขาก็มาด่าอาตมาว่าเป็นผู้ประนามพระพุทธรูปหรือว่าเหยียดหยามพระพุทธรูป
ทีนี้พวกสุดท้ายก็คือพวกวัตถุนิยมทั่ว ๆ ไป ทั้งฝรั่ง ทั้งไทย พวกนี้ยิ่งโกรธมาก ยิ่งด่ามาก สาปแช่งอาตมาว่าเป็นผู้ที่ไม่ควรคบ เพราะว่าไปตำหนิวัตถุ ตำหนิวัตถุนิยม ความหลงใหลในวัตถุ ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง หรือที่จะได้มาจากวัตถุนี้ ข้อนี้ต้องสารภาพว่าอาตมาตำหนิติเตียนวัตถุนิยมอยู่ตลอดเวลา ทีนี้เขาก็โกรธ ทั้งไทย ทั้งฝรั่ง ฝรั่งเป็นเอามากกว่าไทย ก็หลงใหลในวัตถุมากกว่าไทย แต่รวมความแล้วก็ว่าคนในโลกแทบทั้งหมดนี่ยิ่งเหหันไปในทางวัตถุนิยม บูชาวัตถุ เป็นทาสวัตถุมากขึ้นทุกที ใครเป็นอย่างนี้ คนนั้นด่าอาตมาทั้งนั้น ก็ได้ยินว่า ติเตียนวัตถุนิยมก็ต้องชวนกันด่า นับดูมันได้ตั้ง ๑๐ พวกที่รุมกันด่าอาตมาคนเดียว พวกหวงอภิธรรม พวกไสยศาสตร์ พวกคริสเตียน พวกพุทธแบบเข้าใจผิดเรื่องนี้ แล้วพวกพุทธที่เชื่อตามตัวหนังสือ พวกที่รู้สึกว่าเราทำขัดผลประโยชน์ของเขา พวกเข้าใจจิตว่างผิด พวกไม่เข้าใจเรื่องทางวิญญาณ เช่นความเกิดทางวิญญาณก็ด่า พวกที่หลงพระพุทธรูปก็ด่า พวกหลงวัตถุนิยมก็ด่า รวมเป็น ๑๐ พวกพอดี ยังมีมากกว่านี้แต่ขี้เกียจเอามาเล่า เพราะว่า ๑๐ พวกนี้มันก็มากแล้ว นี่วันที่ ๒๗ พฤษภาคมปีนี้ อาตมากำลังอยู่ในฐานะที่ว่า คนตั้ง ๑๐ พวกเขาด่า แล้วเหตุการณ์อันนี้มันไม่น่าล้อหรืออย่างไร รู้สึกว่าชีวิตปี ๒๕๑๔ ยิ่งเป็นปีที่น่าล้อ น่าเอามาล้อเล่นยิ่งกว่าปีที่แล้ว ๆ มา และก็เดี๋ยวก็จะล้อให้ฟัง แต่ขอสรุปความในตอนนี้เสียทีก่อนว่าโลกทั้งหลายมันอยู่ในสถานะอย่างนี้ โลกทั้งปวงน่ะมันอยู่ในสถานะอย่างนี้ อาตมาเองก็อยู่ในสถานะอย่างนี้ รวมความแล้ว มันอยู่ในฐานะที่ไม่ควรประมาท ขอให้เราทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาท อาตมาก็จะได้ไม่ประมาทกับเขาด้วยเหมือนกัน และก็จะได้ขยันล้ออายุให้ท่านทั้งหลายฟังให้มันมากขึ้นไปกว่าปีที่แล้วมา ขอให้ตั้งใจฟังให้เป็นอย่างดี พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุสฺสุสํ ลภเต ปัญญํ (นาทีที่ 37:33)ผู้ฟังด้วยดี จึงจะได้ปัญญา ถ้ามันนั่งหลับอยู่มันก็ฟังไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นก็ต้องฟังให้เข้าใจ แล้วก็จะได้ปัญญา อาตมาก็ไม่ต้องเหนื่อยเปล่า ไม่เสียเวลาเปล่า
ทีนี้ก็จะได้พูดถึงเรื่องที่จะล้อกันไปตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า ทำบุญล้ออายุ ในการทำบุญอายุทั่ว ๆ ไปที่ไหนก็ตามเขามีการให้ของขวัญกัน เขาเอาของขวัญแจกแก่ผู้ที่มาร่วมงานก็มี คือผู้ที่มาร่วมงานเอาของขวัญมาให้ผู้ที่ทำบุญอายุนั้นก็มี มันกลายเป็นให้ทั้ง ๒ ฝ่าย อาตมาก็ให้เหมือนกัน และก็ยินดีจะรับของขวัญจากท่านทั้งหลายด้วยเหมือนกัน ของขวัญนี้คือว่าอดข้าวเสียสัก ๒๔ ชั่วโมงกินแต่น้ำ นี่อาตมากำลังให้ของขวัญแก่ท่านทั้งหลายอย่างนี้ ๒๔ ชั่วโมงนี้จะไม่กินข้าวไม่กินอาหาร จะกินบ้างก็แต่น้ำ นี่เป็นของขวัญที่จะให้แก่ท่านทั้งหลาย เหมือนปีที่แล้วมา ๒ – ๓ ปีที่แล้วมา แล้วถ้าท่านผู้ใดผู้หนึ่งจะให้ของขวัญแก่อาตมาในวันเกิดนี้ ก็ให้ของขวัญนี้อย่างเดียวกัน คือ ๒๔ ชั่วโมงนี้อย่ากินข้าว กินแต่น้ำ นี้ก็มีหลายคนที่ให้ของขวัญนี้แก่อาตมา ก็ขอบใจเป็นอย่างยิ่งในวันนี้ นี้เรียกว่าของขวัญที่แท้จริงที่อาตมาให้และต้องการ นอกนั้นก็จะให้หนังสือ ให้รูปภาพที่มากองอยู่ที่นี่ นี่ของขวัญเด็กเล่น ของขวัญเด็กอมมือ ของขวัญที่แท้จริงก็คือว่า อดข้าวเสียสัก ๒๔ ชั่วโมงกินแต่น้ำ หรือกินยาอะไรบ้างก็ได้ ถ้ามันเป็นลม ถ้ามันจะเป็นลม ถ้ามันพูดมาก
ทีนี้เราก็ต้องพิจารณาดู ไอ้สิ่งที่เรียกว่าของขวัญข้อนี้กันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร ทำไมจึงถือว่า ไอ้ของขวัญวันล้ออายุนี่ที่ดีที่สุดคือการอดข้าว ฉะนั้นจะขอเล่าเรื่องการอดข้าว จะเล่าเรื่องการอดข้าวของพระพุทธเจ้าเองก่อน การอดข้าวของพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่ คือ ๒ ชนิด คืออดข้าวก่อนจะตรัสรู้ และก็อดข้าวหลังจากการตรัสรู้แล้ว อดข้าวเมื่อก่อนตรัสรู้นั้น ท่านทั้งหลายเคยก็ได้ยินได้ฟังว่าทำความเพียรทุกขรกิริยา ไม่ได้ฉันอาหาร อยู่เท่านั้นเท่านี้ อย่างนั้นอย่างนี้ ทีนี้อดข้าวหลังจากตรัสรู้แล้วนั้น หมายความว่า เพราะปีติปราโมทย์ท่วมทับ ฉันไม่ลงหรือลืมฉัน เหมือนคนถูกลอตเตอรี่มาก ๆ มันลืมหิวข้าวอย่างนั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้และอำนาจของปีติปราโมทย์หรืออะไรในการตรัสรู้นั้น ทำให้ลืมฉันข้าวไปตั้ง ๗ วัน หรือที่ในคัมภีร์ทั่วไปว่า ๗ วัน ๗ ครั้ง คือ ๔๙ วัน นี่ว่าพอตรัสรู้ขึ้นมาทันที ลืมฉันข้าวไป ตั้ง ๔๗ วัน (นาทีที่ 41:45) บางคนค้านว่ามันคงสัก ๗ วันมัง ก็เป็นว่าไอ้ ๔๗ วันนี่มันมากเกินไป แต่มันก็มีทักอยู่ในพระคัมภีร์อย่างนั้นด้วย ทีนี้เราจะอ่านตรงนี้ว่า พระพุทธเจ้าท่านได้นำมาเล่าเองทีหลัง เล่าแต่โพธิราชกุมารมีข้อความที่จะเอามาอ่านให้ฟังว่า ดูก่อนราชกุมาร ความคิดอันนี้ได้เกิดขึ้นกับเราว่า ถ้ากระไรเราพึงอดอาหาร โดยประการทั้งปวงเสีย ดูก่อนราชกุมาร ครั้งนั้นพวกเทวดาได้เข้ามาหาเรา แล้วกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ท่านอย่าปฏิบัติการอดอาหารโดยประการทั้งปวงเลย ถ้าท่านจะปฏิบัติการอดอาหารโดยประการทั้งปวงแล้วไซร้ พวกข้าพเจ้าจะแทรกโอชาอันเป็นทิพย์ลงตามขุมขนของท่าน ท่านจักได้มีชีวิตอยู่ด้วยโอชาอันเป็นทิพย์นั้น ดูก่อนราชกุมาร ความคิดนี้ได้เกิดขึ้นกับเราว่า เราปฏิญญาการไม่บริโภคอาหารโดยประการทั้งปวงด้วยตนเองแล้ว ถ้าเทวดาเหล่านี้จะแทรกโอชาอันเป็นทิพย์ลงตามขุมขนแห่งเราแล้ว ถ้าเราจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยโอชาอันเป็นทิพย์นั้น นั่นจะเป็นมุสาแก่เรา เราจะเป็นคนมุสา ดูก่อนราชกุมาร เราบอกห้ามกับเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นว่า อย่าเลย นี้ก็เป็นเรื่องตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าท่านอดอาหารเพื่อการค้นคว้า เพื่อการตรัสรู้ มีอยู่อย่างนี้ และขอให้สังเกตุตรงข้อที่ว่า ท่านเป็นคนจริงที่เทวดาไหนจะมาช่วยเหลืออย่างไร ท่านก็ปฏิเสธ ข้อความตอนนี้กล่าวไว้หลายอย่างต่าง ๆ กัน เป็นอย่างบุคลาธิษฐานก็มี ธรรมาธิษฐานก็มี ว่ามีเด็กเลี้ยงแพะเอาน้ำนมแพะมาหยอดก็มี มัน มันจะมีอย่างไรก็ตามใจ แต่มันสรุปความว่าพระพุทธเจ้าท่านอดอาหารและก็ต้องจริง
ทีนี้ไปดูอีกตอนหนึ่ง เมื่อตอนทำทุกขรกิริยาจริง ๆ นั้น ท่านประพฤติวัตรแห่งการอดอาหารตามที่มีอยู่ในสมัยนั้นคือว่า อดเลยก็มี ฉันนิดหน่อยก็มี กระทั่งว่า ฉันมูตรและกรีส (นาทีที่ 44:39)ของพระองค์เองก็มี ข้อความนี้ตรัสแก่พระสาลีบุตรในตอนหลังว่า ดูก่อนสาลีบุตร เรานั้นโคเหล่าใดออกจากคอกหาคนเลี้ยงไม่ได้ เราก็คลานเข้าไปที่ฝูงโคนั้น ถือเอาโคมัย (นาทีที่ 44:59) ของลูกโคน้อย ๆ ที่ยังดื่มนมแม่เป็นอาหาร ดูก่อนสาลีบุตร มูตรและกรีส นี่คืออุจจาระและปัสสาวะของตนเองยังไม่หมดอยู่เพียงใด เราก็ถือเอามูตรและกรีส นั้นเป็นอาหารตลอดกาลเพียงนั้น ดูก่อนสาลีบุตร นี้แลเป็นวัตรในมหาวิกะตะโภชนาวัตร (นาทีที่ 45:26)ของเรา นี่มันแปลกออกไปถึงว่า พระพุทธเจ้าท่านอาศัยมูตรและกรีส คืออุจจาระปัสสาวะของพระองค์เองหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่พักหนึ่ง จนกว่ามันไม่มี ท่านก็ยังไม่ตาย เห็นไหม นี้เราอดข้าววันเดียวกลัวว่าจะเป็นลมและกลัวว่าจะตาย แต่พระศาสดาของเรานี่เป็นอีกอย่างหนึ่ง เรื่องอดอาหารดยประการทั้งปวงนั้นก็ไม่ตาย ฉันอุจจาระปัสสาวะของตนเองจนท่านไม่มีจะฉัน มันไม่มีออกมาให้ฉัน มันก็ยังไม่ตาย ข้อที่เรากลัวกันมากนั้น มันเป็นความกลัวที่อย่างไร ๆ อยู่ ขอให้ลองคิดดู
นี้ส่วนที่อดอาหาร อดอาหารไปโดยไม่รู้สึกตัวหลังจากการตรัสรู้นั้นเพราะว่า ปีติ อำนาจของปีติ ถ้าจะแปลปีตินี้ว่าเป็นอาหารทิพย์มันก็ได้เหมือนกัน เป็นเทวดามาใส่ให้ก็ยังได้ คนที่ดีใจอะไรจนลืมกินข้าวนี้ก็มีอยู่บ่อย ๆ นี้เป็นเรื่องที่เชื่อได้ว่าพระพุทธเจ้าท่านลืมฉันข้าวตั้ง ๗ วันหลังตรัสรู้นี้เป็นจริงได้ แต่อาศัยปีตินี้อดข้าวตั้ง ๔๗ วันนั้นยังเป็นปัญหา ยังไม่กล้าวิจารณ์ แต่ผู้ที่เข้าอยู่ในนิโรธสมาบัติ ไม่ต้องกินอาหาร ๑๕ วันนี้เป็นของธรรมดา รู้เรื่องการไม่กินอาหารกันไว้ในลักษณะอย่างนี้บ้าง ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านอดอาหารเป็นของไม่ประหลาดอะไร ไม่ทำให้ใครตาย ทีนี้จะไปดูถึงการอดอาหารของพระศาสดาองค์อื่น ๆ บ้างเพื่อเป็นการเปรียบเทียบกัน ก็อยากจะพูดถึงเรื่องของพระเยซู พระเยซูก่อนจะตรัสรู้ ใช้คำว่าตรัสรู้ให้เขาด่าอีกตามเคยว่าพระเยซูก็ตรัสรู้ คือก่อนแต่ที่ท่านจะพอใจในตัวเองแล้ว ออกสั่งสอนคนอื่นนั้น ท่านก็ไปอยู่ในป่า ในภูเขา ทำความเพียรตามแบบของท่านและก็ไม่ได้กินอาหาร ได้ยินว่าตั้ง ๒๐ - ๓๐ วันเหมือนกัน ทีนี้ซาตานก็เข้ามาบอกว่า โอ้ย, เป็นลูกพระเจ้าหิวอยู่ทำไม เสกก้อนหินบนภูเขาเหล่านี้ให้มันเป็นอาหารขึ้นมา คือเป็นขนมปังขึ้นมาเพราะคำว่าขนมปังคืออาหารของชนชาติยิวในสมัยนั้น พระเยซูก็ตอบอย่างนุ่มนวลคล้าย ๆ พูดกันตรง ๆ ตรง แล้วก็ว่า ไอ้บ้าอย่าพูดอย่างนั้นสิ ชีวิตมันไม่ได้อยู่ได้ด้วยขนมปัง แต่มันอยู่ได้ด้วยพระธรรมของพระเจ้า พระธรรมของพระเจ้านั้นคือพระธรรม พระธรรมก็ของพระธรรมหรือของพระเจ้า ชีวิตมันอยู่เป็นชีวิตแท้จริงได้เพราะพระธรรม ไม่ใช่อยู่เพราะข้าวปลาอาหาร นี่พระเยซูท่านตอบพญามารว่าอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ได้ฉันอาหารมาตั้ง ๒๐-๓๐ วันแล้ว เดี๋ยวนี้คนเรามันเป็นพวกซาตาน คิดว่าชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารไม่ได้กินสักวันมันก็จะตาย นี่พระเยซูท่านเป็นผู้ เป็นพระศาสดาของศาสนาคริสเตียนท่านบอกอย่างนี้ ถ้าจะไม่ให้ชาวพุทธเลวกว่าชาวคริสต์แล้วจะต้องทำอย่างไรก็ไปขยับขยายปรับปรุงดูเองก็แล้วกัน ฉะนั้นการอดอาหารบ้างบางครั้งบางคราวบางวันนั้นเป็นเรื่องง่าย ๆ เหมือนกับเด็กอมมือ ถ้าความกลัวมันมากนัก มันเกินไปแล้ว มันก็จะตายเสียตั้งแต่ยังไม่ทันจะอด การที่รู้จักอดดูบ้าง มันคงจะทำให้ฉลาด
เอาทีนี้มาถึงตัวเองดีกว่า อาตมาอดข้าววันนี้มันอยู่ได้เพราะความปีติที่มันท่วมท้นอยู่ในใจว่าได้รับใช้ท่านทั้งหลายมาอีก ๑ ปีเต็ม เป็นพุทธทาสรับใช้พระพุทธเจ้ามาอีก ๑ ปีเต็ม ทำหน้าที่ทาสของพระพุทธเจ้าคือ ด่าท่านทั้งหลายมา ๑ ปีเต็ม นี่เป็นปีติปราโมทย์ที่หล่อเลี้ยงไว้ได้ วันนี้มานึกถึงแล้วไม่ต้องกินข้าวสัก ๒๔ ชั่วโมง มันมีชีวิตอยู่ได้เพราะปีตินี้มันท่วมท้น รับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า นี่พวกคริสเตียนว่าอาตมาว่ารับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ช่วยเหลือผู้อื่น ให้ทำประโยชน์ผู้อื่น ให้ทำแสงสว่างแก่ผู้อื่น เมื่ออาตมาไปรับใช้ผู้อื่นในลักษณะอย่างนี้นั่นแหละคือรับใช้พระพุทธเจ้า ให้มันสมกับชื่อว่า พุทธทาส คือผู้ที่เป็นทาสของพระพุทธเจ้าและก็อย่าเข้าใจว่าเป็นแต่อาตมาคนเดียว ใครก็ตามถ้ารับใช้ผู้อื่นในกรณีนี้แล้วก็เป็นพุทธทาสด้วยกันทั้งหมด ก็มานึกถึงเรื่องอย่างนี้มันปีติขึ้นมา มันกลับอิ่มโดยไม่ต้องกินข้าว มันน่าขันไหม ใจมันกลับอิ่มโดยไม่ต้องกินข้าว แต่ร่างกายจะเป็นอย่างไรบ้างนี้คอยดูต่อไป เมื่อเชื่อว่าร่างกายมันอยู่ใต้อำนาจของจิตใจแล้ว มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้ามันหิวขึ้นมาจริง ๆ จะกินอะไร กินก้อนหินไม่ได้ ก็ต้องกินอานาปานสติขั้นที่ ๔ คือไปบำเพ็ญอานาปานสติขั้นที่ ๔ ระงับกายสังขารอยู่ เวลานั้นมันจะมีความอิ่ม ความไม่หิว ถ้าหิวจริง ๆ ก็จะต้องลุกหนีไปหาอานาปานสติขั้นที่ ๔ มันก็ระงับหิวได้ เกินกว่า ๒๔ ชั่วโมงก็ได้นี้ แต่เดี๋ยวนี้ยังไม่ต้องทำอย่างนั้น มันอยู่ได้ด้วยปีติที่ว่ารับใช้พระพุทธเจ้ามาด้วยดี ครบรอบ ๑ ปีวันที่ ๒๗ พฤษภาคมวันนี้ มันก็อดข้าวได้ นี่ไปประมวลดูเองว่าพระพุทธองค์ท่านอดอาหารในลักษณะอย่างไร พระเยซูอดอาหารในลักษณะอย่างไร เราซึ่งเป็นเพียงบ่าวเพียงทาสของพระพุทธเจ้านี้ ที่เราอดอาหารได้ในลักษณะอย่างไร ถ้าดูไป ดูไป จนเข้าใจแล้วจะเห็นได้ว่า ไอ้เรื่องอดอาหารนี้มันไม่ใช่ของเล็กน้อยไม่ใช่ของไร้ค่า ไม่ใช่ของไร้สาระ ไม่ใช่ของไม่มีเกียรติ แต่มันกลับจะเป็นของมีเกียรติอย่างสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ทรงกระทำมาแล้วเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นมันจึงเหมาะที่จะให้แก่กันและกันเป็นของขวัญ อาตมาจึงให้การอดอาหาร ๒๔ ชั่วโมงเป็นของขวัญแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าท่านทั้งหลายอยากจะให้ของขวัญแก่อาตมาบ้างก็จงให้ของขวัญอย่างเดียวกัน เหมือนที่ได้เคยพูดมา ๒ ปีหรือ ๓ ปีก็มาแล้ว ตั้งแต่การพูดในการทำบุญล้ออายุ นี่มันเป็นของขวัญที่แท้จริง ไม่ใช่ของขวัญที่ไปซื้อมาจากตลาดห่อกระดาษเขียว ๆ แดง ๆ มันไม่กี่สตางค์ แต่ถ้าของขวัญอย่างนี้แล้วมันคงจะเป็น อนรรฆะ อนรรฆะ (นาทีที่ 54:18) แปลว่า อยู่เหนือวิสัยการตีราคา คือมันตีไม่ได้ ของขวัญอย่างนี้มันตีราคาไม่ได้ ดังนั้นมันควรจะเป็นของขวัญ
ทีนี้ถ้าจะพูดให้มันมากเรื่องออกไปมันก็คงจะพูดได้ มันเป็นของขวัญที่น่าสนใจ สมมติว่าถ้าเป็นไปได้หรือมันเป็นบังเอิญที่เป็นไปได้ ถ้าทุกคนในประเทศไทยรวมกันให้ของขวัญอันนี้แก่อาตมาในวันนี้ คนละ ๑ วันนี้ พลเมืองของประเทศไทยตั้ง ๓๐ ล้านคน มันจะประหยัดเงินของประเทศชาติได้ ๓๐๐ ล้านบาทจะไปใช้ค่าดุลการค้าสมกันหรือไม่อะไรก็ตามใจ มันก็จะประหยัดได้ ๓๐ ล้านบาท (นาทีที่ 55:17) เป็นอย่างน้อย นี่สมมติว่า คนในประเทศไทยนี่กินข้าววันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง อาหารทั้งหมดที่กินเข้าไปนั้น ถัวเฉลี่ยแล้วว่าคนหนึ่งก็สัก ๑๐ บาทเถอะ เพราะบางคนเขากินเป็นร้อย ๆ ก็มี บางคนไม่ถึง ๑๐ บาทก็มี เฉลี่ยกันว่า เอ้อ, ถัวเฉลี่ยกันว่ามันคนละ ๑๐ บาท ทีนี้ ๓๐ ล้านคน มันก็เป็นถึง ๓๐๐ ล้านบาท นี่เงิน ๓๐๐ ล้านบาทไม่ใช่เล่น นี่ก็พูดเห่อ ๆ เพ้อ ๆ ไปว่า ถ้าทุกคนให้ของขวัญแก่อาตมา วันเดียวเท่านี้จะประหยัดเงินได้ ๓๐๐ ล้านบาท นี่โดยตรง ทีนี้มันยังมีประหยัดโดยอ้อมอีกล่ะ ถ้าวันนี้มันไม่กินข้าวกันทุกคน มันก็ไม่ไปไนท์คลับ ไม่ไป ไม่ไปบาร์ ไม่ไปเมาเหล้าเมายาที่ไหน มันก็ยังประหยัดตัวนั้นได้อีกมากมายหลายร้อยล้านบาท นี่คือสิ่งที่ไม่คิด มันก็ไม่เห็น ถ้าคิดมันก็พอจะคิดเห็น นี้เรียกว่า ถ้ามันเป็นไปได้ว่าใครจะเกิดมีบุญบารมี อำนาจวาสนามากถึงขนาดว่า ทุกคนในประเทศช่วยกันให้ของขวัญวิธีนี้ คนหนึ่งวันเดียวเท่านั้น มันก็ประหยัดได้ถึงหลายร้อยล้านบาท แล้วก็ไม่มีใครตายแน่ มันจะตายก็แต่คนที่เป็นโรควิกลจริตคิดมากเกินไป ตายตั้งแต่ยังไม่ทันอด ไอ้อดด้วยจิตใจที่พอใจด้วยปีติปราโมทย์ ด้วยเหตุผลนี้ไม่มีใครตายแน่ นี่จะจริงหรือไม่จริงฝากไว้คิดดู นี้ประโยชน์อานิสงส์อย่างอื่นยังมีอีก อาตมาปรากฏอยู่ด้วยตนเองว่า วันนี้อดอาหาร ๒๔ ชั่วโมง รุ่งขึ้นท้องไส้ดีมาก การย่อยอาหารดีมาก เส้นประสาทดีมาก ดีมากกว่าวันนี้ จริงไม่จริงก็ลองดู ใครอยากรู้ก็ลองดู แต่ต้องลองด้วยจิตใจที่ปกติ ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่ใช่ขี้ขลาดจะตายเสียตั้งแต่ก่อนอด กระเพาะอาหารหรือลำไส้หรืออะไรก็สุดแท้มันได้พักผ่อน ๒๔ ชั่วโมง วันรุ่งขึ้นมันเข้มแข็ง มันแข็งแรง มันหิวแล้วมันจะกินได้มาก ไม่มีใครตาย ไม่มีใครเป็นอะไร ทุกอย่างดีขึ้น แล้วถ้าคนชอบอดอาหารกินอาหารน้อย ๆ คอรัปชั่นในโลกนี้มันจะน้อยลงไป ไอ้เรื่องคอรัปชั่นนั้นเอาไปใส่ปากใส่ท้องทั้งนั้นแหละ ทีนี้ถ้ามันกินน้อยข้าว หรือไม่กินเสียเลย คอรัปชั่นมันก็จะต้องน้อยลงโดยอัตโนมัติอย่างแน่นอนนี่ นี้คนอย่างอาตมาจะไปชักชวนคนทั้งโลกให้อดข้าว ๑ วันนี่ทำไม่ได้ ไม่เห่อถึงขนาดนั้น มันต้องเป็นคนที่ชนะใจคนทั้งประเทศ คนทั้งโลก แต่ก็ยืนยันว่ามันเป็นสิ่งประเสริฐที่จะช่วยโลกได้คือการอดข้าว ชนิดที่ทำให้จิตใจของคนนั้นมันบรรเทาความหลงใหลในความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง หลงใหลในการกลัวตาย หลงใหลไม่เข้าเรื่องเข้าราวอย่างอื่นอีกมาก นี้การอดข้าวเป็นของขวัญชั้นเลิศชั้นวิเศษอย่างนี้ เพราะฉะนั้นใครให้แก่อาตมาก็ขอแสดงความขอบคุณอย่างยิ่ง บอกไม่ถูกในวันนี้ในโอกาสนี้
นี้เราพูดกันถึงของขวัญและอยากจะให้มองเห็นต่อไปถึงในข้อที่ว่า ในเรื่องอดข้าวนี้มันเป็นบท บทฝึกหัด จะถือศีลกินเพลมันก็ต้องอด ถืออุโบสถมันก็ต้องอดเสียครึ่งวันนี่ มันเป็นบทเรียน เคยอ่านใน พบในพระคัมภีร์ว่าครั้งพุทธกาล ในเมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้วหรือยังไม่เกิดก็ตาม การอดข้าวนี้เป็นของธรรมดา ศาสนาอื่นเขาอดยิ่งกว่าในพุทธศาสนา ทายก ทายิกาในศาสนาไชนะ นิครนถ์ (นาทีที่ 59:59) ที่เป็นคู่แข่งขันกับพุทธศาสนา นี่ยิ่งอดข้าวเก่งกว่าพวกทายก ทายิกาในพุทธศาสนา ถึงวันอุโบสถ ทายก ทายิกาในพุทธศาสนาอดครึ่งวัน แต่พวกไชนะ พวกนิครนถ์จะอดทั้งวัน มันเก่งกว่าเสียอย่างนี้เรื่อย ฉะนั้นศาสนาไชนะไม่สูญไปจากอินเดีย พุทธศาสนาสูญไปจากอินเดีย เป็นปัญหายุ่งยากจนอยู่ทุกวันนี้ ทีนี้พุทธบริษัทอดข้าวในวันอุโบสถเพียงครึ่งวัน มันก็ทำให้กิเลสน้อยกว่า จะเป็นผู้บังคับตัวได้ดีกว่า มีอนามัยดีกว่า กระปรี้กระเปร่ากว่า ฉะนั้นจึงถือเป็นบทเรียน หรือเป็นแบบฝึกหัดในพุทธศาสนา วันอุโบสถจะต้องอดอาหาร ถ้าสมมติว่าอาหารวันหนึ่งมีค่า ๑๐ บาท อดอาหารครึ่งวันมันคงจะลดไปได้ ๕ บาท ทีนี้คนทั้งประเทศ ๓๐ ล้านคนถือศีลอุโบสถกันจริง ๆ เดือนหนึ่งก็มีอยู่ ๔ ครั้ง ก็ประหยัดเงินได้ครั้งละ ๑๕ ครั้งละ ๑๕๐ ล้านบาท เดือนหนึ่งก็จะประหยัดค่าอาหารของประเทศได้ ๖๐๐ ล้านบาท ถ้าสมมติว่าเป็นพุทธบริษัทกันทุกคนและถือศีลอุโบสถกันจริง ๆ ทุกคน เดือนละ ๔ ครั้งนี่ นี่ไม่ต้องอดทั้งวันหรือ อดจากถือศีลอุโบสถก็ยังมีผลอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครจะถือศีลอุโบสถ มันโง่ มันบ้า มันขี้ขลาดตาขาว มันอะไรก็ตามใจ ไม่ถือศีลอุโบสถเพราะกลัวอดข้าวนี้เท่านั้นแหละ นอกนั้นมันก็ไม่ยากอะไร นี่มันจะถือกันได้อย่างไร เพียงอดบุหรี่ มันยังทำไม่ได้ มันไม่ยอม ทั้ง ๆ ที่บุหรี่มันเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่สุด มันก็ยังไม่ยอมละ ไม่ยอมทิ้ง นั่นเป็นข้อแก้ตัวว่ากูไม่ถือศีลอุโบสถ เพราะจะต้องอดอาหารครึ่งวันอย่างนี้ นี่ขออธิษฐานภาวนาว่าเมื่อไรจะมีอะไรมาบันดาลดลให้พุทธบริษัทไทยทั้งหลายหายขี้ขลาด ถืออุโบสถกันจริง ๆ ตามวันอุโบสถกันถ้วนทุกคน ทั้งประเทศ ศาสนาอื่นเขาก็มีถือศีลอด และก็อดกันจริง ๆ ศาสนาอิสลามถือบวชเดือนรอมฎอนอย่างนี้ไม่ ไม่ ไม่ ไม่กินแม้แต่น้ำลายอย่างนี้ คงคอแห้งพูดเทศน์อย่างนี้ไม่ได้ ฉะนั้นขอให้นึกถึงเรื่องนี้กันให้มาก อย่าได้เป็นที่น้อยหน้าชาวต่างศาสนาที่เขาเห็นว่าการถือศีลอดนั้นเป็นของธรรมดา อย่าให้น้อยหน้าสุนัขและแมวนี่ ไอ้พวก ๔ ตัวนี้ตามอาตมามาตั้งแต่ตี ๖ มันไม่เคยกลับไปกินอาหาร ยังนอนอยู่ที่นี่ อาตมาไม่ไปมันคงไม่กลับไปกินอาหาร มันจะพลอยให้ของขวัญอาตมาไปด้วย ทั้ง ๔ ตัวนี้ จะจริงหรือไม่จริงก็ค่อยดูกันไปตลอดวัน
ทีนี้อยากจะพูดว่าอย่าให้มีความสามารถน้อยกว่าปลากัด อยากจะเล่าเรื่องปลากัด อาตมาเด็ก ๆ ชอบเลี้ยงปลากัด นายจอน จันทร์ทะเวช (นาทีที่ 01:04:04) เขาเป็นเพื่อนเล่นกัน เขามาพิสูจน์ให้ดูว่าปลากัดของเขาไม่ได้กินอาหารเดือนหนึ่งแล้ว ไม่ตาย ปลากัดอยู่ในขวดมีหญ้าเส้นหนึ่งแหย่อยู่เท่านั้น ไม่ให้มันกินอะไรเลยเดือนหนึ่งแล้วมันยังไม่ตาย มันทำอย่างพระพุทธเจ้า คือมันถ่ายออกมา มันกินกลับเข้าไปอีก มันถ่ายออกมา มันกินกลับเข้าไปอีก มันทำเหมือนพระพุทธเจ้าที่เล่าไว้ในสูตรนั้น เดือนหนึ่งมันยังไม่ตาย นี่ปลากัด แต่มันผอมลงมาก นี่เราอย่า อย่าเก่งน้อยกว่าปลากัดเลย ในที่สุดมันก็จะสรุปได้ว่า ไอ้เรื่องอดข้าวนี่มันเป็นเรื่องเล่น ๆ อย่าคิดให้มากไป อย่ากลัวให้มากไป
นี่เรื่องของขวัญวันเกิดวันนี้ มันก็เป็นที่เข้าใจกันแล้ว คงจะไม่คิดว่าอาตมาอุตริวิตถารอะไรมากเกินไปที่ให้ของขวัญอย่างนี้ หรือรับของขวัญอย่างนี้ มีประโยชน์มหาศาลอย่างนี้ มันเป็นบทเรียนตั้งต้น เป็นบทเรียนท่ามกลาง เป็นบทเรียนเบื้องปลาย จะมีความเห็นแก่ตัวน้อยเข้า เพราะว่าบังคับตัวเองได้ดีขึ้น แล้วทีนี้พูดเรื่องอื่นต่อไปอีก เกี่ยวกับการทำบุญอายุนี่ ก็มีการรดน้ำ สรงน้ำ ให้น้ำอะไรกัน เขาเรียกว่าสรงน้ำ มันมีธรรมเนียมมาแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ แต่มองเห็นกันอยู่ทั่ว ๆ ไปทั้งประเทศว่าทำบุญอายุให้ใครแล้วก็ต้องไปสรงน้ำให้คนนั้น ถวายน้ำให้คนนั้นคนนี้ นั่นเขาว่าทำบุญอายุแบบต่ออายุ เดี๋ยวนี้อาตมาทำบุญอายุแบบล้ออายุ ไม่ใช่ต่ออายุ ฉะนั้นจึงไม่ต้องมีการรดน้ำสรงน้ำ อาตมาไม่ต้องการต่ออายุ ต้องการจะล้ออายุ ดังนั้นจึงไม่ต้องการให้ใครรดน้ำ อาตมาเกิดมาสำหรับด่าคน แล้วใครมันจะมารดน้ำให้ เพราะมันเกิดมาสำหรับด่าคน ทำงานด่าคนอยู่ตลอดขวบปี รอบปีอยู่เสมอ ที่ด่ามากที่สุดก็ด่าคนที่ชอบทำตัวให้เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ก็ชอบทำตัวให้เป็นทุกข์ ไม่ควรจะโลภ มันก็ไปโลภ ไม่ควรจะโกรธมันก็ไปโกรธ ไม่ควรจะหลงมันก็ไปหลง ไม่ควรจะขี้ขลาดมันก็ไปขี้ขลาด ไอ้พวกเหล่านี้เรียกว่าพวกที่ชอบทำตัวให้เป็นทุกข์ นี่พวกที่ต้องด่ามากกว่าพวกอื่น นี่เกิดมาสำหรับด่าคนอย่างนี้ แล้วใครมันจะมารดน้ำให้ ฉะนั้นจึงไม่ต้องการ นี่มันด่าภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา กระทั่งอันธพาลนอกศาสนาหลงแต่วัตถุ ด่าดะไปทั้งโลก บทความแปลเป็นภาษาต่างประเทศมันก็มีมากขึ้น ก็มีคนโกรธหรือเกลียดอาตมา เป็นวงกว้างไปในโลก แล้วดูให้ดีอาตมาไม่ใช่แมว อาตมาไม่ใช่แมวที่จะเอาน้ำมาสาดแล้วมันจะหยุดอาละวาด ถ้าเป็นแมวเอาน้ำไปสาดมันก็หยุดอาละวาด เห็น ๆ กันอยู่ ถ้ามันกัดกัน เอาน้ำไปสาดมันก็หยุดได้ อาตมาไม่ได้ เอาน้ำมาสาดไม่หยุดเพราะไม่ใช่แมว ไม่ต้องการรดน้ำ ไม่ต้องการให้ใครมารดน้ำ ยิ่งเอาน้ำมารดยิ่งอาละวาดเพราะมันไม่ใช่แมว มันจะเสียเวลาเปล่า ถ้าร้อนไปอาบเองก็ได้ ไม่ต้องมาช่วยอาบ เพราะฉะนั้นไม่ต้องการให้รดน้ำ ไม่ต้องการให้สรงน้ำ นี่ขอยกเว้นอาตมาสักคนหนึ่งว่าถ้าทำบุญอายุแล้วไม่ต้องรดน้ำ เพราะไม่ใช่แมว อาตมาเป็นทาสของพระพุทธเจ้า เป็นคนชั้นทาส เป็นคนชั้นเลว ๆ และเป็นคนปากจัด หยาบคาย พูดเพราะไม่มี พูดดีไม่ได้ พูดหยาบคายตลอดเวลา ขอโอกาสอย่างนี้ และก็พูดแต่เรื่องตัวกูของกู ตัวกูของกู นี่มันเป็นคำหยาบคาย ได้ยินแต่พูดตัวกูของกูอยู่เสมอ มันเหมือนนกเขาไอ้ลูกผสมคารมดี มันร้องกู กู กู อยู่เสมอ นกเขาที่คารมดีมันก็ไม่มีร้องอะไร มันเรื่องตัวกูของกูอยู่เสมอ ถ้าเป็นนกเขาลูกผสมมันขายได้ตั้ง ๑๐,๐๐๐ บาทก็มี นกเขาตัวเดียวขายได้ตั้ง ๑๐,๐๐๐ บาทก็มี เรื่องตัวกูของกูนี้ไปคิดดูให้ดีมันมีประโยชน์ ขอแต่ให้รู้จักทำ รู้จักใช้ ไอ้นกเขาตัวที่คารมดีไม่ต้องฉีดน้ำ ไม่ต้องอะไรให้มันก็ยังคารมดีอยู่นั่นแหละ นี่เรามันเป็นคนเกิดมาอย่างนี้ นี่ไม่ชอบเล่นละครให้เอาน้ำมารด รู้สึกมันเป็นการเล่นละคร อย่าต้องสรงน้ำ อย่าต้องรดน้ำขอยกเว้นสักคน นี่คือเรื่องที่ว่า ไม่เคยพูดถึงเรื่องสรงน้ำ รดน้ำ ถ้าใครจะมาขอรดน้ำก็ขอว่ายกเว้นให้สักคนไม่ใช่แมว หรือว่าจะเป็นนกเขาก็ไม่ต้องสาดน้ำ เพราะมันขันดีอยู่แล้ว นี้จนกว่าเมื่อไร จนกว่าเมื่อไรโปรดฟังให้ดี ๆ ว่าจนกว่าเมื่อไรอาตมาจะค้นพบในพระไตรปิฏก หรือแม้แต่ในอรรถกถาว่า มีคนเคยไปสรงน้ำพระพุทธเจ้า เมื่อวันอายุครบรอบปี นี่ผ่านมาหลายเที่ยวแล้ว ทั้งพระไตรปิฏก ทั้งอรรถกถาไม่เคยพบว่าถึงครบรอบปี มีใครไปสรงน้ำให้พระพุทธเจ้า ฉะนั้นอาตมาไม่กล้า มันเป็นทาสเลว ๆ ของพระพุทธเจ้า ไม่กล้าทำอะไรดีเกินหน้าพระพุทธเจ้า เว้นไว้แต่เมื่อไร มันเกิดไปพบในบาลี ในอรรถกถาหรือแม้ในฏีกาก็ตามใจ ว่ามีใครทำแก่พระพุทธเจ้าอย่างนั้น เมื่อนั้นอาตมาจะไปเที่ยวไหว้วอนคนทั้งหลายว่ามาช่วยรดน้ำให้ที มาช่วยรดน้ำให้ทีครบปีแล้ว มันมีอย่างนี้
ทีนี้มาดูกันอีกทีว่า มัน มันจะทำให้เย็นไม่ได้ด้วยการรดน้ำ เพราะว่าจิตใจของมนุษย์มันเย็นไม่ได้ด้วยการรดน้ำ มันต้องรดด้วยธรรมะ มันต้องเอาธรรมะมารดให้มันจึงจะเย็น ถ้าท่านทั้งหลายจะชวนกันประพฤติธรรมะ เพราะธรรมะนั้นช่วยรดใจของอาตมาให้เย็น ของคนทั้งหลายให้เย็น เย็นกันไปหมดทุกคน เดี๋ยวนี้ไม่ไม่ ไม่อาจจะมาทำใจเย็นได้ด้วยการเอาน้ำมารดให้ แม้แต่เอาน้ำแช่น้ำแข็งก็เย็นไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะรดด้วยธรรม รดที่หัวใจ ด้วยสิ่งที่อาตมาชอบนั่นล่ะมันจึงจะเย็นได้ ดังนั้นขอร้องว่าทุกคนจงช่วยรดหัวใจของอาตมาด้วยการรีบ ๆ เลิก ละ ไอ้ที่ไปมัวเป็นทุกข์ ไปบ้าเป็นทุกข์ ไปชอบทำตัวให้เป็นทุกข์ รีบละเสีย คือรีบสนใจในเรื่องตัวกูของกู สนใจในการทำลายตัวกูของกูนี้เสียโดยเร็วโดยด่วนเท่าที่จะด่วนได้ นี่จะเป็นเครื่องช่วยให้ดับทุกข์ได้ เลิก เลิก เลิกมัวแต่แส่ไปหาทุกข์กันเสียที อย่ามัวกลัวผี อย่ามัวกลัวตาย อย่ามัวกลัวจน อย่ามัวกลัวลำบาก กลัวว่าเหลือวิสัยที่จะปฏิบัติให้บรรลุมรรคผลได้ เลิกโง่ในข้อที่ว่า มันเหลือวิสัยที่จะปฏิบัติให้บรรลุมรรคผลได้ เลิกโง่ว่านิพพานต่อตายแล้ว มารู้เสียตามที่เป็นจริงว่า นิพพานมันต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้ มีความทุกข์อยู่ที่ไหน ต้องมีนิพพานอยู่ที่นั่น จงดับทุกข์นั้นเสีย แล้วมันก็มีนิพพานอยู่ที่นั่น มีความทุกข์อยู่ที่ไหน มีนิพพานอยู่ที่นั่น ขอให้ถือหลักอย่างนี้ แล้วก็เลิกงมงายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกลัว กลัวจน กลัวตาย อดข้าว ๒๔ ชั่วโมงจะต้องตาย เลิกโง่ เลิกกลัวอันนี้เสีย ไม่ต้องกลัวยาก กลัวลำบาก ไม่ต้องกลัวชนิดที่มันมีอุปาทานยึดมั่นแล้วเป็นเหตุให้กลัว นี้เรียกว่าเราเคยเข้าใจผิดว่าน้ำมันจะทำให้เย็นได้ ข้อนี้ต้องถอดความหมายจากภาษาคน คือรดน้ำในโอ่งมาเป็นภาษาธรรม คือรดน้ำด้วยพระธรรม ที่มันจะเข้าไปถึงจิตใจ ให้ช่วยกันรีบรดแก่กันและกันในลักษณะอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันมีปัญหาใหญ่หลวงที่สุดอยู่ปัญหาหนึ่งคือว่า คนทั้งหลายในโลกนี้มันยังมีความไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในโลก พวกท่านทั้งหลายยังมีความไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในโลก ฉะนั้นมันจึงได้เป็นทุกข์ เพราะมันไม่มีความเหมาะสมที่จะอยู่ในโลกนี้แล้วมันดันมาอยู่นี้ มันจึงเป็นทุกข์ ถ้ามันมีความเหมาะสมที่จะอยู่ในโลกนี้แล้ว มันจะไม่มีความทุกข์ ข้อนี้ต้องไปคิดดูให้มากว่ามันยังมีอะไรที่ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในโลก มันกลัวตาย มันกลัวจน มันกลัวยากลำบาก กลัวการปฏิบัติธรรมว่าอดข้าวครึ่งวัน มันก็ทำไม่ได้ แล้วมันกลัวอะไรมากไปกว่านั้น นี่คือความโง่ความเขลาที่มีอยู่มาก อันนี้เองทำให้ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในโลก ฉะนั้นจึงเป็นทุกข์ ถ้ามีความเหมาะสมที่จะอยู่ในโลก มันต้องไม่กลัวอะไรในโลก แล้วในโลกนี้ก็จะไม่มีความทุกข์ ต้องรีบทำให้สว่างไสวแจ่มแจ้งเสียโดยเร็ว ให้มีความเข้มแข็ง มีความอดทน มีอะไรที่เหมาะสมที่จะอยู่ในโลก เท่าที่มีอยู่แล้วเวลานี้ยังไม่พอ ยังไม่พอที่จะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะอยู่ในโลก อย่าอวดดีไปเลย พระจะยกหูชูหาง เณรจะยกหูชูหาง ทายก ทายิกาที่ยังยกหูชูหาง นี้ล้วนแต่ยังไม่เหมาะที่จะอยู่ในโลก มันต้องหมดไอ้เรื่องที่จะยกหูชูหางด้วยตัวกู พูดผิดอยู่ทั้งวันก็ไม่รู้ว่าผิด ทำผิดอยู่ทั้งวันก็ไม่รู้ว่าผิด มองดูคนอื่นด้วยจิตใจที่ดูหมิ่นอย่างนี้ อยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ คนอย่างนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่ในโลกนี้ แม้แต่กำลังเป็นพระอยู่ในเวลานี้ ไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่จะอยู่ในโลกนี้ มันฝืนมาอยู่ มันฟลุ๊คมาอยู่ แล้วมันก็ลำบากตัวเอง มันมองดูคนอื่นในแง่ร้ายไปหมดทั้งวันทั้งคืน มันก็ตกนรกหมกไหม้อยู่ทั้งวันทั้งคืน ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ต่อตายแล้ว แล้วมันก็จะเป็นโรคเส้นประสาทเพราะเหตุนั้น มันจะขี้โมโหโถโสมากขึ้น แล้วมันจะหัวใจวายตายก่อนอายุเพราะโรคนั้นของมัน นี่คือไอ้พวกคนที่ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในโลก เวลานี้มันมีอยู่อย่างนี้และมันมีมาก อย่างนี้มันแก้ไม่ได้ด้วยการรดน้ำ เอาน้ำไปรดมันสักกี่สระ กี่ เอาแม่น้ำมันก็ไม่ทำให้หายได้ มันต้องหันไปหาน้ำของพระพุทธเจ้าคือพระธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านเที่ยวรดให้คนไม่หยุดไม่หย่อนตลอดเวลา ๔๕ พรรษาหลังจากการตรัสรู้แล้ว เรื่องนี้อยากจะพูดซ้ำย้ำอยู่เสมอนะ อย่าลืมพระพุทธเจ้าท่านเป็นพรหมจารีย์ ถึงอายุ ๑๖ ปี ท่านเป็นเด็กที่ดีจนอายุ ๑๖ ปี แล้วท่านก็เป็นคฤหัสถ์ที่ดี ครองบ้านครองเรือนมีครอบครัว อยู่อีกกี่ปี ถึง ๒๙ ปีจึงออกบวช ก็แปลว่า ๑๓ ปี ท่านเป็นคฤหัสถ์ ฆราวาสที่ดีไม่หลง ไม่หลงไม่จมติดอยู่ที่นั่น ทีนี้ท่านเป็นวันนะปะหลัด (นาทีที่ 01:18:22) อยู่คนเดียว ทรมานศึกษา ค้นคว้าอยู่อีก ๖ ปีก็ตรัสรู้ เมื่ออายุ ๓๕ ปี หลังจากนั้น ๔๕ ปี กว่าจะมีอายุ ๘๐ ปี ท่านเที่ยวแจกของส่องตะเกียง นั้นก่อน ๆ เราจะพูดว่าเที่ยวแจกของส่องตะเกียง วันนี้อยากจะพูดว่าท่านเที่ยวรดน้ำให้คนอื่น คนอื่นไม่ต้องไปรดน้ำให้ท่าน ท่านจะเปิดหูเปิดตาคนอื่น คนอื่นไม่ต้องไปเปิดหูเปิดตาให้ท่าน เหมือนกับที่เปิดตาพระพุทธรูปที่ชอบทำกันอยู่เดียวนี้ ทำพิธีเบิกเนตรให้พระพุทธเจ้า ดูสิ มันเก่งถึงขนาดนั้น ทำไมไม่นึกว่าไอ้เรานี่มันหลับหูหลับตาอยู่มาก พระพุทธเจ้าท่านมาช่วยเปิดก็ยังไม่เปิด ดังนั้นจงรีบเปิดกันเสียบ้าง ช่วยกันสาดน้ำคือพระธรรมใส่กันและกัน ให้มันเปียกชุ่มไปหมด ไม่ใช่น้ำในโอ่ง มันต้องเป็นน้ำของพระพุทธเจ้าคือธรรมที่อุตส่าห์สดับตรับฟัง ศึกษาอยู่เสมอ ช่วยสาดรดใส่กันให้เปียกปอนเหมือนวันเล่นสงกรานต์ นั่นล่ะมันจะดีขึ้นเร็ว นี่เรื่องของของขวัญคือการสรงน้ำ มันมีความหมายอยู่อย่างนี้ มีข้อเท็จจริงอยู่อย่างนี้ และอาตมาไม่ต้องการ แต่ต้องการให้ช่วยกันสาดรดกันด้วยน้ำที่เป็นน้ำที่มีความหมายในภาษาธรรม น้ำคือพระธรรม น้ำอมฤตคือพระธรรม ถูกใครเข้าแล้วคนนั้นไม่ตายต่อไป ถ้ามันไม่ถูกมันก็ยังตายอยู่เรื่อย ถ้าใครถูกสาดด้วยน้ำอมฤต อมตธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว มันก็กลายเป็นคนไม่ตายต่อไป ขอให้หวังกันอย่างนี้ ถ้าใครขี้ขลาดกลัวตายก็ขอให้ต่ออายุกันอย่างนี้ ถึงแม้จะไม่ล้ออายุก็ได้ จะต้องต่ออายุกันด้วยลักษณะที่ถูกต้อง คือของขวัญถูกต้อง คนได้รับแล้วมันไม่ตาย ทีนี้มันยังโง่ มันยังงมงาย มันยังมีความไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในโลก มันอยู่ไปอย่างแกน ๆ อย่างนี้ก็ต้องช่วยกันล้อต่อไปอีก
ทีนี้เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ก็อยากจะพูดคือเรื่องลูกหลาน นี่คนแก่ ๆ ทั้งนั้นไม่เห็นมีลูกหลาน นี่ก็จะปรารภถึงเรื่องลูกหลานที่่มันจะมีมาในอนาคต นี่ก็เป็นเรื่องที่แสดงถึงสถานะหรือสภาวะปัจจุบันในโลกนี้ที่เราต้องคำนึงถึงเหมือนกัน ในตอนนี้อาตมาจะไม่พูดอะไรมากไปกว่าว่ามาช่วยกันดูโลกในสถานะปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร เมื่อดูคนแก่ว่ามันอยู่ในสถานะอย่างไรมาพอสมควรแล้ว ก็จะดูเด็ก ๆ บ้าง ลูกหลานสมัยนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่างานของวงศ์สกุล ลูกหลานสมัยนี้กำลังไม่สนใจต่อสิ่งที่เรียกว่างานของวงศ์สกุล คนเราเกิดมาก็มีตระกูลหรือวงศ์สกุล หรือสกุล และสกุล วงศ์สกุล หรือตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐินั่น ตระกูลหนึ่ง ๆ จะต้องมีการงานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นของประจำตระกูล ประจำสกุล ยกตัวอย่างที่แล้วมาแต่หนหลังเช่นว่าตระกูลนี้จะสร้างวัดวัดหนึ่ง ลูก หลานเหลนก็พลอยได้ชื่อ ได้เสียงวัดเรา วัดเรา วัดของเรา วัดของปู่ตาย่ายาย ตาทวด ทวดของเรา นี่มันพูดอย่างนี้ได้ แต่ว่างานของสกุลที่ทำไว้นี่ ไอ้ลูกหลานสมัยนี้มันไม่แยแส มันไม่นึกว่าไอ้ปู่ทวด ตาทวดหรือว่าบรรพบุรุษเคยสร้างวัดนี้ขึ้นไว้ เราเป็นหน้าที่ที่จะต้องทะนุบำรุงรักษาต่อไป นี่เด็ก ๆ สมัยนี้เป็นเสียอย่างนี้ หรือวงศ์สกุลจะได้ตั้งมูลนิธิไว้หรือว่าจะได้ตั้งกิจการอันใดอันหนึ่งของวงศ์สกุลไว้ มันก็ไม่เอาใจใส่ มันก็ไม่แยแส มันเอาความสะดวกส่วนตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว มันปล่อยละเลย ให้ละลายไป มันละเลยให้ละลายไป ค่อย ๆ ละลายไป บางสกุลอาตมาเห็นด้วยตาเอง ชั่ว ชั่ว ชั่วที่สอง ชั่วบิดามารดา ตั้งไว้เสร็จสมบูรณ์ พอชั้นลูกเท่านั้นมันปล่อยให้ละลายไป อย่างสัตว์อกตัญญู (นาทีที่ 01:24:15) ลูกหลานสมัยนี้มันเป็นเสียอย่างนี้ มันไม่รับรู้ มันไม่รับ มันไม่เอาใจใส่ในสิ่งที่เรียกว่า งานของสกุล มันไม่ยอมรับว่าไอ้งานของสกุลนี่มันสูงสุด มันศักดิ์สิทธิ์กว่างานส่วนตัว มันเห็นแก่ปากแก่ท้อง ส่วนตัวหรือลูกเมียเท่านั้นเอง ไอ้วงสกุลมันกว้างไปนัก นี่บรรพบุรุษตั้งสุสานป่าช้าไว้ ก็มีมูลนิธิ ก็มีกองการกุศล อะไรก็มี และมันมาถูกทำลายเสียโดยสมาชิกในสกุลนั่นเอง โดยลูกหลานนั้นเอง บางทีมันก็ละเลย ให้มันละลายไปเสีย บางทีมันก็เจตนาทำลาย คดโกงเอามาเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ไม่เห็นแก่ตระกูล เพราะว่าตระกูลหนึ่งมันประกอบด้วยครอบครัวหลายสาย เกิดคนหนึ่งมันทุจริตได้ มันก็เอาประโยชน์ส่วนตัวเสีย มันก็ล้มละลายหมด ประเพณีที่ปู่ตาย่ายายเคยทำมา มันก็ละลายไปไม่มีเหลือ พ่อแม่มันเคยใส่บาตรทุกเช้า ไอ้ลูกมันก็ไม่ทำ นี่เด็ก ๆ ของเรากำลังเป็นอย่างนี้ นี่ตระกูลใหญ่โตมีชื่อเสียงก้องประเทศนี่ มันยังละลายไปได้ในชั่วที่สอง คือชั่วลูก นี่เพราะมันไม่รู้จักสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสกุล ถ้าจะถามอะไรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสกุลสกุลหนึ่ง ๆ แล้วก็ขอให้ถือว่างานที่ได้วางไว้ประจำตระกูลนั่นแหละศักดิ์สิทธิ์กว่าอะไร ศักดิ์สิทธิ์กว่ากระดูกที่เอามาใส่โกฐิไว้เอามาบูชา นั่นมันเล่นตลก เล่นละคร ส่วนที่แท้จริงอย่างยิ่งแล้ว ถ้ามันมาเป็นลูกหลานของสกุลไหน มันก็จะต้องช่วยส่งเสริมสกุลนั้น ให้ยิ่ง ๆขึ้นไป จะเป็นชาวบ้านก็ได้ จะมาบวชเป็นบรรพชิตก็ได้ มันมีส่วนส่งเสริมวงศ์สกุลทั้งนั้น เพราะที่แท้เป็นบรรพชิตมีทางที่จะทำได้มากกว่า ทำชื่อเสียงให้แก่ตระกูลได้มากกว่า แต่ทีนี้มันอดความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังไม่ได้ มันก็ไม่เอา นี่ไปเป็นฆราวาส มันก็ยังเห็นแก่เนื้อแก่หนัง มันก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน นี่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สืบสกุลทางพระราหุล ไม่มีใครรู้จักพระราหุล แต่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในหัวใจของคนเราทุกคนในเวลานี้ ฉะนั้นการสืบสกุลทางกิจการงานที่สกุลได้ตั้งไว้นั่นล่ะสำคัญที่สุด ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเกิดลูกเกิดหลานออกมาแล้วมันจะสืบสกุลได้ มันเกิดออกมาทำลายสกุลให้หมดชื่อหมดเสียงหมดประโยชน์ไปในชั่วหนึ่งอายุคนนี้ก็มีอยู่มาก ลูกหลานสมัยนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า การงานของวงศ์สกุล เลวกว่านั้นอีก ลูกหลานสมัยนี้ไม่เห็นแก่บ้านเกิดเมืองนอน เกิดเมืองไหนบ้านไหน มันไม่เห็นแก่บ้านเกิดเมืองนอนนั่น มันไปหาดิบหาดีที่บ้านอื่นเมืองอื่น บ้านเกิดเมืองนอนมันจะทรุดโทรมลงไปก็ช่างหัวมัน มันจะไปออกันอยู่ที่กรุงเทพ หาทางสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เกียรติยศชื่อเสียง มันไม่เคยคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน นี่อาตมาขออวดสักหน่อยตรงนี้ ก็เพราะเห็นแก่บ้านเกิดเมืองนอนจึงไม่อาจไปหาความสุขสนุกสนานบุญญาบารมีที่กรุงเทพฯซึ่งอาจจะหาได้มากเหมือนกัน สบายกว่า สนุกกว่านี้ นี่เพราะเห็นแก่บ้านเกิดเมืองนอนคือเมืองรอบอ่าวบ้านดอนหรือเมืองไชยาที่ตรงนี้เองและก็พยายามเตือนตัวเองอยู่เสมอ เตือนตัวเองอยู่เสมอว่าต้องเห็นแก่บ้านเกิดเมืองนอนก่อนอื่น นี่ถ้าลูกหลานทุกคนเห็นแก่บ้านเกิดเมืองนอน แล้วก็ช่วยกันทำให้มันเจริญ มันก็จะเจริญไปทั่วประเทศในพรึบเดียว ในพริบตาเดียวมันจะเจริญไปทั้งประเทศ ถ้าลูกหลานแต่ละคนแต่ละพวก ช่วยกันสร้างความเจริญบ้านเกิดเมืองนอนของตัว นี่มันไปออกันหาความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย บุญญาบารมีอยู่ที่กรุงเทพฯหมด ที่บ้านที่มันเกิดมันก็ไม่มีอะไรเจริญรวดเร็ว มันต้องรอรัฐบาล จนรัฐบาลก็ทำไม่ไหว เพราะว่าไอ้ลูกหลานมันเป็นสัตว์อกตัญญู ไม่เห็นแก่บ้านเกิดเมืองนอนของมัน นี่มันกำลังเป็นอย่างนี้มากขึ้น นี่ถ้าว่าบ้านใคร ใครช่วยกันทำให้เจริญเต็มมันพริบตาเดียว มันจะเจริญทั้งประเทศ มันเห็นแก่ตัวเอง มันเห็นแก่คนใกล้ชิดเพียง ๒ - ๓ คน บ้านเกิดเมืองนอนไม่ต้องมองดู มันไปหาประโยชน์ส่วนตัวที่บ้านอื่นเมืองอื่น นี่ก็เรียกว่าลูกหลานสมัยนี้กำลังทำปัญหาอันร้ายแรงให้เกิดขึ้น ๆ และจะร้ายแรงในอนาคต มันเป็นสิ่งที่น่าเศร้า สรุปความแล้วว่าไอ้ลูกหลานสมัยนี้มันทำอะไรอย่างที่เรียกว่าหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ได้หมายความว่าทุกคน หรือ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่มันกำลังเป็นมากขึ้นขนาด ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว มันจะเหลือที่ดีอยู่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ก็ทั้งยาก มันทำหน้ามือเป็นหลังมืออย่างว่า เดี๋ยวนี้มันถือว่าลูกมีบุญคุณแก่พ่อแม่ ลูกมีบุญคุณแก่พ่อแม่เป็นเจ้าหนี้บุญคุณแก่พ่อแม่ เพราะว่าลูกมันไปเล่าเรียนดี เป็นใหญ่เป็นโตทำชื่อเสียงให้พ่อแม่ นี่กลับมาจากเมืองนอกมันพูดอย่างนี้ มันใช้แม่อย่างคนใช้ มันใช้แม่อย่างกับเป็นคนใช้ เรียกร้องเอาว่ามันทำหน้า เกียรติยศชื่อเสียงให้แก่พ่อแม่ มันมีรายถึงกับพูดออกมาด้วยปากเลย แต่มันมีรายที่คิดอยู่ในใจอีกมาก พ่อแม่จะต้องประจบลูก พ่อแม่จะต้องขอโทษลูกบ่อย ๆ ไม่ใช่ว่าลูกจะต้องขอโทษพ่อแม่บ่อย ๆ ก่อนนี้เรามีหลักกันว่าพ่อแม่มีบุญคุณต่อลูก นั้นลูกจะต้องเป็นฝ่ายยอมทุกอย่างเลย ลูกจะต้องขอโทษ ขอขมาโทษต่อพ่อแม่บ่อย ๆ เพราะว่ามันมีข้อที่จะต้องผิดพลาดที่จะต้องล่วงเกินอยู่เสมอ เดี๋ยวนี้เขากลับให้ตรงกันข้าม
นี้มันก็มีว่าพ่อแม่แก่แล้ว ลูกควรจะเลี้ยง แต่มันกลายเป็นว่าพ่อแม่แก่แล้วยังต้องเลี้ยงลูก มันจะใช้พ่อแม่แก่ ๆ ให้ทำงานอย่างคนใช้ต่อไป นี่มันอย่าง อย่างที่เลวมาก เพราะมันจะดีจะเด่นอยู่เรื่อยไป พ่อแม่ต้องหาเงินส่งให้มันเรียนเรื่อยไปทั้งที่มันมีครอบครัวแล้ว มันจะไปดีไปเด่นที่เมืองนอกอีก พ่อแม่ต้องขายไร่ขายนาส่งเงินไปให้มันเรียนที่เมืองนอกอีกเพราะมันยังจะเรียนอีก แต่งงานพ่อแม่ก็ต้องให้เงิน มันลูกมีหลานออกมาพ่อแม่ก็ต้องเลี้ยง ปู่ ตาก็ต้องเลี้ยงนี่ จนกระทั่งไอ้คนแก่นั้น ตายเข้าโลงไป มันก็อยู่ในฐานะที่ต้องช่วยลูกชายลูกสาวให้มันดี ให้มันมีหน้ามีตา ให้มันเด่น พอดีกันกับว่าความโง่ของคนแก่ ๆ นั่นเอง อยากจะให้ลูกดีลูกเด่นจนลืมตัวเองว่ามันถึงเวรที่ลูกจะต้องเลี้ยงตัวเองแล้ว มันก็ยังไม่เอา คนแก่ ๆ นี่มันโง่ มันไม่ต้องการจะเกิดมาพบกับสิ่งที่ดี ๆ ที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้คือความสงบในบั้นปลายแห่งชีวิต เดี๋ยวนี้มันก็ยังอยากจะหาเงินส่งลูกส่งหลานไปเรียน ส่งเหลนไปเรียน เรียกว่ามันมาเลี้ยง ไอ้เด็ก ๆ นี่จนตายเน่าเข้าโลงไป ไม่มีรอบที่ว่าไอ้ลูกหลานจะกลับมาเลี้ยงคนแก่ กำลังหลงกันอย่างนี้มากขึ้น คนแก่มันหลง แล้วลูกเด็ก ๆ มันก็หลอก ไอ้ลูกเด็ก ๆ มันหลอกให้คนแก่มันหลง แล้วมันอยู่ด้วยความหลอกและความหลง นี่มันกลับหน้ามือเป็นหลังมืออย่างนี้ ถ้าเป็นสมัยโบราณ ลูกต้องอยู่ใต้อำนาจเฉียบขาดของพ่อแม่ เดี๋ยวนี้กลายเป็นพ่อแม่ที่แก่แล้วต้องอยู่ใต้บังคับควบคุมของลูก ไอ้ลูกมันจะชี้นิ้วแก่พ่อแก่แม่ บางรายมันตบแม่ มันตีแม่ กลับหน้ามือเป็นหลังมือกันอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวนี้ลูกมันไม่ได้คิดแทนคุณพ่อแม่ มันเป็นคนอกตัญญู เป็นเจ้าหนี้ เอ้อ, ลูกหนี้ที่เลว แต่แล้วพระเจ้าก็ไม่ยอม พระธรรมก็ไม่ยอม ไอ้ลูกมันไม่แทนคุณพ่อแม่เดี๋ยวนี้ แต่ต่อไปข้างหน้ามันจะต้องไปใช้บาปอันนี้แก่ลูกของมันเอง คือลูกของมันเองก็จะไม่เคารพนับถือแทนคุณพ่อแม่ของมันเองยิ่งขึ้นไปทุกที นั้นบาปที่มันเกิดจากการที่มันไม่แทนคุณพ่อแม่ เดี๋ยวนี้มันไม่ไปไหนเสีย มันต้องได้รับสนองในโอกาสข้างหน้า ที่ว่าลูกของมันจะเลวร้ายลงไปกว่านั้น แล้วหลานของมันจะเลวร้ายลงไปกว่านั้น มันเป็นการใช้บาปใช้กรรมใช้หนี้ไปในโอกาสข้างหน้า นั้นอย่าเข้าใจว่ามันเป็นคนที่ชนะแล้ว มันเป็นคนอกตัญญูแล้วมันจะรอดตัวไปได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้กำลังพูดในข้อที่ว่า มันกลับหน้ามือเป็นหลังมือกลายเป็นลูกมีบุญคุณต่อพ่อแม่ พ่อแม่ต้องขอโทษขอขมาลูก กลายเป็นว่าแทนที่ลูกจะกลับเลี้ยงพ่อแม่ในยามแก่ พ่อแม่ต้องเลี้ยงกันไปจนชั้นหลาน ชั้นเหลนเลย ลูกบังคับพ่อแม่ ไม่ใช่พ่อแม่บังคับลูก แม่จะโง่มากขึ้นจนให้ลูกตีแม่ไปได้ตั้งแต่เล็ก ๆ ลูกไม่ต้องแทนคุณพ่อแม่ แต่ว่าไปคอยรับบาปข้างหน้าที่ลูกของตัวเองมันจะสนองมาให้ชั้นหนึ่ง นี่โลกสมัยนี้กำลังเป็นอย่างนี้ จะเป็นโลกเมืองนอกเมืองนา เมืองฝรั่งมังค่าอะไรก็ตาม มันก็กำลังเป็นอย่างนี้ แล้วมันจะเป็นมากกว่าเราด้วยซ้ำไป เพราะมันเป็นวัตถุนิยมที่กำลังระบาดและก็ระบาดมาจากเมืองนอก นี่ถ้าเมื่อไรมันเป็นอย่างนี้เต็มไปทั้งเมืองไทยแล้วก็แปลว่ามันคนละสมัย คนละยุค คนละแบบ ฉะนั้นอายุของเราที่มีอายุอยู่ในวันนี้ได้ทันเห็นสิ่งนี้มันน่าสงสาร มันควรจะเอามาล้อกันเล่นว่าแหมโชคดีที่ได้มาเกิดในยุคอย่างนี้ ได้เห็นอย่างนี้
นี่ตัวอย่างเท่าที่ยกมาให้ฟังนี่มันก็ควรจะพอแล้ว ถ้าขืนยกมากว่านี้มันก็มีอีกมากมีหลายร้อย หลายพันเรื่องไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ยกมาพอให้เห็นว่าไอ้โลกมันกำลังเปลี่ยนไปอย่างไร แล้วมันยิ่งโง่มากเข้าเท่าไร นี่สุนัขปากร้ายจะพูดอย่างนี้เสมอ คือว่ามันไม่ได้ฉลาดขึ้นเหมือนกับที่เขาคุยกันว่า การศึกษาก้าวหน้าเจริญแล้ว มนุษย์ฉลาดถึงที่สุดแล้ว มันฉลาดสำหรับโง่ ฉลาดสำหรับทำตัวเองให้เป็นทุกข์จะไม่เรียกว่าฉลาดโง่อย่างไร การศึกษาก้าวหน้าประดิษฐ์ประดาอะไรต่าง ๆ ในสมัยนี้ ทำให้มันยุ่งมากขึ้น ทำให้โลกมีความทุกข์มากขึ้น ทุกข์กันไปทั้งโลก ต้องวิ่งว่อนยิ่งกว่าสุนัขถูกราดด้วยน้ำร้อน บ้านนี้เมืองนี้ถ้าจะเปรียบอะไรกับที่มันวุ่นมาก แล้วเขาจะเปรียบด้วยคำว่าสุนัขที่ถูกราดด้วยน้ำร้อน เดี๋ยวนี้มนุษย์ทั้งโลกเป็นอย่างนั้น ไอ้ดวงจิตดวงวิญญาณมันร้องเหมือนกับถูกราดด้วยน้ำร้อน นั่งอยู่ในรถยนต์ นั่งอยู่ในเรือบินน่ะ หัวใจมันร้อนเหมือนกับถูกราดด้วยน้ำร้อน และยังแถมมีน้ำร้อนชนิดที่ไม่รู้สึกว่าเป็นน้ำร้อน คือน้ำร้อนที่เปียกแฉะก็มี ราคะก็ร้อน โทสะก็ร้อน โมหะก็ร้อน ร้อนวู่ วู่ มันโทสะทั้งนั้นล่ะ ไอ้ราคะร้อน โมหะร้อนนี่มันร้อนอย่างเปียกแฉะยังไม่รู้ ที่คนเดี๋ยวนี้กำลังเป็นกันอยู่มาก เรือบินเดี๋ยวนี้เร็วตั้งชั่วโมงละ ๒,๐๐๐ ไมล์ บินได้มันก็ไม่ทันใจของไอ้สุนัขที่ถูกราดด้วยน้ำร้อนอย่างนี้ มันจะไปไหนมาไหนในโลกนี้ นี่คือสภาวะของโลกอย่างนี้และก็ไม่เคยสนใจหรือเคยเหลือบตามองหาว่าอะไรอยู่ที่ไหน ที่จะดับทุกข์ ดับร้อนนี้ได้ เพราะมันไม่เคยรู้สึกว่าเป็นทุกข์เป็นร้อนและมันก็ตายอยู่ที่นั่นน่ะไม่มีชีวิตอย่างมนุษย์ มันตายอย่างที่ในศาสนาคริสเตียนเขาใช้คำว่า ตายนี่ ตายเพราะไปกินผลไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่วเข้าไปแล้วมันหลงดี หลงเด่นด้วยกิเลสตัณหา ได้แก่คนสมัยนี้เวลานี้ มันว่าดีเพราะมีเงินมาก ดีเพราะมีอำนาจมาก ฆ่าคนอื่นให้ตายหมดแล้วเหลือแต่เราคนเดียวมันดีที่สุด มันหลงดีอย่างนี้ ดีอย่างนี้ หลงอย่างนี้ ทางศาสนาคริสต์เขาใช้คำว่าตาย มันตายแล้ว หรือทางพุทธศาสนาก็ต้องใช้คำว่าตายกับคนเหล่านี้เหมือนกัน คือมันตายทางวิญญาณหมดไม่มีเหลือ มันจึงเป็นทุกข์ ความทุกข์นั้นคือความตาย แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่รู้สึกว่า เราตายหรือว่าเรามีความทุกข์ จนกระทั่งเอาปืนยิงตัวเองตาย มันก็ไม่เห็นว่าตาย หรือมีความทุกข์ เพราะว่ามันเห็นกงจักรเป็นดอกบัว กลับหน้ามือเป็นหลังมือกันไปหมดทุกอย่างทุกประการ ทีนี้พวกเราจะเอาอย่างไร พวกเราจะผสมโรง เอาอย่างนั้นด้วยหรือ หรืออย่างไร อาตมาไม่เอาด้วย ขอบอกกับโยมเดี๋ยวนี้ว่าไม่เอาด้วย แยกทางกันเดินอยู่กันคนละโลก ไม่อยากอยู่ร่วมโลกกับคนที่มันไม่มีความเหมาะสมที่จะอยู่ในโลก ฉะนั้นเราต้องแยกโลกกันอยู่มีอะไร ๆ เป็นของเราโดยเฉพาะ ถ้ามีเกิดก็เกิดอย่างของเรา ถ้ามีตายก็ตายอย่างของเรา ไม่เกิดไม่ตายอย่างของเขา แล้วเราก็ต้องการไม่ตายด้วยเหมือนกัน (นาทีที่ 01:41:02) นี่คือข้อเท็จจริงที่มันขึ้นใหม่เกิดเฉพาะเรา คนอื่นไม่รู้ก็ตามใจ ไม่เอาก็ตามใจ แต่เราต้องการ ต้องการจะเอา ฉะนั้นต้องรีบล้อ ล้อไอ้สิ่งที่ไม่น่าเอาให้มันหมด ๆ ไปโดยเร็ว ให้มันเหลือแต่สิ่งที่น่าเอา ฉะนั้นวันนี้จึงชวนกันมาล้ออายุ ล้อไอ้สิ่งที่มันบ้า ๆ บอ ๆ น่าสงสารนั่น ให้มันหมด ๆ ไปเสียที หายโง่ หายหลง หายกลัว หายขลาดอะไรกันไปเสียที มันจะได้เหลือแต่สิ่งที่น่าดู
นี้อยากจะพูดไอ้หลักเกณฑ์ของเราที่มันแหวกแนว วิตถารที่คนเหล่านั้นฟังแล้วก็ว่าบ้า ทีนี้ก็อยากให้ทุก ๆ คนให้ถือหลักว่าให้ตายเสียก่อนตาย พอได้ยินมันก็สั่นหัว ให้ตายเสียก่อนตาย มันได้ยินว่าฆ่าตัวตายเสียก่อนถึงเวลาตาย ความโง่มันมากถึงอย่างนั้น พออาตมาบอกว่ามาตายเสียก่อนตายดีกว่า มันก็คิดว่าชวนให้ฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้ มันก็สั่นหัว ความโง่มันมากถึงขนาดนั้น นี่ถ้ามันตายเสียก่อนตาย มีความหมายอย่างหนึ่งเพื่อจะไม่เกิดทุกข์ จะไม่เกิดปัญหา จะไม่มีตัวสำหรับทุกข์ นี่ก็ล้อมาว่า ตายเสียก่อนตายดี ตายก่อนตายไม่ใช่กลายไปเป็นผี แต่กลายเป็นสิ่งที่ไม่สูญหาย มันก็ฟังกันไม่ถูก นี่ขอร้องให้พยายามคิดนึกในข้อนี้ให้มาก คือเราจะมีการปรับปรุง ปรับปรุงแก้ไขอะไรก็แล้วแต่จะเรียก คือการปฏิบัติทั้งนั้น ให้เป็นคนหมดปัญหาความทุกข์ หมดอะไรที่น่าเกลียดน่าชัง น่าขยะแขยงกันเสียแต่เดี๋ยวนี้ ก็คือว่าทำลายไอ้ความรู้สึกที่เป็นตัวกู ของกูนั่นแหละให้หมดไป ถ้าตัวกูของกูหมดไปมันก็มีความหมายที่พอจะเรียกได้ว่า กูตาย ตัวกูตาย ของกูหมด แต่ให้มันหมดก่อนที่ร่างกายจะแตกดับ อย่างนี้เรียกว่าตายก่อนตาย และก็ไม่ต้องเป็นผี ไม่เป็นผีชนิดไหนหมด ไม่เป็นผีตายโหง หรือผีธรรมดา ไอ้คนที่ตายเสียก่อนตายนี่มันเป็นนิพพาน มันได้นิพพาน มันบรรลุนิพพาน เพราะฉะนั้นมันเป็นผีไม่ได้ คนที่ไม่สมัครจะตายก่อนตายนี่ มันจะต้องกลายไปเป็นผี และถ้ามันทำไม่ดี มันได้เป็นผีตายโหง คือมันตายในขณะที่มันไม่ยอมตาย มันมีเงินอยู่หลายแสน หลายล้าน มันลูกหลานเหลนมาก มันมีอะไรมาก มันไม่อยากตาย พอมีอะไรมาตัดชีวิตให้ต้องตายเพราะไม่อยากตายนี่ มันเป็นผีตายโหง เกิดมาทีได้เป็นผีตายโหงดีเท่านี้เอง เพราะมันไม่ยอมฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่ามันมีอมตธรรม อมฤตธรรมที่ไม่ต้องตาย ก็คือวิธีที่จะให้หมดตัวกูของกูเสียก่อนร่างกายแตกดับ นี่เรามาเรียกเป็นภาษาธรรมะว่าตายเสียก่อนตาย ปีก่อนก็พูดเรื่องนี้ ปีที่แล้วมาก็พูดเรื่องนี้ ปีกลายก็พูดเรื่องนี้ ปีนี้ก็พูดเรื่องนี้ เพราะไม่มีเรื่องอะไรจะพูด พูดแต่เรื่องว่าตายเสียก่อนตาย นี่ นี่ถ้าถือว่าเป็นของดีที่สุดที่จะให้แก่กันและกันก็คือเรื่องนี้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้ได้บรรลุธรรมะชนิดที่เรียกว่า ตายเสียก่อนตาย ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักตาย มันเป็นสุขเหลือเกินโว้ย มันหมดปัญหาทุกชนิดทุกอย่างโว้ย ถ้ามันตายแล้วมันจะมีปัญหาอะไร มันจะทุกข์ มีอะไรกันที่ไหนได้ มันก็มีแต่ไม่มีทุกข์ สมมติเรียกกันก็เรียกว่า สุข นี่คนเขาไม่เอา เขาต้องการแต่จะมีเงินมาก มีเกียรติยศชื่อเสียงมาก มีความสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อ ทางหนังมาก แล้วมันโง่ว่า นั่นพ้นทุกข์แล้วโว้ย มันพ้นทุกข์เพราะเงินมาก มันพ้นทุกข์เพราะพรรคพวกมาก มันพ้นทุกข์เพราะมีอำนาจวาสนาบารมีมาก พ้นทุกข์แล้วโว้ย นี่คือนิพพานของพวกนี้ ความคิดอย่างนี้เคยมีมาแล้วหลายพันปี คนก็เคยโง่แบบนี้กันมาแล้วเมื่อหลายพันปี คือว่าได้อย่างอกอย่างใจในกามคุณนั้นเป็นนิพพาน เขาฉลาดกันก่อนพระพุทธเจ้าเกิดว่า ไม่ใช่ ความสงบใจเป็นนิพพาน จนกระทั่งพระพุทธเจ้าเกิด ท่านว่า ไม่ใช่ ต้องหมดกิเลสโน้น มันจึงจะนิพพาน คือไม่มีความทุกข์เหลือ เดี๋ยวนี้มันย้อนกลับถอยหลังกลับเข้าคลอง ไปเอาวัตถุ ไอ้กามารมณ์ ความได้อย่างอกอย่างใจนั้นว่าเป็นนิพพาน เป็นของประเสริฐที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ พวกลูกเด็ก ๆ ของเรากำลังเป็นอย่างนี้ คนผู้ใหญ่ก็กำลังเป็นอย่างนี้ และแถมคนแก่หัวหงอกกำลังเป็นอย่างนี้ก็มี ไปเข้าใจว่าแค่นั้นมันพ้นทุกข์แล้ว มันไม่สนใจเรื่องวัด เรื่องวา เรื่องธรรมะ เรื่องพระพุทธศาสนา เห็นสวนโมกข์เป็นดีสนี่ย์แลนด์
ฉะนั้นขอร้องให้สนใจให้ถูกให้ควรให้สมแก่สถานะ แก่ชีวิต แก่อะไรต่าง ๆ อย่าไปหลงว่าเพียงเท่านั้นมันพ้นทุกข์แล้ว แก้ปัญหาทางกายได้หมดแล้วก็พ้นทุกข์แล้ว นั่นมันพวกคอมมูนิสต์ Dialectical Materialism ถือว่าแก้ปัญหาทางกายได้หมดแล้ว ความทุกข์ไม่มีเหลืออีกแล้ว มันเป็นคอมมูนิสต์ ไม่ได้คิดว่ามันอยู่แค่กาย เราแก้ไขปัญหาทางกายมีกิน มีใช้ มีอิ่มปากอิ่มท้องก็พ้นทุกข์แล้ว นี่อยากจะบอกเป็นคำกลอน สักบรรทัดช่วยจำให้ดี ว่าเหาะทางกายพ้นได้แค่สุนัข ไอ้เหาะทางกายมันได้แค่สุนัข แม้พวกยักษ์ก็เหาะได้กันแพร่หลาย แม้พวกยักษ์ก็เหาะกันได้แพร่หลาย แม้พวกยักษ์ก็เหาะกันได้แพร่หลาย เหาะทางใจพ้นได้สะดวกดาย เหาะทางใจพ้นได้สะดวกดาย พ้นกิเลสมารร้ายหายร้อนลน พ้นกิเลสมารร้ายหายร้อนลน แต่ไม่มีใครชอบ อยากจะพูดว่าที่นั่งอยู่ที่นี่หลายคนก็ไม่อยากจะพ้นกิเลสมารร้าย ไม่อยากจะพ้นกิเลสมารร้าย ยังอยากจะรักกิเลสมารร้ายบางสิ่ง บางอย่างอยู่ ไม่กล้าตัดใจออกมาจากกิเลสมารร้าย ยังผลัดวันประกันพรุ่งอยู่ เหาะทางกายพ้นได้แค่สุนัข นี่สมมติว่ามีฤทธิ์เหาะได้ เหาะได้ เหินได้ พ้นได้แค่หมากัด มันยังมีอย่าง อย่างอื่นกัดที่พ้นไม่ได้ แม้ว่าเหาะได้ แม้พวกยักษ์ก็เหาะได้กันแพร่หลาย พวกยักษ์ พวกมารมันก็เหาะได้กันแพร่หลาย นี่พวกวัตถุนิยม มันหลงใหลในวัตถุ มันเจริญเหลือแสนในวัตถุ มันไปไหนก็ได้ในวัตถุในโลกนี้ แล้วมันก็ดับทุกข์ไม่ได้กี่มากน้อย มันดับทุกข์ได้นิดเดียวคือทุกข์ทางกาย พ้นได้แค่สุนัขกัด เดี๋ยวนี้มันเจริญกันอย่างไรก็ไปคิดดู การก้าวหน้าทางถนนหนทาง ทางไอ้เรือบิน ทางไปโลกอื่น ทางไหนก็ตาม มันเหาะได้ทางกาย มันพ้นได้แค่สุนัขกัด มันแก้ปัญหาได้นิดเดียว แก้ปัญหาได้นิดเดียว แค่หมากัด พวกยักษ์ก็เหาะได้กันแพร่หลายก็คือพวกประเทศชาติที่ใหญ่โต มีอำนาจวาสนา เจริญทางวัตถุยิ่งกว่าอะไร ใคร ๆ ล้วนก็เหาะได้แพร่หลาย เหาะกันได้ทุกประเทศ มันก็พ้นแค่สุนัขกัดอยู่นั่นเอง มันมากไปกว่านั้นไม่ได้ นี่เหาะทางกายพ้นได้แค่สุนัข แม้พวกยักษ์ ๆ นั่นมันก็เหาะกันได้แพร่หลาย ทีนี้ตรงกันข้าม มันเป็นเรื่องเหาะทางใจ คือใจที่มันจะหลุดพ้นออกไปจากโลก จากโลกียะนี่ ไม่มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ผูกมัดรัดรึงไว้ เรียกเหาะทางใจ เหาะออกไปได้ อย่างสะดวกดาย พ้นกิเลส พ้นมารร้ายหายร้อนรน คือความทุกข์ทั้งหลายมันดับไปได้ ไม่มีเหลือเลย อย่าไปหลงว่ามีเงินแล้ว มันจะหมดปัญหาแล้ว เดี๋ยวนี้หลายคนเชื่อมั่นว่ามีเงินแล้ว มันจะแก้ปัญหาได้หมด นั่นมันบูชาเงิน มันงกเงิน มันเป็นวัตถุนิยมเต็มไปทั้งหมด ทั้งบ้านทั้งเมือง มันพ้นได้แค่สุนัขกัด ไม่วิเศษอะไร อยากกินอะไร ก็กินได้ อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ไปได้ อยากจะมีอะไรสกปรกลามก อนาจารเท่าไรมันก็ทำได้ มันก็หายหื่น หายกระหายกิเลสตัณหาไปพัก ๆ หนึ่ง นี้เรียกว่าพ้นได้แค่สุนัขกัด แล้วมันก็ไม่พ้นไปจากความทุกข์ร้อนที่ใหญ่โตมโหฬารมากกว่านั้น
นี้เรากำลังเป็นอย่างนี้หรือไม่ ถ้ากำลังเป็นอย่างนี้รีบสงสารตัวเองเถอะ มันเป็นสิ่งที่น่าสงสาร ถ้ามันเผลอไปบางครั้งบางคราวไปบูชาไอ้สิ่งที่พ้นได้แค่สุนัขนั่นบ้างแล้วก็รีบล้อ รีบเอามาล้อ ล้อด้วยอะไร เครื่องมือที่ล้อที่แท้จริงที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าคือ หิริและโอตัปปะ รู้จักละอายกันเสียบ้าง รู้จักกลัวกันเสียบ้าง แต่นี่มันไม่รู้สึกตัว มันก็ไม่รู้จักกลัว ไม่รู้จักละอาย น่าละอาย เหลือที่จะน่าละอายแล้ว มันก็ยังไม่ละอาย มันน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใดแล้ว มันก็ยังไม่กลัว เช่นความโกรธอย่างนี้ มันน่าละอายที่สุดแล้ว มันกลับเห็นเป็นความสนุก มีเกียรติได้โกรธเขา ได้ด่าเขา มันเป็นกลาย กลายเป็นของมีเกียรติ อร่อยไปเลยที่จะไปด่าเขา ไปตีเขา หนักเข้ามันเคยชินเป็นนิสัย แล้วมันจะเป็นลมตายเพราะชอบโกรธนั่นแหละ ขอให้ระวังให้ดี ถ้าร่างกายมันเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ในทางทรุดโทรมแล้วมันจะโกรธง่ายขึ้น พอความโกรธมันสูงสุด มันจะตายเพราะหัวใจพิการในขณะนั้น แล้วทำไมจะต้องไปบูชามัน นี่เราไปบูชาสิ่งที่มันจะฆ่าเรา หรือว่าอย่างดีที่สุดมันก็พ้นได้แค่สุนัข มันพ้นได้แค่ความ แค่หิวประเดี๋ยวประด่าว ประเดี๋ยวประด่าว ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วมันหิวมากกว่าเดิม กิเลสตัณหามันจะขยายตัว มากกว่าไปกว่าเดิมเสมอ เท่าที่เคยพอใจนั้นจะไม่พอใจจะขยายออกไป แล้วมันก็ยังไม่เคยพอใจ เพราะว่าไอ้สิ่งที่จะมาสนองความพอใจ มันยังน้อยกว่าความอยากความหิวอยู่เรื่อยไป ทุกชั้น ๆ ทุกชั้น ฉะนั้นพวกมหายักษ์ในโลกเวลานี้หลาย ๆ พวก มันก็ไม่เคยอิ่ม นี่มันยังหิวอยู่จึงเรียกว่าสำเร็จประโยชน์ทางกาย แล้วมันก็พ้นได้แค่สุนัข พ้นได้ไอ้จากอันตรายนิด ๆ หน่อย ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือความไม่สบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ขอให้สนใจ เพราะเกิดมาทีหนึ่งต้องได้อะไร เกิดมาทีหนึ่งต้องเหาะทางใจให้ได้ เหาะได้ทางกายเพียงมีเงินมาก มีพวกพ้องมาก มีอำนาจวาสนามาก นั้นไม่ไหว พ้นได้แค่สุนัขกัด ถ้าเหาะทางใจมันพ้นหมดทุกอย่าง แล้วทำไมจึงยังไม่ค่อยจะชอบกันอีก นี่เราอุตส่าห์พยายามกันมากี่ปีแล้ว มีสวนโมกข์นี่ก็กี่ปีแล้ว สวนโมกข์นี่มีมาพร้อมปี ปีเดียวกับเปลี่ยนการปกครอง คือ ปีพ.ศ. ๗๕ นับมาถึงเดี๋ยวนี้มันตั้ง ๔๐ ปีละมัง ก็ยังรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครสนใจสิ่งที่เรามีไว้สำหรับให้ เขาไม่ต้องการอะไร เขาต้องการเพียงเครื่องรางที่กันหมากัดเท่านั้น เขาต้องการเพียงตะกรุดพิสมร (นาทีที่ 01:56:27) ที่ป้องกันสุนัขกัดเท่านั้น ไม่ต้องการอะไรมากกว่านั้น ก็เลยไม่สนใจเรื่องที่ใหญ่โตมโหฬารมากกว่านั้น ที่เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า
นี่ไป ๆ มา ๆ เรื่องมันก็ต้องกลับตาลปัตรหน้ามือเป็นหลังมืออีกตามเคย ช่วยจำไว้ด้วยว่าเดี๋ยวนี้มันกำลังมีอะไรที่หน้ามือเป็นหลังมือไปหมดแล้ว ถ้ารู้ไว้ก็ดี จะได้ป้องกันจะได้แก้ไข จัดการมันให้ถูกต้อง ไอ้หน้ามือหลังมือที่ตรงนี้ อยากจะพูดดัง ๆ ว่าสวนโมกข์นี้มันกลายเป็นดงของความโง่ ความบ้าไปแล้ว นี่สวนโมกข์ของเรามันกลายเป็นดงของความโง่ ความบ้าไปแล้ว เพราะว่าเราต้องการให้ทุก ๆ คนมาปล่อยเต่าเอาไว้ที่นี่ เต่าภาษาบ้านนี้คือความโง่ ความบ้า ความหลงเรียกว่าเต่า มาปล่อยเต่าไว้ที่นี่ มาที่นี่แล้วฉลาดกลับไป ฉะนั้นความโง่ ความบ้า มันก็ตกอยู่ที่นี่ กลายเป็นที่สะสมไอ้ความโง่ ความบ้า นี่พูดอย่างนี้มันถูกหรือไม่ถูก คือพูดให้มันกลับหน้ามือเป็นหลังมือ ให้มันตรงตามความเป็นจริง ถ้าใครไม่อยากจะปล่อย มันก็มีความโง่ ความหลงความอะไรติดอยู่มาก ฉะนั้นมันต้องปล่อย นี่เราพยายามอย่างยิ่ง สุดฝีไม้ลายมือที่สุดว่ามาถึงที่นี่แล้วให้มันปล่อยเต่ากันบ้าง แม้แต่ตัวเล็ก ๆ ก็ยังดี อย่าให้กลับไปเปล่า อย่าให้กลับเอาไปเท่าเดิมมาถึงที่นี่ ดีสนี่ย์แลนด์ทางวิญญาณนี้แล้วให้มันปล่อยเต่าตัวเล็ก ๆ ได้บ้างก็ยังดี ฉะนั้นขอให้ช่วยพยายามใช้ให้มันเป็นประโยชน์ เข้าไปในโรงหนัง ในตึกนี้ก็ให้มันมีประโยชน์ ให้มันเป็นประโยชน์ ให้เข้าใจอะไรสักเรื่องหนึ่ง เดินไปที่สระมะพร้าวนาฬิเก ก็เข้าใจความหมายว่าหมายความว่าอย่างไร นั่งอยู่ที่นี่สบายใจก็เพราะเหตุอะไรก็ให้รู้ว่าทุกอย่างนี้มันแวดล้อมให้หยุด ให้เย็น ให้ตัวกูมันสงบระงับไป ชั่วขณะหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่ง ถ้ามองเห็นข้อนี้แล้วเรียกว่าไอ้เต่าตัวเล็ก ๆ มันก็ถูกปล่อยไว้ที่นี่แล้ว กลับไปบ้านไอ้เต่ามันก็เหลือน้อยกว่าเดิม
ฉะนั้นเราสมัครยินดีที่ว่าจะให้สวนโมกข์นี้มันเป็นดงของความโง่ ความบ้าที่ใครเอามาทิ้งไว้ที่นี่ อาตมายินดีรับ ไม่รังเกียจ ช่วยเอาความโง่ ความบ้า ความหลง ความประมาท ความอะไรต่าง ๆ ทิ้งไว้ที่นี่ อย่าพาไปบ้านให้มากเท่าเดิม ช่วยทิ้งให้คนละนิดคนละหน่อย ให้มันอยู่เสียที่นี่ อย่าตามไปรังควาญท่านทั้งหลายที่บ้านที่เรือน อาตมาจะถือว่าเป็นโชคดีอีก จะถือเป็นของขวัญที่ให้ไว้ที่นี่อย่างดีที่สุด เพื่อว่าคนทั้งหลายจะปลอดภัย คนทั้งบ้านทั้งเมืองจะปลอดภัย คนทั้งโลกจะปลอดภัย กล้าคิดอะไรถึงอย่างนี้ ถ้าสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เผยแพร่ไป โฆษณาไป แจกจ่ายไปมันไม่เป็นหมัน มันมีคนอ่าน มีคนสนใจ มีคนเอาไปคิด ไปนึกไปปฏิบัติแล้วก็เรียกว่ามันมีประโยชน์ คือสถานที่นี้มันมีประโยชน์ มันจะร้ายอยู่แค่อาตมาคนเดียวก็ได้ ไม่เป็นไร มันไม่มีอะไรรับได้หรอก คน คนอื่น ๆ เขามองเห็นว่าเป็นเรื่องร้าย เป็นแง่ร้าย เป็นเสียหาย เป็นอะไรก็ตามใจ อาตมาไม่มีเสียหาย ไม่มีร้าย ไม่มีแง่ร้าย เป็นคนโชคดีอยู่เสมอ ถ้าใครเอาเต่ามาปล่อยที่นี่มากเท่าไร ยิ่งมีโชคดีมากเท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะได้ส่งออกไปโดยอาศัยสื่อมวลชน หนังสือหนังหาพิมพ์โฆษณาออกไปทางวิทยุ มันก็เรียกว่าปล่อยที่นี่เหมือนกัน เพราะด้วยอำนาจการกระทำ หรือการงานฝีไม้ลายมือของสวนโมกข์ ทำให้เต่ามันหลุดออกไป มันตายไปหรืออะไรมันก็ยินดี รับไอ้ของขวัญอันนี้ไม่เห็นว่าเป็น คำด่า แม้เขาจะเรียกว่าเป็นคำด่า อาตมาสมัครใจอย่าว่าท้าทาย อาตมาสมัครใจ และสมัครใจว่าตายแล้วไม่มีใครมาเผาศพสักคนเดียวก็ยินดี ไม่กลัวว่าตายแล้วจะไม่มีใครมางานศพของอาตมา ไม่มาสักคนเดียวยิ่งดี เพราะฉะนั้นจึงไม่กลัว คนอย่างนี้เคยมีมาแล้วในโลก ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าอาตมาจะเพิ่งมี หรือจะเพิ่งเป็น มันต้องการจะพูดตรงไปตรงมาไม่เกรงใจใคร ยอมให้เขาด่า ตายแล้วไม่มีใครมาเผาศพ เพื่อจะแลกเอาของสิ่งเดียวคือว่าพูดตรง ๆ พูดได้ตรง ๆ ไม่เกรงใจใคร นี่พูดหยาบอยู่เสมออย่างนี้ พูดเพราะไม่มี พูดดีไม่ได้ พูดหยาบคายตลอดเวลา เพื่อจะแลกโอกาสนี้เท่านั้นล่ะ ให้พูดได้ตามใจ พูดได้ตรง ๆ ใครจะเรียกว่าด่าหรือจะเรียกว่าอะไรมันได้ทั้งนั้น ถ้าเรียกว่าด่า ก็แปลว่ายอม สละทุกอย่างเพื่อให้ได้ด่า ก็มาพิจารณาตัวเองว่ามันอยู่ในฐานะอย่างนี้ โชคดีจริง ๆ เว้ย วันที่ ๒๗ พฤษภาคม เวียนมาในลักษณะอย่างนี้ ในสภาพการอย่างนี้ สำหรับอาตมา เรียกว่าโชคดี เอามาล้อ คือล้อความโง่ ที่แล้วมาแต่หนหลัง ที่มันหมดไปได้เท่าไร ถ้าหากว่า ไอ้ความได้อย่างนี้ ท่านทั้งหลายไม่ชอบ ก็กลายเป็นว่าช่วยล้อคนทั้งหลาย เป็นการล้อทั้งสองฝ่าย ล้อนี่เพื่อให้มันดีขึ้น ล้อก็ล้ออย่างคนหวังดี ล้ออย่างมิตรอย่างสหาย
ถ้าท่านทั้งหลายเข้าใจทั้งหมดที่พูดมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ก็หมายความว่าทำบุญต่ออายุของอาตมา หรือว่าทำบุญล้ออายุอาตมาแล้วแต่จะเรียกนี้ได้ผลที่สุดมีประโยชน์ มีอานิสงส์ที่สุด ยิ่งกว่าที่เขาทำ ๆ กันอยู่ ตั้งหมื่นเท่า แสนเท่า ล้านเท่า โกฏิเท่า เขาต้องเลี้ยงพระมาก ๆ เขาต้องแจกของขวัญกันมาก ๆ เขาต้องสรงน้ำกันหลายโอ่ง ไอ้เราไม่ต้องทำอะไรเลย เรากลับได้ประโยชน์ ได้อานิสงส์มากกว่านั้นหลายหมื่นเท่า หลายแสนเท่า หลายล้านเท่า เพียงแต่หัดอดข้าวเสีย ๒๔ ชั่วโมง พรุ่งนี้จะฉลาดขึ้นอีกเป็นกอง
นี่การบรรยายเนื่องจากการทำบุญล้ออายุในตอนเช้านี้ มันสมควรแก่เวลาแล้ว พูดลักษณะทั่ว ๆ ไปว่า ให้มองดูโลกในฐานะปัจจุบันในขณะที่เรามีชีวิตลมหายใจอยู่ในวันนี้นั้น โลกทั้งหลายกำลังเป็นอย่างไร อาตมาสมัครจะเป็นสุนัขปากร้ายแห่งวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นจนตลอดชีวิต แจกของขวัญด้วยการอดข้าว ๒๔ ชั่วโมง กินแต่น้ำ ใครรับเอาได้ก็ยินดี ถ้าใครจะให้อาตมาก็จงให้ด้วยของขวัญอย่างเดียวกัน นี่อย่าได้ประมาทเลย เพราะว่าไปมัวหลงอะไรมากกว่านั้นมันก็เต็มไปด้วยความประมาท ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทำเป็นตัวอย่างไว้อย่างไร เราก็จะเดินตามรอยพระอรหันต์เหล่านั้นเท่าที่เราจะทำได้ ไม่ได้คุยโต ไม่ได้ยกตัวอวดดีว่าจะเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นอะไร แต่ว่าจะทำตามรอยพระอรหันต์ทุกอย่างทุกประการที่ทำได้ อาตมาบอกว่าพระพุทธเจ้าท่านทำอย่างไรบ้างในการค้นคว้าขวนขวายเพื่อตรัสรู้ พระเยซูทำอย่างไรบ้าง เอามาเปรียบเทียบกันดู อย่าให้พุทธบริษัทนี้น้อยหน้าพระเยซู เอ้อ, อย่าใหน้อยหน้ากว่าพวกคริสเตียน อย่าให้พุทธบริษัทนี้น้อยหน้ากว่าพวกคริสเตียน อย่าให้น้อยหน้ากว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉานที่มีความเข้มแข็ง มนุษย์นี่เดี๋ยวปวดหัว เดี๋ยวปวดฟัน เดี๋ยวปวดท้อง เดี๋ยวเป็นเบาหวาน เดี๋ยวเป็นอะไร แต่สุนัขของเราไม่เคยเป็นเลย เพราะมันถือหลักอะไรมันจึงไม่เป็น โรคที่มนุษย์เป็น นี่เพราะมนุษย์มันลืมตัว ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันไปหลงไปใหลในสิ่งที่ไม่ควรจะไปหลงไปใหล มันไม่มีความเหมาะสมที่จะอยู่ในโลกนี้ สู้สุนัขและแมวก็ไม่ได้ สุนัขและแมวมีความเหมาะสมที่จะอยู่ในโลกนี้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย เราไม่ได้สัก ๑๐ เปอร์เซ็นต์ นี่ขออย่าได้มีความประมาท ล้อก็ล้อเพียงให้นึกได้อย่างนี้ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรมากไปกว่านี้ ขอยุติการบรรยายในภาคเช้าไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน ตอนบ่ายถ้ายังมีอยากฟังมีคนฟังก็พูดอีก ไม่มีคนฟังก็เลิกกัน