แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย เนื่องจากท่านทั้งหลายเป็นผู้ศึกษาวิชาสังคมศาสตร์ ดังนั้นการบรรยายในวันนี้เห็นว่า ควรจะพูดถึงเรื่องสังคมธรรม หรือธรรมะสำหรับสังคม แล้วก็ในทัศนะของพุทธบริษัทด้วย เพราะว่าความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในทัศนะอื่นๆ อาจจะหาศึกษาได้จากที่อื่น แล้วก็เคยศึกษากันอยู่แล้ว นั้นการที่จะพูดกันเฉพาะแต่ในส่วนที่เกี่ยวกับทัศนะของพุทธบริษัทก็ชื่อว่า มันมีเหตุผล
แต่ว่าเนื่องจากในวันแรกนี้เราจะไม่พูดอะไรกันมาก อยากจะพูดแต่เพียงความหมายของคำว่า สังคม ตามหลักของพุทธศาสนา มี logic กับเขาด้วยเหมือนกัน คือว่าถ้าจะรู้เรื่องอะไร ก็จะต้องตั้งปัญหาขึ้นตาม logic ของพุทธศาสนา ที่ใช้กันอยู่มากในคัมภีร์ทั่วๆ ไป โดยถอดรูปออกมาจากเรื่องอริยสัจ ๔ logic ที่ถอดรูปออกมาจากอริยสัจ ๔ ก็มีว่า คืออะไร เพราะเหตุใด เพื่ออะไร และก็โดยวิธีใด นั้นเราจะถือเอาตามหลักนี้ เราจะต้องรู้จักว่าสิ่งนั้น นั้นคืออะไร โดยลักษณะอาการอุปมาหรืออะไรก็ตาม แล้วก็ว่ามันเนื่องมาจากสิ่งใดหรือเหตุใดจึงต้องมีสิ่งนี้ แล้วก็รู้ว่าเพื่ออะไร คือมันจะนำมาซึ่งผลอะไรในที่สุด แล้วก็ว่าจะสำเร็จประโยชน์ตามนั้นได้โดยวิธีใด หัวข้อทาง logic อย่างนี้ใช้กันมาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว ในวงของพุทธศาสนา นั้นเราก็จะคงใช้ไปตามหลักนี้ซึ่งสะดวก
และได้พูดแล้วว่าในวันนี้เราจะไม่พูดอะไรกันมาก พูดแต่หัวข้อคร่าวๆ เหล่านี้ เกี่ยวกับคำว่า สังคม ก็ได้แก่ การพิจารณากันถึงคำว่า สังคม อย่างทั่วถึงสักหน่อยเท่านั้นเอง ถ้าว่ากันโดยที่จริงแล้วการที่จะเข้าใจ สังคม หรือรู้ รู้จักตัวสังคมดีนั้น มันไม่มีทางอื่นดีไปกว่าการที่จะมองดูมาจากปัญหาของสังคมนั่นเอง ถ้าไม่อย่างนั้นมันเป็นเรื่องทฤษฏีเฟ้อ หรือบ้าหอบฟาง ที่มันมากไม่มีที่สิ้นสุด นี้เราก็ดูจากปัญหาสังคมนั่นเอง เพื่อให้รู้ว่าสังคมคืออะไร แล้วมันมาจากเหตุใด เพื่อประโยชน์อะไร สำเร็จได้ด้วยวิธีใดเป็นต้น
แต่สำหรับในวันนี้เราจะยังไม่พูดกันโดยหลักนั้น เพราะว่ามันมีเรื่องของมันเป็นพิเศษ ยุ่งยากอยู่เรื่องหนึ่ง ส่วนหนึ่ง จะพูดกันเฉพาะในกรณีแวดล้อมทั่วๆ ไปก่อน คำว่า สังคม ถ้าในภาษาบาลี คำว่า สังคม หรือสมาคม ก็ตามแต่ มันแปลว่ามาประชุมกันมากๆ เท่านั้นเอง แต่ในภาษาไทยเราไม่ได้มีความหมายเพียงเท่านั้น ปัญหาที่เรากำลังพูดนี้ก็คือปัญหาที่เกี่ยวกับสังคม ตามความหมายในภาษาไทยไม่ใช่ในภาษาบาลี ถ้าภาษาบาลีเขามีแต่เพียงมาประชุมกันมากๆ ดังนั้นถึงแม้เราจะใช้คำว่า สังคม หรือสมาคมในภาษาบาลี แต่ก็ต้องถือเอาความหมายตามภาษาไทย นี่เรื่องมันน่าหัวอย่างนี้ ใช้ภาษาบาลีแต่ถือเอาความหมายตามภาษาไทย นี้ในภาษาไทยคำว่า สังคม เรานั้น มันไปตรง..ความหมายของสังคมนั้นในภาษาไทยเรานี้ มันไปตรงกับความหมายในภาษาบาลีคือ คำว่า เสวนา คำว่าเสวนาในภาษาบาลีมีความหมายกว้างขวางมาก เสวนากับคน ก็เรียกว่าเสวนา แม้แต่เสวนากับความผิด ความชั่ว ความเลว ก็เรียกว่าเสวนา เสวนากับความคิดชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่ในใจของตัวเองอยู่เป็นประจำนี่ก็เรียกว่าเสวนา แปลว่า การคบหา ตัวหนังสือแปลว่า การเสพ เสวนาแปลว่า การเสพ แต่ความหมาย หมายถึงการคบหา นี้ความหมายของ คำว่า สังคม ในภาษาไทยนี่ มันตรงกับคำว่า เสวนาในภาษาบาลี มันก็น่าหัวอีกครั้งหนึ่งคือความสัปปรับของภาษาที่ใช้กันอยู่ในโลกเวลานี้ ข้อนี้ก็ขอให้เข้าใจไว้เสียด้วยว่าภาษาไหนก็ตามในโลกที่ใช้อยู่ในโลกนี้มันสัปปรับอย่างนี้ เมื่อยืมเอาภาษาอื่นเข้ามาใช้ความหมายเปลี่ยนไปไม่ตรงตามความหมายเดิมของคำๆ นั้น ในภาษาเดิม แม้แต่ภาษาตะวันตกก็เหมือนกันยืมคำภาษาอื่นมาใช้ความหมายไปอย่างอื่น พอจะแปลกันก็ใช้คำเดิมนั้นไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น
นี้เป็นเรื่องที่ฝากไว้ให้เป็นความรู้พิเศษสำหรับสังเกตต่อไปข้างหน้า ว่าภาษาทำความยุ่งยากให้มากเหมือนกัน มันสัปปรับเมื่อยืมเอามาจากภาษาอื่นแล้วมาใช้ในภาษาของตัวความหมายต่างกันไปก็มี กลับตรงกันข้ามก็มี อย่างไม่น่าเชื่อ เช่นคำว่า พิภพ ถ้ายืมมาจากภาษาบาลี มันก็เป็นวิ..มาจาก วิภพ ซึ่งแปลว่าไม่มีภพ หรือไม่ใช่ภพ แต่เราเอาคำว่า ภพ..พิภพ มาใช้เป็นอย่างมีภพ เป็นพิภพ เป็นภพต่างๆ ไป เอาหล่ะเป็นอันว่ายุติกันได้ทีหนึ่งว่า เราพูดกันด้วยภาษาอะไรก็ให้ถือเอาความหมายตามภาษานั้นที่เราบัญญัติกันไว้เป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้ว
ความหมายของคำว่า สังคม ในภาษาไทย คือการคบหา อาจจะจำกัดความว่าการคบหาสมาคมเพื่อได้ประโยชน์ร่วมกัน นี่คือการสังคมที่เป็นความหมายอันแท้จริง ถ้าไม่ต้องการจะได้ประโยชน์อะไรก็คงไม่คบหาสมาคมกัน นี้ประโยชน์ที่จะได้นั้นมันต้องตรงกันหรือร่วมกันถ้าไม่อย่างนั้นมันคบกันไม่ได้ คือคบกันในลักษณะนั้นไม่เรียกว่า สังคม อันแท้จริง แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าลืมว่าในการคบหาสมาคมกันเพื่อประโยชน์ร่วมกันนั้นมันยังมีอะไรแฝงอยู่ คือมันจะมีทั้งการคบชนิดที่เป็นการเอาเปรียบกันหรือไม่เอาเปรียบกันก็ได้ เห็นแก่ตัวก็ได้ ไม่เห็นแก่ตัวก็ได้ เพราะเหตุที่ว่ามันเอาหน้าฉากเป็นหลัก ไอ้หลังฉากอย่างไรก็ดูยาก เอาหน้าฉากเป็นหลักก็เห็นการคบกันเพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์อันใดอันหนึ่งร่วมกันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น นี่คือความหมายของคำๆ นี้ มันมีอยู่อย่างที่ต้องพิจารณาด้วยเหมือนกัน ถ้าไม่พิจารณาก็จะเข้าใจเรื่องอื่นๆ ที่มันเกี่ยวข้องกันนั้นได้โดยยาก
แล้วทีนี้เราจะพูดกันคร่าวๆ ต่อไปอีกว่าไอ้สิ่งที่เราเรียกว่า สังคม นั้น มันมีกี่ชนิด เมื่อถามว่ามีกี่ชนิดนี่ คำตอบมันมีมาก คือว่าจะมองกันในแง่ไหน ถ้ามองในแง่นั้นมันก็มีเท่านั้นชนิด แต่ถ้ามองในแง่อื่นมันก็มีอย่างอื่น คือกี่ชนิดไปในแง่อื่น นั้นเรามองกันเท่าที่จะเป็นประโยชน์ ก็เป็นประโยชน์ในการศึกษาธรรมะด้วย ในชั้นนี้อยากจะขอร้องให้สนใจพิจารณาอะไรบางอย่างที่มันยัง..ที่มันซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งควรจะเข้าใจเพื่อจะเข้าใจไอ้สิ่งที่มันตื้นๆ หรือที่ปรากฎอยู่ตื้นๆ นี้ นั้นอยากจะพูดเตลิดเปิดเปิงไปถึงไอ้..ถึงการมองกันในแง่ที่ลึก หรือธรรมชาติที่ลึกซึ้ง ซึ่งมันเป็นความหมายอันแท้จริงของคำว่า สังคม แต่มันลึกตามธรรมชาติที่ลึก ที่ว่าลึกในที่นี้ ก็มันเป็นเพราะว่าไม่มองกัน สิ่งใดที่ถูกมองอยู่เสมอ มันก็ตื้นขึ้นมาแต่เมื่อไม่เคยมองกันมันก็ลึก
นี้อยากจะมองไปถึงการสังคมของสัตว์ที่มีชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติมาแต่โบราณกาล จะใช้คำประหลาดๆ ตลกๆ ก็ได้ว่าสังคมประเภท อนาคาริก แปลว่า ไม่มีบ้านไม่มีเรือน แล้วก็สังคมประเภทอาคาริก แปลว่าอย่างที่มีบ้านมีเรือน จะต้องดูไปถึงยุคสมัยที่เริ่มมีสัตว์ที่มีชีวิตขึ้นมาในโลก ก็เฉพาะอย่างยิ่งคือสัตว์ที่อยู่ในน้ำ ยังไม่มีสัตว์บก ยังไม่มีคน นั่นหล่ะมันเป็นต้นตอของเรื่อง สัตว์ที่ว่านี้ก็คือปลา ถือว่าสัตว์ที่มีอยู่ในน้ำนี่เกิดก่อนสัตว์ไหนหมด ฉะนั้นอย่าอวดดีไปนัก ไอ้เรามันเป็นลูกหลานของปลา เมื่อปลามันเป็นบรรพบุรุษในฐานะที่มันเกิดก่อนในโลก แล้วความรู้อันนี้ก็สังเกตเห็นได้จากการที่เลี้ยงปลาเล่นๆ อยู่นั้นเอง สนใจกับมันในฐานะที่มันเป็นบรรพบุรุษ และมันให้ความรู้อะไรบางอย่างที่น่าสนใจที่สุด และ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องเกี่ยวกับสังคม
ถ้าท่านทั้งหลายยังไม่รู้ ก็ควรรู้เสียก่อนว่า ไอ้ปลาทั้งหมดในโลกนี้ ถ้าจะแบ่งเป็นประเภท ก็เป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ ๒ ประเภท อย่างที่ออกชื่อมาแล้ว พวกอนาคาริก ไม่มีที่อยู่บ้านเรือน พวกอาคาริก มีที่อยู่มีบ้านเรือน มีที่อยู่ที่ยึดครอง ไอ้ปลาประเภทไอ้ไตรปินน้อย ไตรปิมีนเด (นาทีที่ 17:05) พวกนี้ ก็คือพวกตระกูลปลาตะเพียนทั้งหลาย จะอยู่ในทะเลหรือบนอยู่บกก็ตาม ไอ้พวกที่มีกระเพาะเปิดโล่งมาทางปากมีหางเป็นแฉก ว่ายน้ำเร็วๆ มีไม่รู้กี่ร้อยกี่ชนิดกันน่ะ พวกนี้จะไม่มีที่อยู่ที่อาศัย ไม่ยึดคู่ครอง ว่าคนนั้นป็นคู่ครองของเรา และก็ไม่มีที่อยู่อาศัยเฉพาะว่าฉันอยู่ตรงนี้ ตรงนี้ใครอย่าเข้ามา นี้พวกหนึ่ง อย่างที่เราเห็นง่ายๆ คือปลาตะเพียน ตระกูลปลาตะเพียนทั้งหมด ปลาทองก็รวมอยู่ในพวกนี้ ปลาทองก็คือปลาตะเพียนที่เอามา domesticate จนรุ่มร่ามรุงรังอย่างนี้ แต่เนื้อแท้คือปลาตะเพียนร้อยเปอร์เซนต์ เราสังเกต ที่ปลาทองได้ง่ายก็เพราะมันอยู่ใกล้ชิดเรา ว่ามันมี ชีวิตอย่างไร สังคมอย่างไร ทีนี้ไอ้ปลาอีกพวกหนึ่งตรงกันข้ามกับพวกไอ้ปลาชิกฟิช(นาทีที่ 18.20) ทั้งหลาย เช่น ปลาหมอ ปลากัด ปลาช่อน พวกนี้สังเกตได้ง่ายๆ หางมันเป็นพัด เป็นกลมๆ ไม่ใช่แฉก ไอ้พวกโน้นหางเป็นฟ๊อซ คือเป็นแฉก พวกนี้หางเป็น fan เหมือนกับพัด ไอ้ปลาชิกฟิชทั้งหลายเหล่านี้มันจะมีมากมายหลายร้อยหลายพันชนิด แล้วมันจะยึดครองที่ ว่าตรงนี้ที่ของกู มึงอย่าเข้ามา นี่มันมีคู่ผัวตัวเมียของกูไม่ยอมเปลี่ยน นี่มันจึงเกิดการเป็นอยู่ที่ต่างกัน สังคมที่ต่างกัน ไอ้พวกอนาคาริก ตระกูลปลาตะเพียนนั้น มันจะอยู่ในที่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง อยู่กันเป็นฝูง เคลื่อนที่เสมอไม่มีที่อยู่ประจำ ไม่มีคู่ครอง เว้นแต่ถึงฤดูมันก็จะมีการสืบพันธุ์ชนิดที่ ไม่เหมือนเขา จะมาสืบพันธุ์ให้เห็นในทุ่งนาแถวนี้พอน้ำเจิ่งดี น้ำขึ้นไปในพงหญ้ารกๆ ตื้นๆ มันก็จะมีการสืบพันธุ์ ปีละครั้งเท่านั้นแหละ ตัวเมียมีท้องมีครรภ์แก่ ตัวผู้หลายๆ ตัวก็รุมกันเบียด ให้เกิดความรู้สึกทางเพศแล้วไข่ออกมา มันก็ช่วยกันฉีดน้ำเชื้อของตัวผู้ให้ผสมกับไข่ ติดอยู่ที่เส้นฝอยที่ละเอียดต่างๆ ของใบหญ้า ของสาหร่ายนี้ มากันเป็นพันๆ ตัวเป็นหมื่นตัว แล้วมันก็มีฟองไข่ มีตัวเลขจำนวนเขียนไม่ไหวไม่รู้กี่ร้อยล้านล้านพันล้านแสนล้าน มันก็ทิ้งไปในวันนั้นแหละ กลับไปที่อยู่อาศัย ที่ตามเดิมที่ไหนไม่รู้กระจัดกระจายไปหมด อยู่ข้างหลังมันจึงจะแตกเป็นตัวและรอดชีวิตอยู่ได้เพราะมันไข่มาก นี่สังคมนี้ไม่มีที่อยู่อาศัยไม่มีคู่ครองเป็นอย่างนี้ จิตใจจะเป็นอย่างไรลองนึกดู
นี่ตระกูลชิกฟิช ปลาหมอ ปลากัด ปลากระดี่ จนกระทั่งตัวโตขึ้นไปถึง ปลาแรด ปลาช่อน ปลาทะเลโตเท่าคนนี้ มันมีที่อยู่ตรงนี้ ในถ้ำตรงนี้ ในรูตรงนี้ ปลากัดนี้มีหวอดตรงนี้ใครอย่าเข้ามา มีคู่ผัวตัวเมียเฉพาะ แยกออกมาได้ แล้วก็ออกไข่ตามเรื่องของมัน ที่บ้าน เหมือนกับที่บ้านที่เรือน มันก็มีน้อยเพราะมีการคุ้มครองดี มันมีน้อยก็ได้ ออกไม่กี่ร้อยไข่ มันมีรอดชีวิตได้ไม่สูญพันธุ์ แต่ปลาที่ไม่มีการคุ้มครองเพราะไม่มีบ้านเรือนมันต้องมีออกมามาก ที่จะเหลือมากพอ นี้เราลองเปรียบเทียบจิตใจที่..จิตใจของผู้ที่มีการยึดครองว่านี่ของกู กับจิตใจที่ไม่มีการยึดครองว่านี่ของกู มันจะต่างกันอย่างไร ไปศึกษาดูปลาตะเพียน ดูสังคมของปลาตะเพียน แล้วมาดูสังคมของปลาน้ำนิ่งปลา อยู่น้ำนิ่ง ปลาที่ยึดครองสถานที่ ปลาหมอ ปลากระดี่ ปลาช่อน ปลาซิม(นาทีที่ 22.15) ปลาอะไรก็เหมือนกัน
ที่พูดนี้ต้องการจะให้เกิดความเข้าใจในข้อที่ว่า ถ้ามีการยึดครองเมื่อไหร่เมื่อนั้นจะมีความรู้สึกทางจิตใจเปลี่ยนไปอย่างตรงกันข้ามกับการที่ไม่ยึดครอง ไอ้ปลามันยังมีอยู่ในโลกนี้ กระทั่งเวลานี้ไปดู ในทะเลมีปลาซิม เอ้อ..มีปลาทู โดยเฉพาะปลาทูนี้จำนวนมหึมา นี่พวกอนาคาริกทั้งนั้น ไม่มีบ้านเรือนไม่มีคู่ครองไม่มีตัวกูของกู ปลาพวกนี้ไม่เคยกัดกัน อย่างปลาทองนี่เห็นได้ชัด แม้เพื่อนจะแย่งอาหารจากปากก็ไม่ได้กัดเลย ส่วนไอ้ปลาชิคฟิชนั้น อย่าว่าแต่ไปแย่งอาหารจากปากเลย เข้ามาใน..ใกล้มัน..ใกล้ๆ มันก็ยังกัดอยู่แล้ว เอามาเลี้ยงในขวด พอมันคึกคะนองดีเพียงแต่ไปมองหน้ามัน ไปมองมันที่ขวดมันก็จะกัดผู้มองเสียแล้ว มันต่างกันอย่างนี้ มากถึงอย่างนี้ เราเรียกว่าตระกูลปลาตะเพียนนี้มีจิตใจที่เหมือนกับพระอริยเจ้า ไอ้ปลาตระกูลชิคฟิชมีจิตใจเหมือนกับอันธพาล แม้แต่มองก็ไม่ได้ เพราะนั้นสังคมมันจึงต่างกัน ตระกูลปลาตะเพียนจะอยู่กันอย่างไม่มีเรื่องอันธพาล หรือมีอันธพาลก็น้อยที่สุด มีเหมือนกันชนิดที่เป็นอันธพาลจะกัดกินไอ้พวกอื่นเป็นอาหารนั้นมันจะมีบ้างเหมือนกัน มันน้อยที่สุด ไม่ถือได้ว่าเป็นหลักใหญ่ของปลาชนิดนี้ มันเป็นเรื่องฟลุ๊ค หรือว่าไขว้กันอย่างอื่น แต่ถ้าไอ้ปลาชนิดอยู่นิ่ง อยู่น้ำนิ่งมีการยึดครองสถานที่และคู่ครองนี้จะมีอาการที่เรียกว่าดุร้ายเห็นแก่ตัว เพราะความยึดครอง
เอาละทีนี้ก็ลองนึกถึงมนุษย์ มันน่าเสียดายที่ว่าไม่มีมนุษย์ประเภทอนาคาริก อย่างไอ้ปลาตระกูลปลาตะเพียนให้เห็นหรือเหลืออยู่ ครั้งกระโน้นมันจะมีหรือไม่มี เอ่อ..มันก็พูดยาก แต่มันก็คงจะมีลักษณะคล้ายๆ กันกับไปทางอนาคาริกอยู่มากไม่เหมือนคนสมัยนี้ยุคนี้ แล้วถ้าจะดูกันยุคนี้ยุคปัจจุบันนี้มันก็พอจะมีได้บ้าง ในหมู่พระอริยะเจ้านั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรพชิต พระอริยะเจ้าที่เป็นบรรพชิต ไม่มีการยึดครองสถานที่ ไม่มีคู่ครองทางเพศตรงกันข้าม มีการสืบพันธุ์อย่างประหลาดที่น่าจะหัวเราะ แล้วว่าเอ้อ..มี เกิดทยอยๆ ตามขึ้นมาด้วยการ..ด้วยพิธีการ เช่นอุปัฌชายะ หรืออุปสมบทให้แก่ สัทธิวิหาริก อันเตวาสิก นี่มันก็เหมือนกับการสืบพันธุ์ แต่มันไม่ใช่สืบพันธุ์ทางเนื้อหนัง เป็นเรื่องสืบพันธุ์ทางวิญญาณ พันธุ์ของบรรพชิตของพระอริยเจ้านั้นก็ไม่สูญพันธุ์ มีการเป็นอยู่คล้ายกลับฝูงปลาอนาคาริก ถ้าปฏิบัติถูกต้องตามวินัยบรรพชิตจะมีที่อยู่เป็นของตัวไม่ได้ อย่าเอาพระ บรรพชิตในสมัยนี้เป็นหลัก ต้องเอาสมัยเดิม สมัยที่เขายังเป็นไปตามความมุ่งหมายเดิม จะต้องเร่ร่อนตลอดเวลา ฤดูฝนไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ถึงจะหยุดอยู่ในที่บางแห่ง พอมันต้องไป ต้องไป ไม่มีการยึดครองที่ไหน แม้ที่ที่อยู่จำพรรษาก็จะยึดครองเป็นของตนไม่ได้ อยู่ชั่วฤดูฝนเท่านั้น เป็นของคนอื่น จึงมีลักษณะแสดงให้เห็นเหมือนกับ ปลาตระกูลอนาคาริก ซึ่งให้ชื่อเหมือนกัน แกล้งให้ชื่อเหมือนกัน บรรพชิตเป็นอนาคาริก ไม่มีคู่ครอง ไม่มีบ้านเรือนยึดครอง ไม่มีทรัพย์สมบัติเป็นส่วนของตน เขาเรียกว่าอนาคาริก คือบรรพชิตทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรพชิตในพุทธศาสนา
นี่มันยังเหลืออยู่เพียงเท่านี้ หรือมันจะวิวัฒนาการใหม่มาอยู่ในรูปนี้ ซึ่งมันจะคล้ายๆ กับของเดิมก็ได้ แต่ที่อยู่กันตามธรรมชาติเดิมอย่างปลา ตระกูลปลาตะเพียนนี้ไม่เห็นที่ไหน สัตว์อย่างอื่นๆ บางทีจะมี เช่น นกบางชนิดนี่มันจะมีอาการคล้ายๆ กับชีวิตปลาประเภทอนาคาริก นี้ส่วนคนทั่วไปในโลกนี้ก็เป็น อาคาริก มันมีบ้านเรือนที่ดินอะไรของกู มีทรัพย์สมบัติของกู มีลูกเมียของกู มีเกียรติยศชื่อเสียงอำนาจวาสนาอะไรของกู ไอ้ที่เขาคุยๆ กันว่าจะมีระบบสังคมแบบที่จะให้มีความเป็นเจ้าของร่วมกันทั้งประเทศ ไม่เป็นของใคร มีการสืบพันธุ์โดยที่ไม่ต้องระบุว่าของใคร มีทรัพย์สมบัติรวมกัน มีลูกเมียรวมกัน นั้นมันจะมีได้อย่างไรนั้น มันก็เป็นเรื่องที่เอาแน่นอนไม่ได้ ยังพูดไม่ได้ แต่ที่เราเห็นอยู่ชัดๆ แล้ว มันก็คือจะต้องยึดครองป็นของตนๆ แม้ว่าระบบไอ้ที่ว่านั้นมันจะมีได้ มันก็ยังมีเป็นของตน คือว่าเป็นประเทศของตน มันยังมีรวมกันว่าเป็นประเทศของเรา แม้ว่าในประเทศเราไม่มีอะไรเป็นสิทธิส่วนบุคคลรวมกันหมด มันก็ยังมีการยึดครองว่าเป็นของประเทศของเรา มันก็เท่ากัน ยังจะต้องต่อสู้ ยังจะต้องเกลียดผู้อื่น ยังจะต้องอะไร ใช้ไม่ได้
เอ้า,ทีนี้เราดูอย่าง อย่างที่เรียกว่าปริทัศน์ กว้างๆ ไอ้สัตว์มันมีสังคมประเภทอนาคาริก และประเภทอาคาริกได้โดยชัดเจน คนมีไม่ได้ มีได้แต่ประเภทอาคาริก นี้ปัญหามันก็มีเฉพาะประเภทคือประเภทอาคาริก แล้วมีมาก มีเข้มข้น มีอย่างที่ยากหรือลำบากเพราะสิ่งๆ เดียวคือการยึดครอง ไปดูปัญหาของปลาทอง แทบจะไม่มี ไปดูปัญหาของปลากัด มีมาก เพราะปลากัดเป็นปลาประเภทยึดครอง มีอัสมิมานะจัด มีความยึดมั่นถือมั่นจัด นั้นมันจึงต้องได้รับบาปคือเป็นปลากัด มันจะต้องกัดกันอย่างไม่ต้องคิดแก่ชีวิตชีวา คิดอะไรหมด มันมีบาปที่มันจะต้องกัดกัน ไอ้ปลาทองไม่เคยเห็นกัดกันเลย เป็นเพื่อนเป็นมิตรสนิทสนมแก่กันและกัน ยิ่งกว่าความเป็นมิตรในหมู่มนุษย์เสียอีก นี่จุดตั้งต้นของสังคม มันอยู่ที่ว่ามันมีสังคมในรูปไหน เดี๋ยวนี้มันก็ยุติแล้วว่าเป็นสังคมอาคาริกตามแบบของมนุษย์มีตัวกูของกู แล้วก็ยิ่งมีมากขึ้นๆ นี่รู้ไว้เถอะว่าเราเป็นสัตว์ที่มีบาป คือมีกิเลสที่จะยึดครองนั่นนี่เป็นตัวกูของกู แล้วจะต้องมีทุกข์ตามหลักของธรรมะ หรือตามหลักของพุทธศาสนามันชี้ให้เห็นอย่างนี้ ว่าสังคมอย่างมนุษย์ในปัจจุบันนี้คือสังคมบาป ยึดมั่นเรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องแพ้เรื่องชนะ เรื่องตัวกูเรื่องผู้อื่น มันมีตัวกูมันมีผู้อื่น ซึ่งในสังคมโน้นมันไม่มี สังคมอนาคาริกของปลา ตระกูลปลาตะเพียนมันไม่มีตัวกูมันไม่มีผู้อื่น สังคมที่มีตัวกูมีผู้อื่นมียึดครองไอ้ของเป็นคู่ๆ อย่างนี้ ดีชั่วบุญบาป สุขทุกข์ แพ้ชนะ อะไรนี่ นั่นคือสังคมบาป
พวกคริสเตียนเขาพูดไว้ชัดมากในเรื่องนี้ พอมนุษย์รู้จักดีชั่วก็มีบาปทันที เพราะไปกินไอ้ผลไม้ต้นที่พระเจ้าห้ามเข้าไว้ กินแล้วทำให้รู้อะไรดีอะไรชั่ว อะไรเป็นอย่างไรเป็นคู่ๆ ให้รู้ว่านุ่งผ้าหรือเปลือยกาย มันก็เกิดนุ่งผ้าแทนเปลือยกาย แล้วมันก็ยึดมั่นไอ้เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องดีเรื่องชั่วมันก็มีความทุกข์มีบาป เขาบัญญัติไว้อย่างนั้นเป็นความจริง มนุษย์เราเริ่มมีบาปเมื่อรู้จักความยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นดีเป็นชั่ว เป็นได้เป็นเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เป็นเราและเป็นเขา ไอ้เรากับเขานี่ตรงกันข้ามกันที่สุดเลย พอมีความรู้สึกยึดมั่นแบบนี้ก็ต้องมีบาปและมีความทุกข์ เพราะสังคมมนุษย์ทั้งหมดเป็นสังคมบาป สังคมมีความยึดมั่นถือมั่นจนต้องเป็นทุกข์ ไม่อย่างที่เห็นชัดๆ ก็อย่างที่มองไม่เห็นชัดๆ มองเห็นยาก ก็คือความทุกข์ที่ทุกคนมีอยู่ในใจนั่นแหละ มาจากความยึดมั่นถือมั่น นี่มนุษย์ทั้งหลายมันเป็นอย่างนี้ ส่วนพระอรหันต์มันพ้นความเป็นมนุษย์แล้วอย่าเอามาพูดถึง นี่มนุษย์ทั้งหลายรวมทั้งเทวดาด้วย เทวดาทุกชนิดด้วย ถ้าต่ำลงไปถึงสัตว์เดียรัจฉานด้วย ประเภทที่มีความยึดมั่นถือมั่น มีความทุกข์เป็นสังคมบาป นี่ก็น่าหัวที่สุดให้คนบาปแก้ปัญหาของคนบาป น่าหัวที่สุด ไปลองคิดดูจะทำได้อย่างไร ทำได้เท่าไร นี่เราอุตส่าห์เรียนกันเกือบตายเพื่อจะแก้ปัญหาสังคม เรียนรู้สังคม รู้วิชาสังคมเกี่ยวกับการเป็นอยู่การปกครอง และเราต้องทำแน่ เราสลัดออกไปไม่ได้ แล้วเราต้องทำให้ดีที่สุด ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะฉะนั้นเราก็รู้ ไอ้รกรากต้นตอของไอ้ปัญหาสังคมมันว่าเกิดขึ้นมาอย่างไร นี่เป็นส่วนสำคัญ นั้นจึงเอาเรื่องปลา เรื่องสัตว์ ที่เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์มาพูดกันเสียด้วย จุดตั้งต้นมันตั้งต้นมาตั้งแต่นั้น สังคมของผู้ที่ไม่มีการยึดครองอะไรเลย กับสังคมของผู้ที่มีการยึดครองอย่างยิ่งนี่ มันต้องต่างกันอย่างนี้ อันหนึ่งเป็นบาป อันหนึ่งไม่เป็นบาป มันก็ไม่มีปัญหาเมื่อไม่มีบาปคือมันไม่มีทุกข์ ทีนี้ก็เป็นว่าไอ้สังคมอนาคาริกไม่มีการยึดครองนั้นหาไม่ได้แล้วในหมู่มนุษย์ในปัจจุบันนี้ มันก็เหลือแต่สังคมอาคาริกของผู้ที่ยึดครอง
แม้อย่างนั้นมันก็ยังต้องแยกกันไปตามที่มนุษย์มันได้จัดได้ทำหรือว่าได้เป็นอยู่ ให้เป็นไปตามที่มนุษย์มันต้องการ มนุษย์จะรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัวก็ตามใจ แต่มนุษย์ได้เป็นอยู่อย่างชนิดที่ทำให้เกิดปัญหาทางสังคม มีการสังคมเป็น ๒ ชนิด คือ ระบบสังคมสำหรับการอยู่ร่วมกันด้วยความสมัครใจเพราะว่ามันมีประโยชน์ร่วมกันก็เรียกว่าสังคมภายในอยู่ร่วมกันเป็นสังคมภายใน ในหมู่สัตว์ที่มีปัญหาอย่างเดียวกันมีหัวอกร่วมกันมีประโยชน์อย่างเดียวกันไม่ขัดกัน แล้วอีกชนิดหนึ่งก็สังคมระบบที่มันจำเป็นจะต้องเกี่ยวข้องกัน กับชนภายนอกที่มันมีวัฒนธรรมต่างกันมีปัญหาต่างกันมีผลประโยชน์ต่างกัน มีอะไรล้วนแต่ขัดกัน สังคมภายในอย่างในประเทศเรานี่ เราสังคมกันแต่พวกเราซึ่งมีประโยชน์ร่วมกัน แต่ถ้าเราไปสังคมกับพวกต่างประเทศมันก็หมายความว่า มันมีประโยชน์ต่างกัน มีวัฒนธรรมต่างกัน มีอะไรต่างกันเป็นภายนอก แล้วมันมีความจำเป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องกัน ไอ้สังคมภายในเราสมัครใจที่จะอยู่ร่วมกัน ไอ้สังคมภายนอกมีความจำเป็นจำใจที่จะต้องไปเกี่ยวข้องกัน มันต่างกันอยู่อย่างนี้ คนนอกที่เขามาเกี่ยวข้องกับเรานั้นน่ะ เขาต้องการจะเอาประโยชน์เขา เขาจึงมาเกี่ยวข้องกับเรา
ไอ้คำว่า นอก นี่อาจจะหมายในวงแคบก็ได้ ถ้ามันเป็นอันธพาลมากๆ เช่น ระหว่างมหาวิทยาลัยหนึ่งกับมหาวิทยาลัยหนึ่งนี่ ถ้ามันเกิดถือพวกถือเขาถือเราขึ้นมา มันก็จะเหมือนกับสังคมภายนอกที่มีประโยชน์ต่างกัน ขัดกัน มันอาจจะเกิดการรบราฆ่าฟันกันในระหว่างมหาวิทยาลัย ชิงเอาหน้าชิงเกียรติชิงอะไรกันก็ได้ มันจะกลายเป็นการต่อสู้กันอย่างสัตว์ก็ได้ ดังจะเห็นได้ว่าการกีฬาสมัยนี้ เป็นสิ่งที่สร้างน้ำใจที่ตรงกันข้ามกับนักกีฬา การกีฬาที่นำมาซึ่งความแตกความสามัคคี ชกต่อยตีรันฟันแทง แม้แต่กีฬาระหว่างชาติก็ยังเห็นได้เป็นอย่างนี้ผิดความมุ่งหมายเดิมเสียแล้ว ทีนี้ในมหาวิทยาลัยเดียวกันถ้าเกิดมีอะไรขัดกันมันก็ทะเลาะวิวาทกันในระหว่างคณะนั้น กระทั่งในระหว่างชั้นเรียน อย่างนี้มันกลายเป็นสังคมนอกไปหมด มันไม่ได้รักกัน แต่มันต้องการประโยชน์อะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง มันจำเป็นจะต้องเกี่ยวข้องกัน ถ้าสังคมใน ภายในก็ว่ามีประโยชน์อย่างเดียวกันมีหัวอกเดียวกัน มันทะเลาะกันไม่ได้
นี่เราจะพิจารณาดูถึงเรื่องที่เป็นสังคมภายใน ระบบสังคมที่ว่าเราจะอยู่ร่วมกัน เพื่อประโยชน์ร่วมกันนี้ ที่ว่าเราอยู่ร่วมกันเป็นระบบสังคมภายใน มันมีหลักใหญ่ที่ว่าเรามีอะไรเหมือนกัน มีวัฒนธรรมเหมือนกัน มีการแวดล้อมจากธรรมชาติเหมือนกันทำให้มีร่างกาย หรือการเป็นอยู่ หรือ root แห่งความรู้สึกคิดนึก จิตใจคิดนึกที่มันคล้ายๆ กัน มันเหมือนกัน มันก็เป็นเรื่องที่ง่ายในการที่จะทำอะไรร่วมกันหรือสังคมกัน ด้วยความสนิทใจ แต่แล้วก็อย่าลืมว่าไอ้เนื่องจากมันเป็นสังคมของคนบาปนี่ มันก็ละอุดมคตินี้อยู่เสมอๆ เพราะนั้นในกลุ่มหนึ่งในประเทศหนึ่งมันก็เกิดการแบ่งแยก
อย่างในประเทศไทยเรานี้หรือประเทศอื่นๆ มันคล้ายๆ กันทั้งนั้น ก็มีสังคมของพวกที่เป็นกระดูกสันหลัง เช่น พวกชาวนาชาวไร่นี้ มันก็มีสังคมอยู่ระบบหนึ่งแบบหนึ่ง สังคมกรรมกร สังคมไอ้นักธุรกิจ กระทั่งสังคมนายทุน ถ้าพอเกิดเห็นแก่ตัวกันขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็เกิดปัญหาทันที ภายในสังคมนั้นมันก็เกิดปัญหาได้ ในระหว่างสังคมอื่นด้วยกันและต่อกันนั้นมันก็เกิดปัญหาได้ ปัญหาระหว่างสังคมกระดูกสันหลังกับสังคมผู้ปกครอง หรือสังคมนายทุน สังคมกรรมกรกับสังคมนายทุนนี่มันเป็นขมิ้นกับปูนกันอยู่เรื่อย แม้ว่าอยู่ในประเทศชาติเดียวกัน มันต้องเอาการกระทำเป็นหลักแบ่ง จะเอาลักษณะภายนอกแบ่งมันก็ไม่ถูกหรือมันยาก ต้องเอาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องเอาการงานหรือการกระทำที่กระทำอยู่เป็นหลักสำหรับแบ่งว่าใครเป็นอะไร เมื่อถือหลักอย่างนี้มันก็แบ่งได้เป็น สังคมกระดูกสันหลัง ตากแดดกรำฝนอยู่ สังคมกรรมกร สังคมอะไรเหล่านี้ แล้วก็ สังคมนายทุน สังคมเทวดา แล้วก็มีสังคมผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจวาสนาเป็นหมวดๆ ไป ไอ้หมวดกระดูกสันหลังมันก็หมวดหนึ่ง มีหลายชนิด ไอ้หมวดนายทุนมันก็มีหนวดหนึ่งหลายชนิด หลายแบบ อย่างหมวดผู้ปกครองผู้มีอำนาจวาสนา เป็นชนชั้นปกครองนี้ก็มีหมวดหนึ่งหลายแบบ หมวดผู้อบรมสั่งสอน ครูบาอาจารย์ผู้นำทางวิญญาณเป็นบรรพชิต เป็นผู้ที่ทุกคนจะต้องเคารพบูชา นี่มันก็สังคมหนึ่ง หมวดหนึ่งมีหลายชนิด
อยากจะระบุไอ้สังคมนายทุน เอ้ย..สังคมผู้มีบุญคุณ นี่ซึ่งเขา เขามองข้ามกันไปหมด บิดามารดาเป็นต้น เดี๋ยวนี้ไม่มีบิดามารดาแล้ว ไม่มีใครเคารพบิดามารดา อย่างบิดามารดาเหมือนสมัยโบราณ จะเรียกว่าสังคมผู้มีบุญคุณ โดยหลักแห่งความยุติธรรมแล้วเป็นผู้ที่เราจะต้องยอมแพ้ตลอดเวลา สังคมผู้มีบุญคุณเช่นบิดามารดานี้ เราจะต้องยอมแพ้ ยอมให้ตลอดเวลา ชีวิตเลือดเนื้อของเราออกมาจากท่าน เราจะต้องแล้วแต่ท่าน เป็นไรก็เป็นไป นี่เรียกว่าสังคมของผู้ที่มีบุญคุณ แต่ก็สถาบันอันนี้ถูกยุบเสียเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คนสมัยนี้ไม่มีบิดามารดายิ่งขึ้นทุกที มีตัวกูมากขึ้นทุกที ก็ไม่มีสังคมชนิดนี้เหลืออยู่ได้ นี้ไอ้พวกที่ออกชื่อมาแล้วนี้มันก็เรียกว่า สังคมที่มีปัญหาไม่น่ากลัว ปัญหาธรรมดาๆ หรือปัญหาที่ไม่น่ากลัว
ทีนี้มันก็มีสังคมอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีปัญหาที่น่ากลัว คือสังคมของพวกอันธพาล คุณรู้จักดีแล้วนี่ อันธพาลไม่ต้องอธิบาย สังคมหมวดนี้ก็เป็นพวกอันธพาลเป็นผู้ไร้การศึกษาอบรม เป็นคนโง่ เป็นคนพูดกันไม่รู้เรื่องนี่หมวดหนึ่ง มองเห็นอยู่ชัดๆ อันธพาลนี้มันก็หมายความว่า มีจิตใจที่มืดมน ทำความเข้าใจกันไม่ได้ ก็เกิดเป็นอันตรายเป็นอะไรขึ้นมา อย่างที่เป็นปัญหามากที่สุดในประเทศเราเวลานี้ นี้ก็สังคมผู้ไร้การศึกษาอบรมนี้ยังแบ่งเป็น ๒ ชนิด ไร้การอบรมศึกษาทางศีลธรรมทางจิตใจนี้ก็เป็นอันธพาลได้ แต่ถ้าว่าไร้การศึกษาอบรมอย่างแบบสมัยใหม่นี้ยังไม่เป็นไร สมัยใหม่นี้สอนแต่หนังสือสอนแต่เรื่องปากเรื่องท้องกลับเป็นอันธพาลหนักขึ้น การศึกษาแผนใหม่ ทำผิดสอนแต่ให้ฉลาดแล้วก็ไม่สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว นั้นยิ่งรู้มาก ยิ่งเรียนรู้มาก ยิ่งอันธพาลมาก เป็นอันธพาลสูง เป็นอันธพาลลึก เป็นอันธพาลกวนโลกทั้งโลกให้เดือดร้อน สมัยที่คนเขาไม่รู้หนังสือแต่เขามีการอบรมทางจิตใจทางศีลธรรมไม่มีเรื่องเดือดร้อนอย่างนี้ พูดกันง่ายๆ ว่าคนไทยเรายุคสมัยสุโขทัยไม่รู้หนังสือกันกี่คนหรอก อะไรก็ต้องพูดด้วยปากทั้งนั้นแหละ จารึกก็เพียงให้จารึกสำหรับคนอ่านไม่กี่คน สำหรับเป็นหลักฐาน ประชาชนทั่วไป ๙๙% จะไม่รู้หนังสือ แต่แล้วมันก็อยู่ด้วยความผาสุขได้ เพราะมีการอบรมในส่วนจิตใจหรือส่วนศีลธรรม
นี้คำว่า ไร้การศึกษาอบรม ในที่นี้หมายความว่า ไร้การศึกษาอบรมในส่วนศีลธรรมด้านจิตใจ ยิ่งมีศึกษาอบรมชนิดสมัยใหม่แล้วก็ยิ่งมีบาปมาก เพราะมันชวนให้เห็นแก่ตัวมากเหลือเกิน ดีกว่า เอ่อ..คนไม่รู้หนังสือกลับจะดีกว่าเสียอีก คือไม่เห็นแก่ตัวน้อยกว่า ต้องระวังให้ดี ได้รับการศึกษาอย่าง อบรมอย่างแผนใหม่นี่ ต้องจัดให้ถูกต้อง คือให้มันไปในทางที่ทำลายความเห็นแก่ตัวด้วย นี่ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัวอย่างนี้ไม่ไหว ในสังคมคนโง่นี่ ไม่ประสีประสา มันโง่ หรือว่ามันโง่อย่างประสีประสาก็มี แต่รวมความแล้วมันลำบากเหมือนกัน เพราะคนโง่นี่มันพูดกันไม่รู้เรื่อง เขาว่ากันว่า ขงจื้อเป็นผู้พูดว่า อยู่รวมกับคนโง่นี่ไปอยู่กับเสือจะดีกว่า เสือมันกัดทีเดียวตายก็แล้วไปแต่อยู่รวมกับคนโง่นี่มันลำบากยากใจไม่สิ้นสุด ไม่มีที่สิ้นสุด มันก็ต้องถือว่ามันเป็นแบบนั้น รวมความว่าสังคมของพวกที่พูดกันไม่รู้เรื่อง สังคมกับพวกที่พูดกันไม่รู้เรื่องนี่มันลำบากยุ่งยาก เป็นอันธพาลก็ดี เป็น ไอ้..อะไรก็ดี
นี้มากไปกว่านั้นอีก มันก็เรียกว่าเป็น เสนียดสังคมหรือกาฝากสังคม มันก็มีอยู่สังคมหนึ่ง ไอ้สังคมที่เป็นเสนียดสังคมของคนทั่วไปของสังคมใหญ่เป็นกาฝากของสังคมใหญ่ มันก็มีอีกสังคมหนึ่ง โดยแง่ร้ายก็มี โดยแง่จำเป็นที่มันจะต้องเป็นอย่างนั้นก็มี โดยธรรมชาติก็มี นี้ไอ้พวกที่จะต้องนึกถึงด้วย ก็คือสังคมที่เป็นภาระของสังคม คือสังคมคนวิกลจริต คนทุพลภาพ คนไม่ประสีประสาอะไรเสียเลยโดยแท้จริงนี่ นี้เราจะไปโทษเขาก็ไม่ได้ เขาเป็นคนวิกลจริต ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาไม่ประสีประสาทุกอย่างทั้งดีทั้งชั่ว ก็มีอยู่โลกนี้ก็เป็นสังคมหนึ่ง ซึ่งจะต้องรับรู้ ซึ่งจะต้องจัดการด้วยเหมือนกัน ไม่อย่างงั้นสังคมใหญ่มันเรียบร้อยไม่ได้ นี่ลองคิดดูว่าเรามีสังคมอย่างไร มีสิ่งที่เรียกว่าสังคมอย่างไรในโลกนี้ ที่พอจะดูได้ก็มี แทบจะดูไม่ได้มันก็มี อย่างที่แยกให้เห็นเป็น ๒ พวก
นี่มันยังมีขอบเขตที่เล็กใหญ่เป็นหน่วย หน่วยๆ ๆ ไปอีก สังคมในครอบครัว ซึ่งมีหลายๆ ชนิดน่ะ สังคมในโรงเรียนนี่ก็มีหลายชนิด ในวัดวาอารามก็มีหลายชนิด หมู่บ้าน ประเทศ กระทั่งในบางกรณีมันหมายถึงทั้งทวีปเลย มันเป็นเหมือนๆ กันก็ได้ในทวีปหนึ่ง มีประโยนช์อย่างเดียวกันเพื่อจะไปต่อสู้กับทวีปอื่น หรือครึ่งโลกนี้มันจะต่อสู้กับอีกครึ่งโลกอื่น แล้วใน..ในสังคมใหญ่นั้นมันก็มีอันย่อย ย่อยๆ ๆ ที่มีอะไรต่างกัน มีอะไรต่างกันจน จนปัญหาข้างนอก เป็นปัญหาข้างใน เป็นปัญหาที่เกี่ยวกันยุ่งไปหมด นี่คือการแบ่งแยกทางสังคม อยู่ในลักษณะอย่างนี้ ปัญหามันมากอย่างนี้ เราคนหนึ่งมีภาระหน้าที่แต่เพียงจะศึกษาแก้ไขในแง่หนึ่งแง่เดียวนั้นก็ยังจะทำไม่ค่อยได้ จึงควรรู้ไว้ว่าทั้งหมดมันมีอย่างไร มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ทีนี้เมื่อพูดถึงทางศาสนาหรือทางธรรมะนี่ มันมีความมุ่งหมายพิเศษ นี่เป็นเรื่องแทรกหน่อยขอแทรกหน่อยว่า ทางศาสนา วัตถุประสงค์ของศาสนานี่มันมุ่งหมายที่ว่า จะให้ทุกคนเป็นสังคมเดียวกันหมด ทั้งประเทศ หรือทั้งโลก กระทั่งทั้งสากลจักรวาลถ้ามันจะมีกี่โลก กี่ร้อยโลก พันโลก อยากให้มันเป็นสังคมเดียวกันหมด คือมันถือว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันหมด แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน ก็เอื้อเฟื้อรักใคร่เหมือนมนุษย์ด้วยกัน หรือถ้ามีเทวดาที่ดีกว่ามนุษย์ก็ให้เป็นสังคมเดียวกันหมด เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมด นี่ศาสนาเขามุ่งหมายอย่างนี้ให้มีสังคมเดียวอย่างนี้ สังคมของมนุษย์ผู้มี..ของสัตว์ผู้มีบาป ผู้มีความทุกข์มีเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันหมด ให้รักใคร่เป็นสังคมเดียวกันแล้วมันทำไม่ได้ เพราะมันมีความแตกแยกกันขึ้นมาก่อนจนเป็นเหตุให้ต้องมีหลักศาสนาเพื่อจะตะล่อมกันใหม่ มันก็ยังทำไม่ได้ ปัญหาเรื้อรังมันยังคงเหลืออยู่จนบัดนี้ว่า มันต้องแบ่งแยกเป็นสังคม สังคม เป็นหน่วยๆ ไป แล้วแก้ปัญหากันไป
อันนี้เป็นต้นเหตุเป็นต้นตอที่มาของสังคมชนิดที่ ๒ คือ สังคมที่ว่าจำเป็นจะต้องเกี่ยวข้องกันในระหว่างคู่กรณีที่มีประโยชน์ขัดกัน มีวัฒนธรรมต่างกัน ซึ่งเราจะเรียกในที่นี้สั้นๆ ว่า สังคมภายนอก สังคมภายใน สังคมกันอยู่แต่ผู้มีวัฒนธรรมภายในเหมือนกันรับผิดชอบร่วมกันรักกันได้ง่าย นี้สังคมภายนอกคือ ต้องจำเป็นต้องสังคมกันกับผู้ที่ไม่ใช่พวกเรา ที่ไว้ใจไม่ได้ อย่างไปสังคมกับชาวต่างประเทศนี่เราไว้ใจได้เมื่อไหร่ มันยังต้องดูกันอีกมาก แล้วความเห็นแก่ตัวนี่ล้วนแต่ทำให้คนๆ หนึ่ง หรือพวกหนึ่ง ประเทศหนึ่ง เห็นแก่ตัวก่อนเห็นแก่ผู้อื่นเสมอ การที่เขาจะมาสังคมกับเรานี่ต้องหวังประโยชน์เขาเต็มที่ก่อนเขาจึงมาสังคมกับเรา ที่เขาจะให้นั่นให้นี่อย่างกับว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนั้นมันก็มีอะไรอยู่ในส่วนลึก มันมีเขามีเรา ต้นตอก็มาจากการที่เราไม่สามารถจะรักกันเป็นคนเดียวกันได้ตามความมุ่งหมายของศาสนา มันก็เกิดแบ่งแยก แม้แต่ในครอบครัวนี้กับครอบครัวนั้น ในประเทศเดียวกัน มันก็ยังมีอะไรที่จะเล่นงานกัน หมู่คณะนั้นหมู่คณะนี้ สังคมนั้นสังคมนี้ เป็นสังคมผู้ปกครอง กับสังคมกระดูกสันหลังนี่ มันพูดกันรู้เรื่องง่ายๆ เมื่อไหร่ นี้ยังมีบางทีทะเลาะกัน มีแกล้งกัน เมื่อมันโง่ขึ้นมา ทีนี้เรามีสังคมภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องอีกพวกหนึ่ง เท่าที่จะมองเห็นได้ไม่ยากนัก เราต้องเกี่ยวข้องกับเขาเพราะมันเป็นศัตรูกัน มันเป็นศัตรูคู่อาฆาตต่อกันมันก็ยังต้องเกี่ยวข้องกัน ยุคปิงปองนี่เห็นได้ชัด มันจะเป็นศัตรูกันอย่างไรก็ตาม มันก็ยังต้องทำการเกี่ยวข้องกัน
ทีนี้ครอบครัวที่หน้าต่างบ้านจ่อกันอยู่นี่มันก็เป็นข้าศึกกันอยู่ในภายใน แต่มันก็ต้องพูดจายิ้มแย้มแจ่มใสกันอย่างที่เรียกว่า หน้าเนื้อใจเสืออะไรก็ตามใจ ความจำเป็นมันบังคับให้เราสังคมกับปรปักษ์ เราก็ต้องศึกษาเราจะสังคมกับเขาอย่างไรในเมื่อเขาเป็นปรปักษ์ นี้ความจำเป็นมันบังคับเห็นไหม ต้องให้มีศิลปะในการที่จะสังคมกับผู้ที่มีประโยชน์อันขัดกัน ทีนี้มันก็มีไอ้เรื่องต้องป้องกันตัว เรามีความจำเป็นจะต้องป้องกันตัว ไอ้การป้องกันตัวนั้นทำได้ มันมีมากมายหลายวิธี บางวิธีมันก็ต้องไปญาติดีกันกับข้าศึก การป้องกันตัวนี่ทำให้จำเป็นจะต้องสังคมกับผู้ที่เป็นข้าศึก เราจึงเก็บตัวอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ แล้วทีนี้ที่มันมีมากที่สุดก็คือเรามันต้องการจะขยายตัว ต้องการจะขยายความเจริญรุ่งเรืองของเราไปยัง..โดยการสังคมกันกับผู้ที่เขาเจริญกว่าเรามันก็จำเป็นอีกเหมือนกัน ต้องทำตามสังคมเป็นภายนอกออกไปทุกที ทุกที
แล้วอันสุดท้ายมันควรจะมองให้ดีๆ ให้เห็นว่ามันเป็นเพราะความเห่อของเรา ความโง่ ความอยาก ความเห่อของเรา เราเห่อฝรั่งนั่น เราโง่ถึงขนาดเห่อฝรั่งเราจึงไปต้องติดต่อกับไอ้สังคมฝรั่ง บางอย่างถ้าเราอยากเห่อฝรั่ง เราก็ไม่ต้องทำ ไม่ต้องติดต่อ ไม่ต้องมีปัญหาในเรื่องนั้น นั้นส่วนที่เราเห่อฝรั่งนี้ก็มีอยู่มากเหมือนกัน เราไม่ได้ด่าฝรั่งนะ เรายกตัวอย่างเพื่อไว้..เพราะมันมีข้อเท็จจริงอยู่ว่าเขาเจริญกว่าเราในด้านเนื้อหนัง ด้านวัตถุ นี้เรามันโง่ไปหลงเนื้อหนังไปหลงวัตถุ เราก็เห่อตามฝรั่ง สวมเครื่องนุ่งห่ม ชนิดที่พอสวมเข้าเป็นบาปทันที เครื่องนุ่งห่มชุดที่มันสวมเข้าเป็นบาปทันที เหมือนที่เขียนไว้ในรูปภาพแผ่นนี้ พอสักว่าเอามาสวมเท่านั้นเป็นบาปทันที เพราะก่อนที่เอามาสวมจิตใจมันเลว มันเลวแล้ว มันเป็นบาปทันที คือมีอันตรายรอบด้าน เหมือนหญิงสาวที่ถูกเอ่อทำทารุณกรรมอนาจารนี่ เพราะมันแต่งตัวชนิดที่พอมาสวมเข้าเป็นบาปทันที นี่เรียกว่าเราเห่อฝรั่ง ปัญหานี้จึงเกิดขึ้นมาโดยไม่จำเป็นจะต้องเกิด ถ้าเรายังเป็นไทยอยู่ ปัญหาอย่างนี้ไม่มีไม่เกิด พวกฝรั่งเมื่อมันยังแต่งตัวรุ่มร่ามเครื่องนุ่งห่มยาวๆ เมื่อสองศตวรรษมานี้ มันก็ไม่มีปัญหาอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มีปัญหาลามกอนาจาร มีอาชญากรรมระหว่างเพศในบางประเทศว่าทุกๆ วินาที คุณคิดดู มีอาชญากรรมทางเพศนี่ทุกๆ วินาทีในประเทศนั้น นี่เพราะการเจริญก้าวหน้าแบบนี้ แล้วเราจะไปเห่อเขาได้อย่างไร พอไปเห่อเข้ามันก็มีปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้น นี่ปัญหาทางสังคม ประเภทภายนอก มันมีเพราะเหตุเหล่านี้ เราจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไหวก็มี และเรามันโง่เองไปเห่อเข้าในส่วนที่ไม่ควรจะไปเห่อไปต้องการเข้า มันก็มี
นี่พูดกันให้หมดอย่างนี้ไม่เกรงใจ ก็เพื่อว่าจะได้รู้จักเอาไปพิจารณาและ เลือกๆ ๆ อันไหนมันเป็นโทษก็ทิ้งไปเสีย อันไหนไม่จำเป็นก็ยังไม่ต้องคิดนึก ไอ้ที่มันจำเป็น ที่มันเป็นบาปเดี๋ยวนี้ มีความทุกข์เดี๋ยวนี้ จะต้องคิด ต้องนึก ต้องรีบเข้าใจ ต้องรีบศึกษา นี่เรียกว่าเราพิจารณาดูกันอย่างทั่วๆ คร่าวๆ ทั้งหมด มันมีอยู่อย่างนี้ ความหมายหรือปัญหา หรืออะไรของสังคมมันมีอยู่อย่างนี้ แล้วพวกเราจะรับอาสาไปศึกษาและแก้ไขกัน ในแขนงไหนสักแขนงหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งของแขนงหนึ่งก็ตามใจ เราค่อยไปพิจารณาดู เฉพาะส่วนที่มันได้รับมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของเรา แต่ว่าเราต้องดูทีเดียวหมด ทั้งหมด เพื่อจะเข้าใจไอ้ส่วนที่จะได้รับมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของเรา แล้วเราก็จะทำได้ดี
นี้ปัญหาที่เราจะต้องแก้ไขอย่างจำเป็นก่อน นี้มันเป็นปัญหาสังคมภายในมากกว่า สังคมภายนอกนั้นมันก็มี มีไม่ใช่ไม่มี แต่ว่ามันมีน้อยกว่าเมื่อเทียบปริมาณกันแล้ว หรือว่าความยุ่งยากลำบาก แล้วเขาก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ซึ่งมันก็ไม่มีมาก แต่ว่าภายในของเรานี้ เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่หนัก ที่ไม่รู้สิ้นสุด นี่เราจะพูดกันให้มากในเรื่องปัญหาทางสังคมที่เป็นภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันเกี่ยวกับศีลธรรม คือธรรมะในพระพุทธศาสนา ที่เราจะพูดกันในวันหลังๆ ต่อไปอีก เรื่องธรรมะสำหรับสังคมนี่เราเริ่มขึ้นมาโดยการพิจารณาดูสิ่งที่เรียกว่า สังคมโดยทั่วๆ ไปก่อน ในวันแรกนี้ นี่ก็ขอยุติวันนี้กันที