แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกที่มาใหม่อาจจะไม่ทราบ อยากจะให้ทราบว่าการบรรยายเฉพาะที่นี่เราเรียกว่าธรรมปาฏิโมกข์คือย้ำในหัวข้อธรรมะทุกๆ ๑๕ วัน เช่นเดียวกับที่ลงอุโบสถปาฏิโมกข์ย้ำหัวข้อวินัยทุกๆ ๑๕ วันเราจึงเรียกว่าธรรมปาฏิโมกข์ แล้วก็ธรรมปาฏิโมกข์ไม่มีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเกี่ยวกับ ตัวกู-ของกู แม้จะพูดสักร้อยครั้งพันครั้งมันก็พูดได้ ทั้งนี้เพราะว่าเรื่องหมดทั้ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ในพระไตรปิฎกนั้นมันเรื่องเกี่ยวกับ ตัวกู-ของกู ในแง่ใดแง่หนึ่ง เพราะฉะนั้นเราจึงพูดแต่เรื่องนี้ในฐานะเป็นปาฏิโมกข์โดยหัวข้อนี้มาเรื่อย ๆ
สำหรับในวันนี้จะพูดกันในหัวข้อว่า “การมีตนเป็นคนของโลก” การมีตนเองเป็นคนของโลก นี่เป็นการปฏิบัติที่ลัดที่สุดเกี่ยวกับ ตัวกู-ของกู ถ้าปล่อยไปตามปรกติธรรมดาสามัญมนุษย์ทุกคนมีตนเป็นของตนแล้วมันเลยเถิดไปจนมีตนเป็นของกิเลส คือตนเลว, ตนยึดมั่นถือมั่น เรียกว่ากิเลส กลายเป็นมีตนเป็นของกิเลส ถ้ามีตนเป็นของตนที่ประกอบไปด้วยสติปัญญามันก็ดีก็ไม่มีปัญหาอะไร ทีนี้ตกไปเป็นตนของกิเลสคือ อวิชชา, ตัณหา, อุปาทาน ก็มีตนเป็นของกิเลส ถ้าปล่อยไปตามธรรมดามันมีตนเป็นของกิเลสกันทั้งนั้น ขอให้สังเกตดู, เดี๋ยวนี้เราไม่ใช่พูดกันแต่เพียงคำพูดหรือตัวหนังสือ ถ้าต้องการให้เป็นเรื่องจริงในชีวิตจิตใจของคนก็ลองคิดดูถึงตัวเองเวลานี้ ย้อนถอยหลังไปเรื่อยๆ ไปแต่หนหลัง, ไปจนกระทั่งก่อนบวช, กระทั่งเป็นเด็กเป็นอย่างไร? ล้วนแต่มีตนเป็นของอะไรสังเกตดูให้ดี มันมีตนเป็นของกิเลสเสียเป็นส่วนใหญ่หรือทั้งหมด แต่ว่ากิเลสบางชนิดมันก็น่าเกลียดมาก กิเลสบางชนิดก็ไม่สู้น่าเกลียด แต่แล้วถ้าขึ้นชื่อว่ากิเลสมันก็ต้องให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น ถ้าเรามีตนเป็นของกิเลสไม่ว่าชนิดไหนก็จะต้องเกิดทุกข์, มีความทุกข์ ไอ้เวลาที่เราไม่มีทุกข์นั่นแหละคือว่าที่เราไม่มีตนเป็นของกิเลส เด็กเล็กๆ เวลาที่มันไม่มีทุกข์เลยก็เยอะเหมือนกันเพราะฉะนั้นมันไม่มีตนเป็นของกิเลส เพราะเมื่อใดมันเกิดมีตนขึ้นมา ตัวกู ขึ้นมาเป็นของกิเลส ตอนนั้นจะต้องมีความทุกข์ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งแล้วมันก็เป็นอย่างนี้เรื่อยมาจนบัดนี้, จนนาทีนี้ ถ้ามีตนเป็นของกิเลสก็ต้องมีความทุกข์ ถ้ามีตนเป็นของธรรมคือสติปัญญา เอาธรรมะเป็นตนอย่างนี้ก็เรียกว่าไม่มีทุกข์ แต่การมีตนเป็นของตนนี่เป็นของธรรมะนี่มันทำยากเพราะฉะนั้นเรามีอุบายเลิกมีตนของตนเสีย ให้มีตนนี้เป็นของผู้อื่นเสียเรียกว่าเป็นของโลกก็ได้ เราจะไม่มีตัวเป็นของตัวเราอีกต่อไป มีตัวของเราเป็นของโลก ใช้คำกว้าง ๆ ทั้งโลกไปเลย เป็นคนของโลก, ไม่เป็นคนของตน
ทีนี้ปัญหาปลีกย่อยอาจจะเกิดขึ้นบ้างสำหรับผู้ที่ไม่รู้อะไรมากเกินไป เรานับถือพระพุทธเจ้าแล้วจะไปมีตนเป็นของโลกได้อย่างไร แล้วทำไมเราไม่มีตนเป็นของพระพุทธเจ้า, หรือพระธรรม, หรือพระสงฆ์ ทีนี้ผมก็บอกว่าไอ้มีตนเป็นของพระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ มันยังดีเกินไปสำหรับคนชนิดนี้เป็นไม่ได้หรอก ลองมีตนเป็นคนของโลกแล้วจะง่ายเข้า จนกระทั่งถึงว่าการมีตนเป็นของโลกนั่นแหละคือมีตนเป็นของ พระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ เพราะถ้าเรามีตนที่มอบให้ พระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ แล้ว, ไม่เป็นทาสของตัวเองอีกแล้ว มันก็ทำประโยชน์ผู้อื่นทั้งเลย ไปคิดดู, ถ้าคุณมีการมอบชีวิตจิตใจนี้แด่พระพุทธ, แด่พระธรรม, แด่พระสงฆ์จริง การเคลื่อนไหว, การกระทำทุกอย่างจะเป็นเพื่อผู้อื่นทั้งนั้น เราเรียกรวมๆ กันว่าเพื่อโลก เพราะฉะนั้นมีตนเป็นของโลกนั้นแหละคืออุบายที่ช่วยให้เรื่องมันน้อยเข้า, สั้นเข้า, ง่ายเข้า แม้ว่าเราจะมอบตนนี้ให้เป็นของ พระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ ผลสุดท้ายก็ต้องมาทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่โลกอีกนั่นเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง, ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม
เพราะฉะนั้นเราเลยพูดถึง การทำตนให้เป็นคนของโลก เสียเลยจะดีกว่า ตรงกับเรื่องเร็วเข้า แต่ถ้าเป็นพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เขามีพูดเรื่องนี้เป็นธรรมดาก็เรียกว่าอุดมคติของโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จะต้องนึกถึงแต่ผู้อื่น พอนึกถึงตัวเองก็ขาดศีลก็เลยมีปณิธาน, มีการกระทำ, มีอะไรทุกอย่างเพื่อผู้อื่นทั้งนั้น ฉะนั้นเมื่อทำอยู่อย่างนั้น ๆ กิเลสมันร่อยหรอ, ความเห็นแก่ตัวมันร่อยหรอ เพราะ ความโลภ, ความโกรธ, ความหลง มันร่อยหรอๆ ไปๆ จนหมดเลย และเมื่อหมดกิเลสแล้วจะเรียกว่าพระโพธิสัตว์อีกก็ได้ มันก็ยังเหลือแต่ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นอีกนั่นแหละ เมื่อเราได้รับความรู้ได้ผ่านโลกมาจนไอ้สิ่งที่เกี่ยวกับตัวเองนี้มันเป็นของเด็กเล่น, เป็นของไม่มีสาระอะไร ก็เลยสลัดออกไปหมด คงตั้งหน้าตั้งตาทำประโยชน์ที่กว้างคือผู้อื่น เหมือนกับภาพวัว ; จับวัว, การจับวัว ภาพ ๑๐ ภาพที่เขียนอยู่ที่ฝาผนังนี้ดูตัวเอง ว่าง ไปแล้ว ก็ยังเหลืองอกงามไปเพื่อผู้อื่น มันจบปิดฉากลงด้วยการทำเพื่อผู้อื่น ไม่มีเพื่อตัว นั่นแหละจุดหมายปลายของการมีตนเป็นของโลกเป็นอย่างนั้น พวกมหายานก็ถือเป็นอุดมคติของโพธิสัตว์ต้องการจะลดลงมาให้กับสำหรับทุกคน แต่พวกเราเถรวาทมองไปในแง่ที่ผิดกันบ้างคือว่าเราถือว่ามีตนเป็นคนของโลกนี้ เมื่อจบกิจของตนแล้วก็จบเรื่องของตนแล้ว หรือว่าอย่างน้อยมันก็เพื่อ...มันก็เป็นหน้าที่ หรือเป็นการกระทำของพระพุทธเจ้ามากกว่า ก็หมายความว่าให้สิทธิเสรีภาพ ไม่ผูกมัด, อยากจะทำอย่างไรก็ทำ แต่นิยมยกย่องว่าเพื่อผู้อื่นในวาระสุดท้ายนี่ให้ถูกต้อง ฉะนั้นพิจารณาดูแล้วไม่ว่าแบบไหน, นิกายไหน, ลัทธิไหน การมีตนเป็นของผู้อื่นนี้ ไม่มีทางผิด, ไม่มีทางที่จะผิด, ไม่มีทางที่จะเกิดช่องโหว่ให้ประพฤติผิด
ทีนี้มองดูศาสนาอื่น เช่น ศาสนาคริสเตียน ก็ยิ่งเพื่อผู้อื่นมากขึ้นไปอีกจนพูดว่า รับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า รับใช้ตัวเองคือรับใช้พญามาร รับใช้ตัวเองทำอะไรเพื่อตัวเองคือรับใช้พญามาร ถ้ารับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า อธิบายได้ตามหลักของพุทธศาสนา เมื่อเห็นตัวมันก็เป็นกิเลส ก็รับใช้กิเลสคือพญามาร เมื่อไม่เห็นแก่ตัว, รับใช้ผู้อื่นมันก็เป็นการรับใช้พระธรรม จึงเป็นของสูงสุดยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด เอาละ, เป็นอันว่าเราใช้หัวข้อหรือประโยคนี้เป็นหลักว่า การทำตนให้เป็นคนของโลก เป็นวิธีลัดเพื่อทำลาย ตัวกู-ของกู ตลอดเวลาทุกอิริยาบถ สำหรับคำขวัญ เรียกกันว่า คำขวัญ ของเราที่นี่ก็มีอยู่แล้วว่า อาบน้ำในคู กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างทาส มุ่งมาดปล่อยวาง ทำอย่างตายแล้ว มีแก้วในมือคือดวงจิตว่าง เพื่อจะได้แจกของ ส่องตะเกียง เลี้ยงคนทั้งโลก
กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นี่คือไม่ไปยุ่งกับเรื่องเอร็ดอร่อยของตัว กินอยู่หลับนอนพอให้แล้วๆ ไปวันหนึ่ง ไม่ถือเอาสิ่งนี้เป็นความสุข, สนุกสนาน, เอร็ดอร่อย แล้วข้อที่ว่า เป็นอยู่อย่างทาส นั่นแหละคือการทำตนให้เป็นคนของโลก เราไม่ยอมสละประโยชน์, หรือความสุข, หรืออะไรของเรา เราก็ทำตนอย่างทาสไม่ได้ ทำตนอย่างทาสมันก็หมดปัญหา ; ไม่พูด, ไม่ปริปาก, ไม่มีอะไรเป็นของตัว เป็นของเจ้านายคือเป็นของพระเจ้าทั้งนั้น นี่ถ้าเป็นทาสที่แท้จริงทาสที่ซื่อสัตย์เขาไม่ทำอะไรเพื่อตัว เขาทำเพื่อเจ้านายเพื่อพระเจ้า ทีนี้, เรา เป็นอยู่อย่างทาส ก็เป็นทาสของสิ่งที่เราควรจะเป็นทาส ทุกวันๆ เราก็สวดร้องอยู่ว่า พุทธัสสาหัสมิ ทาโสวะ ธัมมหัสมิ ทาโสวะ สังฆัสสาหัสมิ ทาโสวะ ขอสมัครเป็นทาสของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่แล้ว ก็ขอให้มันจริง เป็นอยู่อย่างทาส ไม่ปริปากและไม่มีอะไรเป็นส่วนที่ยักยอกไว้เป็นของตัว มันเป็นของเจ้านายล้วน พุทโธเม สามีกิสโร พุทธเจ้าเป็นเจ้านายของข้าพเจ้า ในทำวัตรเย็นนี่เราไม่มีทางที่จะฉ้อฉล, หรือยักยอก, หรือเอาเปรียบอะไรกับเจ้านาย เพราะเราเป็นทาสที่ดี กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างทาส สามารถจะทำได้เพราะว่ายอมสมัคร กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู ลองไม่ยอมเป็นอยู่อย่างนี้สิ มันก็ เป็นอยู่อย่างทาส ไม่ได้ เอ้า, ทีนี้ว่าทาสรับใช้ใคร? รับใช้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ทำอะไร? ก็ทำประโยชน์แก่โลก ผลสุดท้ายก็มาในนามว่าเป็นคนของโลก เดี๋ยวนี้คิดดูให้ดี เป็นพระเป็นเณรนี่เป็นคนของกิเลส เป็นพระเป็นเณรทุจริต ใช้เวลา, ใช้สิทธิหน้าที่อะไรของความเป็นพระเป็นเณรนี้อย่างคดโกง เป็นพระลงทุนค้าทำนั่นทำนี่ไปแลกเปลี่ยนกับคนนั้นคนนี้ได้ประโยชน์, ได้กำไรเกินสิ่งที่ตัวลงไป อย่างนี้เป็นคนกบฏเป็นคนทรยศ ไม่ใช่เป็นทาสที่ดีของพระพุทธเจ้า เป็นทาสของกิเลส เพราะ(ฉะ)นั้นระวังอย่าทำอะไรชนิดที่เป็นการกบฏทรยศต่อพระพุทธเจ้า ให้เป็นคนซื่อตรงต่อคนทั้งโลก เป็นคนของโลก เป็นพระเป็นเณร มันก็เรียนวิทยุ ไม่เท่าไรมันก็ออกไปหากิน เป็นพระเป็นเณรมันก็เรียนนั่นเรียนนี่ เรียนที่ไม่ใช่ของพระของเณร ไม่เท่าไรมันก็ออกไปหากิน เรื่องไฟฟ้า, เรื่องวิทยุ, เรื่องอะไรก็ตามมันมีมากๆๆ เรื่อง อย่างนี้ยังไม่เรียกได้ว่าเป็นคนของโลก ยังไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนของโลกหรือเป็นทาสของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
นี่ถ้าว่าเป็นทาสของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นคนของโลก มันก็ทำทุกอย่างเพื่อผู้อื่นไม่รับอะไรกลับเข้ามา ในทางธรรมมีบทบัญญัติว่าจะไม่เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยสิ่งของที่เขาตอบแทนเรา คือเราทำอะไรให้เขา แล้วเขาตอบแทน เราจะไม่ยอมกินของนั้นเป็นอันขาด และทางวินัยก็ยิ่งมีชัดเจนคุณไปเปิดดู จะไม่กินอาหารที่ได้มาด้วยการทำ อเนสนา ชนิดใดก็ได้ เราทำหน้าที่ผิดจากหน้าที่ของภิกษุให้แก่คนๆ หนึ่งและเขาให้อะไรมา ถ้าขืนเอามากินมาใช้มันผิดวินัย เราจะกินจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเฉพาะเราทำหน้าที่ถูกต้องตามหน้าที่ของพระภิกษุแล้วมันมีกินมีใช้ขึ้นมา เช่น เป็นบิณฑบาตหรือเขาถวายอะไรก็ตามและถ้าเราพิจารณาแล้วเห็นว่า อ้าว, นี่มันมาในแง่ส่วนตัวเสียแล้วโว้ย! มันให้เงินมา, ให้ของมา, ให้เรานี้มันเป็นแง่ส่วนตัวเสียแล้วโว้ย! อย่างนี้ไม่กิน, ไม่ยอมกิน, ไม่ยอมใช้ นั่นจึงจะเรียกว่าถูกวินัยและถูกธรรมะก็เป็นคนของ พระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ รวมแล้วเป็นของพระธรรม, ของธรรม หรือของโลก, ของสากลโลก มันเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าในวงภิกษุสามเณรไม่มีการเป็นทาสของ พระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ ไม่มีการเป็นคนของโลกอยู่มากทีเดียว มีการทำอะไรเพื่อตัวตนนั่นเอง ตัวตนของกิเลสเสียด้วย ฉะนั้นผมจึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรเอามาพูดกันเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ต้องซักซ้อมตักเตือนย้ำอยู่เสมอๆ จงระวัง, พยายามจัดพยายามทำให้การประพฤติการกระทำของเราเป็นไปอย่างถูกต้องตามทางธรรม ส่วนในวันนี้เราเรียกว่า การทำตนให้เป็นคนของโลก ฟังดูก็เข้าใจไม่ยากแล้วก็ไพเราะดี น่ารับเอา น่าเสน่หา น่ารับเอา การเป็นคนของโลก ไม่เป็นคนของใคร อยู่ที่ไหน, ทำอะไรที่ไหนก็ตามใจ, หรือทำสิ่งที่มันเกี่ยวข้องกับใครก็ตามใจ ในหัวใจมันอุทิศแก่สรรพสัตว์, แก่สากลโลกเสมอไป เพราะฉะนั้นจึงขอร้องว่าทำงานที่นี่ทำด้วยจิตว่าง ทำเพื่อความว่าง ทำอะไรๆ ก็ให้เป็นไปในลักษณะของความว่าง อย่าวกมาหาตัวตนมันจะได้เป็นเรื่องของการกระทำที่เป็นธรรม ทำเพื่อโลก ทำเพื่อผู้อื่นทั้งนั้น
ทีนี้ผมสังเกตเห็นว่ามักจะลืมกันเสียมักจะเผลอกันเสีย หรือไม่ได้พูดกันนานๆ แล้วก็มักจะลืม, จะเลือน, จะเผลอ มีอะไรก็ตัวตน มีอะไรก็ของตน มีแง่มีงอน มีกระทบกระทั่ง มีนั่นนี่ขึ้นมาอย่างนี้เรียกว่า ลืมไปเสียแล้ว เผลอไปเสียแล้ว ไม่ได้ทำงานด้วยจิตว่างเสียแล้ว จึงต้องขอโอกาสเตือนกันอยู่บ่อยๆ ว่าอย่าลืม! อย่าลืมในข้อนี้ ให้ถือเป็นมนต์, เป็นบทบริกรรม, เป็นการกระทำที่ศักดิ์สิทธิ์ พอจะลงมือทำงานอะไรก็ตามต้องมีจิตอธิษฐาน จะสำรวมระวังไม่ให้เผลอเป็นไปเพื่อ ตัวกู-ของกู ให้เป็นไปเพื่อความว่าง, หรือเพื่อโลก, หรือเพื่อผู้อื่น นี้ดีที่สุด เพื่อความว่าง “ดีธรรมดา” คือเพื่อโลก ธรรมนี้เพื่อสากลโลก ก็เห็นกันอยู่แล้วว่าเราทำอะไรกันบ้าง บางองค์ก็ก่อสร้าง บางองค์ก็ทำเรื่องไฟฟ้า, เรื่องน้ำ, เรื่องท่า, เรื่องหนังสือหนังหา, เรื่องแขก ล้วนแล้วแต่มีงานทำกันทั้งนั้น ทีนี้งานนี้ เป็นบทฝึกหัดเป็นแบบฝึกหัด ถ้าไม่มีการทำงานมันไม่มีการฝึกหัด, มันไม่มีการทดสอบไม่มีการสอบไล่ ฉะนั้นการทำงานนั่นละคือการเล่าเรียนประจำวัน การปฏิบัติประจำวัน, การทดสอบหรือสอบไล่เป็นประจำวันว่าสอบไล่ ได้ หรือ ตก วันนี้ได้กี่คะแนนหรือวันนี้หมดเลย ๐ เลย ขอให้มีหลักกันอย่างนี้กันทุกคนแล้วก็สม่ำเสมอหรือเพื่อให้ง่ายเข้าก็ให้ทำความเข้าใจให้ชัดเจนออกไปในเรื่องทำตนเป็นคนของโลก มันสนุกเหมือนกัน พอทำอะไรเพื่อตนขึ้นมาแล้วก็เขกหัวมันเข้าเป็นไอ้ชาติหมาขึ้นมาแล้วนี่อย่างนี้ก็ดี แล้วมันทำไปด้วย จิตปกติ, จิตว่าง, จิตเป็นกลาง, เป็นจิตสาธารณะ ก็ดีใช้ได้ๆ ยังดีอยู่ ยังใช้ได้
นี้, เวลามันนานเป็นปีๆ หรือมันอาจจะหลายสิบปีก็ได้ถ้าเรายังไม่ตายแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่าย, ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อย่าประมาท! เพราะประมาทแล้วมันถอยหลัง, มันรวนเร ถอยหลังไปทันทีก็ล้มละลายหมด มันขบถต่ออุดมคติไม่ทันรู้ตัว อุดมคติที่เราเคยบูชานักหนานั่นละมันจะเป็นของที่เราขบถลบล้างไปโดยไม่ทันรู้ตัวก็ได้ มันก็จึงมีการอธิษฐานจิตเป็นประจำวัน มีสวดมนต์, ภาวนา, อธิษฐาน, อ้อนวอนเป็นประจำวันว่า ขอเราอย่าเป็นผู้อ่อนแอ เราจะเป็นผู้รักษาอุดมคติไว้ได้ ดำเนินชีวิตไปด้วยความถูกต้องจนถึงที่สุดจุดหมายปลายทาง นี้ต้องนึกไว้เสมอต้องนึกไว้ทุกวัน อย่าเห็นเป็นเรื่องเล่น, อย่าเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ทีนี้เมื่อเรามีอุดมคติว่าเป็นคนของโลกแล้วก็ๆ เป็นคนที่ซื่อสัตย์อย่าหน้าไหว้หลังหลอก ปากว่าเป็นคนของโลกแต่มือนี่เอาประโยชน์มาเป็นของตนเรื่อยก็กลายเป็นหน้าไหว้หลังหลอก ดังนั้นก็หาโอกาสที่ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่สากลโลกไม่ให้ข้องแวะกับประโยชน์ตัว ประโยชน์ส่วนตัวที่เป็นเรื่องของกิเลส ประโยชน์ตัวนี่มันแบ่งเป็นได้ ๒ อย่าง ถ้าประโยชน์ตัวคือความหลุดพ้นจากกิเลสก็เรียกว่าประโยชน์ตัวที่ถูกต้อง แต่ถ้าประโยชน์ตัวเพื่อ กิเลส, ตัณหา, ความพอใจ ของตัวแล้วมันผิดหมด คำว่า ประโยชน์ตัว หรือ ประโยชน์ตน มันมีอยู่อย่างนี้ ถ้ามันเป็นประโยชน์ชนิดที่ทำให้เราหมดตัวของเรา-เป็นประโยชน์ผู้อื่นไปหมดเลยนั่นแหละคือประโยชน์ตนที่ถูกต้อง ใช้ตนไปในทางที่ถูกต้อง มันดีกว่า, มันใหญ่กว่า, มันประเสริฐกว่า สูงกว่าที่จะใช้มาเพื่อประโยชน์ตัว นั้นมันเป็นคนธรรมดาเป็นปุถุชนมากเกินไป อะไรก็เพื่อความเอร็ดอร่อยความสนุกสนานของตัว ก็รักตัว, รักลูก, รักเมีย, รักของตัวที่อำนวยความพอใจให้แก่ตัวมันก็อยู่แค่นั้น มันเห็นสิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งสูงสุดไปหมด รักลูก, รักเมีย, รักเงิน, รักของ, รักเกียรติยศของตัว, รักอยู่แค่นี้เท่านี้เอง ไม่มีอะไรเพื่อสากลโลกได้เลยก็ไม่มีเพื่อความว่างได้เลย แล้วยิ่งไปกว่านั้นอีกไว้ปุถุชนชนิดนี้มันจะร้องแรกแหกกระเชอว่า ไอ้ประโยชน์ผู้อื่นนั้นมันเป็นคนบ้า หรือส่วนใหญ่มันก็คิดว่าการที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเว้นเมถุนธรรมเสียนั้นเป็นคนบ้า หรือเป็นคนผิดปกติ, ผิดธรรมชาติ นั่นมันโง่มากถึงอย่างนั้น การที่เกิดมาแล้วประกอบเมถุนธรรมแล้วพอใจนี่มันก็เป็นเรื่องของสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมันก็ทำเป็น ที่จะมีลูก, มีเมีย, มีเมถุนธรรม เอ้า, ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ถูกแล้วเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ว่าการที่คนบางคนจะมามองเห็นว่า โอ้ย! มันเสียเวลาเปล่า ไปทำอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ดีกว่า นี้ก็ไม่ได้ผิดธรรมชาติไม่ใช่คนบ้า เพราะฉะนั้นการที่เราจะเห็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ประโยชน์ตัวแม้แต่ความสุขเกี่ยวกับเมถุนธรรมอะไรเหล่านี้ไม่ใช่คนบ้า มันก็คนที่ตรงตามธรรมชาตินั่นแหละแต่มันเป็นธรรมชาติที่สูงไปหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ไปมัวทำเรื่องที่เสียเวลา, ยุ่งยาก, ลำบากแล้ว ไม่ได้อะไรอีกกี่มากน้อย ต้องการจะทำเรื่องที่ดีกว่า, สูงกว่า, ประเสริฐกว่า, กว้างกว่า คือประโยชน์แก่คนทั้งโลก ถ้าไปมีลูกมีเมียเสียมันก็มุดหัวลงต่ำอยู่ใต้ตีน, ใต้ ของลูกของเมียนั่นแหละ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นมหาบุรุษในทางโลกแท้ๆ นี้มันก็ยังเป็นคนโสดมากกว่า มหาบุรุษที่ไม่มีลูกไม่มีเมียนั้นนะหรือไม่เห็นแก่ลูกแก่เมีย ปฏิบัติหน้าที่ทางการเมืองการปกครองบ้านเมืองแล้วได้ดีกว่า ยกตัวอย่างเช่นฮิตเลอร์ เป็นต้น เขามีเมียเหมือนกับไม่มีเมียเพราะฉะนั้นมันก็เลยทำอะไรได้รุนแรงกว้างขวางแล้วใครเกิดมาคิดว่า โอ้ย, ไอ้เรื่องนี้มันไม่มีประโยชน์เท่าไหร่หรือไม่จำเป็นอะไร ไปทำเรื่องอื่นที่ดีกว่า จะหาว่าเป็นคนบ้าคนบอหรือคนวิกลจริตผิดธรรมชาติอย่างไรมันก็ไม่ถูก มันเพียงแต่เป็นธรรมชาติที่ดีกว่าแค่นั้นเอง ไม่ได้ผิดธรรมชาติ ไม่ใช่คนบ้า เพราะฉะนั้นการที่ใครจะไปถืออุดมคติโพธิสัตว์เห็นแก่ผู้อื่นอย่างนี้ก็ต้องถือว่าไม่ใช่คนบ้า มันเพียงแต่ดีกว่าธรรมดา ไอ้คนที่เห็นแก่ปากแก่ท้องของตัว, ของลูก, ของเมีย, ของตัว, ความสนุกสนานทางเนื้อหนังของตัวนั่นละดูจะเป็นคนบ้า เพราะว่าเป็นคนนี่มันทำมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานเขาประกอบกิจกรรมชนิดนี้ในขอบเขตพอสถานประมาณ ส่วนมนุษย์ที่หลงใหลนี่มันทำเกินประมาณนั่นละคือคนบ้าเสียมากกว่า
การที่สลัดเรื่องนี้ไปเสียแล้วไปทำประโยชน์แก่โลกนี้มันไม่ใช่คนบ้า มันไม่ใช่เรื่องของคนบ้าแล้วมันก็ยาก ยากตรงที่ธรรมชาตินี้มันดึงไว้, มันหน่วงลงไป ธรรมชาติฝ่ายต่ำมันจะคอยหนุนถ่วงไว้ให้เอร็ดอร่อย สนุกสนานกับเรื่องทางเนื้อหนัง เพราะฉะนั้นจึงอยู่ไม่ได้ จึงต้องสึกทั้งๆ ที่ว่าตั้งใจว่าจะไม่สึก มันก็พ่ายแพ้แก่สิ่งเหล่านี้มันก็เป็นธรรมดาไป, ก็ไปอยู่ในสภาพธรรมดาไป ไม่มีอะไรพิเศษกว่าธรรมดาหรือเผลอเข้าก็เลวกว่าธรรมดาไม่ทันรู้ตัว เราก็พูดได้ว่าการทำตนเป็นของ ตัวกู นั้นมันง่าย การทำตนให้เป็นคนของโลกนี้มันยาก มันยากมากทีเดียวคือมันทวนกระแสของกิเลส เราเป็นทาสของกิเลสมานานแล้วจนชินเป็นนิสัยแล้ว การที่จะมาเป็นทาสของ พระธรรม พระพุทธ นี้มันยาก มันทวนกระแส เป็นพระเป็นเณรพูดพล่ามอวดดี, ยกหูชูหาง เขาไม่ให้พูดก็จะพูด โอกาสไม่ควรจะพูดก็ชิงพูด นี่มันก็เห็นแก่ตัว มันก็เชิดชูตัวเทิดทูนตัวให้เป็นคนเก่งในสังคม นี่ดูมันสิว่ากิเลสนี่มันมีอำนาจเท่าไร อยู่เป็นพระเพื่อจะพูดไม่ต้องสึกจริง แต่ว่าอยู่เป็นพระเพื่อจะพูดพล่าม มีแง่ที่ให้เขาเห็นว่าตัวรู้ตัวเก่งมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ไม่ได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น, ไม่ได้เป็นคนของโลก เราต้องไม่พูดเรื่องชนิดนี้ ต้องคิดแต่หนทางที่มันจะให้เลือดเนื้อชีวิตเวลานี้มันมีประโยชน์, มีประโยชน์แก่คนอื่นจริงๆ อีกไม่กี่ปีมันก็จะตาย ชีวิตร่างกายนี้มันจะเน่าจะตายจะสลายไปในเวลาไม่กี่ปี รีบใช้ให้เป็นประโยชน์ให้ทันแก่เวลา
ผมอยากจะพูดอีกว่าพวกคุณหนุ่มๆ เหล่านี้ไม่มีทางรู้ว่าไอ้ความชรานี้เป็นอย่างไร? มันคล้ายกับประณามว่าคุณยังโง่มาก โง่ที่สุดจนไม่รู้ว่าความชรานั้นมันเป็นอย่างไร? เพราะว่าผมนี่เคยชราและกำลังรบพุ่งกันอยู่กับความชราแล้วก็พ่ายแพ้แก่ความชรา คือ ๕ ปีมานี้ทำอะไรไม่ได้ เมื่ออายุเยอะๆ เริ่มย่างเข้า ๖๐ ปี ไม่ใช่ยึดมั่นด้วยอุปาทาน มันเริ่มถดถอยลงไป จนเวลานี้มาถึง ๕ ปีนี่มันเกือบจะทำอะไรไม่ได้ เดี๋ยวนี้ในทางร่างกาย, ทางกำลัง พ่ายแพ้แก่ความชราโดยไม่ทันรู้ นั่นเข้ามา, นี่เข้ามา, โน่นเข้ามาโดยไม่ทันรู้ทุกเรื่องไปเลย เพราะ(ฉะ)นั้นคุณอย่าทำเล่นกับความชรา มันจะมีโอกาสให้ทำอะไรด้วยกำลังกายนี้เพียงอายุ ๖๐ ปี เลยนั้นแล้วรวนเรไปหมด ทำได้ก็รวนเรไปหมด ไม่ใช่จะทำไม่ได้เสียเลยแต่มันรวนเรที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าจะเอาดีแล้วรีบทำเสียก่อนอายุ ๖๐ ปี ถ้าว่าทำประโยชน์อะไรให้เหลืออยู่เป็นอนุสาวรีย์ว่าเราก็ได้ทำประโยชน์แก่โลก ที่นี้ผมจะเขียนจดหมายสัก ๓ ฉบับก็ไม่ได้ เรี่ยวแรงมันไม่มีที่จะเขียนจะพิมพ์ หัวสมองก็อยากจะหยุดนิ่งๆ ความชรามันรุกขนาดนี้หรือจะเพราะว่าใช้มันมากก็ได้ก็ถูกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเราหวังอยู่ว่าเราเกิดมาทีหนึ่งก็แจกของส่องตะเกียงให้มากที่สุด อย่าประมาท!พยายามจะทำอะไรให้มองเห็นอยู่เสมอว่า มันเป็นเรื่องเสียสละเหงื่อไคลออกไปเพื่อประโยชน์แก่โลก, เพื่อล้างความเห็นแก่ ตัวกู-ของกู ให้เหงื่อมันล้างความเห็นแก่ ตัวกู-ของกู ให้เป็นประโยชน์แก่โลก ทำไปเรื่อยแล้วมันจะดีที่สุดไม่มีช่องโหว่ ถ้าไม่อย่างนั้นจะต้องเสียใจทีหลังไม่มากก็น้อย อย่าไปทำเล่นกับความชราหรือความตาย ในที่สุด มันรุกเข้ามาโดยไม่บอกให้รู้ แล้วคนแต่ก่อนเขาก็คงสังเกตเห็นข้อนี้เขาจึงนิยมบัญญัติกันว่าอายุ ๖๐ ปีสิ้นสุดของความฉกาจฉกรรจ์เป็นเกษียณอายุเลย มันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติบีบบังคับ แล้วคนรับเอาหลักการอันนี้อายุ ๖๐ ปีก็ถูกปลดเกษียณโดยธรรมชาติ
ผมก็ยอมรับการปลดเกษียณโดยธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจึงขอยกเว้นกิจกรรมอะไรต่างๆ ที่เคยทำมาแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ทำไม่ไหว แม้แต่เทศน์, แม้แต่รับนิมนต์ทำไม่ไหว เพราะฉะนั้นที่หนุ่มๆ อย่ามัวโอ้เอ้ ผมไม่เคยโอ้เอ้ ตั้งแต่วันบวชเข้ามาในศาสนานี้ไม่เคยโอ้เอ้ เพราะฉะนั้นจึงทำอะไรได้พอสมควรจนทำไม่ไหว นี้รวมความแล้วที่ผมทำมาตั้งแต่แรกๆ ก็เพื่อ ตัวกู-ของกู แล้วต่อมาก็ชะเง้อออกไปว่าเพื่อผู้อื่นมันดี เพื่อศาสนา เพื่อส่วนรวม เพื่อให้มันดี มันก็เลยเปลี่ยนไปทีละนิดๆ จนต่อมาเห็นว่ามันดีจริง ก็ถ้าวกไปหาตัวเมื่อไหร่มันเลวมันก็มีความทุกข์ทันที ก็เลยไม่กล้า ไม่ใช่จะอวดว่าหมดกิเลสแต่อวดว่ามันไม่กล้าจะมีกิเลส ไม่กล้าจะปล่อยให้กิเลสมันเกิดขึ้นมาเพราะมันกลัวแล้วมันแย่ มันก็เลยทำอะไรได้มากเพราะความไม่ประมาทนี้ จะให้ผู้อื่นได้รับแสงตะเกียง แจกของส่องตะเกียง ก็ทำให้ผู้อื่นได้รับแสงตะเกียงนี้พอสมควรแก่อัตภาพเท่าที่คนอย่างผมจะทำได้ก็เป็นอันว่าไม่มีช่องโหว่ที่ใครจะมาติเตียนได้ว่าเหลวไหลเพราะฉะนั้นการถืออุดมคติว่าทำตนให้เป็นคนของโลกนี้ถูกแน่ แล้วผมก็แน่ใจตอนเบื้องปลายของชีวิตนี้ว่ามันถูกแน่แต่ก่อนก็ไม่เอาหรือว่าไม่ค่อยจะเห็นด้วย คือเห็นด้วยครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็เพิ่งจะ สมบูรณ์เมื่อเดี๋ยวนี้ เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว, เมื่อหมดแรง, เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว จึงเห็นว่า โอ้, มันดี ดีจริง ดีแน่ ไม่มีอะไรดีกว่า เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นอุดมคติได้ ทำตนเป็นคนของโลกนี้ถือเป็นอุดมคติได้ถือเป็นหลักสำหรับเป็นหลักปฏิบัติต่อไป แล้วรีบทำเร็วๆ ให้ทันแก่เวลา ไม่ต้องมัวลังเล โอ้เอ้ ขี้เกียจ หรือไม่ต้องถึงกระโจนกลับไปหาเพศต่ำๆ นาราอียาวัตติ หมุนเวียนกลับไปหาเพศต่างๆ คือบูชาเมถุนธรรมเหมือนสัตว์เดรัจฉานหรือเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะสัตว์เดรัจฉานไม่มัวเมาในเมถุนธรรมมากเหมือนมนุษย์ปุถุชนที่มัวเมาจัด เพราะการศึกษาผิด, อบรมผิด, เข้าใจผิด, เสวนาผิด
เอาละทีนี้เราก็มาพิจารณาดูกันใหม่ จัดรูปร่างในจิตใจเสียใหม่, จัดโครงร่างโครงสร้างในจิตใจเสียใหม่ให้มันบูชาการทำตนให้เป็นคนของโลก จะเป็นฆราวาสก็ทำได้ตามสัดส่วน ลูก, เมีย, เงิน, ทอง, ทรัพย์สมบัติ ไม่ไปไหนเสียมันก็ยังคงอยู่นั่น และถ้ามีบุญมันก็ทำความเข้าใจกันกับลูก, เมีย, เพื่อนฝูงอะไรได้ ชวนกันทำเพื่อประโยชน์แก่โลกมันก็ยังได้ หากแต่มันไม่มากเหมือนคนโสดหรือบรรพชิต แต่นั้นมันก็แล้วแต่สติปัญญาหรือคุณค่าของการกระทำ ถ้าเขามีปัญญามาก เขาก็บันดาลให้เกิดสิ่งที่มีประโยชน์ที่มีค่ามากได้เหมือนกัน แต่แล้วมันก็ไม่พ้นกฎธรรมชาติไปได้ว่า เมื่อหลงรักลูกรักเมียอยู่แล้วมันจะทำเพื่อผู้อื่น นี่, มันก็ดูขวาง...ขัดขวางกันอยู่ เพราะฉะนั้นเขาจึงยกเพศบรรพชิตขึ้นเป็นเพศสูง อุตมเพศ, อุดมเพศ (เพศสูง) ฆราวาสเป็นเพศต่ำ เพราะเหตุเท่านี้มันไม่มีอะไร ก็เหตุเท่านี้เองไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ แล้วไม่ใช่เป็นเรื่องแกล้งว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่พวกพระแกล้งว่าเอาเอง ว่าบรรพชิตเพศสูง ; คฤหัสถ์เพศต่ำ ไอ้การงานหรือการกระทำที่ทำอยู่นั่นมันว่า เอ้อ, มาถึงนี้ก็อยากจะบอกเลยไป อยากจะบอกอีกนิดหนึ่งว่าในพุทธศาสนาเราก็มีการถือชั้นวรรณะ ผมก็เคยพูดผิดๆ ไปว่าพุทธศาสนาไม่มีการถือชั้นวรรณะ แต่เดี๋ยวนี้ผมมองเห็นว่ามีการถือชั้นวรรณะอีกแบบหนึ่งคือเอาการกระทำนั้นเป็นวรรณะ ไม่ใช่การเอาการเกิดในตระกูลนั้นตระกูลนี้เป็นวรรณะเหมือนที่เขาถือกันในอินเดียสมัยโน้น เช่น ในวรรณะศูทรในตระกูลศูทร, เวทย์ (แพทย์), พราหมณ์, กษัตริย์ เป็นแบบนั้นไปเลย ถือชั้นวรรณะเพราะการเกิดมาโดยตระกูลนั้นมันอย่างหนึ่งอย่างนั้น วรรณะอย่างนั้นไม่ไหวแน่ ในพุทธศาสนาก็ไม่มีไม่ให้ถือ ทีนี้วรรณะที่กระทำ...การกระทำที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นนี่ที่มันทำได้มากน้อยกว่ากันนี้ เช่น เพศคฤหัสถ์ วรรณะคฤหัสถ์นี่มันทำได้ต่ำกว่าเพศบรรพชิต วรรณะบรรพชิตนี่มันทำได้สูงกว่า เพราะฉะนั้นบรรพชิตกับคฤหัสถ์นี้ไม่ใช่วรรณะเดียวกัน บรรพชิตเป็นวรรณะหนึ่ง คฤหัสถ์เป็นอีกวรรณะหนึ่ง มันไม่ใช่วรรณะเดียวกัน
ทีนี้ เราจะเอาบรรพชิต, เอาคฤหัสถ์ออกไปเสียก็ได้ เอาการกระทำที่สูงต่ำกว่ากันนั้นละเป็นวรรณะๆ ไป เช่น วรรณะพระอริยเจ้า วรรณะปุถุชน ก็ได้ ทีนี้การกระทำที่เป็นคฤหัสถ์, ที่เป็นบรรพชิตนี้ก็เรียกว่า วรรณะ เราจึงมีบทสวดว่า เววันนียัมหิ อัชชู ปคโต ติ ปพชิเต อภินหัง ปัจจเวขิตภังค์ (นาทีที่ 43:59) ที่สวดอยู่ทุกวัน เววันนีิยัมห เววันนี แปลว่าผู้มีวรรณะต่าง เดี๋ยวนี้เราเป็น เววันนี บรรพชิตทุกคนเป็น เววันนี มีวรรณะต่างจากคฤหัสถ์ ต่างจากวรรณะคฤหัสถ์ วรรณะของเราคือบรรพชิตมีวรรณะต่างมีเพศต่างจากคฤหัสถ์ ใช้คำว่าวรรณะโดยตรง เววันนียัมหิ อัชชู ปคโต ติ อันนี้เราเข้าถึงความมีวรรณะต่างแล้วเราจะต้องรู้สึกตัวอย่างนี้เป็นนิจ นี่คือวรรณะในพระพุทธศาสนาที่มีอยู่จริงและเราจะต้องถือ ถ้าเราไม่ถือ, เราก็ไปทำอย่างฆราวาสไปเลย คือไม่ถือว่าเรามีวรรณะต่างจากฆราวาส เพราะฉะนั้นจะต้องถือวรรณะความเป็นบรรพชิตให้ถูกต้องให้สมบูรณ์ ทีนี้มันจะต่างกันตรงไหน? วรรณะบรรพชิตกับวรรณะคฤหัสถ์มันจะต่างกันตรงไหน? มันก็ต้องไปตามกฎธรรมชาติ วรรณะคฤหัสถ์ก็เพื่อลูกเพื่อเมีย วรรณะบรรพชิตก็เพื่อสัตว์สากล, สรรพสัตว์ในสากลโลกนั่นตามที่แผ่เมตตาต่างกันตรงนี้ต่างกันอย่างมาก แล้วใน ๒ วรรณะนี้ ; (๑) วรรณะหนึ่งเพื่อลูก, เพื่อเมีย, เพื่อเนื้อ, เพื่อหนังของตัว, ของพวก, ของตัว (๒) ไอ้วรรณะอื่นเพื่อธรรมะ, เพื่อความจริง, เพื่อสรรพสัตว์, เพื่อผู้อื่นนอกจากตัว เป็นวรรณะที่ต่าง เพราะฉะนั้นวรรณะของบรรพชิตก็คือวรรณะของบุคคลผู้มีตนเป็นคนของโลก เป็นคนของโลก ; ขอให้มันก้องอยู่ในหู, อยู่ในจิต, ในใจว่ามันเป็นคนของโลก-ไม่ใช่ของ ตัวกู อันนี้เป็นวิธีที่ลัดที่สุดที่จะขูดเกลาไอ้ ตัวกู-ของกู ขูดเกลาความเห็นแก่ตัว ซึ่งเราจะต้องทำอยู่ทุกอิริยาบถ ขอให้เป็นทุกอิริยาบถ
คำว่า อิริยาบถ ของผมนะมันหมดไปหมดเลย อิริยาบถกลุ่มแรกก็คือ กิน, อยู่, หลับ, นอน, อาบ, ถ่ายอะไรนี้ อิริยาบถเหล่านี้คลุมทุกอิริยาบถ แล้วอิริยาบถอื่นก็คือการศึกษา, การเล่าเรียน, การปฏิบัติ, การสั่งสอนผู้อื่น, การช่วยเหลือผู้อื่น อิริยาบถคลุมเหมือนกัน ทีนี้การทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งเป็นชิ้นเอกที่จะเป็นประโยชน์แก่โลกนี้ก็อีกอิริยาบถหนึ่ง เช่น คุณศึกษาเล่าเรียนหรือทำอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้เกือบตลอดก็ช่วยอธิบายภาพ, ช่วยอะไรต่างๆ เหล่านี้ มันก็เป็นอิริยาบถกลุ่มหนึ่ง ทีนี้อิริยาบถที่ประเสริฐก็คืออิริยาบถที่มีการหลั่งไหลเหงื่อ นี่ให้เหงื่อหลั่งไหล อิริยาบถที่จะล้างตัวกูได้มาก เพราะฉะนั้นขอให้สนใจอิริยาบถที่มันหลั่งเหงื่อออกไปล้างตัวกูและให้ไปเห็นแก่ผู้อื่นนั้น อิริยาบถนั้นสำคัญมาก
เรื่องกิน, เรื่องอยู่, เรื่องนอน, เรื่องอาบ, เรื่องถ่ายนั้นเป็นเรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ด ฉะนั้นไปสังคายนากันเสียใหม่, ไปสอบสวนเสียใหม่, ไปทำสังคายนา, ตรวจสอบเช็คให้ดีขึ้นมา อย่าปล่อยเพ้อๆ ไปตามอารมณ์ จะวิ่งไปวิ่งมาเพ้อๆ ไปตามอารมณ์เสียเวลาเปล่า ต้องมีอุดมคติที่แน่นอนแล้วก็ทำให้มันถึงจุดหมายปลายทาง ให้ทุกอิริยาบถให้เราเป็นคนของโลก-เป็นมนุษย์ของโลก คำว่า ผู้อื่น นั้นมันต้องหมายถึงผู้อื่นจริงๆ แต่ว่าเราตั้งต้นด้วยผู้อื่นที่ใกล้ๆ ก็ได้ เช่น เห็นแก่บิดามารดาก่อนก็ยังดีกว่าเห็นแก่ตัวเอง นี่บรรดาคุณที่บวชมาที่อยู่นี่ถ้าเห็นแก่บิดามารดาก่อนเห็นแก่ตัวเองแล้วละก็วิเศษๆ กว่าธรรมดาแล้ว มันอาจจะช่วยให้อยู่ในพรหมจรรย์ได้ตลอดชีวิตหรือทำอะไรได้ดีกว่าที่จะเห็นแก่ตัวเอง บิดามารดาไม่ได้ชวนไปในทางต่ำเลย ไอ้ลูกหลานนั่นแหละมันดันทุรังดื้อดึงมุดลงไปทางต่ำ ทีนี้ออกไปจากบิดามารดาก็ไปถึงเพื่อนฝูงที่เรารักใคร่พอใจถึงประเทศชาติ ถึงศาสนา ถึงพระพุทธเจ้า ถึงพระธรรมเข้าไปเลย ออกไปไกลออกไป, ไกลออกไปจนถึงความว่าง จนถึงความว่างในที่สุด นี่ผู้อื่นนอกจากตัว
เอาละ, ชั่วช่วงเวลาที่เหลือนิดหน่อยนี้ผมก็อยากจะพูดคำว่าลัด “ทางลัด” ลัดทางลัด แล้วไม่อยากจะพูดมาก, วิจารณ์กันมาก, วินิจอะไรกันมาก พูดสรุปสั้นๆ ลัดๆ ถือเอาอุดมคติเป็นคนของโลก ทำตนเป็นคนของโลกนี้มันง่ายและมันลัด มันไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นนักปราชญ์ ไม่ต้องมีสติปัญญามากมายอะไรมันทำได้ การทำตนให้เป็นคนของโลกนี่มันไม่ยาก คนฉลาดเขาทำได้, คนไม่ฉลาดก็ทำได้, เด็กก็ทำได้, ผู้ใหญ่ก็ทำได้ เดี๋ยวนี้ไปเข้าใจผิดต้องเป็นนักปราชญ์มีบารมีสร้างสมมาเท่านั้นเท่านี้มีจิตเป็นไตรเหตุเป็นอะไรภาษาอภิธรรมเขา ดูมันมากมายเหลือเกินกว่าที่จะอะไรลงไปได้ ผมว่าไม่ใช่อย่างนั้น มองเห็นตัวเป็นของเล็กน้อย, เป็นของต่ำ, เป็นของโง่ มองเห็นผู้อื่นเป็นของควรบูชา ควรเสียสละก็ได้ เอาตัวออกไป ให้ว่างจากตัว ทำนี้ทำเพื่อใครก็ไม่รู้แต่เพื่อผู้ที่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดทั้งสิ้นในโลกนี้ นี่เป็นทางลัด คำสอนมันก็มีสอนวกวน ; สอนให้เห็นแก่ตัว, ทำประโยชน์แก่ตัวให้สำเร็จจึงทำประโยชน์ผู้อื่น ทีนี้ผมมาตัดบทว่าไอ้ที่ทำประโยชน์ตัวนั้นคือการทำประโยชน์ผู้อื่นไปเลย เมื่อเราทำประโยชน์ผู้อื่นอยู่นั่นแหละคือทำประโยชน์ตัวอย่างสูงสุด เดี๋ยวทำประโยชน์ตัวมาเห็นแก่ตัว มาเอาเข้าข้างตัว มาเพื่อตัวเสียหมดอย่างนี้มันก็ผิด ไปตรงกันข้าม นี่ทำลายความเห็นแก่ตัวเสียไปทำประโยชน์ผู้อื่นนั่นแหละคือทำประโยชน์ตัว ต้องการเปลื้องตัวให้หลุดพ้นออกมาเสียจากความผูกพัน ยึดมั่น ถือมั่น ดังนั้นการทำตนให้เป็นคนของโลกมันจึงเป็นวิธีลัดที่สุดในการทำประโยชน์ของตัว นี่จึงเรียกว่าลัดวิธีลัด
ทีนี้ถ้าเราจะพูดไปอย่างอื่นทางอื่นมันก็พูดได้ ทำทีเดียว ๒ อย่างพร้อมกันไปก็ได้ ขอให้ทำตนเป็นคนของโลกเถิดมันจะได้ประโยชน์พร้อมกันไปทั้ง ๒ อย่าง คือทั้งประโยชน์ผู้อื่นและประโยชน์ของตัว มันก็คงเป็นวิธีลัดอยู่ดี ทีนี้ไม่ต้องเรียนอะไรมาก ทำลงไปจริงๆ เพื่อประโยชน์ผู้อื่นเดี๋ยวนี้ พูดแต่ปาก ศึกษาเล่าเรียนนั้นศึกษาเรื่องทำประโยชน์ผู้อื่นแต่พอที่ทำจริงไม่ได้ทำ กลับทำเพื่อประโยชน์ความเห็นแก่ตัว เหมือนพวกนักการเมืองในโลกนี้มันพูดว่าทำเพื่อประโยชน์แก่ชาติประเทศหรือโลกนั้น แต่นั่งมาทำประโยชน์ตัว ทำชื่อเสียงของตัว ประโยชน์ของตัว รายได้ของตัว เป็นคนตลบตะแลงหน้าไหว้หลังหลอกอยู่นั่นละ ทีนี้เพราะเราเรียนพระไตรปิฎกหรือเรียนปริยัติ หรืออะไรก็ตาม เรียนหรือพูดว่าจะทำประโยชน์เพื่อศาสนา แต่ทีทำจริงไปทำเพื่อตัว เพื่อลาภสักการะของตัว เพื่อความสุขส่วนตัว ก็ออกไปเลย นี่เป็นต้น
วิธีที่จะลัดสั้นก็คือ จริง, ตรง เป็นคนตรง เป็นคนจริงในอุดมคติ มีอุดมคติที่ถูกต้องคือชัดเจน ลัด สั้น ง่าย ปฏิบัติได้ ก็สรุปความได้ว่าอุดมคติที่ว่า ทำตนให้เป็นคนของโลก นี้ก็เป็นอุดมคติอันหนึ่งที่ใช้ได้ในหลายๆ อุดมคติ นี่เราพูดกันเรื่องทางลัดในการปฏิบัติเพื่อทำลาย ตัวกู-ของกู ด้วยการทำตนอุทิศตนถวายตน ยกตน ให้เป็นคนของโลก ธรรมปาฏิโมกข์สำหรับวันนี้แล้วก็พอกันที