แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายในวันนี้จะพูดโดยหัวข้อว่า เศรษฐกิจและสังคมแบบชาวพุทธ ซึ่งฟังดูแล้วก็ออกจะแปลกหู แต่ที่จริงมันก็ได้มีอยู่อย่างน่าสนใจที่สุดและก็เป็นปัญหาสำคัญของมนุษย์เราด้วย ขอให้ระลึกอยู่ในใจถึงหัวข้อ หัวข้อใหญ่ที่เราพูดกันในที่นี้ คือหัวข้อที่ว่า เราจะอยู่ในโลกอันแสนจะอยู่ยากยิ่งขึ้นทุกทีนี้ได้อย่างไร เพราะในโลกนี้ก็มีปัญหาเศรษฐกิจและสังคมนี่เป็นปัญหาใหญ่ ยิ่งสมัยนี้แล้วดูจะรู้สึกว่าไอ้เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คือเรื่องอาชีพ เรื่องสังคมก็สำคัญเท่ากันคือการเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น และยังแถมมันเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ ผู้ที่ประกอบอาชีพนี่มันต้องเนื่องด้วยคนอื่น การสังคม การสมาคมไม่ดี อาชีพก็พลอยติดขัดไปด้วย นี่เราลองพูดถึงเรื่องที่สำคัญในโลกสองเรื่องนี้ดูบ้าง ปัญหามันก็มาจากไอ้เรื่องสองเรื่องนี้ที่ทำให้โลกนี้อยู่ยากยิ่งขึ้นทุกที ถ้าเรานึกดูถึงสมัยโบราณที่ว่าโลกนี้อยู่ง่าย ไม่อยู่ยากนั้นน่ะก็เพราะเรื่องเศรษฐกิจและสังคมมันไม่ขยายตัว ไม่ยุ่งยาก ไม่ยุ่งเหยิงอะไรมากมายเหมือนเดี๋ยวนี้ ฉะนั้นเราจึงอยู่ในโลกนี้โดยง่ายหรือโดยสะดวก มันเกือบจะคล้าย ๆ สัตว์ไปทีเดียว ในโลกของหมู่สัตว์เดรัจฉานนี่ ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจหรือสังคมนี้แทบจะไม่มีและดูไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่สำหรับมนุษย์แล้วมันเต็มไปหมดทั้งบ้านทั้งเรือนหรือทั่วทุกหัวระแหงทีเดียว ไปที่ไหนก็เจอะแต่ปัญหานี้ แล้วทำคนให้เป็นบ้าเป็นหลังไปก็เพราะปัญหานี้ กระทั่งฆ่าตัวตายซึ่งสัตว์เดรัจฉานไม่เคยมีแต่มนุษย์มี เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมนี้ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ว่าบัณฑิตแห่งชีวิตหรือวิญญาณนี่จะต้องรู้เรื่องนี้พอสมควร ทีนี้จะถือเอาอะไรเป็นหลัก มันก็มีอยู่แล้วที่เขาวางไว้เป็นตำรับตำรา ตามที่มนุษย์ในโลกอันแสนที่จะยุ่งยากนี่เขาคิดกันอย่างไร เขาวางไว้อย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ผมจะพูดตามแบบของชาวพุทธ ตามหลักของพระพุทธศาสนาที่จะถอดรูปออกมาได้อย่างไร และก็เท่าที่มันจำเป็น คือให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น ไม่ให้มันเพ้อเจ้อ เหมือนกับเดี๋ยวนี้เขาเพ้อเจ้อ คือไม่มีขอบเขต มันก็เลยมีปัญหามาก ปัญหาไม่สิ้นสุด อย่างเดียวกัน
ไอ้คำว่าชีวิตหรือการเป็นอยู่นี่มันเป็นต้นตอสำคัญหรือตัวเรื่อง นี่มันก็มีว่าจะอยู่อย่างไร เดี๋ยวนี้เขาใช้คำที่พอจะสรุปได้ว่า กินดีอยู่ดี นี่สรุปเรื่องทั้งหมดลงอยู่ที่คำสองคำนี้ว่า กินดีอยู่ดี แม้ในชาติอื่นประเทศอื่นภาษาอื่นมันก็มีความหมายอย่างนี้ ทีนี้ไอ้กินดีอยู่ดีนี้มันคืออะไรนั่นแหละเป็นปัญหาที่ละเอียดอยู่สักหน่อย และพวกคุณที่จะลาสิกขาบทออกไปนี้ก็ดูจะบูชาการกินดีอยู่ดีอยู่แล้วด้วย ตามที่สังคมสมัยนี้มันลากไป เขานิยมกันอย่างนี้ เขาสอนกันอย่างนี้ เขาพูดกันอยู่แต่อย่างนี้ ไอ้เราก็พลอยติดแหไปด้วยในทางความคิดความเห็นอะไรต่าง ๆ แล้วเราจะสะสางคำว่า กินดีอยู่ดี กันเสียให้พบความหมายที่ถูกต้อง คำว่ากินดีอยู่ดีเท่านั้นยังไม่พอ ต้องเติมคำว่าแบบชาวพุทธเข้าไปด้วย กินดีอยู่ดีแบบที่ไม่ใช่ชาวพุทธนั้นอันตราย เพราะมันเป็นการกินดีอยู่ดีตามแบบของกิเลส ตัณหา พญามาร ซาตานอะไรทำนองนั้น หมายถึงการตะกละพูดกันตรง ๆ เรื่องเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง คือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่ไม่มีที่สิ้นสุด เตลิดเปิดเปิงไปตามความต้องการของตัณหาที่ไม่รู้จักสิ้นสุด พระพุทธเจ้าได้ตรัสพระพุทธภาษิตที่น่าสนใจสำหรับคนทุกยุคทุกสมัย เพราะแม้ว่า ภูเขาจะกลายเป็นทองคำทั้งลูก ๆ ขึ้นมาสักสองลูกก็ไม่พอแก่ความต้องการของมนุษย์เพียงคนเดียว เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว สมาจเร ถึงประพฤติให้พอเหมาะพอสมเถิด นี้เราเอามาเป็นเรื่องสำหรับคำนวณว่าจริงเท่าไร ภูเขาใหญ่เท่าไร เป็นทองคำล้วนทั้งลูกทั้งแท่ง ต่อให้สองลูกก็ไม่พอแก่ความต้องการของมนุษย์เพียงคนเดียว ทีนี้มนุษย์ในโลกมันมีกี่ กี่พันล้านคน มันก็จะเอาภูเขาที่ไหนมาเป็นทองให้พอได้ คนเดียวก็ต้องการเกินกว่าสองลูกเสียอีก ภูเขาทองคำ นี่เขาพูดนี้เพื่อจะวัดไอ้ระดับความระดับต้องการกิเลสตัณหา ทีนี้เมื่อคนมันต้องการกันมากถึงขนาดนี้แล้วมันจะทำอะไรบ้าง มันก็มีการแย่งชิง ต่อสู้และแย่งชิงอย่างน่ากลัวที่สุด เพราะว่ามันเกิดความทุกข์ขึ้นมาอย่างน่าสังเวชที่สุดด้วยเหมือนกัน นี่กินดีอยู่ดีแบบกิเลสตัณหาหรือแบบที่ไม่ใช่ชาวพุทธนั่นคือ กินดีอยู่ดีด้วยความตะกละตะกรามของกิเลสตัณหาซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด หิวเป็นเปรตอยู่เรื่อย ชีวิตของบุคคลประเภทนี้จะรู้สึกว่าหิว หรือต้องการ หรือตะกละอยู่ตลอดเวลา ได้เท่าไรไม่มีพอ กินเท่าไรไม่มีพอ ความอร่อยความอยากมันยังไม่หยุดได้หรอก มันก็ต้องทนทรมานราวกับว่าเป็นเปรต หรือตกนรกทั้งเป็นอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นเราจะเลิกบูชาไอ้การกินดีอยู่ดีตามแบบของกิเลสตัณหาเสีย มีการกินดีอยู่ดีตามแบบของชาวพุทธกันบ้าง ซึ่งควรจะยัก พูดเสียใหม่ เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า กินอยู่แต่พอดี นี่จะจำอะไรขึ้น กินดีอยู่ดีนั้นมัน มันสลัว มืดมัวหรือพร่า ไม่รู้ว่าจะมีสักเท่าไหร่ ทีนี้กินอยู่แต่พอดีตามหลักของพระพุทธศาสนา ในโอวาทปาฏิโมกข์ มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง เป็นผู้รู้ประมาณในการกิน นั่นน่ะมันจะเป็นการแก้ปัญหาที่ว่าจะอยู่ในสังคมหรือในโลกอันยุ่งเหยิงอยู่ยากยิ่งขึ้นทุกทีนี้ได้อย่างไร ใครเขาจะมีการกินดีอยู่ดีตามแบบของกิเลสตัณหาก็ตาม เราก็มีการกินดีอยู่ดีตามแบบของชาวพุทธคือกินอยู่แต่พอดี ถ้าถือหลักข้อนี้ได้ปัญหาทางเศรษฐกิจกับสังคมจะเหลือน้อย คือจะเปลี่ยนเป็นไม่ใช่ปัญหา ไม่สู้จะเป็นปัญหา จะมีความสะดวกสบายขึ้นมา คือมีความสุขชนิดที่แท้จริงคือเยือกเย็น เพียงพอ
ทีนี้การกินดีอยู่ดีแบบชาวพุทธกินอยู่พอดีนี้มันก็เนื่องด้วยคำว่าเศรษฐกิจและสังคมอยู่นั่นเอง แต่ว่าเรามีแนวที่จะให้มันไม่เป็นเรื่องยุ่งยากมากและก็มีผลเป็นที่น่าพอใจสมกับคำว่ามนุษย์ผู้มีสติปัญญา ไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์ เกิดมาเพื่อไม่ทุกข์ เพื่อได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้คือความไม่ทุกข์ สำหรับหลักธรรมในพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจเรานึกถึงที่ปฏิบัติเกี่ยวกับอบายมุข เกี่ยวกับเรื่องอบายมุขเพียงเรื่องเดียวก็จะพอ เพราะมันแตกแขนงออกไปได้ ขยายเปรียบเทียบออกไปได้ คำว่าอบายมุขมันเป็นคำภาษาศีลธรรม เป็นเรื่องดี เรื่องชั่ว เป็นเรื่องเสื่อมเรื่องเจริญ แต่แล้วตัวเนื้อหาของเรื่องก็เป็นเรื่องเศรษฐกิจเต็มตัว เรามองดูพร้อม ๆ กันไปดีกว่า ประหยัดเวลาด้วย อบายแปลว่า ไม่สบาย คำว่าสบายก็ตรงกันข้ามกับคำว่า อบาย สบายคือสบาย อบายคือไม่สบาย ก็หมายถึงความเสื่อม เดี๋ยวนี้เราวาดภาพของความเสื่อมเป็นอบายชนิดที่ได้ยินได้ฟังมาแต่เล็กว่า เป็นนรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย โดยรูปธรรมเป็นอย่างนั้น ทางนามธรรมแล้วมันหมายถึงความเสื่อมทางจิตใจ นรกคือความร้อนใจ มันร้อนกันอยู่ทุกวันนี่คือนรก เดรัจฉานคือความโง่ อย่างที่มันโง่กันอยู่ทุกวันนี่ ที่ว่าก้าวหน้าทางการศึกษาสูงสุดเป็นศาสตราจารย์ เป็นอะไรก็ตามใจ มันยังโง่ในข้อที่ว่าจะสร้างสันติภาพขึ้นมาอย่างไร หรือขจัดสงครามออกไปอย่างไร ที่เป็นภายนอกเป็นอย่างนั้น และที่เป็นภายในก็คือว่าจะดับไอ้ความทุกข์ข้างในนี้อย่างไร มันยังโง่ ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานแล้ว สัตว์เดรัจฉานยังมีความทุกข์น้อยเสียอีก มีสันติภาพในโลกสัตว์เดรัจฉานมากกว่าในโลกมนุษย์อย่างเทียบกันไม่ได้ มันต้องถือว่าโง่ โง่ที่สุด โง่เตลิดเปิดเปิงไปเลยมนุษย์ทุกวันนี้ ทีนี้เปรตนั่นคือหิว คำว่าเปรตเป็นความหมายของความหิว โดยให้มาตรฐานว่า ตัวมันเท่าภูเขาแต่ปากมันเท่ารูเข็ม มันก็เข้าแบบไอ้เรื่องภูเขาเป็นทองตั้งสองลูกก็ไม่พอกับความต้องการของคน ๆ เดียวนั้นน่ะ มนุษย์เดี๋ยวนี้กำลังเป็นเปรต คือหิวนี่มากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น เพราะพอคลอดออกมาก็ถูกอบรมให้เป็นทาสของความสวยงาม เอร็ดอร่อย สนุกสนานทางเนื้อทางหนัง ซึ่งชวนให้เกิดความหิว รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป พอโตเป็นผู้หลักผู้ใหญ่มันก็ยิ่งหิวมากตามความเป็นใหญ่ มันจึงเป็นโลกแห่งเปรต เต็มไปด้วยแต่ความหิวโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรควัตถุนิยม ที่เราเรียกกันว่าวัตถุนิยม เห็นศาสนาเป็นของบ้าบอ เห็นความอิ่มทางวิญญาณเป็นของบ้าบอ บูชาความเอร็ดอร่อย ทางเนื้อทางหนังซึ่งไม่รู้จักอิ่ม นี่คือโลกของเปรตในสมัยปัจจุบันนี้ นี่ก็คืออบายชนิดหนึ่ง ทีนี้อสุรกาย อบายที่สี่เรียกอสุรกาย แปลว่าหมู่แห่งคนขลาด ก็คือโลกสมัยปัจจุบันนี่ หมู่แห่งคนขลาด ขลาดอย่างยิ่ง กลัวตาย จนเขาเรียกกันว่าอาณาจักรแห่งความกลัวน่ะเดี๋ยวนี้ ทุกคนกลัวจะไม่ได้สิ่งที่ตัวได้ ที่ควรจะได้ กลัวจะเสียสิ่งที่ได้อยู่แล้ว กลัวคนอื่นจะมาครอบงำครอบครอง นอนไม่หลับ พวกที่มีทรัพย์สมบัติมากหรือมีอะไรมากยิ่งกลัวมาก ดังนั้นมันจึงเป็นโลกแห่งความกลัวหรืออาณาจักรแห่งความกลัว เป็นหมู่แห่งอสุรกายอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ในโลกนี้ ส่วนในโลกอื่นที่เรามองไม่เห็นนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันเป็นปัญหาอยู่ที่กำลังประสบกันอยู่เฉพาะหน้าเรานี้ ดังนั้นอบายคือ ความปราศจากความสบาย ไร้ความสบายโดยสิ้นเชิง คือโลกนี้ที่กำลังร้อนเป็นไฟ หรือว่ากำลังโง่อย่างสัตว์เดรัจฉานหรือยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน กำลังหิวเหมือนกับเปรตที่มีท้องเท่าภูเขามีปากเท่ารูเข็มและก็อยู่ด้วยความหวาดผวานอนสะดุ้งอยู่ตลอดเวลา ที่กรุงเทพหรือที่เมืองนอกเมืองนาอะไรก็เหมือนกันหมด นี่คืออบาย
ทีนี้ก็เกิดเศรษฐกิจทางวิญญาณขึ้นมาก็แปลว่ามันเสีย เสียหายหมด ฉิบหายหมด ไม่มีความผาสุกทางวิญญาณ ก็คือเศรษฐกิจทางวิญญาณเสียหมด แต่แล้วก็มันเนื่องไปถึงเศรษฐกิจทางวัตถุนี่ ที่กำลังไม่พอ กำลังต่อสู้ กำลังแย่งชิง กำลังอะไรมากขึ้น คนอันธพาลมากขึ้นมันก็เบียดเบียนไอ้คนมั่งมี แล้วคนอันธพาลมันก็ต้องการมีเศรษฐกิจ รักษาเศรษฐกิจของมัน หน้าที่ของมันก็คือยื้อแย่งมาจากคนมั่งมี ก็จึงเห็นการเบียดเบียนหรืออันธพาลนี้ไปทุกหัวระแหงอีก เพราะมันตกอบายมันจึงทำอย่างนั้น ก็พลอยให้ตกอบายตาม ๆ กันไปหมด ในทางวัตถุ ทางร่างกายและก็ตกอบายทางจิต ทางวิญญาณ นอนไม่หลับเป็นต้นกันทั่วไปหมด นั่นแหละความหมายของคำว่าอบาย เนื่องมาจากเศรษฐกิจผิดพลาด ไม่มีความรู้สึกว่าเพียงพอ
ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องอบายมุขว่า ปากทางแห่งอบาย เพื่อให้เราปิดอุดเสีย อย่าให้มันกลายเป็นปากทางแห่งอบายนี่ มุขแปลว่าปาก อบายแปลว่าอบาย อบายมุขแปลว่าปากทางแห่งอบาย เดี๋ยวนี้โลกกำลังเต็มไปด้วยอบายเพราะไม่ปิดไม่อุดหนทางเหล่านี้ นี่เราพิจารณาดูอบายมุขของพระพุทธเจ้ากันบ้างว่าเป็นอย่างไร คุณก็มีหนังสือนวโกวาท เปิดดูที่ปฏิบัติ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน เกียจคร้านทำการงาน คบคนชั่วเป็นมิตร ก็เห็นว่า อู้ย, เด็ก ๆ ก็พูดได้แล้ว มันก็เข้าแบบว่าเด็ก ๆ พูดได้แต่ว่าไอ้แก่ ๆ หัวหงอกมันก็ปฏิบัติไม่ได้ เขาบอกเดี๋ยวนี้มันก็กำลังมีอบายมุขชนิดนี้เพิ่มมากขึ้น ท่วมทับทวีมากขึ้น ก็พูดถึงดื่มน้ำเมาข้อแรก มันก็ผลิตน้ำเมาขึ้นมาอย่างที่ผมเคยพูดว่าจะเอาไปอาบช้างอาบม้าที่ไหนกัน ไปดูที่โรงงานผลิตน้ำเมาหรือที่ท่าเรือขนส่งน้ำเมา ยิ่งเจริญรอยตามแบบสมัยใหม่เขา เขาเอาเหล้าเป็นพระเจ้า ไอ้งานที่มีเกียรติที่สุดของพวกฝรั่งน่ะก็คือชูแก้วเหล้าขึ้นและก็ดื่มถวายพระพร ดื่มอะไรก็ตามใจนั่น มันบูชาเหล้าเป็นพระเจ้า นั่นแหละคือน้ำเมามันเกิดเป็นพระเจ้าขึ้นมาในหัวใจ เหนือหัวใจของคน ไอ้น้ำเมามันจึงครอบงำมนุษย์ ทีนี้คำว่าน้ำเมานี่มันไม่ใช่เพียงแต่เหล้า มันทุกอย่างที่ทำให้เมาจะเป็นกัญชายาฝิ่นหรืออะไรก็ตามที่มันทำให้เมาแล้วก็ต้องเรียกว่าน้ำเมา เครื่องเมา ของเมาทั้งนั้น แล้วเดี๋ยวนี้มันมีอะไรบ้าง มีฝิ่น มีเฮโรอีน มีอะไรที่มันยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งขึ้นทุกที นี่เป็นน้ำเมาทางวัตถุ แล้วยังมีน้ำเมาทางวิญญาณที่กำลังหลงกันนัก เรื่องสวย เรื่องงาม เรื่องยั่วยวนเพศตรงกันข้ามทางกามารมณ์ จนไม่รู้ว่านุ่งผ้ากันอย่างไร สวมเสื้อกันอย่างไร นี้มันก็เป็นน้ำเมาทางวิญญาณ รวมกันแล้วมันก็เป็นน้ำเมา ทำให้คนเมาคือบ้าในทางวิญญาณ น้ำเมาทางวัตถุบ้าพักเดียว ไอ้น้ำเมาทางวิญญาณนี่บ้าไม่มีสร่าง ทีนี้พอไปทำอบายมุขข้อดื่มน้ำเมาเข้า มันก็ต้องมีอบาย ไม่ต้องสงสัย กินน้ำเมาเข้าไปมันก็ทำให้เกิดเรื่องร้อนใจ เพราะไปกินน้ำเมานั้นคือโง่ โง่ดักดาน เพราะสุนัขก็ไม่กินน้ำเมาแต่คนไปกิน ขอให้นับรวมบุหรี่หรืออะไรเหล่านี้เข้าไปด้วย อยู่ในพวกน้ำเมา สุนัขไม่สูบบุหรี่แต่คนมันดันไปสูบ ประดิษฐ์ขึ้นมาสูบ ทีนี้ของเมานั้นมัน มัน มันติด พอติดแล้วมันก็เงี่ยน หิวกระหายไม่มีที่สิ้นสุด มันก็ได้เป็นเปรตเพราะติดของเมา จะหิวของเมาอยู่เรื่อย และมันก็ขลาดอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้แต่ว่ากินเหล้าทำให้ใจกล้านี่แต่ในที่สุดเมื่อหมดฤทธิ์เหล้ามันก็กลายเป็นคนขลาดยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม อย่างน้อยมันก็ขลาดจนไม่มีจะกิน ไม่มีเหล้าจะกิน ก็ไปสร้างเรื่อง สร้างราว สร้างสาเหตุที่จะทำให้เกิดการเบียดเบียนระแวงภัยต่อกันและกันขึ้นเพราะความเมานี้ ดังนั้นกินน้ำเมาอย่างเดียวก็ตกนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกายครบถ้วนแล้ว ทีนี้เราก็นิยมไอ้ของเมานี้กันมากขึ้น ที่รัฐบาลประเทศไหนต้องการจะมีรายได้เพราะของเมาแล้วก็ยิ่งส่งเสริมให้น้ำเมานี่มันมากขึ้น
ทีนี้อบายมุขเที่ยวกลางคืนใคร ๆ ก็รู้จัก เที่ยวกลางคืนนั้นมันผิดหลักธรรมชาติซึ่งต้องการให้พักผ่อน ทีนี้ไอ้ความเป็นทาสของกิเลส ความหิวที่เป็นเปรตน่ะมันดึงจมูกให้ไปเที่ยวกลางคืน ออกไปนอกบ้าน ไปกินไปเที่ยว ไปดูหนัง ดูอะไรต่าง ๆ นี่ ไปเที่ยวกลางคืน มันก็ไม่มีอะไรนอกจากหลอกตัวเองให้บ้าไป แล้วก็นำความร้อนใจคือนรกมาสู่ในภายหลัง ไอ้เงินค่ามหรสพ ค่าเที่ยว เที่ยวกลางคืน เงินสำหรับเที่ยวกลางคืนมันก็ไม่เท่าไหร่ ถ้าไปเทียบกันกับไอ้ความเสียหายทางจิตใจที่มันเสียไปนี่มันยิ่งกว่าเสียเงิน เพราะเที่ยวกลางคืนนี้มันไปทำอะไรที่ไม่ ไม่จำเป็นไม่น่าทำทั้งนั้น ไม่ใช่ประกอบอาชีพกลางคืนแต่ว่าไปทำลายอาชีพ เดี๋ยวนี้ก็มีอะไรยั่วให้คนออกไปเที่ยวกลางคืนหามรุ่งหามค่ำก็มี ไปทำไอ้ทุกอย่างที่มันเป็นอบายมุขอย่างอื่น ไปเต้นรำ ไปอะไรก็สุดแท้ ผมไม่ต้องอธิบายก็ได้ คุณเก่งกว่าผมเรื่องนี้ที่จะว่า พูดว่ามันมีอะไรบ้าง เพราะผมบวชเสียเร็วเกินไปไม่ค่อยรู้เรื่องเที่ยวกลางคืน ก่อนบวชก็พ่อแม่กวดขันที่จะออกจากบ้านกลางคืน ตามแบบวัฒนธรรมไทยแต่โบราณ เที่ยวกลางคืนก็หาเป็นเสนียดจัญไรไม่ต้องไปนอนดีกว่า จะไปดูหนังตะลุงสักนิดหนึ่งก็ต้องขออนุญาตหรือว่าต้องระแวดระวังเกือบตาย ที่ดูการเล่นคือมหรสพนี้มันหมายถึงการเล่นที่ไม่เป็นการศึกษา ไอ้สิ่งที่เรียกว่ามหรสพนี่เป็น ถ้ามันดีมันบริสุทธิ์มันเป็นการศึกษาและความเพลิดเพลินที่ไม่เป็นอันตราย เสียแต่ว่ามันเป็นฝ่ายอันธพาล ฝ่ายอบายมุขนี้มันหมายถึงเต็มไปด้วยอันตราย คือยั่วให้คนหลง ไม่เป็นตัวตนของตน เป็นตัวตนของกิเลส สมัยโบราณยังต้องออกไปจากบ้านจะไปดูมหรสพ เดี๋ยวนี้เครื่องมือสื่อสารเช่น วิทยุ โทรทัศน์อะไรเอามาให้ถึงในห้องนอน พระไม่ต้องออกไปจากกุฏิก็ดูระบำเปลือยได้ ผลของการไอ้ เครื่องมือสื่อสาร MASS MEDIA ซึ่งบูชากันนัก ก็คือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดทำให้คนเลวลงโดยต้านทานไม่ไหว นี่มีวิทยุ มีโทรทัศน์ขึ้นมาในโลกเพื่อให้โลกเป็นคนเลวยิ่งขึ้นทุกที คือไม่ได้ใช้ไปในทางที่ให้เป็นคนดี ให้คนเป็นคนดี หรือใช้ไปในทางที่เป็นคนดีมันมีน้อยเทียบกันไม่ได้กับที่ให้คนมันเลว เสียนิสัย เสียความรู้สึกในฝ่ายสูง น้อมไปในทางฝ่ายต่ำ เดี๋ยวนี้ก็เริ่มจะเห็นโทษเห็นอะไรกันขึ้นมาแล้ว บ่นกัน กลุ้มไปทั่วโลกแล้ว เรื่องโทรทัศน์เป็นอย่างไรบ้างนี่ นั่นน่ะแปลว่าจะดูการเล่นที่นั่นที่นี่ ก็ออกไปนอกบ้านด้วยแล้วในบ้านมันก็มีมาถึงห้องนอนด้วย แล้วมันจะเอาเวลาไหนที่เป็นเวลาว่างจากไอ้ดูการเล่น มันก็เหลือน้อยเต็มที ทีนี้ค่อยดื่มด่ำไปทีละนิด ๆ เสพติดไปทีละนิด ๆ จนไปบูชาสิ่งเหล่านั้น จนยอมเสียการงาน เสียอะไรโดยไม่รู้สึกตัว นี้เป็นอบายมุข ปากทางแห่งอบายพูดคราวเดียวกันทั้งว่า เที่ยวกลางคืนและดูการเล่นนี้มันนำมาสิ่งความร้อนใจโดยตรง ร้อนใจโดยอ้อม ร้อนใจอย่างลึกซึ้ง มองไม่เห็นนั้นเป็นนรกที่มองไม่เห็น แล้วเป็นความโง่ที่ว่าจะอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องบำบัดทุกข์ มันเพิ่มความทุกข์ให้อย่างมหาศาลและมองไม่เห็น นี่เป็นความโง่ เป็นเดรัจฉาน แล้วก็เป็นเปรตที่หิวด้วย ไม่ได้ดูไม่ได้แล้วเดี๋ยวนี้ แล้วมันก็สร้างอาณาจักรแห่งความกลัวขึ้นมาอีกแล้ว กลัวเงินจะไม่พอค่าใช้จ่ายในการที่จะทำอย่างนี้ นี่เป็นข้อแรก แล้วมันก็จริง ๆ คือเศรษฐกิจเสียหายหมด มานั่งเฝ้าดูโทรทัศน์ เขาเขียนล้อ เป็นภาพล้ออยู่ในหนังสือเล่มรามเกียรติ์ที่โรงหนัง เมื่อสัตว์ทั้งหลาย หมู วัว ควาย ช้าง ม้า กระต่ายดูโทรทัศน์ สุนัขจิ้งจอกไปนั่งอ่านหนังสือ เรียนหนังสือ ศึกษาหนังสือ ในที่สุดมันเรียกสัตว์เหล่านั้นมาเป็นบ่าวเป็นทาสมารับเหรียญตราได้ นี่มันล้อกันอย่างดีนี้ นี้เรียกว่าความโง่นำมาซึ่งปัญหานานาชนิด
ไอ้เล่นการพนันนี่ก็เป็นปัญหาใหญ่น่านึก เดี๋ยวนี้การพนันเอามาถูกตบแต่งหลอกลวงกันว่าไม่ใช่การพนันนี่มากมายหลายอย่าง แม้แต่ลอตเตอรี่นี้ก็มี SPIRIT ของการพนันอยู่เต็มตัว สลากกินแบ่ง เอามาเขียนป้าย เขียนยี่ห้อเป็นไม่ใช่การพนันเป็นการบำรุงประเทศชาติ เป็นอะไรไป นั่นนะไอ้ป้ายหรือสีสันที่เอามา มา มาปิดหน้าว่ามันเป็นการช่วยกันสร้างประเทศชาติเสียครึ่งหนึ่งหรือเท่าไหร่ก็ตามใจ ผมก็ไม่ค่อยทราบ แต่ว่าไอ้ครึ่งหนึ่งที่ยั่วให้มนุษย์พลเมืองมีวิญญาณแห่งการพนันน่ะไม่พูดถึงกันเสียเลย พระพุทธเจ้าท่านติเตียนในการพนัน ทีนี้มันไม่ใช่มีแต่สลากกินแบ่ง มีพนันอะไรผมก็ไม่ค่อยรู้จักชื่อเขา แล้วก็ลงไปถึงการพนันจริง ๆ ก็ยังเล่นกันอยู่ ฝรั่งที่มันเจริญแล้วมันก็มีคาสิโน มีอะไรที่มันหรูหราไปกว่านี้ นี่เป็นโลกแห่งการพนัน มีการพนันชนิดที่เข้าใจยาก มองเห็นยากอีกมากมาย คือมันมาในรูปที่ทันสมัยของมนุษย์ที่ว่ามีศีลธรรม มีจริยธรรม มีศีลธรรม และการพนันก็ต้องมาในรูปที่ซ่อนหน้าซ่อนตาไม่ให้เสียศีลธรรมจริยธรรมโดยที่มนุษย์สมัยนี้ว่าเอาเองทั้งนั้น ขอให้ถือว่าไอ้สิ่งที่ทำให้เกิดการแพ้การชนะ ที่ทำให้จิตใจหิวกระหาย ผลที่จะได้มาจากการชนะนี้เราเรียกว่า การพนัน แม้แต่เล่นฟุตบอลที่เป็นกีฬาในสนามกีฬา ถ้าเล่นเพื่อแพ้เพื่อชนะก็เป็นการพนันชนิดหนึ่ง ถ้าเล่นเพื่อสุขภาพอนามัยอบรมจิตใจให้ดีเป็นนักกีฬามันก็ไม่เป็นการพนัน แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นการพนันไปเสียโดยไม่รู้สึกตัว มหาวิทยาลัยไหนลงสนามฟุตบอลก็เอากองเชียร์มาเชียร์ มานั้นน่ะเพื่อย้อมนิสัยแห่งความเห็นแก่แพ้ชนะ เห็นแก่ตัวกู เห็นแก่พวกของกู ไม่เห็นแก่พวกอื่นเลย นี่มันเสียหายอย่างนี้ มันไม่เป็นการกีฬาแต่มันเป็นการพนันขึ้นมา และก็ควรจะเล่นเพียงให้มันเป็นการกีฬาเพื่อดูไอ้น้ำใจนักกีฬาซึ่งมีได้เท่ากันทั้งฝ่ายแพ้ฝ่ายชนะ เดี๋ยวนี้มันบูชาไอ้การพนันคือการแพ้และการชนะ มันก็จะต่อยกัน มันขว้างกันด้วยระเบิดขวดนี้คุณก็รู้ดี แม้แต่การกีฬามันก็กลายเป็นการพนันเสียแล้วในโลกเวลานี้ มันก็นำมาซึ่งความร้อนใจเป็นนรก ทำอย่างนั้นคือความโง่เป็นสัตว์เดรัจฉาน หิวชนะเป็นเปรตอยู่เสมอ และก็กลัวนั่นกลัวนี่ กลัวไอ้เรื่องแพ้ แล้วก็เป็นอสุรกายอยู่เสมอเหมือนกัน มันก็เป็นอบายมุข นำมาซึ่งอบาย เสื่อมเสียทางเศรษฐกิจทั้งทางวัตถุและทั้งทางจิตใจ ฉะนั้นเสียเวลาไปก็คือเสียเศรษฐกิจ
ทีนี้เกียจคร้านทำการงานนี่ไม่ต้องพูดถึงล่ะ มันเป็นเรื่องเสียหายทางเศรษฐกิจ ทำลายพังทลายทางเศรษฐกิจ ตัวความเกียจคร้านนี้ก็เป็นความเอร็ดอร่อยอย่างหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้นใครเคยเกียจคร้านก็ลองนึกสังเกตพิจารณาดู จิตในขณะที่มันเกียจคร้านน่ะมันอบายหรือมันเอร็ดอร่อยอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนอนเสียไม่ทำงานนี้มันสบาย และแล้วผลอันร้ายกาจมันก็ตามมา เดี๋ยวนี้คนเกียจคร้านทำการงานแต่ความจำเป็นบังคับให้ต้องทำ นั้นมันก็คือตกนรกอยู่ที่นั่นเดี๋ยวนั้น มันทนทำ มันฝืนใจทำ มันเกียจคร้านจะทำการงานเพื่อจะไปสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางสิ่งยั่วยวนซึ่งมากขึ้นในโลกนี้ มันก็เดือดร้อนเพราะเศรษฐกิจในครอบครัวพังทลาย เป็นความโง่ เป็นความหิว เป็นความกลัว เป็นอบายขึ้นมาได้เพราะการเกียจคร้านทำการงาน ทีนี้มากกว่านั้นก็คือว่า ไอ้ความทะเยอทะยานมันมีมากเกินไปแล้ว มันก็รู้สึกว่าไม่อิ่มไม่พอ ก็เผาผลาญจิตใจมากขึ้น เดี๋ยวนี้เรามุ่งเฉพาะไอ้คนที่มันเกียจคร้านในหน้าที่ ๆ ตนจะพึงกระทำ ก็กลายเป็นคนอยู่ด้วยความทนทรมาน
อันสุดท้ายคบคนชั่วเป็นมิตรหมายความว่า แส่ไปหาความผิด ความผิดพลาด มันไม่เคยผิดพลาด มันยังดี ๆ อยู่นี่ก็แส่ไปหาไอ้ความผิดพลาดจนได้ ไปหาไอ้สิ่งที่จะดึงดูดไปสู่ความชั่ว ก็เป็นอบาย เศรษฐกิจก็พังทลาย เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องไปเรียนเศรษฐศาสตร์ที่เมืองนอกหรอก เรียนหัวข้อง่าย ๆ ไอ้หกหัวข้อของพระพุทธเจ้านี่ คืออบายมุขนี่ ก็จะพ้นปัญหาต่าง ๆ ที่เนื่องด้วยเศรษฐกิจ ที่เป็นอยู่กันเดี๋ยวนี้ส่วนมากมันก็เป็นรายจ่ายทั้งนั้น ไม่เป็นรายรับ แต่มันเป็นรายจ่ายที่ไม่เกิดผลกำไรและไม่จำเป็น เป็นรายจ่ายที่ทำตัวเองให้สึกหรอพังทลาย ไปดื่มน้ำเมา ไปเที่ยวกลางคืน ดูการเล่น.เกียจคร้านทำการงาน.คบคนชั่วเป็นมิตร มันเป็นรายจ่ายที่พังทลายเศรษฐกิจของตัว เพียงไม่เกียจคร้านทำการงานนี้มันก็มีรากฐานของเศรษฐกิจแล้ว มันก็จะเจริญงอกงามขึ้น ทีนี้ก็ปิดหนทางไอ้ที่มันจะมาทำลาย ที่มันจะใช้เป็นรายจ่ายนี่ออกไปเสีย ไม่ดื่มน้ำเมา ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ดูการเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล ไม่เล่นการพนัน ไม่คบเพื่อนชั่ว ทีนี้การทำการงานมันก็มีผลงอกงามขึ้นมา เป็นหลักของเศรษฐกิจ เดี๋ยวนี้ทั้งโลกหรือว่าเรียกว่าโลกตัวโลกเองแหละมันดื่มน้ำเมา ทั้งโลกมันนิยมไอ้ของเมา แล้วมันก็เที่ยวกลางคืนคือเที่ยวหาความสำราญกันทั้งโลก ไอ้สถานบริการกลางคืนมันก็มีเต็มไปทั้งโลก ไอ้ดูการเล่นก็อย่างที่ว่ามาแล้วเข้าไปถึงห้องนอน ทั้งในที่ทั่วไปก็มี แล้วก็เป็นไปทางลามกอนาจารยิ่งขึ้นทุกที มีสติปัญญาที่จะอธิบายว่าไม่ใช่ลามกอนาจารเป็นศิลปะนั้นน่ะ มันคนคดโกงพูด ถึงแม้มันจะเป็นครูบาอาจารย์ทางศิลปะ ทีนี้ก็เล่นการพนันกันมากขึ้นทุกที การพนันที่มหาศาลนั้นคือการทำสงคราม เป็นผู้ใฝ่สงคราม เป็นผู้เสี่ยงการสงคราม เพื่อเอารวยจากการชนะสงคราม นี้เป็นการเล่นการพนันที่มหาศาล กำลังมึนเมาในการพนันชนิดนี้กันมากขึ้น ทีนี้โลกเดี๋ยวนี้มันเกียจคร้านทำการงานยิ่งขึ้นทุกที มันเป็นทาสความอร่อยทางเนื้อหนังขึ้นทุกที แต่ที่มันอยู่นิ่งไม่ได้เพราะความจำเป็นมันบังคับ แต่เนื้อแท้มันไม่อยากทำงาน ไม่ได้ถือว่าหน้าที่คือธรรมะ การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมะแล้ว มันเป็นทาสของกิเลสตัณหามันจึงไปทำการงาน ไม่ใช่ทำการงานเพราะว่าการงานเป็นการปฏิบัติธรรมเหมือนไอ้หลักทางศาสนา ถ้าถือตามหลักศาสนาพุทธก็ว่าการทำการงานนั้นคือการประพฤติธรรมนานาชนิด ตัวการงาน ศาสนาอื่นก็พระเจ้าต้องการให้คนทำหน้าที่ทำการงาน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทีนี้คนไม่ได้คิดอย่างนั้น ทำการงานเพื่อจะเอามาปรนปรือกิเลสของเขา ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังของเขาบังคับให้เขาทำการงาน แล้วเขาทำการงานอย่างคดโกงเพื่อเอาเปรียบผู้อื่นมากเท่าไหร่ยิ่งดี เลยปั่นป่วนกันใหญ่เพราะว่าการเกียจคร้านทำการงานมันซ่อนอยู่ลึกซึ้ง เดี๋ยวนี้ผมอยากจะพูดว่าคนคบคนชั่วเป็นมิตรกันมากขึ้น คือมันสุมหัวกันเป็นพรรคเป็นพวกแล้วประหัตประหารล้างผลาญกันด้วยสงครามอีกเหมือนกัน เป็นสงครามเศรษฐกิจ หรือว่าสงครามทหาร หรือสงครามอะไรก็ตาม นี่สุมหัวกันคบคนชั่วเป็นมิตรทำลายล้างผู้อื่น ให้ตัวเองขึ้นครองโลก มันน่ากลัวเท่าไหร่ แปลว่าโลกทั้งโลกเป็นอบายมุขไปทั้งโลก และเศรษฐกิจของโลกก็ปั่นป่วนอย่างเลวร้ายเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดา นี่คุณรู้เรื่องเศรษฐกิจทั้งทางวัตถุทั้ง ทางวิญญาณกันอย่างนี้บ้าง ก็โดยส่วนตัวคุณคนเดียวก็ปฏิบัติให้มันถูก ๆ ให้มันดี ๆ ถือแบบชาวพุทธของพระพุทธเจ้าแล้วมันก็รอดตัวได้เหมือนกัน
ทีนี้เราพูดเรื่องสังคมกันต่อไป คนอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้นี้เป็นที่ยอมรับ ไม่มีใครค้าน ต้องมีบุคคลที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่แสน ที่ล้าน ที่โกฏิ สัมพันธ์กันอยู่ นี้คือความหมายของคำว่าสังคม ในวงแคบก็มีบุตรภรรยาสามีนี่เป็นสังคม มีเพื่อนบ้านเป็นสังคม มีเพื่อนร่วมชาติเป็นสังคม เพื่อนร่วมโลกเป็นสังคม กระทั่งผีสางเทวดาก็เข้ามาเกี่ยวข้องกับคนสมัยนี้ มีศาลพระภูมิ มีผีนั่นผีนี่ สังคมมันขยายออกไปอย่างนี้ ที่เราต้องปฏิบัติให้ถูกต่อสังคม คือไอ้บุคคลที่แวดล้อมตัวเราอยู่ นี้ก็เอานวโกวาทอย่างนี้มันง่ายดี มันมีอยู่แล้ว มันท่องได้อยู่แล้วก็คือ เรื่องทิศทั้งหกน่ะ ตรงหน้าไปเป็นบิดามารดา ข้างหลังไปเป็นบุตรภรรยา ข้างขวาเป็นครูบาอาจารย์ ข้างซ้ายเป็นเพื่อนมิตรสหาย ชาวเกลอ บนหัวมีสมณะพราหมณ์ ใต้ฝ่าเท้ามีบ่าวไพร่กรรมกร เป็นทิศรอบตัว แยกออกเป็น หก หก หก หกสาย คุณก็จะเห็นละ โอ้, เรื่องศีลธรรม เป็นเรื่องจริยธรรม เป็นเรื่องคือพระพ้นสมัยก็ได้ แต่ที่แท้นี่คือ ความรู้วิชาทางสังคมที่ดีที่สุดที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้ให้ บิดามารดาต้องเป็นเบื้องหน้า แล้วภาษาบาลีมารดามาก่อนบิดา มารดาให้ชีวิตแล้วก็ปลูกปั้นขึ้นมาเป็นนิสัยสันดานอย่างไรก็มาจากมารดาทั้งนั้น เป็นส่วนใหญ่ บิดามันห่างออกไป อยู่ไกลออกไป ฉะนั้นเขาจึงยกมารดามาไว้ข้างหน้า ใช้คำว่ามารดาบิดา แต่ในภาษาไทยนี้มาแผลงเป็นบิดามารดา นอกครูไปหน่อยทั้งที่รับวัฒนธรรมอินเดีย เดี๋ยวนี้เรามันมองบิดามารดาในลักษณะอื่น ไม่มองอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนว่าเป็นครูคนแรก เป็นพระพรหมประจำบ้านเรือน เป็นพระอรหันต์ประจำบ้านเรือน คุณเคยคิดไหมว่าบิดามารดาเป็นพระอรหันต์ประจำบ้านเรือน ทีนี้ก็ดูจะเบียดเบียนบิดามารดา ขู่เข็ญบังคับบิดามารดาหรือว่าหลอกบิดามารดา จับบิดามารดาใส่ลงไปในความร้อนใจคือ รก อย่างนี้กันเสียมาก ถ้าทะนุถนอมบิดามารดาตามความหมายที่เขาวางไว้น่ะ เป็นพระพรหม เป็นบุพพาจารย์เป็นอาหุไนยบุคคล อะไรเหล่านี้ละก็ เด็ก ๆ นั้นจะดีกว่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้มาก เดี๋ยวนี้กำลังเห็นบิดามารดานี่เป็นเครื่องอำนวยความสะดวก เป็นเครื่องให้สิ่งที่เราต้องการอย่างนี้ทั้งนั้น ไปดูเอาเองก็แล้วกัน จงประพฤติให้ถูกต้องต่อบิดามารดาก่อน เห็นเป็นเบื้องหน้าสำคัญกว่าอะไรมาทีแรกทีเดียว ท่านให้ชีวิตมา ปลุกปั้นเรามา เราต้องนึกถึงก่อน
ทีนี้บุตรภรรยาน่ะไว้ข้างหลัง เราก็ เราก็ดูสิคนเดี๋ยวนี้ไปบูชาไอ้เนื้อหนัง ก็เลยบูชาภรรยายิ่งกว่าบิดามารดา แล้วก็เป็นภรรยาชนิดภูตผีปีศาจเสียด้วยผมใช้คำอย่างนี้ดีกว่า ภรรยาที่นุ่งห่มด้วยเครื่องนุ่งห่มที่แทบจะไม่ปิดอะไรได้นั้นน่ะ คุณก็ชอบแฟนอย่างนั้น ชอบจนเอามาเป็นภรรยานี่ ก็ดูสิจิตใจเขาก็เป็นอย่างไร มันโง่เหลือประมาณทั้งนั้นน่ะ ที่มันยอมให้เขาหลอกให้แต่งเนื้อแต่งตัวอย่างนั้น เพื่อล่อเพศตรงกันข้ามคือผู้ชาย ได้แก่พวกคุณที่จะเผชิญปัญหาเหล่านี้ นี่มันต้องตั้งต้นด้วยการมีคู่ครองที่ถูกต้องไว้ก่อน จึง จึงจะ เศรษฐกิจ เรื่องบุตรภรรยามันจะไม่เป็นปัญหา เดี๋ยวนี้ไปก้มหัวไปกินเหยื่อของความสวยงามความล่อลวงอย่างนั้น ได้คนอย่างนั้นมาเป็นภรรยา มันก็คล้าย ๆ กับได้ภูตผีปีศาจ ยักขินี รากษสมาเป็นภรรยา ปัญหามันก็จะมีมากในอนาคต มันต้องแก้ปัญหาเรื่องที่จะเลือกภรรยา คนที่ควรจะเป็นภรรยาโดยแท้จริง ไม่ใช่เอาภูตผีปีศาจมาเป็นนาย ทีนี้ว่าถ้าพันธุ์มันดีทั้งพ่อทั้งแม่ เป็นพืชพันธุ์ที่ดี ลูกก็ออกมาดี ปัญหามันไม่ค่อยมี เดี๋ยวนี้พ่อแม่มันโง่เสียเองลูกมันก็โง่มากกว่านั้น มันก็ทำให้เกิดเป็นปัญหาในครอบครัว พ่อแม่ต้องไปคอร์รัปชันมาให้ลูกได้เรียน ได้แต่งเนื้อแต่งตัว ได้อย่างที่เขานิยมกันนี้ มันก็ล้มละลายทางวิญญาณหมด ทีนี้เขารักลูกกัน เขารักกันในทางผิด ๆ นี้ คือให้มันสวยมันงาม ให้มันเด่นในสังคมเท่านั้นเอง ไม่ใช่เพื่อจะมาเป็นผู้ยกบิดามารดาเสียจากนรก แต่นั่นแหละเมื่อเขาตีความหมายของนรกเป็นอย่างอื่น เขาก็คิดว่าเรามีลูกเพื่อยกเราได้เหมือนกัน ทีนี้ข้างในใกล้ชิดที่สุดต้องทำให้ดีในสังคมนี้ สังคมคือบิดามารดา สังคมคือบุตรภรรยานี้
ทีนี้ข้างขวาเป็นครูบาอาจารย์ นี่คือผู้ที่จะช่วยให้มีการกระทำที่ถูกต้อง เราต้องมีความรู้เพื่อเป็นอยู่ในโลก เพื่อปฏิบัติต่อทุกอย่างอย่างถูกต้อง แล้วก็มีครูบาอาจารย์เป็นผู้นำในทางวิญญาณในระยะ ในระยะแรก คนเดี๋ยวนี้ว่าครูบาอาจารย์เป็นลูกจ้าง เป็นอาชีพจำเป็น ไปเป็นอื่นยังไม่ได้ก็เป็นอาจารย์ ครูบาอาจารย์ไปพลางก่อนนี่ มันไม่นับถือครูบาอาจารย์อย่างปูชนียบุคคล ทีนี้ตัวไอ้ครูบาอาจารย์เองสมัยนี้มันก็ทำตนเป็นลูกจ้างจริง ๆ ด้วย ไม่เป็นปูชนียบุคคล โลกเลยปั่นป่วนใหญ่ คือโลกกำลังไม่มีครูบาอาจารย์ มีแต่ลูกจ้างสอนวิชา ต่างคนต่างเอาเปรียบ ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ครูก็จะเอาเปรียบศิษย์ให้มากที่สุด ศิษย์ก็จะเอาเปรียบครูให้มากที่สุด อย่างนี้มันไม่ใช่ครูกับศิษย์ มันเป็นคู่อาฆาต เอาคู่เอาเปรียบกันต่างหาก แล้วเกิดปัญหาเรื่องโรงเรียนเรื่องนักเรียนเรื่องนิสิตมหาวิทยาลัยอะไรยุ่งไปหมด เพราะมันไม่มีความเป็นครูบาอาจารย์ ไม่มีความเป็นศิษย์ที่ดี นี่คุณไปดูให้ดีไว้สังคมมันเป็นอย่างนี้ ก่อนนี้ครูบาอาจารย์เขาอยู่เหนือเกล้าเหนือเศียรนั่น เขาเรียกปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้าง ไม่ใช่คู่ทะเลาะ แต่นี่มันเลวลงทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์มันก็เลยกลายเป็นคู่ทะเลาะ ทิศเบื้องขวามันเสียไปแล้ว
ทิศเบื้องซ้ายก็คือ มิตร เพื่อน ทีนี้ก็เรามีแต่มิตรชนิดที่เรียกกันว่าเพื่อนกิน ไอ้เพื่อนแท้จริงมันก็หายากขึ้นทุกที เพราะว่าทุกคนก็ล้วนแต่เป็นทาสของกิเลส ภูตผีปีศาจทางเนื้อทางหนังแล้วก็เป็นเพื่อนอย่างหลอกลวง เพียงแต่เพื่อให้ได้กินเท่านั้น เพื่อนจริง ๆ หายากขึ้นทุกที เพื่อนจริงคือเพื่อนที่จะป้องกันเราไม่ให้พลัดตกลงไปในความชั่วและก็ช่วยเหลือแวดล้อมเราให้เจริญก้าวหน้าไปในทางดีนี้คือเพื่อน รายละเอียดก็ไปดูจากนวโกวาทตามเดิม เหลืออยู่แต่ที่จะต้องระวังให้มีเพื่อนที่ดี เอาความดีเป็นเพื่อน ความดีมีอยู่ในบุคคลใดเอาบุคคลนั้นเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนที่เป็นไปในทางที่ดี นี่สังคมเพื่อนนี้เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็เอาเพื่อนกินเท่านั้นน่ะ เพื่อนทำลาย เพื่อนสำหรับมารวมหัวทำลายผู้อื่น เอาประโยชน์ผู้อื่นมาเป็นประโยชน์ของตัวนี่เพื่อนสมัยปัจจุบันนี้ทั้ง ๆ โลก มันเห็นได้จากการทำสงคราม เป็นเพื่อนร่วมตายกัน แล้วมันจะไปเอา ทำลายผู้อื่นเอาประโยชน์ จะครองโลกเพื่อนนี่ช่วยกันครองโลก อย่างนี้มันไม่มีความหมายที่ถูกต้องตามหลักธรรมะ ที่จริงเพื่อนที่ดีทำให้เกิดความสุขกายสุขใจเย็นอกเย็นใจ ทำให้ปัญหาต่าง ๆ หมดไป ภาระหนักต่าง ๆ มัน มันหมดไป
ทีนี้มองดูข้างบนคือ สมณะพราหมณ์ นักบวชบรรพชิต เรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาอยู่ข้างบน สมณะคือนักบวชที่ไม่ครองเรือน พราหมณ์คือนักบวชที่ครองเรือน รวมกันทั้งสองอย่างก็เป็นสมณพราหมณ์ เป็นผู้นำทางวิญญาณในฝ่ายสูงคือเบื้องบน สูงไปกว่าครูบาอาจารย์ตามบ้านเรือน เดี๋ยวนี้เราก็ไม่เห็นว่ามันน่าสนใจอะไร คนทั้งโลกกำลังไม่เห็นว่าไอ้ ไอ้สิ่งนี้สำคัญอะไร คือเห็นว่าศาสนาไม่สำคัญ พอใจที่จะไม่มีศาสนา พวกฝรั่งว่าพระเจ้าตายแล้วทั้งนั้นน่ะ เราก็ไม่มีศาสนาอะไร เราเป็นอิสระ ทีนี้สิ่งที่เรียกว่าสมณพราหมณ์ก็หมดไปสำหรับคนเหล่านั้น ชาวพุทธเรายังดี มีการสืบอายุพระศาสนามาจนถึงบัดนี้ มีการบวชเป็นพระ เป็นเณร พยายามที่จะไปในทางที่สูง เป็นที่พึ่งทางวิญญาณนี้ยังมีอยู่ ขอให้สนใจว่ามันจะทำให้วิญญาณเดินไม่ผิดทาง มันจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมี จะต้องสังคมด้วย
ทีนี้ข้างล่างลงไปเรียกว่า บ่าวไพร่ กรรมกร คนใช้ ลูกจ้างอะไรก็ตามใจ เป็นสังคมที่สำคัญอย่างยิ่งเหมือนกัน อย่า อย่าไปดูถูกว่าเป็นลูกจ้าง เป็นกรรมกร เพราะว่าถ้าเขาคิดร้ายทำร้ายขึ้นมาเมื่อไหร่เราก็ฉิบหาย หรือตาย หรืออะไร ไม่มีทางแก้เหมือนกัน ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาลงไปกระทั่งบ่าว คนใช้ ทาส กรรมกรอะไรก็ตาม ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องเช่นเดียวกับปฏิบัติถูกต้องต่อทิศอื่น ๆ ที่อยู่เบื้องสูงเบื้องบน นี่คือหลักทางสังคมของพระพุทธเจ้า ใครแก้ไขความบกพร่องออกไปเสียได้ ก็ทำให้ถูกให้ดีแล้วจะวิเศษในทางสังคม สังคมอื่น ๆ มันก็จะหยัดตัวออกไปในทางดีทั้งนั้น
ทีนี้คุณก็จะแปลกใจอยู่หน่อยว่า ในทิศทั้งหกนี่ทำไมไม่มีเจ้านาย ไม่มีประเทศชาติหรือรัฐบาล หรือเจ้านาย ท้าวพระยามหากษัตริย์เป็นทิศหนึ่งด้วย มีแต่พ่อแม่ บุตรภรรยา ครูบาอาจารย์ มีเพื่อน มีสมณพราหมณ์ มีบ่าวไพร่ นี่ก็เพราะว่าสมัยโบราณนั้นเขาไม่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเขามีการปกครองการเป็นอยู่อย่างบิดากับบุตร ดังนั้นมันต้องสงเคราะห์เข้าไปในเรื่องของบิดามารดาหรือว่าครูบาอาจารย์ สมัยโบราณนั้นคล้าย ๆ กับมีหลักว่า เราจงปกครองกันอย่างบิดากับบุตร ไม่ใช่เจ้านายกับคนใช้ หรือว่าผู้บังคับบัญชา เราทำงานที่ออฟฟิศหรือที่ไหนที่มีผู้บังคับบัญชา มีนายจ้าง มีอะไรนั้น ก็ให้รู้เถอะว่าเขามุ่งหมายจะให้กระทำกันอย่างบิดามารดากับบุตร ให้ผู้มีอำนาจเหนือนี่รักในคนที่อยู่ใต้อำนาจอย่างบุตร ฉะนั้นจึงลืมพูดไปถึงไอ้ข้อนี้เพราะว่าหลักพื้นฐานจะให้ปกครองกันอย่างบิดากับบุตรเสมอไป ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องปรับปรุงให้มันเข้ารูป เราจงทำตัวเหมือนบุตรที่ดีของผู้บังคับบัญชา ถ้าเราเป็นผู้บังคับบัญชาก็ทำบุคคลผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาให้เป็นบุตรของเรา ให้รัก ให้เมตตา ให้กรุณา ให้ตั้งความปรารถนาเหมือนกับว่าเป็นลูกของเรา ก็เรียกว่ามีการปกครองกันอย่างบิดากับบุตร พระเจ้าแผ่นดินนี่เรียกประชาชนว่าลูก ลูกก็นับถือ ประชาชนก็นับถือพระเจ้าแผ่นดินอย่างกับพ่อ พระสงฆ์สาวกก็นับถือพระพุทธเจ้าอย่างพ่ออย่างบิดา พระพุทธเจ้าก็รักสงฆ์สาวกอย่างลูก มันไม่มีคำว่าเจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาเข้ามาใช้ มันให้เป็นเรื่องของบุคคลผู้มีความรักกันอย่างบิดากับบุตร บุตรกับบิดา ฉะนั้นเราจงปรับปรุงไอ้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็น ยังเป็นปัญหาให้มันเข้ารูปกันเสียกับทิศทั้งหกนี้ ให้เป็นการปกครองแบบบุตร บิดากับบุตรอยู่เรื่อยไป แต่นี้มันคงจะทำยากเพราะความเห็นแก่ตัวมันครอบงำ ภูตผีปีศาจแห่งความเห็นแก่ตัวมันครอบงำ มันทำให้นายจ้างหรือผู้บังคับบัญชาเห็นแก่ตัวจัด ไม่รักคนเหล่านี้ ไอ้ลัทธิการเมืองอย่างใหม่มันก็เกิดขึ้น คือการต่อสู้ระหว่างนายทุนกับกรรมกรอย่างนี้ หรือระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เดี๋ยวนี้คุณ ๆ จะเห็นได้ว่าผู้บังคับบัญชานั้นน่ะมันค่อย ๆ กลายเป็นนายทุนมากขึ้น ทีนี้ไอ้ผู้ใต้บังคับบัญชาก็มีเจตนารมณ์แห่งกรรมกรมากขึ้น มันก็เกิดปัดแข้งปัดขาหรือคิดจะโค่นล้มกันในระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชานั่นเอง ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องสุมหัวกันเป็นไอ้ ผู้กอบโกยประโยชน์หรือคอร์รัปชันไปด้วยกัน นี่เรียกว่าโลกที่อยู่ยากยิ่งขึ้นทุกทีมันเป็นอย่างนี้ ดังนั้นเราต้องแก้ไขปรับปรุงให้ดีเท่าที่เราจะทำได้ หรือว่าเท่าที่เราจะหลีกเลี่ยงออกมาเสียได้ถ้าหลีกเลี่ยงได้ ถ้ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้เราก็ต้องปรับปรุงให้มันดี ให้มันถูกหลักของธรรมะ ของธรรมชาติ ให้อยู่กันด้วยความรัก ทีนี้ถ้ามันไม่ได้เราก็ต้องใช้ความ วิชา สติปัญญา สามารถแก้ไขมัน เครื่องมือวิเศษสารพัดนึกก็คือ ฆราวาสธรรม สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ แก้ไขผู้บังคับบัญชาที่เลวให้เป็นผู้บังคับบัญชาที่ดีโดยไม่รู้สึกตัว แก้ไขคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาที่เลวให้กลายเป็นผู้ เป็นลูกน้องที่ดีโดยไม่รู้สึกตัว ใช้ธรรมะอันประเสริฐสุดของพระพุทธเจ้าก็จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ทุกอย่างของฆราวาส จนถึงกับเรียกได้ว่าเป็นฆราวาสธรรม นี่ทิศทั้งปวงก็จะปรากฏเป็นทิศที่แจ่มใสสว่างไสวน่าชื่นอกชื่นใจทั้งหกทิศ นี่คือสังคมที่ดีตามความหมายของพระพุทธเจ้า
ทีนี้เราก็มีเศรษฐกิจดีมีสังคมดีตามแบบนี้แล้ว ปัญหามันก็หมดไปในเรื่องการที่จะเอาชนะในโลกนี้ให้ได้ ชนะในโลกนี้ได้แล้วไอ้โลกอื่นมันก็ง่ายเหมือนกัน กระทั่งอยู่เหนือโลกได้ ต้องตั้งต้นไปจากการชนะโลกนี้และโลกถัดไปแล้วก็อยู่เหนือโลกในที่สุด เมื่อมีหลักการอย่างนี้แล้วก็เรียกว่า สามารถที่จะอยู่ไปได้อย่างเป็นที่พอใจ หรือสะดวกสบายหรือไม่เสียหายในโลกที่แสนจะอยู่ยากยิ่งขึ้นทุกที อย่าไปผสมโรงเป็นผู้ทำโลกให้กลายเป็นนรกไป แล้วเราลองทบทวนสรุปความว่า เรามีปัญหาว่าเราจะอยู่ในโลกที่แสนจะยุ่งยากยิ่งขึ้นทุกทีนี้ได้อย่างไร แล้วเราก็มาบวช มาหาสติปัญญาของพระพุทธเจ้าเพื่อกลับออกไปอยู่ในโลกที่แสนจะยุ่งยากนี้ได้อย่างไร ทีนี้เรื่องมันไปอยู่ที่ว่า จะต้องมีความรู้ความเข้าใจถูกต้องในสิ่งทั้งปวง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่า จิต เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับสิ่ง ๆ เดียวคือจิตนี่อย่างที่ได้พูดมาแล้ว แล้วเราก็สนใจที่จะอบรมจิตให้มีความสว่างไสว ให้เดินไปถูกต้อง เครื่องมือแก้ปัญหาก็คือฆราวาสธรรมสี่อย่าง และก็ขยายออกเป็นอะไรก็ได้ ผมพูดนี้ก็คล้ายกับพูดแบบประมวลมาทั้งหมด จากคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดมาเป็นเรื่องเฉพาะของฆราวาส จะเอาชนะโลกนี้โลกหน้าโลกอื่นได้อย่างไร โดยอาศัยธรรมะเป็นหลัก ให้ชีวิตนี้มันก้าวไปข้างหน้าอย่างถูกต้องถึงจุดหมายปลายทาง ไม่เสียทีที่เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ ขอให้สนใจในลักษณะนี้ ถ้าสนใจในลักษณะอื่นก็ไม่ต้องมาบวช
ให้สรุปได้สั้น ๆ ในที่สุดว่า คำสอนทั้งหมดมันสอนให้มีชีวิตอยู่ด้วยจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้ามีความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูของกูแล้วมีทางแต่ทำผิด แล้วมีทางแต่ที่จะเป็นทุกข์ แม้ไม่ทำอะไรก็ยังเป็นทุกข์อยู่นั่น มันต้องเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว คือไม่เห็นแก่กิเลส แล้วก็เป็นคนเห็นแก่ธรรมะ ถ้าจะมีตัวให้เอาธรรมะเป็นตัว อย่าเอากิเลสเป็นตัว ถ้าเอาธรรมะเป็นตัวมันไม่มีตัวกูของกู มันมีแต่ความถูกต้อง มีแต่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ นาม รูป เบญจขันธ์ที่บริสุทธิ์ เท่าที่จะเป็นได้ตามความถูกต้องที่เราประพฤติกระทำอยู่ นี่ปัญหาต่าง ๆ มันก็จะหมดไปในลักษณะอย่างนี้ เราก็อยู่ในโลกที่แสนจะอยู่ยากยิ่งขึ้นทุกทีได้ อย่างที่เรียกว่าพอที่จะไม่เสียทีที่เกิดมาในโลก แล้วเวลาของเราก็หมด