แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คำว่าทิศทาง อ่า, นี้มันหมายถึงสิ่งที่จะต้องเดินไป หาให้ถึงจุดหมายปลายทาง ทีนี้เด็กๆ ก็จะถามว่า พูดกันถึงทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องหลัง เบื้องซ้าย เบื้องขวา เบื้องบน เบื้องล่างอยู่นี่ แล้วคนนั้นอยู่ตรงจุดศูนย์กลางนี่ แล้วจะเดินอย่างไร ใครจะเดินได้ จะเดินไปทางทิศตะวันออกทีหนึ่งแล้ววิ่งมา เอ่อ, จุดศูนย์กลางแล้ว จะเดินทิศตะวันตกแล้ววิ่งไปจุดศูนย์กลางแล้ว มัวแต่วิ่งอยู่อย่างนี้จะไปไหน นี่แหละคือคนหลงทิศ คือคนโง่ รู้เรื่องทิศแล้วก็ไม่รู้จะ จะ จะเดินไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้นไอ้การที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ ก็ต้องเป็นเรื่องของ ของ อ่า, ความมีสติปัญญา คือความไม่โง่ รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร แล้วก็ต้องเดินกันอย่างไร แล้วก็เดินได้ด้วยจึงจะสำเร็จประโยชน์ นี้ขอร้องว่าอย่าลืมว่าพุทธ-ศาสนาเป็นเรื่องของสติปัญญา พุทธะแปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เมื่อรู้อะไรแล้วมันก็มีสภาพเหมือนกับตื่นนอน ไม่หลับ แล้วมันก็จะได้มีการกระทำที่ถูกต้อง แล้วก็เบิกบาน นี่ ความหมายของคำว่าพุทธะ เพราะฉะนั้นเราจึงมี อ่า, หลักที่ตายตัวลงไปในเรื่องเกี่ยวกับปัญญา ว่าปัญญาหมายถึงปัญญาที่แท้จริง เป็นเครื่องทำความรอด นี้บาลีที่สำคัญๆ ที่ต้องนึกกันอยู่เสมอ เช่นว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปัญญายะ ปริสุชชัฌติ บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา อย่างนี้ก็ปัญญาก็กลายเป็นเครื่องชำระ อ่า, บาป ชำระอวิชชา แล้วก็บริสุทธิ์แล้ว มันก็พอแล้ว มันไม่มีหน้าที่อะไรอีก แล้วที่สำคัญที่สุดในทางคำพูดเช่นว่า อ่า, สัมมาทิฏฐิ สมาทานา สัพพัง ทุกขัง อุปปัจจะคุง เข้าไปล่วงพ้นความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงได้ด้วยอำนาจของการมีสัมมาทิฏฐิ ไอ้สัมมาทิฏฐินี้คือปัญญา แล้วมีความหมายจำกัดรัดกุมที่สุด ผิดไม่ได้ ดิ้นไม่ได้ สำหรับในภาษาไทยหรือภาษาบาลีก็ตาม พูดว่าปัญญาเฉยๆ มันมีปัญญาเฉโก มีปัญญา อ่า, ไปในทางที่จะไม่เป็นธรรม ไม่เป็น ไอ้, บริสุทธิ์ เอ่อ, พวกโจรก็มีปัญญาอย่างโจรอย่างนี้ แต่เมื่อพูดว่าสัมมาทิฏฐิแล้วมันดิ้นไม่ได้
คำว่าสัมมามันจำกัดไว้ชัด มีสัมมาทิฏฐิก็คือมีความรู้ ความเข้าใจ ความเห็นอะไรที่ถูกต้อง ที่เป็นธรรม ที่ประกอบด้วยธรรม แต่ก็คือปัญญานั่นเอง คือปัญญาที่ถูกต้อง ที่บริสุทธิ์ นี่พุทธภาษิตอย่างนี้มี มีมาก หลายบท ตรงเป็นอันเดียวกันว่าเราต้องรอดตัวด้วยปัญญา แล้วที่เป็นกลางๆ กว้างๆ กว่านั้นก็คือว่า ปัญญา หิ เสฏฐา กุสะลา วะทันติ นักขัตตะราชาริวะ ตาระกานัง สีลังสะรี อ่า, จาปิ สะตัญ จะธัมโม มีไปเรื่อยๆ ไป รวมความเข้าแล้วว่า เอ่อ, ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวว่า กล่าวปัญญาว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เหมือนพระจันทร์เด่นกว่าดาวทั้งปวง คือว่า ศีล สิริ มิ่งขวัญ อ่าว, ธรรมของสัตตบุรุษทั้งหลาย นี่ ย่อมอยู่ในอำนาจของปัญญาที่จะดึงมา มันเลยกว้างหมด ปัญญาเป็นที่ดึงมาซึ่งธรรมทั้งหลายเหล่าอื่น แม้แต่มิ่งขวัญ สิริแปลว่ามิ่งขวัญ คือความมีโชคดี ความที่จะเป็นไปแต่ในทางดี เพราะฉะนั้นมันต้องมีปัญญา จึงจะรู้ว่าจะเดินทิศ อ่า, เดินทางไป ไป ได้อย่างไร มันก็จะแก้ปัญหาได้ว่า ไม่ใช่ว่าเราจะต้องวิ่งไปวิ่งมา วิ่งไปวิ่งมา อ้า, มาหยุด แล้วหยุดอยู่ที่ตรงจุดศูนย์กลาง อื่อ, แล้วจะเป็นอะไร มันก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น
นี้มันเป็นคำสอนที่เปรียบเทียบ มันต้องระวังให้ดี อย่าตีความให้ผิด มันก็จะเกิดการปฏิบัติได้ มิฉะนั้นมันจะเป็นความรู้ที่ปฏิบัติไม่ได้ ซึ่งน่าสงสาร แปลความผิดเช่นคำว่าอัฏฐังคิกมรรค แปลว่ามรรคแปดทาง มรรคแปดสายกันอย่างนี้ มันก็ผิดหมด มันจะเดินอย่างไรได้ เพราะหนทางตั้งแปดสายคนจะเดินอย่างไรได้ อัฏฐังคิกมรรคเขาแปลว่าหนทางสายหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วยอุง องค์คุณหรือคุณสมบัติแปดประการ มันก็เป็นทางสายเดียว ประกอบไปด้วยคุณค่า ความหมาย ลักษณะอะไรแปดประการ มันก็เดินได้ นี่ทิศทางก็เหมือนกันแหละ มันว่าเป็นทิศทางเดียวที่ไปสู่จุดหมายปลายทาง ที่จะไป ที่มนุษย์จะต้องไป พูดอย่างถูกต้องที่สุดก็ได้ พูดอย่างกำปั้นทุบดินที่สุดก็ได้ ว่ามันคือที่สุดของความทุกข์คือนิพพานเป็นจุดหมายปลายทาง มันต้องไปที่นั่น
ที่มาพูดเป็นทิศหกอย่างนี้ มันก็เลย อ่า, ฟังไม่ถูกสำหรับเด็กๆ ว่าจะไปอย่างไร ทิศหกทิศ แปด ทิศอะไรก็ตาม เราก็เลยรู้ว่าเป็นคำอุปมา เช่นเดียวกับคำว่ามรรคมีองค์แปด ก็หมายความว่าเราจะต้องเดินให้มันถูกต้องไปทั้งหมด อ่า, ในทุกปัญหาที่เกี่ยวกับการเดิน อย่างฆราวาสเดินไปด้วยการแบกภาระหนักไป อ่า, เรื่องลูกเรื่องเมีย เรื่องบุตรภรรยา สามี ครูบาอาจารย์ อ่า, มันก็เป็นการเดินทางที่แบกของหลายๆ อย่างไป ก็ต้องแบกให้ถูก แล้วก็สามารถที่จะเดินไปตามทิศทางที่จะไปนิพพานได้ ตามความมุ่งหมายของคนทุกคน ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือบรรพชิต
สำหรับคำว่าทิศ คำว่าทิศนี่ ก็คิดดู มันเป็นคำพูดสำหรับคนพูด อ่า, คำพูดบาง บางคำหรือว่าคำเดียวกันบางคราวนี่ มัน มันเล็งถึงอะไรไปตาม เอ่, สถานการณ์หรือภาวะการณ์ในเวลานั้น ที่เรากำลังมาพูด เอามาพูด
คำว่าทิศนี้มันก็มีทิศอย่างภาษาวัตถุ ภาษาฟิสิกส์ ภาษาวัตถุนี้ก็มี ภาษาจิต ภาษานามธรรมก็มี แล้วภาษาสูงไปกว่านั้นเป็นภาษาวิญญาณก็มี พูดว่าทิศอย่างภาษา อ่า, วัตถุมันก็เอาวัตถุเป็นหลัก ที่เรารู้จักมันอย่างไร ทิศไหนพระอาทิตย์ออกมา อ่า, ดวงอาทิตย์ก้อนวัตถุนั้นออกมา ก็เป็นทิศที่มันออกมา ทิศไหนมันลับหายไปมันก็เป็นทิศที่มันตกไป นี่ตามสายตาของคนสมัยนั้นเอาวัตถุเป็นหลัก เมื่อได้สองทิศแล้วมันก็มีขวาซ้ายขึ้นมา เอามือนี่เป็นหลัก ถ้าสมัยนี้ก็เอาไอ้เข็มทิศเป็นหลัก ไอ้เข็มทิศมันมีการชี้ไปทิศทางหนึ่ง คือทิศเหนือ แล้วทางก้นของมันก็เป็นทิศใต้ เอาวัตถุเป็นหลักมันก็เป็นเรื่องทางวัตถุ สำหรับจะเดินเรือหรือเดินด้วยเท้า หรือคำนวณอะไรล้วนแต่เป็นเรื่องวัตถุไปหมด ในเมื่อคำว่าทิศนี่มันเอาวัตถุเป็นหลัก นี่จากทิศที่มันเป็นวัตถุอย่างนี้ มันก็เกิดทิศที่เป็นนามธรรมอะไรขึ้นมาตามลำดับ เช่นว่าเราเป็นคนอยู่อย่างนี้แหละ มันก็เกิดมีทิศเบื้องหน้าเบื้องหลังขึ้นมาตาม ใน ในทางนามธรรม ตามหลักของทิศทางวัตถุ เช่นเราจะต้องมีการศึกษา เราต้องมีการอาชีพ อ่า, เราต้องมีการสังคม ต้องมีการปฏิบัติตนให้ เอ่อ, ไม่มีความทุกข์นี่ พอเกิดเป็นทิศอย่างนี้ขึ้นมา เช่นว่าทิศเบื้องหน้าเป็นการศึกษาที่ต้องศึกษากันเรื่อย จนกระทั่งเข้าโลงมันก็ยังต้องศึกษาอยู่นั่น แล้วก็มีทิศที่จะต้องตามมา อ่า, คือการประกอบอาชีพ นี่ก็เป็นทิศทางหนึ่ง แล้วก็การสังคมให้ดีอยู่ในโลกนี้ก็ทิศทางหนึ่ง การรู้จักทำ อื่อ, การปฏิบัติในทางจิตทางใจมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่มันก็เป็นทิศในทางนามธรรมขึ้นมา เบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องซ้าย เบื้องขวา เบื้องบน เบื้องล่าง
ทีนี้เมื่อเกิดทิศในความหมายที่ลึกซึ้งขึ้นไปในทาง อื่อ, อื่นๆ อีก กระทั่งว่าบิดามารดาเป็นทิศเบื้องหน้า บุตรภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง นี่เอาแต่ความหมายที่สูง ไม่ได้เอาตัววัตถุเป็นหลัก จะสรุปก็ว่าเราเอาไอ้วัตถุเป็นหลัก เราก็ได้ทิศ ทิศทางอย่างหนึ่ง เราเอาตัวบุคคลเป็นหลัก เช่นบิดามารดา ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย ทิศหกนี่เอาตัวบุคคลเป็นหลัก มันก็ได้รูปร่างของทิศขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราเอานามธรรมเป็นหลัก เช่นมีการศึกษา มีการอาชีพ มีการสังคม มีการอะไรต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นนามธรรมทั้งนั้น เป็นหลัก มันก็ได้ทิศขึ้นมา เอ่อ, อีกรูปหนึ่ง อีกจุดหนึ่ง แต่ความหมายมันเป็นเรื่องทิศทางที่จะต้องไป แล้วก็ต้องไปด้วยปัญญาจึงจะเป็นพุทธศาสนา หรือว่าเอาตัวรอดได้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมปัญญา ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำหรับการเดินทาง แต่แล้วการเดินทางนั้นมันก็ไปสู่ที่แห่งเดียว ทิศเดียว เอ่อ, เอ่อ, สิ่งเดียวคือพระนิพพาน มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่พระนิพพาน จะเป็นนิพพานชั่วคราวในชีวิตต่ำๆ ก็ได้ เป็นนิพพานสูงสุดเด็ดขาดเมื่อปฏิบัติถึงที่สุดก็ได้
ฉะนั้นเราจึงมีหลักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อ่า, ว่านิพพานนั้นเป็นจุดหมายปลายทาง แม้เป็นฆราวาสก็ต้องสนใจ เพื่อจะเดินถูกทาง เดี๋ยวนี้ยังเดินไม่ถึง จะมีความรู้ทิศทางนี่ไว้เพื่อให้เดินถูกทางไปเรื่อยๆ ไม่หลง ไม่หลงทาง ไม่วกวนไปมา แม้จะแบกของหนักรุงรุง เอ่อ, รุง รุงรังออกไป ก็ เอ่อ, เดินไปถูกทาง ไปช้าๆ มีพระพุทธภาษิตที่สำคัญที่เป็นปัญหาคือว่า เยเต สุตตันตา สุญญตัปปฏิสังยุตตา ที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่าธัมมทินนาสูตร ธัมมทินนสูตรนี่ อุบาสกหรือผู้นับถือพระพุทธเจ้านี่ เป็นฆราวาสรุงรังไปด้วยบุตรภรรยา ทรัพย์สมบัติ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลถามว่าเรื่องอะไรเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสตลอดกาลนาน ขอจงแสดงเรื่องนั้น พระพุทธเจ้าก็ต้องตรัสอย่างนี้ ระเบียบแบบแผนเหล่าใด ที่เป็น เอ่อ, เกี่ยวเนื่องกับสุญญตาที่ตถาคตกล่าว ที่เป็นเรื่องลึก มีความหมายอันลึก เป็นไปเพื่ออยู่เหนือโลกนั้นนะ เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนาน เขาใช้คำว่าฆราวาส จับชัดลงไปด้วยว่า เอ่อ, มีบุตรภรรยา อ่า, ตามแบบฆราวาส พระพุทธเจ้าตรัสว่าสุญญตา คือเรื่องที่เกี่ยวกับสุญญตา ทั้งหมด นั่นแหละระวังให้ดี ถ้าเข้าใจไม่ดี แล้วก็จะเห็นเป็นการ เอ่อ, ขัดแย้งกันไปหมดว่า ฆราวาสทำไมจึงไปถึงสุญญตา เพราะถ้าไม่เป็น ถ้าไม่ เอ่อ, มีความมุ่งหมายเรื่องสุญญตา ไม่เป็นไปเพื่อสุญญตา ฆราวาสก็จะเป็นนรก ความเป็นฆราวาสนี่จะมี จะมีความกลายเป็นความเป็นนรก ความเป็นจมอยู่ในนรก ต้องมีความรู้เรื่องที่จะขจัดปัดเป่า ไอ้สิ่งผูกมัดผูกพันเผาลนทิ่มแทงเหล่านี้ออกไปตามสมควร ไม่อย่างนั้นจะเป็นบ้า หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะเป็นโรคเส้นประสาทตลอดกาล ถ้าไม่มีเรื่องสุญญตาเข้ามาช่วย
ทีนี้คนโง่ๆ ก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้ หาว่าฆราวาสนั้นไม่เกี่ยวกับสุญญตา อยู่กันคนละทิศคนละทาง หันหลังให้กัน นักปราชญ์โง่ๆ ในเมืองไทยก็ยังมีมากเกี่ยวกับเรื่องสุญญตาหรือจิตว่าง ความรู้เรื่องสุญญตานี่มัน มัน มันประเสริฐลึกซึ้ง แต่ถ้าเข้าใจผิด ก็จะกลายเป็นสุญญตามิจฉาทิฏฐิ สุญญตา- มิจฉาทิฏฐิมีมาแล้วตั้งครั้งพุทธกาล จิตที่ประกอบอยู่ด้วยความรู้สึกของสุญญตานี่เราเรียกว่าจิตว่าง เมื่อสิ่งที่เรียกว่าสุญญตามีส่วนที่เข้าใจผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว ไอ้เรื่องจิตว่างมันก็มีเรื่อง อ่า, ส่วนที่จะเข้าใจผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นจิตว่างมิจฉาทิฏฐิ เป็นจิตว่างอันธพาล ที่คนทั่วไปมันเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นหลัก เอาความหมายของคำว่าสุญญตาหรือ อ่า, จิตว่างนี่ไปตามความรู้สึกของตัวมันเลยเป็นอันธพาลหมด เช่นว่าถ้าว่างมันไม่มีอะไรแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องมีอะไร อ่า, ไม่คิดนึกอะไร ทำอะไรไม่ได้ นี่ก็เป็นจิตว่างอันธพาล ที่อันธพาลมากไปกว่านั้น เมื่อไม่มีอะไรแล้วก็ทำอะไรตามชอบใจ นี่, ไม่ถือศีล ไม่ถือระเบียบวินัย เที่ยวรังแกข่มเหงอะไรตามใจชอบนี่ จิตว่างอันธพาลที่เตลิดเปิดเปิงไป เขารู้กันแต่เรื่องความว่าง หรือจิตว่างอันธพาล จึงไม่สามารถจะเอามาประยุกต์กันได้กับชีวิตของตน ทั้งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสแก่ฆราวาสว่า อ่า, สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสตลอดกาลนานนั้น คือเรื่องเกี่ยวกับสุญญตา ทั้งหมด ใช้คำว่า เยเต สุตตันตา ไอ้สุตตันตะอย่างนี้มันหมายถึงระเบียบแบบแผน คำนี้แปลว่าเส้นบรรทัด สูตร หรือพระสูตรนี่แปลว่าเส้นบรรทัด สุตตันตะทั้งหลายเหล่าใดเลย สุญญตัปปฏิสังยุตตา ที่เนื่องเฉพาะกันอยู่กับสุญญตา นั่นแหละจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนาน
เพราะฉะนั้นถ้าเราจะ อ่า, เป็นพุทธบริษัทที่ใช้ได้ เราก็ต้องรู้จักประยุกต์ไอ้เรื่องสุญญตาเข้ากับทุกเรื่องที่เกี่ยวกับฆราวาส โดยเฉพาะเช่นเรื่องทิศทั้งหกนี้เป็นต้น จะไม่ทำให้ความทุกข์เกิดขึ้นจากทิศใดทิศหนึ่งเลย หรือว่า อ่า, ทิศทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็จะนำไปสู่สุญญตา เดินทางไหนก็ตามเดินให้ถูกทิศ ก็ทำให้ถูกทุกทิศแล้วมันก็กลายเป็นเรื่องสุญญตาไปได้เหมือนกัน ทั้งนี้ อ่า, ก็เพราะเหตุที่ว่า คำว่าสุญญตานั้นมันเป็นไอ้ เป็นคำบอกความจริงของสิ่งทั้งปวง เป็น เอ่อ, เป็นการบอกความจริงของสิ่งทั้งปวง ไม่ยกเว้นอะไร จะเป็นบุตร ภรรยา เอ่อ, บิดา มารดา บุตรภรรยา อ่า, มิตรสหาย ครูบาอาจารย์ อะไรทั้งหมดนี่ ที่เป็นบุคคลเหล่านี้ หรือจะเป็นการงานอะไรทั้งหมด หน้าที่การงานทั้งหมด อะไร ความคิดความนึกอะไรทั้งหมด เราเรียกว่าทั้งปวง มันมีความจริงเป็นสุญญตา คือเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นรื่องตามธรรมชาติ อยู่ใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่เป็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แล้วมันก็ไม่ได้เป็นบุคคล มันเป็นแต่เพียงธรรมชาติที่เป็นไปตามธรรมชาติ มีกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง อื่อ, หรือปฏิบัตินี่ให้มันถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วธรรมชาติไม่เป็นบุคคลนั่นน่ะจะเรียกว่าสุญญตา
เอามาเตือนแล้วเตือนอีก พูดแล้วพูดอีก จู้จี้พิรี้พิไร ว่าพวกคริสเตียนก็ยังสอนเรื่องสุญญตา แล้วเกี่ยวกับลูกเมียทรัพย์สมบัติ คำกล่าวในคัมภีร์โครินเธียน (Corinthians) ตอนท้ายของ New Testament เซนต์ปอลล์สรุปคำสอนของพระเยซูทั้งหมดไปสอนชาวบ้านพวกนี้แหละ เมื่อมีภรรยาก็จงเหมือนกับไม่มีภรรยา มีทรัพย์สมบัติก็จงเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ นี่ มีความสุขก็จงเหมือนกับไม่มีความสุข มีความทุกข์ก็จงเหมือนกับไม่มีความทุกข์ ซื้อของที่ตลาดอย่าเอาอะไรมา นี่เป็นเรื่องสุญญ-ตาเต็มร้อยเปอร์เซนต์เหมือนกับพุทธศาสนา แล้วก็อยู่ที่บ้านที่เรือนที่ฆราวาส อยู่ที่บุตรภรรยาสามี ที่ทรัพย์สมบัติ ที่ความสุขความทุกข์ ที่เกิดขึ้นประจำวัน กระทั่งว่าไปซื้อของที่ตลาด นี่หมายความว่าการใช้เงินของเรานี่ เราไม่ได้ถือว่าเรามีกรรมสิทธิ์ มีสิทธิเป็นของเรา ซื้อของที่ตลาดไม่ได้เอาอะไรมา เราไม่ถือว่าเงินของเรา ของที่ซื้อมานั้นเป็นของเรา ก็เท่ากับว่าไม่ได้เอาอะไรมา มันว่างอยู่เรื่อย บุตรภรรยาก็ว่าง ทรัพย์สมบัติก็ว่าง ความสุขความทุกข์ก็ว่างนั้นน่ะ ฉะนั้นพุทธบริษัทอย่าโง่หรืออย่าเลวกว่าคริสเตียนในข้อนี้ ที่ประยุกต์คำว่าสุญญตาเข้ากันได้กับทุกสิ่งเกี่ยวกับฆราวาส
เดี๋ยวนี้เรามีเรื่องทิศหกขึ้นมาอย่างนี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นวัตถุสำหรับยึดมั่นถือมั่น แล้วก็เลยกลายเป็นไม่ใช่พุทธศาสนาไป มันต้องกลายเป็นสิ่งที่ปฏิบัติต่อด้วยอย่างถูกต้อง จนไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็เป็นทุกข์ เอ่, แล้วก็เป็นสุขอยู่ได้ จึงจะเรียกว่าเป็นผู้รู้จักทิศทาง ทิศทางทั้งหลายปรากฏเป็นของแจ่มแจ้ง สว่างไสวแก่กุลบุตรนั้น ก็เรียกว่าเป็นผู้รู้จักทิศ จัดการกับปัญหาได้ทุกทิศทุกทาง ปัญหาไม่มีดึงแข้งดึงขาเราก็ไปได้สบาย ฟังดูคล้ายๆ กับว่าเราหาบคอนสิ่งเหล่านี้ไป นั่นเป็นเรื่องทางวัตถุ ถ้าเป็นเรื่องทาง อ่า, วิญญาณ หมายความว่าเราขจัดปัญหาเหล่านี้ออกไปได้หมด ปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากบิดามารดาครูบาอาจารย์อะไรในโลกนี้ มันถูกกระทำให้ถูกต้องเรียบร้อยไม่เป็นปัญหา นี่เราปฏิบัติต่อทิศทุกทิศอย่างถูกต้องจนปัญหาหมดอย่างนี้ เราก็ไม่มีความทุกข์ ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดความทุกข์ ก็เรียกว่าว่างได้เหมือนกัน นั่นอย่าไปเข้าใจตามนักปราชญ์อันธพาลโง่ๆ ว่าสุญญตาไม่เกี่ยวกับฆราวาส ซึ่งเป็นการคัดค้าน เอ่อ,คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็คัดค้านเหตุผลของธรรมชาติ โดยธรรมชาติ ตามธรรมชาติ
เอาล่ะขอให้คิด เอ่อ, ในเมื่อยังมองไม่เห็นก็ขอให้คิด ให้พิจารณา ให้รู้ว่าชีวิตนี้เป็นการเดินทาง คือไหลไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่จะไปประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องหรือผิด ถ้าผิดมันก็ไหลไปผิด ถ้าถูกต้องก็ไหลไปถูกต้อง ไปสู่จุดหมายปลายทาง ซี่งเราก็มีทางที่จะคิดได้จากความเจนจัดทุกอย่างทุกประการที่ผ่านมาแล้วในชีวิต ความเจนจัดที่ถูกต้องที่ให้ ให้ ให้สติปัญญาแก่เรานั้น ก็เรียกว่า เอ่อ, อุปกรณ์หรือ material เอ่อ, สำหรับที่จะเอามาคิด spiritual experience เอ่อ, คำๆ นี้เขาใช้กันมากแล้วเดี๋ยวนี้ spiritual experience experience ต่างๆ ในทางฝ่ายวิญญาณ เช่นเคยมีเงินก็รู้ว่าเงินนี่มันเป็นอะไร เป็นอย่างไร เคยมีลูกมีเมียก็รู้ว่าลูกเมียนี่มันคืออะไร เป็นอย่างไร มันมีความหมายที่ลึก เกียรติยศชื่อเสียงมันคืออะไร มันเป็นอะไร มันเป็นอย่างไร อะไรมันเป็นอย่างไรในด้านลึกนี่ ที่ผ่านมาแล้วเรารู้ เจนจัด ก็เรียกว่า spiritual experience , experience อันนี้จะผลักดันมนุษย์ ไปตามทางที่ถูกต้อง ก็ไปสู่พระนิพพาน
ทีนี้เพื่อไม่ให้มันเสียเวลามากนัก ก็มีระเบียบแบบแผนวินัย ตั้งขึ้นไว้ให้ปฏิบัติให้ถูก เช่นเรื่องทิศหกอย่างนี้ ปรากฏอยู่ในสูตรชื่อสิงคาโลวาทสูตร ก็ปฏิบัติตามนั้น มันก็ช่วยประหยัดเวลา หรือว่าทำให้เกิด experience ที่ดีที่สูงสุดขึ้นมาในเวลาอันเร็ว อัน อัน อันเร็ว อันนี้ กุลบุตรนั้นก็ไหลเลื่อนไปสู่นิพพาน แม้ในเพศฆราวาส แล้วก็เลยเป็นอันว่า อ่า, เราต้องรู้ว่า อ่า, เกิดมาทำไม เพื่อจะได้มี อ่า, การตั้งจุดหมายหรือการเดินทางจึงถูกต้อง เพราะฉะนั้นผมจึงชอบพูดเรื่องนี้ คือเรื่องเกิดมาทำไม ถ้าใครตั้งปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ผมก็ตอบว่า ก็คุณไปรู้เรื่องเกิดมาทำไมเสียก่อน แล้วปัญหานั่นมันก็จะ อ่า, ตอบไปในตัว
ถ้าเราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม เอ่อ, เราก็จะทำผิดจุดหมาย และทำสิ่งที่เรากำลังจะทำ หรือทำอยู่นี่ ผิดจุดหมายหมด เช่นเราจะเรียนหนังสือ จะศึกษาเล่าเรียน จะเรียนหนังสือหนังหา การศึกษาของมนุษย์นี่ ถ้าเราไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมนะ การศึกษาของเราจะไม่รู้ไปทางไหน คือจะแกว่งเหมือนการศึกษาเดี๋ยวนี้ เหมือนการศึกษาของโลกในสมัยปัจจุบันนี้ ไม่มีหลักที่ว่ามนุษย์เกิดมาทำไม การศึกษาก็เลยพร่า แกว่ง อ่า, กว้างไป ครอบจักรวาลไปเลย จนในที่สุดมันก็ไม่มีสันติภาพในโลก มีแต่ความรู้ที่พร่า ที่ท่วมหัว ที่ช่วยตัวไม่รอด อะไรอยู่อย่างนี้ เพราะไม่รู้นิดเดียวว่าเกิดมาทำไม ถ้าสอนให้รู้กันว่าเกิดมาเพื่อไปจุดหมายปลายทางคือพระเจ้า หรือว่าคือนิพพาน หรือคืออะไรอย่างนี้แล้ว การศึกษามันก็จะรวบรัด หรือมันจะจัดกัน อ่า, จะจัดรูปของมันเองไปในลักษณะที่ว่าจะเดินไปเร็วๆ ถึงพระเจ้าหรือถึงนิพพาน โลกนี้ก็จะมีสันติ แต่นี่มันพร่าเพื่อให้เลือกเอาตามใจชอบของกิเลส โลกนี้ก็มีวิกฤติกาลที่เป็นการถาวร เพราะฉะนั้นการศึกษานั้นก็กลายเป็นความผิด ของผิด ทำโลกให้มีวิกฤตกาลถาวร อย่างรู้ว่าเกิดมาทำไมเสียก่อนจึงจะเล่าเรียนถูกต้องและเล่าเรียนดี คือเล่าเรียนตรงไปยังจุด
ทีนี้เราจะทำการงานก็เหมือนกันแหละ เราต้องรู้ว่าเกิดมาทำไม แล้วจึงจะทำการงานให้ถูกกับความมุ่งหมายอันนั้น แล้วจะทำอะไรก็ตามใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์จะทำได้ แม้ที่สุดแต่การเล่น การเล่นกีฬา เล่นดนตรีก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้ว่าเราเกิดมาทำไมกันแน่ๆ กันจริงจังแล้ว เราก็จะเล่นกีฬาและเล่นดนตรีที่เป็นประโยชน์แก่วัตถุประสงค์อันนี้ มิฉะนั้นเราก็จะกลายเป็นเล่นกีฬา หรือเล่นดนตรีที่ส่งเสริมแก่กิเลส เหมือนที่เล่นกันอยู่ เราจะกินจะอยู่จะแต่งเนื้อแต่งตัว จะทำอะไรทุกอย่างในชีวิต มันก็ต้องรู้ว่าเกิดมาทำไมเสียก่อน มันจึงจะทำให้ได้ผลอันนั้น เดี๋ยวนี้ดูสิระบบของการกินอยู่ แต่งเนื้อแต่งตัวเป็นอย่างไร ล้วนแต่เป็นไปเพื่อความยุ่งยากลำบาก ทำให้เกิดความเป็นอันธพาลมากไปกว่าเดิม นี่คือผู้ที่ไม่รู้ทิศทาง ว่าเกิดมาทำไม เพราะฉะนั้นขอให้ภาวนากันไว้ทุกคนเถิดว่า เกิดมาทำไม ให้พบคำตอบที่ถูกต้องเรื่อยๆ ไป ถ้าเราไม่รู้ก็อย่าอวดดีสิ นี่ เด็กๆ หรือคนหนุ่มที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้แล้ว เมื่อไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมก็อย่าเพิ่งอวดดี คือเงี่ยหูฟังคำสั่งสอนของบัณฑิตทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข นี่พูดค่อนข้างจะเอาเปรียบหน่อย มันเป็นภาษาพุทธศาสนาพูดกันอยู่อย่างนี้ บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ก็หมายความว่าผู้มีปัญญาความคิดทั้งหลายนี่เราจะยกเอาพระพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศกว่าใครๆ นำหน้าใครๆ ว่าบัณฑิตทั้งหลายท่านได้กล่าวกันไว้ ว่าเกิดมาทำไมนี่ ลองฟังดูก่อน มันจะช่วยให้ง่ายเข้า ถ้าเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลักก็เกิดมาเพื่อไปนิพพาน เท่านั้นแหละ วัฏฏสงสารมันจะจบลงเมื่อนิพพาน ก็กลาย กลายเป็นว่าเกิดมาเพื่อไปนิพพาน
ทีนี้ถ้าเป็นวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งเป็นแดนเกิดของพุทธศาสนา แต่เป็นวัฒนธรรมที่เขาพูดกันมาแล้วก่อนพุทธกาลนี้ ก็มีหลักอย่างเดียวกัน ว่าเกิดมาไปจุดหมายปลายทางที่สูงสุด เหมือนที่พูดอยู่บ่อยๆ ว่าอาศรมทั้งสี่ เกิดมาเพื่อเป็นเด็กให้ถูกต้อง เป็นพรหมจารีย์ แล้วเป็นผู้ใหญ่ให้ถูกต้อง คือเป็นคฤหัสถ์ แล้วก็เป็น อ่า, ผู้แก่ที่ถูกต้อง คือเป็นวนปรัสถ์ ออกไปหาความสงบทางจิตใจ แล้วเป็นคนเฒ่าที่ถูกต้อง ผู้เฒ่าที่ถูกต้อง คือแจกของส่องตะเกียงให้แก่ลูกเด็กๆ เป็นพรหมจารีย์ เป็นคฤหัสถ์ เป็นวนปรัสถ์ เป็นสันยาสี นี่ให้มันได้อย่างนี้ หรือว่าเรื่องเป่าปี่ขี่วัว ไอ้ภาพสิบภาพข้างหลังจอน่ะ มันลำดับของการเดินทาง มันไปเดินไปอย่างนั้น ตัวเองเดินทางจนถึงความว่าง ภาพที่แปด เหลือจากนั้นก็งอกงามไปในทางแจกของส่องตะเกียงให้แก่ผู้อื่น ให้ว่างตามๆ กันมา แล้วเราเดินมาถึงความว่างคือนิพพาน หลังจากนั้นก็ อื่อ, ช่วยให้ผู้อื่นได้เดินไปถึงนิพพานด้วย นี่เกิดมาทำไม ก็ดูเอาจากความคิดหรือคำสอน อ่า, ข้อนี้
ทีนี้เราเป็นคฤหัสถ์ก็อย่างุ่มง่ามเป็นเต่าต้วมเตี้ยมวกวนไปวกวนมา นี้เราชอบดูถูกเต่าอย่างนี้ แล้วก็ไปนึกถึงเต่าหินตาบอดตัวนั้นบ้าง สัญชาตญาณที่เป็นทุนน่ะเดิม ฮ่า, เป็นทุนเดิมของสัตว์มีอยู่ในชีวิตจิตใจน่ะ คือความรู้นะ เราเรียกว่าธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ หรือเรียกว่าพืช germ แห่งความเป็นพุทธะ มีอยู่ในชีวิตทุกชีวิต มันมุ่งหมายจะไปในทางที่สูงสุดทั้งนั้นแหละ หากแต่ว่าอวิชชาเข้ามาแทรกแซง อวิชชาจะมาแทรกแซงมากแทรกแซงน้อย อ่า, ก็เพราะ สิ่งที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายเป็นประจำวัน แล้วมันเกิดบังเอิญ ให้เป็นไปในทางที่จะ อื่อ, โง่ หรือจะเป็นอวิชชาเสียเรื่อย แต่เชื้อแห่งความเป็นพุทธะน่ะ มันต้องการจะไปให้ถูกทางอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นมันก็จะดิ้นรนไปทางนั้นอยู่เรื่อย ที่จะกำจัดอวิชชาเสีย หรืออวิชชาไม่เกิดเมื่อไรมันจะเดินถูกทางเมื่อนั้น เพราะว่าโดยหลักธรรมชาติแล้วมันจะ อ่า, เป็นไปถูกทาง คือมันจะเป็นไปเพื่อความรอด เพราะฉะนั้นเราจะไม่ดูถูกเต่า เต่าก็ไม่แพ้สัตว์ทั้งปวง ที่มันมีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะอยู่ใน อ่า, จิต ใน ใน ในกระแสแห่งจิตของมัน เหมือนกับเต่าของเราที่นี่แหละ ลองปล่อยสิ มันกลับบ้านถูกทั้งนั้นแหละ มันไม่ ไม่ไปในทิศทางที่ผิด มันจะไปในทางที่มันเป็นความปลอดภัยเสมอ ไปป่าไปดง ไม่เข้าไปในตลาด หรือว่าลูกเต่า อ่า, ที่เขาเล่าให้ฟัง หรือเคยอ่าน อ่า, ในหนังสือก็ตาม แม่เต่าขึ้นไปไข่ไว้บนบก สูงไกล อ่า, ตั้งหลายเส้นนี่ พอมันออกเป็นตัวขึ้นมา มันวิ่งลงน้ำทุกตัว ไม่มีใครสอน สัญชาตญาณอะไรอันหนึ่งที่ถ่ายทอดกันมาอยู่ในจิต จะวิ่งไปทะเลทุกตัว ลงไปในน้ำในทะเลทุกตัวเลย ลูกเต่าเล็กๆ ไม่มีใครสอน ไม่วิ่งขึ้นไปบนภูเขาเลย นี้แสดงว่าธรรมชาติมีอะไรลึกลับอย่างนี้ เอ่อ, เป็น คล้ายๆ กับว่าเป็นเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ คือสติปัญญานี่อยู่เหนือ มันจึงรอด
ผมสังเกตเห็นไอ้ปลานี่ เราแกล้งจับเอามาปล่อยในที่แห้งนี่ มันรู้จักว่าทิศที่ต่ำ อื่อ, ทิศไหนจะมีน้ำน่ะมันรู้จักอย่างน่าประหลาดเหมือนกัน มันจะไม่แถกไปหาไอ้ ไอ้ทางที่ยิ่งแห้งมากขึ้น ทางสูง มันจะแถกไปหาไอ้ทางต่ำได้ด้วยความรู้สึกอะไรอันหนึ่ง คล้ายกับเหมือนที่เขาเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่าเรด้าร์ คือรับกระแสจากธรรมชาติ จากอะไรทุกอย่าง จนมันรู้ว่าทิศไหนลุ่ม ทิศไหนทะเล ฉะนั้นเราไม่ดูถูกสัตว์ เรายอมรับว่าสัตว์มันก็มีการเดินทาง ที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดเหมือนมนุษย์ มันจะวิวัฒนาการเป็นสัตว์ที่ดีขึ้น แล้วเป็นมนุษย์ แล้วก็ไปนิพพานด้วยกันทั้งนั้น จนพูดว่าวัฏฏสงสารแล้วต้องไปจบลงที่นิพพาน ทางวัตถุก็ตาม ทางวิญญาณก็ตาม วัฏฏสงสารจะต้องจบลงที่ สิ่งที่ดีที่สุดที่สัตว์เหล่านั้นควรจะได้ คือนิพพาน ไม่เป็นวัฏฏสงสารตลอดกาล นี่ล่ะคือเกิดมาทำไม ฉะนั้นขอให้สนใจคำว่าเกิดมาทำไมนี้ให้ถูกต้อง ให้ดีขึ้น ดีขึ้นๆ ให้สูงขึ้น สูงขึ้น แล้วมันจะตอบปัญหาต่างๆ ได้ในตัวเอง โดยความรู้สึกของไอ้เชื้อแห่งความเป็นพุทธะ คือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะมีอยู่ในสัตว์ทุกตน แต่มันบานไม่ออก มันเบิกบานไม่ออก มันหุบอยู่ มันหดเหี่ยวอยู่ใน เพราะปัจจัยแวดล้อมมันไม่ดี นี่เราทำให้ อ่า, ปัจจัยแวดล้อมดี เหมือนกับใส่ปุ๋ยดี รดน้ำพรวนดินดี นี้คือการปฏิบัติธรรม มันก็งอกงามเป็นไอ้,พุทธะขึ้นมาได้
นี้การเรียนรู้เรื่องทิศทั้งหลาย ทิศทางต่างๆ นี้เพื่อความเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น จงเป็นอยู่ในลักษณะที่ว่า ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะจะงอกงามขึ้นทุกวันๆๆ ทุกเดือนทุกปี มันก็มีเท่านั้นเอง ตรงกับคำที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ จักเป็นอยู่โดยชอบไซร้ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ตอนท้ายของมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสเมื่อจะปรินิพพานอยู่หยกๆ แล้ว ก็ยังถือว่าเป็นพินัยกรรมของท่าน ถ้าภิกษุเหล่านี้จะเป็นอยู่โดยชอบไซร้ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ และเขาจะบอกว่าไม่ต้องทำอะไรมาก อยู่ให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ มันก็จะรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยให้แก่ต้นไม้ต้นนั้นมันงอกงามเอง ใครไปทำให้มันงอกงามไม่ได้ เป็นอยู่ให้โดยชอบชนิดที่ว่า จะไม่มีพิษร้ายอันตรายอะไรเกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางจิตเอง เอ่อ, ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ มันก็เจริญงอกงามเบิกบาน และเป็นพระอรหันต์ได้ในเวลาอันสั้น เพราะฉะนั้นให้อยู่ให้ถูกต้อง อยู่เฉยๆ ก็ได้แต่อยู่ให้ถูกต้อง คำว่าเฉยๆ นี้มันเป็นความถูกต้อง เพราะฉะนั้นความถูกต้องนี้คงไม่ใช่เฉยๆ หรอก แต่ เอ่อ, อ่า, สำนวนพูดมันคล้ายกับว่าอยู่เฉยๆ อยู่ให้ถูกต้อง ไม่ได้อยู่เฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไร มันอยู่เฉยๆ ในความถูกต้อง มีความถูกต้องอยู่ที่เนื้อที่ตัว นี่กิเลสเกิดไม่ได้ นานเข้าก็หมด นี้ก็รวมอยู่ในคำว่ารู้จักทิศทาง ลืมหูลืมตาสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา ทิศทั้งหลายไม่มืดมัวแก่บุคคลนั้น ทิศทั้งหลายย่อมปรากฏแจ่มแจ้งแก่บุคคลนั้น อยู่โดยชอบอย่างนี้ไซร้ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์
นี้เราพูดกันคราวนี้ อ่า, มุ่งหมายสำหรับผู้ที่ยังจะต้องไปแสดงบทบาทฆราวาส ก็เป็นฆราวาสที่ดี มีทิศทางที่สว่างไสว ชีวิตนี้ก็เป็นการเจริญงอกงามวิวัฒนาการ ไปสู่จุดหมายปลายทางได้ เร็วหรือช้าแล้วแต่สิ่งแวดล้อมเหล่านั้น แล้วแต่เหตุปัจจัยเหล่านั้น ฆราวาสคนหนึ่งจะเป็นพระอรหันต์ก่อนผู้ที่กำลังบวชเป็นพระก็ได้ อย่าเข้าใจผิด ตามเหตุ อ่า, ตามพยานหลักฐานที่มันปรากฏมาแล้วในครั้งพุทธกาล ฆราวาสไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ที่นั่น เดี๋ยวนั้น ส่วนพระอีกหลายองค์หลายร้อยองค์ยังไม่ได้เป็น ยังอยู่กับพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป ยังไม่ได้เป็น นี้เพราะเดินทิศทาง อื่อ, ไม่ ไม่ ไม่ประจวบเหมาะ ไม่เป็นความถูกต้องประจวบเหมาะ ความประจวบเหมาะนี้เขาเรียกว่าสมังคี มรรคสมังคี คือองค์แห่งมรรคแปดประการประจวบเหมาะในลักษณะที่ถูกต้องพอดี เป็นพระอรหันต์ที่นั่นและเดี๋ยวนั้น
ทีนี้ถ้าเป็นฆราวาสอย่างเลวอย่างโง่ อย่างบ้าอย่างปุถุชนคนหนาแล้วมันก็จริงนะ มันก็จมดักดานอยู่ในตมในโคลนนั้นแหละ แต่ถ้าเป็นฆราวาสที่เป็นเป็นพุทธบริษัทที่ดีของพระพุทธเจ้า แล้วมีหวังจะเป็นพระอรหันต์เมื่อไรก็ได้ ความทุกข์กลายเป็นบทเรียน ความยุ่งยากลำบากกลายเป็นบทเรียน บุตรภรรยาสามีอะไรกลายเป็นบทเรียน ทรัพย์สมบัติกลายเป็นบทเรียน เรื่องกินเรื่องกามเรื่องเกียรติกลายเป็นบทเรียน บทเรียนเหล่านี้ส่งเสริมไปนิพพาน เอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็น อ่า, เพราะฉะนั้นบุคคนี้จึงเป็นบุคคลที่มีโชคที่สุด ถ้าใครต้องการเป็นบุคคลที่มีโชคดีที่สุด จงทำอย่างนี้ ไม่ต้องไปดูหมอ ไม่ต้องไปทำพิธีไสยศาสตร์ ถ้าต้องการเป็นคนโชคดีที่สุดแล้วก็สนใจเรื่องสุญญตา อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนาน เอาสุญญตานั้นแหละมาเป็น ไอ้, ฤกษ์เป็นยามเป็นน้ำมนต์ เป็นอะไรต่างๆ ที่จะมาอาบมารด อย่ายึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวกูของกู ก็เป็นฆราวาสที่เยือกเย็นได้ เกิดยึดมั่นมากเท่าไรจะเป็นฆราวาสที่อันธพาล แล้วก็กระทบกระทั่ง จะเบียดเบียนกันและกัน ไม่มีที่สิ้นสุด นี้มีการเป็นอยู่ถูกต้อง ตัวกูของกูไม่เกิดหรือเกิดยาก หรือเกิดแต่น้อย ก็มีโชคดี
ทีนี้เราก็อาศัยไอ้ความไม่เห็นแก่ตัวชนิดนี้แหละ เป็นหลักปฏิบัติที่ถูกต้องต่อทิศทั้งหลายทั้งปวง การที่เราทำอะไรไม่สำเร็จ หรือทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่เป็นธรรม ไม่ประกอบด้วยธรรม นี่ก็เพราะไอ้ตัวกูของกูนี่มันเข้ามาแทรก คนเห็นแก่ตัวมันก็ไม่เห็นแก่ผู้อื่น คนเห็นแก่ตัวกูมันก็จะไม่เห็นแก่บุตรภรรยาด้วยซ้ำไป แต่ถ้าคนใดเกิดเห็นแก่บุตรภรรยามากกว่าตัวเอง คนนั้นมันก็เห็นแก่ตัวกู มันหลีกตัวกูของกูไปไม่พ้น มันก็เห็นแก่ของกูไปไม่พ้น รักลูกเมียมากกว่าตัวเองก็คือเห็นแก่ของกู รักตัวเองมากกว่าลูกเมียก็คือเห็นแก่ตัวกู ไอ้, ไอ้, ไอ้ตัวกูของกูนี้คือ เอ่อ, ฝ้าที่เกิดขึ้นมาปิดบัง กีดกันไอ้ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะที่มีอยู่ในทุกคนนี่ไม่ให้เจริญงอกงาม ให้มันชะงัก ให้มันตัน หรือให้มันเหี่ยวแห้งไป จวนตายอยู่บ่อยๆ หรือตายแล้วตายอีกอยู่บ่อยๆ
นี่เป็นอันว่าเราได้มองดูกันอย่างวงกว้าง ด้วยการสรุปความเรื่องความรู้เกี่ยวกับทิศทั้งปวง แม้สำหรับฆราวาสในลักษณะอย่างนี้ ผมถือว่าอย่างนี้เป็นความรู้ที่จำเป็นสำหรับฆราวาส เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ว่าเรื่องสุญญตาจำเป็นแก่ฆราวาส ส่วนข้อปฏิบัติปลีกย่อยอย่างที่มีในนวโกวาทนั้น ไปท่องเอาเองก็ได้ ไปอ่านเอาเองก็ได้ ผมไม่เสียเวลาด้วย ถ้ามัวเข้าใจได้ง่าย อ่า, สำหรับผู้ที่มีการศึกษาอย่างนี้ ปฏิบัติต่อบิดามารดาอย่างไร แล้วจะได้ผลอย่างไร ปฏิบัติต่อบุตรภรรยาอย่างไร แล้วจะได้ผลอย่างไร แต่ขอเตือนว่าอย่าไปเข้าใจว่า ไปมัวเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้กันอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นความผูกพัน อ่า, อีกอันหนึ่งเกิดขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว ถ้าไปอ่านดูในนวโกวาทแล้วอาจจะเข้าใจผิดว่า เราปฏิบัติต่อบิดารมารดา เพื่อเกิดสิทธิที่จะทวงเอาบุญคุณมา ให้บิดามารดาทำแก่เราอย่างนี้ อื่อ, เราปฏิบัติถูกต่อครูบาอาจารย์ แล้วก็เกิดสิทธิที่จะทวงเอาบุญคุณมา ว่าครูบาอาจารย์จงให้แก่เราอย่างนี้ เป็นการสนองตอบ อย่างนี้แล้วยิ่งไป ไปกันใหญ่เลย
ขอให้เข้าใจว่าเป็นเพียงหน้าที่ อ่า, ที่บิดามารดาจะต้องปฏิบัติต่อบุตรอย่างนี้ แล้วบุตรก็จะต้องปฏิบัติต่อบิดามารดาอย่างนี้ อาจารย์จะปฏิบัติต่อศิษย์อย่างนี้ แล้วศิษย์จะปฏิบัติต่ออาจารย์อย่างนี้ จะทำให้เกิดสิทธิทางหนี้สินขึ้นมา จะน่าหัวเราะ กลายเป็นถอยหลังละ แน่นอนเลย แล้วอย่าลืมว่า อ่า, คนๆ หนึ่งนะมันเป็นได้ทั้งหมดนะ อย่างผมนี่ ก็ยัง อ่า, คิดดูสิจะเป็นอะไรได้บ้าง ผมก็มีบิดามารดา แม้ตายไปแล้วก็ต้องถือว่ามี แล้วผมก็มีบุตร ที่เขาเรียกันว่าบุตรโดยธรรมนี่ มีลูกศิษย์มีอะไรที่เรียกเอาเป็นบุตรโดยธรรม นี้คนๆ หนึ่งเมื่อเป็นฆราวาสนี่ มองไปทางนี้มีลูก มองไปทางนี้มีพ่อแม่ ตัวเองก็เป็นทั้งพ่อแม่ และก็เป็นทั้งลูก เป็นทั้งศิษย์เป็นทั้งอาจารย์ พร้อมกันไปในตัวคนเดียวนั้นแหละ เพราะฉะนั้นมันก็มีหน้าที่ มีภาระขึ้นมาหลายอย่างอย่างนี้ อย่าแยกรับเอาแต่เพียงอย่างเดียว หรือว่าจะไปยืนยันเอาแต่เพียงอย่างเดียว คนทุกคนมีภาระหน้าที่ ครบรอบด้านทุกทิศทุกทาง บางทีเราก็ตั้งอยู่ในสถานะเป็นสมณะและพราหมณ์เหนือลูกเล็กๆ ไม่ใช่เป็นแต่ครูบาอาจารย์อย่างเดียว คอยชักจูงไอ้ลูกเล็กๆ เด็กๆ ให้เดินทางถูกในทางจิตทางวิญญาณ มันก็เป็นหมด มันต้องรับผิดชอบหมด นี้จะไปหลงว่าเป็นอย่างเดียวๆ หรือทีละอย่างๆ อย่างนี้ก็เวียนหัว เพราะฉะนั้นต้องมีอะไรที่ครบถ้วน แล้วก็ให้สิ่งเหล่านั้นส่งเสริมให้เดินไปๆๆ เคลื่อนไปสู่จุดหมายปลายทาง ทิศที่ควรไปนั้นคือนิพพาน
พรหมจรรย์ในพุทธศาสนานี้ คือตัวหนทางและมีเส้นเดียว แล้วก็เป็นทางที่จะปฏิบัติเฉพาะตน คือเดินคนเดียว แล้วก็ไปสู่จุดหมายปลายทางอันเดียวคือนิพพาน มีแต่เรื่องเดียวๆ เรื่อย เพราะฉะนั้นเราจึงถือว่า ไอ้มีบุตรมีภรรยามีสามีนี้ มันเป็นต่างคนต่างเป็นไปตามกรรมของตน แม้เราจะรักใคร่กันอย่างไร จะเป็นคู่ชีวิตจิตใจกันอย่างไร ต่างคนก็ต่างมีกรรมเป็นของตน นั่นแหละเขาเรียกว่าคนเดียว ที่จะต้องเดินไปตามทางเส้นเดียว ตามกรรมของตน เพราะฉะนั้นเรื่องที่ว่าจะเป็น อ่า, คู่ชีวิตจิตใจกันไปทุกชาติทุกอะไรนั้นเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่มีประโยชน์ในทางผูกพันให้เกิดความรักความอะไรที่กลมเกลียวกัน แตกสามัคคีกันยาก นั้นก็เป็นเรื่องทางโลกๆ ไม่ใช่ความจริง ส่วนตามธรรมชาติแล้ว ไอ้, ไอ้, หน่วยหนึ่งมันก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยตามกรรมของหน่วยหนึ่ง จะต้องทำความรอดพ้นให้แก่ตนเองโดยทิศทางถูกต้อง
เพราะฉะนั้นขอสรุปว่าไอ้คำบรรยายเรื่องทิศนี้ มันใช้ได้ตั้งแต่ต่ำที่สุดไปถึงสูงที่สุด แต่ไปทางสายเดียวกัน ใช้ได้ตั้งแต่แก่เด็กๆ เล็กๆ จนถึงคนเฒ่าคนแก่ ทั้งหญิงทั้งชาย และถ้ารู้จักแปลความหมายแล้ว มันใช้กันได้แม้แก่บรรพชิต ธรรมะนี้ถ้าแปลความหมายให้ถูกต้องแล้ว มันก็เลย อ่า, ใช้กันได้ทั้ง ฆราวาสและบรรพชิต อย่าไปเข้าใจว่าธรรมะสำหรับบรรพชิต แปลว่าใช้ไม่ได้ ธรรมะสำหรับฆราวาสบรรพชิตใช้ไม่ได้ ไอ้ตัวธรรมะนั้นไม่มีบรรพชิต ไม่มีฆราวาส ที่เราแบ่งเอาไปใช้ตามสัดตามส่วน ตามมากตามน้อยตามสมควรแก่เพศของตน ธรรมะไม่มีตัวผู้ตัวเมีย อ่า, ไม่มีธรรมะผู้ธรรมะเมีย ธรรมะหญิงธรรมะชาย นี้มันไม่มี มีแต่ว่าระดับใดมันเหมาะแก่ใครก็ คนนั้นก็เอาไปใช้ เรียกว่าเป็นผู้รู้จักทิศทางที่ถูกต้อง
เอาละพอกันทีเวลาหมดแล้ว