แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมปาฏิโมกข์ของเราวันนี้้ต่อเนื่องกับวันที่แล้วมาโดยตรงคือเป็นของคู่กัน ก็ทบทวนความจำเสียหน่อยหนึ่งว่าเป็นเรื่องตัวกูของกูไปตามเคยที่มีหลายแง่หลายมุมที่จะต้องเข้าใจ ที่แล้วมาเราพูดเรื่องได้เรื่องเสียว่าถ้ารู้จักทำให้ดีแล้วไม่มีเสียมีแต่ได้ ที่ว่ารู้จักทำให้ดีนี้หมายความว่ารู้จักจัดการกับสิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกูนั่นเอง ตัวกูของกูในรูปของความเห็นแก่ตัวที่มีทั่วไป ตลอดเวลานั้นอยู่ในรูปของความเห็นแก่ตัวตัวกูของกู ถ้าเราเป็นฝ่ายโง่ตัวกูของกูมันขึ้นมาแล้วก็จะมีแต่เรื่องเสียไม่มีได้ แต่ถ้าเรารู้จักควบคุมหรือเอาชนะตัวกูของกูได้มันก็จะมีแต่ได้ ไม่มีเรื่องเสีย
ทีนี้ขอทบทวนเรื่องมีแต่ได้ไม่มีเสียนี้อีกสักนิดหนึ่งเกี่ยวกับวันก่อนว่าถ้าเราเป็นพระมีความรู้เรื่องความยึดมั่นถือมั่นหรือความไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ตามนี้พอสมควร มันก็รู้วิธีรู้ลู่ทางที่จะทำจิตใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มีความยึดมั่นถือมั่นแต่น้อยหรือไม่มีเลยไปชั่วขณะหนึ่งหรือไม่ให้มีเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในคราวนั้น, คราวนั้น ๆ ก็นับว่าวิเศษมาก
ที่แล้วมาเราก็ยกตัวอย่างเรื่องถูกขโมย เดี๋ยวนี้ขโมยชุมแล้วก็ถูกขโมย ถ้ามีตัวกูของกูมันก็รู้สึกว่าถูกขโมยคือเสีย ๆ ของไปแล้ว ถูกขโมยนี่เราพ่ายแพ้แก่อำนาจของตัวกู รู้สึกว่ามีตัวกูแล้วมีของ ๆ กู แล้วของ ๆ กูถูกขโมยกูก็เสียไป นี่เรามีความรู้สึกเป็นตัวกูของกูจัดมันก็มีเรื่องเสีย แล้วก็มีเรื่องได้อย่างโง่ ๆ ซึ่งเป็นเรื่องเสียด้วยเหมือนกัน ถ้ามีตัวกูของกูรู้สึกว่าถูกขโมยก็เสียใจบ้าง โกรธบ้างหรือเป็นทุกข์นี่ก็เป็นการเสียไป แต่ถ้าเรารู้จักทำจิตใจไปทางตรงกันข้ามก็กลายเป็นเรื่องได้คือได้โอกาสที่จะทดสอบจิตใจของตัวว่ามีอะไรเป็นอย่างไร หรือว่าทำอย่างคนโบราณเขาว่าให้ทานมันไปเลย นี้ถ้ามันขโมยแล้วก็ให้ทานมันไปเลยโดยบริสุทธิ์ใจนี้มันก็ยังเป็นเรื่องได้มากกว่าเรื่องเสีย แต่ตัวกูของกูมันไม่ยอม มันเห็นเป็นเรื่องเสียอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นถ้าเป็นตัวกูแล้วมันก็มีเรื่องเสียอยู่เรื่อย นี่เรียกว่าเสียโดยที่มันไม่ยอมแล้วมันก็เป็นทุกข์เดือดร้อน
ทีนี้ที่ลึกไปกว่านั้นก็หมายความว่าเมื่อตัวกูมันได้อะไรที่ถูกใจของมัน ๆ คิดว่ามันได้ แต่ที่แท้มันเรื่องเสีย พูดอย่างภาษาธรรมะก็เมื่อเรายินดีเกิดความยินดีได้อะไรอย่างใจถูกใจอะไรนี่ก็เรียกว่าตามปกติก็ถือว่าได้ ไอ้ตัวกูมันก็ดีใจ เช่น ได้เงิน ได้ของ ได้อะไรที่ถูกใจมันก็คิดว่าได้มันก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้ามองให้ดีแล้ว ถ้าได้ด้วยจิตใจชนิดนั้นมันเป็นเรื่องเสียคือมันโง่เพราะได้มาทีหนึ่ง มันโง่ทีหนึ่ง พอมีอะไรได้มาทีมันโง่ที ยิ่งได้มากได้ถูกใจมากมันก็ยิ่งโง่มากคือมันไปยึดมั่นถือมั่นมาก โจรขโมยมันได้เงินไป มันก็ดีใจว่ามันได้เงินไป มันได้นะขโมยมันรู้สึกว่าได้ แต่ที่แท้คือมันเสียคือมันเสียความเป็นมนุษย์ เสียไอ้ความดีเสียอะไรไปแต่ที่เสียยิ่งกว่านั้นก็คือว่ามันได้โง่ ได้โง่ว่ากูได้ หรือกูควรจะยินดีในการได้นี้นี่มันได้โง่แม้แต่เพียงได้โง่อย่างเดียวนี้ก็เรียกว่าฉิบหายหมดแล้ว ในทางธรรมะก็ถือว่าฉิบหายหมดได้ขโมยเขาไปหรือขโมยเขาไปได้นี้มันก็ได้ความชั่ว ได้ความเลว ได้ความโง่ ได้สิ่งซึ่งจะทำอันตรายตัวมันเองนั้นมันก็เรื่องเสียทั้งนั้น แต่นั่นตัวกูของกูมันมองเป็นเรื่องได้แต่ที่แท้คือเรื่องเสีย
เพราะฉะนั้นจึงพูดว่าถ้ามีตัวกูของกูแล้วมันมีแต่เรื่องเสีย คือได้ของมาก็เสียไปอย่างหนึ่ง เสียของไปก็เสียไปอีกอย่างหนึ่ง มันเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง ถ้ามีตัวกูของกู ได้ลาภ ได้ยศ ได้เกียรติศักดิ์ ได้รับการแต่งตั้งสมมติสรรเสริญเยินยออย่างนั้นอย่างนี้ก็คิดว่าได้ แต่ที่แท้ถ้ารู้สึกว่าได้นั่นละคือเรื่องเสียคือโง่ไปเป็นเรื่องโง่ไปอย่างดักดาน มันก็เสียความฉลาดไป แล้วก็ได้ความยึดมั่นถือมั่นมาแล้วก็ได้ความทุกข์วิตกกังวลมา ถึงแม้ว่าจะกำลังยินดีตีปีกอะไรอยู่มันก็เป็นเรื่องเสียทั้งนั้นละ ในทางธรรมะเขาถือเป็นเรื่องเสียทั้งนั้นเว้นไว้แต่จะปกติ
เพราะฉะนั้นผมจึงอยากจะพูดตามที่พูดอยู่เสมอว่าถ้าจะได้มันก็ต้องได้ให้เป็น ถ้าได้ไม่เป็น มันก็คือเรื่องเสียแล้วมันจะกลายเป็นทุกข์ ถ้ามันเกิดได้อะไรเข้ามาได้ให้เป็น ตัวได้ด้วยจิตใจที่ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นน่ะก็เรียกว่าได้เป็น มันก็อาจจะได้คือได้เงินได้ของได้อะไรมาเพียงเพื่อความสะดวกในการเป็นอยู่อะไรนี้ ไม่มาทำให้เรายึดมั่นถือมั่น ไม่มาทำให้เราโง่อย่างนี้ก็พอจะเรียกได้ว่าได้ ๆ ลาภสักการะ ได้ปัจจัยอะไรมาก็ตามถ้าไม่มาทำให้จิตใจยึดมั่นถือมั่นก็พอจะเรียกได้ว่าได้ แต่ถ้ามาทำให้โง่ให้ยึดมั่นถือมั่นแล้วก็คือเสียเป็นเรื่องเสีย
เพราะฉะนั้นบทปัจจเวกขณ์เรื่องปัจจัย ๔ นี้ไม่ใช่เรื่องเล่น นี่, ทุกคนเห็นเป็นเรื่องเล่น เป็นเรื่องหญ้าปากคอก ถ้าปัจจเวกขณ์อยู่ตามปัจจเวกขณ์ ๔ นั้นแล้วจะป้องกันได้ถึงที่สุด ป้องกันได้ดีถึงที่สุด ไม่มีเรื่องเสียแต่เรื่องเดียว เพราะฉะนั้นให้เอาใจใส่เรื่องปัจจเวกขณ์ ๔ นี้อยู่เรื่อย ๆ ไป และให้มากขึ้น ๆ อย่าเพียงแต่สวดเฉย ๆ ต้องเอาไว้สำหรับปฏิบัติให้ทันท่วงที เมื่อมันมีการได้มาซึ่งปัจจัย ๔ เหล่านั้นนี่ข้อนี้ทดสอบได้ เขาถวายอาหารเขาถวายสิ่งของ ไอ้ที่ถวาย ๆ อยู่บ่อย ๆ นี้ จิตใจมันเป็นอย่างไร ถ้ามันรู้สึกดีใจ รู้สึกยินดี รู้สึกผิดปกติทางจิตใจแล้วก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องเสียทั้งนั้นละ ได้ความยินดีที่เป็นกิเลสมา ได้ความโง่มา ได้ความยึดมั่นถือมั่นมา สูญเสียความปกติของจิตใจก็คือสูญเสียความเป็นพระ เขาถวายของให้หน่อยหนึ่งสูญเสียความเป็นพระไปเลยก็ต้องระวัง คอยทดสอบจิตใจไว้เสมอว่าจิตใจมันหวั่นไหวอย่างไร เมื่อเห็นเขาเอาของมาวางไว้จะถวาย หรือเมื่อเขาถวายแล้ว หรือว่าถวายไม่เสมอกัน หรืออะไรเหล่านี้ ทดสอบจิตใจดู มันจะเสียมาก หรือเสียน้อยเท่าไรหรือมันไม่เสีย ถ้าเป็นพระจริงมีปัจจเวกขณ์ถูกต้องดีอยู่ก็คงจะไม่เสีย คงจะไม่มีเรื่องเสีย เพราะว่าเมื่อปัจจเวกขณ์อยู่อย่างถูกต้องนั้นตัวกูของกูมันไม่เกิด ต่อเมื่อตัวกูของกูไม่เกิดมันจึงจะไม่เสีย พอตัวกูของกูเกิดมันก็คือเสียทันที แม้แต่เพียงเหลือบเห็นว่านี่เขาจะถวายแน่แล้วโว้ยมันก็ฉิบหายหมดแล้วตัวกูของกูเกิด หรือวันนี้เขาจะเลี้ยงกันอร่อยละเว้ย นี่, มันก็คือฉิบหายหมด ฉะนั้นตัวกูของกูเข้ามามันก็มีแต่เรื่องเสียอย่างนี้ ถึงได้ของมาก็คือเสีย เสียของไปก็คือเสีย ไม่ได้อะไรเลย
เพราะฉะนั้นถ้ามีธรรมะมีความรู้สึกตัวอยู่ตัวกูของกูไม่เกิด นี่, จะมีแต่ได้ไปหมด เสียของไปก็กลับได้อะไรเป็นกำไรมา ได้ของมาก็ได้มาอย่างที่เป็นประโยชน์ ไม่มาทำอันตรายความเป็นสมณะ รักษาจิตใจชนิดที่ปราศจากความรู้สึกเป็นตัวกูของกูไว้เรื่อยให้มันสม่ำเสมอไว้เรื่อย เผื่อมันจะเกิดอะไรได้เข้ามาก็จะให้มันเป็นได้ชนิดที่ได้ไม่มีเสีย ทีนี้, ถ้าสูญเสียสิ่งของไป มันก็จะกลายเป็นยิ่งได้ คือยิ่งได้นี้หมายความว่าได้ธรรมะ ได้ของที่สูงไปกว่าของที่ถูกเสียไป คือได้ความเสียสละ ได้คุณธรรม ได้คุณธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ที่สุดแต่ว่าได้การทดสอบว่ากูเป็นอย่างไร ตัวเราเป็นอย่างไรนี้ก็ยังดียังเป็นการได้ เพราะฉะนั้นเราถือได้เป็นหลักหรือเป็นกฎเลยว่าถ้าไอ้ตัวกูของกูเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วมีแต่เรื่องเสียไม่มีได้ ถ้าตัวกูของกูไม่มีอยู่ในจิตใจจะมีแต่เรื่องได้ทั้งนั้นละไม่มีเรื่องเสีย ท่องเป็นมนต์ไว้ก็ได้ ถ้าตัวกูของกูมีอยู่มีแต่เรื่องเสียเรื่องฉิบหาย ถ้าตัวกูของกูไม่อยู่-ออกไปมีแต่เรื่องได้ทั้งนั้นเลย...ไม่มีเสียเลย
เรื่องที่มันอาจจะเกิดขึ้นเสมอ ๆ นั่นละเป็นบทเรียนโดยเฉพาะกับเรื่องปัจจัย ๔ สำหรับพระก็ไม่มีเรื่องอื่นมากไปกว่าเรื่องปัจจัย๔ พระพุทธเจ้าก็ตรัสยกตัวอย่างแต่เรื่องปัจจัย๔ มันเป็นวัตถุแห่งการได้หรือการเสียเพราะฉะนั้นก็เข้าใจไว้เหมือนกับที่พูดมาแล้ว
แต่เดี๋ยวนี้ผมจะพูดเลยไปกว่านั้นอีกว่าที่มันไม่มีเสียมีแต่ได้หรือว่ามันมีแต่เสียไม่มีได้ในระดับที่ลึกลงไป เช่น ความเจ็บไข้หรือความตาย เราได้รับความเจ็บไข้คือความเจ็บไข้เกิดขึ้นแก่เรา ว่าตรง ๆ อย่างนี้ ทุกขเวทนาเกิดขึ้นแก่เรา ถ้าตัวกูของกูมีอยู่เป็นอย่างไรบ้าง มีแต่เสียฉิบหายหมดเลย ถึงเป็นพระเป็นเณรก็ฉิบหายคือสูญเสียความเป็นพระเป็นเณรหรือสูญเสียธรรมะหมด ความเจ็บไข้เกิดขึ้นก็คือกลัวตาย อันแรกที่สุดก็คือกลัวตายคือเป็นพื้นฐานอันนี้ก็เป็นความโง่ที่ไม่สมแก่ความเป็นสมณะเลย พระเณรกลัวตายยังไม่ใช่พระเณรที่ได้ระดับที่พระพุทธเจ้าต้องการ ก็แปลว่าเราสูญเสียอันนี้ไป สูญเสียหมดเลย สูญเสียอย่างเหลือประมาณอย่างคำนวณไม่ไหว
ทีนี้ไอ้เบ็ดเตล็ดที่มันสูญเสียเป็นทุกข์เป็นร้อนกระฟัดกระเฟียด กระวนกระวาย กลัว ขี้ขลาดอยู่เรื่อย ไม่มีความอดทน ไม่มีขันตี ไม่มีความอดทน ไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่มีความมั่นคงอะไรเลยนี่ก็เสียไปหมด เพราะความเจ็บไข้บางทีก็ร้องครางไปเลยก็ไม่มีเวลาหรือไม่มีสติปัญญาไหนที่จะมาพิจารณาความเจ็บไข้ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดาหรือว่าเป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับ เพราะฉะนั้นความตายมาถึงก็ตายโหง คนเช่นนี้ต้องเรียกว่าตายโหงคือมันไม่อยากตายแล้วความตายก็มาตัดชีวิตของมัน มันก็ต้องเรียกว่าตายโหงอยู่ดี ก็ตายอย่างไม่มีสติสตังตายอย่างไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ กลัวตายตัวสั่นงันงกระริกระรัวอยู่นี้มันก็ต้องตายไปทั้งอย่างนั้น ไม่ต้องถึงกับตกไม้ ตกต้นไม้ตาย ควายขวิดตาย ถ้ามันตายโหงชนิดที่เลวมาก แต่ก็ยังดีกว่าถ้าว่าเป็นพระเป็นเณร แล้วกลัวตาย ๆ ๆ ๆ แล้วก็ต้องตายไปนี้ผมยังว่าเลวกว่าเสียอีก เลวกว่าที่มันตกต้นไม้ตาย ควายขวิดตาย รถทับตายโดยไม่ต้องคิดนึกอะไรมากมันตายโหงทางวัตถุทางร่างกายนั้น มันไม่เสียหายเท่าไร ไม่เสียชื่อเท่าไร ไอ้ตายโหงทางวิญญาณนี้มันเสียชื่อมาก กลัวตายจนไม่มีสติสมปฤดีที่จะเป็นพุทธบริษัทแล้วมันก็ต้องตายช่วยไม่ได้นี้คือการสูญเสียอย่างยิ่ง เพราะเหตุนิดเดียวคือมียึดมั่นเรื่องตัวกูเรื่องของกู
ทีนี้หนทางรอดของมันก็มีอย่างวิธีของพระพุทธเจ้าสอนพิจารณาให้เห็นจนไม่มีความยึดมั่นถือมั่นแล้วก็ตายไปก็เรียกว่าไม่ตาย หรือเท่ากับเป็นพระอรหันต์ในวินาทีสุดท้ายนั้นเลยก็ได้ การจะพิจารณาเรื่องความเจ็บความไข้ ความตาย อยู่เสมอตามบทที่มีให้เรียนให้สอนหรือให้ท่องนี้ มีประโยชน์ขอแต่ว่าอย่าท่องแต่ปากเป็นนกแก้วนกขุนทอง ให้พยายามทำให้มันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ปฏิบัติให้มันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาก็จะเอาชนะได้ คือยิ้มตายได้หรือถึงกับว่าไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวกูที่จะตาย จิตดับไปเลยในแบบที่เรียกว่าดับไม่เหลือ ตกกระไดพลอยโจนเป็นพระอรหันต์ในวินาทีสุดท้ายตายไปเลยก็ได้หมดคือได้สิ่งที่ควรจะได้ที่ไม่ใช่ความยึดมั่นถือมั่น คือมันได้บรรลุนิพพาน ไม่ใช่ได้ด้วยความโลภหรือความยึดมั่นถือมั่น ได้ความหมดแห่งกิเลส ได้ความหมดแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง
นี่ระวังให้ดี ๆ ระวังว่าวันหนึ่งคืนหนึ่งมันจะเต็มไปแต่ไอ้ปัญหาเหล่านี้ เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องงาน เรื่องอะไรก็ตามใจ ที่มันมีอยู่ในประจำวันนี้มันเต็มไปด้วยปัญหาชนิดนี้ ชนิดที่ว่าเราจะได้หรือจะเสีย ถ้าเกิดกูของกูจะมีแต่เรื่องเสีย ถ้าไม่มีตัวกูของกูจะมีแต่เรื่องได้ ถ้าความเจ็บไข้หรือความเสื่อมอะไรมีมาถึงก็ต้อนรับให้กลายเป็นเรื่องได้ สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้คือต้อนรับเป็นบทเรียน ต้อนรับเป็นครูบาอาจารย์มาสอนเราโดยตรงเลย ความทุกข์ก็ดี ความเจ็บไข้ก็ดี ความวิบัติเสื่อมเสียอะไรก็ดีมันมาของมันตามธรรมชาติแต่แล้วมันแยกทางกันเดิน สำหรับคนโง่ที่มีตัวกูของกูนั้นก็อย่างหนึ่ง สำหรับคนฉลาดไม่มีตัวกูของกูนั้นมันกลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ความทุกข์มาให้คนโง่เป็นทุกข์ ความทุกข์มาให้คนโง่มีความทุกข์ แต่ความทุกข์มาให้คนฉลาดรู้จักดับทุกข์และพ้นทุกข์ มันอยู่ที่ความโง่หรือความฉลาดของเรา ไอ้สิ่งนั้นมาตามธรรมชาติ มาเป็นความเจ็บ ความไข้ ก็มีความตายในที่สุด หรือความเสื่อมเสียอะไรต่าง ๆ ก็ล้วนแต่มาตามธรรมชาติและต้องเกิดขึ้นหรือเป็นไปตามธรรมชาติ
ทีนี้เราคนเดียวนะบางเวลามันโง่ บางเวลามันฉลาด คน ๆ เดียวกันนี่บางเวลามันโง่เผลอสติ บางเวลามันฉลาดคือมีสติคุมหรือรักษาสติไว้ได้ ทีนี้เรื่องที่มาอย่างเดียวกันมันเลยเกิดเป็น ๒ ชนิดขึ้นมาตามที่ว่ามันมาเวลาไหน มาเวลาที่เราโง่หรือมาเวลาที่เราฉลาด ถ้าความตายหรือความที่จะต้องตายมันมาเวลาที่เรากำลังโง่แล้วมันก็แย่เลย มันก็ต้องตายไปอย่างโง่ แต่ถ้ามันมาในเวลาที่เราฉลาดคือมีธรรมะมีสติสัมปชัญญะมันก็สลายไปเอง ไอ้ความตายนั้นมันจะสลายไปเองไม่ได้มีแก่เรา แม้แต่ชั่วขณะนั้นก็ยังดี อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสด้วยสำนวนว่า มัจจุราชหาไม่พบ มัจจุราชตามตัวไม่พบ ตามตัวเราไม่พบ ตามตัวเธอไม่พบ เมื่อเธอเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่เสมอมันก็ว่างจากตัวกูของกู ไม่มีอะไร แม้ว่าจะเห็นความว่างชั่วขณะด้วยการบังคับให้พิจารณานี้ก็ยังดีกว่าที่จะไม่มีเสียเลย เห็นความว่างเด็ดขาดถึงที่สุดเป็นพระอรหันต์นั้นมันอย่างหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้เรายังไม่เป็นพระอรหันต์นี้ก็สามารถที่จะพิจารณาหรือบังคับจิตใจให้มองเห็นแต่เรื่องความว่างของว่างอยู่เสมอ ยังไม่ทันเป็นพระอรหันต์แต่บังคับให้เห็นความเป็นของว่างเหมือนที่พระอรหันต์เห็น
ทีนี้ก็บังคับไอ้ความรู้สึกให้เห็นว่างนี้อยู่เรื่อยไป ๆ จนวินาทีสุดท้ายดับจิตไปด้วยการเห็นอย่างนี้มันก็เป็นพระอรหันต์ได้เหมือนกันแต่ไม่มีใครรู้ เขาเรียกว่าเป็นพระอรหันต์พร้อมกับดับจิต อย่างนี้มันได้เหลือเกิน มันได้ในทางที่ควรจะได้ คือในทางที่ถูกธรรม เป็นธรรม ได้ความเป็นพระอรหันต์ด้วยความตายจากความตาย ถ้าความตายยังไม่เข้ามา ความทุกข์ยังไม่เข้ามา มันก็บ้าไปตามเดิม คือบ้าอยู่ตามเดิมหลงใหลอยู่ตามเดิมเหมือนที่กำลังหลงอยู่ พอความทุกข์คือความตายเข้ามา สติสัมปชัญญะต่อสู้ต้อนรับกลับได้เป็นพระอรหันต์ในวินาทีสุดท้ายก็ดูมันก็ออกจะเป็นเคล็ดอยู่มากในการที่จะต้อนรับความตายหรือความทุกข์หรือความอะไรที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ แล้วคุณก็ไปคิดดูเองเถิดว่ามันมีอะไรดีกว่านี้ สติปัญญาของคุณที่จะหาอะไรให้ได้มาหรือหาอะไรให้เกิดขึ้นนั้นมันมีอะไรที่ดีกว่านี้ในการเป็นมนุษย์ เพราะเรื่องอื่นมันก็ไม่ใช่อะไรมันเรื่องบ้า เรื่องได้ เรื่องเสีย ของตัวกูของกู ที่ชาวโลกที่ปุถุชนเขาถือกันว่าได้มากได้วิเศษได้สูงสุดนั้นก็คือเรื่องบ้าที่สุด เรื่องโง่ที่สุด เรื่องหลงใหลที่สุด ต่อเมื่อเอาตัวกูของกูออกไปเสียไม่ให้มีได้ในทำนองนั้นมันจึงได้อีกทำนองหนึ่ง ซึ่งเป็นการได้ที่แท้จริง ถ้าพูด ๆ อย่างภาษาคำนวณ ภาษาวิทยาศาสตร์ อย่างคำนวณก็ต้องเรียกว่าไม่ได้ไม่เสีย ๆ ไม่มีได้ไม่มีเสีย เมื่อไม่มีตัวกูของกูนั้นนะจิตมันไม่รู้สึกยินดียินร้ายนั้นคือมันไม่ได้ไม่เสีย
ทีนี้จิตที่รู้สึกว่าไม่ได้ไม่เสียนั้นคือความดับทุกข์ เพราะฉะนั้นเราจึงถือว่าเป็นการได้อีกแบบหนึ่งคือได้ความไม่มีทุกข์ ได้ความดับทุกข์มา ได้นิพพานมา พูดตามภาษาธรรมดาก็ต้องเรียกว่าได้ ๆ ผลที่ประเสริฐที่สุดคือได้นิพพานที่แท้ ได้นิพพานนั่นคือไม่รู้สึกว่าได้อะไร ไม่รู้สึกว่าเราได้อะไร หรือเราเสียอะไร แต่แล้วผมพูดอย่างภาษาธรรมดาให้เห็นว่า มันมีได้ชนิดที่ถูกที่ควรจะได้ กับ ได้ที่ผิดชนิดที่โง่ที่ไม่ควรจะได้ เมื่อตัวกูของกูมีมันเสียหมด เสียหมดไม่มีได้เลย ถ้าตัวกูของกูไม่มี มีแต่ได้หมด ไม่มีเสียเลย เพราะมันได้ความว่าง ได้สิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือได้ความว่าง ได้ความไม่มีตัวกู ความไม่มีของกู ได้อันนี้คือได้ประเสริฐที่สุด หรือจะเรียกว่าได้ตายเสียก่อนตายก็แล้วแต่จะเรียกได้ทั้งนั้น มันเป็นสำนวนโวหารหลาย ๆ อย่าง
เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเป็นผู้ที่มีแต่ได้ไม่มีเสียก็จงระวังอย่าให้มีตัวกูของกูมันจะได้ไปหมด ได้เงิน ได้ของมาก็เป็นประโยชน์ไม่มาทำให้เราโง่ ไม่มาทำให้เรามีกิเลส เสียเงิน เสียของ ถูกลัก ถูกขโมยไปก็ได้สิ่งที่ดีกว่านั้นอีกคือได้ความฉลาดว่าอะไรเป็นอะไร ได้ความเสียสละ ได้ความไม่ยึดมั่นถือมั่น มันมีแต่ได้ไม่มีเสียอย่างนี้
เพราะฉะนั้นระวังคำพูดที่สับปลับของภาษาพูดก็มีอยู่ตามธรรมดา ถ้าพูดว่าได้ก็พูดอย่างสมมติ พูดอย่างภาษาคนก็เลยต้องพูดว่าได้ให้เป็น ถ้าได้-ได้ให้เป็น ไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้าเราพูดอย่างภาษาไม่สมมติ เราพูดว่าไม่เอา ไม่เป็น ไม่ได้ ไม่รู้สึกว่าได้ ไม่ถือว่าได้ ไม่รู้สึกว่าได้ และไม่เอาอะไร ไม่เป็นอะไรหมด นี่, พูดอย่างภาษาธรรม ภาษาที่ไม่สมมติ แต่แล้วก็วกกลับมาสู่ภาษาคนว่าไอ้ที่ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ได้อะไรเลยนั้นละมันคือได้...คือได้หมด
ทีนี้ถ้าเกิดภาษาเหมือนกับภาษา logic ภาษาตรรกะทางธรรมะในขั้นสูงนี้ว่าไอ้ที่ไม่ได้นี้ คือได้ทั้งหมด ไอ้ที่ว่าได้นั้นคือไม่ได้อะไรเลย ยิ่งจะเอายิ่งจะไม่ได้ มีความคิดว่าจะเอา จะได้ จะเป็น จะยิ่งไม่ได้ คือจะสูญหาย จะฉิบหายหมด พอมีความคิดไม่มีอะไรที่จะต้องเอา ต้องเป็น ไม่เอาอะไรเลยมันกลับได้ทั้งหมด คือได้ความดับทุกข์ทั้งหมด ได้ความตายเสียก่อนตาย หรือว่าได้นิพพาน
นี่มูลเหตุเนื่องมาจากขโมย ถูกขโมย หรือมีขโมยเกิดขึ้นในวัดก็เป็นเหตุให้พูดถึงเรื่องได้เรื่องเสีย สำหรับเรื่องได้เรื่องเสียนั้นเมื่อพูดกันอย่างลึกซึ้งมันมีอยู่อย่างนี้ ให้ทำตนเป็นผู้ที่ไม่รู้จักเสีย ไม่มีเสีย มีแต่ได้ สิ่งที่จะช่วยให้ทำได้ในเรื่องนี้ก็คือความมีตัวกูหรือไม่มีตัวกู ถ้ามีตัวกูก็มีของกู มีของกูก็ต้องมีได้ มีเสีย ถ้าไม่มีของกูมันก็ไม่มีได้ ไม่มีเสีย ก็ได้ความว่างได้นิพพาน เพราะฉะนั้นควรจะขอบใจขโมยเหมือนสมเด็จโตท่านค่อย ๆ เลื่อนของมาไว้ตรงที่ปากร่องให้ขโมยมันเอาไป ๆ ให้มันรู้สึกตัวหลายชิ้น แรก ๆ ก็ว่าขอบใจขโมยแล้วเป็นผู้ที่อยากจะเสียสละ นั่งรอการเสียสละ เหมือนคนกินเหล้า หิวเหล้า เงี่ยนเหล้า ว่าเมื่อไรไอ้คนขายเหล้ามันจะผ่านมาสักที
เรื่องมันตรงกันข้ามหมดอย่างนี้ฉะนั้นเราระวังให้ดี อย่าให้สับสน มันทแยงมุมกันอยู่เสมอ ไม่เคยขนานกันไปเลย ฉะนั้นขอให้นึกทบทวนดูว่าเราได้พูดกันมามากมายหลายสิบเรื่องหรือตั้งร้อยกว่าเรื่องแล้วกระมังเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูมันมีเกี่ยวพันกันอย่างไรบ้าง มันเกี่ยวกันทุกเรื่องที่เรามีอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องสบาย ไม่สบาย เรื่องได้ เรื่องเสีย เรื่องเกลียด เรื่องรัก เรื่องทุกเรื่องนะที่เป็นคู่ ๆ เหล่านั้นมันมาจากสิ่งที่เป็นหัวใจ เป็นใจแท้ แกนกลาง อยู่ที่ตรงนี้คือความยึดถือหรือไม่ยึดถือด้วยความรู้สึกว่าตัวกูของกู
ทีนี้ผมพูดซ้ำนี้ผมมีความหวังอยู่อย่างหนึ่งก็ไม่ใช่อะไรหรอก คือหวังว่าคุณจะค่อย ๆ เข้าใจขึ้นทีละนิด ๆ แล้วผมก็นึกขออภัยที่จะพูดว่าดูถูกคุณทั้งปวงนี้ว่าพูดทีแรก ๆ คุณไม่เข้าใจ ที่พูดครั้งแรก ๆ นู้นคุณไม่เข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้ก็ค่อย ๆ เข้าใจขึ้นทีละนิด ๆ เพราะฉะนั้นจึงพูดซ้ำเรื่อง พูดให้ละเอียดลออยิ่งขึ้นทุกแง่ทุกมุม ทีนี้บางองค์ก็ฟังมาตั้ง ๒-๓ ปีก็หลายสิบครั้งหรือตั้งร้อยกว่าครั้ง เรื่องตัวกูของกูทั้งนั้น ถ้าเป็นผู้ไม่ประมาทก็คงจะเข้าใจขึ้นทีละนิด ๆ แต่ถ้าเป็นผู้ประมาทเสียมันก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน คงจะไม่เข้าใจหรือเห็นเป็นเรื่องซ้ำซากไม่มีอะไรเป็นประโยชน์
ทีนี้ขอให้ทบทวนอยู่เสมอว่า ธรรมะนี้ต้องเรียนจากธรรมชาติ ธรรมชาติสอนดีกว่าพระพุทธเจ้าสอน ธรรมชาติสอนนั้นคือความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นในใจจริง ๆ นั่นละคือธรรมชาตินั่นละ มันจะสอน เมื่อเราได้อะไรมามันจะสอน สอนให้ฉลาด แต่ว่าเราเรียนไม่เป็นมันก็เป็นคนโง่ แล้วเมื่อเราสูญเสียอะไรไปธรรมชาติแท้จริงมันจะสอน ทีนี้เราจะเรียนได้หรือไม่ก็แล้วแต่เราอีก แต่ข้อเท็จจริงมันมีอยู่ตรงที่ว่าต้องเรียนจากธรรมชาติ เรียนจากหนังสือไม่ได้ เรียนจากหนังสือหนังหาตำรับตำรา หรือการพูดจาอย่างที่กำลังพูดอยู่นี้ก็ไม่ได้ ได้แต่บอกให้ไปเรียนเองจากธรรมชาติ เมื่อมีธรรมชาติอะไรเกิดขึ้นในใจ ธรรมชาติที่เป็นความทุกข์ หรือธรรมชาติที่ไม่เป็นความทุกข์ ธรรมชาติที่ทำให้โง่ หรือธรรมชาติที่ทำให้ฉลาด ธรรมชาติที่ทำให้ยินดี ธรรมชาติที่ทำให้ยินร้าย
เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้อะไรมาก็ดี เมื่อเราเสียอะไรไปก็ดี นี้ก็เรียกว่าเป็นธรรมชาติที่แท้จริงเกิดขึ้นในจิตใจก็ต้องเรียนจากสิ่งนี้
ก็เลยถือโอกาสบอกเสียด้วยว่าวัดเรานี้เราจัดขึ้นเพื่อให้คนที่มาเที่ยวที่นี่ได้เรียนธรรมะจากธรรมชาติก็ขอฝากคุณทุก ๆ องค์ไว้ด้วยว่าให้ช่วยเหลือเขาเมื่อเขามาที่วัดนี้ ช่วยเหลือเขาตามที่จะช่วยได้ ให้เขาได้เรียนจากธรรมชาติ ให้รู้วิธีเรียนจากธรรมชาติ อย่าหลบไปเสีย อย่าเสียดายเวลาของตัวเองจนไม่เห็นแก่ผู้อื่น ฉะนั้นถ้าพอมีทางจะพูดจา จะช่วยเหลือเขาได้ ก็ช่วยพูดช่วยจาเรียนจากธรรมชาตินั้นเป็นอันดับหนึ่ง เรียนจากเครื่องมือที่ให้ถึงธรรมชาติ เป็นอันดับสอง เรียนจากการพูดจา สั่งสอน รูปภาพอะไรก็ตามนี้มันเป็นอันดับสอง แต่ว่ามันมีผลอย่างเดียวกันคือว่าถ้าเห็นรูปภาพหรือคำพูด ได้ยินคำพูดแล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมาในใจเท่ากับที่ได้เห็นธรรมชาติมันก็ได้เหมือนกัน ถ้ารูปภาพดีมีศิลปะก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกเป็นธรรมชาติขึ้นมาในใจอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้นสำหรับจะได้รู้ศึกษาจากธรรมชาติได้เหมือนกันนี่ก็ประโยชน์ของศิลปะ คือการเขียน หรือการแสดง หรือการพูดจา หรือการแสดงภาพอะไรก็ตามชนิดที่สร้างความรู้สึกในจิตใจขึ้นมาเหมือนกับที่ธรรมชาติมันมีให้ เช่น เดินเข้ามาในวัด เย็นสบายบอกไม่ถูก ไม่รู้สบายด้วยเหตุอะไรนั่นละคือธรรมชาติมันครอบงำเอาแล้วแสดงให้แล้ว ถ้าว่าเรามีคำพูดหรือรูปภาพ หรือวัตถุอุปกรณ์อย่างอื่นที่ทำให้คนเกิดความสบายใจเช่นนั้นได้ก็ได้เหมือนกัน ก็เรียกว่าเรียนจากธรรมชาติเหมือนกัน ที่เราอ่านหนังสือเป็นกอง ๆ เป็นตู้ ๆ มันก็ยังไม่เกิดความรู้สึกอย่างนี้สักนิดหนึ่งก็เลยเรียกว่ายังไม่ได้อะไร หรือฟังเทศน์ไม่รู้กี่สิบครั้งกี่ร้อยครั้งแล้วมันก็ยังไม่เคยได้ความรู้สึกอันนี้ ไปเดินเสียที่ตรงนั้นนิดหนึ่งยังจะรู้สึกว่าได้อะไรในจิตใจพอเป็นเค้าเงื่อนสำหรับค้นคว้าต่อไปว่าตัณหานี้คืออะไร? อุปาทานนี้คืออะไร? ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทานเป็นอย่างนี้โว้ย นี่มีเท่านี้ ขณะเดียวขณะหนึ่งก็ยังสบายที่สุด ธรรมชาติมันเก่งกว่าได้เปรียบกว่า เพราะมันเป็นธรรมชาติ พอคนเข้ามา มันช่วยลบล้างไอ้ความรู้สึกที่เป็นตัณหาอุปาทานให้หมดสิ้นไปสักขณะหนึ่งคนเลยสบาย ๆ บอกไม่ถูก เราจะช่วยเหลือเขาก็อธิบายทำนองนี้ จะใช้รูปภาพประกอบ ใช้วัตถุสิ่งของประกอบ ก็ต้องอธิบายทำนองนี้ คือให้มีหลักว่าพอมียึดถือเมื่อไรเป็นทุกข์เมื่อนั้น พอว่างจากยึดถือเมื่อไรก็ไม่มีทุกข์เมื่อนั้น เพราะฉะนั้นเขาประดิษฐ์ภาพ ประดิษฐ์ลวดลาย ประดิษฐ์เส้นอะไรต่าง ๆ นี้ก็เพื่อมุ่งหมายว่าจะดึงคนมาเสียจากความยึดถือ ภาพนั้นก็เป็นภาพที่เป็นอุปกรณ์แก่ธรรมะ ทีนี้ภาพที่เขาจะล้วงสตางค์คน จะหลอกสตางค์คน จะทำคนให้โง่ เขาก็ใช้ภาพลามกอนาจาร ดึงคนไปทางที่เป็นกิเลส เป็นทาสของกิเลส คนสมัยนี้ชอบภาพลามกอนาจาร เพราะคนสมัยนี้กำลังลุ่มหลงในเรื่องกิเลสเลยขายดีหรือมีมากกว่า ไอ้ภาพที่ช่วยให้สงบ ให้หยุด ให้สงบ ภาพที่กระตุ้นให้วุ่นวายมันมีมากกว่าภาพที่มันจะช่วยให้สงบฉะนั้นเราจึงเห็นภาพต่าง ๆ ที่เขาโฆษณาหรือเผยแพร่ล้วนแต่เป็นเรื่องที่กระตุ้นให้วุ่นวาย ทีนี้เรามีการต่อต้านด้วยการแสดงแต่ภาพที่จะช่วยให้สงบนี้ เป็นเรื่องโรงหนัง โรงหนังของพระพุทธเจ้าไปเลย
ทีนี้สรุปความแล้วก็พูดได้ว่าไอ้โรงหนังหรือโรงมหรสพหรือโรงอะไรนี้ก็เพื่อจะช่วย จะเป็นเครื่องมือช่วยกำจัดตัวกูของกู ให้ถือว่าเมื่อได้ทำหน้าที่อันนี้แล้วคือการทำบุญ การได้บุญหรือทำบุญที่สุด
ถ้ามีใครมาที่นี่ก็ช่วยกันอธิบายตามที่ทำได้ บางทีเขามา ไม่มีคนสักคนก็มี เขาไปร้องทุกข์ คือถ้าเขาไปที่ต้นไม้ ที่ก้อนหิน ที่สระ ที่ลำธาร ที่อะไรมันมี ถ้ามันมีทางที่จะแนะเขาได้ก็ช่วยแนะให้เขาก็ดีเหมือนกัน เราจะได้ก่อนอีก คือเราจะเข้าใจยิ่งขึ้น ผมว่าให้ไปที่สระนาฬิเกร์สิ ถ้าดูเป็นจะเห็นนิพพาน พูดให้เกิดความสนใจไว้อย่างนี้ไปดูสิสระนาฬิเกร์ที่นั่นวิเศษมาก ถ้าดูเป็นจะเห็นนิพพาน หลายคนเที่ยวเดินดุ่มไปด้วยความตั้งใจว่าจะเห็นนิพพาน จะเห็นอะไรบ้างก็ไม่ทราบ แล้วก็ไม่พบกันอีกอย่างนี้มีมาก แสดงว่าเขาอยากจะเห็นนิพพานอยู่เหมือนกัน ถ้ามีเวลาไปนั่งคุยกันที่ริมสระนั้นสักหลาย ๆ นาทีสักชั่วโมงสองชั่วโมงมีทางที่จะเข้าใจได้ สนุก ง่ายและสนุกเหมือนกัน รูปภาพ น้ำ คืออะไร ต้นมะพร้าว คืออะไร ทำไมมันจึงเรียกว่าทะเลขี้ผึ้งก็ว่ากันไป มันก็เหมือนรูปภาพชนิดหนึ่งเพียงแต่มีชีวิตชีวาหน่อย ถ้าเขาเดินอยู่ที่นี่ด้วยจิตใจอย่างนี้เขามีแต่ได้ไม่มีเสีย เราก็พลอยได้บุญ เพราะว่าช่วยให้เขามีแต่ได้ไม่มีเสีย เดินไปเดินมาอยู่ในวัดในป่า
ทีนี้พวกเจ้าของวัดก็ต้องนึกว่าตัวเองกำลังเป็นอย่างไร กำลังเสียอยู่อย่างแย่หรือเปล่า กำลังกระวนกระวาย กำลังมีจิตใจที่เศร้าหมองหม่นหมองไม่มีปกติอย่างนี้ก็แย่ เจ้าของวัดเจ้าของบ้านเป็นผู้ไม่ได้อะไรเสียอย่างนี้แล้วจะช่วยให้แขกที่มาเยี่ยมได้อะไรอย่างไรได้ รีบปรับปรุงจิตใจตัวเองให้มันเกลี้ยงเกลาทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่างให้มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เรื่อยไป ๆ มันเป็นการรับประกันว่าเจ้าของบ้านนี้มีอะไรดีมิฉะนั้นจะน่าหัว เหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่มาหลอกลวงเขาอยู่ ๒-๓ วันนี้ได้ยินว่ามาที่นี่เหมือนกันมาแสดงว่ามีครรภ์กี่ปีแล้วยังไม่คลอดลูก เขาจะเอาเงิน ๑๒ บาท เขาจะให้ผ้ายันต์ที่ทำให้ผัวหลงเขาว่าอย่างนั้น มีคนเอากันแยะได้เงินแยะ แต่เขาเองเป็นคนที่ผัวไล่หย่ากันไม่มีผัวหาผัวไม่ได้ แต่เขาขายผ้ายันต์ชนิดที่ทำให้ผัวหลง แล้วมีคนซื้อมันน่าขันหรือไม่น่าขันลองคิดดู
ถ้าเราอยู่ที่สวนโมกข์ เป็นเจ้าของสวนโมกข์ด้วยกันทุกคน แล้วก็ไม่มีความเป็นโมกข์คือจิตใจไม่ว่างมันก็เป็นเรื่องน่าหัวเท่ากันกับผู้หญิงคนนั้นนี่เรื่องได้เรื่องเสียมีอยู่อย่างนี้ เอาไปคิดไปนึกกันอยู่บ่อย ๆ ให้เข้าใจแล้วอย่าให้มีเสียให้มีแต่ได้ ในภาษาธรรมตามแบบของพระพุทธเจ้าคือได้ความไม่มีทุกข์อยู่เสมอ ได้ความดับทุกข์อยู่เสมอ ได้เงิน ได้ของ ได้เกียรติ ชนิดที่เอามาให้โง่มากขึ้นมีความทุกข์มากขึ้นนั่นมันน่าละอายไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าแนะนำ เดี๋ยวนี้, พระเณรหนุ่ม ๆ ที่เขาศึกษาเล่าเรียนกันนะเขาคิดว่าเขาได้เหล่านี้ ได้เกียรติ ได้ความรุ่งเรือง ความเจริญก้าวหน้า ได้ยกหูชูหาง มันก็ยิ่งไกล ยิ่งไกล ๆ ๆ ๆ ออกไปจากจุดมุ่งหมายที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้ แล้วผลสุดท้ายเห็นสึกทุกองค์เลย ไอ้พวกที่ชอบได้อย่างนี้ ยิ่งได้มากยิ่งได้มีชื่อเสียงมีเกียรติแล้วก็สึกทุกองค์ ทีนี้เราอยู่อย่างคนไม่ได้ อยู่อย่างคนไม่เอาหรือไม่ได้มันจะอยู่ได้ในความไม่มีทุกข์ ในพรหมจรรย์ อยู่ได้ในพรหมจรรย์ที่ไม่มีความทุกข์ นี่, เจ็ดวันถ้าไม่มีอะไรขัดข้องมันก็พูดกันเสียทีหนึ่งในเรื่องอย่างนี้ เจ็ดวันก็พูดกันเสียทีหนึ่งในเรื่องอย่างนี้มันก็คงจะมีประโยชน์ ผมก็พยายามทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ คือนึกให้เห็นแง่ที่มันจะมีประโยชน์มาพูดให้ฟังจนกว่าจะพูดไม่ได้หรือไม่มีใครฟัง มีอยู่ ๒ อย่างจนกว่าผมจะตายไม่มีแรงพูดหรือว่าจะไม่มีใครฟัง ไม่พูดเรื่องอื่นพูดแต่เรื่องตัวกูของกู เอาละพอกันที