แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านพุทธทาสภิกขุ :เสียงเริ่มต้นไม่ชัดเจน ( นาทีที่ ๐.๐๑-๐.๐๕) การจะเผยแผ่ธรรมะนั้นปัญหาหนึ่ง แล้วปัญหาที่ตัวธรรมะแท้ๆ มันเป็นอย่างไร เรายังเข้าใจไม่ถูกต้องในตัวธรรมะนั้นมันก็อีกปัญหาหนึ่ง มีคนหลายคนเข้าไปถามปัญหาอาตมานั่งอยู่ที่กุฏิเป็นส่วนตัว เขาไม่รู้เวลา มันไม่ ไม่ใช่เวลาที่ควรจะไปถามปัญหาอ่า...ธรรมะอันลึกซึ้งนั้นเพราะมันกำลังหนวกหูอยู่ด้วยเอ่อ...พูดขยายเสียง ขยายเสียงอยู่บ้าง รถราบ้าง อะไรบ้างไอ้เวลาอย่างนี้ทำไมไม่เอามาถาม ปัญหาที่ไปนั่งถามตรงโน้นเวลาที่มันไม่เหมาะสมนั่นทำไมไม่เอามาถามเวลาอย่างนี้ซึ่งมันเหมาะสมที่จะถาม ฉะนั้นถ้าใครมีปัญหาเกี่ยวกับการเผยแผ่ธรรมะก็ดีเอ่อ...มีปัญหาที่ตัวธรรมะโดยตรงนั้นก็ดี ก็ขอให้เอามาถามในเวลานี้ ในเวลาที่อยากจะอุทิศให้แก่พระธรรม เอ่อ...คุณนิตย์ก็ได้ คุณวันก็ได้ เอ่อ...คุณประยูรก็ได้หรือใครอีกก็ได้ ถ้าจะซักฟอกอันนี้ขอให้ขึ้นมาบนนี้เลย มันอยู่ใกล้ๆถาม –ตอบกันได้สะดวก เอา...มีอะไรก็ว่าไป มีปัญหาอย่างไรว่าไป
คุณนิตย์ : อ่า...วันนี้เราโอกาสดีเป็นพิเศษครับ เนื่องในสำคัญคือวันอาสาฬหบูชา เรากำลังทำการบูชาพระธรรมด้วยการสนทนาธรรม ด้วยการปฏิบัติธรรมกันอยู่จนดึกจนดื่น จนสว่าง และเป็นโอกาสดีอันพิเศษ คือได้พระคุณท่านอาจารย์ท่านก็ยังนั่งเป็นประธานในการสนทนาของเราอยู่ ท่านได้นั่งมาเป็นเวลานานแล้วซึ่งในตอนตี ๓ ท่านก็จะเทศน์ให้เราฟังอีก เพราะฉะนั้นโอกาสดีอย่างนี้เราหายาก หาไม่ได้แล้วพวกเราทั้งหลายที่ยังอยู่ก็คงเป็นผู้ที่ตั้งอกตั้งใจบูชาพระธรรมเป็นพิเศษในคืนนี้ ก็ควรจะถือโอกาสนี้ซักซ้อมความเข้าใจในเรื่องของธรรมะให้เป็นที่กระจ่าง ถ้าหากว่าวันก่อนๆมานั้นท่านมีอะไรยังไม่กระจ่างเราก็ต้องซักซ้อมกันเอ่อ...ในคืนวันอาสาฬหะในครั้งพุทธกาลนั้นมีพระพุทธองค์ และพระปัญจวัคคีย์เพียง ๖ ท่านเท่านั้นสนทนาธรรมกันอยู่ แต่ในวันนี้เรามีมากกว่านั้น เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะภูมิใจและใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด เรื่องของธรรมะที่เราจะมาศึกษากันนั้นเราก็ได้ศึกษากันมามากแล้ว ประการสำคัญก็คือเราจะทำให้ธรรมะแพร่หลายออกไปได้อย่างไร อันนี้ก็เป็นเรื่องซึ่งจะต้องควบคู่กันไป เพราะเราไม่ได้มีอยู่คนเดียวในโลกนี้ เราอยู่ร่วมกันเป็นอันมาก ตั้งแต่ในครอบครัว ในหมู่บ้าน ในอำเภอ ในตำบล และในประเทศ เราจะต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอยู่ ถ้าเรามีธรรมะแต่เพียงคนเดียว ส่วนผู้ที่อยู่ร่วมกับเรา ข้างเคียงเรานั้นไม่มีธรรมะเราก็จะหาความสุขอยู่ได้ยาก เพราะว่าผู้ที่ไม่มีธรรมะเหล่านั้นจะมาเป็นอารมณ์อันไม่น่าปรารถนาให้กับเรา แล้วเราก็อาจจะไม่มีสติปัญญาพอที่จะรักษาจิตใจให้คงเป็นปรกติสุขอยู่ได้ ดังนั้นการเผยแผ่ธรรมะจึงเป็นสิ่งซึ่งเราไม่ควรจะละเลย ควรจะหาวิธีกันว่าเราจะเผยแผ่ธรรมะอย่างไร เรื่องเผยแผ่ธรรมะเป็นปัญหาอยู่มิใช่น้อยว่าเราแต่ละคนนั้นสามารถที่จะให้ธรรมะแก่ผู้อื่นได้ด้วยวิธีการใดบ้าง เพราะว่าบางท่านพูดไม่เป็น พูดเผยแพร่ธรรมะ ชักจูงธรรมะหรือสนทนาให้ผู้อื่นสนใจธรรมะไม่เป็น อันนี้ก็เป็นปัญหาอันหนึ่งแต่ปัญหาอันนี้เราก็พอจะผ่านไปได้ เพราะว่าการเผยแพร่ธรรมะนั้นนอกจากการพูดให้ฟังแล้ว ยังทำให้ดูด้วยและเป็นการเผยแพร่ธรรมะที่สำคัญกว่าการพูด เราทุกคนถึงแม้จะพูดธรรมะไม่ได้ แต่การที่ปฏิบัติธรรมะให้ดู แสดงถึงการมีความสุข ความสงบให้ดูนั้นเราแสดงกันได้ เราก็ควรจะแสดงว่าเรามีความสุข หรือความไม่มีทุกข์อย่างไรให้คนทั่วไปดู นั่นก็เป็นการเผยแพร่แล้ว และอีกประการหนึ่งอย่างที่ผมได้กล่าวไปในตอนแรกว่าเราจะต้องร่วมมือกันเอ่อ...ด้วยกำลังต่างๆที่เรามีอยู่ จะเป็นกำลังความรู้ เป็นกำลังปัญญา กำลังความคิด และกำลังทรัพย์ หรือกำลังกาย เราก็ต้องร่วมกันใช้เอ่อ...เผยแพร่ อย่างเรื่องขององค์การต่างๆซึ่งเราตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่ก็มีอยู่มากมายอย่างเช่น พุทธสมาคม ยุวพุทธิกะสมาคม มูลนิธิต่างๆอย่างมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐซึ่งผมผู้หนึ่งได้ร่วมเป็นกรรมการก่อตั้งขึ้นมา มีคุณวิโรจน์ สิริอัฐ( นาที่ ๐๖.๔๘ )เป็นประธาน และมีกรรมการอื่นๆร่วมด้วย ๗ ท่าน เราก็หาวิธีการที่จะเผยแพร่ธรรมะให้กว้างขวางออกไปในหมู่ประชาชนทั้งหลาย ด้วยวิธีการต่างๆมีพระสงฆ์อ่า...หลายท่านได้มาร่วมในการเผยแพร่ธรรมะร่วมกับอ่า...มูลนิธิ ผ. ช. ก .นี้ แต่เราก็มีปัญหาอยู่หลายประการ โดยเฉพาะกำลังคนที่จะเป็นเอ่อ...พนักงานหรือจะเป็นวิทยากรผู้เผยแพร่ และประการสำคัญคือ กำลังทรัพย์เพราะว่าการเผยแพร่นั้นจะต้องใช้วัตถุอุปกรณ์หลายอย่าง เป็นต้นว่าหนังสือ หรืออ่า...เครื่องมือเครื่องใช้ในการฉายภาพสไลด์ หรือในการฉายภาพยนตร์ ถ้าเป็นการเดินทางไปต่างจังหวัดในการไปเผยแพร่หรือไปอบรมครู ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าพาหนะ ซึ่งเรื่องนี้ถ้ารวมๆกันแล้วเราจะต้องใช้พลังทรัพย์มิใช่น้อย ถ้าเราไม่มีอะไรเลยเราก็ทำอะไรได้เหมือนกันแต่น้อย มันไม่คู่ควรหรือไม่เอ่อ...พอกับเวลาซึ่งเราจะต้องรีบเร่งกระทำเพื่อที่จะดึงศีลธรรมกลับมาสู่สังคม อันนี้ก็เป็นปัญหาอันหนึ่งซึ่งเรากำลังคิดกำลังพยายามกันอยู่ว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้พลังเหล่านี้มา ทั้งบุคคลและอ่า...ทรัพย์ ก็ขอฝากเป็นปัญหาให้ท่านทั้งหลายช่วยคิดว่าเราจะทำอย่างไร จะช่วยกันอย่างไรจึงจะให้แก้ปัญหาในการเผยแพร่ธรระนี้ได้
ท่านพุทธทาสภิกขุ : คุณต้องถามให้เป็นข้อ เป็นปัญหาชัดๆลงไปเลย อย่าให้มันไม่รู้เอ่อ...อย่าให้มันพร่าจนไม่รู้ว่าถามอย่างไร
คุณนิตย์ : ปัญหาว่าเราจะหาบุคคลมาร่วมอย่างไร และจะหาทรัพย์มาร่วมอย่างไรครับ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : อืม...นี่เขาถามว่าการเผยแผ่ธรรมะนั้นนะจะหาบุคคลมาร่วมอย่างไร จะหาทุนมาใช้อย่างไร อาตมาอยากจะตอบว่ามีความผิดพลาดอยู่หลายอย่าง ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เข้าใจผิดอย่างต้องมีเครื่องฉายภาพยนตร์นี้ยังเห็นว่าไม่มีเหตุผล ยังเป็นความโง่ เรามีสวนโมกข์เผยแผ่ธรรมะขึ้นมาถึงขนาดที่ว่ารู้จักกันทั่วประเทศก็ไม่เคยอาศัยเครื่องฉายภาพยนตร์เลย อย่างเครื่องฉายภาพยนตร์นี้มันแพงมาก มันจะรู้สึกว่าไม่ค่อยได้ผลคุ้มกัน มันเป็นเรื่องหลอกเด็กๆ ถ้าจะเป็นการเผยแพร่อย่างขายยานั้นก็ได้ เครื่องฉายภาพยนตร์ก็จะมีประโยชน์ แต่ถ้าธรรมะลึกซึ้ง ธรรมะแท้จริงนั้นแล้วดูไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องฉายภาพยนตร์เลยแม้ว่าที่นี่ก็มีฉายอยู่ ก็รู้สึกว่ามันทำไปอย่างหลับตาอย่างนั้นแหละ ไม่มองดูว่าประโยชน์มันจะคุ้มกันหรือไม่ แล้วยังไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ให้ถูกกาลเทศะด้วย นี้ขอเป็นยกตัวอย่างสักอย่างหนึ่งว่าเครื่องใช้บางอย่างนั้นยังใช้ไม่ถูกเรื่อง ไม่ถูกเวลา ไม่ถูกจุด แล้วก็ทำให้เปลืองมากควรจะนึกถึง ควรจะปรับปรุงกันเสียใหม่มันจะประหยัดแก่การใช้เงินได้มาก นี้ดีแต่ว่ามันไม่มีเงินถ้ามีเงินมันคงจะหาซื้อเครื่องมืออย่างอื่นที่แพงยิ่งไปกว่าเครื่องฉายภาพยนตร์ ราคาเป็นแสนเป็นล้านก็ได้ นี้มันไม่มีเงินมันก็ชะงักอยู่ ฉะนั้นขอเอาไปคิดเสียใหม่ว่าไอ้เรื่องที่จะใช้วัตถุอุปกรณ์เรื่องแสง เรื่องเสียง เรื่องสีนี้อย่าให้มันทำไปด้วยความละเมอ เราดูแล้วที่เขาใช้กันอยู่มันมาสำเร็จประโยชน์ แม้แต่ว่าที่มาพูดกันว่าเอ่อ...ดีหรือได้ผลนั้นนะมันก็ว่าเอาเอง ก็อย่างเรื่องเช่น หนังเรื่องครูบ้านนอกนั้นนะเห็นว่าได้ผลไม่คุ้มค่าฟิล์ม ถ้ามันตั้งอกตั้งใจพูดกันเสีย อย่างอื่นมันจะดีกว่า เหมือนอย่างอาตมานี้ไม่มองเอ่อ...ไม่ ไม่ ไม่ค่อยมองเห็นประโยชน์ของอุปกรณ์ทำนองนี้ แต่เห็นความสำคัญที่ว่าจะต้องรู้จริง แล้วก็ต้องพูดให้มันชัดเจนจริงๆมันเผยแผ่ออกไปโดยวิธีของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะไม่ต้องนึกถึงอุปกรณ์ทำนองนี้ เอาละเดี๋ยวนี้เรา เป็นอันว่าสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยพระพุทธเจ้า เราก็น่าจะมีอุปกรณ์บ้างแต่ขอให้ใช้พอดี อย่าให้มันเป็นความละเมอเพ้อฝัน ทำไปอย่างที่ว่ามันไม่ต้องหมดเปลืองมากถึงอย่างนั้น แล้วก็มาร้องอุทรว่าเงินไม่พอใช้ นี่ข้อนี้เรียกว่าเงินหรือทุน นี้ที่เกี่ยวกับบุคคลว่าไม่มีคนพอใช้ ขณะนี้ก็ลองคิดดูเถิดว่ามันอยู่ที่คนๆนั้นแหละมันจะทำได้เท่าไร มันมีความสามารถเท่าไร มันต้องนึกถึงตัวเองก่อน ทำตัวเองให้มันมีความสามารถนะถึงขีดสูงสุดเสียก่อน มันก็จะค่อยเพาะไอ้คนอื่นที่มันจะค่อยงอกงามออกไป ที่สามารถ มันเป็นสติปัญญาที่ลึกซึ้งเอ่อ...ถ้าเรามีไม่พอมันก็คงเพาะขึ้นไม่ได้อ่า...เพาะขึ้นมาก็จะมีแต่ว่ามันบ้าบิ่น หรือมันเหมือนกะอัดจานเสียง อัดเทปอย่างนี้ ทำนองอย่างนี้ มันไม่เป็นมนุษย์ที่มีหัวสมอง ที่เฉลียวฉลาด ทีจะตอบปัญหาต่างๆได้ ฉะนั้นเรื่องบุคคลถ้าต้องการเอ่อ...จะมีให้มากพอแล้วก็ควรจะทำกันให้จริงยิ่งกว่านี้คือ นัดพบปะกัน ประชุมอบรมกันให้มันดีหรือให้มันจริงกว่าที่แล้วๆมา ซึ่งทำพอเป็นพิธี พอให้ได้รายงาน หรือพอให้ได้โฆษณามันยังไม่พอ สรุปความว่า อยากจะพูดว่าการอบรมคนให้มีความสามารถนั้นมันยังไม่ได้ทำจริง ฉะนั้นขอให้เอ่อ...ไปคิดถึงเรื่องทำจริง ให้มีคนที่รู้จริงแล้วก็อบรมคนที่ยังไม่รู้ให้มันจริง เป็นอันว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่ตัน ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ตันหรือตายด้านเอ่อ...เป็นเรื่องที่เราอาจจะทำให้เอ่อ...ทะลุ ให้ลุล่วงไปได้ทั้งในเรื่องที่เรายังขาดคน และเรายังขาดทุน ฉะนั้นคำว่าทุนนี่มันอยู่ที่ความเสียสละของคนมากกว่าอยู่ที่เงิน เอาความเสียสละเป็นทุนเอ่อ...เข้าไว้ก่อน นึกถึงทุนอันนี้ก่อนเอ่อ...คือมันมีคนที่รู้จริง เสียสละจริงนี่เป็นทุนมากกว่าที่จะต้องใช้เงิน อาตมาบอกพระเณรว่าถ้าอยากเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็จงเป็นอยู่ชนิดที่ไม่ต้องใช้เงิน ยิ่งใช้เงินมากเท่าไหร่ยิ่งไม่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้ามากขึ้นเท่านั้น อะไรก็จะใช้เงิน นิดหนึ่งก็จะใช้เงินมันเป็นพระโง่เณรโง่ ถ้ามันนึกไปในทางที่ไม่ต้องใช้เงินนั่นแหละมันจะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เป็นพระฉลาดเป็นเณรฉลาด อะไรนิดหนึ่งก็ต้องใช้เงิน นึกถึงเงินนี่เป็นพระโง่เณรโง่ แล้วห่างไกลจากความที่จะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ทายก ทายิกกาทั้งหลายก็เหมือนกันขอให้ถือหลักอันนี้ ว่ายิ่งใช้เงินแล้วก็ยิ่งไม่ถูกตามหลักของธรรมะ ธรรมะควรจะเป็นไปในลักษณะที่ไม่ต้องใช้เงิน เช่นเดียวกับว่านิพพานนี่ให้เปล่าแหละ เห็นไหมมันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินอะไรกันนักเอ่อ...กลับความคิดความเห็นกันเสียใหม่ ให้ใช้แรงงาน ความเสียสละและสติปัญญาที่เพียงพอ เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าเราใช้เงินมากไปแล้ว ซึ่งอาตมาก็เหมือนกันรู้สึกว่าทำผิดเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน คือไปทำให้มันต้องมีการใช้เงินซึ่งที่แท้มันไม่ต้องใช้ก็ยังมี แล้วมันยังไม่ได้ผลอะไรคุ้มกับที่ใช้เงินออกไป เรียกว่าถ้าต้องรับผิดชอบแล้วก็ต้องถูกตำหนิ หรือพูดอุปมาก็ต้องว่าไอ้พวกยมบาลมันจะเล่นงานเอาในการที่เราใช้เงินมันไม่คุ้มค่า ใช้เงินของประชาชนไม่คุ้มค่า ให้เรานึกถึงพระพุทธเจ้าว่าท่านทำมาอย่างไร ลักษณะการโฆษณาอ่า...ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไร ท่านเผยแพร่เป็นอย่างไร ถ้าจะเอามาปรับกันกับสมัยนี้ซึ่งเป็นยุควัตถุนี่มันจะทำอย่างไร ถ้าเราเห็นว่าไอ้ ไอ้การพึ่งวัตถุมันเป็นเรื่องผิดอ่า...การเป็นทาสของวัตถุเป็นเรื่องผิด ฉะนั้นเราพยายามที่จะไม่ต้องเป็นทาสของวัตถุ คือจะไม่ต้องใช้เงินนั่นเอง ใช้เงินแต่น้อยเท่าไหร่ยิ่งเป็นความถูกต้องเท่านั้น ระบบราชการหรือระบบฝรั่งนั้นอะไรมันก็ใช้เงินมากเกินไป เข้ากันไม่ได้กับระบบของพระพุทธเจ้าซึ่งจะไม่ใช้เงินเลย เอ้า...คุณนิตย์มีปัญหาอย่างไรอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณว่ามาเลยโดยไม่ต้องเกรงใจ
คุณนิตย์ : อ่า...กระผมปิติใจมากเพราะว่าได้หวังมานานแล้วว่าจะได้ฟังความคิดเห็นในเรื่องนี้จากท่านอาจารย์ครับ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : เอ้า...มีปัญหาอะไรว่าไปดีกว่าอย่าโอ้เอ้
คุณนิตย์ : มันมีปัญหาต่อไปว่าเอ่อ...ในเมื่อฝ่ายธรรมะเราไม่พยายามใช้เงินซึ่งมันหมายถึงของที่จะซื้อหาอุปกรณ์ในการเผยแพร่ แต่ฝ่ายอธรรมเขาใช้อยู่ครึกโครม ก็เขาก็เผยแพร่ไป เผยแพร่วัตถุนิยมไปเพื่อจะให้คนหลงใหลนิยมวัตถุ และในที่สุดศีลธรรมมันก็ห่างออกไป ออกไปจากประชาชน
ท่านพุทธทาสภิกขุ : นี่หมายความว่าคุณจะเอาเงินรบเงินใช่ไหม เอาเงินสู้เงินใช่ไหม
คุณนิตย์ : ใช้บ้างครับท่าน
ท่านพุทธทาสภิกขุ : จะใช้บ้างหรือว่าใช้เท่ากัน ใช้เต็มที่
คุณนิตย์ : ถ้ามันมีเต็มที่ก็สู้กันเต็มที่ เพราะเงินมันคล้ายๆเป็นกระสุนนะฮะ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : นี่ถ้าจะเอาธรรมะสู้อธรรมแล้ว ก็ต้องเอาความไม่ใช้เงินนั่นแหละไปสู้ไอ้การที่มันต้องใช้เงิน มันจึงจะสู้กันได้ มันต้องเหนือกว่า มันต้องเก่งกว่า มันจึงจะเอาชนะได้ แล้วแผนการของเราไม่ต้องใช้เงิน เรามันเหนือกว่าอย่างยิ่งอยู่แล้ว ถ้าเรายิ่งต้องไปใช้เงินเดี๋ยวก็เราต้องไปตกเป็นทาสของวัตถุ ไปเป็นไอ้ฝ่ายวัตถุนิยมอีกและมันก็ไม่มีการสู้ มันมีการแพ้หมดเลย ไปคิดดูใหม่เรื่องนี้ว่า ไม่ใช่ว่าเราจะทำเหมือนอย่างรบกัน เหมือนอย่างฝรั่งมันรบกัน มันต้องหาทุนหาเงินมาให้มากกว่าแล้วมันจะรบกันด้วยทุน แต่คือถ้ารบด้วยธรรมแล้ว ก็ต้องรบด้วยธรรม ไอ้ธรรมะนั้นไม่ใช่เงินมันต้องสติปัญญาที่เหนือกว่า แล้วก็จะเอาชนะได้ขอให้เบนไอ้ความคิดในการต่อสู้นี่ไปในทางใหม่ แนวใหม่คือให้เราชนะหรือได้เปรียบตรงที่เราใช้เงินน้อยกว่า หรือไม่ต้องใช้เลย แล้วเราก็คว่ำไอ้พวกที่มันมีเงินมาก ใช้เงินมากล้มลงไปเลยได้ เพราะว่าไอ้วัตถุนิยมนั่นมันใช้เงินมากแล้วก็ถูกละ มันก็เพื่อสนองกิเลส นี้การจะกำจัดกิเลสเราจะไปใช้เงินได้อย่างไร ปัญหานี้ดีมกควรจะถกกันให้แหลกละเอียดเลยสำหรับการที่จะเผยแผ่ธรรมะต่อไป เรื่องเอ่อ...มูลนิธิที่ตั้งขึ้นเพื่อเผยแผ่ธรรมะ แล้วควรจะวินิจฉัยปัญหานี้กันให้ถึงที่สุด และจะไม่ประสบอุปสรรคเรื่องไม่มีคน และเรื่องไม่มีเงิน เอ้า...ไปไหนกันแล้วละ นึกว่านั่งก็จะว่าไป หรือใครจะพูดแทน
คุณประยูร : อ่า...ผมขอ...ขอแทน...ขอขัด
ท่านพุทธทาสภิกขุ : ขอขัดนะ
คุณประยูร : ขอๆขอขัดให้คุณนิตย์หน่อยครับ คือคุณนิตย์ยังเสียดายอยู่นะฮะ ยังเสียดายอยากจะได้ใช้อุปกรณ์ในสำหรับการเผยแพร่ เผยๆแผ่นี่แหละครับ แต่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์บอกว่าอย่าให้ใช้เงินเลย เท่ากับว่าไม่ให้ใช้วัตถุเลย
ท่านพุทธทาสภิกขุ : ไม่ใช่ว่าไม่เลย น้อยที่สุด คือถ้าไม่ใช้ได้ก็ยิ่งดี
คุณประยูร : ทีนี้...
ท่านพุทธทาสภิกขุ : ทีนี้ฟังให้ดีๆ
คุณประยูร : อ่า...ทีนี้คุณนิตย์เป็นห่วงครับ เพราะว่ากลอุบายการสอน หรือเทคนิค หรือหลักของการให้สุดสา...เอ้ย...ไม่ใช่ให้ศึกษา หรือเปลี่ยนนิสัยคนเดี๋ยวนี้ทางฝ่ายวัตถุนะเขาผลิตอุปกรณ์มาสำหรับสอนคนนี่แยะครับ มากอย่างคุณนิตย์ว่านี่จนทำให้คนนี่หลงเพ้อตามโน่นตามนี่ไปแยะ แต่คุณนิตย์ไม่ใช่อ่า...อยากจะได้บ้าง แต่ว่าไม่ใช่จะว่าไปปิดวัตถุ แต่ผมเข้าใจความหมายของคุณนิตย์นะ อยากจะเอาวัตถุนั้นนะมาสำหรับเป็นเครื่องมือ สำหรับเอามาเป็นเครื่องมือสำหรับไปต่อต้านฝ่ายโน้นเท่านั้นเองครับ ไม่ใช่ตั้งใจว่าจะอ่า...ต้องการจะมี...
ท่านพุทธทาสภิกขุ : เอาละ...ตอบถูกแล้ว แต่ขอบอกว่าไอ้พวกนั้นมันใช้เงินเท่าไร เราอย่าคิดว่าเราจะต้องใช้เงินเท่านั้นจึงจะเอามันลง เรามือเปล่าก็ได้เอาพวกนั้นลง...... ( นาทีที่ ๒๓.๓๕ ) นี่ฝ่ายของธรรมะจะต้องเป็นอย่างนี้ ฝ่ายพวกที่เอ่อ...เป็นวัตถุนิยมส่งเสริมกิเลสมันก็มีเงินมาก มันก็โฆษณากิจการของเขาด้วยการใช้เงินมากเหมือนเรื่องหนัง เรื่องละครนั่นนะ มันดำๆเนินไปได้เพราะการโฆษณาที่ใช้เงินมากๆทั้งนั้น ฉะนั้นเราไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินเท่านั้นเพื่อจะต่อต้านพวกนั้น เราใช้กำลังของธรรมะต่อต้านกำลังของเงิน ให้น้อยไปในทางที่จะไม่ต้องใช้เงิน จะได้มาใช้กำลังของธรรมะให้มากก็มีหวังเหมือนกันนั่นนะ ถ้าไปคิดจะหาว่าเงินที่เท่ากัน มาฟัดกันด้วยเงินนี่เราแหละจะแหลกก่อน มันรู้ว่าทำไม่ได้ผล เอาละถ้ายังไม่...ถ้ายังไม่เห็นด้วย ยังไม่เข้าใจก็เอาไปสังเกตดู ระบบราชการนี่ใช้เงินอย่างเอามาละลายน้ำ มาละลายแม่น้ำ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ถึงระบบของพวกฝรั่งก็เถอะ มันก็ใช้เงินอย่างตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพราะว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องทางจิตใจ นี่มันเป็นเรื่องทางวัตถุมันก็ใช้เงิน ทีนี้เราจะไปต่อต้านพวกนี้ด้วยการใช้เงินเท่ากันนี่มันอย่าไปหวังเลย เอาละเป็นอันว่าจะสร้างอุปกรณ์ เครื่องสั่งสอนให้สะดวก ให้รวดเร็วมันก็ควรนะ อย่างว่าเราจะต้องมีเงินซื้อกระดาษ พิมพ์หนังสือแจกออกไปให้เพียงพอ นี่มันก็ต้องใช้เงิน ไม่ใช่ว่าไม่ใช้ แต่มันไม่มากมายอะไรนัก เราใช้โฆษณาโดยวิธีที่ไม่ต้องใช้เงินก็ยังมี มีทางที่จะทำได้เอ่อ...ขอให้ทำโดยวิธีนั้นให้สุดเหวี่ยงเสียก่อนแล้วทำมา...ทำไม่ค่อย...ทำไม่ได้ ทำไม่ไหวจึงจะใช้เงินสักบาทหนึ่ง สองบาท สามบาท ห้าบาทไปตามลำดับนะ อย่าไปคิดถึงชนิดที่ว่าเราจะเอากันอย่างทุ่มเท มันจะเป็นเรื่องของอวิชชามากกว่า อาตมาคอยห้ามล้อเรื่องการใช้เงิน แม้จะซื้อของใช้ ของทำงานก่อสร้างอะไรก็ตามคอยระมัดระวังที่จะให้ใช้เงินแต่น้อยที่สุด เท่าที่มันจะน้อยได้ นี้จึงจะถือว่าเป็นความคิดที่มีความคิด ที่มันฉลาด ที่ผู้อื่นเขาจะเอาเป็นตัวอย่างได้ พระพุทธเจ้าเอ่อ...ท่านเผยแผ่พระธรรมได้โดยไม่ต้องใช้กระดาษสักแผ่นเดียวหนึ่ง ไม่ต้องพิมพ์หนังสือแม้แต่สักเล่มหนึ่ง มันก็ออกไปได้ มีคนพูดว่าพระในศาสนาคริสเตียนมันก็มีแต่หมวกกับไม้เท้านะ ก็เผยแผ่ธรรมะได้มากกว่าในยุคในสมัยที่มีโรงพิมพ์ มีกระดาษ มีอุปกรณ์วิทยุ วิทย์อะไรต่างๆ ไอ้เครื่องมือเหล่านี้มันจะเป็นเครื่องพ่นน้ำลายเสียมากกว่า ท่านไปด้วยมือเปล่า ตีนเปล่านะมันสอนธรรมะที่แท้จริง อยู่ที่เนื้อที่ตัว สาวกของพระพุทธเจ้าก็จะเหมือนกันเมื่อท่านมีแต่จีวรกับบาตรนะ ท่านไปสอนธรรมะที่เป็นธรรมะแท้ พอมาถึงสมัยนี้ใช้เครื่องมือ ใช้กระดาษ ใช้เครื่องเอ่อ...อุปกรณ์ ใช้รถยนต์ ใช้อะไรต่างๆมันก็ไม่ดีไปกว่า ฉะนั้นเราก็คิดว่าโอ้ย...มันมีผลมากที่จริงมันก็ไม่ได้มาก มันไม่ได้ทำให้คนได้รับธรรมะที่เป็นธรรมะแท้จริง ฉะนั้นยับยั้งกันไว้บ้าง จะใช้อุปกรณ์เหล่านี้ก็ให้มันได้ผลคุ้มค่าเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เหล่านี้...... ( นาทีที่๒๘.๓๖ ) จะวิเศษประเสริฐเหมือนครั้งกระโน้น ฉะนั้นใช้อย่างประหยัดเท่าที่จำเป็นใช้การโฆษณาด้วยหนังสือ ด้วยการพิมพ์โฆษณานี่ก็ใช้ทุนอย่างที่ประหยัด ที่จำ...พอที่จำเป็น ที่ประหยัดที่สุดแล้วจะมาเผยแพร่ด้วย เผยแพร่ด้วยแสง ด้วยเสียง ด้วยอะไรต่างๆนี้ด้วย แล้วก็ยิ่งระวัง ระมัดระวังมากให้มันพิสูจน์ได้ว่ามันจำเป็นแล้วมันได้ผลคุ้มค่า คุณประยูรว่าอย่างไรว่าอีก ฟังถูกหรือยังว่าเราไม่ใช่พูดว่าอ่า...ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่พูดว่าให้พยายามทำที่จะไม่ใช้เงิน ใช้ความอดทน ใช้สติปัญญา
คุณประยูร : ตอนนี้ๆเข้าใจแล้วครับ แต่สงสัยคุณวันมีปัญหาอะไรสักหน่อย
ท่านพุทธทาสภิกขุ : เอ้า...คุณวันคัดๆค้านอย่างไรก็ว่าไป
คุณวัน : ผมไม่คัดค้านครับ ผมสนับสนุนคำพูดของท่านอาจารย์อย่างเต็มที่เลยตัวผมก็เห็นอย่างนั้น แต่เป็นปัญหาในการเผยแผ่ของผมนี่ ผมคิดว่าวามรู้สึกของผมนะฮะที่ไม่ได้ผลนะ เหตุผลใหญ่คือตัวอย่างที่ดี นี่ผมเรียนท่านอาจารย์ตรงๆเลยผมนี่มาสวนโมกข์ตั้งแต่ ๑๔ จนถึงเวลานี้ก็รู้สึกว่ามัน ๒๐ กว่าปี ดูเหมือนผมไม่ค่อยได้ว่างเว้นนอกจากปีที่ถูกขังปีเดียว อย่างน้อยก็ปีละ ๒, ๓ ครั้ง
ท่านพุทธทาสภิกขุ : คุณมาตั้ง ๒๐ ปีนั้นนะ
คุณวัน : ครับ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : ดูเหมือนว่าไม่กี่วันนี่เอง
คุณวัน : ครับไม่กี่วัน ผมก็นึกว่าไม่กี่วัน...
ท่านพุทธทาสภิกขุ : แต่ตั้ง ๒๐ ปี
คุณวัน : แต่ว่าผมรู้จักท่านอาจารย์มาไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปี เพราะก่อนผมจะมาสวนโมกข์นี่ผมอ่านข้อเขียนของท่านอาจารย์อยู่ไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี เลื่อมใส ศรัทธาผมจึงมาและตอน ตอนผมมาผมก็รู้สึกว่าผมก็เลิกบุหรี่ เลิกเหล้าได้เสร็จ เลิกมึนเมา ( นาทีที่ ๓๑.๐๗ ) ไม่อย่างนั้นผมก็ยังไม่กล้ามา มันยังเขลา เพราะว่าเข้ามาไม่ได้เลยเห็นสูบบุหรี่ท่านๆดุเอาทีเดียว ผมก็ต้องเลิกบุหรี่เสร็จผมจึงจะมา ไอ้เหล้านั่นมันๆถ้าว่าจะเล่นตลกกันบ้างก็ได้ ในสมัยนั้น...... ( นาทีที่ ๓๑.๒๕ ) แกบอกว่าไป ไป ไป ไป ไปโน่นมันไม่เป็นไร ผมบอกว่าไม่ได้ ไม่ได้มาวัดนี่จะได้อย่างไง แกบอกอื้อ...ผมอาจารย์ท่านยกเว้น บอกว่าอาจารย์ท่านยกเว้น ผมมีปัญ...ไม่ใช่มีปัญหาครับ ผมมองไม่เห็น การเผยแผ่ศาสนาของเรานะไม่สามารถที่จะลุล่วงไปได้ จนรู้สึกว่า ผมรู้สึกว่าผมพูดง่ายๆว่าภาษาใหม่หมายความว่ามันเซ็ง มันก็ผมก็เหนื่อยใจ ผมว่าจุดใหญ่ทีเดียวนะครับ อาจารย์ครับจุดใหญ่ทีเดียวคือบรรพชิตของเรานี่แหละที่ต้องสะสาง ที่สังคายนาเพราะว่าบรรพชิตของเราเป็นตัวๆอย่างที่ดี เมื่อเราไม่สามารถสะสาง ไม่สามารถอบรมบรรพชิตของเราแล้วเราจะไปสะ...เอ่อ...ไปอบรมชาวบ้านได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องที่ผมติดใจอยู่นานแล้ว ผมรู้สึกว่าผมมาในสมัยนั้นมันร่มรื่นสวนโมกข์ พร้อมเพรียง แต่เวลานี้รู้สึกว่าไม่ทราบว่าพระมันเปลี่ยนใหม่ไปมากหรืออย่างไร บางองค์รู้สึกว่าเป็นอาจารย์เสียแล้ว เรียนๆนี่เหมือนว่า อย่าเรียนอย่างกับว่า “ มัวบ้าดังเรียนกระทั่งตายเปล่าไม่เข้ารอย ” นี่ผมเห็นเป็นอาจารย์หลายองค์แล้วรู้สึกว่าโอ้...เวลาอธิบายธรรมะเก่งจริงๆครับ ขอโทษนะครับท่านอาจารย์ครับ แต่ไม่ทราบว่าได้ไปปฏิบัติบ้างหรือเปล่า ผมก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกันมาเรียนอย่างปรัชญา “ มัวบ้าดังเรียนกระทั่งตายเปล่าไม่เข้ารอย เรียนธรรมะต้องเรียนอย่างธรรมะ เรียนวันละทุกข์ใหญ่ไม่ท้อถอย เรียนที่ทุกข์ที่มีจริงยิ่งเข้ารอย ไม่เลื่อนลอยมองเห็นตามเป็นจริง ”มันไม่ทำตามอาจารย์สอนนี่ครับ จะให้ทำอย่างไร ผมอยู่นอกวัดผมยังทำตามเลย นี่อยู่วัดไม่ทำตามนี่ไม่แย่หรือ ศรัทธาอันที่สองที่ควรอบรมที่สุด คือพวกอาจารย์ เราไปอบรมเยาวชน อบรมเขามันได้ประโยชน์อะไรละครับท่านอาจารย์ ไม่ๆอบรมอาจารย์ อาจารย์นี่ตัวสำคัญ คือเป็นตัวอย่าง ผมยังจำได้ ผมสมัยผมเป็นนักเรียนผมก็ดูครูผมนะ เวลาผมเล่นการพนันแกตี ผมก็เผลอๆผมก็ด่าเหมือนกันแหละแต่ไม่ใช่ด่าต่อหน้านะ ลับหลังนะแกเผลอๆยังสูบบุหรี่ก็สูบ เล่นการพนันก็เล่น ปิดประตูเล่น เราไปมองดูไปขโมยดู นี่ นี่ นี่ตัวอย่างนี่ประสบการณ์ผมตอนเด็ก ถ้าหากครูคนไหนที่ผมนับถือ จนเวลานี้ผมยังนับถือเป็นหัวหน้าลูกเสือ จนนับถือจนทุกวัน โอ้ย...แกสง่าผ่าเผย ปฏิบัติตัวดี นับถือจนแกตาย ที่แกตายไม่ใช่ตายเพราะอะไรแกแก่ นี่ผมอายุป่านนี้แล้วไม่...ถ้ายังไม่ตายนี่...นี่สองสถาบันนี่เรายังไม่สามารถจะทำได้อย่างดื่มด่ำ สถาบันที่...ข้อ...บุคคลที่สามนะ หัวหน้าครอบครัว อบรมลูกมันอย่างไรนะพ่อมันไม่พามาอบรม มันนึกถึง นึกถึงสมัยพุทธกาลนะที่พระองค์ทรงสั่งสอนในสมัยนั้น ที่เรามองดูให้ซึ้ง มองดูให้ดีส่วนมากพระองค์ก็ทรงสอนผู้ใหญ่กันทั้งนั้น พระองค์ไม่ได้ ไม่ได้ ได้ๆสอนเด็กๆนี่ นี่ผู้ใหญ่ทำไมไม่เข้าใจ ทำไมตัวอย่างเด็กไปสอน มันไปเห็นพ่อมันทำตัวอย่างอย่างนั้น นี่มันทำอย่างไรในครอบครัวของมัน นี่ผมรู้สึกว่าอย่างนั้นครับ แล้วทีนี้ก็ผมพูดเบ็ดเตล็ดบ้างนะฮะ พอดีคุณหมอยูรอยากพูดถึงเรื่องความพอดี ไปตำหนิเขาอย่างไรที่เขาไม่รู้จักพอดี คนที่จักรู้จักพอดีนะ คนนั้นต้องเข้าใจธรรมะลึกซึ้งนะ ไม่ใช่เข้าใจธรรมะธรรมดา แต่ความหมายลึกซึ้งนี่ผมไม่ได้หมายความว่าเปรียญเก้าประโยค หรือว่าจะเป็นนักธรรมอะไร ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่คนนั้นนะรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักประมาณตนแสดงว่าเป็นคนเข้าใจธรรมะ จึงจะๆรู้จักพอดี ๒๔ ฉากของชีวิตของท่านอาจารย์ว่า ความเอ๋ยความขวนขวาย กระทั่งตายแม้นหยุด...... ( นาทีที่ ๓๕.๕๐ ) ไหนอยู่ไหนขีดเพียงพอขอดูที อ้อ...ไม่มีดอกหรือเจ้าเราเข้าใจ บอกตรงๆอย่างนี้มีทางช่วยให้สดสวยเย็นฉ่ำกว่าน้ำไหล คือขวนขวายสัจจะธรรมดีล้ำใน มาใส่ใจบ้างสิเจ้าไม่เศร้าเอย มันไม่เข้าใจอย่าง มันไม่เข้าใจดั่งสัจจะธรรมนี้จะพอดี พอดีได้อย่างไร ขอโทษฮะครู ครูอุบล ( นาทีที่ ๓๖.๒๓ ) เมื่อกี้พูดถึงจิตว่าง ผมนะพวกหลานๆนะมันเป็นพวก ก. ศ. บ. ปริญญาตรี ปริญญาโทกันก็หลายคนมาถามผมเรื่องจิตว่างบ่อยเหมือนกัน ที่ถามว่าจิตว่างอย่างไร เวลาอ่านนะเขาอ่านสักเล่มหนึ่ง ส่วนมากนะเอาหนังสือให้อ่าน อ่านสักเล่มหนึ่งเล่มอื่นไม่อ่าน เดี๋ยวสงสัยอยู่เดี๋ยวมันจะติดต่อ ความจริงท่านอาจารย์ท่านก็บอกอยู่ชัดเจนแล้วว่างจากกิเลสตัณหามันจึงจะจิตว่าง คือทำอะไรตอนไม่มีตัวตน เราทำโดยบริสุทธิ์ใจ ทำโดยๆถูกต้อง ทำโดยอย่างมีธรรมะ ไอ้อย่างนั้นนะเป็นจิตว่าง แล้วไอ้ที่รู้สึกว่า ขอโทษนะครับ ครูฮะขอโทษนะฮะ มันมีบางอย่างมันตรงกัน คือว่าจิตใจมันเป็นอย่างไรจึงกลับไปกลับมา เพราะเหตุอะไร เราต้องยอมรับก็คือว่าจิตใจเราไม่เข้มแข็งพอ ผมรู้ตัวผมทำไมผมจะไม่รู้ ความทุกข์มันมาแต่ว่าผมนะ ผมอุปมาอุปไมยอย่างนี้ดีกว่าครับ ผมชอบอุปมาอุปไมยจะถูกตรงไม่ถูกไม่รู้ ผมนะไม่สามารถ พูดถึงเรื่องความทุกข์นะฮะ แต่เปรียบเป็นวัตถุ ผมไม่สามารถทำให้ฝุ่นละอองที่มันปลิวอยู่มาทบกับกายผม แต่ผมสามารถว่าเมื่อมันทบกายผมแล้วผมตัดทิ้งเร็วที่สุด หมายความผมทำตัวผมให้ทุกข์น้อยที่สุด แต่ผมไม่สามารถที่ทำให้มันไม่ ไม่ ไม่ได้รับทุกข์ พอมันกระเทือนใจความไม่พอใจมันบังเกิดขึ้น พอมันพอใจความปิติมันบังเกิดขึ้น ไอ้ตอนนั้นสิ ฝุ่นนั้นสิเสียท่า มันกูนานหน่อย มันดีใจมันชอบใจนานหน่อย แต่ที่ไม่พอใจนั้นผมปัดเร็วที่สุด แต่นี่ทุกข์ที่มองเห็นกับทุกข์ที่มองไม่เห็น ลงผลสุดท้ายมันก็อันตรายเหมือนกันนะครับ อันตรายเหมือนกัน แล้วผมยังรู้สึกอยู่ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ที่ผมดีใจไอ้นั่นนะเป็นปัญหาปลีกย่อย ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ผมพูดว่าการเผยแผ่นะท่านอาจารย์มีความเห็นว่าอย่างไรครับ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : ก็พูดกันแล้วเมื่อตะกี้ว่าการเผยแผ่ถ้าเกี่ยวกับการใช้เงินแล้วขอพูดเอาสักคำสั้นๆว่าอย่าบุก คุณอย่าบุกเพื่อจะใช้เงินให้มันมากๆ นี่ถ้าเกี่ยวกับบุคคลคุณอย่าไปเชิด คุณอย่าไปเชิดคนที่จะเอาไปเผยแผ่แต่ให้เขาเป็นครูสั่งสอนอย่าไปเชิด ถ้าเกี่ยวกับเงินนี่อย่าไปบุก เกี่ยวกับผู้ๆคนก็อย่าไปเชิด แล้วมันก็จะถูกต้อง ไม่ต้องใช้เงินมากแล้วก็ได้ผลดี แล้วคนนั้นมันก็จะทำหน้าที่ที่ดีได้ อย่าไปเชิดนะถ้าจะต้องการหาคนทำหน้าที่เผยแผ่แล้วอย่าไปเชิดมันเข้า มันจะล้มละลายเร็ว ใช้เงินเหมือนกันนะถ้าไปบุกก็จะฉิบหายเร็ว แล้วงานก็จะล้มด้วยเอ่อ...นี่สรุปอย่างนี้เรื่องคน เรื่องเงิน เอ้าพูดเรื่องอื่นต่อ เอ้ามีปัญหาอะไรใครจะมาถามก็ได้ แต่ถามปัญหาเกี่ยวกับธุรการการเผยแผ่ให้เสร็จเสียก่อน แล้วค่อยถามปัญหาธรรมะโดยตรง ตัวธรรมะ นี่ๆนี่ปัญหาวิธีปฏิบัติงานเขาเรียกว่าธุรการเกี่ยวกับการเผยแผ่ คุณวันนะสามารถมีการเผยแผ่ทางสถานีวิทยุโดยไม่ต้องใช้เงิน หรือคุณวันใช้เงินเท่าไหร่ที่ใช้สถานีวิทยุนะ หรือเขาให้ฟรี
คุณวัน : อ่า...พอดีสมัยนั้นครับ มันผมจะเล่าเรื่องเดิม มันพอดีพันเอกสาลี่นี่ครับท่านเป็นผู้การ แต่โดยจัดการในสมัยนั้นนะพอเขาเอา เอาๆเทปที่นี่นะ เอาเทปที่จากกรุงเทพฯไป ตัวกู ของกูบ้าง อะไรบ้างเอาไปออก ทีนี้มันขาดๆหายๆบางครั้งก็มี มีเขาก็มาขอโทษกันบ่อย แล้วก็เขาต้องการโฆษณาสถานีของเขา ก็มีเวลาอยู่ครึ่งชั่วโมง แต่พอดีโชคดีที่ผมก็เจอเขามาที่บ้านหมอสง่า นี่เขามากันบ่อยเพราะว่าอ่า...ท่านพันเอกสาลี่นี่มอบเรื่องการเงินที่ไม่มีการบกพร่องอะไรที่กำลังไปก่อสร้างในเวลานั้นนะก็ให้คุณหมอสง่าทดลอง ผมก็พูดทีเล่นๆทีจริงบอกว่าเทปผมมีนะ จะให้ผมไปเอาออกอากาศให้ก็ได้ ทางโน้นเขาบอกว่า อื้ม...เขาไม่มีงบประมาณให้นะ อาจารย์ครับไม่ใช่ว่าเดี๋ยวจะไปเสียเงินนะ เขาบอกเขาเสียดายเขาไม่มีงบประมาณให้ ผมบอกว่าผมนี่ไม่ใช่ต้องการจะเอาเงินนะ ผมกลัว ผมก็กลัวเขาจะเอาเงินเหมือนกันนะ เอาเงินมากผมก็ไม่มีนะเอาเงิน ผลสุดท้ายไม่ต้องเสียครับที่ไปออกอากาศจนเวลานี้นะ ก็เหลือเป็นๆทางวิชาการแต่พอดีเป็นกุศลของคุณสาลี่ด้วยครับ ก็จนพูดอ่า...ช่วยจัดการตั้งแต่เป็นร้อยโทอยู่จนเวลานี้เป็นพันตรียังไม่ได้ย้ายลูกศิษย์ของแกเวลานี้ก็รายการนั้นยังมีอยู่จนตลอดเวลานี้ครับ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : นี่เป็นสิ่งที่ต้องเอามาสนใจ นี่เขาเผยแผ่อ่า...ธรรมะอยู่ได้ทางวิทยุโดยไม่ต้องใช้เงินเลย นั่นควรจะเอามาสนใจ มาพินิจพิจารณา แล้วบางคนทำไม่ได้ ถ้าจะไปทำต้องใช้เงินมาก ต้องตะโกนหาเงินมากอย่างนี้มัน มัน มันเดินกันคนละทาง ฉะนั้นขอยืนยันว่าไอ้เรื่องต้องใช้เงิน หรือถ้าต้องใช้เงินมากนี่ผิด เป็นเรื่องผิดนะ ที่ไม่ต้องเอ่อ...ที่ใช้แต่น้อยหรือไม่ต้องใช้เลยนี่จะเป็นเรื่องถูกเอ่อ...เหมาะสมกับการเผยแผ่ธรรมะที่ต้องการให้มนุษย์อยู่เหนือเงิน เป็นนายของเงินไม่ใช่เป็นทาสของเงิน ถ้าเราต้องไปง้อฆราวาสหาเงิน ๕ล้าน ๑๐ล้านมาสร้างโบสถ์แล้วมันจะได้อะไร ถ้าเราทำโบสถ์กลางดินโดยไม่ต้องใช้เงินสักสตางค์เดียวนี่มันจะ มันจะๆเป็นอย่างไร อันไหนมันจะเป็นเอ่อ...ตรงตามพระพุทธประสงค์นะ ฉะนั้นถ้าเรื่องเผยแผ่ธรรมะแล้วก็ขอให้ทำตามรอยพระอริยะเจ้าหรือพระอร...สาวกของพระศาสดานั้นๆอย่างที่เขาทำกันในสมัยที่มันไม่ใช้เงินเลยนั่นนะ เอามาพิจารณาศึกษาดูให้ดีแล้วพยายามให้ใกล้อย่างนั้นละให้มากถึงจะเป็นเรื่องถูกต้อง มิฉะนั้นจะผิดพลาดโดยไม่รู้ตัวโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันผิดพลาด การใช้เงินมันคงทำให้ๆรู้เร็วหรือกว้างขวางจริงเหมือนกันนะ แต่บางทีมันก็ไม่ ไม่ ไม่ ไม่คุ้มค่าหรือผลมันไม่แนบเนียน มันไม่ลึกซึ้งเหมือนกับที่ว่าไม่ต้องใช้เงิน แล้วบุคคลที่จะไปเผยแผ่นั้นนะอ่า...ขอให้เป็นบุคคลที่เป็นผู้สำรวม มัธยัสถ์ ระวัง ถ่อมตัวนะ อย่าเอาคนพ่นน้ำลายเก่งไปใช้เลย ให้เขาอยู่นิ่งๆเฉยๆเป็นพระที่ดีให้ดูนั่นนะจะเผยแผ่ดีที่สุด พระพ่นน้ำลายเก่งนี่ไม่เท่าไหร่ก็จะต้องล้มคว่ำ เอ้า...คุณประยูร คุณมีปัญหาอะไรที่เกี่ยวกับการเผยแผ่
คุณประยูร : อ่า...เกี่ยวกับการเผยแผ่นะครับ จะพูดในแง่ปัญหาก็ปัญหาของผมนั้น คือผมไม่ได้เผยแผ่แบบตั้งเป็นหน่วยใหญ่หรือว่ามูลนิธิอะไรแบบของคุณนิตย์ครับ ฉะนั้นการเผยแผ่ของผมนี่เขาเรียกว่าทำแบบเอกเทศ คือทำโดยตัวผมเอง ซึ่งใคร่...ผมใคร่เสนอแนะว่าถ้าแต่ละคนนำไปใช้กันในหน่วยงานของตัวเองนะครับ นำไปใช้ในหน่วยงานของตัวเองแล้วก็จะได้ประโยชน์แยะเหมือนกัน ไม่ว่าเป็นหน่วยงานของฝ่ายครู ฝ่ายมหาดไทย ฝ่ายทหาร ฝ่ายตำรวจ ฝ่ายอะไรก็ตามครับ ถ้าใครมีๆเห็นแจ้งในทางนี้แล้วนำไปใช้มันไม่ต้องลงทุนอะไรเลยนะพูดถึงในแง่นี้นะครับ คือเราใช้เวลาราชการที่เราประชุมอบรมลูกน้องนั่นแหละครับ นะฮะในประชุมวิชาการอบรมลูกน้องนั่นแหละครับ เราแทรกบทธรรมะเข้าไปได้ ได้ทั้งงานทางฝ่ายราชการแล้วก็ได้ทั้งงานทางฝ่ายธรรมะนะ นี่ผมยกตัวอย่างให้ฟังว่าถ้าสมมุติว่าเราจะไปสอนการวางแผนงานสาธารณะสุขนะ ผมฝ่ายหมอก็ต้องวางแผนงานสาธารณะสุขในหมู่บ้านนะ มันมีปัญหาอย่างไร จะแก้ไขปัญหาอย่างไร พอเราพูดเรื่องแผนงานทางด้านสาธารณะสุขให้ฟังเราก็แถมถึงแผนของชีวิตนะนะฮะ แถมแผนของชีวิต แผนงานในทางราชการต้องมีเป้าหมาย มันห่างเป้าหมายอย่างไร ต้องทำอย่างไรให้ถึงเป้าหมายนั่น เราก็นำมาใช้กับแผนของชีวิต เราก็พูดแผนชีวิตให้ฟังเพราะว่าคนเราจะทำงานได้ดีจะต้องมีแผนชีวิตของตัวเองด้วย ถ้าแผนชีวิตของตัวเองไม่ดีแล้วไม่สามารถจะไปทำงานได้ดี ฉะนั้นแผนชีวิตจะต้องมีเป้าหมาย ว่านี่ตัวอย่างนะที่เป็นตัวอย่าง นี่เป็นการสอนธรระเข้าไป เผยแพร่ธรรมะเข้าไปโดยไม่ต้องใช้งบประมาณ คือเราใช้ราชการ ใช้งานของเราที่เราทำอยู่นั้นเผยแพร่เข้าไปโดยเอาธรรมะเข้าไปประกบนะฮะ ประกบกับงานที่เราทำ เพราะงานที่เราทำส่วนมากก็เพ่งเล็งในวัตถุทั้งนั้นแหละครับ จนที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ด่านั่นก็ถูกครับ คือเขาเพ่งเล็งแต่เรื่องวัตถุทั้งนั้น วัตถุรักษาให้มนุษย์นี่มันสมบูรณ์แต่ร่างกายทั้งนั้นแหละครับ ให้ร่างกายเจริญเติบโต ให้อ้วนทั้งนั้นแหละครับ ด้านจิตใจจริงๆไม่รู้หรอกครับ ฝ่ายหมอก็ไม่รู้ ฉะนั้นที่ผมนำเอาแผนชีวิตเข้าไปใช้ด้วยกับฝ่ายงานของผมนะครับ ฝ่ายลูกน้องเราหรือกับใครก็ตามนี่เท่ากับว่าเราทำให้เขาสมบูรณ์ขึ้นเลย ให้เขาสมบูรณ์ขึ้น เพราะวิชาหมอมันรู้เพียงครึ่งเดียว มันรู้แต่ครึ่งๆหนึ่ง ฉะนั้นเราเป็นการเผยแผ่ธรรมโดยไม่ต้องใช้งบประมาณ คือใช้งานของเราแล้วเอาธรรมเข้าไปประกบนะครับ อย่างนี้เป็นวิธีการแบบของผมที่ทำของผมเอง แต่ว่าจะให้กว้างไปเหมือนของคุณนิตย์มันไม่ได้ มันอยู่ในวงของลูกน้องผมเท่านั้นแหละฝ่ายกระทรวงสาธารณะสุข แต่ว่าถ้าฝ่ายอื่นเขาเห็นดีด้วยบางทีเขาก็อาจจะมาเชิญเราไปบ้าง เราก็อาจจะไปข้ามฝ่าย ฝ่าย ฝ่ายงานของเราไปบ้างก็ได้นะฮะ แต่ๆโดยเราไม่ต้องใช้งบประมาณอะไร แล้วก็รายการโทรทัศน์ที่เราออกนะฮะ ออกข่าวไอ้นี่ไปได้หลายจังหวัด รายการโทรทัศน์ที่ๆผมออกเดือนละครั้ง เขาให้เวลา ๓๐ นาที ไม่ต้องเสียตังค์อะไรนะครับ เราไม่อ่า...เขาไม่เอาตังค์เรานะครับ ครั้งแรกนี่เราเคยๆไปหาเงินให้เขาเหมือนกัน แต่ว่าตอนหลังนี้เราบอกเราไม่มีเงิน เขาก็ยังให้เราทำต่อไป แต่ผมเบี้ยวเอาครับคือผมไม่ได้ ไม่ได้บอกว่าเผยแพร่ธรรมะโดยตรง คือเขาให้ในรายวิชาการว่าเพื่อสุขภาพอนามัยของสำนักงานสาธารณะสุข เลยผมก็ใช้รายการนี้พาดหัวว่าเพื่อสุขภาพ รายการเพื่อสุขภาพอนามัยของสำนักงานสาธารณะสุขจริง แต่เนื้อหาที่ผมพูดนะครับ ที่ผมเอามาพูดผมพูดไปในทางอ่า...สุขภาพทางวิญญาณทั้งนั้นนะฮะ ไปทางจิตไปในแง่ของทางวิญญาณทั้งนั้น เป็นต้นว่าการพัฒนานิสัยบ้าง การพัฒนาบุคคลบ้าง การวางแผนชีวิตบ้าง แล้วแต่ผมนึกอะไรได้ก็เอามาว่า ๓๐ นาที......(นาทีที่ ๔๙.๕๘ ) กับหาคนมาพูดสนทนาเข้า นี่ก็เป็นการทำที่ไม่ต้องเสียเหมือนกันนะครับ แต่ๆฮะมันมีแต่เหมือนกันที่ว่าเป็นปัญหานะ แต่ผมไม่ถือว่าเป็นสาระสำคัญเพราะได้รับการวิจารณ์มาบ้างจากบางท่าน เขาว่าผมนี่แย่งงานของพระมาทำ เอ...นี่รายนี้ของรายการของหมอยูรนี่มันรายการธรรมะทั้งนั้น มันหน้าที่ หน้าที่ของพระ นี่เป็นการวิจารณ์กลับมาที่ผมได้ทราบ แต่ผมก็เฉยเสีย เพราะผมถือว่าผมก็หุ้นหนึ่งเหมือนกันของพระพุทธเจ้านะ ผมก็เป็นพุทธบริษัทคนหนึ่งเหมือนกัน อุบาสก อุบาสิกาก็เป็นหุ้นหนึ่งเหมือนกัน ก็พอมีสิทธิ์ที่จะโฆษณาบริษัทของพระพุทธเจ้าได้ พอจะนำสินค้าพระพุทธเจ้าออกขายได้บ้างผมก็ทำ ทางผมก็เฉยๆเสียเขาวิจารณ์ว่าอะไรผมก็เฉยๆเสียนะครับ นี่เป็นเรื่องที่ผมทำในด้านการเผยแพร่ธรรมของผม พูดถึงปัญหาก็ว่ายังไม่มากหรอก ไม่ ไม่ ไม่ๆมากเท่าไหร่ครับทางฝ่ายวิชาการธุรการฮะ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : การที่เขาว่าเราแย่งงานของพระไปทำนั้นแหละมันพิสูจน์อยู่แล้วว่าอ่า...เราทำได้เอ่อ...สำเร็จ ซึ่งพระมันทำไม่ได้พิสูจน์เอ่อ...ความสามารถอยู่แล้วไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องเสียหาย หรือว่าเป็น เป็น เป็นฝ่ายลบมันยิ่งเป็นฝ่ายบวก เอาละเป็นอันว่าต้องให้คะแนนคุณประยูร ไม่ใช่ยอต่อหน้าและไม่ใช่ประจบแต่พูดว่าวิธีการอย่างที่คุณประยูรคิดจะใช้ หรือใช้อยู่นี่มันใช้ได้ ฉะนั้นขอให้ทุกคนเลยไม่ยกเว้นใคร ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ หรือที่ไม่ได้นั่งอยู่ที่นี่ จงดำหริที่จะใช้วิธีการอย่างนี้ ไม่ต้องใช้เงินทำตัวให้เป็นที่น่าเชื่อถือ แล้วก็พูดไปตามโอกาสเอ่อ...ที่อาจจะพูดได้ ไม่ต้องขวนขวายอะไรนัก แต่พอมีโอกาสแล้วก็พูด อย่างมีโอกาสจะพูดกับใครบ้างแล้วก็พูด แล้วก็พูดไอ้...หลักธรรมะที่เราต้องการจะพูด มันก็เป็นการเผยแผ่อย่างยิ่งอ่า...ไปในขณะนั้น แล้วก็เป็นอย่างเดียวกับครั้งพุทธกาลโน้นที่เขาทำกันอย่างนั้น ถึงพวกคริสตังลูกศิษย์พระเยซูเขาก็ทำกันอย่างนั้น เขามีโอกาสแล้วเขาก็พูด แล้วก็ทำตัวให้ดีเป็นที่น่าสนใจมีคนอยากจะมาพูดกับเรา พอเขาอยากจะพูดกับเรามันก็เป็นโอกาสที่เราจะพูด แล้วก็พูดออกไปมันก็ได้ประโยชน์อย่างนี้เอ่อ...เห็นได้ว่าทำได้ทุกคน ทุกคนทำได้ คนแก่คนเฒ่า คนชนิดไหนก็ได้ ถ้าเมื่อรู้ธรรมะอยู่บ้างแล้ว จากการศึกษาก็ดี จากการผ่านไปโดยชีวิตก็ดี มันพูดได้ทั้งนั้น มันจะพูดถูกทั้งนั้นนะแม้จะไม่มาก ไม่ถึงที่สุดแต่มันก็มีส่วนที่พูดถูก แล้วก็มีประโยชน์ ฉะนั้นขอให้ทุกคนทำตนเป็นผู้เผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้าในลักษณะนี้ ทำได้ทุกคนไม่ต้องเป็นพระเป็นเณร เป็นชาวบ้านนั่นแหละ ยิ่งอายุมากยิ่งทำได้มากเพราะผ่านมานานได้เห็นอะไรมา แล้วก็พูดไปตามความรู้สึก อันนี้เขาถือว่าดีมากพูดไปตามความรู้สึก ไม่ได้พูดตามความจำ หรือว่าคำนวณด้วยเหตุผลแล้วพูดออกไป แต่ต้องพูดจากความรู้สึกที่ได้ผ่านมาแล้วและรู้สึกจริงๆ รู้สึกจริงๆนี่เรียกว่าพูดจากความรู้สึกแห่งหัวใจ ไม่พูดตามหนังสือ ไม่พูดตามความจำ ไม่พูดตามคำนวณด้วยเหตุผลชั่วขณะซึ่งตัวเองมันก็ยังไม่แจ่มแจ้งในเรื่องนั้น ฉะนั้นคนแก่ๆเคยผ่านอะไรมา แล้วก็พูดเรื่องนั้นแหละ พูดกับลูกเอ๋ย หลานเอ๋ย มันเป็นอย่างนี้กูเคยเห็นมา ก็พูดไปเถอะแล้วมันก็เป็นการเผยแผ่ธรรมะ ก็เป็นอันว่าทีเดียว กี่พัน กี่ร้อย กี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านคนมันก็เป็นนักเผยแผ่ได้ทุกคน ดำรงตนให้อยู่ในธรรม เห็นแล้วให้น่าไว้ใจ น่าเลื่อมใส น่าเคารพ แล้วเขาก็อยากพูดกับเรา เขาก็มาพูดกับเราๆก็พูด นี้คือว่าอุบายที่ว่าจะเผยแผ่เอ่อ...ศาสนากันได้ทุกคนแล้วไม่ต้องใช้เงิน ทีนี้ไอ้พวกที่จะไปตั้งองค์การจะทำอย่างสายฟ้าแลบ หรืออย่างอะไรก็ตามนี่มันก็ต้องใช้เงินนะ แน่นอนนะ แล้วก็ต้องระวังอย่าคิดว่าจะบุกด้วยการใช้เงิน มันจะคว่ำแล้วมันจะ มันจะทำอย่างที่เรียกว่ามัน มัน มันประมาทหรือมันสะเพร่า หรือมันอะไรอยู่มากทีเดียว คิดในทางที่จะไม่ใช้เงินไว้ก่อน แล้วก็ค่อยๆขยายใช้ไปเท่าที่จำเป็น ให้มันออกไปในลักษณะอย่างนี้ ก็ใช้คำว่าอย่าบุกเกี่ยวกับลงทุนนี่ ใช้เงินเผยแผ่ศาสนานี่อย่าบุก แล้วพยายามทำเองให้มาก ไม่ ไม่ต้องใช้คนอื่น ถ้าใช้คนอื่นแล้วอย่าไปเชิดมันเหมือนกับโฆษณาเอ่อ...สินค้า ให้มันทำอย่างเราทำ อืม...ดูเหมือนอย่างกับว่าเอ่อ...พระสาวกครั้งพุทธกาลท่านเผยแผ่กันอย่างไร อย่าไปเชิดพระให้เด่นแล้วก็เป็นเครื่องมือสำหรับเผยแผ่ มันจะคว่ำสักวันหนึ่ง ต้องถือหลักว่าอย่างนี้ว่าถ้าทำถูกต้องแล้วไม่ต้องกลัว ถ้าทำถูกต้องตามธรรมะ ถ้าทำถูกต้องตามหลักธรรมะ เป็นธรรมะอยู่ในตัวแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเงินใช้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเงินใช้ เงินจะเหลือใช้จนรำคาญไปเสียอีก คือจะมีคนให้ ถ้าเทียบตัวอย่างคู่นี้ทำไมคุณวันออกทางวิทยุได้โดยไม่ต้องเสียเงินเลย ถ้าคุณๆอ่า...วิโรจน์ไปใช้สถานีวิทยุบ้างจะต้องเสียเป็นพันเป็นหมื่น นี่มันเพราะเหตุอะไรเอาไปคิดดู เอ้า...มีปัญหาอะไรอีก คุณนิตย์ยังมีอะไรก็ได้ไม่ต้องเกรงใจ เรามา เรามันอ่า...ศึกษากันเพื่อธรรมะนะ ไม่ใช่ทะเลาะกันนะเราศึกษากันเพื่อธรรมะ
คุณนิตย์ : กระผมดีใจที่ได้หลักนะครับคืนนี้ เพราะวันพุธที่จะถึงนี้ก็มีการประชุมกรรมการมูลนิธิ กระผมก็จะนำเรื่องนี้ไปเล่าว่าได้หลักจากท่านอาจารย์ว่า ถ้าเราจะใช้เงินก็อย่าบุก ถ้าจะใช้คนก็อย่าเชิด อันนี้ถือว่าเป็นหลักการสำคัญของมูลนิธิ แต่เราก็จะต้องใช้เงินอยู่บ้างเอ่อ...เพื่อจะพิมพ์หนังสือ เพื่อจะอะไรบ้างเล็กน้อยนะครับ เพราะว่าเป็นมูลนิธิขึ้นมาเริ่มแรกเราก็ต้องใช้เงินไปวางไว้กับทางราชการแล้ว ๑ แสนบาท ถ้าไม่อย่างนั้นก็เป็นมูลนิธิขึ้นมาไม่ได้ ทีแรกเราก็จะหลีกเลี่ยงการใช้เงินเหมือนกัน คือจะเป็นสมาคมเพราะว่าไม่อยากจะใช้เงิน หรือไม่มีเงินจะใช้ แต่ไปติดขัดอยู่ที่ทางการไม่อนุญาตให้เป็นสมาคมเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ ก็ต้องมาเป็นมูลนิธิก็ต้องใช้เงินเป็นอันดับแรกไปแล้ว ๑ แสนบาท ๑ แสนกว่าบาทนะครับก็ได้เป็นมูลนิธิมาเรียบร้อย นี้พอเป็นมูลนิธิขึ้นก็จะต้องมีสำนักงาน ก็จะต้องมีพนักงานประจำสำนักงาน ซึ่งเราก็ไม่สามารถจะหามาได้ด้วยศรัทธาก็จำเป็นจะต้องให้ค่าใช้จ่ายเขาด้วย แล้วก็อาศัยศรัทธาด้วย นี่ครับก็ต้องใช้เงินเล็กๆน้อยๆไป ต่อไปก็จะถือหลักอันนี้แหละครับถ้าจะใช้เงินก็จะไม่เป็นการบุก หรือเป็นการฟุ่มเฟือย อันนี้ก็จะถือเป็นหลักปฏิบัติต่อไป ทีนี้ในการเผยแพร่นั้นผมอยากจะขอเรียนว่า ถ้าเราคิดจะเผยแพร่แล้วเราก็ทำกันได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะเราก็เริ่มจัดการกับตัวเอง แล้วมีความสุข มีความดับทุกข์ได้ให้เขาดู ก็เป็นการเผยแพร่แล้ว หรือถ้าเรามีครอบครัวในฐานะที่เราเป็นคนสำคัญ หรือเป็นหัวหน้าในครอบครัวเราก็เผยแพร่ได้ อย่างครอบครัวของผม ผมเป็นหัวหน้าครอบครัวมีสมาชิกในครอบครัวประมาณ ๑๐ คน ผมก็ตั้งกฎเผยแพร่ธรรมะว่าทุกคนภายในบ้านจะต้องถือศีล ๕ อย่าให้มีการฆ่าสัตว์แม้แต่มด หรือว่ายุง ส่วนปลาเป็น สัตว์เป็นที่จะเอามาเป็นอาหารนั้นเป็นอันไม่ต้องพูดถึง แม้แต่คนรับใช้ที่ต้องเอ่อ...ต้องรับเข้ามาเพื่อทำงานบ้าน ผมก็ถึงขนาดออกกฎเช่นเดียวกันว่ามาอยู่ที่บ้านนี้กี่วัน กี่เดือนก็ตามจะต้องมาถือศีล ๕ ให้เป็นบุญส่วนเมื่อออกไปแล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คนใช้ทุกคนที่รับมาก็ต้องทำ ทำได้ปรากฏว่าทำกันได้เหมือนกัน แล้วเรื่องสุรายาเมาที่บ้านผมก็ไม่ให้เข้าไปดื่มเป็นอันขาด เด็ดขาดเลยว่าใครจะเอาเข้าไปดื่มไม่ได้จะเป็นใครก็ตาม แต่ถ้าจะเอาไปเป็นดองยานั้นผมถือว่าไม่ใช่เหล้าเป็นยาไปแล้ว อันนี้นะครับเป็นการดึงศีลธรรมกลับมาในครอบครัวก่อน เสร็จแล้วคนข้างนอกเราก็พูดกันเป็นรายคนถ้าเราพูดได้ ผมก็พูดเรื่อยมาเหมือนกันกับคนนั้นคนนี้อ่า...สำหรับทางสื่อมวลชนผมก็ใช้เผยแพร่ทางวิทยุโดยไม่ต้องเสียเงินเหมือนกันเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว เป็นรายการชื่อรายการอาหารใจ เมื่อก่อนนี้ก็ทางวิทยุ ว. ก. ถ. ก็อาศัยได้รายการในนามของมูลนิธิสัมมาชีวะศิลป์ของคุณหลวงปริญญา ต่อมาก็เมื่อท่านอาจารย์กิตติวุฒโท( นาทีที่ ๐๑.๐๑.๓๘ )ได้ตั้งสถานีญาณเกราะขึ้น ก็ท่านก็ให้รายการอีก ผมกับคุณหลวงปริญญาก็ได้ช่วยกันไปพูด พูดอยู่จนกระทั่งบัดนี้คุณหลวงท่านแก่แล้ว ท่านก็ให้ผมเป็นผู้พูดประจำ อันนี้ก็ไม่ต้องเสียเงินครับอ่า...แต่ว่าเสียเงินค่าเดินทางเล็กน้อย ในเมื่อเราขับรถไปก็ต้องเสียค่าน้ำมันแต่ว่าสถานีนั้นไม่ต้องเสีย นี้สำหรับการเผยแพร่ในนามขององค์การ หรือมูลนิธิที่ทำอยู่ก็อันนี้แหละครับเราจำเป็นที่จะต้องใช้เงินอยู่บ้าง อย่างการอบรมครูเราก็จะต้องได้วิทยากร ซึ่งวันนี้ผมก็ได้คำแนะนำจากท่านอาจารย์ว่าจะต้องไปอ่า...เปิดการอบรมหรือขอเชิญชวนวิทยากรเหล่านั้นมาอบรม เมื่อเขามีความรู้แล้ว มีความเสียสละแล้วก็ให้ไปทำการอบรมครูต่อไป อันนี้ก็ได้หลักครับ ส่วนค่าใช้จ่ายนั้นก็จะใช้น้อยที่สุดโดยเฉพาะหนังสือซึ่งจะพิมพ์ไปแจกแก่ครูบ้าง ก็จะใช้อย่างประหยัดเพราะว่าที่เป็นมาแล้วนั้นก็อาจจะฟุ่มเฟือยไปบ้างก็ได้ อันนี้ก็คงจะประหยัดลงได้อีกนะครับอ่า...ส่วนเรื่องอื่นๆที่จะต้องใช้เงินก็ๆคงจะต้องมีบ้างแต่จะ จะต้องถือหลักอันนี้แหละครับคือว่าไม่บุก ก็คือประหยัดนั่นเองครับ ผมๆมีปัญหาแค่นี้ครับ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : ก็เป็นอันว่าเอ่อ...มันเข้ารูปละ คือก็ต้องการว่าไม่บุกนะ ให้ระมัดระวัง ให้มันได้ผลคุ้มค่าหรือเกิดค่าทุกๆสตางค์ แล้วคุณก็มีการเผยแผ่ที่ดีอยู่แล้วในครอบครัว ครอบครัวของคุณทั้งครอบครัวเป็นการเผยแผ่ศาสนา ธรรมะอยู่แล้ว เป็นครอบครัวเผยแผ่ธรรมะอยู่ทั้งครอบครัวนี่แปลกดีเหมือนกัน กระทั่งครอบครัวนี้มันเผยแผ่ธรรมะได้ทั้งครอบครัวอ่า...เป็นครอบครัวที่อ่า...ที่สอนธรรมะ เผยแผ่ธรรมะเพราะฉะนั้นเราจะต้องหลีกเลี่ยงการใช้เงิน ซึ่งมันทำให้เราเป็นทาสเขานะ เป็นทาสเงินและเป็นทาสเขาที่เราจะต้องไปทำกับเขา ฉะนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ต้องให้ใช้เงิน ใช้แต่น้อย ใช้แต่ที่จำเป็น ถูกแล้วสำหรับสมัยนี้มันคงจำเป็นที่จะต้องใช้เงินบ้าง ไม่เหมือนครั้งพุทธกาล ไม่เหมือนครั้งพระเยซู ครั้งพันกว่าปี สองพันปี แล้วมันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องให้ใช้เงินเสียด้วยนะ มันต้องทำด้วยเนื้อ ด้วยตัว ด้วยบุคคล ฉะนั้นเราจะไม่มีคำพูดว่าขาดเงิน เราจะไม่มีความรู้สึกว่าขาดเงิน แล้วเดือดร้อนเพราะการขาดเงิน แล้วจะทำไปอย่างดีที่สุดจนมีคนเอาเงินมาให้ จนเงินมันเหลือใช้เอาอย่างนั้นดีกว่า เอ้า...คุณวันละ มีอะไรอีกละเกี่ยวกับการจะเผยแผ่ธรรมะ อ่า...ถ้าหมดแล้วก็จะมาสู่ปัญหาตัวธรรมะ เป็นปัญหาธรรมะโดยตรงใครไม่เข้าใจคำไหน ข้อไหน ความหมายไหนอ่า...อะไรก็พูดได้ ถามได้ ใครก็ได้ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้ ที่มาจากพิจิตรก็มีหายไปไหนหมดแล้วละ มาจากอยุธยาก็มีหายไปไหนหมดแล้วละ ถ้าไม่มีปัญหา ถ้ามีปัญหาก็ว่าไป อยากจะได้ปัญหา
อุบาสิกา : ก็ส่วนใหญ่ก็เป็นๆเรื่องที่ฟังมาจากเพื่อนครูรุ่นน้องนี่ค่ะ ว่าเวลาที่แกคิดจะไปเผยแผ่ธรรมะบ้างนั้นมักจะหมดกำลังใจเสียก่อน เพราะว่าผู้บังคับบัญชาเขาไม่เล่นด้วย ซึ่งอันนี้ก็พอรับฟังมาเราก็ปลอบโยนแล้วก็ให้กำลังใจว่าค่อยทำไป แล้วก็อย่าเพิ่งเบื่อเสียก่อน นี่ๆเป็นเรื่องสำหรับคนนอกนะคะ ทีนี้สำหรับตัวเองนั้นอาจจะ อาจจะมีอะไรเป็นบุญกุศลประจำตัวอยู่อย่าง สำหรับกับเด็กนักเรียนนี่ไม่มีปัญหา เพราะว่าเราใช้วิธีสอนหลายแบบ แล้วก็จับเอาจากความทุกข์ที่มันมีอยู่ในขณะนั้นขึ้นสอน จากนักเรียนแต่ละคนขึ้นมาเป็นข้อนำในบทเรียน เพราะฉะนั้นก็ทำให้ไม่เบื่อเพราะว่ามันมีตัว ตัวนักเรียนเป็นตัวต้นเหตุอยู่ในห้องนั้นจริงๆ ทีนี้ที่มีปัญหาระดับสูงขึ้นไปก็คือ ปัญหาที่จะพยายามเร่งเร้าท่านผู้ใหญ่ในบ้านเมืองซึ่งเอ่อ...เป็นผู้ชี้ต้นตายปลายเป็นในด้านการศึกษา มันมีปัญหาอยู่นิดที่ว่าพอไปปรารภกับท่านผู้ใหญ่ ท่านเห็นด้วยทุกคน แต่ว่าพอเวลาจะลงมือทำงานเข้าจริงๆนี่มันได้ มันๆไปติดขัดอยู่ ถ้าปรึกษากับท่านอธิบดีทุกกรมจะเห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะทำงาน แต่พอลงมือทำงานเข้าจริงๆก็ ก็ผมเห็นด้วย คือมีคนเห็นด้วยมากแต่ว่าคนลงมือช่วยทำงานไม่มี ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็ต้อง ต้องทำใจโดยใช้อย่างที่ท่านอาจารย์ว่า คือต้องทำใจว่างๆแล้วถือว่าเราทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุดโดยไม่เป็นทุกข์เลย ทำเท่าที่จะทำได้อย่างดีที่สุดเท่านั้นเอง ของดิฉันมีเท่านี้ค่ะ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : ผู้ใหญ่เขาเห็นด้วยแล้วทำไมมันยังมีอุปสรรคอีกล่ะ
อุบาสิกา : เขาเห็นด้วยในถ้อยคำค่ะ พอเวลาลงมือจริงๆก็ลำบากค่ะ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : เราก็ทวงสิ ทวงความช่วยเหลือ นั่นนะผู้ใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่ เขามักจะใช้ความเป็นผู้ใหญ่เอ่อ...ปฏิเสธหรือบิดพลิ้ว หรือเรา เรา เราไปทำอะไรเขาไม่ได้
อุบาสิกา : ค่ะ ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็...
ท่านพุทธทาสภิกขุ : อืม...
อุบาสิกา : ก็ใช้วิธีไม้นุ่มนวล ยิ้มเข้าใส่อยู่เรื่อยๆแล้วก็ดึงเอาเท่าที่จะทำได้ค่ะ ก็คิดว่าเรามีความพยายามจริง แล้วก็เราก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเรา คิดว่าผู้ใหญ่คงจะเข้าใจจริงๆแล้วก็เห็นใจสักวัน
ท่านพุทธทาสภิกขุ : นี่สักวันหนึ่งเขาจะเห็นด้วยมากขึ้น มากขึ้น
อุบาสิกา : ค่ะ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : สิ่งต่างๆจะเป็นไปได้ ไอ้เราจะสอนเขา จะนำเขานี่มันมีความลับที่จะต้องศึกษากันอยู่มาก คือว่าเราเอ่อ...ต้องมีอุดมคติให้เขาเห็นด้วยก็พอใจ แล้วเขาก็มักจะช่วยเหลือเอง นี่เกี่ยวกับผู้ใหญ่เราต้องแสดงให้เขาพอใจ เลื่อมใส แล้วเขาก็ยินดีจะช่วยเป็นแน่ อาจจะช่วยเหลือมากกว่าที่เราเรียกร้อง อุดมคติกับระเบียบงานนี่มักจะมองข้าม เราออกระเบียบไปให้ผู้อื่นปฏิบัติ หรือไปสอนเขาให้ปฏิบัติ อย่างสอนเด็กๆให้ปฏิบัติ ขอร้องให้ปฏิบัติหรือบังคับให้ปฏิบัติอ่า...แต่เราให้อุดมคติไม่พอไอ้เด็กๆเหล่านั้นมันไม่ปฏิบัติ มันไม่อยากปฏิบัติ ถ้าให้อุดมคติพอมันรัก มันอยากที่จะปฏิบัติ ระเบียบก็ไม่ต้องค่อยไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่อ่า...ไม่ค่อยจะต้องมีอะไรนัก ไม่ค่อยจะต้องบังคับอ่า...กันนัก ฉะนั้นการที่จะเผยแผ่จะชักจูงนี่จะต้องให้อุดมคติก่อนที่จะออกระเบียบบังคับ นี้ในโรงเรียนดูจะมีแต่ว่าออกระเบียบบังคับให้นักเรียนปฏิบัติอย่างนั้น ปฏิบัติอย่างนี้ แม้แต่ในเรื่องศีลธรรมก็เหมือนกัน แต่การชี้แจงให้เห็นเอ่อ...ประโยชน์ หรือว่าอุดมคตินั้นไม่มี ไม่ค่อยมี ไม่ค่อยพอ เห็นเขาร่างหลักสูตรกัน มาช่วยตรวจแก้เร็วๆนี้ของกรมฝึกหัดครูนี่มันมีแต่กฎระเบียบว่าจะต้องปฏิบัติอย่างนั้น มันไม่มีส่วนตอนท้ายที่เป็นอุดมคติ ที่เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงจะต้องปฏิบัติอย่างนั้น นี่เรียกว่ามันขาดปรัชญา ถ้าพูดสมัยใหม่มันขาดปรัชญาของศีลธรรมข้อนั้น เราเอ่อ...เรามีศีลธรรมให้ปฏิบัติอย่างไร เราต้องมีปรัชญาของศีลธรรมข้อนั้นแสดงอยู่ชัดเจนว่าทำไมจึงต้องปฏิบัติอย่างนั้นให้พอสมควรกัน เขาก็มองเห็น เขาเห็นประโยชน์นั่นแหละเขาก็จะสมัครปฏิบัติ ฉะนั้นเรื่องระเบียบไม่ค่อยจำเป็นนัก ไม่ต้องรุนแรงนักถ้าอุดมคติมันเพียงพอ ฉะนั้นพ่อแม่ทั้งหลายนี่ก็เหมือนกันที่จะบังคับเด็กๆให้ทำอะไร จะต้องให้เหตุผลหรืออุดมคตินั้นไปด้วยว่าทำไมจึงห้ามอย่างนั้น ทำไมจึงขอร้องอย่างนี้ มันต้องคู่กันไปกับระเบียบ เราจะเรียกอย่างโก้เหมือนที่เขาเรียกกันบ้างว่าปรัชญา เรามีปรัชญาให้ไปด้วยเสร็จ คือเหตุผลว่าทำไมจึงต้องทำอย่างนั้น ที่เราจะไปสอนอะไรสักข้อหนึ่งหรือ ที่ว่ามีหลักการอะไรสักข้อหนึ่งต้องมีเหตุผลพอว่าเพราะเหตุใดมนุษย์จึงต้องปฏิบัติอย่างนั้น อย่างเราจะให้เขาละบุหรี่นี่ถ้าเหตุผลมันไม่พอมันก็ไม่ค่อยจะละกัน ให้เลิกกินเหล้านี่ถ้ามันไม่ ไม่มีอุดมคติพอเขาก็ไม่ค่อยเลิก ฉะนั้นจงนึกถึงไอ้อุดมการณ์หรืออุดมคติด้วย ให้มันมีแขวนอยู่ท้ายข้อห้าม ข้อขอร้อง ข้อทุกๆข้อ ไอ้ระเบียบงานบางอย่างก็ดี เช่นๆเขาจะออกกฎหมายอะไรมานี่เขาจะมีว่าเหตุผลมาต่อท้ายข้อกฎหมายนั้นมาเลย เหตุผลเป็นอย่างนั้นจึงออกกฎหมายข้อนี้ นั่นนะเป็นหลักการที่ดีที่เราจะไปเผยแผ่ธรรมะ หรือศีลธรรมก็เหมือนกัน อย่าให้มันบกพร่องในส่วนนี้ คือเหตุผลที่ว่าทำไมจึงขอร้องให้ทำอย่างนี้ โดยเฉพาะกับลูกเด็กๆก็ต้องให้เหตุผลที่เพียงพอ ที่เป็นเครื่องปลุกใจให้เขาอยากทำด้วยเหมือนกัน เช่นว่าอย่านอนสายอย่างนี้เป็น...ออกระเบียบมาว่าอย่านอนสาย มันก็ต้องให้เหตุผลหรืออุดมคติที่เพียงพอว่าทำไมจึงไม่ควรนอนสาย ถ้าเด็กมันเห็น มัน มันก็พอใจที่จะตื่นไม่นอนสาย ฉะนั้นก็ต้องนึกอยู่เสมอว่าเราทำกับคน ไม่ใช่ทำกับสัตว์ ไอ้สัตว์นั้นนะมันจะทำตามคนเอ่อ...ทำตามผู้นำนะ ผู้สอนด้วยอำนาจของสัญชาตญาณ แต่คนมันไม่เป็นอย่างนั้น คนมันไม่ทำตามด้วยอำนาจสัญชาตญาณ มันทำตามด้วยอำนาจของสติปัญญาของเขาเอง เขามีสติปัญญา ฉะนั้นคนกับสัตว์นั้นมันไกลกันลิบ สัตว์มันทำด้วยสัญชาตญาณ คนมันทำด้วยสติปัญญา ด้วยภาวิตญาณนะ ไอ้คำนี้ก็ผูกเอาเองนะว่าภาวิตญาณ ไม่มีในตำราจิตวิทยาอะไรที่เขาสอนกันในโรงเรียนนะ เขามีแต่สัญชาตญาณที่เกิดเองตามธรรมชาติ สัตว์ทั่วไปก็มี คนก็มี แต่สติปัญญาของมนุษย์ส่วนที่มาอบรมให้เกิดขึ้นนี่เราเรียกว่าภาวิตตะแปลว่าเอ่อ...Developแล้วนะ ถ้าภาวิตตะมันก็คือDevelopแล้ว อยากจะยกตัวอย่างว่ามด ปลวกหรือมดที่มันเดินตามหัวหน้า ในวัดนี่มีบ่อยไอ้มดตัวใหญ่ๆ ปลวกตัวใหญ่ๆมันเดินตามหัวหน้า หัวหน้าเลี้ยวนิดหนึ่งมันก็จะต้องเลี้ยวนิดหนึ่งทุกตัวแหละ มันเป็นสัญชาตญาณ แม้แต่ว่าแถวมดมาเราเอาไม้ไปดักมันก็เลี้ยว แล้วทุกตัวจะเลี้ยว นี่เรายกไม้ออกแล้วมันก็ยังเลี้ยวอยู่นั่นแหละ มันเป็นสัญชาตญาณ มดหรือว่าสัตว์ วัว ควาย โดยเฉพาะแพะ แพะนี่มีสัญชาตญาณอย่างนี้มาก ไอ้ตัวหัวหน้ามันเดินอย่างไร ไอ้ตัวที่ถัดมามันจะเดินอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมันจะเลี้ยวอย่างที่หัวหน้าเขา นี่ถ้าเป็นแพะ วัวควายก็เหมือนกัน นกบินในอากาศไอ้ตัวหัวหน้าบินอย่างไร ไอ้ตัวหลังมันจะตามอย่างนั้น มันเป็นสัญชาตญาณ แต่ที่พอมาถึงคน เด็กๆให้เดินตามหลังครู มันไม่ได้เดินตามอย่างแพะหรอก เพราะเด็กมันมีสติปัญญา มันอยากจะกระโดดมันก็กระโดดทางนั้นบ้าง กระโดดทางนี้บ้าง ตรงนี้ดีกว่ากูไม่เดินเหมือนกับคนเดินทีแรก นี่แสดงว่าไอ้คนนี่มันเดินตามหัวหน้าด้วยสติปัญญา มันอยากจะกระโดด มันเหยียบก้อนหินก้อนนี้ ข้ามอย่างนั้น ข้ามอย่างนี้ ไม่เป็นระเบียบหรอก มันต้องเหนือกว่า เราต้องเดินให้ดีกว่ามันก็ต้องเดินตาม ต้องให้เหตุครูบาอาจารย์ นี่เด็กมันมีสติปัญญามันอยากจะลองให้แปลกออกไปจากหัวหน้า หรือครูบาอาจารย์เขาเดินให้ดู จึงต้องมาสอนกันเสียใหม่ว่าเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด เพราะว่าเด็กมันไม่อยากจะเดินตามผู้ใหญ่ เพราะมันมีสติปัญญา