PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
  • อบรมพระที่หน้าโรงหนัง เรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ ปี 2513 ครั้งที่5/การได้การเสียขึ้นอยู่กับตัวกูของกู
อบรมพระที่หน้าโรงหนัง เรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ ปี 2513 ครั้งที่ ... รูปภาพ 1
  • Title
    อบรมพระที่หน้าโรงหนัง เรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ ปี 2513 ครั้งที่5/การได้การเสียขึ้นอยู่กับตัวกูของกู
  • เสียง
  • 2919 อบรมพระที่หน้าโรงหนัง เรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ ปี 2513 ครั้งที่5/การได้การเสียขึ้นอยู่กับตัวกูของกู /buddhadasa/2513-4-3.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันอาทิตย์, 22 มีนาคม 2563
ชุด
อบรมพระหน้าโรงหนัง ชุดธรรมปาฎิโมกข์
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ธรรมปาติโมกข์ของเราวันนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูไปตามเดิม  ขอย้ำไว้เสมอว่าเรื่องอื่นมันไม่มี  ไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่เกี่ยวกับตัวกูของกู  จะเป็นเรื่องโลก เรื่องธรรม เรื่องสูงหรือเรื่องต่ำ เรื่องศาสนา เรื่องพระเจ้า เรื่องสูงสุดคือนิพพานหรือเรื่องอะไรก็ตามใจ  จงมองให้เห็นว่ามันเกี่ยวกันกับเรื่องตัวกูของกูเสมอไป  แล้วก็มีเรื่องตัวกูของกูเป็นแกนกลาง  เป็นจุดศูนย์กลางหรือว่าเป็นแกนกลางก็แล้วแต่จะเรียก  ที่เป็นแกนกลางนี้มันเป็นได้ทั้งที่ว่าจะเป็นทุกข์หรือว่าจะดับทุกข์  ไอ้ความงอกงามแห่งตัวกูมันก็เป็นเรื่องทุกข์  ความสิ้นไปแห่งตัวกูมันก็ดับทุกข์  ดังนั้นขอให้รู้จักมองให้ทุกเรื่องนี้มันออกไปจากจุดศูนย์กลางเพียงอย่างเดียว  คือที่เรียกว่าตัวกูหรือของกูที่เราหรือว่าคนโดยมากทั่ว ๆ ไปไม่ค่อยพูดกันถึงเรื่องนี้  แล้วก็ไม่ค่อยจะชอบพูดกันถึงเรื่องนี้  เพราะว่ามันจะเป็นเรื่องที่ลึกเกินไปบ้าง  คือว่าลึกเกินไปกว่าที่จะไปสนใจมัน  ที่เขาไปสนใจกันแต่เรื่องได้  เรื่องได้เรื่องเสีย  ขอให้สังเกตดูเถอะไอ้เรื่องที่มนุษย์สนใจที่สุดทั้งโลกนี้คือเรื่องได้กับเรื่องเสีย  กลัวจะเสียและอยากจะได้  แล้วก็ไม่สนใจไอ้เรื่องธรรมะแท้ ๆ ที่เป็นเรื่องส่วนลึกที่จะทำให้เป็นสุขหรือเป็นทุกข์  เขาเอาแต่ว่าได้แล้วเป็นสุข  เสียแล้วก็เป็นทุกข์  เป็นเสียเท่านี้  ก็เลยรู้เพียงเท่านี้  ไอ้เรื่องได้เรื่องเสียนี่มันเกี่ยวกับตัวกูโดยตรงเดี๋ยวก็จะว่าให้ฟัง

                ตอนแรก ๆ นี่ อยากจะย้ำอยู่เสมอว่า  มันไม่มีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องตัวกูของกู  แต่ถ้าชื่อเรื่องมันอาจจะเป็นอย่างอื่น  รูปร่างมันอาจจะเป็นอย่างอื่น  เพราะว่ามันไปดูกันที่ผิวนอกเปลือกนอก  ไม่ดูที่แก่นลึก ที่เป็นตัวกูของกู

                ทีนี้ในทางพุทธศาสนาก็มีบ่งชัดอยู่แล้วว่าให้ละอัตตา  อัตตนียา ๒ อย่าง คือ อัตตา คือตัวตน  อัตตนียา คือของตน  ก็คือตัวกูของกูนั้นเหมือนกัน  ศาสนาทุกศาสนาในเครือเดียวกันโดยเฉพาะในอินเดียใช้คำร่วมกันอยู่คู่หนึ่งคือคำว่าอหังการ, มมังการ  คำว่าอหังการ, มมังการ ก็มีใช้ในพุทธศาสนา  ในฝ่ายเถรวาทนี่ก็มี  แต่เนื่องจากใช้คำว่าอัตตา อัตตนียา เสียโดยมาก  ส่วนฝ่ายอื่นออกไป ฝ่ายฮินดู ฝ่ายไชนะ (เชน) ก็มีคำว่า อหังการ, มมังการนี่ใช้จนถือได้ว่าเป็นคำทั่วไปที่ใช้อยู่ในอินเดียสำหรับทุกศาสนาฟังออก  ชาวบ้านทุกคนฟังรู้เรื่อง  ว่าต้องละอหังการ, มมังการ  (ที)นี้  เรายิ่งเห็นได้ชัดว่านั่นละคือตัวกูของกูโดยตรง อหัง แปลว่า เรา  การะ แปลว่า กระทำ  อหังการ แปลว่า กระทำการรู้สึกว่าตัวเรา มะมะ แปลว่าของเรา มมังการะ ก็แปลว่า กระทำความรู้สึกว่าของเรา  รวมกันก็คือรู้สึกว่ากูอย่างหนึ่ง รู้สึกว่าของกูอย่างหนึ่ง  นี่เป็นอันว่าทุกศาสนาในอินเดียในชมพูทวีปมันนี่มันก็มีความมุ่งหมายจะให้ทำลายตัวกูของกูในนามว่าอัตตา อัตตนียาบ้าง ในนามว่าอหังการ, มมังการบ้าง  ในนามอื่น ๆ อีกเยอะแยะ  แต่ที่ใช้กันมากก็คือ ๒ คู่นี้

                ทีนี้ถ้าเราจะมองดูให้ลึกและกว้างออกไปถึงศาสนาอื่น เช่น ศาสนาคริสเตียน  ก็จะจับใจความได้เหมือนกันอีกที่พระเยซูตรัสว่าให้รัก  ให้สละชีวิตเสียแล้วก็จะได้ชีวิต  ทีนี้คน ขออภัย คนโง่ ๆ ฟังไม่ถูก พวกคริสเตียนเอง  แบบคุณย่าคุณยายอะไรเองก็ฟังไม่ถูกแล้วก็ไม่สนใจ  ทีนี้พระเราฟังไม่ถูกแล้วก็พาลดูถูกพวกคริสเตียนไปเสียซ้ำ  ดูถูกคำพูดของพระเยซูไปเสียด้วยซ้ำ  ว่าให้สละชีวิตแล้วจะได้ชีวิต  นั่นก็เพราะเขาฉลาดมากกว่าเรา  เราโง่มากกว่าเขา  เขาพูดสำหรับให้เราโง่  ช่วยจำกันไว้ด้วย  คำพูดเหล่านั้นมันพูดไว้สำหรับให้เราเป็นคนโง่  ให้สละชีวิตแล้วจะได้ชีวิตมันหมายความว่าอย่างไร  เราไม่รู้  เราก็เลยหาพูดบ้า ๆ บอ ๆ ไม่ฟังถูก  คำว่า สละชีวิต ทีแรกนั่น คือสละชีวิตประเภทตัวกูของกู  คือชีวิตประเภทยึดมั่นถือมั่น  เป็นตัวกูของกู ชีวิตชนิดนี้ให้สละเสียแล้วก็จะได้ชีวิตอีกชนิดหนึ่งเป็นชีวิตชีวิตนิรันดร์  เป็นชีวิตแท้จริง  ไม่เกิดไม่ดับ  เป็นชีวิตนิรันดร์  คือบรรลุถึงธรรมะประเภทที่เป็นนิรันดรเขาเรียกชีวิตเหมือนกัน  แต่ชีวิตแรกนี้เป็นชีวิตปลอม ชีวิตมายา ชีวิตปรุงแต่งมายา  ส่วนชีวิตหลังนั้นเป็นชีวิตจริง  สละชีวิตตัวกูของกูเสียก็จะได้ชีวิตที่ไม่มีตัวกูของกูนั่นใจความสำคัญทั้งหมดมีแค่นั้น

                ทีนี้ที่เราพูดกันอยู่เสมอที่นี่ว่าหลักเกณฑ์ที่ดีที่สุดก็คือให้ตายเสียก่อนตาย  ไอ้ตายเสียก่อนตายนี่  ตายแรกทีก็คือตายเสียแห่งตัวกูของกู  ความสำคัญมั่นหมายที่เป็นตัวกูเป็นของกูนั้นให้ตายเสียคืออย่าได้มีอีกต่อไป  พอไอ้นี่ตายชีวิตที่เหลือนั้นก็เต็มไปด้วยความสะอาด สว่าง สงบ  คือความที่ไม่ทุกข์ ความที่ไม่ทุกข์อีกต่อไป  ตายเสร็จเสียก่อนตายแล้วมันก็จะได้ความไม่ทุกข์  ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป  เหมือนกับที่พวกคริสเตียนว่าสละชีวิตแล้วก็จะได้ชีวิต  เราสละความหมายมั่นที่เป็นตัวกูของกูคือกิเลสตัวนี้เสียแล้วต่อไปก็เหลือแต่ชีวิตที่ไม่มีทุกข์นิรันดร์  ไอ้กิเลสว่าตัวกูของกูนี้มันเป็นแม่บทรวมแห่งกิเลสทั้งหลาย  จะแยกเป็นกิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด หรือกี่เท่าไหร่ก็ตามใจ  มันมารวมอยู่ที่จุด ๆ เดียวคือตัวกูของกู  ตัวกูของกูเป็นแกนกลาง แตกแขนงออกมาเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง  ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็แตกแขนงออกไปได้เป็นพันห้า เป็นร้อยแปด  ฉะนั้นเราจะต้องมองให้เห็นความจริงอันนี้ชัดเจนอยู่ในใจแล้วมันก็หมดเรื่องกัน  อย่าเผลอแล้วก็หมดเรื่องกัน  เป็นอันว่าทุกเรื่องมันรวมอยู่ที่เรื่องนี้เรื่องเดียวคือเรื่องตัวกูของกูเรื่องเดียว  ที่เรามาแยกพูดทีละเรื่อง ๆ ตามความเหมาะสม  พูดได้ตลอดปีตลอดชาติเลย  ชี้กันแต่ในแง่ใดแง่หนึ่ง

                สำหรับในวันนี้ก็จะพูดในแง่ที่ว่าเรื่องได้เรื่องเสีย  ๒ อย่างนี้มันขึ้นอยู่กับตัวกู  ตอนนี้ขโมยชุมได้ยินว่าถูกขโมยกันมากก็เลยอยากจะพูดเรื่องได้เรื่องเสียให้ฟัง  ถ้าตัวกูไม่มี  ความรู้สึกเป็นตัวกูไม่มี  มันก็ไม่รู้สึกเป็นได้หรือเป็นเสีย  เพราะมีตัวกู  ความรู้สึกสำคัญมั่นหมายเป็นตัวกูอย่างเดียวนั้น  ความหมายที่เป็นการได้หรือการเสียมันก็เกิดขึ้น  ถ้าไม่มีตัวกูจะอยู่เหนือได้เหนือเสีย  จิตที่ไม่มีความรู้สึกเป็นตัวกูของกูจะอยู่เหนือการได้การเสีย  พอจิตประกอบอยู่ด้วยตัวกูของกูในระดับตัวกูของกูมันก็มีการได้และการเสีย  เรามองเห็นได้ง่าย ๆ อยู่แล้วว่าไอ้ตัวกูนี่มันเป็นอย่างไร  คือมันอยากได้แล้วไม่อยากเสีย  มันจึงได้เรียกว่าตัวกู  มันอยากได้ อยากมี อยากเอาเข้ามา แล้วก็ไม่อยากเสียไป นี่, พูดถึงตัวกูและความหมายของมันในเรื่องเกี่ยวกับได้หรือเสีย  ทีนี้, พอความรู้สึกเป็นตัวกูของกูไม่มีมันก็ไม่เกี่ยวกันเลยกับได้หรือกับเสีย  ฉะนั้นพระอรหันต์จึงอยู่เหนือการได้และการเสีย  ทีนี้คนปุถุชนก็อยู่ภายใต้การได้และการเสีย  ที่เราเผลอสติตัวกูของกูมันยึดครองจิตใจอยู่เรื่อยมันก็มีปัญหาหรือยิ่งกว่าปัญหาก็คือมีภัยคุกคามอยู่ในใจบีบคั้นอยู่ในใจกลัวจะเสีย  ไอ้ความที่กลัวจะเสียนี่ที่ทำให้นอนไม่หลับ  ความอยากจะได้ก็ทำให้นอนไม่หลับ  ทีนี้ได้มาอย่างถูกอกถูกใจก็ทำให้นอนไม่หลับนั่นนะดูพิษสงของการได้เสียหรือตัวกูของกูซึ่งเป็นมูลเหตุของการได้และการเสีย  ไอ้ที่เราพูดว่าพระอรหันต์หมดอุปาทานหมดตัวกูของกูเลยอยู่เหนือได้เหนือเสียนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  บางทีเราจะค่อยพูดกันก็ได้

                   ทีนี้คนที่ไม่เป็นพระอรหันต์ยังอยู่ในการได้การเสีย  มีขึ้นมีลงเพราะได้เพราะเสีย  มันจะต้องพูดกันให้ชัดเจน  คือตามปกติแล้วความรู้สึกเป็นตัวของกูนี้จะไม่อยากเสีย  จะอยากเอา  เอาไม่มีที่สิ้นสุด  จนพูดว่า  แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี  ให้ภูเขาเป็นทองทั้งลูก ๆ สักสองลูกก็ไม่พอแก่ความประสงค์ของคนเพียงคนเดียว เป็นต้น  นี่เป็นปกติวิสัยของตัวกูของกูมันอยากได้ขนาดนี้  มันอยากได้เท่าไร  มันก็ไม่อยากเสียมากเท่านั้นคือมันอยากได้เท่าไรมันก็กลัวจะเสียมากเท่านั้น  เท่ากันพอดี  แล้วมันก็เป็นทุกข์มากเท่านั้น  ทั้งขึ้นทั้งล่อง  อยากได้ก็เป็นทุกข์  กลัวจะเสียก็เป็นทุกข์  แล้วเมื่อเสียเข้าไปจริง ๆ มันก็เป็นทุกข์เท่ากันโดยปริมาณนั้น  นี่ถ้าได้มามันก็ดีใจและก็เพิ่ม ๆ ไอ้ความอยากได้  เพิ่มไอ้ความเห็นแก่ตัวต่อไปก็จะอยากได้มากขึ้นไปอีก  และในที่สุดใคร ๆ ก็มองเห็นว่าไอ้เรื่องอยากได้นี่มันจะต้องมีทั้งสมหวังและไม่สมหวัง  ฉะนั้น มันจึงมีแต่สลับกันไปด้วยความทุกข์ทรมาน ๒ แบบ  เมื่อสมหวังมันก็ทรมานไปอีกแบบหนึ่ง  อย่าหลับหูหลับตาจนมองไม่เห็นว่าเมื่อสมหวังนั้นเป็นการไม่ทรมาน  เมื่อสมหวังมันทรมานไปแบบหนึ่งและทรมานสนิทสนมมาก  เมื่อไม่สมหวังมันทรมานหยาบ ๆ แสบ ๆ เผ็ด ๆ รู้สึกได้ง่าย  แต่แล้วทั้งได้และทั้งเสียเป็นเรื่องทรมานทั้งนั้น  ต้องอยู่เหนือได้เหนือเสียนั่นจึงจะไม่ทรมาน  สำหรับส่วนนี้ให้นึกถึงพระพุทธภาษิตที่ว่า เหนือแพ้เหนือชนะนั่นถึงจะนอนเป็นสุข  ถ้าแพ้หรือชนะก็ตามไม่นอนเป็นสุข  ผู้ชนะย่อมประสบการจองเวร  ผู้แพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์ ทั้ง ๒ คนนอนไม่เป็นสุข  ต่อเมื่ออยู่เหนือการแพ้และการชนะแล้วก็นอนเป็นสุข  ไอ้การได้มันคือการชนะ  ที่จะกลับแพ้  การเสียก็คือการแพ้ชนิดที่มันทรมานกันเดี๋ยวนั้น  ระวังให้ดีเรื่องได้เรื่องเสียมันจะทรมานทั้ง ๒ อย่าง ทั้ง ๒ สถานและตลอดเวลา

                   ทีนี้ถ้าว่าอยู่ในวิสัยปุถุชนอยู่ในระดับปุถุชนยังพอใจในเรื่องได้, เสียใจในเรื่องเสียแล้ว  ก็ต้องมีวิธีการที่จะจัดกับมันให้ดี ๆ อย่าให้มีเรื่องเสียเลย  นี่ฟังดูให้ดี ๆ ว่า  ผมว่าให้จัดกับมันให้ดี ๆ อย่าให้มีเรื่องเสีย  ให้มีแต่เรื่องได้เสมอไป  คุณถูกขโมยคุณจะคิดว่าเป็นเรื่องเสียไม่ใช่เรื่องได้  ทีนี้ถ้าว่าคิดต่อไปอีก  คิดอย่างไรมันจึงจะกลายเป็นเรื่องได้  ถ้าเคยเรียนธรรมะธัมโมมาบ้างก็ไม่ยากนัก  เอาอย่างเลว ๆ ของชาวบ้าน พอถูกขโมยไปก็กรวดน้ำให้มันเลย  ถูกขโมย พริก มะเขือ ตะไคร้ ในเรือกในสวนอะไรก็ตามกรวดน้ำให้มันเลย  พูดหยาบ ๆ ก็ว่ากรวดน้ำให้แม่มันเลย  ไอ้อย่างนั้นไม่ค่อยได้บุญหรอก  คือคนมันโกรธเสียแล้วแต่ก็ยังดีกว่าที่จะพูดอย่างอื่น  มันขโมยไปแล้วกรวดน้ำให้แม่มันเลย  แสดงว่าในใจมันโกรธหรือมันขุ่นแต่มันก็ยังดีกว่าทำอย่างอื่น  ทีนี้บางคนก็ไม่ถึงกับโกรธ  ไม่พูดหยาบ ๆ อย่างนั้น  อุทิศจริง ๆ ให้ไปเลย  ทำบุญไปเลย  อย่างนี้จะเรียกว่าเขาเสียหรือเขาได้และได้มากไปกว่าที่เสียไปหรือเปล่า  ถูกขโมย พริก มะเขือ ฟัก แฟง แตง เต้าเอาไปกระบุงหนึ่งในเรือกในสวนและเขามีจิตใจอย่างนี้กระทำลงไปอย่างนี้ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ตามที่ปู่ย่าตายายสอนนะ  ปู่ย่าตายายของเราดีมากสอนแต่อย่างนี้  ผลสุดท้ายจะคิดบัญชีดูว่าไอ้คนนี้มันได้หรือมันเสีย  ถ้าเป็นนักธรรมก็จะคิดได้ว่ามันได้  ได้มากกว่าไอ้ค่าของวัตถุกระเฌอ กระบุง ที่เขาลักขโมยไปมันเลยไม่มีเสีย  เพียงเท่านี้มันก็ไม่มีเสีย ๆ แล้ว  มันได้เสียแล้ว  แต่อย่าให้หยาบคายถึงกับว่าอุทิศให้แม่มัน  อย่างนั้นมันได้น้อยเพราะมันทำไปด้วยความโกรธ

                   ทีนี้ที่สูงขึ้นไปกว่านั้นตามวิธีของพระอรหันต์ตามคำสั่งสอนของพระอรหันต์  เรามีโอกาสหรือเราได้โอกาสที่จะทดสอบจิตใจของเรา  โอกาสนี้แพงมาก  คุณถูกขโมยไป ๕๐ บาทอย่างนี้มันเป็นโอกาสให้คุณทดสอบธรรมะของคุณเอง  นี่, ราคาตั้งหมื่นตั้งแสนตั้งล้าน  ถ้าอันนี้มันไม่เกิดขึ้น  มันไม่เป็นโอกาสที่จะทดสอบ  มันก็ยังโง่อยู่ตามเดิมยังไม่รู้จักตัวเอง  นี่, เพียงแต่ได้โอกาสทดสอบนี่ก็เป็นการได้แล้ว  ฉะนั้นจึงไม่มีเสีย  ทีนี้เมื่อทดสอบไป ๆ มันก็เพิ่มความปล่อยวาง  มีอาการของความปล่อยวางเกิดขึ้น  คือปล่อยวางได้จริงว่าเป็นของธรรมดาที่จะเป็นอย่างนั้นหรือว่าอย่างนั้นมันยิ่งดี...ดีกว่าเอาไว้  ดีกว่ามีไว้เป็นการดีกว่า อ้าว! มันก็เลยยิ่งได้มากกว่าหมื่นกว่าแสน  นี่ถ้าตัวกูมันเป็นตัวกูของกูมันไม่ยอม  มันไม่ยอมคิดอย่างนั้น  ถ้ามันคิดอย่างนั้นหมายความว่าตัวกูของกูมันเบาบางหรือมันหมดไปขณะหนึ่ง  ฉะนั้นการที่เราได้ความเบาบางแห่งตัวกูหมดไปขนาดนี้เป็นแสนเป็นล้านเป็นโกฏิเลย  ยกตัวอย่างด้วยนิทาน  ไอ้โน่นไม่ใช่นิทาน  ตัวอย่างที่เรื่องจริงที่เขาเล่ากันมาว่าสมเด็จ...สมเด็จโต  สมเด็จที่มีชื่อเสียงสมเด็จโต  ขโมยมาล้วงของที่ร่องบ้วนน้ำหมาก  กุฏิแบบโบราณมันเตี้ย ๆ ใต้ถุนมันล้วงถึงไอ้ร่องบ้วนน้ำหมากที่เปิดบ้วนน้ำหมากมันก็มีอยู่  มันมาดูไว้ตั้งแต่กลางวัน  คือคนในนั้นมันเป็นหนอน  เกลือเป็นหนอน  ก้อนเส้าเป็นเสือ  เกลือเป็นหนอนอะไรขึ้นมามันก็ล้วงมือขึ้นมาหยิบของใช้ของท่านที่ข้างปากร่องเป็นปั้นชาบ้าง เป็นอะไรบ้าง  ทีนี้ท่านเห็นคือขโมยนี้มันไม่รู้ว่าท่านตื่นอยู่ นั่งสมาธิอยู่ หรืออะไรอยู่  ท่านก็เลยขยับไอ้สิ่งที่อยู่ไกลร่องมาเทียบ มาอยู่ที่ปากร่องอีก  ล้วงไปอันหนึ่งแล้วก็ขยับไอ้สิ่งที่อยู่ปลายร่องเข้ามาที่ปากร่องอีก  ทำอย่างนี้ตั้ง ๔-๕ ครั้งขโมยมันชักจะสงสัย  ทำไมมันมีของมาอยู่ที่ปากร่องเรื่อยมันเลยหนีไป  นี่เราดูจิตใจของคนชนิดนี้ไม่มีเสีย  จิตใจของมนุษย์ชนิดนี้ไม่มีเสีย  มีแต่ได้  แล้วก็ได้มากขึ้น ..... นานด้วย...มันเอาลงไปในร่อง....

    23:50 จากนี้ไป ขาดตอนเพราะเครื่องบันทึกขัดข้อง แต่ไปมีเสียงเอาตอนปลายนิดหน่อย 24:46

                เอาละ, ทีนี้ก็จะสรุปความในข้อที่ว่า  ได้หรือเสียมันขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกู  เป็นอหังการ, มมังการ  เพราะฉะนั้นไอ้การได้หรือการเสียมันก็เป็นของหลอกหรือมายาเท่ากันกับตัวอหังการ, มมังการนั่นเอง  แต่ทีนี้เราไม่รู้สึกว่าได้หรือเสียนี่เป็นมายา เห็นเป็นเรื่องจริง  เป็นเรื่องสำคัญที่สุด  ไอ้ได้ก็สำคัญไอ้เสียก็สำคัญเรื่องมันก็เลยไปในทางที่จะต้องมีความทุกข์  ถ้าเห็นว่าไอ้ตัวกูของกูมันเป็นมายา  ทีนี้ปฏิกิริยาอะไรต่าง ๆ ที่เกิดมาจากตัวกูของกูมันก็เป็นมายา  มันก็เลยไม่มีความหมายอะไรไม่มีปัญหาอะไร  ที่บางโอกาสเรานี่ไม่ใช่พระอรหันต์ เราธรรมดาบางโอกาสมันก็นึกสนุกขึ้นมาก็ได้

                อย่างสมเด็จนี่จะเป็นพระอรหันต์หรือไม่ก็ไม่มีใครสันนิษฐานหรือวินิจฉัยกัน  แต่ว่าจิตใจสูงถึงขนาดที่ว่าจะทำอย่างนั้นบ้างก็ได้เพราะว่าสงสารมัน  มันโง่หรือมันจนหรือมันอะไรก็ตาม  มันจนต้องขโมยก็เลยสงสารมันก็เลยให้มันโดยการที่บริสุทธิ์ใจ  คือให้โดยบริสุทธิ์ใจถ้าไม่อย่างนั้นก็จะจับเอามือไว้เชือกมัดดึงตัวขึ้นมา  มันก็ทำได้เหมือนกัน  แต่นี่กลับเอาของไปวางปากร่องให้มันได้ยินเสียงให้มันเอาไป  ทีนี้ถ้าเรานะ ถ้าเรา ๆ มองเห็นประโยชน์ของการเสียสละ  เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวขึ้นมาเมื่อใดก็คงจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน  อย่างพระเวสสันดรนี้ในบทพรรณนานั้นน่าเลื่อมใสมากเหมือนกับคนอยากเหล้า เหมือนกับคนอยากกินเหล้ากระวนกระวายว่าเมื่อไรไอ้ยาจกจะมา ๆ นั่งเตรียมพร้อมอยู่เพื่อจะให้ทาน  แล้วยาจกคนขอทานยังไม่มาตอนนี้ก็เปรียบกระวนกระวายของพระเวสสันดรเหมือนไอ้คนติดเหล้าแล้วคอยว่าเมื่อไร เหล้าจะมาเพื่อจะให้ทาน  คนอย่างนี้คือคนที่ไม่มีเสียมีแต่ได้  ฉะนั้นมันก็เลยสบายไปหมด 

                ฉะนั้นขอให้ศึกษาเรื่องตัวกูของกูนี้เพื่อจะฆ่ามันเสียให้ตายโดยบทว่าตายเสียก่อนตายก็เลยหมดทุกเรื่อง  ปัญหาหมดทุกเรื่อง  พรหมจรรย์มันก็จบ  แล้วกลายเป็นผู้มีแต่ได้ไม่มีเสีย  ในปริยายหนึ่งคือเสียของนิดหน่อยก็ได้ของประเสริฐวิเศษมากจนกระทั่งว่ามันอยู่เหนือได้และเหนือเสียเป็นพระอรหันต์  มีจิตใจอยู่เหนือได้หรือเหนือเสีย  แต่นี่เรายังไม่เป็นพระอรหันต์ก็เอาแต่เพียงว่ามีศิลปะในการที่จะทำจิตใจให้มีแต่ได้ไม่มีเสีย   ความเจ็บไข้มาก็มาสอนปรมัตถธรรม สอนสัจจธรรม  แล้วมันจะมีเสียอะไร  แม้แต่ปวดหัว ปวดฟันมา  ก็มาสอนไอ้ความอดทน ขันติ หรือว่าการพิจารณาอะไรต่าง ๆ  ถ้ามันไม่มีความเจ็บมันก็ไม่มีการพิจารณา  ทีนี้ถ้าขโมยมันลักของไปบ้างมันก็เป็นการสอนหรือทดสอบน้ำใจหรือเป็นการสอนให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  หรือสอนการเสียสละ การปล่อยวาง มันเลยเป็นเรื่องที่มีแต่ได้ไม่มีเสียแค่นั้น  ยิ่งถ้าเป็นพระเป็นเณรแล้วยิ่งสบายเลยคือไม่ต้องการอะไรอยู่แล้วมันไม่มีอะไรที่จำเป็น  ไอ้ที่จำเป็นมีแต่บาตรกับจีวรนี้มันหาได้เรื่อยนอกนั้นมันของไม่จำเป็น  ทีนี้เอาของที่ไม่จำเป็นนี้ละซื้อหาของที่ดีกว่า ที่ประเสริฐกว่า หรือที่จำเป็นที่สุด  คือมรรคผลนิพพาน  ผมจึงเลยว่ามันมีแต่ได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปไม่มีเสีย  นี่, เขาให้ถือไว้เป็นเครื่องรางกันขโมยด้วย  คือขโมยจะขโมยคนชนิดนี้ไม่ได้เป็นอันขาด  เอาล่ะพอกันที

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service