แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมปาฏิโมกข์ของเราก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ตัวกู-ของกู ตามเคย อย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นการบรรยายที่แสดงให้เห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่เกี่ยวกับ ตัวกู-ของกู ถ้ามันเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาของมนุษย์คือ มันเป็นเรื่องทางจิตใจทางวิญญาณของมนุษย์ที่ทำให้เกิดเป็นปัญหาต่างๆ ขึ้นมาทั้งโดยส่วนตัวหรือโดยส่วนรวม ฉะนั้นขอให้มองให้เห็นในข้อนี้เป็นอย่างน้อยถ้าไม่อย่างนั้นก็จะต้องถือว่าไม่เข้าใจอะไรเสียเลย เราได้พูดกันมาถึงเรื่องลักษณะสังเกตเฉพาะของสิ่งที่เรียกว่า ความสุข หรือ ความไม่ทุกข์ มาเป็นข้อๆ ตามลำดับมา บางคนอาจจะคิดว่าไม่เป็นเรื่องอะไรไม่มีความหมายอะไรหรือไม่ลึกซึ้งอะไรเพราะเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็เห็นอยู่หรือว่าก็รู้สึกอยู่ พอพูดขึ้นก็นึกได้อะไรทำนองนี้ แต่ที่จริงก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยนึกอย่างละเอียดมันไปนึกไกลเกินไปมองข้ามไปเสียหมดไม่นึกถึงไอ้สิ่งเหล่านี้ที่เคยพูดมาแล้วเป็นลักษณะของความไม่ทุกข์ โดยหัวข้อที่แล้วมาก็ลองทบทวนดูว่าความอิ่ม, ความสุข, ความแน่ใจ, รู้สึกว่าทำหน้าที่เพื่อหน้าที่, รู้สึกว่ามีความรักไม่มีขอบเขตก็มีอิสระภาพทางกาย, ทางจิต, ทางวิญญาณ มันก็ไม่พ้นไปจากเรื่องที่เรารู้หรือรู้สึกหรือรู้จักกันอยู่แต่แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครมองมันโดยละเอียด มันจึงไม่เห็นในสิ่งที่ลึกซึ้งหรือที่เรียกกันไพเราะว่า อภิธรรม, อภิธรรม ของผมคืออย่างนี้ ไม่ใช่ชนิดที่ต้องนั่งนับเม็ดมะขามเป็นตัวเลขหรือเป็นวิชาคำนวณ
ทีนี้อีกรูปหนึ่งที่เรียกว่ารูปปฏิเสธก็คือว่า ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเพราะสิ่งใดหมด, ไม่หิวเรื่องกิน, เรื่องกาม, เรื่องเกียรติ, ไม่กลัวอะไร, ไม่ขัดใจอะไรกับใคร, ไม่ต้องอาศัยสิ่งใดมากระตุ้น, ไม่ระอา, ไม่ระแวง อันนี้ผู้ฟังอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ และเป็นเรื่องง่ายเรื่องตื้นโดยไม่เคยคิดให้มันลึกไปถึงว่ามันเนื่องกันกับ ตัวกูของกู อย่างไร ขอให้สังเกตกันตอนนี้ให้มากเพื่อไม่ให้เสียเวลาเปล่าว่ามันเป็นเรื่อง ตัวกู-ของกู ทั้งนั้น แต่ออกมาในรูปต่างๆ กันเลยเรียกชื่อต่างๆ กัน วันนี้อยากจะพูดรวบรัดให้หมดถึงลักษณะที่จะพอสังเกตได้อีกสองสามอย่าง
อันแรก ก็คือ ความหม่นหมองโดยไม่มีเหตุผล เราต้องไม่มีความหม่นหมองแม้ชนิดที่ไม่มีเหตุผลคือ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เกี่ยวกับข้อนี้เคยพูดมามากแล้วก็สรุปเอาแต่เพียงสั้นๆ ว่า ไอ้ความรู้สึกหม่นหมองนั้น มันมีต้นเหตุอันลึกซึ้งอยู่ที่ ตัวกู-ของกู ที่มันซ่อนเร้นอยู่ใต้สำนึก ตัวกูที่มันเลวเกินไปมันออกมาปรากฏชัดนอกสำนึกหรือในสำนึก ส่วนอันนี้มันอยู่ใต้สำนึกมันเป็นเรื่องสะสมไว้ใต้สำนึก และก็ทำงานอยู่ใต้สำนึก เราตื่นนอนขึ้นมาก็หม่นหมองโดยไม่มีเหตุผลโดยไม่พบต้นเหตุก็เป็นสิ่งที่รบกวนความสุขอย่างยิ่ง แต่ถ้าเราปฏิบัติ เพื่อกำจัด ตัวกู-ของกู อยู่เสมอ อันนี้ก็ถูกทำลายไปโดยไม่รู้สึกตัวเหมือนกันเพราะนั้นเราเป็นอยู่ให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่เราอาจจะยังไม่รู้จริงแต่ว่าเราได้รับขนบธรรมเนียมหรือวิธีปฏิบัติมาตามที่ผู้รู้หรือผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้วเขาได้บัญญัติไว้ เมื่อเราทำไปตามนั้นมันก็ป้องกันได้เราจึงตื่นนอนขึ้นมาโดยไม่มีความหม่นหมอง
ฉะนั้นระเบียบวินัยหรือธรรมะอะไรก็ตามที่เขาได้บัญญัติไว้เพื่อกำจัดหรือป้องกันไอ้ ตัวกู-ของกู ประเภทนี้เราอย่าไปทำเล่นอย่าไปทำเล่นๆ พยายามทำให้ดีที่สุดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องงมงายเรื่องไร้เหตุผลเรื่องไร้สาระยกตัวอย่างเช่น การที่จะต้องไหว้พระสวดมนต์หรือนึกถึงอะไรต่าง ๆ ที่จะต้องนึกก่อนที่จะนอนลงไปหรือตื่นขึ้นมาก็ตาม ที่คนแก่ ๆ เขาทำกันมาโดยไม่รู้ว่าเขาทำเพื่ออะไรมันกลับได้ผลที่จะขจัดไอ้สิ่งร้ายใต้สำนึกเหล่านี้, ความรู้สึกชั่วร้ายใต้สำนึกเหล่านี้ ทีนี้คนสมัยใหม่เขาก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องงมงายไร้เหตุผลเขาจะเอาแต่เรื่องที่คิดนึกรู้สึกได้เดี๋ยวนี้แล้วมันก็เป็นเรื่องผิวนอกเสียมากกว่า ส่วนเรื่องที่มันซ่อนเร้น มันก็ต้องทำด้วยวิธีที่มันซ่อนเร้นและเรายังไม่สามารถที่จะรู้จักมันก็ต้องทำไปตามวิธีที่ถูกต้องที่เขาเคยวางไว้ มันเหมือนกับว่าเราไม่รู้เรื่องโรคไม่รู้เรื่องยา เรารู้แต่เพียงกินยาให้ถูกอาการของโรคตามที่หมอให้มันก็ระงับโรคไปได้ เราเองทำยาก็ไม่เป็นแล้วก็ไม่รู้ว่าโรคนั้นมันเป็นอยู่อย่างไรมีอะไรที่ไหนตรงไหนเช่นว่า จะไปศึกษาอย่างหมอเพราะเรามีหน้าที่เพียงใช้ยาให้ถูกวิธีก็แก้โรคได้ ทีนี้ไอ้โรคทางวิญญาณคือ ความหม่นหมองโดยไม่มีเหตุผลนี่ก็เหมือนกัน เขามีระเบียบมีวิธีมีอะไรที่ให้ทดลองก็ต้องลองดูแต่ว่าพร้อมกันนั้นหรือตลอดเวลานั้นมันจะต้องปฏิบัติเพื่อกำจัดเสียซึ่งความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นเป็น ตัวกู-ของกู อยู่เสมอ นั่นเป็นยาโดยตรงยาสำคัญยาตัดรากเหง้า ส่วนระเบียบวิธีเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องยาระงับปวดยาอะไรไปเพราะยังดีกว่าที่จะไม่กินเพราะมันช่วยกันไปให้มันพอทนอยู่ได้ ไอ้ความหม่นหมองส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องแสดงออกมาเป็นความเศร้าเป็นความหดหู่, ความอ่อนเพลียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่จะแสดงออกมาเป็นความโกรธ, ความเกลียด, ความกลัวอะไรนั้นมันเฉพาะเรื่อง, เฉพาะคน, เฉพาะเหตุการณ์มากเกินไป แต่มันก็มียิ่งถ้าเป็นโรคทางกายทางประสาทอะไรอยู่ด้วย มันก็ยิ่งเป็นมากยิ่งไปกลัวเข้าอีก, มันก็ยิ่งเป็นใหญ่จนกระทั่งจะเป็นบ้าไปเลย นี่อย่าทำเล่นกับไอ้ความหม่นหมองโดยไม่มีเหตุผลซึ่งเป็นไอ้เรื่องของ ตัวกู-ของกู ที่อยู่ใต้สำนึก เพราะนั้นเราก็หาวิธีขจัดปัดเป่าไปทั้งโดยอ้อมและโดยตรงไปตามวิถีทางของพุทธบริษัทซึ่งบางทีก็ใช้สติปัญญา, ซึ่งบางทีก็ใช้ความเชื่อด้วยเหมือนกัน อะไรมาทำให้ปลอบใจให้แน่ใจมาทำให้เชื่อนี้มันก็พอป้องกันได้สำหรับมนุษย์ที่ยังมีจิตใจอ่อนแอหรือยังโง่เขลาทั้งไอ้เครื่องรางของขลัง, ตะกรุด, พิธีเสกเป่าอะไรมันก็มีประโยชน์แก่คนประเภทนี้กำจัดความหม่นหมองที่ไม่มีเหตุผลได้เหมือนกัน แต่แล้วมันก็ไปไม่เท่าไรมันก็จะต้องเลยไปถึงความรู้ที่ถูกต้องเป็นเรื่องของปัญญาที่ถูกต้องจึงจะกำจัดออกไปได้เด็ดขาด วิธีของมันก็ด้วยอำนาจความเชื่อมันก็ขจัดไปได้พักหนึ่งแล้วมันก็กลับมาอีก
และ อันที่สอง ก็คือบังคับจิตโดยความเป็นสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็บังคับไอ้ความรู้สึกร้ายๆ นั้นออกไปได้แต่แล้วไม่เท่าไรมันก็กลับมาอีก ทีนี้วิธีสุดท้ายมันก็คือเรื่องของปัญญาที่สมบูรณ์ที่ถูกต้อง, ที่สมบูรณ์ นี้เราใช้พร้อมๆ กันไปก็ได้โดยเฉพาะคนทั่วไปนั้นเขาจะต้องใช้เรื่องความเชื่ออย่างนี้มากกว่าที่จะใช้ปัญญา ถ้าเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนามันก็ควรจะดีกว่านั้นเพราะว่าเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังดูให้ดีสัมมาสัมพุทธเจ้า, รู้ถึงที่สุด, รู้อย่างยิ่ง, รู้พร้อม, รู้จำเพาะอะไรมันถึงจะกำจัดไอ้โรคเหล่านี้ได้ เราก็พยายามสำรวจดูวันหนึ่งวันหนึ่งอย่าให้มันมีไอ้อาการชนิดนี้หรือมันมีอยู่ก็ให้รู้สึกก็ทำให้มันลดน้อยลงไป, น้อยลงไป เหมือนกับลดความอ้วนอย่างนี้มันทำทันทีไม่ได้มันก็ค่อยๆ ลดลงไป, ลดลงไป ไอ้นั้นเป็นเรื่องทางจิตใจขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่าต้องไม่มีความหม่นหมองที่ไม่มีเหตุผลนี่เป็นอาการอันหนึ่งที่สำคัญมาก ไม่เช่นนั้นไม่มีความสุขคือ มันรบกวนหรือทำความรำคาญยิ่งกว่าสิ่งใด
ทีนี้ไอ้โรคต่อไปอีกซึ่งเราจะต้องไม่มีก็คือ อาการที่เรียกว่า แก้เก้อ หรือ ขายผ้าเอาหน้ารอด ซึ่งมันเครือเดียวกันหมดรวมความแล้วก็เรียกว่า แก้เก้อ ถ้าเรายังมีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าเก้อ, เราเป็นคนเก้อแล้วเราก็ต้องหาเรื่องมาแก้เก้อไขสือแก้เก้ออะไรนี่ยังใช้ไม่ได้ แม้ไม่มีใครรู้ของเรา, เรารู้คนเดียวอย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ เรื่องขายผ้าเอาหน้ารอดนี่ที่จริงมันมีอยู่โดยสัญชาตญาณก็ได้เราไม่ค่อยสังเกตคือ กลบเกลื่อนอะไรไว้ด้วยอะไรอันหนึ่ง กลบเกลื่อนอะไรอันหนึ่งไว้ด้วยอะไรอีกอันหนึ่ง เอาหน้ารอดอย่างสุนัขก็ไม่ถูกตีถ้ามันมีอะไรที่ทำกลบความผิดของมัน, มันประจบหรืออะไรของมันก็สุดแท้มันเรื่องขายผ้าเอาหน้ารอด อุทาหรณ์ที่สนุกหรือน่าจะจำไว้เพื่อกันลืมเป็นตัวอย่างนี่ เขาเล่าถึงเรื่อง สมเด็จโต พุฒาจารย์โต ท่านอยู่ในบุคคลที่เป็นเจ้าอาวาส เมื่อในหลวงเขาต้องการให้เจ้าอาวาสจัดเรือประกวดวัดต่าง ๆ ก็จัดเรือเพื่อประกวดกันเป็นการใหญ่ ล่องถวายไปในหน้าพระที่นั่ง ทีนี้ในหลวงก็ไม่เห็นเรือของสมเด็จพุฒาจารย์โตวัดระฆังหรือวัดอะไร ถามคนนั้นคนนี้กลับเป็นชี้ให้ดูว่าเรือสำปั้นเล็กๆ เณรแจวท้าย สมเด็จนั่งห่มจีวรอยู่กลางลำนี้อยู่ในขบวนริ้วขบวนนั้นด้วย ต่อมาในหลวงต่อว่า ทำไมทำอย่างนั้น ท่านบอกว่า ไม่ขายผ้าเอาหน้ารอดได้ คือไม่สามารถจะขายผ้าเอาหน้ารอดได้ นี่เป็นการสอนในหลวงคือว่า ถ้าจัดเรือลำใหญ่ประดับตกแต่งหรูหรามันต้องใช้เงินมาก ทีนี้พระที่แท้ก็ไม่มีเงิน มันก็ต้องขายจีวรขายสบงจีวรไปซื้อเครื่องประดับมาตกแต่งอวดนี่เรียกว่า ขายผ้า, ผ้านุ่ง, ผ้าห่ม จนตัวล่อนจ้อนก็ตามใจเอาเงินมาซื้อเครื่องแก้หน้าเอาหน้าไว้ยอมไม่มีผ้านุ่งแต่ว่าในหลวงเลยชอบใจใหญ่ นี่เราจะต้องสังเกตดูว่า คนอย่างนี้มันมีกี่คนแล้วคนที่ยอมอะไรขายผ้าเอาหน้ารอดนี่มันมีมากน้อยเท่าไรคือ คนที่ยอมสละอะไรเพื่อซื้อหน้าตาเอาไว้นี่มันมีมากมายสักเท่าไรแล้วเราก็อาจจะมีกันอยู่ทุกคน ถ้าบางทีเราก็ต้องยอมเหนื่อยยอมเปลือง ยอมลำบากจัดการอะไรบางอย่างอย่าให้เสียหน้าเสียเกียรติเสียอะไรของวัดของส่วนรวมหรือส่วนตัวก็ตามใจนี่ มีอยู่มากแล้วเราก็รู้สึกว่าเราไม่อยากทำแต่แล้วเราก็ต้องทำ แขกมาไม่มีเสื่อหมอนหรือผ้าห่มอะไรสวยๆ ให้ มันก็ต้องวิ่งไปหยิบไปยืมอะไรกันมาไม่มีมันก็ต้องเสียสละอะไรบางอย่างไปซื้อหามานี่อยู่ในพวกที่เรียกว่าจำใจทำเพื่อการเอาหน้ารอด ถ้ามีอาการอย่างนี้ก็เรียกว่า เป็นเรื่องของ ตัวกู-ของกู ชนิดที่มันทำให้ลำบากให้มันเดือดร้อนแต่ก็มิได้หมายความว่า เราจะไม่สามารถทำหรือไม่ควรทำไปโดยส่วนเดียว มันมีส่วนที่ทำได้โดยไม่ต้องเดือดร้อนถึงกับต้องขายผ้าขายผ้านุ่ง ฉะนั้นทางที่ถูกที่ควรเท่าไรมันก็ทำได้เท่านั้นละแล้วก็อย่าทำให้มันเป็นเรื่องของความยึดมั่นถือมั่นมากถึงขนาดขายผ้านุ่งไปซื้อของนั้นมาหรือถึงกับต้องลำบากไปหยิบไปยืมไปอะไรของเขามา ไปร่วมงานราตรีสโมสรนี่บางคนจะต้องไปยืมเครื่องแต่งตัวของคนอื่นมานี้ เป็นต้น มันเป็นไปหมดทั้งโลกเรื่องขายผ้าเอาหน้ารอดและมันยังห่างไกลจากความสุขอันแท้จริง
ทีนี้มันก็เนื่องกันไปหมดเรื่องแก้เก้อทุกๆ ชนิดที่จะทำให้ตัวเป็นคนเก้อแล้วก็ต้องหาวิธีแก้เก้อ ตอนนั้นไม่สนุกเลยแม้จะปิดได้มิดชิดเท่าไรมันก็มีความทุกข์อยู่เท่านั้น มันมีวิธีต่างๆ กันที่จะแก้เก้อนี้ทำได้หลายอย่าง ทำไม่รู้ไม่ชี้ หรือว่าพูดกลบเกลื่อน หรือว่าบิดพลิ้ว หรือว่าอะไรไปตามเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องไม่ตรงคือ ไม่ซื่อ, ไม่ซื่อและไม่ตรง, เป็นความบิดพลิ้ว, เป็นความเล่นตลกของสิ่งที่เรียกว่า ตัวกู-ของกู ขอให้ไปสอบสวนดูที่เนื้อที่ตัวของทุกๆ คน, ของตัวเองมันมีอาการอย่างนี้อยู่เท่าไรแล้วก็ว่ามันเป็นเครื่องบอกเป็นระดับเครื่องวัดบอกว่ามันยังแย่มาก มันหมายความว่า เรามีมาแต่เดิมเป็นนิสัยสันดานมาตั้งแต่เด็กถูกสอนให้เอาตัวรอดกันมาทั้งนั้นนี่มันมากนักกลายเป็นนิสัยอย่างนี้มันก็ลำบากมันมีปัญหาที่ต้องละ ตอนนี้มันก็ยากถ้าสอนให้เป็นคนตรงมาเสียแต่เล็กมันก็จะยังค่อยยังชั่วไอ้ตรงจริงนี้ไม่ใช่เถรตรง, ไอ้เรื่องเถรตรงหรือซื่อจนเซ่อจนโง่จนตายไปเลยไอ้นั่นมันก็ใช้ไม่ได้ นี่ต้องซื่ออย่างถูกต้องและพอดีนี้เป็นเรื่องที่จัดไว้ในธรรมะที่สำคัญ, ธรรมะที่สูงสุด, ธรรมะที่สำคัญ คนเราจะต้องเป็นคนซื่อตรงที่ถูกต้องที่พอดีไม่อย่างนั้นมันจะเป็นคนที่ผ่าซากเป็นคนบ้าบิ่นและกลายเป็นคนทะนงหรือว่าดูถูกดูหมิ่นคนอื่นไปเลย ฉะนั้นความถูกต้องและพอดีมันมีความหมายมาก ทีนี้เราจะพิจารณาเรียกมันรวมๆ ว่า ความรู้สึกเก้อ, เก้อเขินนี่ต้องไม่มีเราจึงจะมีความสุข ทำไมเราจึงความรู้สึกเก้อ, รู้สึกเก้อเขินขึ้นมา หรือประหม่าขึ้นมาอะไรขึ้นมานี้ก็เพราะยึดถือมันยึดถืออย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เต็มที่มันจึงจะมีความรู้สึกชนิดที่เก้อ หรือละอาย หรือประหม่า หรืออะไรออกมา และก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่มีเหตุผลหรือถูกต้อง มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดมันจึงไปเกิดเก้อ หรือละอาย หรืออะไรขึ้นมา หรือบางทีก็เป็นโรคที่มากไป ที่มากไปกว่านั้นก็เป็นโรคทางประสาททางจิตชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่ นี้เราถือว่าคนธรรมดาสามัญนี้มันก็มีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่มีอยู่ส่วนหนึ่งที่จะรู้สึกเก้อ, รู้สึกประหม่า, รู้สึกละอาย มันเป็นเหตุให้เราโกรธง่ายหรือทำสิ่งที่มันไม่ควรจะทำไม่ต้องทำ ออกไปได้มากๆ ที่เรียกว่าละอายโดยไม่ควรละอาย, ละอายในสิ่งที่ไม่ควรละอายก็ไปเก้อเขินงกๆ เงิ่นๆ ขึ้นมาโดยไม่จำเป็น
นี่เราก็ลองสังเกตดูว่าเรามีมากน้อยเท่าไรทำไมเมื่อเวลาที่เราจะต้องไปอยู่ที่หน้าไมโครโฟนเพื่อพูดต่อที่ประชุมใหญนี่เรามันจึงเก้อเขินประหม่ากระทั่งจิตใจฟุ้งซ่านพูดอะไรไม่ได้เรื่อง นี้เขาเรียกว่า เดินสะดุดดินราบ คือ ไม่มีก้อนหินหรือตอไม้อะไรเดินไปพื้นดินเฉยๆ มันก็ยังสะดุดเพราะความที่มีจิตใจงกๆ เงิ่นๆ ที่ในที่นี้เรียกว่า ความรู้สึกเก้อ, เก้อเขิน เมื่อเราจะบวชเป็นพระจะเข้าที่ประชุมสงฆ์ กรรมวาจา ก็ยังสอนว่าอย่าเป็นผู้เก้อเขิน มามํกุ อย่าเป็นผู้เก้อนะคือ อย่างกๆ เงิ่นๆ อย่าฟุ้งซ่าน ให้มีใจคอปรกติเข้าไปขอบรรพชาอุปสมบทเห็นได้ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญเป็นคนที่ประหม่าหรือเก้อเขินจนจิตใจไม่อยู่กับตัวมันก็ใช้อะไรไม่ได้จะให้ทำอะไรมันก็ทำอย่างละเมอๆ ถ้าเราเดินไปผ่านที่ประชุมใหญ่หรือว่าผ่านไปต่อหน้าสายตาที่เขาจ้องมองเราอยู่นับพันนับหมื่นอะไรนี้นั้นด้วยใจคอที่เป็นปรกติได้เรียกว่าเป็นคนที่ไม่เก้อ, ไม่งกๆ เงิ่นๆ จะด้วยอำนาจหมดกิเลสก็ได้แต่ว่าเราตอนนี้เรายังไม่หมดกิเลสก็ด้วยอำนาจที่เราสามารถบังคับตัวเอง บังคับจิตก็คือบังคับตัวเองไม่ให้ ตัวกู-ของกู มันโง่ไปในตอนนี้จนเกิดความเก้อ, ความประหม่า, ความกลัว, ความระแวงเมื่อเราส่งจิตไปเสียที่อื่นซึ่งถือเอาเป็นที่พึ่งได้ ไอ้ความรู้สึกเก้อเขิน งกๆ เงิ่นๆ หรือประหม่านี้มันก็หายไปเมื่อเราจะเกิดความรู้สึกอย่างนี้ หรือเมื่อจะต้องผ่านเข้าไปในที่ต้องทำให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้ต้องเตรียมจิตใจให้ดีๆ นึกถึงอะไรที่มันจะช่วยได้ บางทีไอ้ ตัวกู-ของกู ชนิดอื่นที่ดีกว่ามันมาช่วยได้ ไอ้ตัวกูเล็กๆ ที่โง่ๆ นี้มันจะทำให้ประหม่า งกๆ เงิ่นๆ ก็ไปหาตัวกูที่ดีกว่าที่สูงกว่ามาช่วยกลบเกลื่อนไว้ทีอย่าแสดงบทบาทอย่างนี้ออกมา
ผมก็เคยใช้วิธีอย่างนี้จะต้องสารภาพตอนแรก ๆ ที่จะต้องขึ้นไปบนธรรมมาสน์เทศน์ตอนแรกๆ บวชนั้นมันก็มีความประหม่าความงกๆ เงิ่นๆ เก้อเขินไอ้ที่เรียกว่าเดินสะดุดพื้นราบนี้มันก็ทำความรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้กูเป็นคนของพระพุทธเจ้าโว้ย, กูเป็นราชสีห์เป็นลูกราชสีห์โว้ยกูไม่กลัวน้ำหน้ามึง นี่บางทีมันใช้คำหยาบในจิตใจอย่างนี้มันจึงมีความปรกติเดินขึ้นไปบนธรรมมาสน์แล้วพูดออกไปเทศน์ออกไปโดยไม่มีอะไรส่อให้ใครเห็นว่าเรานี้กำลังกลัวกำลังประหม่า กำลังงกๆ เงิ่นๆ แต่วิธีอย่างนี้ก็ไม่ค่อยน่าดูนะแต่มันก็ยังดีกว่าที่มันจะล้มละลาย วิธีที่ดีไปกว่าก็คือ ทำความเมตตากรุณาเปลี่ยนเป็นตัวกูที่นิ่มนวล วันนี้แม่พ่อพี่น้องของกูทั้งนั้นที่นั่งฟังอยู่นี่, ที่นั่งล้อมธรรมมาสน์อยู่นี่ไม่มีใครจะคอยหัวเราะหรือจะคอยจับผิดอะไรเลยเป็นพวกเราที่หวังดีทั้งนั้นมันก็แก้เก้อได้ นี่บางทีก็เชื่อตัวเองว่า เราทำได้แน่หรือว่าเป็นทำด้วยมือซ้ายด้วยซ้ำไปที่จะขึ้นไปพูดนี้เชื่อสติปัญญาของตัวเต็มที่ไม่เห็นที่จะต้องกลัว เรื่องงกๆ เงิ่นๆ ไม่มีเรื่องเก้อมันก็สบาย ความเก้อนี่ทำให้ฟุ้งซ่านทำให้เหงื่อแตกทำให้อะไรยุ่งไปหมด และที่ร้ายที่สุดก็คือ เป็นทุกข์มีความทุกข์แล้วจะเอาอะไรกับมันมันเป็นทุกข์ด้วยแล้วมันทำให้เสียหายด้วย ฉะนั้นเราจะต้องชนะสิ่งเหล่านี้ให้ได้มากขึ้นทุกที, มากขึ้นทุกที อย่าไปมัวใช้วิธีแก้เก้อหรือยิ่งไปกว่านั้นก็คือ วิธีอันธพาล ถ้ามันจะล้อเราก็ด่ามันหรือชกมันหรือถ้ามันจะคอยมองดูเราให้เราเก้อก็ด่ามัน นั้นมันเป็นวิธีอันธพาลหรือจะต่อต้านกันโดยวิธีใดวิธีหนึ่งมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ฉะนั้นเมื่อใครพูดอะไรกับเราก็อย่าไปรับเอามาด้วยความโง่แล้วเอามาเก้อ, เอามาละอาย, เอามาอะไรโดยไม่มีเหตุผล ถ้าคนโง่พูดก็ยกเลิกกันเพราะมันเป็นคนโง่พูดเราก็ไม่ต้องละอาย ถ้าคนมีปัญญาครูบาอาจารย์พูดก็บอกเขาสอนให้มันดีให้มันฉลาดขึ้นมาก็ไม่ต้องละอาย ฉะนั้นจึงไม่มีโอกาสที่จะเก้อ ถ้าเป็นผู้ที่ต่ำกว่าเรา หรือเสมอกันกับเราหรือสูงกว่าเราก็ไม่มีทางที่ทำให้เราเป็นคนเก้อได้ ฉะนั้นมันอยู่ในโลกนี้สบาย ฉะนั้นถ้ารู้สึกว่าเรายังมีอะไรที่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยภายนอกมากนักละก็ควรจะละอายตัวเองเสียบ้างรีบแก้ไขไม่ต้องไปละอายคนนอกหรือของข้างนอก, ละอายตัวเองแล้วรีบแก้ไขเสียจนเป็นผู้มีความกล้าหาญมีความแน่ใจมีความไว้ตัวเองเหมือนกับที่พูดมาแล้วเมื่อตอนต้นๆ ก็เป็นหนทางที่ทำให้มีความสุขได้หนทางหนึ่ง นี่ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่เอามาพูดให้เป็นตัวอย่างให้สังเกตสำหรับศึกษาและปฏิบัติไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือว่าเรื่องง่ายๆ ตื้นๆ มันเป็นเรื่องง่ายๆ ตื้นๆ ของคนโง่ซึ่งไม่มองอะไรให้ลึกซึ้งโดยไม่มองเห็นว่าถ้าละกิเลสอันนี้ได้มันก็เป็นพระอรหันต์ ความเก้อจะไม่มีแก่พระอรหันต์เพราะท่านไม่ต้องการอะไรจึงไม่กลัวอะไร, จึงไม่ระแวงอะไร, จึงไม่มีความเก้อ คนธรรมดามันยังต้องมีก็ต้องหาทางควบคุมแก้ไขปรับปรุง หรือบรรเทาอะไรไปตามเรื่อง
เอาละ เรื่องสุดท้ายอยากจะรวบรัดอีกสักข้อหนึ่งก็คือว่า ความไม่มีอะไรวิปริตผิดปรกติ อันนี้ยืดยาวมากและรู้ได้ยาก ทุกคนมันรู้จักตัวเองได้ยากนี่ก็เป็นเรื่องทั่วไปที่เคยพูดกันทุกหนทุกแห่งว่ามันรู้จักตัวเองนี่รู้ยาก การที่จะรู้จักตัวเองว่ามีอะไรที่มันวิปริตนี้มันยิ่งยาก, ความวิปริตทางร่างกายก็มี, ความวิปริตทางระบบประสาทหรือระบบจิตที่เนื่องอยู่กับร่างกายคือ ทาง mentality นี่ก็มี ความวิปริตที่ผมเรียกว่าทางวิญญาณทาง spiritual ไม่รู้จะแปลว่าไรก็แปลว่า ทางวิญญาณ มันมีความวิปริตทางวิญญาณก็มี, วิปริตทางกาย, วิปริตทางจิต, วิปริตทางวิญญาณ อวิชชาโดยเฉพาะนั่นละคือ ความวิปริตทางวิญญาณ รวมทั้งความโลภ, ความโกรธ, ความหลงที่มาพร้อมกับอวิชชาในระดับที่ลึกซึ้งซ่อนเร้นนั้นก็คือ ความวิปริตทางวิญญาณ ทีนี้ทางระบบจิตที่มันเนื่องอยู่กับร่างกายนี้ก็คือว่า ระบบประสาทไม่ปรกติจะเป็นโรคเส้นประสาท, ครึ่งโรคประสาท, ครึ่งโรคจิตก็มีความรู้สึกที่รุนแรงในเรื่องรัก, เรื่องโกรธ, เรื่องเกลียด, เรื่องกลัว, เรื่องอะไรต่างๆ มันก็เป็นเรื่องวิปริตที่สองที่รองลงมาคือ เรื่องทางจิต ทีนี้มันวิปริตในทางกายโดยตรงเช่น ก้อนเนื้อสมองมันไม่ปรกติหรือว่าไอ้ระบบประสาทเนื้อหนังทั่วไปมันไม่ปรกติแล้วก็ทำให้เกิดความไม่ปรกติแก่จิตแก่วิญญาณอีกทีหนึ่ง เพราะนั้นเราต้องมีร่างกายที่ปรกติที่ถูกต้องไม่เป็นโรคนั่นนี่ทางกายอยู่ แม้แต่เราเป็นโรคคันมันก็ไม่ไหวมันยากที่จะมีใจคอปรกติสำหรับคนธรรมดาสามัญก็ต้องแก้ไข ถ้าเราเป็นโรคขาดอาหารเป็นโรคอะไรที่ทำให้ร่างกายมันไม่มีสมรรถภาพก็ต้องแก้ไขเพราะนั้นจิตมันก็มีสมรรถภาพไม่ได้ เรื่องบริหารร่างกาย, การกิน, การอยู่ปรับปรุงร่างกายให้เหมาะสมก็เป็นเรื่องทำให้หมดปัญหาไปทางหนึ่ง ฉะนั้นอย่าละเลยหรืออย่าโง่ในเรื่องนี้ก็ควรจะปรับปรุงร่างกายให้มีสุขภาพอนามัยดีเท่าไร, ทำ
พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสห้ามไม่ได้ห้ามในฐานะเป็นของผิดแต่กลับส่งเสริมบัญญัติวินัยอะไรต่าง ๆ ไว้ สำหรับส่งเสริมสุขภาพทางกายมีเยอะแยะไปหมดนี่ก็ดูให้ดี เรื่องความสะอาดความเป็นอยู่ที่ถูกต้องอนามัยทุกชนิดอย่าให้มันผิดปรกติแล้วให้เรามันมีความเข้ากันได้กับธรรมชาติดินฟ้าอากาศร้อนเย็น, มีภูมิคุ้มกันหรืออะไร immunity ความต่อต้านต่อสิ่งแวดล้อมนี้ให้มันพอ จะมาอยู่ในที่ๆ มันหนาวจัดร้อนจัดอย่างนี้ถ้ามันไม่มีความต่อต้านพอมันก็มีใจคอผิดปรกติทำอะไรไม่ได้ จึงต้องฉลาดในการปรับปรุงอย่าให้เกิดปัญหาทางนี้ขึ้นมา, อยู่ในที่หนาว, อยู่ในที่ร้อน, อยู่ในที่แม้แต่ยุงชุม, ก็รู้จักจัดรู้จักทำให้มันมีความปรกติเท่าที่จะทำได้ ถ้าคุณมีอะไรไม่ดี เช่นว่า ไฟธาตุไม่ดีคุณก็จะมีท้องเสียประจำวันแล้วจะไปทำอะไรได้ เราก็ต้องแก้ไขปรับปรุงให้เรามีความต้านทานต่ออาหารที่กินเข้าไปต่ออะไรที่เข้ามาเกี่ยวข้องเสียในเวลาอันสมควร, มีโรคผิวหนังมีโรคอะไรต่างๆ ก็รักษาให้มันหายไปเสีย, ปรกติทางกายเพราะว่าถ้าขืนปล่อยไว้มันจะทำให้เกิดความไม่ปรกติทางจิตทางวิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งส่วนใดส่วนหนึ่งโดยไม่รู้สึกตัว
ทีนี้ก็มาถึงว่าไอ้ปรกติทางจิตเป็นเรื่องยากที่คนจะรู้ได้เอาเองง่ายๆ ว่า ปรกติทางจิตนั้นคืออย่างไร คนบ้ามันก็ไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองบ้า, คนเมาก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองเมา, ไม่รู้สึกว่าตัวเองเมาหรือตัวเองบ้า นั่นมากไป เห็นชัดแต่ส่วนที่มันจะเป็นกันได้ทั่วไปทุกๆ คนนี่มันก็ยังยากคือว่า เรามันมักจะรู้สึกว่าเรามันถูกต้อง หรือดี หรือปรกติอะไรเสมอ, เห็นคนอื่นเป็นไม่ปรกตินี่เป็นกันมากนี้ที่เขาพูดไว้อย่างหน้าหัวว่า ทุกคนต้องเป็นบ้า เหลืออยู่สิบห้าเปอร์เซ็นต์นี่หมายความว่า ระดับที่มองกันไม่เห็นว่าบ้าแต่มันเป็นบ้าอยู่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ผมยอมรับว่ามันมีส่วนถูกหรือจริงกับเขาด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องระวังให้ดีในข้อนี้ความผิดปรกติที่เราไม่รู้สึกที่เราไม่รู้จักมีอยู่สิบห้าเปอร์เซ็นต์อย่างน้อย ทีนี้ส่วนที่เรารู้สึกหรือรู้จักเรายังบังคับมันไม่ได้ทำไมเราจะต้องไปว่าคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดีเราจะต้องตั้งตัวเป็นครูสั่งสอนคนอื่น คิดดูให้ดีมันเป็นความปรกติทางจิตหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นเข้าแล้วมันไม่รู้สึกว่าเป็นความไม่ปรกติทางจิต ทีนี้ต่างคนต่างก็เป็นกันอยู่มันก็เลยกระทบกัน, ได้ทะเลาะวิวาทกัน, ได้ชกต่อยกันเพราะต่างคนต่างไม่รู้ว่ามันพอเหมาะพอดีพอสมควรเท่าไรส่วนที่สิบห้าเปอร์เซ็นต์มันก็ซ่อนเร้นอยู่ เพราะนั้นผมอยากจะพูดว่าขอให้ยอมรับกันเสียดีๆ ว่าเราเป็นโรคนี้แล้วก็โดยไม่รู้สึกตัวกันอยู่มากที่สุดทุกคน และถ้าใครจะมีข้อแก้ตัวให้แก่ตัวเองอย่างไรก็ไปทดสอบดูพิจารณาดูไม่ต้องมาแก้ตัวหรือว่าพิสูจน์กับผมมันไม่จำเป็น และก็ไม่ต้องการด้วย ต่างคนต่างเอาไปพิจารณาดูของตัวเองว่าเราเป็นโรควิปริตทางจิตนี่กันอยู่โดยไม่รู้สึกตัว คำว่าไม่รู้สึกตัวนี่สำคัญ และก็เป็นส่วนมากเพราะว่าไม่มีอะไรจะมาช่วยวัดหรือช่วยทดสอบมันจิตนั่นละวัดจิต และเมื่อจิตมันเป็นอย่างนั้นไปเสียแล้วมันจะไปวัดได้อย่างไร นั่นเรียกว่าปัญหาหนักมันอยู่ที่นี่ หรือบาปกรรมของสัตว์มันอยู่ที่นี่ บาปกรรมดั้งเดิมแต่ไหนแต่ไรมันอยู่ที่นี่ไม่มีทางที่จะรู้จักตัวเองให้ถูกต้องได้เพราะไม่มีอะไรอื่นที่จะมารู้จักตัวเองได้นอกจากจิตดวงนั้น ทีนี้อะไรจะเป็นผู้สั่งสอนให้รู้จักตามธรรมชาติธรรมชาติก็สั่งสอนตามผ่านไปในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้มันก็สั่งสอน ผิดมันก็เจ็บปวด, เป็นทุกข์มันก็สั่งสอนแล้วอีกส่วนหนึ่งก็คือครูบาอาจารย์ นับตั้งแต่บิดามารดาครูบาอาจารย์คนแรก สอนมาเรื่อยให้มันรู้จักผิดรู้จักถูกแล้วคนก็ไม่เชื่อ ที่ธรรมชาติสอนอย่างเจ็บปวดมันยังไม่ค่อยเชื่อมันยังลืมยังลืมเก่ง ผลสุดท้ายเวลานี้เราเป็นคนที่ยังไม่มีจิตปรกติ หรือถูกต้องยังมีส่วนที่ผิดโดยไม่รู้สึกตัวนั้นอยู่มากขอให้สังเวชกันตอนนี้, สลดกันตอนนี้, ไม่ประมาทกันในตอนนี้ในเรื่องนี้อย่าอวดดีไป, อย่าเพิ่งอวดดี, อย่าอวดดี เรากำลังมีโรคทางจิตที่ไม่รู้สึกตัวนี่อยู่อย่างเต็มที่เพราะว่าจิตของเรายังเด็กนักจิตของเรายังมีความเจนจัดน้อยนัก แล้วเราก็หล่อเลี้ยงมันไว้ด้วยสิ่งตรงกันข้ามคือ สิ่งที่ทำให้มันหลงมากไปอีก เราโกรธเก่งแล้วเราก็ชินมากขึ้น, เราพูดโดยไม่ยับยั้งเก่ง, นานๆ เข้าก็เป็นนิสัย, เรานิ่งไม่เป็น นี่เรื่องที่ทำให้เราไม่รู้ว่าแค่ไหนมันพอดี ฉะนั้นคนโบราณเขามักจะเอาปลอดภัยไว้ก่อนในเรื่องอย่างนี้นิ่งเสียจะดีกว่าที่จะพูดออกไปเพราะพูดออกไปมันมีส่วนผิดมากกว่าถูก ถึงแม้พูดถูกมันก็ยังนิ่งเสียดีกว่าเพราะว่าการพูดถูกในบางครั้งนั้นไม่ได้ทำให้คนอื่นรู้สึกชอบ ฉะนั้นต้องดูตาม้าตาเรือกันมากไม่ใช่ว่าจริงหรือถูกแล้วก็จะพูดออกไป อันนี้ต้องดูตาม้าตาเรือว่ามันควรจะพูดหรือไม่ถ้ามันไม่ควรพูดมันก็ไม่พูดคือ นิ่งเสียดีกว่าเพราะว่าพูดออกไปแล้วมันทำให้เกิดเรื่อง แต่แล้วใครจะมารู้เรื่องนี้ของตัวได้นอกจากตัวเอง ทีนี้ตัวเองมันก็ไม่รู้เพราะฉะนั้นคนเราจึงพูด หรือทำ หรืออะไรลงไปชนิดที่นิ่งเสียดีกว่ามีมาก ทีนี้มันร้ายกาจตรงที่ว่าเราไม่ยับยั้งเราก็พูดออกไปด้วยความทะนงหรือโทสะหรืออะไร อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ยิ่งเสียหายมาก
ไหนๆ พูดแล้วก็อยากจะพูดนอกขอบเขตไปบ้างว่าเมื่อพระพุทธเจ้าท่านจะไปโปรดใครสอนใครนี่ ท่านนึกอยู่เป็นประจำเป็นวัน, เป็นเดือน หรืออาจจะเป็นปี ที่เรียกว่าเล็งญาณส่องโลก อุปันเห ปินทะปาตัญจะ สายันเห ธัมเทสะนัง โทเสภิกขุ โอวาทัง อะไร ปฏิเสวโต กาเลภัพพาเต วิโทกานัง (นาทีที่ 47:17) หัวรุ่งท่านจะลุกขึ้นตื่นแต่ดึกไก่ขันนี้, เพื่อจะเล็งญาณส่องโลกเพื่อว่าจะไปโปรดใคร, เพื่อวันนี้จะไปช่วยใครในทางวิญญาณ ก็ต้องไล่ไปๆ ๆ คนนั้นคนนี้คนโน้น เห็นว่าคนนี้มันเหมาะแล้วสำหรับวันนี้จึงจะไป ฉะนั้นคนบางคนอาจจะถูกนึกถึงตั้งหลายๆ หนแต่มันยังไม่เหมาะที่จะไปโปรดเขาก็ยังไม่ไป ทีนี้คนนี้มันแน่แล้ว เลยพระพุทธเจ้าท่านก็ตระเตรียมคือว่า จะเจตนาเสด็จบิณฑบาตรไปทางนั้นหรือไปพบคนนั้นให้มีโอกาสได้พูดจากับคนนั้นให้จงได้ นี่การคิดที่จะพูดจาอะไรกับใครนั้นคิดมากถึงอย่างนี้เพราะนั้นเรื่องก็ไม่มีโทษมีแต่ประโยชน์นี่เรื่องมันก็ไม่มีส่วนที่จะผิดหรือวิปริตขึ้นมาได้นี่เป็นตัวอย่างสูงสุด ถ้าเราจะปล่อยไปตามไอ้ความรู้สึกชั่วขณะอารมณ์ชั่วแล่นแล้วมันมีหวังผิดเกิน ๙๙% ที่พูดนี้ก็เพื่อให้รู้สึกว่าไอ้การที่ตัวเราจะรู้สึกว่าผิดปรกตินี้มันรู้ได้ยาก ฉะนั้นเราหาทางที่มันปลอดภัยไว้ก่อนอย่าให้ความวิปริตของเราไปทำอันตรายใครเข้ามันก็ปลอดภัย และตัวเราเองก็จะดีขึ้นด้วย และเรื่องทางสังคมมันก็จะไม่มีเสียหายด้วย แปลว่าจิตใจของเราโดยส่วนตัวก็พอมีความสงบสุข อันตรายหรือศัตรูจากข้างนอกจากสังคมมันก็ไม่มี มันก็ทำให้จิตใจของเราปรกติมากขึ้นถ้าเราอยู่ด้วยความกระทบกระทั่งรอบด้านนี้มันก็ยากนะที่เราจะมีจิตธรรมดาสามัญนี้ปรกติได้ก็ต้องถือว่ามันมีวิปริตอยู่เรื่อย, มันสะดุ้งอยู่เรื่อย, มันระแวงอยู่เรื่อย, มันอะไรอยู่เรื่อยโดยไม่มีเหตุผล, โดยไม่แสดงต้นเหตุก็แปลว่า เราอยู่ด้วยจิตที่ผิดปรกติหรือไม่ปรกติตลอดชีวิตก็ได้ นี่ปุถุชนจึงต่างกับพระอรหันต์อย่างนี้ที่อยู่ด้วยความทุกข์ที่ต้องทนๆ ๆ ๆ กันไป พอต้องทนได้จนตายนี้นี่เรียกว่าระบบจิตมันไม่ปรกติไม่สงบยังวิปริตอยู่ต้องแก้ไข ทีนี้สูงขึ้นไปคือว่า ทางวิญญาณระบบวิญญาณไม่มีวิปริตนี่ต้องศึกษามากต้องพิจารณามาก ต้องศึกษามากเป็นเรื่องสติปัญญาล้วน ๆ ต้องศึกษาให้รู้ความจริงของธรรมชาติ, อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา กำจัดอวิชาให้หมดไป เป็นเรื่องตัดรากเหง้าของความวิปริตทั้งปวงเหมือนที่เราบวชเข้ามาประพฤติพรหมจรรย์ก็เพื่อจะทำลายเสียซึ่งความวิปริตทางฝ่ายวิญญาณสูงสุดนั้นนะที่เรียกว่าบวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง
เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยพูดกันแล้วสมัยผมในคำขอทำบรรพชา จะต้องมีความว่า สัพพะทุกขะ, นิสสะระณะนิพพานะ, สัจฉิกะระณัตถายะ, เอตัง [อิมัง] กาสาวัง ทัตวา, ปัพพาะเชถะ มัง ภันเต เดี๋ยวนี้เลิกเสียแล้วคำพูดอย่างนี้ มาใช้แบบใหม่ๆ กันหมดไม่มีคำเอ่ยอย่างนี้ในวันที่ขอบรรพชาอุปสมบท สมัยผมบวชยังมีอยู่ผมก็ได้บวชโดยวิธีนั้นโดยคำกล่าวอย่างนั้น บวชเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานอันเป็นที่ออกไปจากความทุกข์ทั้งปวง ขอท่านจงรับเอาผ้ากาสายะนี้ และทำการบรรพชาให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานอันเป็นที่ออกไปจากทุกข์ทั้งปวง สัพพะทุกขะ, นิสสะระณะนิพพานะ, สัจฉิกะระณัตถายะ มันต้องถือว่าไอ้การบวชนี่ในพุทธศาสนานี่เพื่อจะทำลายล้างเสียซึ่งความวิปริตในทางวิญญาณ สามารถทำพระ นิพพาน ให้แจ้งหมด อวิชชา รู้ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ถ้าความสว่างไสวอย่างนี้มันมีอยู่ในวิญญาณในจิตในวิญญาณจึงจะเรียกว่า จิตหรือวิญญาณนั้นปรกติ ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ใดที่จะมาทำให้ชอบหรือไม่ชอบมันคือความสงบ, คือความสะอาด, คือความสว่าง, คือความสงบจึงถือว่า มันขั้นสูงสุดหรือขั้นสุดท้ายเป็นความไม่วิปริตของสติปัญญาของวิญญาณ ถึงอย่างไร ๆ ผมก็อยากจะขอร้องว่าแม้เป็นสมัยนี้เป็นสมัยปัจจุบันนี้หรือว่าเราจะบวชเพียงชั่วคราวก็ตาม ขอให้ถืออุดมคติอันสูงสุดนี้ไว้เสมอไปจะทำให้แจ้งในสิ่งสูงสุด, ทำให้แจ้งถึงสิ่งสูงสุดคือ นิพพาน อยู่เรื่อยไป เพราะว่าแม้เป็นฆราวาสมันก็ต้องมุ่งหมายอันนี้ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ใช่พุทธบริษัท
ทีนี้ฆราวาสมันทำได้ยากจึงมาบวชเพื่อทำได้ง่ายทำได้เร็วกว่าความเป็นฆราวาส ดังนั้นตลอดเวลาที่ยังบวชอยู่จะเป็นพระเป็นเณรอะไรก็ตาม มันก็ต้องมุ่งหมายไอ้ความถึงที่สุดของความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของเรื่องทางวิญญาณทางจิตทางวิญญาณแล้วแต่จะเรียก วิธีบวชอย่างเก่าคำขอบรรพชาเป็นเณรก็ออกชื่ออย่างนี้ บวชเป็นเณรก็ต้องว่า สัพพะทุกขะ, นิสสะระณะนิพพานะ, สัจฉิกะระณัตถายะ เขาทำไว้ดี มาอยู่วัดวันแรกต้องเรียนหัวใจของพุทธศาสนาก่อน, มาอยู่วัดเพื่อจะบวชวันแรกต้องเรียนหัวใจของพุทธศาสนาก่อนคือ ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะ มานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง เรื่อง สุญญตา อนัตตา สูงสุด เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเรียน มาถึงก็จะเรียนแต่คำขอบรรพชาอุปสมบทเอาสุกเอาเผากินอย่างนั้นนะ ถ้าสมัยโน้นมันเรียนหัวใจของพุทธศาสนาก่อนไปดูคำแปลบทปัจจเวก ยะถาปัจจะยัง กันเอาเอง ที่สวดกันอยู่ทุกวันนี้นับว่าดีมาก ถึงวัดอื่นจะไม่สวดก็ตามใจหรือสวดก็สวดไม่รู้ว่าอะไรมาอยู่วันแรกต้องเรียนหัวใจของพุทธศาสนา นิสสัตโต นิชชีโว สุญโญ แล้วถึงวันถึงชั่วโมงที่ขอบรรพชาก็ต้องยืนยันว่าผมบวชเพื่อ สัพพะทุกขะ, นิสสะระณะนิพพานะ, สัจฉิกะระณัตถายะ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานอันเป็นที่ออกไปจากทุกข์ทั้งปวง ไอ้เด็กเล็กๆ บวชเณรมันก็ว่าอย่างนกแก้วนกขุนทองถึงผมก็เหมือนกันตอนนั้นมันก็ไม่ค่อยรู้อะไรนักพอรู้บ้างว่าเพื่อ นิพพาน แต่เชื่อแน่ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดก็ไม่เป็นนกแก้วนกขุนทองเสียทีเดียว
ฉะนั้นเราจงมองดูกันในแง่นี้ละว่าไอ้ความวิปริตทางวิญญาณนี้มันจะสูญสิ้นไปเพราะว่าเราประพฤติพรหมจรรย์ได้ถูกต้องถึงที่สุดมันก็ไม่มีปัญหาที่ว่าเราจะไม่มีความสุข รวมความว่าเราไม่มีความวิปริตทางร่างกาย, ไม่มีความวิปริตทางจิต, ไม่มีความวิปริตทางวิญญาณเหลืออยู่, มีความสุขอย่างยิ่ง ส่วนข้อที่ร่างกายจะต้องแก่ชราเจ็บป่วยนั้นมันเป็นเรื่องของร่างกายจิตไม่รับเอามา มันก็เหมือนกับเราไม่มีคือ มันไม่ความวิปริตไปตามร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปโดยความชรา ทีนี้ถ้าว่าจิตมันจะเกิดเป็นโรคอะไรขึ้นมาเพราะโรคสมองพิการ เป็นอัมพาตเป็นอะไรก็ตามไอ้วิญญาณมันก็อยู่ตามเดิมของมันคือ มันก็จะยึดหลักที่ว่าไม่มีอะไรที่น่ายึดมั่นถือมั่นอยู่ตามเดิมอยู่จนวาระสุดท้ายที่มันจะรู้สึกได้ พอมันรู้สึกไม่ได้เสียแล้วมันก็เลิกกันไม่ต้องรับผิดชอบ นี่เรียกว่ามีความปรกติทางกาย, ทางจิต, ทางวิญญาณ เป็นสัญลักษณ์ของความมีความสุขที่แท้จริงและสมบูรณ์ นี่ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมพูดถึงตัวอย่างสองสามอย่างอันสุดท้ายที่จะให้เปรียบเทียบว่ามีความสุขสมบูรณ์นั้นมันมีลักษณะอย่างไร ถ้าเราทำอย่างอื่นไม่ได้เราก็พิจารณาดูเป็นรายๆ อย่าง, แต่ละอย่างๆ ในชีวิตประจำวันของเรา และมีสติสัมปชัญญะที่จะป้องกันแก้ไขรักษาหรืออะไรแล้วแต่ว่าควรจะทำอย่างไรแล้วเราก็จะค่อยๆ มีความสุขที่แท้จริงมากขึ้น, มีความเยือกเย็น, มีความสะอาด, สว่าง, สงบในทางจิตใจมากขึ้นคือ ตัวกู-ของกู มันลดน้อยลงไปมันเย็นลงไป จนว่าสิ่งอะไรมากระทบกับเราเข้าแล้วให้มันเป็นเหมือนกับว่าคลื่นมากระทบฝั่งทำอะไรเราไม่ได้แล้วเวทนาทั้งหลายก็จะเป็นของเย็นเหมือนที่ท่านพระพุทธเจ้าท่านตรัส เวทนาของเราจักไม่มีที่จะเป็นของร้อนเรียกว่า จักเป็นของเย็นตลอดเวลาที่เรามีสติสัมปชัญญะอยู่ พอเราเผลอไปเมื่อไรมันเป็นของร้อนเมื่อนั้นนี่เราไม่เผลอมันก็เป็นของเย็นอยู่จนกว่ามันจะเย็นเด็ดขาดเพราะว่ามันทำลาย ตัวกู-ของกู ได้หมดจดสิ้นเชิง ถึงรากถึงเหง้า เดี๋ยวนี้ก็อยู่ในขั้นที่เรียกว่าควบคุมนี้บรรเทานี้ไปเรื่อยๆ ด้วยหลักเกณฑ์อย่างที่ว่ามานี้โดยมีสิ่งเหล่านี้มีตัวอย่างเหล่านี้เป็นเครื่องสังเกตให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นจะควบคุมมันได้ง่ายขึ้น ถ้าเราไม่รู้จักอะไรเสียเลยก็ควบคุมยากเพราะไม่รู้จะควบคุมอะไร นี่ก็เป็นการบอกที่เพียงพอแล้วว่าจะต้องควบคุมความรู้สึกหลายๆ ชนิดตามตัวอย่างที่ได้ยกมาให้ดู เอาละเวลาของเราหมดกันที