แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายธรรมปาฎิโมกข์ของเราว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับ ตัวกู-ของกู ไปตามเดิม และกำลังบรรยายโดยหัวข้อว่าองค์ประกอบของความสุข ซึ่งมีอยู่หลาย ๆ องค์ด้วยกันว่าการที่เราจะมีความสุขตามความมุ่งหมายในพุทธศาสนาได้นั้น จะต้องมีความรู้สึกอิ่มทางกาย, อิ่มทางจิต, อิ่มความดีหรืออิ่มธรรม นี่ธรรมะนี่ เรียกว่าความอิ่มคือความผาสุก, สะดวกสบาย, ร่าเริงตามทางธรรม นี่ก็ความสุขตามทางธรรมแล้วก็มีถัดไป คือ ความแน่ใจว่าความเป็นอยู่ของเราถูกต้อง, ไม่มีความชั่วไม่มีบาปที่ทำโดยเจตนา นี่เรียกว่าความแน่ใจว่าเราเป็นคนอย่างนั้นนี่ก็เป็นองค์อันหนึ่งแล้วก็มาถึงความรู้สึกว่าเราเป็นผู้ไม่มีเวรไม่มีภัย สัตว์ทั้งโลกไม่มีเวรไม่มีภัยแก่เรา เรามีความรักสัตว์ทั้งโลกหรือสิ่งที่มีชีวิตไม่มีจำกัดไม่มีประมาณอย่างนี้เรียกว่าเป็นความรักสากลเป็นความไม่มีเวรไม่มีภัยที่เป็นสากล ล้วนแต่เป็นองค์ประกอบของสิ่งที่เรียกว่าความสุขอย่างหนึ่ง ๆ ถ้ามีองค์ประกอบอย่างนี้ความสุขนั้นเป็นความสุขที่แท้จริง ฉะนั้นขอให้ทบทวนไว้เสมออย่าให้ฟังแล้วแล้วไป
ทีนี้วันนี้จะพูดในหัวข้อที่ว่าความมีอิสรภาพ คำว่าอิสรภาพเป็นคำที่ชินหูกันมากแต่ว่าความหมายจะเหมือนกันหรือไม่, ถูกต้องตรงกันหรือไม่ ในที่นี้เราจะพูดถึงความอิสรภาพตามหลักของธรรมะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพุทธศาสนา คำว่าอิสรภาพในภาษาชาวบ้าน, ภาษาการเมือง, ภาษาคนธรรมดานั้นก็ไปอย่างนึง อิสรภาพในภาษาธรรมะหรือภาษาศาสนาก็ไปอีกอย่างหนึ่ง แต่ในที่นี้เรารวบหมดทุกชนิดของความเป็นอิสระหรือที่เรียกว่าอิสรภาพ ฉะนั้นขอให้กำหนดไว้ให้ดีๆให้มันเป็นอย่างๆ ไป อย่าได้ปนกันยุ่ง ถ้าหากว่าเราไม่มีอิสรภาพแล้วไอ้สิ่งที่เรียกว่าความสุขนั้นมันก็มีไม่ได้ แล้วองค์ประกอบของความสุขแต่ละอย่างๆ ที่ว่ามาแล้วนั้นมันเนื่องกันหรือแท้ที่จริงมันมีความหมายที่เจือกันอยู่ที่เกี่ยวพันกันอยู่เช่น คำว่าอิสรภาพนี่ก็ต้องหมายถึงจิตใจที่อิ่ม, ที่แน่ใจ, ที่เบิกบาน, ที่ไม่มีเวร, ไม่มีภัยอะไรด้วยเหมือนกัน แล้วเราก็แยกออกมาดูกันในความหมายเฉพาะของคำว่าอิสรภาพ คำว่าอิสระตามภาษาบาลีนั้นแปลว่าเป็นใหญ่, เป็นเจ้า, เป็นนาย แต่ในภาษาไทยมันมีความหมายเป็นว่า เป็นอิสระคือเป็น free หรือเป็นอิสระไม่ได้หมายถึงเป็นเจ้าเป็นนายอย่างในภาษาบาลี ภาษาบาลีเขาหมายถึงเป็นเจ้าเป็นนายเหนือสิ่งต่างๆ นี่จึงจะเรียกว่าอิสระ, ภาษาบาลีก็เป็นอิสระ, ภาษาสันสกฤตก็เป็นอีศวระหรืออีศวร แปลว่าผู้เป็นใหญ่เหนือสิ่งทั้งปวง ไอ้อย่างนี้มันอธิบายไปตามตัวหนังสือไม่ตรงกันกับความหมายในภาษาไทย ความหมายในภาษาไทยเราใช้คำว่าอิสระไปตามเดิมแต่ไม่แปลว่าเป็นเจ้า, เป็นใหญ่แปลว่าเป็นอิสระแก่ตัว คือไม่มีใครมาเป็นเจ้าเป็นนายต่างกันอยู่นิดหนึ่งแต่ว่าโดยข้อเท็จจริงแล้วมันอันเดียวกันก็ได้คือ เมื่อเราเป็นเจ้าเป็นนายเหนือสิ่งต่างๆ มันจึงจะไม่มีสิ่งต่างๆ มาเป็นเจ้าเป็นนายเหนือเรา เราลองไม่เป็นเจ้าเป็นนายเหนืออะไรเข้าสักสิ่งสิมันก็จะมีสิ่งนั่นน่ะมาทับเราคือเป็นนายเหนือเรา, เราก็ไม่เป็นอิสระ นี่ดูจากตัวหนังสือก็ดูได้อย่างนี้เพราะมันไม่มีอะไรเป็นนายเหนือเราคือมาบังคับเราหรือมาอะไรก็ตาม ฉะนั้นอิสระก็เลยมีข้อเท็จจริงอยู่ตรงที่ว่าเรามันเป็นนายเหนือทุกสิ่งแล้วก็ไม่มีสิ่งใดมาทำอะไรแก่เรานั่นเรียกว่าอิสระ
นี้ถ้าจะดูกันให้หมดถ้าตามหลักที่จะใช้สำหรับพุทธบริษัทก็ใช้แบ่งแยกความเป็นอิสระนี้ออกเป็นสามระดับตามเคยที่เรามักจะใช้พูดอธิบาย สามระดับก็คือ ทางกาย, ทางจิต, ทางวิญญาณ พูดแล้วพูดอีกๆ เรื่องระดับสามระดับนี้ควรจะเป็นที่เข้าใจกันอย่างแจ่มแจ้งพอออกชื่อถึงก็ให้มันเข้าใจได้ไม่ต้องอธิบายซ้ำๆ ซากๆ นัก ทางกายหมายถึงร่างกายโดยตรง ทางจิตหมายถึงจิตที่สักว่ารู้สึกคิดนึกได้ และเนื่องกันอยู่กับร่างกาย ส่วนทางวิญญาณนั้นเลยไปถึงเรื่องของสติปัญญาที่ถูกต้องทาง physical คือทางกาย, ทาง mental นี้คือทางจิตที่เกี่ยวกันอยู่กับกาย, ทาง spiritual นั้นคือทางวิญญาณ คำมันปนกันยุ่งก็วิญญาณในที่บางแห่งหมายถึงจิต แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงจิต หมายถึงคุณสมบัติชั้นสูงของจิตเรียกว่าทางวิญญาณ spiritual นี้เราก็เลยได้อิสรภาพเป็นสามระดับ, อิสรภาพทางกาย, อิสรภาพทางจิต, อิสรภาพทางวิญญาณ
อิสรภาพทางกายหมายความว่าร่างกายไม่ถูกอะไรกระทำเอา อิสรภาพทางจิตก็หมายความว่าจิตนี่ไม่ถูกอะไรกระทำเอา อิสรภาพทางวิญญาณหมายถึงวิญญาณไม่ถูกอะไรกระทำเอา ทีนี้อิสรภาพทางจิตกับทางวิญญาณนั้นใกล้ชิดกันมากบางทีก็รวมกันได้แต่เพื่อให้เข้าใจชัดแล้วแยกกันดีกว่า นี่เราเทียบไปถึงโรค คำว่าโรคซึ่งไม่เป็นอิสระ, ซึ่งไม่ใช่อิสระ ถ้ามีโรคก็คือไม่เป็นอิสระ, โรคทางกายเจ็บปวดที่ร่างกาย, โรคทางจิตเกี่ยวกับระบบประสาท, โรคทางวิญญาณเกี่ยวกับความโง่คนสบายดีทุกอย่างแต่มีความโง่, ความหลง, กิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างนี้เรียกว่ามีโรคทางวิญญาณ เป็นโรคทางกายไปหาโรงพยาบาลตามธรรมดา เป็นโรคทางจิตไปหาโรงพยาบาลโรคจิตหรือโรคประสาท ถ้าเป็นโรคทางวิญญาณต้องไปโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะนี่มันประกันความฝั่นเฝือหรือกันลืม ทีนี้อิสรภาพทางกายหมายถึงไม่มีอะไรกระทำแก่ร่างกายในลักษณะที่มันไม่เป็นปรกติสุขมีมูลมาจากภายนอกก็ได้, ภายในก็ได้ ภายนอกเช่น มันถูกจับขัง หรือว่าถูกทำร้าย, ถูกบีบคั้น, ถูกข่มเหงร่างกายมันไม่เป็นอิสระ ทางภายในก็เช่น โรคภัยไข้เจ็บมันมาจับกุมเกาะกุมร่างกายไม่เป็นอิสระ เพราะฉะนั้นการที่จะมีอิสรภาพทางกายตามความหมายที่กว้างในทางธรรมนี้ ก็ต้องมีอนามัยดีร่างกายมีอนามัยดีอิสระจากโรคมันก็มีการเป็นอยู่ดีไม่มีการเบียดเบียนจากบุคคล, จากสังคม จากอะไรก็ตาม ทางกายเป็นอิสระไม่ถูกกักขังนี่เราก็ต้องการอย่างมากเพราะว่าถ้ามันไม่มีความเป็นอิสระทางร่างกาย โดยเฉพาะโรคเบียดเบียนอยู่เสมอนี้แล้วมันก็ไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นองค์ประกอบของความสุขนั้นมันก็ต้องคือความไม่มีโรคทางกายจึงจะเป็นพื้นฐานที่ดี บาลีพุทธภาษิตที่ว่า อโรคยปรมาลาภา นี่ อโรคยาปรมาลาภา แปลว่าไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่งนั้น ไม่มีโรคนี้มันก็หมายถึงไม่มีโรคทั้งทางกายทั้งทางจิต และทางวิญญาณจึงจะเรียกว่าเป็นลาภอย่างยิ่ง เพียงแต่ร่างกายดี, อนามัยดีไม่มีโรคทางกายนี่ยังไม่ถือว่าเป็นลาภอย่างยิ่งเพราะโรคทางจิตและโรคทางวิญญาณยังเหลืออยู่ยังรบกวนอยู่นี้ก็เป็นอันว่าเราจะต้องจัดการกับโรคทางกายนี้โดยเฉพาะก่อน ร่างกายสบายดีแล้วก็ไม่มีใครกระทบกระทั่งเบียดเบียน, ผูกพัน รัดกุมอะไรนี่ก็เลยเรียกว่ามีอิสรภาพทางร่างกายรวมทั้งทางทรัพย์สมบัติที่กิน, ที่นอน, ที่อยู่อาศัย, บุตรภรรยา, อะไรก็ตามใจที่เป็นความหมายกว้าง ๆ ที่เนื่องอยู่กับกายเป็นอิสระ
ทีนี้อิสระของจิตนี่ถ้าแบ่งออกมาครึ่งหนึ่งก็หมายความว่าจิตมีอนามัยดีเหมือนกันไม่เป็นโรคทางจิตตามธรรมดาสามัญที่ว่าเราเป็นโรคเส้นประสาทหรือว่าเราเป็นโรคจิตชนิดบ้าคลั่ง ไอ้ตรงนี้มันโรคทางจิตหรือเรื่องทางจิตนี้มันก้ำกึ่งกันคือ มันจะมาทางฝ่ายร่างกายอยู่มากกว่าที่จะไปทางฝ่ายวิญญาณแต่มันก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกันแม้ว่าหมอเขาจะเถียงกันคือ หมอพวกหนึ่งหรือว่าสมัยปัจจุบันกว่าด้วยซ้ำไปถือว่าโรคจิตชนิดที่ต้องไปโรงพยาบาลปากคลองสานนั้นไม่ใช่โรคจิตเขาถือเป็นโรคกายโดยเขาถือว่าไอ้มันสมองระบบประสาทที่เกี่ยวกับกายมันวิปริตหรือเป็นโรคทางกายไปเสียก็มี แต่เดิมเรามา, แต่เดิมมาเราถือว่าโรคจิตจึงเรียกว่าโรงพยาบาลโรคจิตอยู่ที่ปากคลองสานที่จังหวัดนี้อยู่ที่สวนสราญรมณ์ นี่หมายความว่าจิตไม่มีอนามัยจิตขาดความเป็นปรกติหรือธรรมชาติที่ถูกต้องของจิตเรียกว่าไม่มีอิสรภาพทางจิต, จิตถูกโรคทางจิตครอบงำ, รัดกุม, เกาะกุมหรือผูกพันหรืออะไรอยู่ก็ตาม จิตของเราไม่เป็นอิสระจากโรคของจิตก็หาความสุขไม่ได้ต้องมีจิตที่ปรกติไม่มีโรคประสาทไม่มีโรคจิต
ทีนี้สูงขึ้นไปถึงโรคอิสรภาพทางวิญญาณนั้นมันอิสรภาพของความคิดนึกขึ้นไปจนถึงความรู้สึกภาวะของปรกติของจิตก็แปลว่าไม่มีความโลภ, ความโกรธ, ความหลงครอบงำ คนสบายทางร่างกายสบายทางจิตอยู่แล้วแต่ยังมีความโลภ, ความโกรธ, ความหลงครอบงำนี่เราจึงเรียกว่ามีปัญหาโรคทางจิต และมีอิสรภาพ เอ้อ, มีปัญหาโรคทางวิญญาณ, มีปัญหาทางอิสรภาพทางวิญญาณจึงต้องไปหาโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า และแก้ไขตามวิธีของพระพุทธเจ้าเพื่อให้เกิดอิสรภาพในทางวิญญาณ
สำหรับคำว่าความโลภ, ความโกรธ, ความหลงนี้มีตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียดที่สุดมันเหลืออยู่แม้แต่เพียงหน่อยเดียวมันก็ไม่มีความผาสุขทางวิญญาณ อย่าลืม, ให้เปรียบเทียบโดยว่าที่เราไม่เป็นโรคทางกาย ไม่เป็นโรคทางจิตเป็นปรกติทั้งสองอย่าง แต่เรายังมีโรคทางวิญญาณจนกว่าจะเป็นพระอรหันต์แม้ว่าจะเป็นพระโสดาบัน, พระสกิทาคามี, อนาคามี สามอย่างเบื้องต้นนี้แล้ว ก็ยังไม่หมดจากโรคทางฝ่ายวิญญาณมันเพียงแต่แน่นอนว่าจะหายจากโรคทางวิญญาณเท่านั้น มันหายไปได้บ้างหายไปได้มากแต่ยังไม่หมด ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์นั้นจึงจะหายจากโรคทางวิญญาณ แล้วก็คือเป็นอิสรภาพทางวิญญาณโดยสิ้นเชิง นี่เรียกว่าอิสรภาพทางวิญญาณ ซึ่งสมัยนี้เขาไม่สนใจกันเขาสนใจแต่ว่าเราไม่ถูกคนอื่นข่มเหง, ประเทศชาติของเราไม่ถูกคนอื่นข่มเหงเราก็เรียกว่ามีอิสรภาพแล้ว นี่อิสรภาพชาวบ้านอิสรภาพทางการเมือง ส่วนที่จิตของตนกำลังเดือดร้อนอยู่ด้วยโรคทางจิตและโรคทางวิญญาณนั้นไม่, ไม่นึกถึงไม่รู้จักไม่รู้สึก และไม่อยากจะรู้ เพราะว่ามันกลุ้มอยู่ด้วยไอ้ความสนใจแต่เรื่องอิสรภาพทางวัตถุทางกาย, ทางภายนอกนั้นกลัวว่าคนจะมาเอาเงินของเราไป, จะเอามาเอาบ้านเรือนที่อยู่อาศัยประเทศชาติของเราไปอยู่แต่อย่างนี้ แล้วก็ไม่มองดูตัวเองว่า แม้ไม่มีใครมาเอาของเราอะไร, ไม่มีใครมาเอาอะไรของเราไปเลยแต่เราก็ยังไม่มีความสุข นี้ไม่มองว่าไม่มีใครอะไร, ไม่มีใครมายุ่งด้วยเราทางร่างกายทางวัตถุแม้จิตของเราก็ปรกติดีแต่เราก็ยังไม่มีอิสรภาพยังมีความโง่บีบคั้นผูกมัด ยังมีความหิว, ความอยาก, ความทะเยอทะยาน, ความรัก, ความโกรธ, ความเกลียด, ความกลัวที่อยู่เป็นประจำนี้ในโลกนี้มาจับยึดดวงวิญญาณของเราอยู่เสมอ นี่เราสูญเสียอิสรภาพทางวิญญาณถ้าสูญเสียอิสรภาพทางวิญญาณแล้วแม้จะมีอิสรภาพทางจิต, ทางร่างกายมันก็ไม่มีความหมายอะไร มันเป็นคนกลัดกลุ้มอยู่นั่นละ นี่เราก็ดูให้ดีมนุษย์นี่บางคนก็สบายทางกายสบายทางจิตแต่ตกนรกทางวิญญาณอยู่เสมอ พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นโรคทางกายหรือทางจิตแต่พิสูจน์ได้เสมอว่าเป็นโรคทางวิญญาณ ไปเรียนอะไรมาเมืองนอกเมืองนาอะไรมาเถอะบางทียิ่งไปเรียนมากก็ยิ่งเป็นโรคทางวิญญาณมาก เป็นเศรษฐีเป็นพระราชามหากษัตริย์เป็นอิสระอย่างนี้ในทางฝ่ายกายและจิตแต่ก็ไม่เป็นอิสระทางวิญญาณ บางทีทางฝ่ายจิตก็ไม่เป็นอิสระเพราะมันมีโรคทางวิญญาณและโรคทางจิตต้องเกิดขึ้นตาม, สูญเสียอิสรภาพทางวิญญาณและอิสรภาพทางจิตก็จะเกิดขึ้นตาม, สูญเสียอิสรภาพทางจิตอยู่คู่กันไปแม้ว่าทางร่างกายนี้ดูว่ามันเป็นอิสระ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าหรือผู้มีปัญญาประเภทพระพุทธเจ้าจึงไม่ค่อยไปสนใจความเป็นอิสระทางร่างกายเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยไป ไปสนใจเรื่องอิสรภาพทางจิตทางวิญญาณไปเลยจนพูดได้ว่าพวกเทวดาในสวรรค์นั้นน่ะมันก็ไม่มีอิสรภาพทางวิญญาณมันสนุกสนานสบายเอร็ดอร่อยเป็นชีวิตที่ผาสุขตามความฝันได้ทุกอย่างนั้นมันก็ยังไม่มีอิสรภาพทางวิญญาณ จะมีแต่ทางกายทางจิตก็ตามใจแต่ทางวิญญาณไม่มี ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงมนุษย์คนธรรมดาเป็นที่มีอำนาจวาสนา เป็นอะไรก็ตามใจมันก็ไม่ดีไปกว่าเทวดาพวกนั้นคือ ไม่มีอิสรภาพทางวิญญาณแล้วก็ไม่รู้สึกตัวด้วย, ไม่สนใจด้วย เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีความสุขที่แท้จริงมีแต่ความสุขที่เขาเข้าใจว่าเป็นความสุข พวกเศรษฐีมหาเศรษฐีในโลกนี้เขาเข้าใจว่าเขามีความสุขมันลืมตาฝัน ซึ่งเป็นความโง่มากถ้าจะมีเงินใช้วันละหนึ่งล้านบาททุกวันตลอดชีวิตนี่เขาเข้าใจว่ามีความสุขสูงสุด แล้วคุณไปคิดดูเองว่ามันจะสุขได้อย่างไร มันยิ่งบ้ามากขึ้น, ยิ่งยุ่งมากขึ้น, ยิ่งทำให้มีเรื่องไม่มีความพักผ่อนมากขึ้นนั่นนะคือไม่อิสระ เพียงแต่อยากจะใช้เงินให้หมดไปหนึ่งล้านนี่มันก็สูญเสียอิสรภาพไปหมดเลยในการที่จะต้องคิด, ต้องอยาก, ต้องทำให้มันใช้เงินให้หมดไปหนึ่งล้านบาทในหนึ่งวัน แต่เขาก็คิดว่าเขาดีที่สุด วิเศษที่สุด, สบายที่สุด, รวยที่สุดเขาคิดอย่างนั้นมันก็เลยสู้ไอ้ไม่มีสักสตางค์เดียวก็ไม่ได้ แต่เสวยสุขทางวิญญาณเป็นนิพพานอยู่เสมอ นิพพานให้เปล่าหมายความว่าไม่ต้องใช้สตางค์ไม่มีสตางค์สักสตางค์เดียว กลับมีความสุขหรือความเป็นอิสรภาพทางวิญญาณไม่มีโรคทางวิญญาณ นี่บรรพชิตเรามันอยู่ในกลุ่มหลัง คือกลุ่มที่จะต้องมีอิสรภาพในทางวิญญาณ โดยเฉพาะอิสรภาพทางกายอิสรภาพทางจิตนั้นไม่ค่อยมีปัญหาละ ถ้าอยู่อย่างนักบวชอย่างถูกต้องแล้วมันก็ไม่ค่อยมีโรคทางกายทางจิตมันไปติดพันอยู่ที่ไอ้โรคทางวิญญาณคือ โรคโลภะ, โทสะ, โมหะ หรือกิเลสชื่ออื่นๆ อีกมากมายซึ่งแยกออกไปจากโลภะ, โทสะ, โมหะ นั่นเอง
นี่พอเราพูดถึงอิสรภาพทางวิญญาณอย่างนี้คนเขาจะหัวเราะฮาไปเลยบอกเอาเรื่องไร้สาระมาพูดเอาเรื่องไม่มีความจำเป็นสำหรับมนุษย์มาพูดให้เสียเวลาที่เขาจะไปหาอิสรภาพทางกายให้แก่ประเทศชาติ, ให้แก่ตัวเอง นี่ขอให้สังเกตไอ้คนที่มาเที่ยววัดเรามาทัศนาจรกันเป็นฝูง ๆ นี่มันไม่ได้สิ่งที่เราต้องการจะให้เขาได้คือ มหรสพทางวิญญาณนี้ต้องการจะทำลายโรคทางวิญญาณให้มีอิสรภาพทางวิญญาณแต่เขาก็ไม่ได้เลย มาดูสวยๆ งามๆ หรือแปลกๆ อะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็พอใจแล้วก็กลับไป แต่ว่าถ้าดูให้ดีให้ละเอียดจริง ๆ เขาได้โดยไม่รู้สึกตัวแต่เขาก็ไม่รู้จักมันเลยก็เหมือนไม่ได้ เมื่อเขาเข้ามาเดิน, นั่งอยู่ในธรรมชาติอย่างนี้ลืมบ้านลืมช่องลืมตัวเองไปหมดนี่เขากำลังสบายที่สุดซึ่งเขาก็รู้สึกว่ามันสบายที่สุดแล้วก็บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไรมันมาจากไหน นั่นละคือเขาได้โดยที่ธรรมชาติมันยัดเยียดให้ไม่เอาก็ไม่ได้เพราะธรรมชาติมันดึงดูดสิ่งผูกพันรบกวนจากจิตใจไปหมดมันก็ว่างไปพักหนึ่ง เย็นสบายอยู่ที่นี่เขาก็รู้สึก, ถามก็รู้สึก, แต่แล้วก็ไม่ได้สนใจว่าคืออะไร, มาจากไหน, ดีหรือไม่ดี, รู้ว่าดีสบายอย่างนี้แต่ไม่ได้รู้ไปถึงกับว่าเราต้องศึกษาให้เข้าใจ ต้องทำให้ได้, ต้องรักษาไว้ให้ได้ ผมสังเกตมากมายแล้วพวกที่มาทัศนาจรที่นี่มันได้รู้สึกอย่างนี้คือ อิสรภาพทางวิญญาณเป็นตัวอย่างชิมลองครู่หนึ่ง แล้วมันก็ไม่รู้จัก, กลับไปโดยไม่รู้จักมันก็เหมือนกับได้แต่ที่แท้มันได้ชิม ถ้าเขาเกิดรู้จักเกิดสนใจก็ติดตามไต่ถามแต่เรื่องที่ว่าทำไมจิตของฉันจึงเป็นอย่างนี้ช่วยอธิบายทีแล้วก็ช่วยทำให้มันเป็นอย่างนี้กลับไปบ้านตลอดชีวิตที ไม่มีใครเคยถามปัญหาอย่างนี้ไม่มีใครเคยขอร้องอย่างนี้ เขาถามเรื่องไอ้วัตถุ, ไอ้เรื่องสิ่งของ, ไอ้เรื่องข้างนอกๆ ทั้งนั้น ถึงอย่างนั้นก็ยังน้อยคน ไม่อยากจะถามอะไร จะเดินดูพักหนึ่งก็กลับไปคือ เราถือว่าเมื่อเขามาที่นี่ร่างกายก็สบายมีอิสระจิตใจเขากำลังสบายมีอิสระแต่วิญญาณของเขาก็ยังโง่อยู่ยังมืดมนต่อชีวิตยังมืดมนต่อธรรมะหรือข้อเท็จจริงของชีวิตอยู่ นี่เรียกว่าไม่มีอิสรภาพทางวิญญาณคือ ความโง่มันกำลังจับยึดเอาไว้เกาะกุมเอาไว้ เพราะฉะนั้นขอให้ดูให้ดีว่าเรากำลังเกี่ยวข้องกับอิสรภาพทางวิญญาณกันอย่างไร เราเจ้าของบ้านพยายามอย่างยิ่งที่จะให้เกิดมหรสพทางวิญญาณเพื่อนำผลไปสู่ความไม่มีโรคทางวิญญาณเป็นอิสรภาพทางวิญญาณแต่แล้วมันก็ยังมีปัญหา แม้คนที่อยู่ที่นี่ก็ยังไม่ค่อยจะได้รับประโยชน์อันนี้ ทีนี้ยิ่งคนที่มาเที่ยวมาดูชั่วครั้งชั่วคราวยิ่งไม่ได้รับประโยชน์จากอันนี้เพราะเรื่องมันมาก, เรื่องมันหลายชั้นปัญหามันมีหลายชั้นเช่น เราแสดงไว้ในรูปภาพในตึกนี้เขาก็ไม่เข้าใจไม่สามารถใช้ประโยชน์คือ ความหมายของไอ้รูปภาพนี้ทำความสว่างไสวทางวิญญาณได้ ก็มุ่งไปตามเดิมมาดูแปลกๆ พักหนึ่งจำได้นิด, ครู่หนึ่งเดี๋ยวก็ลืมอีก ถ้าเขาเข้าใจ, เข้าใจ, เข้าใจ, เข้าใจแล้วเข้าใจอีก มันก็อยู่ตรงนั้นนะจนมัน, มันเกิดการความล้างสมองเกิดการกวาดล้างในทางวิญญาณความโง่ความอะไรหมดไปจึงจะเรียกว่าได้ผลจากการมาดูมหรสพทางวิญญาณที่นี่
ทีนี้พวกเราที่อยู่ที่นี่ก็ดูเหมือนจะชินแบบสัปเหร่อชินผีนี่เป็นอุปมาที่เขาพูดกันมาแต่โบราณกาล สำหรับการศึกษาธรรมะว่าสัปเหร่อมันชินผี, ผีไม่เป็นที่น่ากลัวสำหรับสัปเหร่อ, ผีไม่สกปรกสำหรับสัปเหร่อ, ผีไม่แสดง อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา, อสุภะ อะไรแก่สัปเหร่อเลย สัปเหร่อมันชินผีอย่างนั้นมันเลยไม่ได้ประโยชน์จากการที่อยู่กับผี ทีนี้พระน่ะก็สอนให้ไปดูศพพิจารณา อสุภะ เป็น อสุภะ เป็นความไม่งาม เป็นความเป็น อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา บรรลุมรรคผลเพราะไปดูศพ สัปเหร่อกลับไม่ได้อะไรเพราะมันชินกับผีคือ ชินกับศพ นี่คนที่ชินอยู่กับโรงมหรสพทางวิญญาณเดี๋ยวจะเป็นนายสัปเหร่อชินผีเสียเพราะไม่ได้ประโยชน์ ฉะนั้นระวังให้ดีไอ้ตัวอย่างสมัยใหม่เขาพูดว่าหมอไม่รู้จักไอ้ความน่าเบื่อหน่าย, น่าสังเวช, คลายกำหนัดอะไร ทั้งที่หมอเขาก็ผ่าตัดหรือว่าคลอดบุตรหรือทำอะไรอยู่เสมอก็ไม่ละกิเลสคือ ราคะ หรือเรื่องเพศเรื่องอะไรได้ ไอ้ความชินอย่างนั้นมันช่วยไม่ได้ ฉะนั้นเราจะต้องสำนึกในข้อนี้กันเพราะว่าการที่โง่ไม่รู้เรื่องนี้นั้นน่ะคือ ความไม่มีอิสรภาพทางวิญญาณ สัปเหร่อชินผีก็ตาม, หมอชินไอ้การไอ้ผ่าตัดก็ตามหรือว่าเราชินกับโรงมหรสพทางวิญญาณก็ตาม มันไม่ช่วยให้เกิดอิสรภาพทางวิญญาณเพราะทำมันยังไม่ถูกวิธี แล้วก็ไม่รู้จักไอ้ความสูญเสียอิสรภาพทางวิญญาณนั่นเพราะฉะนั้นจึงไม่มีความสุข นี่ลองดูในข้อนี้ทำไมเราจึงไม่มีความสุขไม่มีจิตเย็นเป็น นิพพาน กระทบอารมณ์อะไรเข้าอารมณ์นั้นเป็นของร้อนอยู่ตามเดิม, อารมณ์นั้นไม่เป็นของเย็น แล้วเวทนาจะเป็นของเย็นอย่างไรได้ นี่เราจะต้องปรับปรุงแก้ไขจนให้อะไรมากระทบเข้าก็ไม่ร้อนคือ เย็นไปหมด, รูป, เสียง, กลิ่น, รส อะไรมากระทบตา, หู, จมูก, ลิ้น, กายก็ต้องไม่ร้อน และก็ต้องเย็นไปหมด กระทบเข้าเป็น ผัสสะ, ผัสสะ ก็เกิด เวทนา พอเกิด เวทนา ก็อยากอย่างนั้นอยากอย่างนี้ก็ เวทนา นั้นก็ร้อนไปเสีย ทีนี้ถ้าว่ามากระทบเป็น ผัสสะ แล้วเป็น เวทนา มีสติปัญญารู้เท่าทันไม่เกิดตัณหา เวทนา นั้นก็เป็นของเย็นไม่ร้อน นี่อาการของอิสรภาพทางวิญญาณมันมีอยู่อย่างนี้อารมณ์มากระทบ, เกิด เวทนา, พอเกิด ตัณหา ก็สูญเสียอิสรภาพ นี่มันอยากมันหิวมัน, ในสิ่งจนมีผู้อยากมี อุปาทาน เป็น ตัวกู-ของกู ขึ้นมา เกิดปัญหาเกี่ยวกับการได้ไม่ได้, การอะไรขึ้นมานี้ร้อนไปหมดเลยอย่างนี้เขาเรียกว่าสูญเสียอิสรภาพทางวิญญาณคือ อิสรภาพในทางธรรมได้สูญเสียไปแล้ว วันหนึ่งสูญเสียเรื่อยบ่อยที่สุดทุกคราวที่ว่ามีอารมณ์มากระทบแล้วเกิด ตัวกู-ของกู เพราะฉะนั้นพูดได้เป็นหลักเลยว่าเมื่อใดเกิดความรู้สึกว่าเป็น ตัวกู-ของกู แล้ว เมื่อนั้นสูญเสียอิสรภาพทางวิญญาณคือ จิตสูญเสียความเป็นประภัสสร ก็เรียกว่าสูญเสียอิสรภาพทางวิญญาณ ถ้าจิตยังคงมีความเป็นประภัสสรไม่เกี่ยวกับกิเลส, ไม่มีกิเลสรบกวนจิตแล้วก็เรียกว่า เรายังมีอิสรภาพทางวิญญาณ ทีนี้โดยมากมันพอมีอะไรมากระทบมันก็เกิด ตัวกู-ของกู เสีย สูญเสียความเป็นประภัสสร แห่งจิตก็คือสูญเสียอิสรภาพทางวิญญาณ
ฉะนั้นการระวังแต่เพียงข้อนี้ และปฏิบัติข้อนี้ให้ได้นั้นพอ, พอหมดในพระพุทธศาสนาคือ จบหมดทั้งพระไตรปิฏก มันรวมอยู่ที่นี่, ที่ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นพอเกิดความยึดมั่นถือมั่นเมื่อไร ก็สูญเสียอิสรภาพเมื่อนั้น กู ของกู เกิดแล้ว สูญเสียอิสรภาพให้แก่กิเลสคือ ตัวกู-ของกู นั้นแล้ว จิตสูญเสียภาวะปรกติเดิมหมดเลยทั้งในแง่ของจิต และทั้งในแง่ของวิญญาณ จิตที่เป็นอิสระเราเรียกกันว่า จิตประภัสสร มีแสงสว่างรุ่งเรืองตามธรรมชาติของจิตนั่นเองแล้วก็เศร้าหมองไปเป็นคราวๆ เพราะอุปกิเลสที่จรเข้ามา ในเมื่ออุปกิเลสไม่มาก็มีอิสรภาพพอกิเลสมาเข้าครอบงำก็สูญเสียอิสรภาพ นี่พูดเป็นภาษาธรรมดา ๆ ก็เป็นอย่างนี้ ถ้าพูดอย่างสมมติหน่อยก็พอ ตัวกู-ของกู เข้ามาก็สูญเสียอิสรภาพพอ ตัวกู-ของกู ยังไม่ได้เกิดก็ยังมีอิสรภาพ
เพราะฉะนั้นความคิดที่เป็น egoism เป็นไอ้ selfishness ไอ้ที่เขารวมๆ เรียกกันว่า egoistic conception นี่ทุกอย่างทุกชนิดกี่ร้อยชนิดก็ตามเข้ามาเมื่อไรก็เป็นสูญเสียอิสรภาพเมื่อนั้น ทีนี้คนเขาเข้าใจผิด อ้าว, ตัวกูแล้วจะเอาอย่างไรอีกเล่า, ตัวกูเป็นตัวกูแล้วจะเอาอย่างไรอีกนี่คืออิสรภาพเพราะตัวกูได้เป็นตัวกู ไอ้ความหมายอย่างนี้มันต่างกัน ตัวกูตามความรู้สึกของสามัญชนนี้เป็นกิเลสแล้ววิญญาณสูญเสียสภาพเดิม จิตสูญเสียสภาพปรกติเดิมมันก็เลยไม่ไม่ใช่อิสรภาพของตัวกูที่แท้จริง ความคิดที่เกิดคิดว่าเป็นตัวกูนั้นมันคือไม่มีอิสรภาพแล้ว เมื่อคิดว่าประเทศของกู, ลูกเมียของกู, ตัวกู, ชีวิตของกูนี้, มันเป็นการสูญเสียอิสรภาพอย่างไม่รู้สึกตัวหมดแล้วมันไปโง่ให้แก่กิเลสแล้วจึงไม่มีอิสรภาพทางวิญญาณ เพราะฉะนั้นเมื่อมีอิสรภาพทางวิญญาณอยู่จะไม่มีความรู้สึกว่าตัวกูหรือของกู, ลูกเมียของกู, ประเทศของกู, ทรัพย์สมบัติของกู, อะไรของกูไม่มี, ไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น ทีนี้มันกลับกันอยู่กับความรู้สึกของคนธรรมดาสามัญเขาจึงเข้าใจไม่ได้ เขาเข้าใจแต่ว่าต้องมีตัวกูแล้วก็มีอะไรของกูไม่มีใครมาแย่งมีของกูอยู่เต็มที่ นี่จึงจะเรียกว่ามีอิสรภาพมันก็ถูก ภาษาคนชาวบ้านปุถุชนพูดเป็นภาษาของกิเลสพูดไม่ใช่ภาษาธรรมะพูด ฉะนั้นเขารู้กันแต่เรื่องกิเลส ภาษาคนพูดก็หลงกันไปทั้งนั้น ที่รบราฆ่าฟันกันอยู่ทั้งโลกเวลานี้ก็เพราะเข้าใจผิดข้อนี้ไปหลงอิสรภาพของกิเลส, กิเลสได้เป็นอิสระ
ทีนี้ที่ตรงกันข้ามก็คือว่าธรรมะเป็นอิสระ กิเลสเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปคือ จิตบริสุทธิ์จิตปรกตินี่ก็ธรรมะเป็นอิสระจิตเป็นอิสระคือ การบรรลุมรรคผลนิพพานในพระพุทธศาสนาเรียกว่าอิสรภาพ นั่นคุณคิดดูคำนวณดูว่าอิสรภาพมีอยู่สามระดับ เราได้ครบทั้งสามระดับก็เรียกว่ามีอิสรภาพนั้นมันเป็นองค์ประกอบของความสุขอันสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้วเราได้อิสรภาพทางร่างกายวัตถุสิ่งของนี้ ก็ได้อิสรภาพทางจิตตามปรกติตามระดับสามัญของจิตนี้ แล้วก็ได้อิสรภาพทางวิญญาณคือ คุณสมบัติของจิตที่มันสูงขึ้นไปเรียกว่าอิสรภาพทางกาย, อิสรภาพทางจิต, อิสรภาพทางวิญญาณครบถ้วนแล้ว ไม่ต้องพูดเป็นตัวความสุขเสียเลยไม่ต้องไปหาความสุขที่ไหนอีกแล้วมันเป็นตัวความสุขอยู่ในตัวอิสรภาพนั่นเอง เราเรียกตามภาษาบาลีว่า วิมุติ วิโมกข์ วิเวก เรียกได้หลายอย่างนั้นนะคืออิสรภาพ วิมุติ หรือวิโมกข์ นี่แปลเหมือนกันว่า หลุด, หลุดพ้นออกไปได้จากสิ่งที่มันผูกพันทำให้เสียอิสรภาพก็คือ กิเลสนั้นผูกพันทำให้เสียอิสรภาพ และจิตหลุดไปจากกิเลสได้หมายความว่า หลุดออกไปจากการจับฉวยครอบงำของกิเลสได้ก็เป็นวิมุติ เป็นวิโมกข์ นี่คือ free นี่คืออิสระ ทีนี้บางทีเรียกว่าวิเวก คำว่า วิเวก แปลว่าเดี่ยว, เดี่ยวอย่างยิ่ง, ที่เราแปลกันว่า สงัด, เอาความหมายว่าสงัด แต่ตัวพยัญชนะมันหมายความว่ามันเดี่ยวอย่างยิ่ง, เดี่ยวไม่มีอะไรมาแตะต้องเลยเรียกว่า วิเวก นั้นละคือ อิสรภาพ วิเวก น่ะคือ อิสรภาพ เพราะมันเดี่ยวอย่างสูงสุด ทีนี้บางทีก็เรียกว่า เขมะ เขโม เขมะ แปลว่าเกษม, คำว่า เขมะนี่แปลว่า ปลอดจากสิ่งรบกวน, เกษมนะ ภาษาสันกฤตมาเป็นไทย เรียกว่า เกษม บาลีเป็น เขมะ ก็แปลว่า, แปลว่า เกษม นี้คือว่าปลอด, ปลอดจากสิ่งรบกวน นั้นน่ะคือ อิสรภาพแต่ว่าเป็นลักษณะของผลอยู่ในลักษณะที่เป็นผลมากขึ้น ที่ว่าเป็นวิมุติ วิโมกข์ หลุดออกไปได้นั้น มันยังไม่แสดงผลอะไรนัก พอเป็น วิเวก นี้ก็เริ่มแสดงผลมากขึ้นคือ สงัด พอเป็น เขมะ เกษมนี่ ก็แสดงผลอย่างน่าชื่นใจ ถ้าเป็น ศิวะ แปลว่า เย็น นี่คือแสดงผลที่ชัดหรือชื่นใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ เรียกว่านิพพาน เลย เพราะว่า นิพพาน แปลว่า เย็น, เช่นเดียวกับ ศิวะ ก็แสดงผลเต็มที่ คือเย็นทั้งทางกาย, เย็นทั้งทางจิต, เย็นทั้งทางวิญญาณ มันก็เป็นความสุขสูงสุดเท่าที่มนุษย์จะค้นพบไม่มีเหนือไปกว่านี้อีกแล้วไม่มีนอกเหนือไปกว่านี้ก็คือ นิพพาน นั่นแหละคือ อิสรภาพทางวิญญาณ ทีนี้ไอ้คำแทนชื่อของ นิพพาน มีอีกมากมายหลายสิบชื่อบางทีเอามารวมต่อเป็นสมาสยาวไปเลย “ศิวโมกข์อมตมหานิพพาน” เอากับผู้พูดสิ “ศิวโมกข์อมตมหานิพพาน ในอนาคตกาลเทอญนี่” “ขอให้ได้เราถึงศิวโมกข์อมตมหานิพพาน” ศิวะ ก็แปลว่า เย็น, โมกขะ ก็แปลว่า หลุดพ้น, อมตะ ก็แปลว่าไม่ตาย, นิพพาน ก็แปลว่า นิพพาน ก็แปลว่าเย็น เอามารวมเป็นสมาสยาวอย่างนี้เสียก็มี นี่คืออิสรภาพสูงสุดในทางวิญญาณคือ นิพพานเรียกสั้นๆ แปลเป็นไทยสั้นๆ ก็ว่าเย็น เอาผลเป็นหลักแต่ไม่ใช่เย็นอุณหภูมิ เย็นอุณหภูมิทางฟิสิกส์นั้นเอาไปไว้ที่อื่นเถอะ คำว่าเย็นในที่นี้ไม่เกี่ยวกับอุณหภูมิมันเป็นเรื่องทางวิญญาณไม่มีความร้อนทางวิญญาณมีความเย็นทางวิญญาณไม่มีกิเลสไม่มีอะไรมา รบกวน พอจะมองเห็นได้กันแล้วว่านี่อิสรภาพสูงสุดไม่มีอิสรภาพอะไรยิ่งไปกว่านี้
ผู้ที่มีอิสรภาพทางวิญญาณแล้วมันหมดปัญหาทางจิตทางกาย ร่างกายจะตายหรืออะไรจะเป็นก็ไม่มีความหมายอะไรจิตไม่มีทางที่จะเป็นอะไรผิดปรกติไปได้ ฉะนั้นมีอิสรภาพทางวิญญาณอย่างเดียวปลอดภัยเช่น พระอรหันต์องค์หนึ่งนี้เป็นพระอรหันต์มีอิสรภาพทางวิญญาณถึงที่สุดแล้ว แล้วอะไรจะเกิดขึ้นที่จะทำให้พระอรหันต์เดือดร้อนหรือว่ารู้สึกว่าสูญเสียอะไรเพราะว่าไม่ต้องการอะไร, ไม่ต้องการบุตรภรรยา, ไม่ ทรัพย์สมบัติอำนาจวาสนาอะไรเหล่านี้, ไม่ต้องการ เมื่อจิตไม่ต้องการอะไรนะมันปรกติที่สุดไม่มีโรคเส้นประสาทไม่มีโรคจิต ก็อยู่, อยู่แต่กับอิสรภาพทางวิญญาณคือ นิพพาน ก็พอแล้ว เดี๋ยวนี้คนมันเป็นโรคจิตเป็นโรควิญญาณ และก็ยังเป็นโรคกายอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ฉะนั้นการค้นคว้าเรื่องผ่าตัดหัวใจต่อหัวใจ อะไรที่ใหม่ ๆ นี่แม้จะรักษาโรคมะเร็งหายอะไรก็ตามมันน่าหัวเราะ, ของเด็กเล่นแต่เขาถือว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างยิ่งในโลก มีชื่อเสียงมากได้โนเบิลไพรซ์ได้อะไรกันไปตามเรื่องเขาเพราะเขารู้จักเพียงแค่นั้น
ฉะนั้นโลกไม่มีวันผาสุขได้เพราะมันขาดอิสรภาพทางจิต และอิสรภาพทางวิญญาณ แม้ว่าความก้าวหน้าทางร่างกายหายโรคทางร่างกายไปได้มากอย่าง, อย่างน่าอัศจรรย์แล้วมันก็มาเพิ่มไอ้โรคทางจิต, โรคทางวิญญาณมากขึ้น มันไม่น่าเชื่อไปสนใจไปแก้ไขแต่ไอ้ทางฝ่ายร่างกาย ปัญหาหรือโรคทางจิตทางวิญญาณมันเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเพราะไปแก้ไขทางกายเพื่ออยากใช้ร่างกายให้เอร็ดอร่อยทางอารมณ์ให้มากขึ้นเท่านั้นเอง ที่ไม่อยากตายนี่เพื่ออยู่เพื่อเสวยอารมณ์ทางกายมันก็เห็นแก่ตัวจัดมากขึ้น ทีนี้บางทีก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ถ้าพูดตามภาษาธรรมะแล้วเช่น เราทำให้คนรอดตายด้วยการผ่าตัดหัวใจแล้วพอรอดมาได้ห้าปี, สิบปีมันก็เท่าเดิมไม่มีอะไรดีขึ้น เพียงว่าเขาได้อยู่กินอาหารต่อไปอีกห้าปี, สิบปีแต่ไม่มีอะไรที่เป็นคุณธรรมที่ดีขึ้น เขาเป็นโรคทางจิตไปตามเดิมมีโรคทางกายตามควรอยู่ตามเดิม โรควิญญาณก็มีเต็มปรี่อย่างยิ่งอยู่ตามเดิมไม่มีอะไรดีขึ้น จะต้องมาสนใจขวนขวายแก้ไขโรคทางวิญญาณให้ยิ่งขึ้นอีกแล้วมันจะมีความผาสุขทางกาย, ทางจิต, ทางวิญญาณ ม นุษย์ไม่เป็นโรคทางวิญญาณแล้วหมดปัญหาทั้งโลกทีเดียวหมดเลยคือว่า จะไม่มีคนเบียดเบียนใครจะไม่มีการเบียดเบียนนี่ก่อนแล้วแต่ละคน ๆ ไม่มีความทุกข์, ไม่มีปัญหา จะมีอาหารกินก็ได้, ไม่มีอาหารกินก็ได้, ไม่มีปัญหาด้วยความทุกข์ เขาก็กระทำไปตามที่ควรจะทำ เพื่อมีอาหารกิน, เพื่อมีผ้านุ่งห่ม, เพื่อมีไอ้มันที่จำเป็นมันก็สบายไม่มีปัญหา, ไม่เป็นโรคจิต, ไม่เป็นโรคเส้นประสาทมากขึ้นเหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ในประเทศที่ก้าวหน้ามหาประเทศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางอะไรก็ตามมันเป็นโรคประสาทมากขึ้น, เป็นโรคจิตมากขึ้น, เป็นโรคกามารมณ์วิปริตอะไรมากขึ้นๆ เอากับมันสิที่ว่าไปแก้ไขแต่ทางวัตถุหรือทางร่างกายอย่างเดียวมันก็เป็นโรคทางจิตทางวิญญาณเพิ่มขึ้น นั่นน่ะคือมีอิสรภาพ เมื่อก่อนนี้เขานับถือพระเจ้าไม่เห็นแก่ตัวเสียสละ, พระเจ้าช่วยให้เขามีอิสรภาพไอ้ตัวพระเจ้านั่นละคือ ตัวอิสรภาพอย่าเข้าใจเป็นอย่างอื่นอย่าเข้าใจว่าเป็นคน, เป็นผู้, เป็นอะไร ตัวอิสรภาพทางวิญญาณ หรือความอิสรภาพทางวิญญาณนั้นคือ ตัวพระเจ้าตัวจริงมาสมมติเป็นบุคคลก็ช่วยคนให้รอดจากไอ้ความทุกข์ทางกาย, ทางจิต, ทางวิญญาณ เดี๋ยวนี้คนมันโง่ไปคิดว่าพระเจ้านี้ก็เป็นคนเป็นสัตว์เป็นอะไรเหมือนกับคน แล้วก็ทำอะไรไม่น่าดูไม่ยุติธรรมเลยเลิกถือพระเจ้ากันเสียก็คือ หมายความว่าไม่รู้เรื่องอิสรภาพทางวิญญาณเลยเลิกมันเสีย โลกนี้ก็เต็มไปด้วยความเป็นทาสเป็นขี้ข้าหรือเป็นทาสไม่มีอิสรภาพทางวิญญาณ, ก็ไปเป็นเหยื่อของสงคราม, ไปเป็นเหยื่อของโรคจิตโรคเส้นประสาทโรคอะไรมากขึ้น เต็มไปด้วยความยุ่งยากลำบากไม่มีความสงบสุขอยู่ในโลกนี้ ฉะนั้นผมจึงถือว่าองค์ประกอบอันสำคัญที่จะให้เกิดความสุขอันสุดท้ายนี้ก็คือ อิสรภาพ ส่วนคำว่าอิ่มใจ, ความผาสุขกายสบายใจ, ความแน่ใจ, ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่, เคารพตัวเอง, ความรักสากลนี้มันก็เป็นสิ่งที่รวมหรือขึ้นอยู่กับอิสรภาพทางวิญญาณ ถ้าเราไม่มีอิสรภาพทางวิญญาณแล้วความอิ่มใจมีไม่ได้ ไอ้ความแน่ใจ, ความสุข, ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่หรือไอ้รักสากลนี้, มันมีไม่ได้ พอมีอิสรภาพทางวิญญาณอย่างเดียวอะไรๆ ที่มันดี, ดี, ดี, ดีวิเศษมันมีมาเองมีมาได้ที่ว่าเราต้องการความแน่ใจว่าเราเป็นคนไม่มีเลวไม่ผิดไม่มีชั่วนั้นน่ะก็เพราะว่าเราไม่เป็น, ไม่เป็นทาสของกิเลสมาก่อนแล้วหรือว่าเวลานั้นเราไม่เป็นทาสของกิเลสชั่วขณะนั้น แล้วรู้สึกว่าเรามีความแน่ใจเคารพตัวเองยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่เป็นสวรรค์อยู่ที่นี่ไม่ใช่สวรรค์อยู่ที่อื่นต่อตายแล้ว นี่เวลานั้น ตัวกู-ของกู มันไม่มี มันถูกกำจัดออกไปเสียด้วยธรรมะ, อิสรภาพจาก ตัวกู-ของกู แล้วเป็นอิสรภาพทางวิญญาณแล้ว ฉะนั้นอะไรที่ต้องการมันมีได้ทั้งนั้นจะรู้สึกอย่างไรก็ได้ตามต้องการเป็นความสุขเป็นความผาสุข
นี่รวมความว่าผมได้ยกตัวอย่างองค์ประกอบหรือส่วนประกอบของสิ่งที่เรียกว่าความสุขมาให้ดูพอเป็นตัวอย่างที่สำคัญๆ เพื่อจะเป็นเครื่องกำหนดไว้สำหรับการปฏิบัติ, เพื่อหามาให้ได้, เพื่อทำให้มีขึ้นว่าที่อยู่ในรูปของ positive คือเป็นตัวที่จะได้นี้เรามีความอิ่ม, อิ่มเพราะร่างกายมันก็อิ่มไม่หิวนะ มันก็อิ่มความดี อิ่มธรรมะ รวมความแล้วคือ ไม่ได้ต้องการอะไรนี่มีความอิ่มก็มีความผาสุข, สะดวกสบาย, บันเทิงเริงรื่นในทางธรรมเรียกว่าธรรมบันเทิงดีกว่า เรามีธรรมบันเทิงแล้วเราก็มีความแน่ใจ, เคารพตัวเองนับถือตัวเอง ไหว้ตัวเองได้ แล้วก็เราเป็นคนที่ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ นี่คืออิ่มอยู่เรื่อยเสร็จอยู่เรื่อยไม่มีหิวเลยแล้วก็ไม่มีช่องทางที่จะไปเป็นทาสของกิเลสเพราะทำหน้าที่เพื่อหน้าที่, ทำความดีเพื่อความดีมันก็มีความรู้สึกไม่มีเวรไม่มีภัยแก่ผู้ใดหมด, ไม่มีเวรไม่มีภัยแก่ใครหมด
ฟังให้ดี ๆ นี่ในที่สุดก็มีความหลุดพ้นคือ อิสรภาพจากความผูกมัดทั้งทางกาย, ทั้งทางจิต, ทั้งทางวิญญาณนี่เป็นองค์ประกอบของความสุข, เป็นลักษณะของความสุข, เป็นปรากฏการณ์ของความสุขในแง่ของ positive คือ มันจะมีมาให้ได้แก่เราพอเป็นตัวอย่างแล้วก็จะได้พูดถึงในแง่ negative คือ ฝ่ายที่ไม่ต้องมีกันอีกในโอกาสหลัง เอาละวันนี้มันก็พอกันที