แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายเรื่องทิศ อื่อ, ในวันนี้ เราจะได้พิจารณากันถึงเรื่อง อ่า, ทิศเบื้องหลังคือบุตรภรรยา ต่อจากทิศ อ่า, เบื้องหน้าคือบิดามารดา ซึ่งได้พิจารณากันแล้วในวันก่อน ในฐานะที่เป็นเรื่องคู่กัน อยากจะขอให้ทุก อ่า, ทุก ทุกคนทบทวนถึงหลักที่เราจะต้องถือ อ่า, เป็นหลักสำคัญทั่วๆ ไปไว้เสมอ ว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อไปนิพพานเป็นต้น มนุษย์ที่กำลังอยู่ในสภาพอย่างไร สถานะอย่างไร อื้อ, ก็ต้องมีความมุ่งหมายเพื่อไปนิพพาน คือ เอ่อ, ไปสู่ที่สิ้นสุดของการที่จะต้องเป็นอะไรหรือเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็โดยทางจิตใจ คือเราจะหมดความรู้สึกว่าเราเป็นอะไร จึงจะ อ่า, จบเรื่อง
ที่นี้ก็จะได้ความคิดขึ้นมาว่า อ่า, ทุกอย่างนี่มันเป็นไปเพื่อสิ่งที่ควรจะเป็นไป แปลว่ามองไอ้ชีวิตในลักษณะที่ไม่น่าเกลียดน่ากลัว น่า คือไม่มองในแง่ร้าย เสร็จแล้วก็ไม่มองในแง่ดีจนถึงกับว่าน่าพิสมัย น่าหลงใหล ในทางเอร็ดอร่อย ทางเนื้อทางหนัง เรามองชีวิต อ่า, ในแง่ที่เป็นการเดินทาง ถ้าเดินดีมันน่าชื่นใจ ถ้าเดินไม่ดีก็น่าเศร้า มีแต่อย่างนั้น (นาทีที่ 03:38)
นี้เรามันก็มองดูตัวเองในฐานะเป็นจุดศูนย์กลาง ที่มีอะไรแวดล้อมอย่างที่เรียกว่าทิศต่างๆ ทิศทางต่างๆ เพราะว่ามันจะต้องไปด้วยกัน อย่างที่เรียกว่าไปคนเดียวไม่ได้สำหรับฆราวาส เพศฆราวาสก็ไม่ควรจะถือว่าเป็นบาปเป็นกรรมอะไร แต่ควรจะถือว่าเป็นการเดินทางที่มัน พวง เป็นพวง พ่วงกันเป็นพวง สำหรับพระและบรรพชิต มันก็มีความมุ่งหมายที่จะไม่ให้เป็นพวง คือให้มันไปเดี่ยวหรือว่าไปสะดวก แต่ถ้าการเป็นพวงก็ไม่ควรจะถือว่าเป็นโชคร้ายหรือเป็นบาปกรรม ควรจะถือว่าเป็นการแสดงความสามารถ สำหรับใครต้องการจะไปเดี่ยว มันก็ต้องมีสิทธิที่จะทำได้ เรียกว่ามีโชคดีกว่า เรียกว่ามีโชคดีกว่า ก็เป็นอันว่า ไม่ต้องถือว่าชีวิตนี้เป็นบาปกรรม หรือเป็นสิ่งที่เป็นไปในแง่ร้ายเหมือนคนเข้าใจกันโดยมาก โดยเฉพาะพวกฝรั่ง บางคนเอา ไอ้, หลักพุทธศาสนาไปเปรียบว่าเหมือนกับปรัชญาของโชเปนเอาเอ้อร์ (Schopenhauer) ซึ่งมองทุกสิ่งในแง่ร้าย ผมไม่เห็นด้วย ให้ถือว่า ธรรมชาติแท้ๆ ของธรรมชาตินี้ไม่ใช่แง่ดีหรือแง่ร้าย มันแล้วแต่เราจะจับ จะทำมัน นี้เราจะมัวไปจับมัวทำให้เป็นดีเป็นร้าย อ่า, มันก็ยุ่ง สู้ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมันไม่ได้
เมื่อเราต้องการแง่ไหนที่เป็นประโยชน์ เราก็เอากันในแง่นั้น ฉะนั้นใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ ให้เป็นการเดินทางดีกว่า ที่เขาไปจับ ไอ้, เอ่อ, สิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือภาวะอย่างนั้น อย่างนี้ ความคิดอย่างนั้น อย่างนี้ ว่าเป็นบุญ เป็นบาป เป็นดี เป็นชั่ว เป็นกุศล เป็นอกุศลนั้น เป็นเรื่องสมมติบัญญัติ ก็ตามความรู้สึกของคนผู้มีความต้องการ ถ้าไม่ต้องการ มันก็ไม่เป็นดีเป็นชั่วอะไรได้ หรือถ้าเกิดมีความต้องการที่ไม่เหมือนกันนะ คนหนึ่งก็จะเห็นเป็นดี คนหนึ่งก็จะเห็นเป็นชั่ว ให้ถือว่าโดยธรรมชาติทั่วไป แล้วธรรมชาติเหล่านั้นไม่ได้เป็นดีหรือเป็นชั่ว หมายความว่าเปิดโอกาสให้มนุษย์ปรับปรุงเอาตามความต้องการของตนได้ ถ้ามนุษย์มันโง่มันก็ปรับปรุงไปอย่าง มนุษย์ฉลาดก็เป็นไปอย่าง เพราะฉะนั้นการรู้จักธรรมชาติที่ถูกต้องนั้นน่ะจะเรียกว่า เป็นการดีที่แท้จริง เป็นกุศล ฉะนั้นผมจึงพิรี้พิไร อ่า, ขอให้ทุกคนมองสิ่งต่างๆ ในแง่ลึก อย่ามองแต่เพียงแค่สมมติบัญญัติ หรือการแต่งตั้งอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างนี้เขาเรียกว่ามันถูกกักขังโดยทางวิญญาณ ไม่เป็นอิสระ ก็คือความโง่ ต้องมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างอิสระ ก็คือเลือกได้ในทางที่จะอยู่เหนือ คือไม่มีความทุกข์เพราะสิ่งเหล่านั้น นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจะต้องพิจารณาสิ่งต่างๆ แม้สุดแต่เรื่องภายในครอบครัวนี่ เรื่องโรแมนติกต่างๆ นี่ก็ยังต้องพิจารณากันในลักษณะที่ลึกซึ้ง เป็นปรมัตถ์เหมือนกัน
แล้วที่นี้สำหรับเรื่องบุตรภรรยา ซึ่งเป็นทิศเบื้องหลัง แล้วก็เป็นคู่กับทิศเบื้องหน้า และการพิจารณาก็เป็นไปได้ในทางเปรียบเทียบมาก่อน คำว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังนี่มีอีกหลายความหมาย ภาษาไทยก็ดิ้นได้ บางทีหน้ากับหลังก็เหมือนกัน ต่อภายหน้า ต่อภายหลังนี้ก็ไอ้สิ่งเดียวกัน แต่เบื้องหน้าในที่นี้หมายความว่าอยู่ข้างหน้า เห็นก่อน ดูก่อน ต้องดูก่อน ต้องจัดการก่อน ต้องนึกไว้เป็นเบื้องหน้า คือออกหน้าสิ่งใดๆ นี้ส่วนเบื้องหลังนั้นมันก็ตรงกันข้ามในทางที่จะมอง แต่ว่ามันก็มีภาระไม่น้อยกว่ากันในทางที่จะปฏิบัติ ปฏิบัติให้เหมาะสมกับการที่เรียกว่าเบื้องหลัง ข้างหลัง
นี่เรามองกันแต่ เบื้อง อ่า, มองแต่ เรามองกันตั้งแต่ระดับต่ำๆ คือความคิดในระดับต่ำๆ แล้วก็มองเห็นไปว่าคนโดยมากไม่เห็นว่าเป็นทิศเบื้องหลังก็ได้ เห็นบุตรภรรยาเป็นทิศเบื้องหน้า เป็นภาระข้างหน้า นี่ถ้ามีความหลงรักด้วยกิเลส เดี๋ยวมันก็เลยยิ่งเป็นเบื้องหน้ายิ่งขึ้นไปอีก ก็ต้องระวัง มันจะกลายเป็นโง่มากขึ้นๆ แล้วก็กลายเป็นทำผิดก็ได้ นี้ถอยเข้ามาและสูงขึ้นมาอีก เรียกว่า จากความที่ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความหลง มันก็เป็นกำลังใจอย่างที่เคยแนะให้ดูว่า ทุกคนมีบุตรภรรยาเป็นกำลังใจสำหรับปฏิบัติหน้าที่การงาน อาชีพ สร้างสรรค์อะไรต่างๆ ฝึกฝีไม้ลายมือ นี้มันก็เป็นระดับของปุถุชนที่รู้จักในสิ่งที่ดีที่สุดเพียงเท่านั้น หรือว่าเขากำลังเข้าใจอย่างนั้นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าไม่มีบุตรภรรยา อ่า, เป็นเครื่องคอยฝึกกำลังใจแล้วดูจะไม่ค่อยได้ทำอะไร อย่างจริงๆ จังๆ
ทีนี้ก็มองได้จากข้อนี้แหละ เห็นชัดอยู่ในตัวแล้วว่า บุตรภรรยาน่าจะจัดไว้ข้างหลัง มันก็เป็นกำลังดันให้ไปข้างหน้า ไม่ใช่เป็นเครื่องถ่วง ถ้าเป็นของหนัก เป็นเครื่องถ่วงมัน แล้วมัน มัน มันดึง มันกระชาก ดัน อ่า, ให้ถอยกลับไปทางหลัง แต่นี้ถ้าเรามีกำลังใจเกิดมาจากบุตรภรรยา นี้ก็เท่ากับว่าบุตรภรรยานั้นเป็นกำลังดันให้ไปข้างหน้า คือดุนให้ไปข้างหน้า มันก็ควรจะถือเอาเป็นคติที่ดีกว่า ที่จะถือเอาว่าเป็นเรือพ่วง เหมือนของหนัก เป็นของดึงขา ดึงอะไรไว้
ที่นี้ก็เลยถือเอาคติอันนี้ว่า ดุนไปข้างหน้าแล้ว ไปไหนกัน ให้ต่อไปให้มันกลายเป็นว่า ไปให้ถึงที่สุดและ จุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ อย่าให้ดุนไปเพียงเพื่อกิน เพื่อกาม เพื่อเกียรติ เป็นเรื่อง อ่า, โลกๆ ของคนที่หลงใหลอยู่ในเนื้อหนัง นั่นแหละจึงแนะนำให้มองให้เห็นว่า มนุษย์ทุกคนจะต้องไปนิพพาน ที่นี้บุตรภรรยาก็ไม่เกิดเป็นภาระ หนัก ถ้าเราทำให้เขาเข้าใจในอุดมคติอันนี้ เพราะทุกคนเกิดมาเพื่อไปนิพพาน ตามที่ผมได้ฟัง ได้สังเกต มองเห็นอยู่ชัด หรืออย่างนั้นก็เห็นแว่วๆ อ่า, พอเป็นรูปเป็นร่างว่า วัฒนธรรมไทยแต่โบราณ เขาจะมีการพร่ำถึงสิ่งที่เรียกว่านิพพานกันอยู่ให้แซ่ไปหมด ในบ้าน ในเรือนจะมีการพูดถึงคำว่านิพพาน และสอนให้อุทิศ ตั้งใจ เอ่อ, ทำสิ่งใดเพื่อเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานเสมอ ฉะนั้นเด็กๆ ก็จะได้ยิน พอผมจำได้ ผมตัวเล็กๆ เด็กๆ ก็ได้ยิน อ่า, คนเฒ่า คนแก่ พูดถึงว่าเรื่องขอให้เป็นปัจจัย นิสัยแก่นิพพานอยู่อย่างนี้เสมอไป มันจน เม่อ, จนมันกลายเป็นวัฒนธรรมประจำปากไปเลย
ก็แปลว่าเราทำให้เรื่องของนิพพานนี่ เป็นเรื่องจุดหมายปลายทางของมนุษย์กันทุกคน เด็กๆ ก็มีการได้ยินได้ฟังสิ่งนี้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจว่านิพพานคืออะไร มันก็ค่อยติดตามต่อไป ไอ้เรื่องนี้มันสำคัญมาก คือว่ามันจะตัดบทของไอ้ปัญหายุ่งยาก ความทุกข์อะไรต่างๆ ตามที่เราสังเกตเห็น เวลานี้มีปัญหา อ่า, ในครอบครัวนี่ ว่าไม่มีเงินพอให้ลูกจะเล่าเรียนเป็นดิบเป็นดีได้ ฉะนั้นพ่อแม่ก็เลย ก็ ก็เลยทรมานใจ ทุกข์ระทมในใจอยู่เสมอ นี่มันเป็นบาปกรรม เกิดขึ้นมาโดยการที่ตั้งใจไว้ผิดเท่านั้นเอง
แต่ถ้าเกิดถือตามวัฒนธรรมเก่า ก็จะไปนิพพานกันแล้ว มันก็ไม่มีปัญหาเรื่องที่จะต้องหาเงินให้พอสำหรับส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ปัญหาที่มันเกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมาก็เพราะไม่เข้าใจจุดหมายปลายทางของมนุษย์ ถ้าพ่อแม่ก็มีทำความเข้าใจถูกต้องในเรื่องนี้เสียแล้ว ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดสำหรับถึงกับเป็นทุกข์ จะหาเงินให้มาก จะมีอะไรให้มาก ให้ลูกได้เล่าเรียนดี มันก็ทำได้ แล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี้มันมีไอ้ข้อแตกแยก เหมือนกับว่า พ่อเกิดต้องการจะให้ลูกดีไปในทางธรรม ทางศาสนาหรือเพื่อไปนิพพานก็ตาม ส่วนแม่เขาไม่เห็นด้วย ไม่เอาด้วย ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย มันก็เป็นความยุ่งยากลำบากที่เกิดขึ้น ถึงกับเป็นทุกข์ทรมาน เป็นปัญหาที่เรียกว่าทำให้ปวดหัวกันบ่อยๆ
ทางพ่อมีความคิด หรือมีความตั้งใจ ตัดสินใจในเรื่องที่จะให้ดีไปทางนิพพานนี่ ปัญหามันก็ไม่มีมากมายอะไร เพราะคนจนเท่าไรก็ทำได้ มีแต่พอกินพอใช้ก็ทำได้ มีเงินมากก็ทำได้ ถ้าคิดไปเรื่องดี เรื่องเด่นทางโลกกันแล้ว มันต้องเกี่ยวกับเรื่องเงิน เรื่องอะไรไปทำนองนั้น มันก็เลยดึงไปหาไอ้มิจฉาทิฏฐิ มันดึงไปหาไอ้คอร์รัปชั่น ทุจริต ว่าไป ก็ต้องเอามาคิดดูในปัญหาเรื่องบุตรภรรยา ถ้าเผอิญบุตร เอ่อ, ถ้า ถ้า ถ้าเผอิญทั้งคู่สามีภรรยามีความเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนี้ตรงกัน แล้วเรื่องมันก็จะราบรื่นมาก แล้วก็จะเป็นอยู่อย่างสงบเย็นเหมือนคนโบราณ แล้วมีความดีไปในทางดีที่ถูกต้อง ไม่ใช่ความเห่อ ทะเยอทะยานอย่างโง่เขลา ต้องอะไรมันก็เลยพอไปหมด สติปัญญาของลูกก็พอสำหรับที่จะไปนิพพานน่ะ มันไม่พอสำหรับที่จะไปเรียนเป็น เอ่อ, ผู้ อ่า, เก่งกล้าสามารถในโลกนี้ การทำมาหากิน ทรัพย์สมบัติอะไรมันก็พอไปหมด ทุกอย่างไม่เป็นไปเพื่อการถ่วง หรือผูกพัน หรือ เอ่อ, ผูกมัด หรือเผาลน ทิ่มแทง มันดีอย่างนี้ เกิด เกิด อ่า, เกิดเป็นเรื่อง เอ่อ, สะดวก สะ เอ่อ, สบายที่จะไปข้างหน้า เพราะไม่มีทางที่จะเกิดบาป เกิดอกุศลอะไรเลย
ฉะนั้นเราจะต้องมองดูบุตรภรรยานี่ ในลักษณะที่จะไม่เป็นทุกข์ คือเป็น เป็นเรือพ่วง เป็นอะไรทำนองนั้น แต่เป็นไปเพื่อเพื่อนคู่หู ไปนิพพาน สำหรับภรรยาเป็นผู้แบ่งเบาภาระการเดินทางไปนิพพานให้เหลือคนละครึ่ง ก็น้อยเข้า ส่วนบุตรนั้นมีสำหรับว่า ถ้าบิดามารดาไปไม่ถึงชาตินี้ บุตรก็รับภาระ รับมรดก ที่จะเดินทางต่อ เพื่อให้มนุษย์ มนุษยชาตินี่มีวิวัฒนาการไปถึงจุดหมายปลายทาง คือนิพพาน
อย่างว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่เดินทางไปถึงนิพพาน อื่อ, แล้วก็เปิดเผยหนทางอันนี้ อื่อ, เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้บ้าง ทุกคนก็เข้าใจ และสำหรับดำรงชีวิตชนิดที่เป็นการเดินทางไปนิพพานอยู่เรื่อย แม้ยังไม่ถึงก็ยังเยือกเย็นไปตามสมควร มีส่วนเยือกเย็น ไม่ ไม่ใช่มีส่วนเร่าร้อน อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์อยู่แล้ว และการมีครอบครัวก็ไม่ควรจะมีให้มันขัดกันกับอุดมคติอันนี้ เพียงแต่ว่าไปช้าหน่อยสำหรับความเป็นฆราวาส มันก็ดีเหมือนกัน เป็นการแสดง มันแสดงสมรรถภาพอย่างสูง ถ้าเรา เอ่อ, มองกันในแง่นี้ ปฏิบัติกันอยู่ในแง่นี้ คำว่าบุตรภรรยาก็ไม่ใช่เครื่องถ่วง ไม่ใช่เรือพ่วงที่ถ่วง แต่กลายเป็นเครื่องสนับสนุน อ่า, แล้วก็เป็นเครื่องสำรอง เมื่อเรือลำใหญ่คือพ่อแม่มันถึงภาระสิ้นสุดลงไป ไอ้ ไอ้เรือพ่วงก็คือลูกมันก็รับภาระสำรองมาหน้าที่ต่อไป คำว่าลูกควรจะเป็นอย่างนี้ อย่าให้เป็นเพียงก้อนอะไรก้อนหนึ่งออกมาจากพ่อแม่ หรือเหมือนกับลูกไม้ เอ่อ, ของต้นไม้ แต่ถึงอย่างไรก็ดี มันก็เป็นการรับมรดกทางร่างกาย ลูกไม้หล่น อ่า, ออกมาจากต้นไม้ที่เป็นพ่อแม่เรื่อย คือการรับมรดกทางร่างกาย แต่นี้เราก็ให้เป็นเรื่องรับมรดกทางวิญญาณ เหมือนลูกควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะมนุษย์มันมีจิตมีวิญญาณสูงกว่าต้นไม้หรือสูงกว่าสัตว์ นี้คำว่า ลูก มันก็ไม่ได้หมายความถึง ไอ้ลูกที่เกิดออกมาจากอกนะ ใช้คำว่าจากอก จากเลือด จากเนื้ออย่างเดียว แม้ไม่ได้เกิดมาจากอก ก็ยังเป็นลูกได้อยู่นั่นแหละ แล้วไอ้ลูกเกิดจากอกนั้นเป็นเรื่องร่างกาย เป็นเรื่องลูกทางฝ่าย อ่า, เนื้อหนัง ทางฝ่ายร่างกาย มันก็จะมีลูกที่คลอดออกมาจากวิญญาณ หรือลูกทางวิญญาณด้วย คือเป็นเรื่องของความหมายในทางจิตใจ มันก็เลยจึงมี เอ่อ, ลูกในลักษณะอย่างอื่น นับตั้งแต่ลูกจ้างไป ในภาษาไทยนี่ ก็คือผู้ที่จะทำตามความประสงค์ของเราน่ะ แล้วก็มีลูกอะไรอีกหลายอย่าง อ่า, อีกหลายลูก ลูกคู่ ลูก เอ่อ, สมุน ลูกอะไรก็สุดแท้เถิด ถ้ามีคำว่าลูก กระทั่งว่าลูกศิษย์ ก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่จะรับสนองความประสงค์ ความมุ่งหมาย ใน ในหน้าที่การงานต่อไปทั้งนั้น
เป็นบรรพชิต ก็ยังมีลูก คือมีลูกศิษย์ มีภาระหน้าที่อย่างพ่อแม่อย่างกว้างขวางเสียอีก ถ้ามีลูกศิษย์เป็นร้อยๆ มันก็ต้องทำอย่างเดียวกันกับที่พ่อแม่จะพึงกระทำต่อลูก แต่มันเป็นเรื่องทางวิญญาณเสียมากกว่า นี้การที่มีลูกศิษย์ ทำไมภาษาไทยเอาคำว่าลูกเป็นที่ตั้ง เพราะผมเห็นว่าเป็นนิมิตที่ดี เป็นนิมิตที่ดีมากที่จะให้มอง ไอ้, ผู้ที่มาเกี่ยวข้องด้วยกันนี่ มีความผูกพันมากในฐานะถึงกับเป็นลูก เป็นลูกจ้าง ถ้ารักอย่างลูกมันก็หมดปัญหา เดี๋ยวนี้คนไม่รักลูกจ้างอย่างลูก มันก็เกิดปัญหาอันตรายขึ้นมา
นี่คำว่าลูกศิษย์ มันไม่ได้เกิดมาจากอก หรือทางเนื้อทางหนัง มันก็เลยกลายเป็นลูกในทางฝ่ายวิญญาณ นี้ผู้ที่เป็น เอ่อ, พ่อก็เลยมีภาระที่จะต้องทำอย่างที่เป็นพ่อขึ้นมา เป็นพระพุทธเจ้านี่เรียกว่าพระพุทธบิดา หรือเป็นบิดาทางปัญญา (นาทีที่ 26:55) อาจารย์เขาก็เรียกกันว่าพ่อ เพราะเป็นพ่อทางฝ่ายวิญญาณ แล้วทางภาคเหนือก็มีพ่อเลี้ยง มีอะไรอีกประเภทหนึ่ง นี้เป็นเรื่องทางฝ่ายวิญญาณอยู่ด้วยเหมือนกัน คือความรัก ความเมตตา ความกรุณา ไอ้คนที่ เอ่อ, เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงจะเป็นพ่อเลี้ยงที่ถูกต้อง จะมีพ่อเลี้ยงอันธพาลทำนาบนหลัง ไอ้, คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องนั่น มัน ไม่ ไม่ ไม่ควรถือเอาเป็นประมาณ
นี้จะพูดกันแต่เรื่องลูก มีความหมาย แอ่, ทางวิญญาณที่จะต้องได้รับความรักใคร่ เมตตา ปรานี และชักจูงไปให้เดินถูกทาง จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ก็ในทางวิญญาณอีกแหละ อะไร อะไร เราก็เป็นเรื่องทางวิญญาณไปหมด จนเราจะเรียกว่า ปั้นยาง (นาที่ที่ 28.15) จะเรื่องทางเนื้อหนัง ทางร่างกายนั้นมันมีสาระน้อย เป็นเพียงเปลือกซึ่งเป็นที่ตั้งของเนื้อใน มีความสำคัญอย่างนั้น
ที่นี้การที่ เอ่อ, ฆราวาสจะมีทิศเบื้องหลัง มีทิศๆ นี้ให้เป็นที่ เอ่อ, สะ สะดวก สบาย ชื่นใจ เป็นไปเพื่อกุศลนั้น มันต้องมองกันในแง่อย่างนี้ อย่ามองกันในเรื่องที่น่าทุเรศ เท่าที่รู้สึกกันอยู่ เราอาจจะพูดว่าแม้เป็นคนยากจน ชาวไร่ ชาวนา อาบเหงื่อต่างน้ำ ก็ยังมีโอกาส อ่า, หรือสามารถที่จะมองสิ่งต่างๆ ในแง่อย่างนี้เหมือนกับปู่ย่าตายายสมัยโบราณ เขาไม่มีความทุกข์เรื่องนี้ มีลูกก็คือไปด้วยกันเรื่อย พ่อทำอย่างไร ลูกทำอย่างนั้น พ่อไถนา ลูกก็ไถนา อื่อ, ลูกก็พอใจที่จะดูพ่อไถนา มันไม่มีปัญหาเรื่องทุกข์ร้อนทางวิญญาณ เพราะมันเดินตามทางกันไปเรื่อย ซึ่งมันเปิดให้มากถึงกับว่า ไม่รู้หนังสือก็ไปนิพพานได้
ครั้งโบราณในประเทศอินเดีย คนที่บรรลุพระอรหันต์ไปนิพพานน่ะ ไม่รู้หนังสือกันแยะ เดี๋ยวนี้ไปเรียนหนังสือเป็นปริญญาไม่มีที่สิ้น เอ่อ, สิ้นสุด มันเกิดเป็นปัญหาโง่ๆ เขลาๆ ขึ้นมาให้มีความทุกข์ ไม่ต้องการเรื่องที่จะดับทุกข์ ต้องการจะเดินดุ่มไปในทางที่มีอะไรยั่ว เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติมันยั่ว ให้ดุ่มไปวนเวียนอยู่แต่ในทางนั้น เลยไอ้เรื่องที่ว่าคนไม่รู้หนังสือก็ไปนิพพานได้ นี่ก็เป็นหมันสำหรับคนเหล่านั้น ฉะนั้นเราจะมองเห็นภาพของมนุษย์ในสำหรับปัจจุบันนี้กำลังบ้าคลั่ง เดือดจัด หมูวิ่งอย่างสุดเหวี่ยง แต่ไปในทิศทางไหนก็ไม่รู้ นี่ลองหลับตาทำมโนภาพในทางวิญญาณดู มนุษย์สมัยนี้กำลังวิ่ง วิ่งจนหกล้มหกลุก คือวิ่งสุดเหวี่ยง แล้วไปทิศทางไหนก็ไม่รู้ แล้วก็ปรากฏว่ามีแต่จะไปในทิศทางที่มันเป็นทุกข์มากขึ้นนะ แล้วก็ดูโลกในสมัยนี้ก็แล้วกัน มันยุ่งมากขึ้น เป็นทุกข์มากขึ้น เพราะมันวิ่งไปสุดเหวี่ยงไปในทางที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน คือไม่ เอ่อ, มีความสำรวมระวัง ไม่มี เอ่อ, ความเยือกเย็นอะไร ทั้งที่มันรู้หนังสือมาก รู้อะไรมาก รู้จนว่าไปโลกพระจันทร์ได้อย่างนี้ ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น สำหรับที่จะเยือกเย็น สู้คนบ้างไม่รู้ เอ่อ, สมัยไม่รู้หนังสือก็ไม่ได้ อย่างนั้นอย่ากลัวกันนักเลยไอ้เรื่องลูกจะไม่มีเงินไปเมืองนอก หรืออะไรทำนองนั้น
แล้วก็อุตส่าห์ทำให้เขามีความเข้าใจถูกต้องไปตั้งแต่แรกเท่าที่จะทำได้ว่า มนุษย์เกิดมาเพื่อไปนิพพาน และทำให้ดีที่สุดสำหรับที่จะเป็นอย่างนี้ จะทำอะไร จะทำมาหากิน จะมีลูก มีเมีย จะมีชื่อมีเสียง จะมีอะไรก็สุดแท้เถิด แต่ต้องไม่ขัดกันกับเรื่องที่จะไปนิพพาน ถ้าสมมติว่าไม่ได้ปัจจัยทางโลกๆ เหล่านั้น เราก็ยังคงไปนิพพานได้ ก็เลยไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว อ่า, ไม่ต้องมีความหวาดกลัวในชีวิต ว่าจะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ นี่เดี๋ยวนี้เราอยากจะให้ได้ ให้มาก ให้อะไรก็ ก็ได้เหมือนกัน ให้ถือว่าเป็นเรื่องการแสดงความสามารถ หรือฝึกฝนความสามารถ ใครอยากจะมีเงินสักสิบล้าน ใครอยากจะมีปริญญายาวตั้งวานี่ก็ ก็เพื่อฝึกหัด ฝึกฝนแสดงความสามารถในเนื้อ ในตัว เพื่อไปนิพพาน เพราะว่าสิ่งที่จะได้มาจากเงินสิบล้าน หรือว่าปริญญายาวเป็นหาง มันเป็น เอ่อ, เศษขยะมูลฝอย และเป็นสวะ ได้อะไรมาก็เรียกว่าสวะทั้งนั้น ไอ้ของดีแท้ๆ มันก็คือการได้ไป นิพพาน
ที่นี้เขาก็ไม่หลง เขาก็ใช้ไอ้สิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องฝึกฝนความสามารถไปตั้งแต่เล็ก เรียนเก่ง สอบได้ดี ต้องการอะไรก็ได้ ที่นี้พอได้มากเข้า ได้มากเข้า มากเข้า นี่มันก็สวะ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเรา ว่าของเรา เขาก็เป็นผู้บรรลุถึงนิพพานในฉับพลัน กระทันหันได้ สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เป็นเครื่องถ่วง เป็นเครื่องสนับสนุน แต่มันเป็นเรื่องยากกว่า ที่ว่าจะเอาแต่พอสมควร ฉะนั้นอย่าไปหวังอะไรให้มันมากเกินสมควร ความรู้ก็ดี เกียรติยศชื่อเสียงอะไรก็ดี อย่าไปหวังจนนอนไม่หลับ ก็ทำไปอย่างถูกต้องแล้วมันก็มาเอง ก็มาในลักษณะที่ถูกต้องและสมควร ในปริมาณที่พอสมควร มันก็สบายเท่านั้น นี้ไอ้หลักเรื่องว่าพอสมควรนี้ ก็จำไว้ให้ดี คือเป็นหลักของพุทธศาสนา จะต้องมีอะไรพอประมาณ
ผู้ที่จะไป เอ่อ, ไปสู่ความดับทุกข์จะต้องเป็นอัปปกิจโจ คือมีกิจการงานหน้าที่พอประมาณ คือพอเหมาะพอดี ให้มีการกระทำที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา พอเหมาะพอดี ไม่ใช่น้อยไม่ใช่มาก แต่คำว่าน้อยหรือมากนี้ ไม่ได้วัดด้วยจำนวน อ่า, เครื่องตวงเครื่องวัดที่เขาวัดๆ กันอยู่ ถ้าคนมันฉลาดมาก ก็ทำอะไรได้มาก เหมือนที่ผมเคยเปรียบให้ฟังว่า เมื่อมันฉลาดแล้วมันทำโรงสีร้อยโรงพร้อมกันก็ได้ ไม่มีภาระหนักอะไรสำหรับคนที่ฉลาดในเรื่องนั้น แต่คนไม่ฉลาดแล้วทำโรงสีครึ่งโรงก็ทำไม่ได้ ไม่พอประมาณคือพอดีแก่กำลังความคิด สติปัญญาของตนๆ มันก็เลยต่างกัน คนหนึ่งทำได้ครึ่งโรง คนหนึ่งทำได้หนึ่งโรง คนหนึ่งทำได้สิบโรง ร้อยโรง นั่นก็เรียกว่า พอประมาณ คือพอดีแก่สติปัญญา ความสามารถ กำลังกาย กำลังใจ มันก็เดินสบาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเถิด ไอ้ ไอ้น้อยกว่ามันจะเบากว่า สบายกว่า สะดวกกว่า ฉะนั้นจึงเอาเท่าที่มันจำเป็นก็แล้วกัน
บทว่ามัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง มีการกินอยู่แต่พอประมาณ พอสมควร เป็นหลักในพุทธศาสนา แต่การหากันพอประมาณ พอสมควร นี้เราก็เลยไม่มีปัญหาว่าจะอดตาย ไม่มีปัญหาว่าจะไมมีอะไรที่จะทำให้เป็นมนุษย์ที่ดีได้ ฉะนั้นถ้าบุตรภรรยามีความเข้าใจอย่างนี้กันไปแล้ว ครอบครัวนั้นก็จะมีความผาสุก คือมีพระนิพพานอยู่ในครอบครัวในระดับใด ระดับหนึ่ง ถ้าผิดจากนี้ก็ต้องเป็นทนทุกข์ทรมาน แบบใดแบบหนึ่งเหมือนกัน เป็นวัฏฏ-สงสารที่น่าสมเพชเวทนาในการเกิดมา ฉะนั้นขอให้เข้าใจ เอ่อ, ทิศเบื้องหลัง บุตร ภรรยาในลักษณะที่มีความหมายแตกต่างกันเป็นลำดับๆ มา ตั้งแต่โง่ที่สุด มาถึงค่อยๆ ฉลาดขึ้นๆ จนถึงฉลาดที่สุด เรื่องมันก็ อ่า, หมดปัญหา เขาเรียกว่าทิศกระจ่าง สว่างไสว นี่ภาษาบาลีใช้คำ ทิศนี้ อ่า, ความสว่างไสวแก่ข้าพเจ้า สำนวนอย่างนี้มีพูดในภาษาบาลี เพราะว่าเขาเข้าใจและทำถูกต้องในทิศ ทิศนั้น ทิศนั้น
นี้ทิศมืดมัว ก็หมายความว่า เขาไม่มีความเข้าใจถูกต้องเพียงพอในสิ่งนั้น ก็เลยมืดมัว เรียกว่าทิศมืดมัวกับทิศสว่างไสว คำว่าทิศ ถ้าตัวหนังสือก็แปลว่าสว่างไสว แต่มันไปทำให้มืดมัวเพราะว่าความโง่ ทิศเบื้องหน้า บิดามารดามีความสว่างไสวอย่างที่พูดมาแล้ว ทิศเบื้องหลังก็มีความสว่างไสว
นี้ก็มาถึงทิศถัดไป คือทิศเบื้องขวา ครูบาอาจารย์ ซึ่งควรจะรวมผู้บังคับบัญชา ผู้นำ ผู้อะไร อยู่ในทิศนี้หมด สำหรับในโลกสมัยปัจจุบันนี้ แม้กระทั่งนายจ้างก็ควรจะบรรจุไว้ในทิศนี้ เพราะใน เอ่, เป็นผู้นำในทางกิจการงาน หรือชีวิต เอ่อ, ส่วนหนึ่งของชีวิต หมายถึงนายจ้างที่ดี ผู้บังคับบัญชาที่ดี ผู้ ผู้นำที่ดี ครูบาอาจารย์ ในภาษาไทยอ่ะมันมีความหมายเปลี่ยนไปจากรูปศัพท์ในภาษาบาลีของเดิม เพราะว่าครูของเดิมแปลว่าผู้นำทางวิญญาณ Spiritual Light ไป ไปดูปทานุกรมที่ดีๆ ภาษาสันสกฤต ภาษาบาลี เป็นผู้นำทาง Spiritual ที่นี้อาจารย์ แปลว่าผู้ฝึกสอน มันยากเกี่ยวกับความเป็นอยู่ในโลกนี้ ผู้ฝึกแหละ แปลว่าผู้ฝึก ครูแปลว่าผู้นำทางวิญญาณ อาจารย์แปลว่าผู้ฝึกมรรยาทเพื่อเป็นอยู่ในโลกนี้
ทีนี้คำว่าอุปัชฌาย์ในภาษาโบราณอินเดียนั้นแปลว่า อ่า, ครูสอนอาชีพ อาชีพอะไรก็ตามอย่างที่เขามีกันอยู่ในปัจจุบันนี้ อาชีพชนิดไหนก็ตาม ผู้สอนเรียกว่าอุปัชฌาย์ สอนให้ขี่ช้าง ขี่ม้า สอนให้เล่นดนตรี สอนอะไรต่างๆ ก็เรียกว่าอุปัชฌาย์ในวิชานั้นๆ ที่เอามาใช้ในภาษา เอา อ่า, นักบวชศาสนานี่ก็คือว่า สอนอาชีพสมณะ เขาเรียกว่าสาชีพ สิกขาและสาชีพ สาชีพนี้แปลว่าอาชีพของสมณะ อาชีพของบรรพชิต อุปัชฌายะเป็นผู้สอนอาชีพนี้ อุปัชฌายะแปลว่าผู้ที่บุคคลจะต้องเพ่งดู เพ่งตาดู เข้าไปเพ่ง แล้วก็เพ่งตาดูว่าท่านทำอย่างไร จะต้องทำตามหรือว่าเพ่งดูสำหรับท่านบอกให้ทำอย่างไร แล้วก็จะต้องทำตาม
นี้พอมาความหมายในภาษาไทยมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว อุปัชฌาย์แปลว่าผู้เสกคนให้เป็นพระอะไรทำนองนี้ ไม่รู้ว่าอุปัชฌาย์ในคำตามความหมายเดิมทั่วไปหมด ไม่เฉพาะบวชเป็นพระนะ อาชีพอะไรก็ได้ นี้อุปัชฌาย์ ครูบา อาจารย์ มันมีความหมายต่างๆ กันอยู่ แล้วความหมายก็เปลี่ยน จนทำให้เกิดความยุ่งขึ้นเพราะเหตุนี้บ้างก็ได้ กระทั่งครูเป็นเพียงลูกจ้างสอนหนังสือ อย่างนี้มันก็แย่มาก เป็นโลกที่โง่มาก ครูนี่ต้องเป็นผู้นำวิญญาณตามความหมายเดิม อาจารย์ ผู้ฝึกให้ได้ตามนั้น อุปัชฌาย์ ผู้สอนวิชาชีพเพื่อเป็นอยู่ได้ในทางผ่ายร่างกาย รวมความแล้วก็เป็นผู้ที่จะสร้างพื้นฐานแห่งชีวิตให้ดำรงอยู่ได้ ให้เจริญก้าวหน้าไป แล้วถ้าจะเรียกเป็นที่พึ่ง ก็เป็นที่พึ่งทางสติปัญญาในขั้น ขั้น ขั้นเริ่มแรก ครูบาอาจารย์ อุปัชฌาย์นี่เป็นที่พึ่งทางสติปัญญาในขั้นตั้งเนื้อตั้งตัวตั้งแต่เกิดมา
ต่อไปสูงสุดที่ สมณพราหมณ์ที่จะนำวิญญาณในเบื้องสูง แต่เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงครูบาอาจารย์ที่เกี่ยวข้องอยู่ในบ้านเรือน ก็เลยมองความหมายของคำๆ นี้ในฐานะเป็นผู้ เอ่อ, นำ หรือให้แสงสว่างในขั้นต้น เพราะการเริ่มชีวิตโลกนี้ นี้ถ้าเรามีผู้บังคับบัญชา ก็ต้องหมายความว่า เขาก็จะเป็นผู้นำเราในเรื่องนี้ คือนำหมู่พวกเราไปในทางนี้ ในเรื่องนี้ เพราะว่าเขาฉลาดกว่าเรา ถ้าเรามีนายจ้าง เราก็สมัครที่จะทำตามเขา ก็เรียกว่าผู้นำในเรื่องโลกๆ นี้ มีอยู่หลายประเภท ความหมายอยู่ที่ตรงนี้ ก็ถูกจัดไว้ทิศเบื้องขวา
ข้างขวานี่ ภาษาบาลีให้ความสำคัญแก่คำว่าเบื้องขวา คือว่าสำคัญกว่าเบื้องซ้ายละ คือต้องเอาใจใส่มากกว่า หรือถนัดกว่า ฉะนั้นการแสดงความเคารพ เขาจึงให้มือข้างขวาหันไปทางผู้ที่เราจะแสดงความเคารพ เช่นเดินประทักษิณนี่เวียนต้องเอามือไว้ข้างขวาเรื่อย ถ้าเราจะลุกออกไปต่อหน้าผู้ที่เราเคารพนี่ ต้องให้มือขวาของเราอยู่ข้าง ข้างฝ่ายนั้นเรื่อย เกิดเป็นธรรมเนียมมาจนบัดนี้ เพราะถ้าเราจะนั่งข้างพระพุทธรูป ก็ให้มือขวาของเราอยู่ทางพระพุทธรูป แล้วเราจึงจะเรียกว่าเคารพ ฉะนั้นผู้ที่เป็นลูกน้องหางแถวก็จะนั่งไปทางซ้ายมือเรื่อยไป อย่างนี้ก็เรียกว่าทำถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณีแห่งความหมายของคำว่าขวา หรือมือขวา
ทีนี้ก็มาเป็นความหมายของคำว่าถูกต้องหรือดีงามไปเลย กิจกรรมต่างๆ ที่เป็นเบื้องขวาก็เลยเป็นกิจกรรมฝ่ายกุศล ถ้าฝ่ายเบื้องซ้ายจะถือเป็นตรงกันข้าม และเป็นชื่อของดีที่จะให้ จะบูชา ทักษิณาทาน คำนี้ก็แปลว่า ข้างขวาอยู่เหมือนกัน ต้องให้ด้วยมือขวา ต้องทำด้วยมือขวา เป็นของดี นี่ทิศเบื้องขวาก็มีความสำคัญตามความหมายนั้น คือว่าเราจะต้องมีผู้นำ ตั้งแต่แรกลืมตาขึ้นมาดูโลก ฉะนั้นบิดามารดาก็เป็นบุพพาจารย์ ครูคนแรก อาจารย์คนแรก ก็เป็นต่อมาจนตลอดชีวิต ทีนี้ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียน ที่ เอ่อ, วิทยาลัย ที่ไหนก็ตาม ที่วัดที่วาก็ตาม ก็ทำหน้าที่อันนี้ในส่วนที่บิดามารดาทำไม่ได้ หรือไม่มีโอกาสจะทำ ก็เลยเอามาให้เป็นทิศเบื้องขวาต่อจากทิศเบื้องหน้า นี้ความเคารพในครูบาอาจารย์จึงถือเป็นสิ่งสำคัญ บัญญัติไว้ในฐานะเป็นมงคล สวัสดีมงคลสูงสุด นี้ก็ลามปามไปถึงคนเฒ่าคนแก่ เพราะคนเฒ่าคนแก่นี้เกิดมาก่อน รู้อะไรมาก เห็นอะไรมาก ก็เลยอยู่ในฐานะที่จะเป็นครูบาอาจารย์ไปหมด ก็เลยขยายขอบเขตออกไปถึงว่า จะต้องไหว้คนเฒ่าคนแก่ อ่า, เคารพคนเฒ่าคนแก่ เคารพพ่อแม่ เคารพครูอาจารย์ มันไปทางเดียวกันหมด
อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่า การเคารพคนเฒ่าคนแก่นี่ ถือกันเคร่งมากในวัฒนธรรมไทยโบราณ ถ้าเห็นคนแก่แล้วจะไหว้ทั้งนั้น แม้จะเป็นคนบ้าๆ บอๆ ก็ต้องไหว้ จะเดินสวนทางมาเห็นคนแก่ก็ต้องยกมือไหว้ แสดงความเคารพ คนบ้าก็ได้ เราไม่ได้ไหว้ความบ้าของเขา ไหว้สัญญลักษณ์ของความเป็นผู้รู้ราตรีนาน อ่า, คือว่าเกิดก่อน รู้จักโลกมากกว่า เป็นสัญญลักษณ์ เหมือนกับว่าเห็น ไอ้, ผ้าธงชาติก็ไหว้ทั้งนั้น เราก็ไม่ได้หมายความว่าไหว้เศษผ้าไม่กี่สตางค์ แต่เราไหว้ความหมายของชาติ ผมเมื่อเด็กๆ ก็เคยไหว้คนแก่ที่เดินผ่าน แม้แต่คนบ้า ซึ่งเราก็รู้กันอยู่ว่าเป็นคนบ้า แต่อาจารย์จะบังคับ ก็ต้องไหว้ไม่ไหว้ก็ตี ไม่ให้ไปดูว่าคนเฒ่า อ่า, แก่นั้นจะเป็นอะไร เป็นคนเฒ่าคนแก่ก็แล้วกัน ก็เป็นการทำให้เรานี่ ไหว้ของเรานี่อ่อนโยน สุภาพ ไม่กระด้าง มานะ มันก็เป็นนิสัยที่ดี เป็น ไอ้, อะไรที่ประเสริฐอยู่ในจิตใจที่จะไม่กระด้าง ไม่มานะ
นี้ถ้านึกถึงคำว่ารัตตัญญู แปลว่าผู้รู้ราตรียาว ราตรีนาน นั่นคือคนเกิดก่อน ฉะนั้นเขาทำอะไรได้ก่อน เดี๋ยวนี้เขาก็มีคำพูดว่า กูกินข้าวก่อนมึงนะ กูกินนมแม่ก่อนมึง หมายความว่าเขาเกิดก่อน ก็ต้องรู้อะไรดีกว่า อย่างน้อยเขาก็รู้ว่า ไอ้, รสของข้าว รสของน้ำนมน่ะเป็นอย่างไร ก่อนคนนี้ ก่อนเด็กๆ คนนี้ นั่นเขาก็มีความรู้มากกว่าเรา ก่อนเรา นี่รัตตัญญูโดยตามปรกติแล้ว มันก็ต้องเห็นอะไรมาก ก็ต้องพูดอะไร เอ่อ, ได้เป็นประโยชน์มาก เป็นธรรมดา ไอ้คนบ้าคนบอนั่นมันยกเว้นไป ที่ผมจะเอาธรรมชาติเป็นหลัก ไอ้จิ๊กกี๋มันแก่กว่าเพื่อน มันฉลาดกว่าเพื่อน เพราะอายุมากกว่าเพื่อน ไอ้เป็ดนี่มันเพิ่งเกิดมันโง่ หลายอย่างต่อหลายอย่าง แต่แล้วมันก็ฉลาดขึ้นๆ โดยที่มันสอนกันอยู่โดยธรรมชาติ ไม่มีครูที่ไหนมาสอน นี่คือผลของการที่ว่ารู้ราตรีนาน รัตตัญญู
มันจะโง่ฉลาดโดยพื้นฐาน โดยกรรมพันธุ์อย่างไรก็ตามใจ แต่ความที่มีอายุมาก มันจะต้องรู้อะไรขึ้นมามากกว่าเสมอ และมันถ่ายทอดกันได้ เพราะมันเอาอย่างกัน ทีแรกก็ทำอะไรไม่เป็นนี่ แล้วมันก็ต้องเป็น เพราะเอา เอาอย่างนี่ ตัวที่เกิดก่อน มันก็เลยถ่ายทอดกันมา วิชา มีวิชาที่จะกัดงูให้ตายนี่ไม่ใช่ง่าย ถ้าตัวแรกๆ มันทำเป็น ตัวหลังก็ทำเป็น แล้วก็ไม่เป็นอันตราย กัดงูให้ตายได้ นี่คือผลของ อื่อ, เกิดก่อน ราตรียาวมานานกว่า ฉะนั้นเราต้องถือว่า คนที่อายุมากกว่านี่ต้องเป็นครูบาอาจารย์ อย่างใดอย่างหนึ่ง แง่ใดแง่หนึ่ง แม้เขาจะเป็นคนบ้า ถ้าเขาพูดไปตามไอ้ experience ของเขาแล้วมันจะมีประโยชน์แก่คนฟังเสมอ ฉะนั้นอย่าได้ดูถูก เอ่อ, คนเกิดก่อน คนเฒ่าคนแก่ เป็นผู้ที่ควร เอ่อ, ทำความเคารพอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้ อะไร วันวุฒิ วัยวุฒิ ชาติวุฒิ คุณวุฒิ เขาดีกว่าเราโดยชาติตระกูล เขาดีกว่าเราโดยวิชาความรู้ เขาดีกว่าเราโดยที่เขาเกิดก่อน วัยวุฒิ ทั้งนั้นน่ะ ทิศเบื้องขวาแหละ คือผู้ที่รู้อะไรมากกว่าในฐานะที่จะเป็นผู้นำได้ เรียกว่าทิศเบื้องขวา อยู่ข้างขวา จะต้องทำอะไรด้วยมือขวา
เดี๋ยวนี้โลกกำลังจะไม่มีทิศเบื้องขวา ครูบาอาจารย์ถูกทำลาย เป็นลูกจ้างสอนหนังสือไปทั้งโลกแล้ว และเป็นเพื่อนเล่นของเด็กแล้ว ถ้าเด็กๆ แม้สมัยนี้ ฝึกอบรมให้เป็นผู้ที่เห็นครูบาอาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา แล้วโลกจะดีกว่านี้ โลกทั้งโลกมันจะดีกว่านี้ กว่าที่เป็นอยู่ในบัดนี้ พูดให้มันชัดลงไปว่า ฮิปปี้จะเกิดขึ้นในโลกไม่ได้ ถ้าวัฒนธรรมอันนี้ยังอยู่ มันนอกคอก ไม่เชื่อครูบาอาจารย์ ไม่เชื่อบิดามารดา ไม่กตัญญูกตเวทีนี้ นี่เป็นบาปกรรมของมนุษย์ในโลกที่ละทิ้งทิศเบื้องขวา หรือว่าทำทิศเบื้องขวาให้มืดมัวจนมืดมิดไปหมด ที่เป็นข้อปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์อย่างไรเท่าที่มีอยู่ในนวโกวาท ผมจะไม่พูดแล้ว มันจะไปเปลืองเวลาไปโดยไม่จำเป็น ไปอ่านเอาเอง ไปดูเอาเอง แล้วปฏิบัติเคร่งครัดตามนั้น แล้วผลมันก็จะได้ตามนี้ ตามที่เรากำลังพูด แล้วคุณก็ท่องกันอยู่ อื่อ, ในเวลาไหว้พระสวดมนต์ ท่องนวโกวาท
ให้ถือว่าเราต้องมีทิศเบื้องขวานี่ ที่สว่างไสวอยู่จนตลอดชีวิต ตั้งแต่เกิดมาจนตลอดชีวิต จะต้องมีทิศเบื้องขวาที่แจ่มแจ้งชัดเจน สว่างไสว ปฏิบัติถูกต้องอยู่ เอ่อ, อย่างน่าชื่นใจจนตลอดชีวิต ทิศเบื้องขวาหมายถึง ที่พึ่งทางสติปัญญาในระยะเริ่มแรก เป็นการตั้งต้นที่ดีที่ถูกต้อง ก็จะสร้างพื้นฐานแห่งชีวิตของ อื่อ, คนที่เกิดมาให้มีพื้นฐานที่ดี และงอกงามเจริญไปตามจุดหมายปลายทางคือนิพพาน ครูบาอาจารย์คือผู้นำในทางวิญญาณ ในระยะเริ่มแรก เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางคือนิพพานเป็นที่สุด นี่เรื่องครูบาอาจารย์มันเกี่ยวกับนิพพานอย่างนี้ มาสอนหนังสือ ก ข ก กา ก็เพื่อการเริ่มต้นที่จะให้มันมีสติปัญญาฉลาด รู้หนังสือนี่มันฉลาดกว่าไม่รู้หนังสือ ฉะนั้นจึงให้มันเรียนหนังสือ แล้วก็ฝึกความฉลาดอย่างอื่นเพิ่มขึ้นๆ ๆ นำไปใช้ให้ถูกวิธีสำหรับจะไปนิพพาน อย่ามาหลงอยู่ในวัฏฏสงสาร ที่นี้สมมติว่ามันจะต้องหลงอยู่ในวัฏฏสงสาร ก็ให้มันเกิดความฉลาดขึ้นในกองทุกข์นั่นเอง และจะไม่หมกอยู่กับกองทุกข์จนตลอดชีวิต เพราะมันมีสติปัญญาฉลาดมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีแล้ว มันไม่โง่อะไรนาน มันไม่โง่อะไรดักดาน มันก็เปลี่ยนเป็นความฉลาดไปตามลำดับ
ทีนี้ก็ทิศเบื้องซ้าย ญาติและมิตร คำว่าซ้ายในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าผิดตรงกันข้ามจากเบื้องขวานะ เพียงแต่ว่ามีความสำคัญรองลงมาทำนองนั้น คำว่าซ้ายในความหมายอื่น หมายถึงตรงกันข้ามจากขวา กลายเป็นผิดไปก็มี เราไม่เอาความหมายนั้น แล้วความหมายที่ว่ามันคู่กันกับขวา มือขวาเก่งกว่ามือซ้าย มือซ้ายรอง มันก็ อะไร เป็นรอง เป็นลูกน้องของมือขวา มีทั้งซ้ายทั้งขวาก็ทำอะไรได้ดี และคนเราเกิดมามีทั้งมือซ้ายมือขวา หน้าที่ของมือขวาก็อย่างหนึ่ง หน้าที่ของมือซ้ายก็อย่างหนึ่ง พอรวมกันทั้งสองมือก็สมบูรณ์เท่านั้น ฉะนั้นเราจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ไอ้คนบางคนอุตริใช้มือซ้ายแทนมือขวานั้น ก็ต้องเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เรียกว่ามือข้างนั้นเขาเป็นมือขวา ไอ้คนที่เขียนหนังสือด้วยมือซ้ายก็ให้รู้เสียว่า ไอ้มือที่ท่านเขียนนั้นมือขวา มันถนัดซ้ายก็คือ ไอ้มือนั้นมันเป็นมือขวา อย่างนี้เราก็ไม่ เอ่อ, หลงในความหมายของคำว่าซ้ายขวา
ทิศเบื้องขวาคือทิศใต้ ทิศเบื้องซ้ายคือทิศเหนือ นี้มันกลับกันอยู่อย่างนี้ แต่ในทางภาษาพูดทิศเหนือเลยเลวกว่าทิศใต้ คนไทยแต่โบราณเขาเลี่ยงเรียกทิศใต้ว่าหัวนอน ในศิลาจารึกขุนรามคำแหงว่าเบื้องตีนนอนคือ ทิศใต้ แล้วก็เบื้องหัวนอน เบื้องหัวนอนหรือเบื้องตีนนอนก็ตามใจ เอ่, เบื้องทิศ มันหมายถึงทิศใต้ ฉะนั้นเขาจึงนอนหันหัวไปทางทิศใต้ จึงเป็นเรื่องไสยศาสตร์หรือเป็นเรื่องอะไรก็ตามที คนโบราณเห็นความสำคัญของทิศใต้ จะนอนก็ต้องหันหัวไปทางทิศใต้ เป็นสวัสดีมงคล นอนไปหันหัวไปทางทิศเหนือเป็นอัปมงคล นี้เป็นไสย์ศาสตร์ ส่วนวิทยาศาสตร์จะมีอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ว่าทาง อ่า, ธรรมะ ทางศาสนานั้นเพราะว่าครูบาอาจารย์อยู่ทางทิศใต้ เอ่, ทางหัวนอน ทางทิศหัวนอน ฉะนั้นเราจึงหันหัวไปทาง เอ่อ, ทิศใต้ ก็ถูกเหมือนกัน คือเราจะไม่กระดากหรือขยะแขยง เมื่อเราเหยียด เอ่อ, เท้าไปทางครูบาอาจารย์นอน มันก็คงทำให้จิตใจสบายขึ้นมา
ทีนี้ใครเอาทิศเบื้องซ้าย มันก็เป็นทิศสนับสนุนทิศเบื้องขวานะ เอากันอย่างนั้นก็แล้วกัน มือซ้ายสนับสนุนมือขวาให้มันมั่นคงขึ้นอีกกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตามใจ ได้แก่ญาติและมิตร นี้ถ้าว่าเราจะมองกันในฐานะที่เป็นที่พึ่ง มันก็ควรจะเป็นที่พึ่งรอบตัว เพราะเรามีญาติมิตรรอบตัว เป็นที่พึ่งในความหมายทางสังคม คือร่วมมือกัน เป็นจำนวนมากทำของยากให้เป็นของง่าย ทำของหนักให้เป็นของเบา คำว่าญาติแปลว่าผู้ที่เราต้องรับรู้อยู่ในใจเสมอ เพราะเขาเป็นญาติ เราต้องรับผิดชอบในหน้าที่ที่เราจะต้องประพฤติต่อญาติ และคำว่าญาติแปลว่ารู้ อื่อ, ธาตุศัพท์แปลว่ารู้ ความหมายคือว่าต้องรับรู้ ต้องนับไว้ในใจ
ทีนี้มิตรนั้นแปลว่า อ่า, ผู้มีความรัก มิตตะนั่นแปลว่าความรัก แต่ไม่ใช่รักทางกามคุณ มิตต มิท อะไรก็ตามแปลว่าความรัก คือรักอย่างบริสุทธิ์ เพราะว่าเป็นผู้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่กันและกัน เพราะเรามีทั้ง ไอ้, ผู้ที่เราจะต้องรับรู้ด้วยความรัก ใช้คำว่าวิสสาสะ วิสสาสะแปลว่าเกี่ยวข้องกันเป็นประจำ ก็เกิดกำลังมั่นคงขึ้นมาทางสังคม เช่นหมู่บ้านนี้ถ้าทุกคนรักกันอย่างญาติมิตรก็เจริญ ศัตรูก็ทำอะไรไม่ได้ การเจริญก็เป็นไปอย่างง่ายดาย นี่ที่พึ่งทางสังคมเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเราก็ขจัดศัตรูออกไปเสียด้วยวิธีที่ดี ให้ทุกคนเป็นมิตร ถ้าทำผิดแล้ว ความเป็นศัตรูหรือไม่เป็นมิตรนี่จะเกิดขึ้นแม้แก่พี่น้องร่วมสายโลหิต นี่มันจะสำคัญมากอย่างนี้นะ ต่อให้เป็นญาติพี่น้องร่วมสายโลหิตที่เรียกว่าคลานตามกันมา มันก็เป็นศัตรูกันขึ้นมาได้ ถ้าทำผิดในทิศนี้ เขาก็จะเป็นศัตรูที่ร้ายแรง เพราะมันอยู่ใกล้ชิด จึงสอนให้แผ่เมตตาจิต ไม่มีใครที่เป็นศัตรู พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น เราต้องย้อมจิตใจของเราไปในทางที่ไม่มีใครที่เป็นศัตรู ถ้ามันจะมาฆ่าเราเราก็ไม่ถือว่าเป็นศัตรู ให้พยายามทำดีชนะความชั่ว
ไอ้เรื่องกกจูปมสูตร พระพุทธภาษิตที่เคยเอามาเล่าให้ฟังบ่อยๆ จะเป็นหลักในเรื่องนี้ ที่จะทำให้ใครในโลกนี้ไม่เป็นศัตรู ก็คือเป็นมิตรหมด พอโจรมาจับเราผูกกันแล้วเอาเลื่อยๆ กกจนี้แปลว่าเลื่อย พอเลื่อยมัน เลื่อยผิวหนังขาดเราก็ไม่โกรธ ไม่ประทุษร้าย ไม่คิดประทุษร้ายแก่โจรมัน ถ้าประทุษร้ายก็ไม่ใช่คนของตถาคต แต่นี่มันเลื่อยเนื้อขาด อื่อ, มันก็ไม่ประทุษร้ายต่อโจรนั้น มันเลื่อยถึงกระดูกขาด มันก็ไม่ประทุษร้ายแก่โจรนั้น เลื่อยเยื่อกระดูกขาด มันก็ไม่ประทุษร้ายต่อโจรนั้น นี่คนของตถาคต ไม่มีศัตรู นี่บาลีเรียกว่ากกจูปมสูตร ในมัชฌิมนิกายอย่างนี้ ถือว่าเป็นจุดสำหรับเพ่งเล็งที่ว่าจะไม่มีศัตรู แม้ตายไปก็ไม่มีศัตรู เพราะไม่คิดว่าใครเป็นศัตรู แล้วก็มีวิธีที่จะทำมิตร อ่า ทำศัตรูให้กลายเป็นมิตรด้วยวิธีต่างๆ กัน ไปคิดเอาเอง คือชนะความชั่วด้วยความดีได้อย่างไร ก็คือตั้งเมตตาจิตต่ออยู่เสมอ ตายก็ตายไปด้วยเมตตาจิต ฉะนั้นเราไม่มีศัตรู เราพูดได้ในส่วนตัวเรา ภายนอกก็จะดูว่าไอ้คนนี้มันฆ่าคนนี้ คนนี้ก็เป็นศัตรูของคนนี้ แต่คนที่ตายไปนั้นไม่รู้สึกว่าใครมีศัตรู เพราะตั้งความปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่เรื่อย ในบทเมตตาที่ต้องมีการพิจารณาอย่างนี้ ไม่มีใครที่เป็นศัตรู มีเคล็ด มีอุบายที่จะทำ เอ่อ, ศัตรูให้กลายเป็นมิตร โดยการตั้งจิตเมตตาเป็นเบื้องหน้า แล้วก็กระทำต่อเขาอย่างตรงตามจิตที่เมตตา นี่ถือว่าเราทำตัวให้เป็นคนของพระพุทธเจ้า เป็นคนของตถาคต เราทำมิตรให้เป็นศัตรูได้
ผมพูดในภาษาคริสเตียนก็มีว่า ตบแก้มซ้ายแล้วก็ให้ตบแก้มขวาด้วย ขโมยเสื้อเอาไปแล้วเอาผ้าห่มตามไปให้ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า เรื่องบางเรื่องก็อย่าไปโกรธมัน นี่เพื่อจะทำศัตรูให้กลายเป็นมิตร ไปทั้งหมดเลย ทั้งโลกเลย จะเป็นผีสาง เทวดา เอ่อ, สัตว์ดุร้าย เดรัจฉาน เสือสิงห์ อะไรก็ตาม มันจะต้องเป็นมิตรให้หมด สำหรับจิตใจของบุคคลนั้น ฉะนั้นเรื่องฆ่ากัน ยิงกันแล้วมันก็มีไม่ได้ มีความหมายว่ามองดูกันด้วยสายตาที่แสดงแห่งความรัก เข้ากันสนิทเหมือนน้ำและนม นี่สำนวนบาลี เป็นโลกแห่งมิตรไม่มีศัตรู เดี๋ยวนี้เป็นโลกแห่งศัตรู ด่ากันระงมไปในบรรยากาศทางวิทยุ ไม่รู้ใครเป็นใคร ล้วนแต่เป็นคนเลวกันทั้งสองฝ่าย ก็เป็นโลกแห่งศัตรู โลกแห่งความอาฆาต โลกแห่งความกลัว ถ้ามันมีเมตตาจิต เป็นมิตรไปหมด เพราะมันเป็นโลกแห่งความอบอุ่น หน้าที่ที่ปฏิบัติต่อมิตรเพื่อสร้างความเป็นมิตร เอ่มี ก็มีอยู่ในบาลีแห่งหนึ่ง จะเป็นอังคุตตรนิกายก็จำไม่ได้ เพราะว่าถ้าสูงกว่าโดย อ่า, ลักษณะใดก็ตาม ให้แสดงความเคารพ ถ้าเสมอกันให้แสดงความเป็นกันเอง ถ้าต่ำกว่าให้แสดงความเมตตาปรานี ที่ถ้าเอาตัวเราเป็นหลักมันจะมี ต่ำกว่า มีเสมอกัน มีสูงกว่า
ทีนี้ไอ้คนที่ต่ำกว่าเรามันเอาตัวมันเป็นเองมันก็มีต่ำกว่า เสมอกัน และสูงกว่าตามบัญญัติ ความหมายทางโลกๆ เพราะว่ากรรมเป็นผู้จัดให้สัตว์โลกเป็นต่างๆ กันตามอำนาจของกรรมนั้น ก็เกิดการต่ำกว่า เสมอกัน สูงกว่า ถ้ากรรม การกระทำของเขา จัดเอาไว้ในฐานะที่มันสูงกว่าเราโดยอะไรก็ชั่ง โดยอายุแก่กว่าก็ตาม โดยชาติสูงกว่าก็ตาม โดยอะไรสูงกว่า สมรรถภาพสูงกว่า เรียกว่าสูงกว่า ทีนี้ถ้ามันมีไอ้สิ่งเหล่านี้เท่าๆ กัน นั้นก็เรียกว่าเสมอกัน นี้ถ้ามันด้อยกว่าเรามันก็เลยเรียกว่าต่ำกว่า ไม่มีช่องไหนจะไปดูถูกดูหมิ่นใครเลย ใครมีจิตใจดูหมิ่นผู้อื่นคนนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉานนะ ไม่ปฏิบัติ (นาทีที่ 66:10......นาทีที่ 66:22 - ไม่มีเสียง) ที่สูงกว่าให้เคารพ ที่เสมอกันให้แสดงความเป็นกันเอง ที่ต่ำกว่าให้เมตตาปรานี แล้วจะเอาอันไหนมาดูถูกดูหมิ่นกันล่ะ พระก็ไม่มีโอกาสที่จะดูถูกเด็กๆ เอ่อ, เด็กวัดน่ะ พระก็ไม่มีโอกาสที่จะดูถูกเณรหรือเด็กวัด หรือคนที่เลวไปกว่านั้น ฉะนั้นก็ให้ถือหลักอันนี้นะ ซึ่งเป็นหลักพระพุทธศาสนา มีอยู่ในรูปพุทธภาษิตและบาลี หรือจะมาแต่ก่อนพระพุทธเจ้าก็ ตามใจ เราถือว่าพระพุทธเจ้าท่านรับรองหลักเกณฑ์อันนี้
ที่นี้สูงกว่าให้แสดงความเคารพนี่ มันก็ยังไม่แสดงความเคารพ มันจะแข่งดี มันจะปัดแข้งปัดขา ให้หก คะเมนลงมา มันไม่สร้างความเป็นมิตร นี้เสมอกันมันก็อยากจะกดให้ต่ำลงไปเสีย มันอิจฉาริษยา ทีนี้พอต่ำกว่าแล้วมันก็เลย อ่า, เอาเป็นลูกไล่ไปเลย มันดูหมิ่นดูถูก เอ่อ, โดยประการทั้งปวง ฉะนั้นขอให้เปลี่ยนเสียใหม่ว่า ในโลกนี้ไม่มีบุคคลใดที่เราควรจะไปดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม ข่มเหงเขาเลย สูงกว่าก็เคารพ เสมอกันก็เป็นกันเอง เอ่, ต่ำกว่าก็เอ็นดู เมตตา มีเท่านั้น จะสามารถพลิกศัตรูให้กลายเป็นมิตรให้หมดได้
มันมีปัญหาปลีกย่อยเหมือนคนคิดแคบๆ บางคนว่า เราไปเคารพเข้ามันก็เลยข่มเหงเรา นี่ นั่นมันอันธพาลกันทั้งสองฝ่าย แล้วมัน มัน มันเป็นโลกในยุคที่มีอันธพาล เต็มไปด้วยอันธพาล คนชั้นผู้บังคับบัญชาก็เป็นอันธพาล ไอ้ลูกน้องมันก็เดือดร้อน ไปเคารพเข้ามันเลยก็ยิ่งว่ามันเดือดร้อน ยิ่งเดือดร้อนแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่น่าเคารพเลยสักอย่างเดียว มันก็ยากที่จะเคารพ นี้มันไปกันใหญ่แล้ว เราอย่าไปคิดอย่างนั้นเลย เอ่อ, อย่างน้อยมันก็เป็นผู้บังคับบัญชาที่มีโชคดี ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่อันนี้ก็เคารพในส่วนนี้ก็แล้วกัน แต่มิได้หมายความว่าเราจะต้องไปทำความชั่วตามเขา หรือตามคำสั่งของเขา คำว่าเคารพนี่มันไม่ได้หมายความว่า ก้มหัวลงไปแล้วทำ เอ่อ, ทำตามทุกอย่าง หรือไป อื่อ, ปล่อย พลอยเป็นอย่างนั้นไปด้วย
เคารพ นี่เอาใจใส่ให้ถูกต้องตามวิธี ตามเหตุตามผล ก็เรียกว่าเคารพ เคารพเอื้อเฟื้อ เราเคารพต่อสุนัขนี่ เราต้องเอาใจใส่มันให้ถูกต้องตามเรื่องของการที่เราเป็นคน มันเป็นสุนัข จะต้องปฏิบัติต่อกันอย่างไร นี่เรียกว่าเคารพเอื้อเฟื้อในสิ่งนั้น ถ้าสูงกว่าโดยปริยายใดก็เคารพ นั่นแหละเราอาจจะแก้นิสัยเราได้ ถ้าเราไปแข่งดีเข้าด้วยแล้วทีนี้มันก็จะเกิดเป็นอันธพาลต่ออันธพาล ฟัดกันเลย
ที่ว่าเสมอกันให้แสดงความเป็นกันเองนี้ก็ ไม่ใช่เป็นเพื่อนสำมะเลเทเมา ให้ประพฤติต่อกันอย่างถูกต้อง อ่า, กลมเกลียวกันไป นี้มันต่ำกว่าก็เมตตาปรานี อย่าไปดูถูกเขา เห็นอกเห็นใจเขา นี่เรื่องมันก็มีเท่านี้ ไอ้การที่จะปฏิบัติต่อสังคมคือผู้ที่จะต้องเป็นมิตรแก่กันและกันทั้งโลก เป็นทิศเบื้องซ้าย แม้จะต่ำกว่าเบื้องขวา แต่มันก็ใหญ่กว้างกว่าเบื้องขวา เป็นเรื่องรอบตัวมันมากกว่า ถ้าปฏิบัติตามหลักที่พระพุทธเจ้าสอน ทิศเหนือหรือทิศซ้ายนี้ก็จะสว่างไสว จะปรากฏสว่างไสว ราบรื่นกว่าทิศ.