แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ค่ำที่ ๒๗ พฤษภาคม สำหรับผมล่วงมาถึงเวลา ๒๐:๓๐ น. แล้ว วันนี้เป็นวันที่กำหนดไว้เพื่อทำการล้ออายุ อย่างที่ทุกคนก็ทราบกันอยู่ดีแล้ว แต่ความมุ่งหมายที่แท้จริงนั้น ก็มุ่งหมายจะให้เป็นเรื่องเตือนสติแก่ทุกคน พร้อมทั้งฝึกฝน เออ, ความอดทน เกี่ยวกับการเป็น เออ, คน หรือการต่อสู้ในชีวิตนี้ด้วย
การจะล้ออายุเล่น มันก็ทำอะไร มันก็ต้องทำอะไร ให้มันสาสมกันบ้างด้วย ดังนั้นมันจึงสำเร็จรูป เป็นการ งดเว้น ไม่ฉันท์อาหารเสียสักวันหนึ่ง ไม่นอนเสียสักวันหนึ่ง หรืออาจจะมีอะไรที่มากไปกว่านั้น แต่ว่าคล้าย ๆ กันนั้น อีกบ้างก็ได้ และชักชวนมิตรสหายว่า ถ้าใครอยากจะให้ของขวัญในวันนี้ ก็ขอให้ให้ด้วยการ ที่อดข้าวกันเสียสัก วันหนึ่ง
นี่ถ้าพิจารณาดูแล้วมันก็ มีผล เออ, ไกลออกไปถึงกับว่า มันเป็นการต่อต้าน ความขาดแคลน อะไรก็ได้ด้วย ถ้าสมมุติว่าคนทั้งประเทศอดข้าวกันเสียวันนึง มันก็เป็นเงินไม่รู้กี่ล้าน หรือกี่ร้อย เอ, กี่สิบล้านบาทก็ได้ในวันเดียว แต่คนก็กลัวและอ่อนแอ อดข้าวเสียสักวันนึง เออ, มันรู้สึกคล้าย ๆ กับว่าจะต้องตาย คนมันก็เป็นลม เค้าว่าอย่างนั้น หรือแสบท้องจนทนไม่ได้ ว่าอย่างนี้ก็มี
วันนี้สมภารกับจิ๊กกี๋ก็ติดตามผม ขึ้นไปบนภูเขาตั้งแต่ก่อนกินข้าว ยังไม่ทันให้กินข้าว มันก็อยู่ได้ ตลอดวัน ผมไม่ลง มันก็ไม่ลงมา นี่ไอ้สมภารกับจิ๊กกี๋ มันก็ให้ของขวัญวันเกิดผมอย่างดีด้วยเหมือนกัน ทั้งที่มันเป็นสุนัข ไม่เห็นมันตาย นี่ผมวันนี้ก็คงไม่ตาย ที่ไม่ได้กินข้าววันนึง และก็มีบางคน อ่า, อีกที่ไม่ได้กินข้าววันนี้ ไม่ก็คงจะไม่ตาย นี้มันเป็นการพิสูจน์ที่ดีอยู่แล้วว่า การอดข้าวสักวันหนึ่งนั้นมันก็สนุก หรืออดได้สัก ๒, ๓ วัน ก็ยิ่งดีไปกว่านั้นอีก เป็นการถือศีลอดอาหาร เหมือนที่คนบางพวกบางลัทธิเค้าทำกันอยู่เป็นธรรมดาสามัญ ไม่มีอะไรแปลก ได้ยินว่า พวกชัยนะ(นาทีที่ 04:35) อุบาสก อุบาสิกา ในนิกายนิครนถ์นี่ พอถึงวันอุโบสถ ก็ไม่กินเหมือนกัน ไม่กินทั้งวัน เหมือนกัน อุบาสก อุบาสิกา ชาวพุทธนี่ว่า กินมื้อเดียว ไม่กินตอนเย็น อย่างนี้
แต่บางพวกก็ไม่กินเลยทั้งวันก็มี เรื่องไม่กินข้าววันหนึ่งนี่เป็นของเด็กเล่น ไม่ใช่ เออ, ลึกลับหรือว่าลำบาก หรือว่าอันตรายอะไรเลย แต่เดี๋ยวนี้ความเขลา และความขลาด มันมีมากเกินไป มันก็จะเป็นลมล่วงหน้า พอพูดว่า จะต้องอดดูสักวันหนึ่ง มันก็เตรียมจะเป็นลมล่วงหน้า นี่คือความขลาด ความเขลา ทำให้เห็นไปว่า มันมากเกินไป มันทรมานเกินไป มันเป็นอัตตกิลมถานุโยคเสียแล้ว เออ, ผมอยากจะบอกว่าอัตตกิลมถานุโยค มันสำหรับคนขี้ขลาด และคนเขลา ๆ เราจะต้องฝึกหัด ฝึกฝนไว้ให้มันเป็นของเล่น ๆ ไม่กินสักวัน ๒ วันก็ได้ ไม่นอนสักวัน ๒ วันก็ต้องได้ เหมือนกัน ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งแล้วมันก็ไม่มีความหมาย เป็นไอ้เดือดร้อนกระวนกระวายอะไร เพราะว่ามันยังกินน้ำ ได้ หรือกินเครื่องดื่มอ่อน ๆ อะไร บางอย่างก็ได้
เรื่องการฝึกฝนจิตใจให้เข้มแข็งนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ความล้มเหลวในการปฏิบัติธรรม เนื่องมาจากการที่มี จิตใจอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง เมื่อพูดโดยวงกว้างแล้ว ก็พูดได้ทีเดียวว่า มันไม่มีคนดีเกิดขึ้น ก็เพราะมีความอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ไม่ใช่เค้าไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะดี ทำอย่างไรไม่ดี นี้เค้ารู้ทั้งนั้น แต่แล้วเค้ามีจิตใจอ่อนแอ บังคับให้ทำดีไม่ได้ การที่พูดกันแต่ว่า ให้ทำดีอย่างนั้นอย่างนี้นั้น มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์เพราะคนฟังมันไม่เข้มแข็งพอที่จะทำตามนั้นได้ เพราะฉะนั้นการที่บ้านเมืองหรือว่าโลกของเราขาดคนดีนี่ มันมีมุมมาจากการที่มีจิตใจอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง บังคับตัวเองไม่ได้
เพราะฉะนั้นเราควรจะฝึกหัด ในการที่จะบังคับตัวเองให้ได้ โดยการจัดจิตใจให้เข้มแข็ง โดยทุกอย่างทุกทาง หรือกินเรื่องนอน หรือเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งพอแล้ว มันมีการคุมกำเนิดทางวิญญาณก็ได้ ไม่ต้องมี การคุมกำเนิดทางฟิสิกส์ หรืออย่างเดี๋ยวนี้ ก็ยังจะได้ผลดีกว่า แล้วไม่เสื่อมเสียศีลธรรมของมนุษย์ นี่พิจารณาดูให้ดี เถิดว่า ไอ้ความมีจิตใจเข้มแข็งนั่นมันเป็น ต้นตอของความดี ความงาม ความสำเร็จอะไรทุกอย่าง ถ้าเป็นบารมี ก็เรียกว่า อธิษฐานบารมี หรือสัจจะบารมี คืออบรมตนให้มันเข้มแข็ง เรามีความเข้มแข็งแล้วมันใช้ทำอะไรได้ล่ะ ได้ทุก ๆ อย่างที่จะทำให้มีความสำเร็จ
เดี๋ยวนี้มันมีแต่ความอ่อนแอ บังคับไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันจึงมีความโลภได้ง่าย ๆ มีความโกรธได้ง่าย ๆ มีความหลงได้ง่าย ๆ มีความขี้ขลาดได้ง่าย ๆ มีความกลัวได้ง่าย ๆ ตกใจง่าย อะไรง่ายไปหมด เพราะใจมันไม่เข้มแข็ง มันก็เลยมีความเสียหายหลายอย่างอยู่ในนั้น นั้นเราก็จะต้องนึกถึงเรื่องนี้กันบ้าง และถ้ามีวิธีหรือมีโอกาสที่จะฝึกฝน เรื่องนี้ก็ต้องถือเอา ผมจึงชักชวนเรื่องของขวัญวันเกิด ว่าถ้าใครจะให้ของขวัญวันเกิดช่วยอดข้าวสักวัน หวังว่า เอ, คงจะเข้าใจความประสงค์ในการทำบุญ ให้ล้อวันเกิด หรือล้ออายุนี่ ว่าเราจะมีการฝึกฝน ไอ้ความเข้มแข็ง เกี่ยวกับอายุ เกี่ยวกับชีวิต หรือมีอะไรหลาย ๆ อย่างเพิ่มขึ้น เพื่อความประสงค์อย่างเดียวกัน
รวมความแล้วก็ขอ ให้มันมีกำลังใจที่เข้มแข็งเป็นพอ ก็เลยล้อมันเล่น ไม่กินมันเล่น สักวัน ๒ วัน ๓ วัน บางทีก็จะขยายออกไป เพื่อฝึกหัดไอ้ความมีใจเข้มแข็ง เพราะว่าผมก็เคยขี้ขลาด อ่า, มาอย่างเดียวกัน เพราะได้รับ คำสั่งสอนอย่างนั้น เพราะได้เห็นตัวอย่างอย่างนั้น และยังมีไอ้คนที่ยังเชื่ออย่างนั้นกันอยู่มาก หาว่าผิดอนามัยบ้าง อย่างนั้นอย่างนี้บ้าง แล้วที่จริงมันก็ เป็นเรื่องของความขี้ขลาดและความเขลารวมกันมากกว่า
เดี๋ยวนี้ถ้าหมอจะรวมกันพูด กันสัก ๑๐ หมอ ผมก็ไม่เชื่อ ว่าอดข้าวมื้อหนึ่งจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพ ไม่เชื่อ และกลับเห็นว่า มันเป็นผลดีแก่สุขภาพ คือว่าให้ร่างกายนี่ มันได้หยุดพักผ่อน ให้กระเพาะอาหารมันได้หยุดพักผ่อน เป็นการประหยัดให้มันมากถึงอย่างนี้ และว่ากันในทางเศรษฐกิจแล้ว มันก็ยังประหยัดค่าอาหารได้หลายสตางค์ เพราะฉะนั้นจะต้องไอ้ล้ออายุหรือล้อวันเกิดนี้ ด้วยการอดอาหารเล่นสนุก ๆ อย่างนี้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ แต่สำหรับทุกคน ผมก็อยากจะพูดไปในทางฝึกความเข้มแข็ง ทั้งนี้ก็เพราะเหตุที่ว่า การที่เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกนี้ ในอนาคต ข้างหน้านั้น จะต้องการความเข้มแข็งมากขึ้น
เพราะว่าโลกนี้ มันจะเป็นบ้ามากขึ้นทุกที ด้วยอำนาจของวัตถุนิยม ด้วยอำนาจของสงคราม ด้วยอำนาจ ของอะไรต่าง ๆ นานา มันจะเป็นบ้ามากขึ้นทุกที คนที่อยู่ในโลกต่อไปข้างหน้าต้องมีความเข้มแข็งมากกว่าที่แล้วมา เพราะฉะนั้นจึงขอให้เตรียมเนื้อเตรียมตัวไว้ด้วยการฝึกฝน ความอดทน ความเข้มแข็ง ให้มันเพียงพอ เป็นการล่วงหน้าไว้ด้วย
ที่มันน่า น่าหัวหรือน่าเศร้า หรือน่าเกลียดอะไรก็ตาม พร้อมกันไปทั้งหมดนั้น มันอยู่ตรงที่ว่า เดี๋ยวนี้มันดีแต่ ปากพูด ความรู้มากจนเฟ้อ ปากก็พูดมากจนเฟ้อ แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ตามที่รู้ หรือตามที่ปากมันพูด ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกานี่แหละ ไม่ต้องที่ไหน ไม่ต้องใครอื่น มีความรู้มาก พูดมาก พูดเฟ้อ ความรู้เฟ้อ แล้วทำไม่ได้อย่างที่รู้ ที่ปากพูด มันขาดความเข้มแข็งด้วยเหมือนกัน ยิ่งมองดูไปทั้งโลก ทั่วไปทั้งโลกแล้ว ก็ยิ่งเห็นว่า ไอ้ความรู้นี้กำลังเฟ้อ ไอ้ความรู้เฟ้อนี้หมายความว่า มันมีมากเกินต้องการ และเป็นความรู้ที่ไม่จำเป็น และยิ่งกว่านั้น ก็เป็นความรู้ ที่ทำให้ โลกนี้ฉิบหาย คือความรู้ที่ก้าวหน้าไปตามทางวัตถุนิยมจัดเกินไปนี้ เป็นความรู้ที่ทำให้โลกนี้ฉิบหาย ไอ้รสอร่อยของ วัตถุนิยม ทำให้คนเห็นแก่ตัว ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่เมตตาปราณี ฆ่ากันได้ลงคอ จะทิ้งลูกระเบิด ลงมาทีนึง ให้มันตายตั้ง สองแสน สามแสน ตั้งครึ่งล้าน ก็ทิ้งลง มันก็มีจิตใจที่ทิ้งลงมาได้
นี่คือผลของวัตถุนิยมที่มันครอบงำจิตใจของมนุษย์มากถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นอย่างสมัยโบราณแล้ว เค้ายอมตาย เสียเอง ไม่ยอมทิ้งลูกระเบิดลงไปฆ่าคนทีตั้งหลาย ๆ แสน ตั้งครึ่งล้าน เป็นต้น แต่คนเดี๋ยวนี้ทำได้ เพราะวัตถุนิยม มันเข้าตา มันก็หลงใหลในรสของวัตถุนิยม นี่คือการเฟ้อของความรู้อย่างสมัยใหม่ มันเป็นไปในทางที่ไม่สร้าง สันติภาพ นี่ความรู้ที่มันดีของสมัยใหม่มันเป็นอย่างนี้ นอกจากนั้นยังเป็นความรู้ที่เหลือเฟือ ที่ไม่จำเป็นอีกมากมาย หรือว่าจะพูดว่า จำเป็นแล้ว มันก็จำเป็นสำหรับคนที่ ต้องการจะเป็นบ่าว เป็นทาสของวัตถุนิยม มันจึงต้องการความรู้ อย่างนั้น
ดังนั้นอยากจะสรุปความสั้น ๆ เสียว่า ความรู้มันกำลังเฟ้อไปในทางที่จะเชือดคอตัวเอง ความรู้ของมนุษย์ ในโลกสมัยนี้ เฟ้อไปในทางที่จะเชือดคอตัวเอง คือรู้มาก ก้าวหน้ามาก ในการที่จะทำสงครามกับพระเจ้า ในการที่จะ เหยียบย่ำพระธรรม ในการที่จะเหยียบย่ำศีลธรรม และในที่สุดมันก็เป็นการเชือดคอตัวเอง ให้มันเบียดเบียนกัน ให้มันฆ่าฟันกัน หรือทำอะไรกัน อย่างที่เห็น ๆ กันอยู่และมาก ๆ ขึ้นทุกที ความเป็นอันธพาลของคนยุวชน เออ, ของยุวชนนี้จะมีมากขึ้นทุกที เพราะความรู้ที่ให้เค้าเรียนมันเป็นไปในทางเฟ้อ ด้วยอำนาจของวัตถุนิยม ที่เรียกว่า ความรู้มันก้าวหน้าไปในทางที่จะเป็นทาสของวัตถุ แม้จะให้ดีกว่านั้น มันก็พูดได้แต่เพียงว่า ยิ่งรู้มากก็ยิ่งลำบากมาก
ความรู้อย่างสมัยนี้ที่เค้ามีกันอยู่นี้ ยิ่งรู้มากก็ยิ่งลำบากมาก อย่างที่คนโบราณ เค้าเรียกว่า รู้มากยากนาน นั่นแหละ มันมีอะไรๆ มาก มันมีเทคนิค มีอะไรมาก ทำให้ลำบากมาก แล้วผลสุดท้ายมันก็เพื่อเชือดคอตัวเอง ที่ว่าทำ โลกนี้ ให้เดือดร้อนมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม มีความรู้เฟ้อมากไปในทางที่ จะทำสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำ มีสิ่งที่ไม่ต้องมี ใช้สิ่งที่ไม่ต้องใช้ สิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมี ต้องใช้ ต้องทำนี่ ก็ทำให้มันมีขึ้นมาจน ทำให้มันยุ่งมากขึ้นไปอีก แล้วในที่สุดก็ไม่มีความสงบสุข อย่างภูตผีปีศาจ มันต้องหัวเราะคนสมัยนี้ ว่าก้าวหน้าจนต้องคุมกำเนิด คิดดูสิ สุนัขหรือแมว มันก็ไม่มีปัญหาอย่างนี้ แล้วคนมันดีมาก จนมีปัญหาอย่างนี้ แล้วก็คุมกำเนิดทางฟิสิกซ์ ทางวัตถุ ซึ่งใคร ๆ ก็ทำได้ ก็เลยมีจิตใจต่ำทราม ในทางศีลธรรม เกี่ยวกับเรื่องเพศ
นี่ก็เลยกลายเป็นน่าหัว ยิ่งกว่าสิ่งใด เรามาพลอยรู้เรื่องนี้เข้า ก็พลอยลำบากใจไปด้วย ก็เอามาล้อไว้ในที่นี้ เสียด้วยกัน เรื่องความรู้กำลังเฟ้อนี้ อยากจะขอย้ำ ขอเตือนอีกที ว่าไม่ใช่เรื่องพูดเล่น ขอให้ไปสังเกตดูให้ดี ๆ หน่อย มันเฟ้อ อ่า, เหลือประมาณ เพราะว่ามันต้องการความก้าวหน้า ในทางที่ไม่จำเป็น จะต้องก้าวหน้า มันก็หมุนกันไป ในทางที่จะให้ขยายออกไป ขยายออกไป ขยายออกไป ยิ่งขยายออกไปเท่าไหร่ มันก็ยิ่งไกลสันติภาพมากเข้าเท่านั้น เพราะมันขยายออกไปด้วยความหลับหูหลับตา นี่การศึกษาการก้าวหน้า ของโลกสมัยนี้ ขยายออกไปเท่าไหร่ ยิ่งไกลจากสันติภาพมากขึ้นเท่านั้น นี่กล้าท้าโดยการเอาชีวิตเป็นประกัน นี่ถ้าไม่จริงก็ให้มาฆ่าผมให้ตาย เพราะมันก้าวหน้าไปในทางที่ทำลายสันติภาพ ไม่ให้เกิดสันติภาพ มีแต่ให้เกิดวิกฤตการณ์ยุ่งยากมากขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องที่ เอามาล้ออีกเรื่องนึง
ที่นี้เรื่องที่มันเกี่ยวกัน ถัดออกไปอีก อยากจะยกเป็นตัวอย่าง เรื่องหอสมุด เดี๋ยวนี้ก็นิยม สร้างหอสมุดกันมาก ที่นั่นก็สร้างหอสมุด ที่นี่ก็สร้างหอสมุด แต่แล้วไม่ดูให้ดีว่า ไอ้สร้างหอสมุดนี่ มันเป็นหอสมุดของภูตผีปีศาจซาตาน หรือว่าเป็นหอสมุดของ อ่า, พระเจ้า หรือพระธรรม เรื่องหอสมุดนี่อยากจะพูดลงให้ชัดลงไปอย่างนี้ก่อนว่า หอสมุดในวัดของเรานี่ เค้าเรียกกันมาแต่โบรง โบราณ ว่าหอไตร หอไตรนี่ย่อมาจากคำว่า ไตรปิฎก แต่ละวัด แต่ละวัดในสมัยโบราณ นั่น เค้ามีหอไตร แล้วก็สร้างไว้ในสระ คือถ้าไม่มีสระ ก็ต้องขุดสระเข้าให้มันมีน้ำ แล้วก็สร้าง หอไตรไว้ในสระ แล้วก็เก็บพระไตรปิฎก และหนังสืออื่น ๆ ที่เนื่องกันกับพระไตรปิฎก คือ คำอธิบายพระไตรปิฎก เป็นต้น เรียกว่า หอไตร นี่คือหอสมุดในวัด เป็นหอสมุดของศาสนา ของพระเจ้าแล้วแต่จะเรียก
ที่นี้ก็มี หอสมุดอีกประเภทหนึ่งอยู่นอกวัด มีหนังสือสารพัดอย่าง และก็มันมีหนังสือที่มากขึ้น ๆ ทวีหนาแน่นขึ้น ก็คือมันมีหนังสือประเภท ที่ทำให้ตกเป็นทาสของวัตถุ หรือของกิเลส หอสมุดแห่งชาติ ของประเทศ ไหน ๆ ในโลกก็ตามไปดูเถอะ มันมีแต่หนังสือที่ให้ตกเป็นทาสของวัตถุนิยมนี่ ตั้ง ๙๐% และหนังสือที่จะทำ ที่จะช่วย ไม่ให้ต้องเป็นทาสของวัตถุนิยมนั้น จะมีไม่ถึง ๑๐% หรือไม่ถึง ๕% เพราะมันมีหนังสืออย่างอื่นมาแทรกแซงเสียอีก และที่นี่สมาชิกที่ไปอ่านหนังสือ ก็ขออ่านแต่หนังสือที่ทำให้ตกเป็นทาส ของปีศาจแห่งวัตถุนิยมทั้งนั้น ผมก็ได้ไป สำรวจมาแล้ว ดูไอ้สมุดบัญชีรายชื่อคนมาอ่านหนังสือ มาอ่านหนังสืออะไรกันเป็นส่วนมาก พบว่า อ่านหนังสือ อ่านเล่น เป็น ขึ้นหน้าเป็นนับเบอร์หนึ่ง หนังสืออ่านเล่น หนังสือเริงรมย์ แล้วจึงจะไปถึงหนังสือวิชาการ หนังสือวิชาชีพ อะไรต่าง ๆ ทำนองนี้ ส่วนหนังสือทางธรรมะ ทางศาสนานั้นอยู่อันดับสุดท้ายเลย และก็เป็นอย่าง ก็คงจะเป็นอย่างนี้กันไปทุกหนทุกแห่ง ทุกหอสมุดในโลก ที่เป็นหอสมุดแห่งชาติ
นั้นก็แปลว่า ไอ้หอสมุดนี่ มันป้อนความรู้สึกที่เป็นทาสของวัตถุนิยม ให้แก่มนุษย์ในโลกนี้อยู่ตลอดเวลา ผมเลยเรียกว่า มันเป็นหอสมุดของซาตาน ของพญามาร ของภูตผีปีศาจ หอสมุดที่เขายังมี เขามีกันอยู่ในโลกเวลานี้ เป็นหอสมุดของซาตาน ของพญามาร ของภูตผี ปีศาจ หอไตรในวัดเท่านั้น ที่เป็นหอไตรของพระเจ้า มีหนังสือ หนังหาชนิดที่จะ ช่วยถอนคนให้ออกมาเสียจากความเป็นทาส ของซาตานของภูตผี ปีศาจ แล้วมันก็หายไปหมด เห็นไหม กำลังหายไป กำลังหายไป แล้วในวัดนี่กลับมีห้องสมุดของซาตาน อย่างเดียวกับนอกวัด มากขึ้น หนังสืออ่านเล่นที่พระเณรสั่งมา มีมากเหลือเกิน พระเณรในวัดแท้ ๆ นี่ สั่งหนังสืออ่านเล่นมามากเหลือเกิน รองจากหนังสืออ่านเล่น ก็เป็นหนังสือเรื่องทางโลก ๆ เรื่องวิชาความรู้ทางโลก ๆ หนังสือทางธรรมะนั่น มันก็มี น้อยมาก นั่นหอสมุดส่วนตัว ของพระ ของเณร หรือหอสมุดของวัด ก็เลยกลายเป็นหอสมุดของซาตาน พญามาร ภูตผี ปีศาจกันไปหมด
ของผมเองก็เคยเป็นอย่างนั้น เพิ่งจะค่อย ๆ รู้ออกไป แล้วเก็บเหลือไว้บ้าง พอเป็นเครื่องเปรียบเทียบ แต่ผมคุยได้ว่า หนังสือของผมขึ้นไปดูเถอะ ประมาณ ๘๐% เป็นหนังสือทางศาสนา และโดยเฉพาะทางพุทธศาสนา หนังสือนอกนั้น มีไม่เกินรวมกันแล้ว หลาย ๆ อย่างรวมไม่เกิน ๒๐ % เพราะกลัวว่า มันจะเป็นห้องสมุดของภูตผี ปีศาจ ของซาตาน ของพญามาร
นี่ขอให้นึกดูให้ดีว่า นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เรื่องหอสมุดอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คนเรา เอ่อ, โดยเฉพาะ สมัยนี้ พูดกันอีกทีหนึ่งก็พูดได้ว่า มันสร้างขึ้นมาด้วยหนังสือ หนังสือมันสร้างคนขึ้นมา คือว่า อ่านหนังสืออะไรมาก หนังสือนั้นมันสร้างคน คนนั้นขึ้นมา สร้างจิตใจของคนนั้นขึ้นมาโดยไม่รู้สึก เราไปดูหนังสือที่เค้าอ่านมากที่สุด เราก็รู้ได้ว่า คนนี้มีจิตใจเป็นอย่างไร หนังสือที่นิยมสั่งกันมามาก ล้วนแต่เป็นหนังสือ เออ, ยั่วยวนทางวัตถุ หรือลุ่มหลงทางวัตถุ ดูอย่างดีที่สุด ก็เอาให้มันเสียเวลา เอามาอ่านให้เวียนหัวเล่นอย่างนั้นแหละ จนไม่มีเวลา ที่จะไปอ่านหนังสือธรรมะที่แท้จริง เพราะมันมีหนังสืออื่นอยู่มาก วางอยู่มาก ยั่วยวนให้มันอ่านมากกว่า
แม้แต่พระ เณรก็เป็นอย่างนี้ อ่านหนังสือพิมพ์ หรืออ่านหนังสือ เออ, ภาษา อ่า, เรียนภาษาต่างประเทศ หรือว่าเรียนวิชานั่นนี่ ล้วนแต่เป็นเรื่องวัตถุ เรื่องอาชีพ เรื่องความดีความเด่น ที่ฝันไว้ในจิตในใจ ด้วยไอ้ความหวัง ความทะเยอทะยานทั้งนั้น แล้วมันจะเอาไอ้กำลังใจ หรือมันสมอง หรืออะไรที่ไหน จะมาเข้าใจธรรมะธัมโมได้ ยิ่งนอกวัดออกไปมันก็ยิ่งไกลไปใหญ่ หอสมุดของมหาวิทยาลัย หอสมุดของชาติของอะไร ก็มันล้วนแต่เป็น หอสมุดของซาตาน มากยิ่งขึ้นทั้งนั้น เพราะเค้ามีมันขึ้น หรือสร้างมันไว้ หรือใช้มัน ด้วยความอยากดีอยากเด่น ด้วยความอยากที่จะ ร่ำรวยด้วยวัตถุทั้งนั้น
นั้นจึง เอ่อ, มีผลทำให้คนทั้งโลกนี่ มันเป็นทาสของวัตถุ พร้อมที่ว่าจะสร้างวิกฤตการณ์ขึ้นในโลกในอนาคต และรองลงมาจากนั้นก็คือ มันมากจนทำให้เวียนหัว เออ, เป็นบ้าหอบฟางอย่างที่ว่าแล้ว ว่าเล่า ว่าเป็นบ้าหอบฟาง รู้อะไรท่วมหัวก็เอาตัวไม่รอด เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมนี่ เรียนมหาวิทยาลัยจบแล้ว อ่านหนังสือในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยจบแล้ว ก็ยังเป็นเด็กอมมือ ไม่รู้ว่ากูนี้เกิดมาทำไม ดูสิิแล้วจะเรียกว่า อุดมศึกษาได้อย่างไรกัน แม้แต่เกิดมาทำไมก็ยังไม่รู้ นี่การศึกษาสมัยนี้ หอสมุดหรือห้องสมุดของสมัยนี้มันเป็นอย่างนี้
ที่นี้เมื่อไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันก็ไม่มีอะไรนอกจากเป็นทาสของวัตถุ ที่หวังว่าจะสนุกสนาน เอร็ดอร่อย มีเกียรติ มีอำนาจวาสนา มีอะไรไปทำนองนั้น นั่นนะคือการตกเป็นทาสของวัตถุ การตกเป็นทาสของอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การเล่าเรียนศึกษาขวนขวายนั้น เพื่อจะเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในการที่จะแสวงหา ความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางเนื้อทางหนัง นี่มีเท่านี้ การศึกษาและห้องสมุด นั้นมันก็สู้กันไม่ไหว เพราะว่าคน หรือมนุษย์นี่ เข้าไปสมัครเป็นพรรคพวกของซาตาน ของพญามารเสียตั้ง ๙๕% ของมนุษย์นี้ เหลือ ๕% มันสู้กัน ไม่ไหว โลกมันก็เป็นอย่างนี้ นี่ใครไม่เชื่อก็ลองไปเที่ยวตระเวนดู ตามหอสมุดต่าง ๆ หอสมุดแห่งชาติ หอสมุดของ มหาวิทยาลัย แล้วก็แอบไปดู ไอ้โต๊ะอ่านของคนที่นั่งอ่านอยู่นั้น มันอ่านเรื่องอะไรนี่
อุตส่าห์อดทน เออ, ไปสำรวจไปสังเกตดูสัก ๙ วัน ๑๐ วันก็จะรู้ แล้วก็จะรู้ว่า แล้วก็จะรู้ต่อไปว่า ทำไมโลกนี้ มันจึงเป็นอย่างนี้ เพราะการศึกษามันเฟ้ออย่างนี้ ความรู้มันเฟ้ออย่างนี้ แม้แต่ห้องสมุดมันก็เป็นห้องสมุดของซาตาน พญามาร ภูตผีปีศาจ คือดึงคนให้จมลงไปใน เออ, ความหลงใหลในทางวัตถุ มันเป็นความรับผิดชอบของใคร มันก็บอกไม่ถูก เพราะมันเห่อ ๆ ตามกันไปนี่ คนไทยก็ตามก้นพวกฝรั่ง พวกฝรั่งมันก็ตามก้นกิเลสตัณหา หรือความ เป็นทาสวัตถุนิยมของเขาเอง ผลสุดท้ายมันก็ไปตามก้นวัตถุนิยม โลกมันก็เป็นอย่างนี้ เรื่องทางธรรมะ ทางศีลธรรม มันก็ค่อย ๆ เงียบไป ค่อย ๆ ลับไป ไอ้เรื่องทางวัตถุนิยม มันก็ขึ้นมาแทน แล้วมันก็แทนยิ่งขึ้นไปกว่าแทน คือ มันครอบงำไปเสียทั้งหมด ทีเดียว
ผลสุดท้าย ไอ้คนในโลก หรือมนุษย์ในโลกซึ่งการศึกษามันสร้างขึ้นมา ซึ่งหอสมุดมันสร้างขึ้นมานี่ มันก็เป็น มนุษย์ที่วิปริตผิดปกติมากขึ้นทุกที มีจิตใจเป็นอันธพาลโดยไม่รู้สึกตัว คือเห็นแก่ตัวจัด เพราะเห็นแก่ความ เออ, สุข ทางเนื้อหนังจัด หรืออะไรจัดยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งกว่าปู่ย่าตายาย ยิ่งกว่า คนสมัยก่อน นั่นมันก็ถูกแล้ว มันแน่นอน มันจะต้องมีวิกฤตการณ์ยุ่งยากเกิดขึ้น ในมหาวิทยาลัยนี่ ก็ลองคิดดูสิ มันก็มีการทะเลาะวิวาทกันอย่างอันธพาล ในหมู่นักศึกษา นิสิตกันเอง ไม่เคารพครูบาอาจารย์ เห็น เออ, ครูบาอาจารย์เป็นลูกจ้าง แล้วก็ไม่มีใครว่าอะไรใคร ไม่มีใครเห็นว่ามันเป็นของผิด ถ้าเป็นอย่างสมัยก่อนเพียง ๕,๖๐ ปีมาแล้วนี่ มันประณามเป็นเรื่องเสียหาย เป็นเรื่องที่ ไม่มีอะไรที่น่าอับอายขายหน้าเหล่านั้น เท่ากับสิ่งเหล่านั้น
นี่ถ้าในสำนักศึกษาที่มันเป็นที่ สร้างดวงจิตดวงวิญญาณของมนุษย์มันเป็นอย่างนี้ เสียแล้ว แล้วนอกนั้น มันจะเป็นอย่างไร เพราะอะไร ๆ มันก็ออกไปจากสำนักศึกษา เพราะเราต้องผ่านสำนักการศึกษา จนกว่าจะเติบโต และออกไป ถ้าในสำนักสำหรับการศึกษา มันเป็นแหล่งเพาะซาตานของวัตถุนิยมแล้ว มันก็หมดกันไม่มีอะไรเหลือ เพราะนั้นถ้าใครยังรักบ้านรักเมือง และรักเกียรติยศของการเป็นมนุษย์แล้ว ก็ไปช่วยกันไปคิดให้ดี ๆ ช่วยกันต่อต้าน ไว้บ้าง อย่าไปตามก้น อ่า, อาจารย์ฝรั่งไปเสียทุกอย่างทุกทาง
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีหนังสือข่าวพิมพ์ออกมา ว่านักเรียนหญิง อือ, ในโรงเรียนมัธยม ในประเทศอังกฤษนั้น มีการตั้งครรภ์ในระหว่างเรียน เป็นจำนวนพัน ๆ แล้วนิสิตหญิงในมหาวิทยาลัยในประเทศอเมริกา มีการตั้งครรภ์ ในระหว่างเรียน จำนวนปีนึงเป็นหมื่น ๆ เมื่อพูดอย่างนี้ ในสมัยปู่ย่าตายายของเราแล้ว ท่านก็ไม่เชื่อหรือถ้าเชื่อ ก็ต้องเป็นลม แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นไร เป็นของธรรมดาที่สุด ไม่มีน่า ไม่มีข้อที่น่ากระดากละอายอะไร กลายเป็นว่า การถูกต้องไปเสียอีก มันคงจะมองกันในแง่เศรษฐกิจว่า มันก็ได้กำไรสิ เรียนไปพลางมีลูก มีอะไรไปพลาง มันประหยัดเวลาได้มาก มันก็กลายเป็นของดีไปเท่านั้นเอง
แต่อย่าลืมว่า ในทางจิตใจในทางศีลธรรมนั่น มันมีอะไรมากก็แปลว่า มันเปลี่ยนแปลงกันมากเกินไป มีการแก้ไขศีลธรรม ชนิดที่เคยเห็นว่าผิดศีลธรรมนั้น มากลายเป็นถูกศีลธรรมไปเสีย นี่การศึกษาสมัยนี้เป็นอย่างนี้ ทีนี้ที่น่าดูก็คือว่า ศึกษาจบแล้วก็เป็นฮิปปี้ ต่อแต่นี้ศึกษาจบแล้วก็ยิ่งเป็นฮิปปี้มากขึ้นไปทุกที เด็กนักเรียนใน มหาวิทยาลัยในประเทศไทยนี่ ผมเห็นแล้วสะดุ้งมากขึ้นไปทุกที ปีหลัง ๆ นี่ยิ่งมีมากขึ้นไปทุกที มีผมยาว มีหน้าตา ชอบกล ไม่รู้ว่าคนดีหรือคนบ้า ครั้งหนึ่งถามขึ้นว่า ทำไมคุณจึงทำอย่างนี้ มันบอกว่าเพื่อประท้วง เออ, โลกปัจจุบันนี้ ซึ่งมีระเบียบมีอะไรมาก อยากจะเป็นอิสระ แล้วเค้ายังย้อนเอาผมว่า มันไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับคนอื่นนี่ ไอ้การที่ไว้ ผมยาวนี่ ไอ้เราก็มีอยู่กลุ่มนึงที่ถามซักไซ้ดูว่า ทำไมจึงทำอย่างนั้น เค้าก็ยังโดนย้อนเอาว่า มันไม่เกี่ยวกับคนอื่นนี่ มันเรื่องของเขา ผมก็เลยบอกว่า มันเกี่ยวสิ ทำไมมันไม่เกี่ยว มันทำให้ฉันเสียเวลาที่จะไปพิจารณาดู ว่าคุณนี่เป็นคนดี หรือคนบ้า ฉันเสียเวลาไปมากในการที่จะไปดูว่า คุณเป็นคนดีหรือบ้า และถ้าคุณอย่าไปทำผมเผ้ารุงรังอย่างนี้ ฉันก็ไม่ไปพลอยเสียเวลาด้วย
นี่ขอให้นึกดูให้ดีเถอะว่า นี่ทำไมความคิด มันเป็นอุตริวิตถารอย่างนี้ นี่เมื่อ ๓, ๔ ปีมาแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยิ่งเห็น มากขึ้น ๆ ทำไมมันไม่เหม็นสาบ ไม่รุงรัง ลำบากเกี่ยวกับต้องสระผม อะไรผม มันควรจะโกนเสียให้เหมือนฉันสิ มันจึงจะเป็นความเหมาะสม ในการที่จะเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย นั้นคนไทยก็ยังแพ้คนญี่ปุ่น ยังโง่กว่าคนญี่ปุ่น มาก ที่ว่านิสิตมหาวิทยาลัยเขามักจะโกนหัวกัน ไอ้คนไทยไปไว้ผมยาวตามพวกฝรั่ง นี่ก็ล้อตัวเอง สงสารตัวเอง ทำไมเรามีอายุเกิดมาเพียงเท่านี้ ก็ได้เห็นอย่างนี้ มันก็บอกไม่ถูก มันกระอักกระอ่วนใจบอกไม่ถูก จะเอาว่าเป็นมัน ไม่ใช่ธุระ มันก็ไม่ ไม่ ไม่ได้ จะไปเอาเป็นธุระนักมันก็ไม่ได้ นี่มันคือความกระอักกระอ่วนใจ นี้อาการที่ไปตาม ก้นพวกฝรั่งนี่ มันทวีมากขึ้น ทวีมากขึ้น
เออ, นี่ตรงนี้ผมอยากจะพูดหน่อยว่า ที่ว่าตามก้นฝรั่ง ตามก้นฝรั่งนี่ พวกฝรั่งคงเกลียดน้ำหน้าผมแยะ แล้วแหละ แต่ขอให้รู้กันไว้ด้วย ช่วยรู้กันไว้ด้วยว่า ผมไม่ได้หมายว่าฝรั่งทุกคน เมื่อใช้คำว่าฝรั่งนั้น มันอาจจะเป็น ไม่ใช่ฝรั่งก็ได้ คือพวกที่มันมีวัตถุนิยมจัด เป็นวัตถุนิยมจัด อาจจะเป็น อ่า, ไม่ใช่พวกฝรั่ง คือเป็นแขก เป็นไอ้ยิว เป็นเปอร์เชีย เป็นอะไรก็ได้ ถ้าลองว่ามันมีความก้าวหน้าไปในทางวัตถุมากขึ้นอย่างนั้นแล้ว ผม ผมเรียกเอาสั้น ๆ ว่าพวกฝรั่ง หรือพวกตะวันตก ที่พูดว่า ตะวันตกมันมีแต่เทคโนโลยี่นี้ ก็หมายความว่า คนเฉพาะคนพวกนี้ ฝรั่งแท้ ๆ ที่ยังสนใจในศาสนา ที่ยังพอใจในศาสนา ที่ยังเคร่งในศาสนาก็ยังมี ก็ยังเป็นฝรั่งที่ยังพอจะตามก้นได้ แต่ฝรั่งทั่วไป หรือแทบ อ่า, ทั้งหมดนั้น มันไม่เป็นอย่างนั้น
ชาวตะวันตกทั้งหมด แทบทั้งหมดไม่เป็นอย่างนั้น มันเป็นทาสของวัตถุนิยม เห็นแก่เนื้อหนัง เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวจัด เหมือนอย่างที่ยกตัวอย่างวันนี้แล้วว่า มันสะสมความเห็นแก่ตัวไว้ ๑ ปีครบรอบปี ก็ไปใช้กันเสีย ทีหนึ่งนี่ อย่างนี้ตามก้นไม่ได้ ที่เราไปตามก้นฝรั่ง เอาวัฒนธรรมฝรั่งเข้ามาทำลายวัฒนธรรมไทย เสียหายไปหมด จะพูดจะจา จะกิน จะอยู่ จะอะไรต่าง ๆ นี่สูญเสียความเป็นไทยไปหมด เด็ก ๆ ทั้งหญิงทั้งชายนี่ โดยเตลิดเปิดเปิง เป็นลูกลิงไม่ใช่ลูกพระเจ้า อ่า, คัมภีร์ไบเบิลเขาเรียก มนุษย์ผู้ชายว่า ลูกพระเจ้า เรียกมนุษย์ผู้หญิงว่า ลูกคน เออ, คือลูกมนุษย์
แต่แล้วเดี๋ยวนี้ มันไม่ได้เป็นทั้งลูกพระเจ้า และลูกคน ลูกมนุษย์ มันเป็นลูกลิง มันมีกริยาอาการอย่างลิง และมันอาจจะตะกละตะกลามอย่างลิง และมีความมักมากในวัตถุกามารมณ์ นี่ยิ่งกว่าลิง นั้นจะเรียกว่า ลูกอะไรก็ ตามใจ แล้วคนไทยยังจะทำลายวัฒนธรรมของตัวเองไปตามก้นเขา มันก็เป็นเรื่องที่ว่าไม่รู้จะพูดอย่างไรได้ อ่า, มันไม่ มันไม่มีคำพูดจะพูด ในการที่จะแสดงความเสียใจ อ่า, ความเศร้าใจหรืออะไร ก็ได้แต่นั่งล้อตัวเองอยู่ว่า เรามันเกิดมา โชคดีจริง ได้เห็นไอ้สิ่งเหล่านี้ ไม่รู้จะหลบตาไปทางไหน มันไม่มีที่จะหลบตาไปทางไหน มันก็เห็นแต่สิ่งเหล่านี้ แล้วก็เขาเอามาออกแสดงในโทรทัศน์ ในอะไรต่าง ๆ มันไม่มีทางจะหลบไปได้ ที่ ไม่มีทางที่คนจะหลบไปได้ มันก็เลยฝังเข้าไปในจิตใจ ในสันดาน
ที่นี้มีสิ่งที่ร้ายกาจอีกสิ่งหนึ่งก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” ทุกคนบูชาเสรีภาพ แต่มันเป็นเสรีภาพ เพื่อจะเป็น ภูตผี ปีศาจ หรือจะเป็นสัตว์เดรัจฉานในที่สุดนี่ เสรีภาพของเขาต้องการอย่างนี้ ต้องการจะเสรีภาพ ตามใจกิเลส ตามใจ เออ, ซาตาน ตามใจพญามาร ไม่มีศีลธรรม นี่เค้าต้องการเสรีภาพอย่างนี้ อยากจะไว้ผมยาว อยากจะแต่งตัว ให้แปลกประหลาด อยากจะมีเสรีภาพ เออ, ไม่รู้ว่าเสรีภาพอะไรกัน นี้เสรีภาพที่เป็นอันตรายที่สุด ก็คือการแสดงอะไร ได้ตามชอบใจ เขียนอะไรก็เขียนได้ตามชอบใจ จะแสดงไอ้ศิลปะอะไรก็แสดงไปได้ตามชอบใจ ไม่มีลามกอนาจาร สิ่งที่เป็นลามกอนาจาร มาบัญญัติกันเสียใหม่ว่า ไม่ใช่ลามกอนาจาร นั้นมีเรื่องที่เค้าแก้ไขกันเสียใหม่ว่า ไม่ลามกอนาจาร นั้นมากมายด้วยกัน
การประกวดนางหน้าด้านนั้นน่ะ มันก็กลายเป็นของดีของวิเศษ ของอะไรไป ทั่วโลกสมัยนี้ เค้าเห็นเป็น สิ่งที่ถูกต้องที่ดีที่สุด ประกวดกันทุกหนทุกแห่งในโลกนี้ ผมยังเรียกว่า ประกวดนางหน้าด้าน ถ้าหน้าไม่ด้านพอ มันก็ไปเปิดแข้งเปิดขา เปิดอะไรแสดงอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าเป็นสมัยก่อนคุณย่า คุณยายเป็นลมตายแน่ ถ้าลูกหลานของแก ไปทำอย่างนั้น เดี๋ยวนี้เค้าเห็นว่าถูกต้องดีงามไปหมด นี่ก็คือเสรีภาพ ผลของเสรีภาพ มันเป็นอย่างนี้ นี้เป็นเรื่องที่เห็น ได้ชัด ๆ โต้ง ๆ แล้วที่มันยังละเอียด เห็นได้ยาก แฝงอยู่ในอะไรต่าง ๆ ยังมีอีกมาก
เสรีภาพในการเขียน ไม่มีใครว่าใครได้ เขาก็เขียนเรื่องลามกอนาจาร ลงไปในหนังสือประจำวัน แพร่หลาย ทั่วไปหมด ย้อมนิสัยเด็ก ๆ ให้เสียไป โดยไม่รู้สึกตัว โดยไม่ต้องรู้สึกตัว เขียนเรื่องอ่านเล่น โดยนามปากกาที่มีชื่อเสียง นิยมนับถือกันทั้งประเทศนะ แต่แล้วมันเขียนเรื่องที่ทำให้เด็ก มีจิตใจเลวทราม เสื่อมเสียทางศีลธรรม โดยไม่รู้สึกตัว คุณไปเอาหนังสือพิมพ์มาพิจารณาดูเองแล้วกัน ก็จะมองเห็น มันยังมีอะไรอีกมาก ที่ทำให้เด็ก ๆ อ่า, กลายเป็นปีศาจ ในร่างมนุษย์นี้มีอีกมาก ทำให้คนเรากลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์ คนโต ๆ ไม่เป็นไรไม่กี่ปีก็ตาย แต่ว่าการที่ทำให้ เด็ก ๆ มากลายเป็นอย่างนั้น นั้นมันน่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันจะอยู่ไปอีกนาน
การพูดจาก็ดี การเขียน เออ, ก็ดี ศิลปวัตถุ นิทรรศการ ภาพยนตร์ อะไรต่าง ๆ ล้วนแต่เป็นอย่างเดียวกันหมด เค้ามีเสรีภาพ มีอิสรภาพ มีเสรีภาพ ที่จะทำ ใครห้ามกันไม่ได้ หรือบางทีเค้าก็มีอำนาจอย่างอื่น อ่า, มา ช่วยให้เค้าต้อง ทำ หรือได้ทำ เมื่ออ้างเสรีภาพไม่ได้ ก็ใช้อำนาจอย่างอื่นมาช่วยให้ได้ทำ มันก็ทำกันทั่วไปหมดทุกหนทุกแห่ง ทุกหัวระแหง ทำลูกเด็ก ๆ ของเราให้กลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์นี่มากขึ้น ๆ เหลือที่จะป้องกัน เหลือที่จะแก้ไขแล้ว นี่คือรากฐานอันแท้จริงของการเสื่อมทางศีลธรรม แล้วเรื่องอื่น ๆ มันก็ต้องตามมาแน่นอน เรื่องอันธพาล เรื่องอะไรก็ตาม มันก็ต้องตามมามาก เหลือที่จะประมาณได้
นี้มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องทั้งหมดของมนุษย์ หรือของโลกมนุษย์ที่จะอยู่หรือว่าจะล่มจม มีมูลมาจากการศึกษา อ่า, แผนใหม่ วัฒนธรรมแผนใหม่ ที่มาจากข้างนอกเข้ามาสู่ประเทศไทย เรียกว่า เรา เออ, อยู่ในยุคของอะไร ลองคิดดู พวกเรากำลังอยู่ในยุคอะไร ควรจะเรียกชื่อของยุคนี้ว่า ยุคอะไร ลองคิดดู ส่วนผมนั้น สมัครเรียกว่า เออ, ยุคที่กลายเป็นปีศาจในร่างของมนุษย์ และเป็นผลของการศึกษาที่โลกมีอยู่ในปัจจุบันนี้ คือการศึกษาที่บูชาวัตถุนิยม เทคโนโลยีอย่างเดียว ไม่มี อ่า, ความสว่างไสวทางวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องของทางศาสนา จัดให้พระเจ้าตายแล้ว ศาสนาไม่จำเป็น
ศาสนาเป็นของครึคระสำหรับคนโง่ ๆ เมื่อ ๒๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว คนเดี๋ยวนี้ไม่ต้องการนี่ ในจิตใจมันเป็น อย่างนี้ แม้มันจะทำพิธีรีตองทางศาสนาอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง มันเพื่อประโยชน์อย่างอื่น ไม่ใช่ด้วยน้ำใสใจจริง ที่นับถือศาสนา พูดตรง ๆ ก็ว่าเอาศาสนาบังหน้า หาผลประโยชน์ทางวัตถุอีกทีหนึ่ง จึงประกอบพิธีทางศาสนา อย่างนั้นอย่างนี้บ้าง จะนิมนตร์พระมาในการแต่งงานอย่างนี้ ไม่ใช่เจ้าบ่าวเจ้าสาวมันเลื่อมใสศาสนา หรือต้องการจะ ได้อะไรจากพระ มันก็เพื่อจะประกอบพิธีนั้น ให้มันหรูหราขึ้นสักหน่อย เพราะมันมีเกียรติ มันเครดิตอะไร แก่เขามากกว่า ที่จะว้่เลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในศาสนาโดยแท้จริงนี่
อย่างนี้ก็ต้องนับว่า มันไม่มีศาสนาเหมือนกัน มันมีแต่เปลือกแต่กระพี้ เอามาใช้เป็นเครื่องมือบังหน้า หาประโยชน์ทางวัตถุ อย่างนี้มันก็มากทั่ว ๆ ไป ในกองทัพเขาก็ทำพิธีทางศาสนา แล้วมันก็หลอกตัวเอง เพราะว่า ถ้าเชื่อพระเจ้าจริง ๆ แล้วมารบกันไม่ได้ เพราะพระเยซูสอนว่า เขาตบแก้มซ้าย ให้เขาตบแก้มขวาด้วย อย่างนี้มันจะ รบกันได้ยังไง พระเยซูไม่ได้สอนว่า ฟันต่อฟัน ตาต่อตา พวกยิวโบราณ ต่างหากมันสอนกันอย่างนั้น มาถึงพระเยซู สอนว่า เขาตบแก้มซ้ายให้ตบแก้มขวาด้วย อย่าโกรธเขาเลย เขาขโมยเสื้อแล้ว ผ้าคลุมห่มตามไปให้ด้วย อย่าโกรธเขาเลย อะไรอย่างนี้
ถ้าถือหลักอย่างนี้แล้ว มันก็ไม่รบกันได้ รบกันไม่ได้ ยอมตายเสียเองยังดีเสียกว่า ที่จะฆ่าคนอื่น แต่นี้ต่างฝ่าย ต่างมันเห็นแก่ตัว มันก็เลยทิ้งศาสนา สลัดออกไป ทั้งสองฝ่ายมันก็ได้รบกัน แล้วก็โทษใครไม่ได้ ไอ้คนที่ยากจน มันก็ยิ่งไม่อยากถือศาสนา เพราะมันก็ยิ่งเสียเปรียบ เพราะฉะนั้นศาสนาในโลกนี้มันก็เลยเปลี่ยนแปลงไป กระจัดกระจายไป เหลือแต่พิธีรีตอง หรือเปลือก หรือกระพี้ พอเป็นฉากบังหน้าเท่านั้นเอง นี้เป็นเรื่องน่าเศร้า เอามาล้อตัวเอง ล้ออายุของเราว่า เราเกิดมาในยุคนี้ มีแต่ของอย่างนี้ ดีเหลือเกิน ที่พูดมาทั้งหมดนี้ อือ, มันก็รวมความ ได้ว่า มันเสื่อมลง มันเสื่อมลง มันเลวร้ายลง เพราะคนไปบูชา วัตถุนิยมมากขึ้น โดยหันหลังให้ศาสนาของตนมากขึ้น หันหลังให้พระเจ้ามากขึ้น หันหลังให้พระธรรมมากขึ้น มีเท่านี้เอง จะพูดไปอีกกี่ชั่วโมงมันก็มีเท่านี้ ข้อเท็จจริง มันมีอยู่เท่านี้
ความเป็นสุภาพบุรุษเปลี่ยนความหมาย คำว่า “สุภาพบุรุษ” เมื่อศตวรรษที่แล้วมา คือ ๑๐๐ ปีที่แล้วมา มันมีความหมายอย่างอื่นนะ คำว่าสุภาพบุรุษในสมัยปัจจุบันนี้มันมีความหมายอย่างอื่นนะ ขอให้คุณไปสังเกตดู ให้ดี ๆ สุภาพบุรุษในมหาวิทยาลัย หรือสุภาพบุรุษที่ไหนก็ตาม มันเปลี่ยนความหมาย และเดี๋ยวนี้คำว่า “สุภาพบุรุษ” นั้นเป็นคำที่น่ารังเกียจที่สุด ก่อนนี้ใครมาหาว่าเราไม่ใช่ gentleman เราก็หาว่าดูถูกอย่างยิ่ง แต่ถ้าเดี๋ยวนี้เขาหาว่า เราไม่ใช่ gentleman บางทีจะขอบใจ เพราะว่าเรารังเกียจ คำว่า “สุภาพบุรุษ” เราอยากจะเป็นอะไร ที่ไม่ใช่ สุภาพบุรุษมากกว่า เพราะจิตใจมันเคลิบเคลิ้มไปแล้วในทางวัตถุ
ผมจะสมมุติอะไรให้ฟังสักอย่างหนึ่งว่า “สุภาพบุรุษ” อ่า, ในศตวรรษที่ ๑๙ คือศตวรรษที่แล้วมา พูดกับขโมยว่า อ่า, ผมขอบคุณ คุณที่เป็นขโมย ไม่ขโมยบ้านผม แต่การที่คุณไปขโมยบ้านคนอื่นนั้น ผมเห็นด้วยไม่ได้ ผมต้องไปเป็นพยานศาล เพื่อให้คุณติดตะราง ถ้าสุภาพบุรุษจริง ๆ มันก็ต้องกล้าพูดอย่างนี้สิ นี่หมายความว่า ๑๐๐ ปี มาแล้ว นี่ขโมยมันก็เป็นสุภาพบุรุษ ขโมยมันก็บอกว่า เอาล่ะครับถูกแล้ว ผมก็ควรจะเป็นไปตามกรรมของผม คือ ติดตะราง นี่ขโมยเมื่อศตวรรษที่แล้วมา มันควรจะพูดอย่างนี้
ทีนี้สัตบุรุษในศตวรรษที่ ๒๐ คือปัจจุบันนี้ มันพูดอย่างนี้ว่า มันบ้าทั้ง ๒ คนนั่นแหละ มันบ้าทั้ง เจ้าของบ้านที่พูดอย่างนั้น และขโมยมันก็โง่หรือบ้า นี่นิทานนี้จำไว้สิ เป็นเครื่องเปรียบเทียบว่า ไอ้ความหมายของ คำว่า “สุภาพบุรุษ” นั้นเป็นอย่างไร มันได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้วอย่างไร สมัยก่อนถ้าใครทำผิดแล้วสารภาพ เราก็ยอมรับว่า เค้าเป็นสุภาพบุรุษ เดี๋ยวนี้ถ้าใครทำอย่างนั้น ก็หาว่าคนบ้า คนโง่ คนไม่รู้จักฉวยโอกาส หรืออะไร ทำนองนี้ นั่นแม้แต่คำว่า “สุภาพบุรุษ” มันก็เปลี่ยนความหมายอย่างนี้ ไม่มีใครนิยมความซื่อตรง ความเปิดเผย ความอ่อนน้อม ถ่อมตน ความกตัญญกตเวที
อะไร ๆ ที่คนแต่โบราณเขาสั่งสอนกัน เขามาบัญญัติกันเสียใหม่ว่า นั้นมันคือความโง่ ความขลาด ความล้าหลัง ที่ถูกมันคือว่า เอาให้ได้ไว้เป็นดี ให้เจริญให้ร่ำรวยด้วยวัตถุเข้าไว้นั่นแหละเป็นดี มันดีเสียอย่างนี้ ดีที่ได้ ก็เลยไม่เข้าใจหลักของศาสนาที่ว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เพราะเขาไปถือเสียว่าได้ ได้เงิน ได้ของ ได้อะไรที่นั่นน่ะคือดี มันดีอยู่ที่นั่น นั้นทำอะไรที่จะได้ ของเหล่านั้น มาก็ถือว่าดีหมด นั้นคือ ขโมยเขาก็ดี โกงเขาก็ดี คอร์รัปชันก็เป็นของดี เดี๋ยวนี้มันก็มี เออ, ศาสนาเกิดขึ้นมาว่า คอร์รัปชันนั้นก็เป็นของดี แล้วก็ระบาดกันไปทั่วโลก
นี่เราเอามาพิจารณาดู ว่าจะอยู่ในโลกอย่างนี้กับเขาไหวไหม หรือได้ จะอยู่ด้วยในลักษณะอย่างไร เมื่อตอนเย็นนี้ก็มีคนถาม ว่าจะอยู่ในโลกที่มันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร เมื่อมันไม่มีทางที่จะฆ่าตัวตาย ให้พ้น ๆ ไปเสีย มันก็ต้องทนอยู่ในโลกนี้ นี้ถ้ามันมากเกินไปมันก็ทนไม่ไหว ดังนั้นมันจึงต้องมีการแก้ไขปรับปรุง ไอ้ตัวเราเองนี่ ให้มันพอที่จะอยู่ไปได้ โดยไม่มีความทุกข์ ในโลกที่มันเต็มไปด้วย สิ่งที่จะยั่วยวนที่จะทำให้เกิดความทุกข์ แปลว่า จะมีความสงบเย็น อยู่ท่ามกลางกองเพลิงได้อย่างไร
นั่นแหละเป็นปัญหาของพวกเราที่ยังเคารพในศาสนา ในธรรมะ ในพระเจ้า เราไม่ยอมสลัดทิ้งพระเจ้า พระธรรมหรือพระศาสนา ก็หาทางออกในการแก้ปัญหาว่า จะมีความสงบอยู่ในท่ามกลางกองเพลิงนี้ได้อย่างไร ถ้าใครมองเห็นลู่ทางแล้วก็ ก็รู้เถอะว่า นั่นคือตัวศาสนา ถ้าใครยังไม่ ไม่มองเห็นลู่ทางและไม่อาจทำจะได้ ก็แปลว่า คนนั้นยังไม่มีศาสนา ยังไม่รู้จักศาสนา ยังถือศาสนาแต่ปากอย่างนกแก้ว นกขุนทอง จะเป็นพระ หรือเป็นเณร เป็นอุบาสก หรือเป็นอุบาสิกาอะไร ก็ไม่ยกเว้นทั้งนั้น ถ้ายังไม่สามารถช่วยตัวเอง ให้มีความสุขอยู่ได้ ในท่ามกลาง กองเพลิง แล้วล่ะก็ ยังไม่ได้เรียกว่ามีศาสนา เพราะคำว่า “ศาสนา” มันหมายถึง เครื่องป้องกัน ที่มีผลจริง ๆ ที่จะให้อยู่ ในท่ามกลาง เออ, สิ่งที่จะให้เกิดความทุกข์นี้ได้ โดยไม่ต้องมีความทุกข์ เออ, เพื่อให้ความทุกข์นั้น มันเป็นหมันไป ไม่มาแตะต้องเราได้ อย่างนี้ จึงเรียกว่า มีศาสนา
ทีนี้การเล่าเรียนมาก ๆ มันก็ช่วยไม่ได้ การสร้างอะไรขึ้นมามาก ๆ สวย ๆ งาม ๆ ไอ้ตามความนิยม มันก็ช่วย ไม่ได้ จะมีคาถาอาคม มีเครื่องราง อะไรมันก็ช่วยไม่ได้ จะรดน้ำมนตร์ หรือว่าจะสะเดาะเคราะห์ หรือว่าจะทำอะไรอีก เท่าไร มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะเรื่องอันแท้จริงมันอยู่ที่จิตใจ อยู่ที่ความโง่เขลา อยู่ที่กิเลส อยู่ที่อะไรในจิตใจ มันก็ต้อง จัดการกันที่นั่น ต้องศึกษาให้ถูกวิธี ต้องปฏิบัติให้ถูกวิธี จนมีจิตใจชนิดที่เรียกว่า มันหลุดพ้น มันอยู่เหนือโลก มันอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง มันอยู่เหนือการครอบงำของสิ่งทั้งปวง เป็นจิตใจที่มันเป็นอิสระแล้ว หลุดพ้นแล้วจริง ๆ นี่มันหัวเราะเยาะได้ในทุกสิ่งทุกอย่าง นั้นน่ะจึงจะอยู่ในโลก อ้า, ที่เป็นกองเพลิงนี่ได้ โลกที่กำลังเป็นกองเพลิง มากยิ่งขึ้น ทุกทีนี่มันต้องการ บุคคลที่มีคุณสมบัติพิเศษมันจึงจะอยู่ได้ โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว มันจะต้องเป็นทุกข์ แล้วมันโง่หนักขึ้นไปอีก ก็ทำให้โลกนี้มีแต่ความทุกข์ ความเป็นกองเพลิงมากยิ่งขึ้นไปอีก คือมันจะคิดผิด มันจะตัดสินใจผิด ไม่สามารถสร้างสันติภาพขึ้นมาในโลกนี้ ก็ยิ่งทำให้มีความทุกข์ หรือกองเพลิง มากยิ่งขึ้นทุกทีนี่ นี่เรียกว่า อวิชชามันเข้าตา โมหะมันเข้าตา กิเลสมันเข้าตา มันก็ต้องเป็นอย่างนี้
แล้วเราจะต้องแยกทางกันเดินแล้ว มันก็ต้องทำอย่างตรงกันข้าม อย่าให้อวิชชาเข้าตา อย่าให้กิเลสเข้าตา อย่าให้วัตถุเข้าตา จะให้วัฒนธรรมตะวันตกใหม่ ๆ มันเข้าตานี่ จะต้องยึดมั่นในธรรมะที่ถูกต้อง ในหลักพุทธศาสนา หรือศาสนาใดก็ตามที่มันถูกต้อง จนกระทั่งว่า ไม่มีตัวเราสำหรับที่จะตาย มีจิตใจชนิดที่ว่า ความตายทำอะไรไม่ได้ ความตายยกให้เป็นเรื่องของร่างกาย อ่า, มันตาย มันก็เป็นเรื่องของร่างกาย มันตายมันก็ตายไปสิ ฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น ฉันไม่ได้ยึดถือนั่น ว่าเป็นของฉัน จิตใจที่มันฉลาดถึงที่สุด ไม่ได้ยึดถืออะไรว่า เป็นของฉัน จิตใจเองก็ไม่ยึดจิตใจ เองว่า เป็นตัวฉัน หรือเป็นของฉัน อย่างนี้เค้าเรียกว่า จิตใจที่หลุดพ้น “วิมุต” หรือหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น ด้วยอุปาทาน ไม่ยึดมั่นด้วยอุปาทานอีกต่อไป เป็นจิตใจที่ หลุดพ้น จิตใจอย่างนี้อยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่มีกองเพลิง จับโยนลงไปในกองเพลิง มันก็ไม่มีกองเพลิง สำหรับจิตใจชนิดนี้
มันก็ต้องมีความรู้ของพระพุทธเจ้าในลักษณะอย่างนี้ กันเท่านั้น ถึงจะอยู่ได้ในโลกที่ กำลังลุกเป็นกองเพลิง มากขึ้นทุกที แต่แล้วเราก็ไม่สมัคร เราจะสมัครไปเป็น ลุกสมุนของวัฒนธรรมตะวันตก อยากจะไปเรียนจาก เมืองนอกเมืองนา เอาปริญญามาให้เป็นหาง เพื่อเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ทางวัตถุต่อไปอีก อย่างนี้ก็เรียกว่า มันเป็นการตาม อือ, ก้นฝรั่ง ซึ่งเป็นเจ้าตำรับตำราทางวัตถุนิยม แล้วก็ละทิ้งวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน ที่ถือเรื่องจิตใจเป็นหลัก
นี้เรามีอิสระที่จะพูด เราจึงพูด ทำไมเราจึงมีอิสระ ทำไมเราจึงไม่กลัวเค้าโกรธ หรือไม่กลัวใครโกรธ หรือไม่กลัวเพื่อนกันเองโกรธ ก็เพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริง เรื่องที่มันตรงกันข้ามจากนี้นั้นมันไม่ไหวแล้ว นั้นใครจะโกรธก็ไม่กลัว ใครจะถือว่า ผมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคนปากร้าย หมาปากร้าย ก็เอา ผมยอม ไม่มีใครมา เผาศพผมเลยก็ได้ ผมคงจะพูดอย่างนี้เสมอไป ก็ด้วยเจตนาดี เออ, ต่อพวกคุณทุก ๆ คน ทุก ๆ องค์ ว่าถ้าอย่างไร คุณก็พอจะมีความสำนึกตัว ไม่ลุ่มหลงไปตามก้นวัฒนธรรมตะวันตก จะยังคงรักษาความเป็นคนไทย รักษาความเป็น พุทธบริษัท ผู้นับถือพระพุทธศาสนาเอาไว้ได้ ผมยอมไถ่บาป หรือไถ่ความทุกข์อะไรต่าง ๆ ให้เค้าว่า ให้เค้าด่า ให้เค้าแช่ง อะไรก็ได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เพื่อจะให้ได้พูดคำพูด ที่คุณได้ฟังแล้วจะได้เอาไปคิดไปนึกบ้าง และจะได้ยับยั้งชั่งใจ ไว้บ้าง ไม่กระโจนตาม ๆ กันไปเป็นฝูง ไปในทางที่จะไปเป็นทาสของวัตถุนิยม ไปเป็นภูตผี ปีศาจในร่างของมนุษย์ ไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำชนิดไหนมาพูดกันแล้ว มันก็จะหมดกันเพียงเท่านี้
ว่าสิ่งที่น่าเศร้า หรือว่าน่าเกลียด มันก็มีอยู่เพียงเท่านี้ คือ เป็นปีศาจในร่างของมนุษย์ มีจิตใจที่สกปรกมืดมัว และเร่าร้อน หาความสะอาด สว่าง สงบไม่ได้ นี่ปีหนึ่งเอามาพูดกันเสียทีหนึ่ง ให้เคราะห์ร้ายมันอยู่ที่ผมคนเดียว พูดกันวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ทุก ๆ ปีจะต้องพูดอย่างนี้ วันอื่นก็ไม่ค่อยกล้าพูด หรือไม่อยากจะพูด แต่วันนี้มันเป็น วันอิสระของผม เป็นวันที่อิสระที่สุด ที่ฟรีที่สุด ในการที่จะพูด หรือจะแสดงความคิดความเห็นอย่างไร จึงทำบุญล้ออายุ ว่าตายกันเดี๋ยวนี้ก็เอา ก็เลยกล้าพูดในฐานะที่เอามาล้อตัวเอง แล้วมันก็กระทบไปถึงคนอื่นด้วยก็ได้ ถ้าว่ามันมีใครเข้าใจ ในความประสงค์ นั้นก็เป็นโชคดี ก็ไม่เสียหลายที่เอาไอ้เรื่องเห็นว่า เอาเรื่องที่อันตราย หรือน่าอันตรายนี้ มาพูดโดยไม่ต้องกลัวอันตราย
หวังว่าทุก ๆ คน จะได้ เอาไปคิดเอาไปนึก และเลือกทางเดินให้ถูกต้อง อย่าเป็นคนรู้มากยากนาน ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เอ่อ, เป็นบ้าหอบฟางอยู่อย่างนี้ ถ้าอย่างไร อย่างไร ก็ถือเอาสาระให้ได้ แล้วก็ให้ถือว่า ไอ้คำล้อนี่เป็นเอคำพูดที่หวังดี พระพุทธเจ้าท่านก็ยังสอนให้ถือว่า คำด่านั้นเป็นคำชี้ขุมทรัพย์ กระผมตั้งใจแต่จะ เพียงล้อเท่านั้นนะ ไม่ได้ตั้งใจจะด่านะ แต่ถ้ามันเผลอไปหรือมันอะไรไป มัน ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็แล้วแต่คุณจะเข้าใจ เอาเอง ว่ามันล้อหรือมันด่า ถ้ามันด่า มันก็เป็นคำการชี้ขุมทรัพย์อย่างพระพุทธเจ้าว่า ตรัสไว้นะ ถ้ามันเป็นการล้อ ก็เป็นเพื่อนกัน เราเป็นเพื่อนกันก็ล้อเล่นกันได้ ถึงล้อก็เพียง กันละเยี่ยง(นาทีที่ 01:04:34) วิถีสหาย มิมุ่งจะทำร้าย มิมุ่งประจานใครนี่ นี่คือคำล้อ นั้นถ้าใครไม่เข็ด ปีหน้าก็มาให้ผมล้ออีกก็ได้ เพราะว่าผมก็ล้อผม มากกว่าที่จะล้อคุณ เพราะผมรู้จักตัวเองดีกว่าที่ผมรู้จักคุณ ผมรู้จักตัวเองมาก รู้จักคนอื่นน้อย นั้นก็ต้องล้อตัวเองมันถูกต้องกว่า แต่แล้วผลมันจะพลอย ได้ไปถึงคนอื่นบ้างหรือไม่นั้นมันอีกเรื่องนึง
นี่การทำบุญอายุของผม ในการครบรอบวันเกิดมันมีอยู่อย่างนี้ เป็นการล้ออายุอย่างนี้ ตัวฉันผู้ทำการล้อนั้น มันก็คืออายุ ในทางวิญญาณ คือสติปัญญาที่มันได้เกิดขึ้นมา ตามลำดับ ตามลำดับ ในการศึกษา การปฏิบัติอะไรต่าง ๆ นี่อตัวฉันที่จะล้อ คนโง่คืออายุทางฝ่ายเนื้อหนังที่มันเติบโตขึ้นมา สักว่า ได้กินอาหารมันก็เติบโตได้ วันคืนล่วงไป ฝนตกครั้งหนึ่งมันก็นับอายุได้ปีหนึ่ง เดี๋ยวนี้ก็อายุตั้ง ๖๐ กว่าปีแล้ว มันก็ยังโง่อยู่นั้นเอง นี่สำหรับร่างกาย มันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าสำหรับสติปัญญานั้น มันเปลี่ยนแปลงได้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับไอ้วัตถุหรือว่า ฝนฟ้าอากาศอะไร ทำนองนี้ มันขึ้นอยู่กับการศึกษา อบรม การคิด การนึก การเอ่อ, มีความละอาย มีความกลัว ไม่อยากจะให้เสียที ที่เกิด มาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา
นี่เป็น ข้อที่ต้องกลัวมาก ก็อย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ถ้าใครมีความละอาย และมีความกลัวอย่างนี้ ผมรับรองว่า ไอ้ทางจิตทางวิญญาณของเค้าจะต้องก้าวหน้า แล้วถึงจะมีความระลึกนึกได้ ในการที่จะปรับปรุงแก้ไขในทางวัตถุ ในทางอื่น ๆ ให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป นี่เป็นวิธีทำบุญวันเกิดของผม ใครให้ของขวัญ ก็ต้องอดข้าว ๑ วัน อดนอน ๑ คืน เป็นอย่างน้อย แล้วก็เอาไปคิด เอาไปนึก เอ่อ, ทำให้มีจิตใจ ชนิดที่อยู่เหนือ การครอบงำของวันคืนเดือนปี อย่าให้เวลามันล่วงไปโดยไม่มีอะไร เออ, เจริญงอกงามในทางจิต ในทางวิญญาณ เท่านี้มันก็พอ
ส่วนข้อที่ใครจะทำบุญอายุแบบนี้ กันบ้างก็ตามใจ ผมไม่ได้ขอร้อง แต่ผมสมัครทำอย่างนี้ แล้วเผอิญบางคน ได้มาร่วม มันก็น่าจะถือว่า ได้เห็นของแปลก ๆ แล้วก็เอาไปคิดไปนึก เผื่อมันจะมีประโยชน์บ้าง ถ้าเห็นว่ามันจะมี ประโยชน์บ้าง ก็ขอร้องให้มีความเด็ดเดี่ยว ความแน่วแน่ ความเฉียบขาด ความตั้งใจจริง ความเข้มแข็งของจิตใจ แก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้เข้ารูปเข้ารอย นั้นจะได้เจริญงอกงาม ก้าวหน้าไปในตามหนทางของพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลาย เอ่อ, มีความสุขทุกทิพาราตรี เทอญ
คำถามจากผู้ร่วมฟัง (มารดานั้น รักบุตรทุกคนโดยเท่าเทียมกันหมด กับอีกประเด็นหนึ่งคือ รักบุตรบางคนที่ว่าดีก็รักมาก ที่เกกมะเหรกก็รักน้อยหน่อย อย่างนี้อย่างไหนจะเป็นการยุติธรรม ได้เรียนถามก็ยังไม่มีใครตอบได้ก็เรียนถามพระอาจารย์ว่า เป็นอย่างไร)(นาทีที่ 01:09:02)
โอ้, อย่างนี้ผมไม่ตอบหรอกอันนี้ ผมถามเอาไปคิดกันสิ คือเราไปคิดอย่างนี้ ตามแบบฉบับของคนชาวบ้าน ที่เขาพูดแบบชาวบ้าน ความรู้สึกอย่างชาวบ้าน เขาก็หาว่าลำเอียงรักลูกไม่เท่ากัน นั่นน่ะเขาหาว่าลำเอียง นี้ถ้าเป็นแบบของชาวบ้าน ก็จะต้องถือว่า มารดานั้นไม่ยุติธรรมมีความลำเอียง นี่พูดอย่างชาวบ้าน มันเป็นอย่างนี้ มันลวก ๆ อย่างนี้ เมื่อพูดอย่างผู้มีปัญญา อ่า, มีสติปัญญามันก็ไม่พูดอย่างนี้ ก็จะพูดว่า ถูกแล้วที่เขาจะรัก เอ่, คนที่ดี มากกว่าคนที่ไม่ดี ถูกแล้วนี่ผู้มีปัญญาจะพูดว่า อย่างนั้น ก็ผู้มีปัญญาอย่างสามัญอย่างธรรมดาพูดว่าอย่างนั้น ถ้าจะแจกของให้รางวัล ก็ให้ลูกที่ดีมากหน่อย แบ่งมรดกก็ให้มากกว่า แก่ลูกที่ไม่ค่อยจะดี อย่างนี้ก็ถือว่ายุติธรรมแล้ว นี่ก็อย่างหนึ่ง
แต่อย่างนี้ ก็ยังไม่ดีหรือไม่ถูก พระเจ้าไม่ต้องการอย่างนี้ พระเจ้าจะต้องการไปในทางตรงกันข้าม ว่าไอ้ลูกคนที่เลวน่ะ มันน่าสงสารกว่า มันต้องรัก ต้องช่วย ไอ้ลูกคนที่เลวน่ะ ไอ้ลูกคนที่ดีจะต้องไปรัก ไปช่วยมันทำไม มันดีแล้ว มันปลอดภัยแล้ว ก็ไม่ต้องไปรัก ไปช่วยอะไรมันอีก นั้นต้องมารักลูกที่เลว ช่วยมันให้มาก แก้ไขมันให้มาก จนมันกลายเป็นคนดี พระเจ้าต้องการอย่างนี้ และยุติธรรมตามแบบพระเจ้า ผู้ใดมีทุกข์มีร้อน มีความลำบาก ต้อง ต้องรักไอ้คนนั้นนะ
แต่ว่ามันก็ยากที่จะปฏิบัติได้ ผมยอมสารภาพก็โดนมาแล้ว ไม่มีลูก แต่ก็มีเด็ก ๆ เหมือนกับลูกนี้ ไอ้ที่จะให้ มันรักเด็กเกเร อันธพาลนี่มันทำยาก พยายามเท่าไหร่มันก็ไม่สำเร็จ ส่วนเด็กคนไหนมันดี มันนี่ มันรักเอง มันไม่ต้องพยายาม ก็ไม่ถูกความประสงค์ของพระเจ้า ต้องการให้รักไอ้ที่เกเร แก้ไขมันให้ดีขึ้น อดทน ด้วยความอดทน แก้ไขมันให้ดีขึ้น นี่ความยุติธรรมตามแบบพระเจ้ามันสูงสุดอย่างนี้ ความยุติธรรมตามแบบมนุษย์ที่โง่ก็อย่างหนึ่ง ที่ฉลาดก็อีกอย่างหนึ่ง ตามแบบพระเจ้ามันมาเหนือเมฆกว่านั้นอีก ให้รักคนที่มีความทุกข์ หรือมีความชั่วหรือมีกิเลส ให้ช่วยแก้ไขให้มัน ที่มันดีอยู่แล้วจะไปรักมันทำไม เพราะนั้นไอ้คำว่า คำด่าเป็นคำชี้ขุมทรัพย์มันก็เกิดขึ้นมาได้ เพราะว่าการแก้ไข มันก็เต็มไปด้วยการบ่นว่าด่า สอนให้มันไม่น่าสนุกมั้ง
ทีนี้มันยังมีอีก เรียกว่า ความยุติธรรมตามกฎหมายยิ่งแล้วใหญ่เลย ความยุติธรรม ตามกฎหมาย นี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย แล้วแต่พยาน ถ้าพยานเท็จมันก็ยุติธรรมเท็จ ผู้พิพากษาเผลอหรือเขลาไป มันก็เป็นความ ยุติธรรมเขลา ถ้ามันมีแต่พยานเท็จ มันก็ยุติธรรมไปตามเท็จ แต่เขาก็ถือว่า เขาได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ผู้พิพากษา ตุลาการไปว่าเขาไม่ได้ นั้นอย่าไปหวังความยุติธรรมในโลก ในโลกมันหมายตามอำนาจของโลก อย่าไปเสียใจเมื่อ มันไม่ได้ความ ไม่ได้รับความยุติธรรมในโลก เพราะในโลกมันเป็นอย่างนั้นเอง เราอาจจะหาความยุติธรรม ได้จากพระธรรม จากธรรมะ จากความจริง และเราเป็นผู้รู้ดีที่สุด ว่ายุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม
เป็นภาษาใต้ (นาทีที่ 01:15:00) เมื่อมันตั้งปัญหาอะไรขึ้นมา จะต้องแยกแยะออกไปว่า ตามแบบไหนล่ะ ความยุติธรรมนี่ มันต้องตั้งปัญหาขึ้นว่าตามแบบไหน มันหลายแบบ เราจะไปบังคับพูดรวบรัดเป็นแบบเดียว นี่มันไม่ได้ ต้องถามว่าความยุติธรรมนี่ตามแบบไหน แบบกฎหมาย แบบศาล อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับ ไอ้สิ่งที่เค้าใช้เป็น เครื่องประกอบ เช่น พยาน เป็นต้น พยานเท็จความยุติธรรมก็เป็นเท็จ ผู้พิพากษาเผลอไป ความยุติธรรมก็เป็นเผลอไป นี่เรียกว่า ความยุติธรรมที่มันอยู่ในกำมือมนุษย์ หรือเนื่องกับมนุษย์มากเกินไป
นี้ยุติธรรมสูงไปกว่านั้นตามความรู้สึกของชาวบ้าน เช่นว่า ลูกเกิดมาต้องรักเท่ากัน หรือรักเสมอกัน นี่มันก็ถูกเหมือนกัน มันดีเหมือนกัน ไม่ใช่มันผิด มัน มันดีในระดับนั้น ทีนี้ยุติธรรมสูงขึ้นไปอีก มีสติปัญญา ลูกคนไหนดี รักมากให้มรดกมาก ลูกคนไหนไม่ดี รักน้อยให้มรดกน้อย นี้ก็ถูกอีกเหมือนกัน ยุติธรรมอีกเหมือนกัน ตามดีตามชั่ว
ทีนี้ยุติธรรมแบบสูงสุดของพระเจ้านั้น รักคนที่มีความทุกข์ คนที่มีความทุกข์หมายถึงมีกิเลส มีเข้าใจผิด มีอวิชชา กำลังตกอยู่ในอบาย ต้องช่วยเขา ต้องช่วยมัน นี่ยุติธรรมเหมือนกัน คนที่สบายดีแล้ว ฉันไม่ให้อะไรเลย ตามหลักพระพุทธศาสนา เขาถือว่า เขา เขาเรียกไว้ว่า จะไม่พูดอะไรลงไปโดยส่วนเดียว จะต้องอาศัยข้อแม้ อือ, เป็นแบบ ๆ เป็นประเภท ๆ ไป จะพูดอะไรโดยส่วนเดียว มันมีทางผิด จะต้องว่า อย่างไร อย่างไร แบบไหนอ่ะ
ในโรงเรียนในมหาวิทยาลัย ก็มีปัญหาเรื่องความยุติธรรมบ่อยเหมือนกัน เกี่ยวกับ ผู้ ผู้ตัดสิน ผู้ตัดสินชี้ โชคชะตา หรือการปกครอง หรือการเลี้ยงดู การควบคุมอะไรต่าง ๆ มีปัญหาเรื่องความยุติธรรม ภาษาบาลีไม่มี คำว่า “ยุติธรรม” ไม่มี ภาษาบาลีมีแต่คำว่า ธรรมเฉย ๆ ไอ้ยุติธรรมนี่ คือความเป็นธรรม เป็นธรรม หรือไม่เป็นธรรม คำว่า “ยุติธรรม” กลับมีในภาษาไทย ไอ้ยุติ ก็แปลว่า ประกอบ ประกอบด้วยธรรม เออ, นี้ที่พูดนี่ มันก็เห็นได้ว่า ที่เกี่ยวกับ ความยุติธรรมเรื่องความยุติธรรม นี่ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้เหมือนกัน อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ในไอ้ความยุติธรรม มันเป็นไปไม่ได้
การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม หรือเพื่อยุติธรรม มันก็ต้อง ยังต้องดูว่า มันเป็นไปได้หรือไม่ มันสมควรหรือไม่ มันมีทางที่จะเป็นไปได้หรือไม่ เมื่อมันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ มันกลับจะเล่นงานเรา และจะหนักไปกว่าที่ไม่ได้รับ ความยุติธรรมเสียอีก นี่เขาเรียกว่า ไม่ ไม่อะไร ไม่เถรตรงหรือว่าไม่ผ่าซาก ว่าขึ้นชื่อว่า ถูกว่าจริง แล้วก็ไปยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ดันทุรังไป จนแหลกลาญกันไปก็ไม่ควร มันต้องดูว่า มันจะทำสำเร็จหรือไม่ มีประโยชน์หรือไม่ แม้ว่ามันถูกมัน จริงแล้ว ถ้าทำไม่ได้ มันก็อย่าไปทำดีกว่า เราไม่ต้องการความยุติธรรมหรอก เราต้องการความที่ มันไม่เป็นทุกข์ แล้วกัน มันยังหาได้ง่ายกว่า ความยุติธรรมยังหาได้ยาก
ถามว่าในทางธรรม..... คำถามเสียงเบาไม่ชัดเจน (นาทีที่ 01:22:04-01:22:26) ในทางคัมภีร์ทางศาสนา ไม่ได้มุ่งหมายที่จะพูดเรื่องนี้ ไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง เขาบัญญัติแต่ ความทุกข์กับความดับทุกข์ มันจึงไม่มีศาสตร์ หรือสูตร หรืออะไรมาเป็นหลักแบ่ง ให้มันชัดไว้หรือเขียนไว้ชัด ไม่มี เราต้องสังเกตเอาเอง ศึกษาเอาเอง ที่เขาให้คุณค่า หรือความหมายของมันไว้เท่าไร จนเห็นได้ว่าไม่เท่ากัน นั้นฆ่าสัตว์ กับฆ่าต้นไม้นี่มัน โทษไม่เท่ากัน สัตว์เขาตั้งใจฆ่ามาให้เราฉันท์ ภิกษุฉันท์ไม่ได้ แต่ถ้าต้นไม้ก็ได้ พืชผัก เขาตั้งใจเก็บมาให้ฉันท์ นี่ก็ฉันท์ได้ แต่ถ้าเขาจะฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ตั้งใจมาให้ฉันท์โดยตรง นี้ก็ทำไม่ได้ ฉันท์ไม่ได้ เป็นต้น มันเป็นการแสดงอยู่แล้ว ว่าเขาให้คุณค่า ให้ความหมาย ให้นำ้หนักไม่เท่ากัน ระหว่างสัตว์กับพืช ระหว่างของของสองสิ่งนี้ ถ้าคนแล้ว ยิ่งไปไกลกว่าอีก บางคนพูดว่า ฆ่าต้นไม้ ฆ่าสัตว์ แล้วฆ่าคน มันไม่เท่ากัน
นี่มันไม่มีเรื่องที่ต้องพูดในทางวิทยาศาสตร์ ทางวัตถุอะไรว่า อย่างไรเรียกว่า สัตว์ อย่างไรเรียกว่า คน อะไรเป็นหลัก นี่ อย่างไรเรียกว่า พืช ไม่มีอ่ะ เพราะว่า ศาสนา ไม่ต้องการจะสอนเรื่องนี้ ต้องการจะสอนแต่เรื่อง ดับทุกข์ ดับทุกข์ ถึงเรื่องการจำแนกอย่างอื่น ๆ เรื่องขันธ์ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ ก็เหมือนกันแหละ มันมีมาก่อนแล้ว ก่อนพระพุทธเจ้า เช่น อยู่เฉย ๆ อยู่นิ่ง ๆ รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ อย่างนั้น อย่างนี้ ไม่มีใครฟังถูกหรอก แต่เนื่องจากคำเหล่านี้ มันมีพูดอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นพอพระพุทธเจ้าพูด ตรัสกับพระปัญจวัคคีย์เป็นครั้งแรก ก็พูดว่า รูปัง อนัตตา เวทนา อนัตตาเลย มันก็ฟังถูก ว่า รูปคืออะไร เวทนาคืออะไร วิญญาณ คืออะไร สังขารคืออะไร มันก็ฟังถูก มันรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว การจำแนกบัญญัติสิ่งเหล่านี้ มีอยู่ก่อนแล้ว ก่อนพุทธกาล มันไม่ใช่ความมุ่งหมาย ของพุทธศาสนาที่จะบัญญัติสิ่งเหล่านี้ มันต้องการแต่ว่า จะสอนว่า ดับทุกข์แก่สิ่งเหล่านี้ ก็พูดไปตามที่มนุษย์รู้อยู่แล้ว เข้าใจอยู่แล้ว เช่น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม นี้ไม่ใช่บัญญัติของพุทธศาสนาโดยตรง เค้ามีอยู่ก่อนแล้ว
ผมก็สังเกตดูมากเหมือนกัน ในบาลีมันไม่พบ ถ้าพบก็พบนอกพระพุทธศาสนา เป็นวิชาเกี่ยวกับเรื่องนั้น โดยเฉพาะ ก็มีอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยได้สนใจ คำนิยามเกี่ยวกับคำว่า พืช เกี่ยวกับคำว่า สัตว์ นี่ก็ไม่มีที่นิยามไป ในเรื่องทางวิทยาศาสตร์นี้ไม่มี มันมีนิยาม ก็นิยามไปทางเกี่ยวกับกิเลส เกี่ยวกับไอ้ความทุกข์ ความอะไรไปเลย เช่น คำว่า สัตว์ บทนิยามมันแปลว่า ผู้ที่ข้องอยู่ ติดอยู่ในกองทุกข์ แล้วมันจะได้ความ มันใช้ไม่ได้ สัตว์นี่ ผู้ที่ติดอยู่ หรือข้องอยู่ในกองทุกข์ คนก็ได้สัตว์ก็ได้ สัตว์เดรัจฉานก็ได้ นั้นคำนิยามเหล่านี้ จะเอาไปใช้เป็นบทสูตรเปรียบเทียบ ความแตกต่างระหว่างพืชกับสัตว์ ก็ทำไม่ได้ ทำได้ก็เป็นเรื่องที่เอามาเข้ากับทางนี้ไม่ได้ สัตว์ คือ ผู้ที่ข้องในกองทุกข์ จะว่าพืชไม่ได้ข้องอยู่ในกองทุกข์ อันนี้มันก็ไม่ได้ หรือมันก็ได้ ก็ได้ แล้วแต่จะบัญญัติ ถ้าถือว่า พืชไม่มีจิตใจ ไม่มีความรู้สึก มันก็ได้
เดี๋ยวนี้พืชมันก็มีความรู้สึก มันก็ต้องรู้สึกเกี่ยวกับความทุกข์บ้าง ไม่มากก็น้อย ที่กรุงเทพฯ เองเถียงกัน จนทะเลาะกัน จนโกรธกัน ต้นไม้มีวิญญาณหรือไม่ นักธรรมเขาเถียงกัน จนทะเลาะกัน จนโกรธกัน จนแบ่งกัน เป็นพวก ๆ นี่เค้าเถียงกันไปเลย พวกหนึ่งว่า มีวิญญาณ พวกหนึ่งว่าไม่มี เอาอะไรได้กับเรื่องอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่าน ก็จะไม่ยอมตัดสินปัญหาอย่างนี้หรอก ท่านจะยอมพูดแต่ว่า ทำอย่างไรไม่เป็นทุกข์เท่านั้น จะสอนแต่ว่า ทุกข์คืออะไร เหตุให้เกิดทุกข์คืออะไรเท่านั้น สัตว์ตัวใดมีความทุกข์ก็แก้ไข มนุษย์ก็ว่ามีใจสูง คือ ลูกหลานของมนู (นาทีที่ 01:28:34) แปลว่า มีใจสูง คำว่า “ชน” แปลว่า เกิดมา คน หรือชน มาจากคำว่า “ชน” แปลว่า เกิดมา “ชนะ” มาจาก คำว่า เกิด มันเอามาเปรียบ เอามาใช้เป็นหลักอย่างนี้ไม่ได้ “เทวดา” ก็แปลว่า คนที่เอาแต่เล่น โชคดีเอาแต่เล่นก็ได้ ไม่ต้องอดตาย นี้คือ “เทวดา” คำว่า “ยักษ์” มันแปลว่า ผู้ที่ใคร ๆ ต้องกลัว ต้องบูชา ยักษ์นี่ หมายถึงยักษ์ มาร หมายถึง เทวดาด้วย กระทั่งพระพุทธเจ้าในบางแห่งก็ถูกเรียกว่า “ยักษ์” เหมือนกัน แปลว่า ผู้ที่บุคคลต้องบูชา มันยุ่งไปหมด เอาตัวหนังสือเป็นหลัก แล้วมันยุ่งกันใหญ่
เสียงหายไป (นาทีที่ 01:29:49 - 01:30:13) ทำไมไม่สงสัยในเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องที่ดับทุกข์โดยตรง ทำไมไม่สงสัยแต่ธรรม สงสัยแต่เรื่องเบ็ดเตล็ด ถ้าจะศึกษาพุทธศาสนาล่ะก็ ต้องมุ่งไปยังจุดเดียว คือความทุกข์กับ ความดับทุกข์ อะไรจะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ แต่ว่า ถ้ามันมีความทุกข์อยู่ แล้วก็จะต้องรู้ว่าดับมันอย่างไร
เสียงหายไป (นาทีที่ 01:30:40 - 01:31:29) จะสอนพุทธศาสนาในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยนี่ อ่อ, คือไม่ใช่สอน โดยบอกให้จด ให้จำให้ มันต้องสอนชนิดที่ให้รู้จักจริง ๆ เลย พอนักเรียนทำอะไรลงไปอย่างนี้ ก็บอกว่า มันคือกิเลสชื่อนั้น พอทำน้ำหมึกหก ก็บอกว่านี่ คือกิเลสชื่อนั้น ชื่อนั้น พอมันโกรธ มันขัดใจ มันง่วงนอน หรืออะไรก็ตาม ต้องบอกว่า มันกิเลส ชื่อนั้น ชื่อนั้น ต้องแก้ไข อย่างนั้น อย่างนั้น ความโกรธ คือ กิเลสที่เลวร้าย อย่างนั้น อย่างนั้น ต้องแก้ไขอย่างนั้น อย่างนั้น ต้องให้แก้ไขกันเดี๋ยวนั้น เดี๋ยวนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนี้จึงจะ เป็นการสอนพุทธศาสนาในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย เดี๋ยวนี้เราได้แต่บอกคำบอกให้จด ซึ่งบางทีครูเองก็ไม่เข้าใจ นั้นจึงมีมาก ถึงขนาดที่ว่า นิพพานมีความร้อนเก้าล้านโอห์มอะไรนี่ เก้าล้านอะไรนี่ วัดทำอะไรก็ไม่รู้ ไปดูหนังสือ ที่กระทรวงศึกษาทำขึ้น แบบเรียนพุทธศาสนาชุด ๖ เล่มน่ะ อธิบายนิพพานนี่ความร้อน เก้าล้านองศา นี่เผากิเลส น่าหัวที่สุด แล้วมันจะรู้ได้อย่างไร แล้วมันจะปฏิบัติได้อย่างไร แทนที่จะพูดว่า นิพพานเย็นกลับพูดว่า นิพพานร้อน เก้าล้านองศา มันน่าสง สงสารการศึกษาพุทธศาสนาในโรงเรียน