แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
...ของเราเคยพูดกันแต่เรื่องโทษหรือความไม่ดีของ ตัวกู-ของกู กันเป็นส่วนมากที่แล้วแล้วมา วันนี้ก็จะพูดเรื่องเกี่ยวกับ ตัวกู-ของกู อีกเหมือนกัน แต่จะพูดในแง่ที่เป็นประโยชน์ และมีความจำเป็นที่เราจะต้องมีกันบ้าง โดยหัวข้อว่าประโยชน์และอานิสงค์ของความไม่มี ตัวกู-ของกู และส่วนใหญ่ก็จะพูดเฉพาะที่เกี่ยวกับปัญหาที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่บางประการคือ ปัญหาที่ว่าเขามักจะมองกันแต่ในแง่ที่ว่า, ไอ้เรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นหรือเรื่องอนัตตา สุญญตานี้ มีไว้สำหรับคนสิ้นท่าคนสิ้นคิดคนไม่มีฝีไม้ลายมือจะต่อสู้ ส่วนคนที่มีสติปัญญา, มีกำลัง, มีอำนาจ, มีความสุข จะทำอะไรก็ได้นี่ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาอาศัยไอ้ความรู้เรื่องนี้คือไม่ต้องปฏิบัติเรื่องนี้ คือ, หมายความว่าถ้าเรามีกินมีใช้, มีความสบาย, มีวัตถุเหลือเฟือแล้วก็ไม่ต้องมาสนใจเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น
โดยส่วนใหญ่ก็คือปัญหาที่เกิดขึ้นกับพุทธศาสนา พวกฝรั่งที่เขาอวดตัวเขาว่ามีความรู้ก้าวหน้ามีการตรึก (นาทีที่ 3:05) ก้าวหน้ามีอะไรก้าวหน้านี้ เขาประณามพุทธศาสนาคือเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นนี่ว่ามันพ้นสมัยแล้ว, มันล้าสมัยแล้วจะเหมาะสมอยู่ก็แต่กับพวกชาวอินเดียที่ยากจนข้นแค้นที่อยู่อย่างแร้นแค้นที่สุดเขาก็ไม่มีอะไรปลอบใจ
นอกจากเรื่องนี้เรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วก็เลยลามปามไปถึงศาสนาอื่นหาว่าศาสนานั้น ๆ เหมาะสำหรับคนโง่ ๆ หรือเหมาะสำหรับคนยากจน หรือเหมาะสำหรับคนอยู่ในถิ่นแห้งแล้งเช่น พวกที่อยู่ในทะเลทรายอย่างนี้ มัน มันเดือดร้อนขึ้นมานัก ก็เชื่อพระเจ้า, พึ่งพระเจ้า, ยอมรับว่าเป็นความต้องการของพระเจ้า และก็ไม่รู้สึกเสียใจไม่รู้สึกเดือดร้อน ศาสนาถูกกล่าวหาในลักษณะอย่างนี้, นี่ไปเสียทางหนึ่งก็มีแม้ไม่ใช่ทั้งหมด แต่นี่ก็เป็นส่วนมากอยู่เหมือนกันที่ว่าเขาแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยวัตถุ และทางร่างกายนี้มีของกินของใช้ มีหยูกมียามีความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ สามารถจะกำจัดไอ้ปัญหาต่าง ๆ ออกไปได้ ไม่ต้องพึ่งศาสนานี่โดยวงกว้าง ๆ มันมีปัญหาอย่างนี้ว่าศาสนาเป็นของบุคคลผู้จำเป็นที่ไม่มีทางอื่นจะเลือกคือ คนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ก็เอาความเชื่อทางศาสนามากลบเกลื่อนความทุกข์ ทีนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพุทธศาสนาเรามีอยู่เรื่อง สุญญตา อนัตตา คือเรื่องไม่มี ตัวกู-ของกู นี้ และยังมีปัญหาอย่างอื่นต่อไปอีกเช่น เขาอาจจะยอมรับว่านี่จำเป็นสำหรับจะขจัดความทุกข์แต่แล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปฏิบัติได้คือ การที่จะมีจิตใจชนิดที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นหรือว่างจาก ตัวกู-ของกู นี้ ไม่มีจิตใจจะ, ไม่มีใครจะปฏิบัติได้ ทีนี้บางพวกก็มีปัญหาเลยเถิดไปว่าขืนไปปฏิบัติเข้าก็ทำให้ถอยหลังไปหมดไม่มีความก้าวหน้าในทางวัตถุหรืออำนาจ หรือกำลังอะไรอย่างอื่น ก็จะกลายเป็นคนที่อยู่ในโลกนี้ไม่ได้ นี่รวมความแล้วก็ว่าเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้ถูกมองไปในแง่คิดผิด ๆ อย่างนี้
ทีนี้เราก็พูดกันเรื่อง ตัวกู-ของกู , กับเรื่องถอนทำลายเสียซึ่ง ตัวกู-ของกู อยู่เป็นประจำก็ถือว่านี่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาด้วยมีเพียงเท่านี้ ทีนี้ก็ขอยืนยันว่ายังคงจำเป็นสำหรับทุกคนและทุกยุคทุกสมัย, ทุกหน้าที่การงาน, ทุกอาชีพ, ทุกสถานการณ์ คนเราจะต้องมีความรู้เรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นหรือเรื่องจำกัดเสียซึ่งไอ้ความรู้สึก ตัวกู-ของกู นี้, เป็นเครื่องมือ, คู่มือ, คู่ใจ, คู่ชีวิต ชีวิตนี้จึงจะไม่เป็นทุกข์ แต่แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องทางวัตถุว่าไม่มีประโยชน์ แต่แล้วก็ยืนยันว่าไอ้ความรู้เรื่องนี้, ความเข้าใจเรื่องนี้, การปฏิบัติเรื่องนี้, ไม่เป็นการปิดกั้นความก้าวหน้าและความเจริญใด ๆทั้งสิ้น นี่ใจความมันมีอยู่อย่างนี้เพราะนั่นก็เป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องพิจารณาดูให้เห็นชัดจนกระทั่งถึงว่าได้ใช้อยู่จริงปฏิบัติอยู่จริงและก็ไม่มีอะไรขัดข้อง
เดี๋ยวนี้เรายืนยันว่าทุกคน, ทุกชนิด หรือทุกแบบ, ทุกอะไร, ทุกแบบของชีวิตนี่ต้องการเรื่องนี้มันก็รวมตั้งแต่คนยากจนขัดสน, คนจน, คนแร้นแค้น, คนไอ้อยู่ในถิ่นทุรกันดารเรื่อย ๆ ขึ้นมา เป็นคนผู้พ่ายแพ้ผู้ทำอะไรแล้วพ่ายแพ้, พ่ายแพ้แก่ศัตรูทุกแบบของชีวิต ก็ว่าแม้แต่ว่าเขาจะเป็นชาวไร่ชาวนาหรือจะเป็นคนค้าขายตามธรรมดาอยู่บ้านอยู่เรือนหรือกระทั่งไปเป็นฤษีมุนีอยู่ในป่าคนเดียวสันโดษหรือว่าจะเป็นเศรษฐี, เป็นพระราชา, เป็นพระมหากษัตริย์, กระทั่งเป็นเทวดาในสวรรค์ พูดตัดบทไปว่าเป็นเทวดาในสวรรค์ตามความหมายที่เขาพูด ๆ กันอยู่ เป็นเทวดาที่สมบูรณ์ด้วยกามคุณจำเป็นที่จะต้องมีความรู้เรื่องนี้มิฉะนั้นจะเป็นทุกข์ พูดกันง่าย ๆ อย่างนี้มิฉะนั้นแล้วจะไม่ยกเว้นในเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ ธรรมชาติจะทำให้มีความทุกข์แม้เทวดาที่กำลังเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ ทีนี้คนที่จะเจ็บไข้ตายอย่างสุนัขตัวหนึ่งข้างถนนมันก็ต้องการเรื่องนี้สำหรับเป็นเครื่องขจัดไอ้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ คนร่ำรวยจะไปนอนตายในโรงพยาบาลที่หรูหราที่ประคบประหงมกันอย่างดีก็ต้องมีความรู้อย่างเดียวกันนี้ด้วยวิธีเดียวกันนี่เป็นเครื่องปลอบจิตใจที่ไม่ให้เป็นทุกข์
นี่พูดกันถึงเมื่อจะตายนั้นขอให้มองเห็นว่าไม่ยกเว้นจะตายอย่างพระ, หรือจะตายอย่างฆารวาส, จะตายอย่างคนจน, หรือจะตายอย่างคนมั่งมี, หรือแม้เป็นเทวดาในสวรรค์ที่จะต้องตายขึ้นมา มันก็กลัวตายอย่างเดียวกัน ก็ต้องแก้ปัญหาด้วยความรู้อันนี้นี่เป็นข้อยืนยัน และก็เป็นข้อที่ขอร้องให้ช่วยกันคิดกันนึกต่อไป เพราะว่าเรื่องเกี่ยวกับ ตัวกู-ของกู หรือเรื่องปฏิบัติกันอย่างไรนี้ก็พูดกันมามากแล้วเป็นปี ๆ แล้ว
ทีนี้ก็ให้มองถึงความจำเป็นที่มนุษย์จะต้องมีความรู้อันนี้ด้วยกันทุกคน ถ้าเป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิดได้ มีสติปัญญาจะรู้สึกอะไรได้ก็ต้องใช้ความรู้เรื่องอนัตตา เรื่องไม่มีตัวกูนี่ทั้งนั้นเพราะว่าไอ้ตัวนี้เป็นตัวพุทธศาสนาเป็นตัวแท้พุทธศาสนา เรื่องอื่นไม่ใช่นี่กล้าพูดอย่างนี้ บาลีพระพุทธภาษิตก็มีชัดอย่างนี้ไม่ใช่จะว่าเอาเอง เต สุตตันตา ตถาคตภาสิตะ [คัมภีรา คัมภีรัตถา โลกุตตรา-ไม่มีในไฟล์เสียง] สุญญตัปปฏิสังยุตตา” (นาทีที่12:56) ยืดยาวมานี้ ซึ่งมีใจความว่าเรื่องที่เกี่ยวกับสุญญตาที่ตถาคตกล่าวนี้จะเป็นเรื่องลึกมีอรรถลึกเป็นเรื่องเหนือโลกจะเป็นประโยชน์แก่พวกท่านทั้งหลายตลอดกาลนานแม้จะเป็นฆารวาส เพราะฆารวาสเข้าไปทูลถาม ทีนี้ความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า สุตตันตา ตถาคตภาสิตา สองคำนี้สำคัญมาก เรื่องเกี่ยวกับสุญญตา เป็นเรื่องที่ตถาคตกล่าวมันหมายความว่า ถ้าเรื่องไม่เกี่ยวกับสุญญตา ไม่ใช่เรื่องที่ตถาคตกล่าวนี้
นี่เป็นหลักที่ทุกคนจะต้องจำไว้เพราะจะกล่าวเรื่องอะไรก็ตามใจ แต่ถ้ามันเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องสุญญตาแล้วก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า, พระศาสดาได้ ได้ ได้กล่าวคือ ถ้ามันไม่เกี่ยวกันกับเรื่องสุญญตาแล้วไม่ ไม่ ไม่ใช่เรื่องที่พระตถาคตกล่าว นี่เรื่องสุญญตานี้ก็คือเรื่อง ตัวกู-ของกู , ที่ไม่มีที่ว่าง, ที่ว่างจาก ตัวกู-ของกู จึงพูดได้ว่าเรื่องว่างจาก ตัวกู-ของกู นั้น, ที่พระตถาคตกล่าว นอกนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องที่พระตถาคตกล่าว ทีนี้เรื่องที่มันแตกแยกออกไปอีกมากมายเป็นการแจกธรรมะให้ละเอียดออกไปนี้ ถ้ามันแจกไปในลักษณะที่ทำให้เห็นสุญญตาแล้ว, ก็ได้ เขาก็เรียกว่าเป็นเรื่องที่สงเคราะห์ไว้ในเรื่องที่พระตถาคตกล่าวได้ แต่ถ้ามันเตลิดเปิดเปิงไป, เป็นเรื่องที่ไม่รู้จบ, ไม่รู้สิ้น, เป็นเรื่องสำหรับพูด, สำหรับคิด, สำหรับโต้เถียง, ไม่, ไม่จบไม่สิ้น หรือเป็นเรื่องขยายออกไปเพื่อความไพเราะทางวรรณคดีหรือเป็นเรื่องทางภาษาที่ลึกซึ้งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ตถาคตกล่าว และเรื่องต่าง ๆ ที่มัน, เขากล่าวเขาสอนกันอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้าก็มีมากที่พระพุทธเจ้ายอมรับเอามาเป็นหลักสำหรับสั่งสอนในพุทธศาสนานี้ก็มีมาก ถ้าว่าเรื่องนั้นมันเป็นช่วยเป็นเรื่องที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจในเรื่องสุญญตา คือเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นยกตัวอย่างเช่น เรื่องขันธ์ห้า, เรื่องรูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ ห้าอย่างนี้ประกอบกันขึ้นเป็นคนคนหนึ่งนี้ นี่เขาพูดกันมาแล้วก่อนพระพุทธเจ้าเขารู้หรือเขาบัญญัติขึ้นพูด, ขึ้นสอน, ขึ้นใช้กันแล้วก่อนพระพุทธเจ้าเกิด แต่ว่าเขาพูดไปทางที่มันเป็นตัวตนทำให้เข้าใจไปว่ารูปเป็นตัวตนก็มี บางพวกรูปไม่เป็นตัวตน แต่ว่าเวทนาเป็นตัวตน หรือว่าสัญญา, สังขาร, วิญญาณ, อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นตัวตนไปเสีย อย่างนี้มันก็ไม่ใช่พุทธศาสนาไม่ใช่หลักของพุทธศาสนาที่พูดเรื่องขันธ์ห้าเป็นตัวตน ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านก็โผล่ขึ้นมาในลักษณะที่ว่าขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวตน ไอ้ขันธ์ห้าตามที่เขาพูดกันอยู่เดิมที่เขารู้กันอยู่แล้วนั้นนะ ในเรื่องของขันธ์ห้าคืออะไรบ้าง แต่เขารู้ไปในทางเป็นตัวตน แต่เดี๋ยวนี้มารู้ในทางตรงกันข้ามว่าไม่ใช่ตัวตน เรื่องขันธ์ห้าที่มาเป็นพระพุทธศาสนาได้ ก็เป็นเรื่องขันธ์ห้าเฉพาะที่แสดงว่าไม่มีความเป็นตัวตน ที่นี้เราศึกษาเรื่องขันธ์ห้า เราศึกษาเพื่อให้รู้แต่ว่าเป็นเพียงขันธ์ มันไม่ใช่ตัวตน, มันไม่ใช่มีตัวตน, ขันธ์ไม่ใช่ตน, ตนไม่ใช่ขันธ์, ขันธ์ไม่ได้มีอยู่ในตน, หรือตนไม่ได้มีอยู่ในขันธ์ ทีนี้เรื่องอื่นมันก็เหมือนกันอีก
ฉะนั้นอย่าไปเข้าใจว่าพุทธศาสนามีมากเรื่อง พุทธศาสนาจะมีแต่เรื่องเดียว คือเรื่องสุญญตา เหมือนที่พุทธเจ้าตรัสว่า นี่คือ ตถาคตภาสิตา ฉะนั้นเรื่องใดก็ตามอย่างไรก็ตามจะต้องดึงมาสู่ความเป็นสุญญตานี้คือ ว่างจากตัวตนนี้ซึ่งเป็นพุทธศาสนา ทีนี้ผมพูดมากจนไม่มีใครเชื่อเช่น พูดว่าเรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วนี่ก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของความคิดอันนี้หรืออันนี้เป็นหลักพุทธศาสนา เพราะว่าเรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วนี้มีสอนอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ทั้งในศาสนาอื่น ๆ ก็มี ทีนี้คนที่เขาไปยึดมั่นในเรื่องดีเรื่องชั่วนั้นแหละคือ ยึดตัวตน, ตนดี, ตนชั่ว, ตนทำดี, ตนทำชั่ว, ตนได้ดี, ตนได้ชั่ว มันมีตัวตนอย่างนั้นนั่นแหละ จะไม่เป็นพระพุทธศาสนา ระวังให้ดีมันเป็นศีลธรรมขั้นต้น ๆ ที่ทำให้คนทำดีไปก่อนแล้วก็ดีมากเข้า, ดีมากเข้าก็รู้ว่า อ้าว, ไอ้ดีนี่ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ยึดมั่นไม่ได้ ยึดมั่นเข้าแล้วเป็นทุกข์ ฉะนั้นจึงไม่ยึดมั่นว่ามีตัวตนผู้ทำกรรมใดก็ตาม หรือว่ามีผลกรรมใดที่ตัวตนจะต้องรับก็ตามตอนนี้จึงจะไม่มีทุกข์ แปลว่าอยู่เหนือกรรมดีกรรมชั่ว, เหนือความดีความชั่ว, เหนือบุญเหนือบาป, เหนือสุขเหนือทุกข์ไปเลย มันจึงจะเป็นพุทธศาสนา แต่ทีนี้เรื่องกรรม, เรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วนี่ เป็นหลักพื้นฐานทั่วไปเมื่อพระพุทธเจ้าจะตรัสอย่างหลักพื้นฐานทั่วไปก็ตรัสอย่างนี้เหมือนกัน ให้พิจารณาว่าเราทำดีต้องได้ดีทำชั่วต้องได้ชั่ว อันนี้เป็นหลักพื้นฐานเบื้องต้นแรกเริ่มทีเดียวเพื่ออย่าไปทำชั่ว, เพื่อจะทำแต่ความดี ที่นี้เมื่อทำแต่ความดีได้ ก็เวียนว่ายไปตามความดีได้ไปเกิดดี, เกิดดีอย่างไร ก็ไม่, ไม่รู้จักความทุกข์, เป็นมนุษย์ หรือเป็นเทวดา หรือเป็นพรหม อะไรก็ตามก็ไม่พ้นไปจากความทุกข์ที่เกิดมาจากความยึดมั่นถือมั่น
ฉะนั้นจึงมาเรียนเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นกันอีกทีหนึ่งทำลายเสียซึ่งความหมายของคำว่าดีหรือชั่ว ไอ้คุณค่าที่ว่าดีหรือว่าชั่วนั้นมันก็หมดไปมันก็เลยอยู่เหนือดีเหนือชั่ว จิตมันจึงจะไม่มีอะไรสำหรับจะเป็นทุกข์ เรื่อง เรื่องดีหรือเรื่องชั่วก็ตาม มันเป็นพุทธศาสนาตอนนี้คือตอนที่อยู่เหนือดี, เหนือชั่ว ส่วนที่เรียกว่าดี, ทำดี ดี, ทำชั่ว ชั่วนั้น, มันทั่วไปหมด ไม่ว่าลัทธิไหนที่เขาสอนเรื่องกรรมก็สอนอย่างนี้ทั้งนั้น และก็สอนอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า ฉะนั้นการที่ว่าให้ทำดีแล้วไปเกิดเป็นเทวดาเป็นพรหมนี่มันไม่พอสำหรับจะพ้นทุกข์ จึงว่า, แม้จะได้ดีถึงขนาดนั้นแล้ว ก็ยังต้องศึกษาเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นคือ เรื่องไม่มี ตัวกู-ของกู นี้ นี่ขอให้เข้าใจว่ามันอยู่กันอย่างไร มันเหลื่อมล้ำกันอยู่อย่างไร ไอ้คำสอนเรื่องดี, เรื่องชั่ว, เรื่องไม่มีตัว, ไม่มีตัว, ไม่มีตนนั้น มันเหลื่อมล้ำกันอยู่อย่างไร ไอ้เรื่องไม่มี ตัวกู-ของกู หรือไม่ยึดมั่นถือมั่น ต้องอยู่เหนือดี เหนือชั่วเสมอ ไอ้ดีหรือชั่วนั้นมันเป็นเรื่องเขาบัญญัติขึ้น ได้สบายใจก็ว่าดี, ไม่สบายใจก็ว่าชั่ว แต่ถ้าตามทางธรรมะที่ชั้นสูงก็ถือว่าเป็นเพียงความรู้สึก, เป็นเพียงเวทนาที่ทำให้เกิดความรู้สึกกับจิตใจที่ต่างกันอยู่อย่างนั้นที่ต่างอย่างตรงกันข้ามในลักษณะนั้น แต่ก็ไม่ใช่ดับทุกข์, ไม่ใช่พ้นทุกข์ ถ้าตรงกันข้ามจริง ๆ ก็คือเหนือดี, เหนือชั่ว ฉะนั้นสำหรับเด็ก ๆ เด็กอมมือหรือคนแรกเรียนนี่ ไอ้คู่ตรงกันข้ามก็คือดีกับชั่ว ตรงกันข้ามสำหรับเด็ก ๆ หรือผู้แรกเรียน พอถึงผู้ที่รู้ธรรมะ, รู้ความจริง ไอ้คู่ตรงกันข้ามมันเลื่อนไปอยู่ระหว่างที่ต้องเป็นไปตามกรรมดี, กรรมชั่ว กับการที่ไม่ต้องเป็นไปตามกรรมดี, กรรมชั่ว คือระหว่างต้องเป็นไปตามกรรม กับการที่อยู่เหนือกรรมนู่นจึงจะเรียกว่าคู่ตรงกันข้ามอย่างแท้จริง ทีนี้ถ้ามามองดูว่าดีกับชั่วตรงกันข้ามนี้กลายเป็นของเด็กเล่น, เป็นของน่าหัวเราะเหมือนกับว่าน้ำตาลกับไอ้ยาขมอย่างนี้ ไอ้คน, คนชนิดหนึ่งประเภทหนึ่งไม่ชอบของขม, มันชอบของหวาน, มันก็ว่าหวานดี แต่ถ้าอีกชนิดหนึ่งมันไม่ชอบของหวาน, มันชอบของขม, มันก็ว่าของขมดี นี่คือความไม่จริงในเรื่องดีเรื่องชั่วนั้นมันก็เลยกลายเป็นของเท่ากันสำหรับจะยึดมั่นถือมั่น และก็เป็นทุกข์ได้เสมอกัน เรื่องอยู่เหนือชั่ว, เหนือดี มีจิตใจไม่ยึดมั่นอะไรหรือว่างจากความยึดมั่นนั่นแหละมันคนละเรื่องทีเดียวคือ มันไม่หวานไม่ขมละ, มันอยู่เหนือหวาน, เหนือขมไปเสีย เรียกว่าว่าง ซึ่งจึงสูงกว่า
ทีนี้ถ้าคนเรายังอยู่ในวิสัยที่ยึดมั่นในเรื่องดี, เรื่องชั่ว, เรื่องหวาน, เรื่องขม, เรื่องสุข, เรื่องทุกข์นี้ มันก็, ก็คือจมอยู่ในกองทุกข์เสมอกัน, เสมอกัน, หรือเท่ากัน เพราะฉะนั้นความเป็นเศรษฐีกับความเป็นขอทานมันก็ต่างกันแต่เรื่องมีเงินมาก, มีเงินน้อย แต่ความทุกข์มันเหมือนกันคือ มีความยึดมั่นเท่ากันยึดมั่นในคนละเรื่องคนละอย่างแต่มันยึดมั่นเท่ากันเพราะนั่นเป็นทุกข์เท่ากัน ทีนี้มนุษย์กับเทวดาก็เหมือนกันอีกมันยึดมั่นแล้ว ก็มีความทุกข์เท่ากัน ยึดมั่นในอะไรก็ยึดมั่นในเวทนา คนขอทานก็ยึดมั่นในเวทนาที่เอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง เศรษฐีก็ยึดมั่นในความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง เทวดาก็ยึดมั่นในความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังที่เป็นตัวเวทนา ฉะนั้นเอาเวทนาเป็นตัวสำหรับเป็นตัวเหตุ, เป็นตัวการ เป็นตัวที่ต้องศึกษา, เป็นตัวที่ต้องเข้าใจ, เป็นตัวที่ต้องควบคุม, เป็นตัวที่ต้องละเสียให้ได้ โดยไม่มีความรู้สึกว่าไอ้เวทนานี้เป็นสาระอะไรไม่เห็นว่าเวทนานี้เป็นสาระอะไร เวทนาก็สักว่าเวทนาคือ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในความรู้สึกตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ในเมื่อมีอะไรมากระทบมันเข้าเมื่อตากระทบรูปหูกระทบเสียง เป็นต้น เห็นเป็นเพียงไอ้สิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติเหมือนกับกลไก หรือว่าเหมือนกับเครื่องจักรชนิดหนึ่งทางจิตใจ พอกระทบอย่างนี้ถ้าปล่อยไปตามความโง่ก็เกิดอันนี้ขึ้นมารู้สึกเป็นเวทนา และอร่อยในเวทนานั้น มีตัวฉันเป็นผู้อร่อย, มีตัวฉันเป็นผู้อยาก, มีตัวฉันยึดครอง, มีตัวฉันคิดมากไปอีกเป็นเรื่องเป็นราวไป ตัวฉันเกิดขึ้นหลังจากเกิดเวทนาแล้ว ทีนี้เศรษฐีก็มีเวทนา, ขอทานก็มีเวทนาหรือว่านักชาวบ้านก็มีเวทนา, บรรพชิตก็มีเวทนา, เทวดาในสวรรค์เป็นพรหมก็มีเวทนาเพียงแต่หยาบละเอียดกว่ากัน ทีนี้ยิ่งอร่อย, ยิ่งละเอียด, ยิ่งประณีตมันก็เป็นที่ตั้งความยึดถือมากมันก็มีความทุกข์ละเอียดประณีตลึกลับมาก เพราะฉะนั้นมันจึงยากที่จะทำให้เศรษฐีหรือเทวดาเขารู้สึกว่าเป็นทุกข์ แต่แล้วก็เป็นทุกข์อย่างยิ่งอยู่เหมือนกัน มันเป็นเรื่องหลอกมากกว่าไอ้ความยากจน ไอ้ทุกขเวทนานี่มันไม่หลอกมันแสดงความเป็นทุกข์ตรง ๆ แต่สุขเวทนามันแสดงความเป็นทุกข์ที่ลึกลับ ที่หลอก เพราะฉะนั้น ไอ้ ไอ้ ไอ้พวกยากจนนี่ก็รู้สึกได้ง่าย พวกที่มั่งมีหรือเป็นเทวดาก็รู้สึกได้ยาก
ทีนี้เดี๋ยวนี้เขาไม่ต้องการอะไรกัน การศึกษาความก้าวหน้าในโลกสมัยปัจจุบันนี้ไม่ต้องการอะไรนอกจากสุขเวทนาเอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อหนังเท่านั้น อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ต้องไปหามัน เพราะฉะนั้นไอ้สถานบริการไอ้ ไอ้ความสุขเวทนาทางเนื้อหนังจึงเกิดขึ้นทั่วไปทุกหัวระแหงในโลกนี้ ที่เราเรียกกันว่าสถานบำรุงบำเรอนานาชนิดนี้มันก็เกิดขึ้นมาก ทุกคนพยายามที่จะใช้มันคือ หาเงินให้มากหาปัจจัยให้มากสำหรับไปหาสุขเวทนาทางเนื้อหนัง ก็เลยทั้งโลกนี้เป็นทาสของเนื้อหนังจมอยู่ในเวทนาทางเนื้อหนัง ก็เลยโพล่งออกมาว่าธรรมะไม่จำเป็น, ศาสนาไม่จำเป็น, พระเจ้าไม่จำเป็น, เรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นเรื่องบ้า, ไม่จำเป็นแก่เราผู้มีความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อย เรื่องนิพพานมีไว้สำหรับหลอกคนโง่ให้ทะเยอทะยานไปอย่างนั้นเอง ในเรื่องไม่มี ตัวกู-ของกู นี้ก็รวมอยู่ในเรื่องนี้ ก็เลยหาว่าเป็นเรื่องบ้าหลังเป็นเรื่องพูดเพ้อ ๆ ไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ฉะนั้นเราจึงประสบปัญหาใหญ่ข้อนี้ในการที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็ตาม ในการที่แม้แต่จะศึกษาเรื่องนี้เราก็ลังเลกันเสียหมดเพราะว่าเราเป็นทาสความเจริญสมัยใหม่เรื่องเวทนาความสุขทางเนื้อหนังกันเสียหมดนี้ ทีนี้เราก็มาอุตส่าห์มาพูดเรื่องนี้กันเป็นปี ๆ แล้ว ก็ยังเป็นเรื่องบ้าที่สุดเลยพูดกันเรื่องไม่มี ตัวกู-ของกู นี้ พูดกันมาเป็นปี ๆ แล้วก็กลายเป็นคนบ้าที่สุดพูดเรื่องไม่จำเป็น
นี่วันนี้ผมไม่ได้พูดเรื่องเนื้อหาสาระอะไรที่เกี่ยวกับธรรมมะไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่จะพูดปัญหาที่เกี่ยวกับอุปสรรคที่มันทำให้, ให้คนเราไม่สนใจเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นรวมทั้งตัวเราเองด้วยที่กำลังจะถูกลากไป แม้ว่าเป็นพระเป็นเณรอยู่เดี๋ยวนี้ก็ยังจะถูกลากไปในความคิดที่ว่าไปมีเวทนาสนุกสนาน, เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังกันดีกว่านี้ ทีนี้ก็อย่าลืมว่าผมได้ย้ำอยู่เสมอย้ำแล้วย้ำอีกอยู่เสมอในนามของพระธรรมหรือของหลักทางพุทธศาสนานี้ว่า, ไม่ได้ปฏิเสธหรือไม่ได้ห้ามว่าอย่าไปเกี่ยวข้องกับเวทนานั้นแต่ให้รู้สึกในขณะที่ไปเกี่ยวข้องกับเวทนานั้นว่าเวทนานั้นว่าง, ว่างจากสาระแห่งความเป็น ตัวกู-ของกู เพราะฉะนั้นใครจะหาเงิน, ใครจะมีเงิน, ใครจะมีอะไรก็ตามใจสิ เมื่อต้องการก็, ก็ได้ แต่แล้วอย่าลืมว่าถ้าไม่มีความรู้เรื่องนี้เข้าไปเจืออยู่ด้วยแล้วจะมีความทุกข์เพราะการหาเงิน, เพราะการหาเกียรติ, เพราะการหาอะไรต่าง ๆ ละ แม้ในการที่เข้าไปเสวยบริโภคเสวยเวทนานั้น, เวทนานั้นจะเป็นของร้อนและเผาผลาญบุคคลนั้น ทีนี้ถ้ามีความรู้อันนี้พกไปด้วยติดตัวอยู่เสมอนี้ก็ไปเกี่ยวข้องกับเวทนาตามสมควรที่มันจะเกี่ยวข้อง และก็ไม่ร้อน เราก็ได้พูดกันมามากแล้วถึงว่าฆารวาสที่เป็นพระโสดาบัน, พระสกทาคามีที่เป็นพระอริยะเจ้าขั้นนี้ก็มี, ยังมีบุตรภรรยา, ยังมีการงาน, ยังมีความเป็นไปอย่างคฤหัสถ์ฆารวาส ทีนี้ถ้ามันมีอะไรที่ต่างกันกับชาวบ้านธรรมดามันก็มีความรู้เรื่องนี้พอสมควรที่จะทำให้ไม่ต้องเป็นทุกข์อย่างคนปุถุชนธรรมดามีเงิน กับพระอริยะเจ้ามีเงินมันก็ต้องต่างกันตรงที่ว่าคนหนึ่งยึดถือมากเต็มที่ คนหนึ่งมันไม่ค่อยจะยึดถือมันก็ไม่เป็นทุกข์ หรือว่าไอ้คนธรรมดาปุถุชนกิเลสหนามันเกิดเจ็บป่วยขึ้นมามันก็เป็นทุกข์มาก ที่เป็นอริยะเจ้าก็เป็นทุกข์น้อย หรือไม่เป็นทุกข์เลย
ฉะนั้นไอ้ความรู้นี้ต้องพกติดตัวเหมือนกับแขวนพระเครื่อง ที่เขาแขวนพระเครื่องกันนี้เราก็บรรจุไอ้สุญญตา อนัตตาไว้ในพระเครื่องแขวนคอไว้เสมอ, อย่าปลดออกเข้าไปในส้วมก็ไม่ต้องปลดออก, เข้าไปในบาร์ ในไนท์คลับก็ไม่ต้องปลดออก, เข้าไปที่ไหนก็ไม่ต้องปลดออก พระเครื่ององค์นี้แขวนคออยู่เสมอเพื่อไม่ให้อะไร ๆ มันเกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมาคือ ความรู้เรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ฉะนั้นเมื่อจะทำงานที่ออฟฟิส, เป็นงานมาก, รับผิดชอบมาก, อะไรมาก ก็ต้องแขวนพระเครื่องนี้อยู่เหมือนกัน มิฉะนั้นมันจะเป็นโรคเส้นประสาท, จะเป็นบ้าตายหรือมันจะทำผิดหรือมันจะเลยไปเป็นผู้ละไอ้หลักเกณฑ์ที่ดี, ไปทำคอร์รัปชั่นไปอะไร ถ้าความรู้นี้มีอยู่, มันป้องกัน, มันคุ้มครอง พระเครื่องนี้คุ้มครองไม่ให้ทุกข์, ไม่ให้ร้อน, ไม่ให้ละไอ้ดีไปเอาชั่ว จะไม่ให้ไปทำคอร์รัปชั่นไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นด้วยประการทั้งปวง นี่ มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้, เป็นขอทานก็ต้องมีอันนี้ปลอบใจ, เป็นเศรษฐีก็ต้องมีอันนี้ป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา, เป็นเทวดาก็ต้องมีอันนี้เหมือนกัน เทวดาองค์ไหนมันบ้าในเรื่องสวรรค์เรื่องกามรมณ์อะไรหนักเกินไปมันก็มีความทุกข์มากเท่ากันเหมือนกัน เพราะว่าไอ้เวทนาที่เป็นสุขนั้นมันเป็นเรื่องหลอกเท่านั้นเป็นเรื่องหลอกให้หลงไปไปขณะหนึ่งขณะหนึ่งเท่านั้น เสร็จแล้วมันก็มีความทุกข์ด้วยเหตุที่ยึดมั่นถือมั่นเพราะไปยึดมั่นถือมั่นมันกลัวว่าจะหายไปเสียมันก็เป็นทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่น มันกลัวก็จะมีคู่แข่งขันมันก็อิจฉาริษยามันก็หึงก็หวง ก็เป็นทุกข์ หรือเพราะยึดมั่นถือมั่นนี้มันยังเป็นไปถึงกับว่าพอมันซ้ำซากเบื่อหน่ายเข้ามันก็เป็นทุกข์ ไอ้ความซ้ำซากเบื่อหน่ายจืดชืดมันก็ทำให้เป็นทุกข์ก็เพราะว่ามันยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่มันจึงเป็นทุกข์ ถ้ามันไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้มันจะจืดชืดซ้ำซาก แต่มันก็ไม่เป็นทุกข์เหมือนกัน ความทุกข์ชนิดไหนไม่ว่าจะต้องมาจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น ทำให้เปลี่ยนไม่มีที่สิ้นสุด, เปลี่ยนอารมณ์, เปลี่ยนเหยื่อไม่มีที่สิ้นสุด ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่นเหมือนกัน นี่ว่า, ถ้าว่าอันนี้ออกไปเสียได้มันก็ไม่มีความทุกข์โดยประการทั้งปวง
ฉะนั้นการศึกษาเรื่องความไม่มี ตัวกู-ของกู ว่างจาก ตัวกู-ของกู นั่น มันมีความสำคัญอย่างนี้มีคุณค่าถึงขนาดนี้ และก็จำเป็นแก่ทุกคน และก็ยิ่งจำเป็นมากตามส่วนของบุคคลที่มีหน้าที่การงานหรืออะไรที่ไปเกี่ยวข้องกับวัตถุมากขึ้นเพียงไร เพราะฉะนั้นไอ้ความรู้อันนี้ยิ่งจำเป็นสำหรับพวกที่ก้าวหน้าในยุคปัจจุบันนี้ซึ่งจะเรียกว่าพวกฝรั่งหรือพวกอะไรก็ตาม พวกที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี, ทางประดิษฐ์, ทางวัตถุบำรุงบำเรอ ในที่สุดนี้ก็ยิ่งก้าวหน้าเท่าไรยิ่งต้องการอันนี้มาช่วยเท่านั้น มิฉะนั้นจะเกิดผลร้ายทั้งส่วนตัว และส่วนร่วม มีความทุกข์ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม มันทำให้โลภจนนอนไม่หลับ หิวเป็นเปรตอยู่เสมอมันทำให้อิจฉาริษยา ทำให้เกิดการแย่งชิง คิดทำลายล้างผู้อื่น นอนไม่หลับโดยประการทั้งปวงหมกมุ่นกันอยู่แต่จะหา, จะรักษา, จะกิน, จะดื่ม, จะ, ไอ้ผลของการงานนี้เท่านั้น เกิดมาก็มีเท่านั้นสำหรับเป็นเปรตที่หิวเรื่อยนี่ผลของความยึดมั่นถือมั่น
เพราะฉะนั้นถ้าว่าสมัยปัจจุบันที่ก้าวหน้าที่สุด จะเป็นมนุษย์ที่น่าดูน่าเอาอย่างก็ต้องเป็นมนุษย์ที่ก้าวหน้าพร้อมกันไปทั้งความก้าวหน้าทางวัตถุ และความก้าวหน้าทางวิญญาณที่เราเคยพูดกันโดยละเอียดแล้วว่า ชีวิตนี้ต้องเทียมด้วยควายสองตัว technology ทั้งหมดนั้นตัวหนึ่งและก็ spiritual enlightenment อีกตัวหนึ่ง เป็นสองตัว spiritual enlightenment ก็มีใจความสำคัญ, ใจความจุดสำคัญอยู่ตรงที่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนั้นแหละที่เป็น enlightenment สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เกิดความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ไม่มีทางจะเกิด, ไม่มี ตัวกู-ของกู เกิด, ไม่เห็นแก่ตัว, ไม่อะไรหมด, ไม่มีตัว หรือไม่เห็นแก่ตัว นี่เขาเรียกว่าส่วนวิญญาณต้องเป็นอย่างนี้ และส่วนวัตถุร่างกายก็ก้าวหน้าไปตามที่ควรจะก้าวหน้า โดยให้ไอ้ความสว่างไสวทางวิญญาณนี้มันควบคุมไว้ให้ก้าวหน้าไปแต่ทางที่ถูกที่ควร, ที่พอเหมาะที่พอดีมันก็เลยสบายที่สุด มาถึงตอนนี้มันก็ไม่มีปัญหาเรื่องจะเป็นขอทานหรือเป็นเศรษฐี, หรือเป็นเทวดามันไม่มีความทุกข์เลย คือมันยังดีถึงกับว่าเมื่อเราไม่ประสบความสำเร็จทางวัตถุมากมายนักก็ยังสบายดี, มีความพอใจ, มีความสบายดีอยู่นั่นเอง จนถึงกับว่าสิ้นเนื้อประดาตัวมันก็ยังสบายใจอยู่นั่นเอง นี่พูดแล้วมันไม่น่าเชื่อ ถ้ามีธรรมะจริงไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรติดตัวสักชิ้นหนึ่ง เหมือนพระอรหันต์อย่างนี้มีแต่บาตรใบเดียวนี้มันก็ยังสบายที่สุด เลยกลายเป็นคนที่ไม่ต้องกลัวอะไร, ไม่มีอะไรจะต้องกลัว, ไม่มีอะไรที่จะเป็นทุกข์ได้, มีสตางค์ก็ไม่แปลกกับไม่มีสตางค์ ถ้าต้องการจะมีสตางค์ก็หาไปสิ โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ แต่ถ้าเห็นว่าไม่มีสตางค์สบายกว่า, ก็ไม่ต้องหา นี่เรียกว่าจะมีอะไรมากก็ได้, จะไม่มีเลยก็ได้ ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น, ไม่เป็นทุกข์
ทีนี้มันก็จะมาถึงจุดจุดหนึ่งที่ว่า ควรจะมีกันแต่พอดีนั่นละ ไอ้มากน้อยมันก็ยุ่งเปล่า ๆ การแสวงหา, การทำให้เกิดขื้น หรือการเก็บรักษาไว้การบริโภคใช้สอยนี้, ควรจะมีพอดี ถ้าไม่เช่นนั้นมันก็เป็นทุกข์เพราะต้องไปเก็บรักษานั่นเองเช่น มีบ้าน, มีเรือน, มีตึก, มีรถยนต์, มีอะไรมากมาย ไม่รู้จะ, จะเก็บ, จะรักษากันยังไง มันก็บ้านั่นเอง ฉะนั้นก็มีเท่าที่จะพอ พอ พอดีสำหรับเก็บรักษา ทีนี้ถ้าไม่อยากเก็บไม่รักษามันก็ไม่ต้องมี มันก็สบายดีอยู่นั่นเอง ไอ้ทางรอดมันอยู่ตรงที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นข้อเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นคงจะฟังถูกกันแล้วในข้อที่ผมว่าใช้ได้แก่ทุกคน, ใช้ได้แก่ทุกคน, แก่ทุกชนิดของคน, ทุกแบบของชีวิต หลักพระพุทธศาสนาจำเป็นแก่สิ่งที่มีชีวิต, ทุกแบบของชีวิตที่มีความคิดนึกได้ พวก conscious being (นาทีที่ 42:09) มันจะเป็นชนิดไหนก็ตาม ทุกแบบมันจะต้องอาศัยความรู้ประเสริฐที่สุดของพระพุทธเจ้าตามแต่ที่มันจะทำได้อย่างไร ถ้าสมมุติว่าสัตว์เดรัจฉานมันเกิดทำได้ขึ้นมาบ้าง ไอ้ตัวนั้นมันต้องเป็นทุกข์น้อยกว่าตัวอื่นที่ทำไม่เป็น แต่ว่าสัตว์เดรัจฉานนี่ มันจะไม่ถึงขนาดที่จะมีความรู้หรือมีสติปัญญาขนาดนี้ ทีนี้เอาคน, คนในระดับไหนระดับคนป่าก็พอพูดกันรู้เรื่อง และมันก็ตัดบทออกไปเฉย ๆ ว่า ไม่รู้ไม่ชี้นี่ก็ได้เป็นไปตามเรื่องของมัน และก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้ามันยากไปนัก เขาก็สอนโดยวิธีหลอกว่า เช่นว่า พระเจ้า, มีพระเจ้า, พระเจ้าเอาไปแล้ว, พระเจ้าเรียกคืนไปแล้ว อะไรอย่างนี้ ก็ไม่พ้นเป็นทุกข์เหมือนกัน ถ้าเขาเชื่อนะ นี่ศาสนามันตั้งต้นจากการที่ให้เชื่อของภายนอก เช่น พระเจ้านี่ เป็นต้นขึ้นมาก่อน ทีนี้ถ้ามันฉลาดขึ้นมาไม่เชื่อพระเจ้ามันก็ต้องเชื่อภายในเชื่อสติปัญญาภายในคือ เหตุผลความจริงในที่นี้เป็นเรื่องจริงอยู่ในจิตในใจ นี่มันจึงมาสูงสุดอยู่ที่นี่อยู่ที่ความรู้เรื่องสุญญตา
ทีนี้ไอ้ความก้าวหน้าทางฝ่ายวัตถุมันก็, มันก็, มันก็ไปไกลกว่านี้อีกไม่ได้ ไอ้ความก้าวหน้าทางวิญญาณมันก็ไปไกลกว่านี้อีกไม่ได้มันก็จบกันเท่านี้ เรียกว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนจะมาตรัสรู้อีกสักกี่องค์มันก็สอนให้สูงไปกว่านี้ไม่ได้ ทีนี้ไอ้เรื่องก้าวหน้าทางฝ่ายวัตถุทางฝ่ายเนื้อหนังมันก็ก้าวหน้าไปมากกว่านี้ไม่ได้คือ ก้าวหน้ามากไปกว่าความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังเพียงเท่านี้ ก้าวหน้ามากไปกว่านี้ไม่ได้
เมื่อสมัยก่อนมันก็มีของเพียงเท่านี้ก็พอที่จะเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง พอสมัยเดี๋ยวนี้, อย่างนี้ไม่พอมันก็เลื่อนเป็นอย่างอื่นที่สูงขึ้นไป, แปลกออกไป มันก็เพียงนั้น มันก็เพียงแค่ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังเพียงแค่นั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นที่จะประดิษฐ์ไอ้เรื่องวัตถุบำรุงบำเรอกันให้ยิ่งไปกว่านี้อีกกี่ร้อยเท่าพันเท่ามันก็เหลือเพียงแค่ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง และมันก็สลัดไอ้สิ่งที่ต่ำกว่า, ต่ำกว่าออกไป, ออกไป มันก็ไปยึดไอ้สิ่งที่เรียกว่าใหม่, แปลก, สูงอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่แล้วมันก็ไม่ให้อะไรมากไปกว่าความความหลงที่เท่า ๆ กัน
เพราะฉะนั้นขอให้ถือว่าไอ้ความก้าวหน้าอันนี้มันไม่ได้ก้าวหน้าในทางที่ทำให้ดับทุกข์ มันความก้าวหน้าทำให้โง่มากขึ้น, ให้มีทุกข์มากขึ้น, ให้ไม่รู้จักอิ่มจักพอ สมัยโบราณเขาไม่ได้ก้าวหน้ามาก และมันมีจุดที่จักอิ่มจักพอหรือว่าจะเฉยกันได้เร็วเข้า เดี๋ยวนี้มันมีเรื่องหลอกมากขึ้นหลอกกันจนน่าเกลียดจนเป็นลามกอนาจาร และมันก็ยังหลอกก็เพื่อให้มันไม่มีจุดอิ่ม, จุดพอคือ เปลี่ยนไปได้เรื่อย และก็ไม่ได้อะไรสูงไปกว่าความสุขทางเนื้อหนัง และมันโง่จนตาย, มันโง่จนเข้าโลงไปเลย ไอ้แบบโบราณมันจึงมีเวลาเหลือไว้สำหรับฉลาดบ้าง, ก่อนแต่จะเข้าโลง
เพราะฉะนั้นถ้าคนสมัยที่เจริญมากนี้เอาความรู้ที่เป็นหัวใจของศาสนาไปใช้ประกอบกัน และมันก็จะสบายมาก ความสะดวกสบายทางร่างกายก็มีมาก, ความเย็นทางวิญญาณเป็นสุขทางจิตใจก็มีมากสิ่ง, ไอ้ทุก ทุก, ทุกสิ่งในโลกมันก็จะไม่ขาดแคลน เพราะไม่ต้องการกันมากนักมันก็เหลือสำหรับเจือจุนซึ่งกันและกัน, ไม่ต้องรบราฆ่าฟันกัน นี่ประโยชน์ของการที่ว่าจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องว่างจาก ตัวกู-ของกู ไปในที่ทุกแห่งไปในบุคคลทุกชนิด, ทุกระดับ แม้กระทั่งในโลกในปัจจุบันนี้, กระทั่งโลกในอนาคตที่ว่าจะก้าวหน้าในทางวัตถุต่อไปอีก ส่วนความก้าวหน้าทางวิญญาณนี้ มัน มัน มันเพียงเท่านี้ไม่มีสูงไปกว่านี้ จะไปใช้กันได้กับความก้าวหน้าทางวัตถุที่ไม่มีสิ้นสุด ที่จริงมันก็ไม่ใช่ไม่มีที่สิ้นสุดมันเพียงแต่เปลี่ยนแปลงไม่มีที่สิ้นสุด และก็ถลำลึกให้เป็นทุกข์มากขึ้นทุกทีทุกทีคือ ต้องลงทุน,ไอ้ความฟุ้งเฟ้อเอร็ดอร่อย, ไอ้ความสุขทางเนี้อหนังต้องลงทุนมากขึ้นทุกที ก็ต้องใช้ความยั่วยวนมากขึ้นทุกทีจนเป็นลามกอนาจาร เหมือน เหมือนเครื่องแต่งกายของผู้หญิงสมัยนี้นะเป็นความลามกอนาจารเปิดเผยสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผย ก็เพื่อจะยั่วเพื่อจะเอาเปรียบผู้อื่นด้วยการใช้สิ่งนี้ยั่ว ผมกำลังพูดวันนี้ว่าจะอยากให้ช่วยเขียนเขียนภาพภาพหนึ่ง ผู้หญิงที่สวยที่นุ่งกระโปรง ยิ่ง ยิ่งกว่าสั้นนะอะ เป็นรูปมันแบกคันเบ็ดแล้วตามตัวมันแขวนไว้แต่เบ็ดที่ชายกระโปรงก็แขวนเบ็ด ที่ชายเสื้อแขวนเบ็ด ที่ตุ้มหูแขวนเบ็ด เบ็ด เบ็ด เบ็ด ไปทั้งตัว และไปดูกันสิ นี่จะ จะเข้าใจ ไอ้ ไอ้ความก้าวหน้าของปัจจุบันนี้จะดีขึ้น ที่ว่าทำความทุกข์ให้เกิดขึ้นอย่างไร ผู้หญิงก็โง่ถึงกับให้ผู้ชายเขาออกแบบเครื่องแต่งตัวให้แล้วก็ยอมรับนี้ เพราะผู้ชายมีแผนการที่จะหลอกลวงผู้หญิง, ผู้หญิงก็โง่, ก็ยอมรับ ยอมให้ตัวเป็นเบ็ด และก็ล่อไอ้คน, ให้ผู้ออกแบบนั้นอีก ผู้หญิงเขาต้องการอะไรเขาถึงยั่วผู้ชาย มันก็ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ทีนี้ ถ้ามัวทำกันอย่างนี้ และโลกนี้จะไปไหน คุณคิดดูเองละกัน ถ้ามัวทำกันแต่อยู่อย่างนี้แล้วโลกนี้มันจะไปไหนมันก็กลายเป็นนรกที่นี่ และเดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปไหน
นี่คือความจำเป็นของวิชาความรู้เรื่องว่างจาก ตัวกู-ของกู ที่เราอุตสาห์พูดกันมาเป็นปี ๆ และก็เรียกว่าธรรมปาฏิโมกข์ ธรรมปาฏิโมกข์ เป็นของจำเป็นที่สุดสำหรับมนุษย์ที่จะต้องรู้ ไปรวมอยู่ด้วยเรื่องสุญญตา ที่พระพุทธเจ้ายืนยันว่าเรื่องอื่นท่านไม่ตรัส ตรัสแต่เรื่องที่เกี่ยวกับสุญญตา เรื่องอื่นท่านไม่ได้ตรัส, ฉันไม่ได้ตรัส ฉันไม่ได้พูด, พูดแต่เรื่องที่เกี่ยวกับสุญญตา ก็มีอยู่ในพระพุทธสุภาษิตเรื่องสุญญตา ในสังยุตตนิกายที่ผมเคยเอามาเขียน, มาอ้าง, มาพิมพ์ไว้เสร็จแล้ว เลขหน้าเท่าไรท่านก็ไปหาดูกันเองอ่านกันเองเรื่องสุญญตา
เอาละ เป็นอันสรุปข้อความในวันนี้ว่าเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้ไม่ใช่เรื่องไว้ปลอบใจคนยากจนข้นแค้น, คนหมดท่า, หรือคนพ่ายแพ้นะ, หรือคนอยู่ในถิ่นทุเรศแร้นแค้นกันดารกลางทะเลทรายนะ แต่ว่าสำหรับทุกคน ตั้งแต่ต่ำที่สุดขึ้นไปจนถึงสูงสุด คือเป็นเทวดาเป็นพรหม
เอาละ พอกันที