แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมปาฏิโมกข์ของเราที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ตัวกู-ของกู ไปตามเคย ในวันนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า การตายของตัวกูก่อนการตายของร่างกายหมายความว่า การตายของตัวกูเป็นสิ่งที่มีได้ก่อนการตายของร่างกาย ขอให้ฟังให้เข้าใจหัวข้อสั้น ๆ นี้เสีย, เสียแต่ทีแรกแล้วมันก็จะช่วยได้มาก การตายของตัวกูมีได้ก่อนการตายของร่างกายนี่มันชัดหรือฟังง่ายที่สุดแล้วว่าก่อนแต่ที่ร่างกายจะแตกดับทำลายนั้นเรามีการตาย หรือทำความตายให้แก่สิ่งที่เรียกว่าตัวกูได้ เราได้กล่าวกันมาแล้วหลายครั้งหลายหนว่าสิ่งที่เรียกว่าตัวกูนี่เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริงแต่มันก็รู้สึกว่ามีตัวกูจริง นี่เรียกว่าเป็นมายา ฉะนั้นตัวกู คำว่า “ตัวกู” ในลักษณะอย่างนี้ก็เขียนให้มีอัญประกาศ, มีอัญประกาศสวมให้คำว่า “ตัวกู” ก็พอเป็นที่เข้าใจได้ว่ามันผิดธรรมดา นี่เราก็ดูกันไปต่อไปโดยรายละเอียดในข้อที่ว่า “ตัวกู” ตายก่อนร่างกายตายนี้ที่เรียกอย่างสั้นที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็เรียกว่า ตายก่อนตาย เหลือสามพยางค์เพียงว่า ตายก่อนตาย, ตายทีแรกตายแห่ง “ตัวกู”, ตายทีหลังคือตายแห่งร่างกาย จึงเข้ากับรูปเรื่องว่าการตายแห่ง “ตัวกู” มีได้ก่อนการตายของร่างกาย
นี่เป็นหลักหรือเป็นหัวใจเพียงชิ้นเดียวของพุทธศาสนาคือว่าให้มีความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่า ตัวกู-ของกู นี่ดับไปสิ้นไปเสียก็แล้วกันเรื่องอื่นไม่สำคัญ ฉะนั้นปัญหาเรื่องของพุทธศาสนานี่มันสำคัญอยู่แต่จุดนี้จุดเดียวว่าให้ดับเสียซึ่งความยึดถือว่า “ตัวกู” นอกนั้นกล่าวได้ว่าไม่เป็นพุทธศาสนาหรือเกือบจะกล่าวได้ว่าไม่เป็นพุทธศาสนาเช่น ปัญหาที่ว่าตายแล้วเกิดหรือไม่เกิดอย่างนี้ไม่ใช่พุทธศาสนาไม่ใช่ปัญหาของพุทธศาสนา มันเป็นเรื่องของคนก่อนพุทธศาสนาเขาพูดเขาถือกันอยู่เช่น เขาถือว่าตายแล้วเกิดอย่างนี้เขาถือกันอยู่แล้ว ที่นี้พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่มาเสียเวลาที่จะมาพิสูจน์ว่าเกิดหรือไม่เกิด ท่านเพียงแต่สวมรอยว่าเมื่อเชื่อว่าตายแล้วเกิดอย่างนี้ก็คงต้องการจะเกิดดี เพราะฉะนั้นก็ต้องทำความดีก็สอนให้ทำความดีแล้วเราจะได้ไปเกิดดีเพราะมันเชื่ออยู่แล้วว่าตายแล้วเกิด แต่ตัวพุทธศาสนาไม่ต้องการเรื่องสอนให้ทำความดีเพื่อตายแล้วเกิดดี อะไรทำนองนั้น ต้องการจะสอนให้เห็นว่าเดี๋ยวนี้, ที่นี่ไม่มีคนไม่มีผู้ใด, เรียกว่าไม่มี individuality, identity ที่เป็นคนของใคร เพราะฉะนั้นจึงมีหลักในพุทธศาสนาว่าถ้าถือว่าตายแล้วเกิดก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ, ตายแล้วไม่เกิดก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ, ตายแล้วเกิดบ้างหรือไม่เกิดบ้างก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่นั่นเอง คิดดูนี่ถ้าเข้าใจตอนนี้ได้ล่ะก็จะดีมากคือ ถือว่าตายแล้วเกิดก็ผิด, ตายแล้วไม่เกิดก็ผิด, เกิดบ้างไม่เกิดบ้างก็ผิด พระพุทธศาสนาไม่ต้องการจะพูดเรื่องนี้ ต้องการจะพูดว่ามันไม่มีคนที่แท้นั้นคือ มันไม่มีคนที่จะตายหรือจะเกิด
ทีนี้คนบางคนไปคิดต่อไปว่าพุทธศาสนาสอนให้ทำดีสอนทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ดีนี่ไม่ใช่พุทธศาสนา เพราะมีอยู่แล้วก่อนพุทธศาสนา ไอ้เรื่องกรรมเพียงว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วนี่มันก่อนพุทธศาสนา แต่พุทธศาสนาเกิดขึ้นเพื่อจะสอนให้รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะอยู่เหนือดีและเหนือชั่ว ทำอย่างไรจึงจะอยู่เหนือกรรมดีและกรรมชั่วคือ อย่าให้กรรมดีและกรรมชั่วทำอันตรายเราได้นั่นแหละคือ พุทธศาสนา เพราะฉะนั้นจึงสอนเรื่องอยู่เหนือกรรมโดยประการทั้งปวง และความสิ้นไปแห่งกรรมทั้งปวงนั่นแหละคือ ไม่มีคน, เรื่องไม่มีคนนั่นน่ะเรื่องมองเห็นความจริงแท้ๆ ว่าไม่มีคนนั้นน่ะคือ ทำให้อยู่เหนือกรรมดีกรรมชั่วหรือเป็นที่สิ้นไปแห่งกรรมทั้งปวง นั่นน่ะคือพุทธศาสนาถ้าพุทธศาสนาสอนเรื่องกรรมก็กลายเป็นกรรมที่สามขึ้นมากรรมเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดีกรรมชั่วคือ อริยมรรค
อริยมรรค เป็นกรรมที่ทำให้เกิดความสิ้นสุดแห่งกรรมดีและกรรมชั่ว ธรรมดาสอนเรื่องดีเรื่องชั่ว ศาสนาอื่นก่อนพุทธศาสนาก็สอน, นอกพุทธศาสนาพร้อม ๆ กันก็สอน, ใครก็สอน แต่มันไม่ดับทุกข์ได้, ทำดีไปเกิดดี, ทำชั่วไปเกิดชั่ว, ยังยึดถืออยู่ก็ยังเป็นทุกข์ ฉะนั้นเราก็ต้องสอนให้อยู่เหนือกรรมโดยประการทั้งปวง ฉะนั้นจึงมีเรื่องไม่มีตัวตนหรืออนัตตานี้เข้ามา เพราะนั้นถ้าเราจะดับทุกข์สิ้นเชิงคือ ไม่มีเกิดอีกต่อไป มันก็ต้องทำให้ตายให้ “ตัวกู” นี้ตายเสียก็ไม่มีอะไรเกิดอีกต่อไปคือ จะไม่รู้สึกว่าเกิดอีกต่อไปหรือว่าดับ “ตัวกู” เสีย กรรมก็ไม่มีที่ตั้งที่อาศัยกรรมมันมีที่ตั้งที่อาศัยอยู่บนความโง่ว่ามี “ตัวกู” คืออวิชชานั่น ทีนี้ดับไอ้ความโง่นี้เสีย กรรมก็ไม่มีที่ตั้งที่อาศัยกรรมก็เลยละลายไปนี่เรียกว่าสิ้นสุดแห่งกรรม
ฉะนั้นเรื่องการตายแห่ง “ตัวกู” ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเป็นเรื่องใหญ่หลวงที่สุดเลยคือ เป็นหัวใจพุทธศาสนาเพียงจุดเดียวเท่านั้น ทำลายเสียซึ่งไอ้ซึ่ง “ตัวกู” นี้อย่าให้มันมีเกิดขึ้นมาได้โดยสิ้นเชิง ทีนี้ “ตัวกู” นี้ทำให้ตายเสียได้ให้หมดไปได้ไม่เกิดรู้สึกว่า “ตัวกู” อีกต่อไปอย่างนี้เรียกว่า “ตัวกู” ตายก่อนร่างกายตาย ระยะนั้นก็เป็นพระอรหันต์กว่าร่างกายจะแตกดับ ทีนี้เราไปพูดใช้คำว่าตาย, ตาย, มันก็เลยยุ่งสับสนพูดภาษาชาวบ้านว่า “ตัวกู” ตายก่อนร่างกายตาย แต่พูดอย่างภาษาธรรมะแท้ ๆ ก็ว่าดับอุปาทานเสียได้ก่อนร่างกายแตกดับคือ ดับการเกิดแห่งอุปาทานเสียได้สิ้นเชิง “ตัวกู” ไม่เกิดอีกต่อไป และก่อนร่างกายแตกดับนี่มันยาวเลยพูดสั้น ๆ ว่าตายก่อนตาย ตายแรกแห่ง “ตัวกู” คือ ดับอุปาทานว่า “ตัวกู” เสียได้ไม่มีทางเกิดอีกต่อไป แล้วก็ก่อนแต่ตายในทางร่างกายนั้นมันเป็นเปลือก, เปลือกเน่าไปเนื้อในเขาถูกทำลายให้หมดเสียแล้วเหลือแต่เปลือก ไม่เท่าไรมันก็หมดเหตุหมดปัจจัย มันก็เน่าไปแตกตายไปโดยร่างกาย ทีนี้ใช้คำภาษาธรรมดาว่า “ตัวกู” ที่เป็นความรู้สึกทาง, ทางทิฏฐิ, ทางจิต, ทางวิญญาณนั้นตายไปเสียก่อน “ตัวกู” ทางร่างกายตาย ที่จริงมันก็ไม่มี “ตัวกู” ทั้งทางร่างกายหรือทางจิตใจอะไรแต่ความเข้าใจผิดความอบรมมาผิด โตขึ้นมาในท่ามกลางความเห็นที่ผิดที่แวดล้อมให้จากรอบด้านโดยการเป็นอยู่ตามธรรมชาติโดยภาษาพูด มันจึงเกิดค่อย ๆ เกิดว่า “ตัวกู” “ตัวกู” “ตัวกู” “ตัวกู” ขึ้นมา, ขึ้นมาตั้งแต่เล็ก ๆ จนกระทั่งโตนี่จะโทษใครไม่ได้เพราะว่ามนุษย์เมื่อยังไม่รู้จักธรรมะเรื่องนี้ก็พูดไปตามธรรมชาติ ก็พูดว่าตัวฉันว่าของฉันเรื่อยมาพูดกันมาตั้งแต่มนุษย์เริ่มพูดได้ สมัยไหนก็ยากที่จะรู้, ก่อนสมัยหิน, ก่อนสมัยอะไรกระมังคือ มนุษย์เริ่มมีคำพูดก็มีคำพูดเล็งถึงตัวฉันของฉันแล้วก็พูดกันเรื่อยมา ไอ้เด็ก ๆ ที่เกิดทีหลังอีกกี่กี่พันปีก็ตามแต่กี่หมื่นปีก็ตามแต่มันก็พูดไอ้เรื่องตัวฉันของฉันเป็น, กลายเป็นไอ้ของธรรมดาสามัญไป
ฉะนั้นเราจึงเกิดขึ้นมาในท่ามกลางแห่ง “ตัวกู” ท่ามกลางการแวดล้อมที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “ตัวกู” จึงมีความรู้สึกเป็น “ตัวกู” ทีนี้ต่อมาเมื่อวัฒนธรรมทางจิตมันสูงคือ ต้องการจะดับทุกข์กันสิ้นเชิงจริง ๆ เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาท่านก็แสดงให้เห็นว่าเพราะความรู้สึกอันนี้จากความยึดมั่นถือมั่นอันนี้ ความทุกข์จึงมีที่ตั้งที่อาศัย เราทำลายความหมายของคำ, คำพูดคำนี้เสียอย่าไปรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่า “ตัวกู” แม้ปากจะยังคงพูดว่า “ตัวกู” ไปตามเดิมตามประสาชาวบ้านพูดแต่ความหมายเปลี่ยนนะความรู้สึกในจิตใจเปลี่ยนนะ ไม่มี “ตัวกู” ที่แท้จริงที่ควรยึดถือว่า “ตัวกู” ว่าของกูนี้ มันก็เป็นยอดสุดของความรู้ของสติปัญญาของไอ้ความเจริญของมนุษย์ที่รู้จักทำให้หมดความทุกข์ร้อนในทางจิตทางใจนี่มันสูงกว่าเรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว หรือว่าสูงกว่าเรื่องตายแล้วเกิด, เกิดหรือไม่เกิดนี่มันคนละเรื่อง มันเป็นเรื่องการตายแห่ง “ตัวกู” เพื่ออยู่เหนือกรรม, เพื่ออยู่เหนือการเกิดและการตายเป็นพระอรหันต์แล้วหมดความรู้สึกยึดถือว่า “ตัวกู” แล้ว ร่างกายยังไม่ทันตายมันก็ไม่มีความทุกข์เหลืออยู่เลยก่อนแต่ร่างกายตาย และก็ไม่ถือว่ามีการเกิดอีกต่อไป ทั้งที่เป็นอยู่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ถือว่าเกิดอยู่เพราะรู้สึกว่าไอ้คำว่าเกิดนั้นมันหลอกไม่ใช่ความจริง ความตายก็หลอกไม่ใช่ความจริงมันก็เลยไม่มีเกิดไม่มีตาย มีแต่ความรู้สึกว่าอะไรเป็นอะไรไปตามเหตุไปตามปัจจัย ทีนี้ถ้าว่าอวิชชามันยังมีอยู่ เหตุปัจจัยให้, ให้รู้สึกว่าเกิดมันยังมีอยู่มันก็คิดว่าเกิดอีก ถ้าอวิชชามันดับไปมันหมดเหตุหมดปัจจัยที่ทำให้รู้สึกว่ากูเกิด มันก็ไม่มีความรู้สึกว่ากูเกิดจึงไม่มีอะไรเกิดไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเป็น “ตัวกู” นี่เขยิบออกไปอีกนิดนึงว่าถ้าปัจจัยให้มีความรู้สึกเกิด รู้สึกว่าเกิดเหลืออยู่ปัจจัยนั้นก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเกิดนี่เหลืออยู่แล้วก็รู้สึกเป็นเกิด
นี่สรุปความว่าพุทธศาสนาต้องการจะสอนเรื่องตายก่อนตาย ทีนี้คำว่าตายก่อนตายนี้มีความหมายกว้างไปหลายทิศหลายทาง, ไปอยู่เหนือกรรมหรือสิ้นกรรมได้, อยู่เหนือเกิดเหนือตายด้วยประการทั้งปวงก็ได้, เป็นการดับทุกข์สิ้นเชิงโดยประการทั้งปวงก็ได้ คำพูดว่าตายก่อนตายหมายความอย่างนี้ ทีนี้ถ้าเราไม่พูดให้มันเป็นสำนวนปริศนาพูดธรรมดา ๆ ก็พูดว่าทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่มีตัวเรา ทำให้ไม่มีทางที่จะเกิดความรู้สึกว่ามีตัวเราเสียก็แล้วกันมันก็ไม่มีความทุกข์ทางจิตทางวิญญาณอีกต่อไป นี่เรียกว่าทำลายไอ้ “ตัวกู” ในอัญประกาศนั่นน่ะเสียให้หมดไปเสียเป็นจุดหัวใจเป็นดวงวิญญาณของพุทธศาสนาอยู่ที่นี่
เรื่องนอกนั้นแวดล้อมเป็นฝอยสำหรับแวดล้อมที่มาเกี่ยวข้องกันด้วยก็ต้องแก้ปัญหาให้ลุล่วงไป เป็นเรื่องของคนพวกอื่นเช่น ตายแล้วเกิดหรือไม่เกิดเป็นเรื่องของคนพวกอื่น เรื่องกรรมดีกรรมชั่วไปตามกรรมนี่เป็นเรื่องของคนพวกอื่นแต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทำให้มันเข้ากันได้คือ ก็ยอม, ยอมรับว่ามันเป็นขั้นแรกที่เขาจะต้องรู้สึกอย่างนั้นเพราะเขาเชื่ออยู่แล้วว่าตายแล้วก็ต้องเกิดก็ต้องให้ทำให้ดีอย่างนั้น ทีนี้เกิดดี, เกิดดี, เกิดดีจนกระทั่งก็รู้ว่ามันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เกิดดีนี่ก็ไม่, ไม่เป็นอิสระจากความทุกข์ ฉะนั้นจึงอยากไม่เกิดขึ้นมานี่ สำหรับผู้ที่เชื่อว่าตายแล้วเกิดอยู่แล้วก็ต้องได้รับคำแนะนำต่อไปอย่างนี้ ทีนี้ผู้เชื่อเรื่องกรรมดีกรรมชั่วให้ระวังอย่าทำกรรมชั่วทำแต่กรรมดี นี่ไม่เท่าไหร่ก็รู้ได้เองว่ายังเป็นไปตามกรรมนี้ไม่ใช่ที่จบที่สิ้นของความทุกข์มันก็ต้องการไอ้การสิ้นกรรมขึ้นมาเอง เห็นได้จากเรื่องสุญญตาที่ชาวบ้านไป, ตรัสไป, ทูลถามถึงเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับชาวบ้าน ท่านว่าเรื่องสุญญตา ชาวบ้านว่าลึกเกินไปท่านก็ว่าเอาไป, เอาไปทำตามเดิมแต่อย่าทำความชั่วทำความดีอันนี้ทำไอ้โสตาปัตติยังคะนะ ชาวบ้านก็ว่าทำนี่ทำอยู่อย่างนี้ทำอยู่แล้ว ก็ต้องทำต่อไปไม่มีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องสุญญตา, เรื่องสุญญตานั่นน่ะคือ เรื่องทำให้ตายเสียก่อนตายเข้าถึงสุญญตาเมื่อไรก็คือตายเมื่อนั้น ร่างกายไม่ทันตายสักทีเรียกว่าตายก่อนตายแล้วบางทีก็ใช้คำว่าอนัตตาแทนคำว่าสุญญตา
เอานะตอนนี้สรุปความว่าพุทธศาสนานี่ก็สอนเรื่องตายก่อนตาย, พูดเป็นปริศนาพูดเป็นธรรมดาสามัญคำธรรมดาก็ว่าทำลายความรู้สึกที่ว่า “ตัวกู” เสียให้ได้ก่อนแต่ที่ร่างกายจะตายจะแตกทำลาย สรุปสั้น ๆ ก็คือว่าทำลายความสำคัญว่า “ตัวกู” นี้เสียให้ได้ก่อนแต่ตาย เดี๋ยวนี้มันสะดวกที่จะพูดเป็นปริศนาคำน้อย ๆ จึงพูดว่าตายก่อนตาย นั่นนะคือไม่มีเกิด, ไม่มีตาย, ไม่มีอะไรอีกต่อไป ทีนี้ก็อยากจะพูดกว้างออกไปถึงว่าศาสนาที่ดีทุกศาสนาในโลกนี้จะต้องสอนเรื่องตายก่อนตายทั้งนั้น นี่คงไม่มีใครเชื่อตามเคยผมพูดต้องพูดอย่างที่ไม่มีใครเชื่อตามเคยว่าศาสนาที่ดีทุกศาสนาในโลกนี้จะต้องสอนเรื่องตายก่อนตาย แต่ว่าวิธีนั้นมันผิดกันไอ้เราสอนเรื่องตายก่อนตายโดยอาศัยความรู้แจ้งเรื่องสุญญตา, เรื่องอนัตตา แต่ว่าศาสนาอื่นเขาอาจจะใช้อย่างอื่นเช่น ศาสนาที่มีพระเจ้าเขาก็บอกว่าตัวตนของตนอย่ามี, ไปมีตัวตนของพระเจ้าเสียนี่ก็หมายความว่าอย่างไรลองคิดดู ตัวตนของตัวเองอย่ามีไปมีตัวตนที่เป็นของพระเจ้าก็หมายความว่าตัวของตัวไม่มีก็คือตายในความหมายนี้เราทำลายความรู้สึกว่าตัว, ตัวของเรานี้เสียให้หมดเลยเหลือแต่ตัวของพระเจ้าหรือของธรรมชาติหรือของอะไรก็ตามแล้วแต่เขาจะถือศาสนาไหนถือพระเจ้าอย่างไร นี่จึงว่าศาสนาที่ดีต้องสอนเรื่องตายก่อนตายสอนให้ทำลายความรู้สึกว่าตายเสียให้ได้ทั่ว “ตัวกู” นี้ตายแล้ว ไม่มี “ตัวกู” เหลืออยู่นี่เป็นของพระเจ้าทั้งนั้นเลย ชีวิตนี้, ร่างกายนี้, ทรัพย์สมบัติ, บุตรภรรยา, สามีอะไรก็เป็นเรื่องของพระเจ้าไม่ใช่ของกูไม่มี “ตัวกู” และของกูด้วยเหมือนกัน นี่ก็เรียกว่าตายก่อนตายเหมือนกันแต่อีกวิธีหนึ่งโดยอาศัยพระเจ้าเข้ามาทีนี้ถ้าเขาทำได้เขาก็ไม่มีความทุกข์เหมือนกันอย่าไปว่าเขา
ตรงนี้ผมอยากจะพูดว่าไปมัวเถียงกันเรื่องพระเจ้ามีหรือไม่มีนี่เป็นเรื่องโง่ที่สุดของมนุษย์ว่าพระเจ้าสร้างโลกหรือพระเจ้าไม่ได้สร้างโลก นี้ไปมัวไปเถียงกันเรื่องนี้เป็นความโง่ที่สุดของมนุษย์ ผมก็เคยโง่ทีนี้ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่นั่นมันอยู่ที่ว่ามัน, มัน, เมื่อมันมีมนุษย์ขึ้นมาแล้วจะต้องทำอย่างไร มนุษย์นี้มีขึ้นมาแล้วโดยพระเจ้าสร้างหรือโดยธรรมชาติสร้างหรือโดยอะไรสร้างก็ตามใจ ปัญหามันมีอยู่ว่าจะต้องทำอย่างไรถ้ามนุษย์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาถ้าจะอยากดับทุกข์ก็ต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน มนุษย์ที่พระเจ้าไม่ได้สร้างที่เกิดตามธรรมชาติถ้าอยากจะดับทุกข์ขึ้นมาก็ต้องทำอย่างนี้เหมือนกันแปลว่า, หมายความว่าไม่ว่ามนุษย์ที่ถือศาสนาไหนถ้าต้องการจะดับทุกข์แล้วจะต้องทำอย่างนี้คือ ทำให้รู้สึกว่า, คือทำให้ความรู้สึกว่า “ตัวกู” นี่ตายไปเสียก่อนแต่ร่างกายตาย นี่ปัญหามันอยู่ที่นี่แล้วก็ไม่มีความทุกข์แล้วจะไปมัวเถียงกันทำไมว่าคุณถือศาสนาไหน คุณถือว่าพระเจ้ามีหรือไม่มี, พระเจ้าสร้างหรือไม่สร้างไปทะเลาะกันเรื่องนั้นก็โง่ที่สุดโง่ตรงที่ว่าไปมัวทะเลาะกันอยู่จนตายเลย เกลียดน้ำหน้ากันจนตายไปเลยไม่ต้องพูดจากันให้เป็นเรื่องเป็นราวนี่ ฉะนั้นเราจะไม่ไปมัวเถียงกันว่าศาสนาว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาจากใครของใครถูกของใครผิด พระเจ้าสร้างโลกหรือไม่นี้ ไม่พูดกันเลยพูดกันแต่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ว่าเมื่อมนุษย์มีอยู่ในสภาพอย่างนี้แล้วการที่จะไม่มีความทุกข์กันเลยนั้น ทั้งโดยส่วนตัวและโดยส่วนสังคมนี่ต้องทำอย่างไรก็ต้องทำลายความรู้สึกว่าตัวหรือความเห็นแก่ตัวลงไปเท่านั้น ปัญหาเหมือนกันหมดทุกคนไม่ว่าถือศาสนาไหนปัญหาเหลืออยู่เพียงแต่ว่าจะทำลาย “ตัวกู” นี้ให้หมดไปได้อย่างไร
นี่พวกชาวพุทธก็อาศัยไอ้วิธีของชาวพุทธ, พวกชาวคริสต์, อิสลาม, ฮินดู ก็อาศัยวิธีของเขาไปตามเรื่องเพื่อจะทำลายอหังการ, มมังการด้วยกันทั้งนั้นแล้วก็อยู่ด้วยความสบายไปจนตาย ชาวพุทธเราก็ใช้อนัตตา สุญญตานี้เป็นเครื่องมือเป็นอาวุธสำหรับประหัตถ์ประหาร “ตัวกู” เอาเขากระต่ายทำคันศร, เอาหนวดเต่าทำสายศร, เอานอกบทำลูกศรนั้นนะคือ วิธีที่พูดไว้ในปริศนาแล้วก็ยิงยักษ์คือ “ตัวกู” ให้ตายหมดไป นี่เรียกว่าเครื่องมือฆ่า “ตัวกู” ในพุทธศาสนาคือ ลูกศรแห่งสุญญตา ทีนี้พวกอื่นเขาใช้ลูกศรของพระเจ้า ลูกศรคือพระเจ้ามาครอบงำไอ้ความรู้สึกว่า “ตัวกู” ว่าของกูเสียแล้วแต่ว่าจะถือศาสนาอะไร ทีนี้ศาสนาที่เรียกว่าดีก็มีอยู่สองชนิดเท่านั้นน่ะมีพระเจ้ากับไม่มีพระเจ้าที่เหลือไปจากนั้นอีกก็ศาสนาอันธพาลนั้นก็มีเหมือนกัน ศาสนาอันธพาลคือ อาศัยความเดือดพล่านของทิฏฐิความคิดเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมายึดมั่นถือมั่น เพราะนั้นจึงมีอนัตตาชนิดมิจฉาทิฏฐิ อนัตตาชนิดที่ไม่มีอะไรเลย, ชนิดที่ฆ่าคนก็ไม่บาป, ชนิดที่ทำอะไรก็ไม่เป็นบุญอย่างนี้เรียกว่าอันธพาล
เพราะนั้นไอ้เรื่องที่จะข่มขี่ความรู้สึกว่า “ตัวกู” ว่าของกูได้อย่างดีนั้นมันต้องไม่เป็นอันธพาล ถ้าผิดจากนั้นมันเป็นอันธพาลคือ เป็นอันตรายเช่นว่า จะกินเหล้าให้เมาหรือสูบกัญชาให้มึนอะไรนี่มันก็ลืม ตัวกู-ของกู เหมือนกันหรือสัตว์ที่มานะทิฏฐิจัดมันก็เขาก็ถือว่ามันไม่รู้จักทุกข์เหมือนกัน, มันบ้าจนไม่รู้จักทุกข์, มันไม่เห็นความตายว่ามีความหมายอะไร อย่างนี้รวมเรารวมเรียกกันว่ามันเป็นประเภทอันธพาลแม้เขาจะใช้คำว่าตายก่อนตายมันก็ตายก่อนตายชนิดอันธพาลไม่สำเร็จประโยชน์ไม่จริงด้วย ไอ้ตายก่อนตายที่มันจริงตามคำพูดก็คือเรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา ทีนี้ถ้ารองลงมาก็คือเอาสิ่งอื่นที่เราเชื่อยึดมั่นถือมั่นมากลบมันเสีย กลบความรู้สึกว่า ตัวกูว่าของกู เสียมันกลบสนิทกลบไม่มีทางที่จะหือขึ้นมาได้เหมือนกันเช่น เอาหินทับหญ้าจนตายไปเลยนี่เอาหินออกเมื่อไรมันจะงอก ทีนี้เราไม่เอาหินออกมันก็ไม่มีทางจะงอกจนร่างกายมันแตกดับไปมันก็หมดเรื่องกันปัญหามันหมด นี่เรียกว่าอาวุธฆ่า “ตัวกู” มันมีอยู่อย่างนี้ถ้าลูกศรแห่งสุญญตา ก็ของเป็นไอ้ของไอ้พุทธบริษัทใช้เครื่องมืออย่างอื่นเช่น พระเจ้าเป็นต้น ก็เป็นของพวกที่มีพระเจ้าไปศาสนามีสองประเภทเท่านี้ ฉะนั้นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าเป็นบุคคลเขาก็มีพระเจ้าที่เป็นไอ้ธรรมาธิษฐาน, มีปรมาตมัน, มีไกวัล, มีอะไรนั้นก็เหมือนกันอีกเหมือนกันตรงที่เอาสิ่งนั้นเอาความเป็นสิ่งนั้นน่ะมา ความได้เป็นสิ่งนั้นได้ตรงสิ่งนั้นน่ะมาทำลายไอ้ความรู้สึกว่า ตัวกู-ของกู เสีย ตัวกู-ของกู ชนิดนี้อย่ามีเลย แล้วก็ไปมีตัวตนถาวรเป็นปรมาตมันเถิด นี่เรียกว่าอาวุธสำหรับประหาร “ตัวกู” การตายก่อนตายเป็นสิ่งที่มีได้โดยใช้อาวุธชนิดนี้ เอาละทีนี้จะใช้กันเมื่อไรคำตอบที่มันเป็นไปตามธรรมชาติที่สุดใช้กันเมื่อเป่าปี่ขี่วัวจนเบื่อแล้ว, เป่าปี่ขี่วัวจนเบื่อแล้ว พูดที่อื่นฟังไม่ถูกแน่แต่ถ้าพูดที่นี่ยังฟังไม่ถูกอีกก็โง่อยู่บ้างเพราะเรามีภาพเขียนข้างบนนั้นเรื่องเป่าปี่ขี่วัวเห็นอยู่เห็นไหม ถ้าพูดที่อื่นฟังไม่ถูกก็ให้อภัยได้แต่พูดที่นี่ฟังไม่ถูกก็ท่าจะแย่หน่อยภาพวัวสิบภาพมันมีอยู่ดีแล้วเอามาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับพูดมันง่ายขึ้น
ภาพที่หนึ่งไอ้เด็กตัวน้อย ๆ ยืนเหลียวหน้าเหลียวหลังไม่รู้จะไปทางไหนดีนี่มันจะก่อ ตัวกู-ของกู ขึ้นมา ทีนี้ภาพที่สองเด็กโตเป็นหนุ่มแล้วเป็นพ่อหนุ่มขึ้นมาแล้วก็พบรอยตีนวัวที่ดินนี่ไอ้เงาหรือไอ้ร่องไอ้รอยหรืออะไรชนวนอะไรต่าง ๆ ของ “ตัวกู” มันจะ, มันจะเกิด, หนุ่ม, พ่อหนุ่มพบร่องรอยนี่มันก็จากการศึกษาเล่าเรียนนี่ที่เราศึกษาเล่าเรียนในโรงร่ำโรงเรียนศึกษาจนมองเห็นร่องรอยว่าอะไรจะไปทางไหนกันโว้ย เรียนหนังสือแล้วก็เรียนอาชีพเรียนอะไรไปตามเรื่องมันเกิดเห็นร่องรอย ทีนี้ภาพที่สามที่สี่ตามรอยไปเรื่อยจนเห็นก้นวัวแล้วก็จับวัวสู้กันกับวัวนี่ผู้สำเร็จการศึกษาในโรงเรียนแล้วก็ต่อสู้ชีวิต จับวัวนี่เราเป็นพ่อหนุ่ม เป็นหนุ่มน้อยเป็นหนุ่มใหญ่ขึ้นมาแล้วจับวัวได้ ทีนี้ภาพที่ห้าที่หกไม่เป็นพ่อหนุ่มแล้วทีนี้เป็นพ่อบ้าน, พ่อบ้านแม่เรือน มีวัวจูงไปแล้วก็เป่าปี่ขี่วัวเป่าปี่อยู่บนหลังวัวนี่สบายที่สุดสนุกที่สุด, อะไรที่สุดของ “ตัวกู” จุดสูงสุดของ “ตัวกู” มันเอ่อเป่าปี่ขี่วัว ทีนี้ภาพที่เจ็ดที่แปดมันไม่เป็นพ่อ, พ่อบ้านแม่เรือน, มันเป็นพ่อแก่แล้วเดี๋ยวนี้พ่อแก่ พ่อแกเริ่มเบื่อไอ้เป่าปี่ขี่วัวแหงนหน้าไปเบื้องบน ภาพที่แปด เอ้ย, ที่เจ็ดนะแล้วภาพที่แปดก็ว่างเป็นวงกลมศูนย์ไม่มี “ตัวกู” ทีนี้ภาพที่เก้าที่สิบพ่อเฒ่าก็ยังเดินต่อไปเที่ยวแจกของส่องตะเกียงนี้นี่ มันน่าหัวนะที่ว่าตายแล้วยังทำอะไรได้ และดีที่สุดเสียด้วย พ่อเฒ่านี่ไงเที่ยวแจกของส่องตะเกียงเป็นคนตายแล้วก็ยังเที่ยวทำอะไรได้ ดีที่สุดเสียด้วย ที่ว่าตายก่อนตายจะมีเมื่อไรกันก็ตอบว่าจะมีเมื่อเป่าปี่ขี่วัวจนเอือมแล้ว
ทีนี้มาพูดไปตามกฎธรรมดาสามัญที่มนุษย์ไปตามวิสัยของมนุษย์ก็หมายความว่าจะต้องเป็นเด็กน้อย, เป็นหนุ่มน้อย, เป็นหนุ่มใหญ่ , เป็นพ่อบ้านแม่เรือนจนกระทั่งเป่าปี่ขี่วัวนี่สูงสุดของความเป็นพ่อบ้านแม่เรือน ทีนี้มันจะตาย “ตัวกู” มันจะตายมันจะแหงนไปหาไอ้ทางอื่นไม่มี “ตัวกู” แล้วว่างไปแล้วเป็นพ่อเฒ่าที่เที่ยวแจกของส่องตะเกียงให้แก่วิญญาณของมนุษย์ ทีนี้ถ้าว่าในกรณีพิเศษอย่างเป็นนักบวชเป็นพระ เป็นเณรมันจะทำได้เมื่อไรมันแหวกมันฝืนธรรมชาตินะ นี้เขาไปตามธรรมชาตินะเป็นเด็ก, เป็นหนุ่ม, เป็นหนุ่มใหญ่, เป็นพ่อบ้านแม่เรือนมันก็ถึงสูงสุดมันก็ไปเป็นไอ้พ่อแก่พ่อเฒ่าไปเลย ทีนี้คนบวชแล้วเกิดเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ ๑๕ ปีแล้วจะทำอย่างไร มันก็ต้องไม่ทิ้งหลักอันนี้แม้ว่าจะไม่ไปเป่าปี่ขี่วัวโดยร่างกาย โดย physics นี้ โดยร่างกายนี้เขาก็มีได้โดยทางวิญญาณคือ มีความรู้สติปัญญาสามารถทาง spiritual เป็น faculty อื่นไม่เกี่ยวกับชาวบ้าน จนมีความรู้สึกอย่างเดียวกันเอือมระอาที่จะออกไปเป่าปี่ขี่วัวหรือจะสร้างตนเองไปในทางที่จะเป่าปี่ขี่วัวก็เลยมีความรู้สึกสูงขนาดที่เรียกว่าระงับเสียได้ซึ่ง ตัวกู-ของกู
ฉะนั้นต้องถือว่าเก่งมากอายุ ๑๕ ปีเป็นพระอรหันต์นี่ สมมติว่าถ้ามีจริงตามในคัมภีร์กล่าวนะแสดงว่าเขาตายก่อนตายได้ตั้งแต่อายุ ๑๕ ปีนั้นน่ะ ส่วนธรรมดาสามัญอายุ ๑๕ ปีนั้นยังเข้าโรงเรียนอยู่ยังไม่เคยพบรอยวัวด้วยซ้ำไป ไปตามเรื่องของชาวบ้านมันยาวนานอย่างนั้นไปตามลำดับขั้นด้วย ทีนี้ไปตามเรื่องของบรรพชิตมันมีทางลัดขนาดนี้ที่ว่าตายก่อนตายเสร็จเป็นพระอรหันต์มีได้ตั้งแต่อายุ ๑๕ ปีตามที่เขียนในคัมภีร์เขียนไว้ ทีนี้ถ้าใครถามว่าเมื่อไรก็ตอบว่าเมื่อเป่าปี่ขี่วัวจนเอือมแล้วก็สำหรับชาวบ้าน ทีนี้ก็เมื่อเกิดความรู้สึกเอือมอย่างเดียวกับไอ้คนที่เป่าปี่ขี่วัวจนเอือมโดยไม่ต้องไปเป่าปี่ขี่วัวทางร่างกายเขาเป็นผู้เป่าปี่ขี่วัวทางจิตใจทางวิญญาณซึ่งมันไปได้เร็วมากไปแว้บเดียวแว้บเดียวไปได้ไกล ทีนี้มันต่างกันตรงไหนไอ้รูปร่างกิริยาอาการมันอาจจะต่างกันมากแต่ความหมายเนื้อแท้มันเหมือนกันตรงที่เอือมระอาในการที่จะเป็นทาส เป็นทาสของกิเลสตัณหา เอือมระอาในการที่จะไปเที่ยวกินเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำอีกของกิเลสตัณหาก็เหมือนกันตอนนี้, ตรงนี้, ผมก็ไม่อธิบายหรือขอไม่อธิบายหรืออธิบายไม่ได้ดีกว่าว่าทำไมเด็ก ๑๕ ปีจะรู้สึกอย่างนั้นได้ แต่ถ้าถือตามพระคัมภีร์เขาถือเป็นบุคคลพิเศษบุคคลที่ธรรมชาติสร้างมาเป็นพิเศษมันก็เลยทำให้เชื่อต่อไปถึงเรื่องไอ้ชาติก่อนติดมาแต่ในท้องหรือของชาติก่อนนั้นอะไรก็ตามใจ คนที่เขาเชื่อเรื่องชาติก่อนเขาก็ว่ามันเป็นมาแต่ชาติก่อน ทีนี้ผมก็ไม่อยากพูดอย่างนั้นแต่คิดว่ามันเป็นบุคคลพิเศษมีความไวธรรมชาติสร้างมามีความไวทางความรู้สึกทางสติปัญญาความคิดนึกมันไว ฉะนั้นอายุมัน ๑๕ ก็จริงแต่ไอคิวของมันคงเท่าอายุ ๔๐ ปี, ๕๐ ปี, ๖๐ ปีก็ได้แทนที่จะเป็น ๑๕ เป็น ๕๐ ก็ได้ อายุทางมันสมองของมันเขาก็สามารถที่จะตายได้ก่อนตายตั้งแต่อายุ ๑๕ ปีในเมื่อตามธรรมดาจะต้องรอไปถึงอายุ ๖๐ ปี ๗๐ ปี นี่คือตายเสียก่อนตายหรือว่า “ตัวกู” ตายเสียก่อนแต่ร่างกายตายเป็นอย่างนี้
ทีนี้จะอยู่เป็นอะไรต่อไปเรื่องนี้พูดกันเล่นสนุก ๆ ก็ได้ สมมติว่าในบ้านเรือนฆารวาสคนหนึ่งเขาถึงจุดสูงสุดของการเป่าปี่ขี่วัวแล้วก็แหงนขึ้นเบื้องบนแล้ว “ตัวกู” ว่างไปในเพศฆารวาสจะเป็นอย่างไร หมายความเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาในบ้านเรือนนี่จะทำอย่างไร พระคัมภีร์เขากล่าวไว้ต่างกันโดยหลักที่รู้กันอยู่ทั่ว ๆ ไปก็ต้องไปบวชภายใน ๗ วันไม่เช่นนั้นจะตายจริงจะตายทางร่างกาย ต้องออกไปบวชเสียภายใน ๗ วัน มิฉะนั้นจะตายจริงร่างกายจะตายเสียอีก นี่มันก็เกิดเป็นผู้หมดกิเลสขึ้นมาในบ้านเรือนเหมือนกับนายคนนี้ที่ถึงจุดสูงสุดของการเป่าปี่ขี่วัว คัมภีร์ทั่ว ๆ ไปนี่ไม่มีในพระไตรปิฎกนะ, อย่า, อย่าเดี๋ยวจะฟังผิดไม่มีในพระไตรปิฎกคัมภีร์ที่แต่ง ๆ ขึ้น
ทีนี้ก็น่าหัวที่คัมภีร์เช่นมิลินทปัญหานี่เรื่องอะไรก็ดีมากหรือดีแทบหมดแต่เรื่องนี้บ้า, บ้าที่สุดเลยในคัมภีร์มิลินทปัญหานี้, นี่เกิดเป็นพระอรหันต์ในฆารวาสแล้วต้องบวชภายใน ๑ วันมิเช่นนั้นจะตาย ทีนี้พระยามิลินก็ถามพระนาคเสนว่าถ้าหาพระอุปัชฌาย์ไม่ได้เล่ามันอยู่ในบ้านนอกคอกนาหาจีวรไม่ได้จะทำอย่างไร พระนาคเสนก็ว่าต้องตาย ถ้าถือตามตัวหนังสืออย่างนี้หนังสือนี้บ้าที่สุดเลยคือ ไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์นั้นเป็นอย่างไร นี่หนังสือมิลินทปัญหาที่เทิดทูนบูชากันอย่างยิ่งหลายร้อยเรื่องถูกน่าเลื่อมใสน่าอัศจรรย์แต่เรื่องนี้ผมไม่เห็นด้วยว่าเกิดเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาไม่ได้บวช หาพระอุปัชฌาย์ไม่ได้ต้องตายในวันรุ่งขึ้น นี่ถ้าถือตามตัวหนังสือนะหนังสือนี้ใช้ไม่ได้เว้นแต่ถ้าจะแปลความหมายเสียอย่างอื่นตามวิธีที่เราชอบแปลกันน่ะที่เขาหาว่าแหวกแนว ตัวหนังสือในคัมภีร์มิลินทปัญหานี้เข้าใจว่ามีบางส่วนถูกเขียนเข้าไปทีหลังเติมเข้าไปทีหลังไอ้ของเดิมมีไม่มาก แล้วแต่มันเติมเข้าไปทีหลังเป็นยุค, ยุค, ยุค, ยุคแล้วปัญหาอย่างปัญหาข้อนี้คงเป็นของที่เติมทีหลังโดยไม่ทันนึกทันฝันอะไร
ไอ้เรื่องที่เราจะต้องพูดกันก็คือว่า คนที่ตายแล้วก่อนตายนี่คือ เป็นพระอรหันต์แล้วนี่มันหมดความหมายของความเป็นฆารวาสหรือเป็นบรรพชิต ถ้าถือตามหลักพุทธศาสนาโดยส่วนใหญ่อาศัยหลักมหาปเทสว่าส่วนใหญ่มันว่าอย่างไร มันก็เกิดความรู้เห็นได้ทีเดียวว่าพอเป็นพระอรหันต์เท่านั้นแหละจะอยู่นอกเหนือความเป็นบรรพชิตหรือความเป็นฆารวาส หนักกว่านั้นยังไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์แล้วยังจะเป็นพระอยู่อีก ความเป็นพระอรหันต์นั้นจะเหนือ, เหนือทั้งหมดเหนือการบัญญัติว่าเป็นพระหรือเป็นฆารวาส แม้จะหาอุปัชฌาย์ไม่ได้หาจีวรไม่ได้มันก็ไม่เป็นไร มันเหนือความเป็นฆารวาสแล้วเหนือความเป็นบรรพชิตเสียแล้ว ถ้ายังต้องไปบวชเป็นบรรพชิตไปยื่นคอเข้าคอกเข้ากรงอีกทีหนึ่งมันก็เป็นเรื่องตลกสิ้นดี มันเป็นไปไม่ได้เพราะเหตุนี้ ฉะนั้นพระอรหันต์จะเป็นอย่างไรไม่มีใครตอบบอกได้คือ ไม่เป็นฆารวาสและไม่เป็นบรรพชิต แต่ข้อที่ท่านจะแสดงตัวอย่างไรแต่งนุ่งห่มอย่างไรหรือถือวัตรปฏิบัติอย่างไรนั้นมันเรื่องเปลือกนอก ส่วนจิตใจนั้นมันอยู่เหนือการที่ต้องถือระเบียบถือวัตรถืออะไรต่างๆ เหนือความรู้สึกอะไรทั้งหมด
ฉะนั้นเวลาเราพูดว่าตายก่อนตายแล้วก็ขอให้เข้าใจเถอะว่ามันเหนือความเป็นคน, เหนือความไม่ใช่คน, เหนือบรรพชิต, เหนือฆารวาส, เหนือหญิง, เหนือชาย, เหนืออะไรหมดไปเลย นั่นนะคือตายก่อนตาย แต่ทีนี้เขาจะต้องอยู่ในโลกนี้ร่วมกับมนุษย์ในโลกนี้มันก็ต้องอยู่ในลักษณะที่อยู่ด้วยกันได้ ฉะนั้นคงจะเหมาะแน่นอนที่ว่าจะไปอยู่แบบนักบวช, บรรพชิต, ฆารวาสก็อยู่ในบ้านในเรือนมันก็เกะกะ ถ้าไปตามถ้ำตามเขาตามสะดวกสบายนั้นคงสะดวกกว่า แต่ถ้ามันอยู่ในวิสัยที่เขาปรับปรุงได้หรือเป็นผู้มีอำนาจในบ้านเรือนมันก็อยู่ไปได้ ไม่เป็นฆารวาสอยู่ในบ้านเรือนนี่ก็เพื่อ, เพื่อประโยชน์ว่าชีวิตมันเหลืออยู่ ทีนี้มันจะถูกรบกวนจากบุตรภรรยาหรือว่าสามีหรืออะไรก็แล้วแต่มันจะมีอะไรนี้มันก็ต้องกระเด็นออกไปอยู่ดี ทีนี้ถ้ามันไม่ถูกรบกวนหรือมันจัดได้ตามความต้องการ ฉะนั้นบ้านเรือนมันก็กลายเป็นถิ่นที่อยู่ของบุคคลผู้ที่ไม่เป็นอะไรแล้วนี้ได้เหมือนกันแต่ไม่เรียกว่าบ้านเรือนนะ มันเรียกว่าบ้านเรือนไม่ได้แล้วเพราะคำบ้านเรือนนั้นมันหมายถึงไอ้การเป็นอยู่อย่างมีคู่เป็นเพศตรงกันข้าม ฉะนั้นลองดูที่วัดสิเอาคู่เพศตรงกันข้ามมาอยู่ที่วัด วัดก็กลายเป็นบ้านเรือนไปมันมีความหมายอยู่ที่นั่น นี่ขอให้จำไว้ว่าไอ้ตัวหนังสือหรือคำพูดนี้ดิ้นได้ ตลบตะแลงหลอกลวงที่สุด ถ้าเราไม่รู้เท่านี้นะยุ่งตายเลยเช่น พระอรหันต์ในฆารวาสถ้าไม่บวชภายใน ๗ วันจะต้องตายหรือ ๑ วันจะต้องตายอย่างมิลินทปัญหาอย่างนี้ถ้าไม่แปลความให้ถูกต้องแล้วก็จะโง่ซ้ำสองเข้าไปอีกจนยุ่งไปหมด, จนไม่, ไม่, ไม่มีประโยชน์อะไร และเสียเวลาเปล่า ๆ ฉะนั้นอย่าไปนึกมันก็ได้รอให้เป็นพระอรหันต์เองแล้วให้รู้เอาเองว่าตายหรือไม่ตายยังดีกว่า
ที่ผมพูดมากมายนี่ก็เพื่อจะให้รู้ว่าคำว่าไอ้ตายก่อนตายนี้มีความหมาย, มีความหมายสูงไกลลิบไปเหนืออะไรหมดเลยไม่ใช่เพียงแต่พูดกันเล่น ๆ เมื่อไม่เข้าใจมันก็เป็นเรื่องพูดกันเล่นล้อกันเล่นหัวเราะกันเล่น แต่ถ้าเข้าใจมันเป็นเรื่องสูงลิบเป็นหัวใจจุดเดียวของพุทธศาสนาที่สอนเรื่องไม่มีตัวตนเรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา ผลของสุญญตาหรืออนัตตา คือว่าเราตายก่อนตายก็เลยสบาย เที่ยวแจกของส่องตะเกียงนี้ก็เรียกว่าทำ ๆ ไปอย่างนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ผูกมัดอะไร เมื่อมันอยู่นิ่งไม่ได้มันก็ทำไปที่จริงจะนอนเสียก็ได้แต่อย่าลืมว่าไอ้คนที่เป็นพระอรหันต์นั่นแม้เขาจะไม่เที่ยวทำอะไรกับใครโดยตรง ก็มีหลักที่ถือว่าเป็นแสงสว่างอยู่ที่เนื้อที่ตัวของผู้นั้น ฉะนั้นประชาชนเพียงแต่ได้เห็น, เห็นผู้นั้นเท่านั้นน่ะ, เห็นผู้พระอรหันต์เท่านั้นก็จะเหมือนกับได้รับแสงสว่าง, ได้รับการสั่งสอน, ได้รับอะไร เห็นบุคคลผู้ไม่มีความทุกข์ก็เข้าใจ หรือ, หรือรู้อะไรขึ้นมาเองอย่างนี้ก็ต้องยอมให้ด้วยเหมือนกันว่าท่านก็เป็นผู้แจกของส่องตะเกียงด้วยเหมือนกันแต่ไม่ได้ติดต่อกับใครเลยอยู่ของท่านเฉย ๆ คนเขาดูเอาเอง ไอ้ภาพเขียนของเราเขียนเอาไปยื่นให้เลยยื่นให้ทางร่างกายเลย แจกของส่องตะเกียงนี้แต่ความเป็นพระอรหันต์ดูจะไม่เป็นอย่างนั้นเสียมากกว่า คือเพียงแต่ว่าอยู่ในโลกนั้นก็เป็นการแจกของส่องตะเกียงร้อยเปอร์เซ็นต์เสียแล้ว ทีนี้ถ้าท่านอุตส่าห์ไปเที่ยวพูด, เที่ยวเทศน์, เที่ยวสอน, เที่ยวอะไรนี่มันก็เป็นมากกว่า, กว่าธรรมดาก็ดีคือ พระพุทธเจ้าก็ทรงประสงค์อย่างนั้นคือ ผู้นี้รู้ธรรมะแล้วก็ส่งไปประกาศพระศาสนาแต่อย่าลืมว่าแม้คนที่ไม่ไปทำหน้าที่อย่างนั้นมันก็เป็นการประกาศศาสนา หากแต่ว่ามันประกาศอยู่ที่เนื้อที่ตัวของเขา คนบางคนดูไม่ออกแต่ก็มีเรื่องที่ว่าคนเขาดูออกเขาสนใจเข้าไปไต่ถามพูดด้วยสองสามคำก็ได้รับประโยชน์เพราะเขาพูดออกมาจากใจออกมาจากจิตใจจริง ๆ ก็ไม่ต้องใช้เวลามาก
นี่วันนี้เราพูดกันเรื่องตายก่อนตาย “ตัวกู” ตายก่อนร่างกายตาย ฉะนั้นขอให้พยายามทุกอย่างทุกประการในการเป็นอยู่วันหนึ่งวันหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำการงานนั้นให้เต็มไปด้วยการบังคับการเกิดแห่ง ตัวกู-ของกู ควบคุมการเกิดแห่ง ตัวกู-ของกู ซึ่งมันเป็นโอกาสที่จะเกิดหรือยั่วให้เกิด ถ้าเราต้องทำ ต้องเกี่ยวข้องกับเพื่อนหลายคนนี่ทางที่จะเกิด “ตัวกู” มันมาก ก็ดูสิเดี๋ยวก็ขัดใจอย่างนั้น, เดี๋ยวก็ขัดใจอย่างนี้ เดี๋ยวก็ดุคนนั้น, เดี๋ยวก็ดุคนนี้, ว่าคนนั้นว่าคนนี้นั้นนะ, มันแสดงอยู่แล้วเพราะว่า ตัวกู-ของกู มันเกิดมากเกินไปมันเกิดเร็วเกินไปเกิดบ่อยเกินไป เดี๋ยวนี้เราอยู่ในขั้นที่เพียงแต่ว่าจะปิดอัด ตัวกู-ของกู ไม่ให้เกิดสะดวกให้เกิดยากจนกระทั่งมันมันเกิดได้เมื่อ, เหมือนกับเมื่อเราไม่ให้มันได้แสงแดดได้อาหาร ต้นหญ้ามันก็ตายแล้วก็เป็นอยู่ชนิดที่ป้องกันทางมาแห่งอาหารของ ตัวกู-ของกู ทางตา, ทางหู, ทางจมูก, ทางลิ้น, ทางกาย, ทางใจนี่พูดตามหลักเป็นอย่างนี้ ทีนี้ที่เราเป็นอยู่มากก็เรื่องทางใจบางทีเห็นหน้ากันเท่านั้นมันก็ไม่ชอบกันแล้วก็มีกิเลสอะไรเป็นต้นทุนอยู่ ทีนี้ไปเห็นอะไรเข้ามันก็เกิดรักเกิดอยากได้เกิดอะไรขึ้นมาแล้ว, แล้วแต่ว่ามันจะให้เกิดความพอใจหรือเกิดความไม่พอใจทั้งสองอย่างใช้ไม่ได้ เอาละเป็นอันว่าไอ้เรื่องตายเสียก่อนตายเป็นคำที่สั้นดีจำไว้พูดกันง่าย ๆ แล้วก็พยายามทำบทเรียนบทนี้กันทุกวัน, ทุกวัน, ทุกคืน, ทุกคืน ตลอดไป
เอาละพอกันที