แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมปาฏิโมกข์ของเราที่นี่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ตัวกู-ของกู ไปตามเคย วันนี้จะพูดโดยหัวข้อว่า ตัวกูอยากไป นิพพาน เพราะอะไร ในครั้งที่แล้วมาเราพูดถึงตัวกูอยากไป นิพพาน หรือมีอุปมาว่า เหมือนกับปีศาจหางไหม้ไฟอยากแต่งงานกับ สุญญตา ทำไมไม่มีใครนึกสงสัยหรือขัดแย้งแม้โดย logic ว่า ตัวกูนี่มันอยากจะไป นิพพาน ได้อย่างไร เพราะมันเป็นเรื่องบ้า, เรื่องหลง, เรื่องโมหะ ก็ลองนึกดูถึงว่า ปีศาจหางไหม้ไฟนี้อยากจะแต่งงานด้วย สุญญตา ได้อย่างไร มันคงเป็นไปไม่ได้โดยธรรมชาติ เพราะภูตผีปีศาจจะอยากแต่งงานด้วยสิ่งซึ่งตรงกันข้ามมันเป็นไปไม่ได้ มันมีอยู่ทางเดียวนิดเดียวคือว่า เห่อไปตามเขาว่า มันพลอยเห่อๆ ไปตามเขาว่าที่เขาเล่าลือกัน ตัวกูมันก็อยากไป นิพพาน หรือว่าปีศาจอยากจะแต่งงานกับ สุญญตา นี้ มันเป็นไปได้เพียงเท่านั้นไม่ได้ ไม่ใช่ความคิดความรู้สึกของตัวเอง แต่ก็มันก็เป็นไปได้เพียงว่าเขาเล่าลือกัน หรือเขานั่นเขาพูดกัน แต่ที่ไกลไปกว่านั้นก็คือว่า ตัวกูที่มันวัฒนาการจนถึงกับว่า กิเลส กลายเป็น โพธิ เพราะมันสามารถที่จะเป็นไปได้อย่างที่ได้พูดมาแล้วในครั้งก่อนนี่ว่า กิเลส มันจะกลายเป็น โพธิ ได้อย่างไรบ้าง เช่น ให้ กามราคะ เป็น ธรรมราคะ, โทสะ เป็น นิพพิทา, โมหะ เป็น อุเบกขา เป็นต้น มันจะกลายได้อย่างนั้นมันก็ต้องถึงจุดหนึ่งซึ่งเป็นการอิ่มตัว เพราะว่าคนเรามันมีหลักธรรมดาอยู่ว่า เมื่อซ้ำซากแล้วก็อยากเปลี่ยน, อยากเปลี่ยนไป หรืออยากเลื่อนชั้น ไอ้สิ่งที่เรียกว่า กิเลส มันก็มีกำลังงานอยู่ตรงที่มันอยาก หรือมันมีแรงมากในการที่จะพุ่งไปในทางใดทางหนึ่ง ถ้ามันทำให้ถูก, มันก็พุ่งไปถูก, มันกลายเป็นพุ่งไปถูก เพราะโดยที่แท้นั้นมันก็คือ ศูนย์กลางหรือสื่อกลางคือจิต ซึ่งมันไม่เป็นกิเลส หรือไม่เป็น โพธิ โดยตรง
กิเลส หรือ โพธิ นี้เป็นสมบัติของจิต ถ้ามันได้มาอย่างเป็น กิเลส มันก็เป็น กิเลส ซึ่งก็เป็นธรรมชาติเท่ากันกับที่เป็นโพธิ เป็นในความรู้สึกของจิตไปตามสิ่งแวดล้อมรอบตัวรอบด้านแวดล้อมไปในทางนั้นมันก็เป็น กิเลส แวดล้อมไปทางนี้มันก็เป็นโพธิ ทีนี้ถ้ามันแวดล้อมไปในทาง กิเลส หนักเข้าๆ นี่ มันก็ค่อยๆ สร่างได้ในวันหนึ่ง, ค่อยๆ เอือมระอา, ค่อยเบื่อเกิดอึดอัดขึ้นมา นั้นจึงเป็นเพียงแรงงานที่จะพุ่งไปตามการปรุงแต่งที่เรียกว่า สังขารธรรม แวดล้อมอย่างไร ทีนี้ถ้ามันเอือมระอาขึ้นมาจนถึงขนาดอยากเปลี่ยน, อยากเปลี่ยน, อยากเปลี่ยน ก็หนีไปไหนไม่พ้นเพราะทางอื่นมันไม่มีก็ต้องวกไปหาไอ้สภาพเดิมๆ ของจิตที่มันยังไม่บ้ามาก หรือบ้าน้อย หรือไม่บ้าเลย นี่เราก็มีอุปมากันที่รูปภาพฝาผนังว่า เสียงขลุ่ยกลับไปหากอไผ่ไม่ช้าก็เร็ว จิตที่เป็นตัวกูที่ประกอบอยู่ด้วย อุปาทาน เป็นเจตสิกประเภทตัวกูมันก็อยากไปตามลักษณะของ อุปาทาน แล้วแต่ว่าจะยึดมั่นอย่างไรอยู่ ทีนี้ อุปาทาน ก็ให้เกิดทุกข์, ทุกข์ก็ทรมาน, ทรมานแล้วทรมานอีก, ทรมานแล้วทรมานอีกไม่ใช่สิบครั้งยี่สิบครั้ง หรือร้อยครั้งพันครั้ง มันต้องหลายหมื่นหลายแสนครั้งอย่างที่เรียกว่า ตกนรกถูกเผาถูกแทงถูกลน อ้าว, มันก็ตายไปเดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นมาอีกถูกทิ่มถูกแทงตายไป เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นมาอีก เขานับเป็นกัปป์ๆ กัน นั่นละสัตว์นรกมันจะเริ่มเอือมระอาร้องตะโกนบอกกันว่า ที่สุดแห่งที่สุดอยู่ที่ไหนช่วยกันหาทีที่สุดของไอ้ความทุกข์นี้
ถ้าเอาไอ้ในร่างกายเรานี้เป็นเมืองนรกก็ลองนับดูสิ ร้อนใจอย่างใดอย่างหนึ่งวันละกี่ครั้งละ เพราะทำผิด, พูดผิด, คิดผิดนี่ ถ้าสมมติว่า วันละห้าสิบครั้งไม่ทันตายก็ได้เป็นแสนเป็นล้านได้ ถ้ายิ่งไปนับขณะจิตกันด้วยแล้วก็ยิ่งมากกว่านั้นอีก นี้เรียกว่า เกิดตาย, เกิดตาย, เกิดตาย เป็นกัปป์ๆ มันก็เบื่อมันก็เปลี่ยน ไอ้ความหวังที่ว่า อยากจะไป นิพพาน มันก็เกิดขึ้น แม้ว่าจะตั้งต้นด้วยการเห่อตามเขาก็ยังดีเพราะนั่นเป็นทุนเดิม ที่สำคัญที่สุดคือ อยากดีกว่า, อยากดีกว่าเดิม, อยากวิวัฒนาการนี้เป็นต้นทุนเดิม หรือถือว่าเป็นสัญชาตญาณของสัตว์, ของสิ่งที่มีชีวิตแม้ไม่ใช่สัตว์ ทีนี้มันก็โชคดีที่ว่า ถ้าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น การพูดถึงเรื่อง นิพพาน นั้นมันก็พูดกันมากขึ้นๆ จนเกร่อทั่วไป มันก็มีโอกาสที่ตัวกูมันจะได้ยินได้ฟัง มันก็อยากจะเปลี่ยนไปทางนั้นตามที่เขาเล่าลือกัน ยกตัวอย่างด้วยเรื่องราวที่พุทธศาสนาเข้าไปในประเทศจีนเมื่อสัก พ.ศ. ๕๐๐ ในประเทศจีนมีเหลาจื๊อซึ่งสอนเต๋า ขงจื๊อซึ่งสอนจริยธรรมอย่างสูงเป็นที่พอใจของประชาชนอยู่อย่างสูงสุดเหมือนกับพระพุทธเจ้า แต่แล้วทำไมพุทธศาสนายังผ่าเข้าไปได้อีกในสมัยพ้องๆ กัน ผิดกันเพียงไม่เพียงร้อยปีสองร้อยปีอะไรนี้เรียกว่า พ้องกันได้ก็เพราะว่า ปรัชญาของขงจื๊อนั้นมันเป็นปรัชญา คำสอนขงจื๊อเป็นปรัชญา แต่ตัวศาสนาตัวพุทธศาสนานั้นเป็นพรหมจรรย์ ต้องเข้าใจให้ดีๆ ว่าปรัชญานั้นสำหรับผู้บ้าน้ำลาย จนกระทั่งถึงว่า พูดชนิดที่หลงใหลไปในความเฉลียวฉลาดความลึกซึ้งนี่ จนกระทั่งว่าเห็นจริงว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ปรัชญาของเหลาจื๊อเรื่องเต๋าแท้ที่จริงก็เป็นเรื่อง สุญญตา แขนงหนึ่งที่ชี้ความเป็น มายา ของสิ่งซึ่งมนุษย์กำลังเข้าใจอยู่อย่างไรในสมัยนั้น มนุษย์รู้สึกต่อสิ่งใดอย่างไรเข้าใจสิ่งใดอย่างไร เหลาจื๊อพยายามชี้ให้เห็นว่านั่นเป็น มายา อย่างที่เข้าใจอยู่นั้นเป็นถูกหลอกก็พูดแต่เพียงเท่านั้นไม่ได้พูดว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป แต่ก็พูดดีมากหรือดีที่สุดนะในการที่รู้ว่ามันเป็น มายา นี่ก็เลยเป็นพูดแนวปรัชญา
ทีนี้พุทธศาสนาเข้าไปในทางฐานะที่เป็นพรหมจรรย์คือ ระบอบปฏิบัติสำหรับจะอยู่เหนือสิ่ง มายา เหล่านั้นโดยรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัวก็ตามคือ เราจะรู้สึกตัวว่า สิ่งนี้เป็น มายา ก็ตาม หรือไม่รู้สึกว่าเป็น มายา ก็ตามคือ ถ้าประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์นี้แล้ว ความทุกข์เกิดไม่ได้ครอบงำไม่ได้ นี่พวกนักศึกษาประวัติศาสตร์จีนทางปรัชญาเขาก็ใช้คำขำๆ อยู่คำหนึ่งว่า spiritual food อาหารทางวิญญาณ ในปรัชญาของเต๋าไม่มี spiritual food นี่มันก็ไม่รู้จักอิ่ม หรือมันไม่ทำให้อิ่มได้ นี่พุทธศาสนาเข้าไปลักษณะให้สิ่งนี้คือ ให้ความอิ่มทางวิญญาณเพราะการปฏิบัตินี้มันก็เลยผ่าเข้าไปได้ทั้งที่มีลัทธิเต๋าของเหลาจื๊อลัทธิจริยธรรมของขงจื๊ออยู่เต็มแน่นคนก็ฉลาดอย่างยิ่ง ถ้าเรามองดูอีกทีหนึ่งก็ว่า มันเหมือนกับเป็นเครื่องช่วยกันและกัน ปรัชญาของเหลาจื๊อจริยธรรมของขงจื๊อช่วยให้คนจีนสมัยนั้นฉลาดถึงที่สุดเฉลียวฉลาดถึงที่สุด ถ้าหากว่าไอ้สองลัทธินี้ไม่เตรียมพื้นฐานของจิตใจไว้ก่อนแล้ว บางทีพุทธศาสนาก็จะเป็นหมันคือ เข้าไปตายด้านอยู่ก็ได้ แต่ปรัชญาเดิมเขาทำให้คนฉลาดอย่างยิ่งพร้อมที่จะรับไอ้สิ่งที่สูงขึ้นไป หรือแปลกไป มันก็ได้ spiritual food นี้ มันเป็นลักษณะที่ตอบได้ว่า ทำไมตัวกูจึงอยากไป นิพพาน เพราะถ้ามันเข้าใจถูก, มันพร้อม, มันถึงระดับที่พร้อมได้ที่, มันก็อยากจะกินอาหารทางฝ่ายวิญญาณ, มันจึงอยากไป นิพพาน ถ้ามันยังไม่มีความฉลาดด้วยปรัชญาเดิมของเขา มันก็ยังเป็นปีศาจหางไหม้ไฟเที่ยวหลงนั่นหลงนี่อยู่ก็ไม่มีหวังที่จะรับพุทธศาสนาได้ นี่เรื่องราวในประวัติศาสตร์ก็พอเป็นพยานได้ว่า ในทางธรรมะนี่ตัวกูมันจะเกิดอยากไป นิพพาน ขึ้นมาได้อย่างไร แล้วเราก็รู้ได้ทันทีว่า ไอ้ นิพพาน นี่มันก็มีอย่าง นิพพาน ที่เห่อตามๆ เขาก็มี เพียงได้ยินแต่ชื่อก็อยากได้ก็มี และ นิพพาน จริงๆ คือ มันพร้อมที่จะถึงจะได้ หรือว่าอาจจะเข้าใจได้มันก็มี นี่ทำให้ตัวกูเปลี่ยนเป็นตัวกูใหม่ไม่ใช่ว่าจะพ้นไปจากตัวกู มันยังเห็นแก่ตัวอยู่นั้นแหละแต่มันฉลาดกว่ากันมาก ไอ้ตัวกูโง่ๆ มันก็เป็นปีศาจหางไหม้ไฟอยู่นั่นแหละเสร็จแล้วมันก็เปลี่ยนเป็นตัวกู ตัวกูที่ดีขึ้นๆ คือไฟมันน้อยลงๆ มันก็เลยเป็นตัวกูที่พอจะเข้าใจได้
ขอให้นึกทบทวนธรรมะดูให้ดีว่า แม้แต่พระโสดาบัน, พระอนาคามีนี้ เราก็ยังถือว่าไม่หมดตัวกู ยังละ อัสมิมานะ ไม่ได้ จะต้องไปละได้ต่อเป็นพระอรหันต์ นี่ถึงขนาดเป็นพระโสดาบัน, พระสกิทาคามี, อนาคามี ก็ยังมีตัวกูเหลืออยู่ในระดับหนึ่ง แต่ว่าตัวกูระดับนี้มันแน่นอนที่จะถึง นิพพาน ตัวกูที่จะเป็นพระโสดาบันนี้มันพร้อมที่จะอยาก นิพพาน เพราะนั้นจึงมีตัวกูหลายระดับ ตัวกูที่เต็มไปด้วย โมหะ เต็มที่เป็นปุถุชนหนาตั้งโยชน์นี้ก็ระดับหนึ่ง แล้วก็เป็นบางลงๆ เป็นกัลยาณปุถุชน ทีนี้ก็เป็นพระอริยเจ้าขั้นเริ่มแรกถึงกระแสคือ พระโสดาบัน เป็นต้น แต่ยังมีตัวกู ไอ้การอยากไป นิพพาน ก็เปลี่ยนเป็นถูกขึ้น, ดีขึ้น, ถูกขึ้น, มากขึ้น จึงมีทางเป็นไปได้ที่ว่า ตัวกูมันจะอยาก นิพพาน ถ้าสมัยของตัวกูเป็นปุถุชนคนหนาแน่นแล้วมันก็เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะมีคนล้อตัวกูมันอยากจะไป นิพพาน เชียวหรือ อย่างนี้ก็ต้องรู้กันเสียก่อนว่า มันตัวกูชนิดไหนขนาดไหน
ทีนี้ก็พูดถึงตัวกูที่ยังหนาตั้งโยชน์คือ มีกิเลสในดวงตาหนาตั้งโยชน์ มันก็ว่า อยากไปนิพพาน ตามๆ เขาว่า มันก็เป็นความอะไรที่น่าหัวเราะ, น่าสงสาร, น่าสังเวชอะไรพร้อมกันไป เขาว่าดีมันก็ว่าดี, เขาว่าประเสริฐมันก็ว่าประเสริฐ, เขาว่าได้ต่อตายแล้วมันก็ว่าได้ต่อตายแล้ว, นิพพาน ได้ต่อตายแล้ว ถ้าพูดตามภาษาหยาบคายก็ว่า มันเป็นเรื่องบ้าที่สุดสำหรับ นิพพาน ต่อตายแล้ว ถ้า นิพพาน ต่อตายแล้ว อะไรได้ นิพพาน มันก็ผีสิก็ตายแล้วก็เหลือแต่ผี ผีได้ นิพพาน ได้อย่างไร เพราะตายแล้ว อะไรเหลืออยู่ที่จะได้ นิพพาน มันก็คือผี สมมติว่าไปเกิดเป็นเด็กๆ ในทารกเข้าท้องเข้าครรภ์กันอีก เอ้อ, มันก็ตั้งต้นกันใหม่อีกเท่านั้นมันก็ไม่มีอะไรที่ว่าตายแล้วจะไปได้ นิพพาน ปุบปับ ถ้าตายแล้วไปได้ นิพพาน ปุบปับ มันก็ผีมันก็เรื่องที่น่าสงสาร แต่เรียกให้เพราะว่าวิญญาณ วิญญาณไปได้ โดยไม่ต้องมี นามรูป ครบถ้วนนี่ มันจะได้ได้อย่างไรเรียกว่า วิญญาณจุติปฏิสนธิไป ตายแล้ว, แล้ววิญญาณนั้นได้ นิพพาน ได้อย่างไร ในเมื่อไม่ประกอบพร้อมด้วย นามรูป คือ ร่างกายและใจ เพราะนั้นมันก็โง่ตามเขาว่าอีกละว่า ได้ นิพพาน ต่อตายแล้ว แล้วอธิบายเอาเองว่า นิพพาน นี่มันก็เป็นกระแสไปเข้าไอ้จิตๆ นี่วิญญานนี้เป็นกระแสหนึ่งไปเข้าสู่ นิพพาน ก็ผีได้ นิพพาน นี่คือลัทธิผีที่ดีหน่อยเรียก Animism เป็นลัทธิผีที่ดีหน่อย
ทั้งหมดนี่คือตัวกูที่เห่อๆ ตามเขาไปเรื่อง นิพพาน คือ ปีศาจหางไหม้ไฟ ที่มันเห่อๆ ตามเขาไปเพื่อจะแต่งงานกับนางสาว สุญญตา ซึ่งสาวเสมอเป็นนิรันดร มันฟังเสียงแล้วมันเป็นการโฆษณาอยู่ในตัวแล้วมันก็หลงได้ง่าย ไอ้คำพูดเหล่านี้มันเป็นคำพูดที่โฆษณา นิพพาน เพราะฉะนั้นเราจะต้องพูดกันให้ชัดลงไปว่า มันตัวกูอย่างไรชนิดไหน ทีนี้มันพูดกันแต่เรื่องอย่างนี้ แต่ลักษณะอย่างนี้พูดกันแต่อย่างนี้ว่าอย่างนั้นก็เลยมี นิพพาน ชนิดนี้, มีอะไรชนิดนี้ทั่วไปหมดในประเทศทุกประเทศที่นับถือพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่น่าตกใจจะพูดกันอย่างนี้หมด ทีนี้มันก็ผิดหลักที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า เมื่อไม่มี ราคะ, โทสะ, โมหะ นั่นแหละเป็น นิพพาน ความไม่ปรากฏ หรือความสิ้นไป หรืออะไรก็ตามแห่ง ราคะ, โทสะ, โมหะ นั่น มันเป็น นิพพาน ถ้าว่าความไม่ปรากฏแห่ง ราคะ, โทสะ, โมหะ ชั่วครู่ชั่วขณะ มันก็เป็น นิพพาน ชั่วครู่ชั่วขณะที่เรียกว่า ตทังคนิพพาน เป็นต้น ถ้ามันเป็นไปเองก็เรียกว่า ตทังคนิพพาน ถ้าว่าเราเป็นไปโดยเราจัดเราทำบ้างก็เรียกว่า วิขัมภนนิพพาน แต่ นิพพาน โดยสมบูรณ์ นิพพาน แท้จริงนั้นคือ มันหมดกิเลสสิ้นเชิงมันไม่กลับมาอีก แต่อย่างไรก็ตามจะเป็น นิพพาน ชนิดไหนก็ตามมันมีรสชาติเหมือนกันคือ ว่าง กำลัง ว่าง จาก ตัวกู-ของกู กำลัง ว่าง จาก ราคะ, โทสะ, โมหะ นี่มันคือสิ่งเดียวกันนะ ถ้าเราจะพูดว่า ว่าง จาก ตัวกู-ของกู ก็ได้ พูดว่า ว่าง จาก ราคะ, โทสะ, โมหะ ก็ได้ คือสิ่งเดียวกัน ตัวกูในรูปของ ราคะก็มี ตัวกูในรูปของ โทสะ ก็มี ตัวกูในรูปของ โมหะ ก็มี แล้ว ว่าง จากตัวกูก็คือ ว่าง จากสามอย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ตอนนั้นเย็นเป็น นิพพาน ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่เราก็มีหน้าที่ขยายความ ว่าง จากราคะ, โทสะ, โมหะ ให้ยาวไปๆ ในวันหนึ่งๆ ให้มีระยะการที่ ว่าง นี่ยาวออกไปๆ ที่มันวุ่นอยู่ด้วย ตัวกู-ของกู นี้ให้มันสั้นเข้าๆ นั้นน่ะคือ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว, ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว ทีนี้ถ้าว่าตัวกูจะมีบุญสักนิดหนึ่งคอยสังเกตดูว่า ใจคอของเราสบายเมื่อไรเย็นเมื่อไรนี่มันจะเข้าใจเรื่องนี้ได้
นี่ผมชอบพูดให้เขาฟังว่า ถ้ามาถึงที่นี่ถึงที่สวนโมกข์นี้เกิดสบายใจบอกไม่ถูกขึ้นมา แล้วก็ขอให้พยายามพิจารณาดูให้ดีว่า เพราะเหตุไรจนกระทั่งพบว่า ตัวกู-ของกู กำลัง ว่าง อยู่ชั่วขณะหนึ่ง กำลัง ว่าง ไปชั่วขณะหนึ่ง ทีนี้ถ้าเขาเป็นผู้ที่รู้จักพิจารณาสังเกต แล้วพบความจริงข้อนี้ได้ว่า เมื่อใดเราไม่มีความรู้สึกเป็น ตัวกู-ของกู เมื่อนั้นเราสบายที่สุด ได้รับความเย็นของสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน นี่จะตั้งต้นเข้าใจ นิพพาน โดยตรงขึ้นมา ไม่ใช่ นิพพาน ที่ว่าเห่อไปตามเขา แต่มันก็น่าเสียดายที่ว่าคนโดยมากที่มาที่นี่เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนี้ มีน้อยคนมากที่จะรับฟังแล้วก็ไปพิจารณาอย่างที่ว่า ที่แท้มันเป็นจุดตั้งต้น หรือเป็นชนวนจุดแรกที่จะเข้าไปสู่ นิพพาน ที่แท้จริง ความบังเอิญความประจวบเหมาะทำให้เขาสบายเย็นบอกไม่ถูก นี่เป็น นิพพาน กระทบ หรือบังเอิญ หรือชั่วขณะ ถ้าไปคิดไปนึกอยู่ที่บ้านอีกว่า ทำไมที่นั่นไปที่นั่นจึงสบายบอกไม่ถูกก็พบได้อีกว่า ที่นั่นมันกำลังลืมเรื่องบ้าน, เรื่องเรือน, เรื่องของ, เรื่องอะไรรับผิดชอบต่างๆ มันสบายเพราะเหตุนั้น ทีนี้ก็อ่านหนังสือเรื่อง ตัวกู-ของกู เข้าใจได้ว่า เมื่อใดจิต ว่าง จากตัวกู นิพพาน ก็มีอยู่ในจิตนั้น พอตัวกูกลับมาอีกก็เลิกกัน นี่ถ้าว่าเขาตั้งต้นอย่างนี้ก็คือ เปลี่ยนจากตัวกูชนิดที่เป็นปีศาจหางไหม้ไฟมาหยกๆ ก่อนแต่เข้ามาในสวนโมกข์เป็นปีศาจหางไหม้ไฟมารู่ร่ามาวู่วามด้วยไฟมาเลย พอมาอย่างนี้มันหยุดไป, มันดับไป, มันเย็นไป ก็เข้าใจได้ว่าเรากำลังเย็นกำลังสบาย เพราะที่นี่ไม่มีอะไรเป็นของเรา เพราะฉะนั้นพระ นิพพาน จึงเป็นเรื่องความรู้สึกที่มีอยู่ในขณะที่มี นามรูป พร้อม มีทั้งกาย, มีทั้งใจ, มีทั้ง เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ นี้ครบหมดนี่ เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสอย่างนั้น คือ พุทธภาษิตที่เอามาพูดให้ฟังอยู่เสมอๆ ว่า ภิกษุทั้งหลาย ดูก่อนเธอ เพราะว่าตรัสกับเทวบุตรองค์หนึ่ง ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้มีโลก, มีเหตุให้เกิดโลก, มีความดับสนิทของโลก, มีทางให้ถึงความดับสนิทของโลก ความดับสนิทของโลกนั่นคือ นิพพาน ทางให้ถึงความดับสนิทของโลกนั่นก็คืออริยมรรค มีองค์แปด มีอยู่ในกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งที่มีพร้อมทั้ง สัญญาและใจ ก็หมายความว่าเป็นๆ เป็นๆ ในกายที่ยาววาหนึ่ง ถ้าตายแล้วก็ไม่ได้ และไม่ใช่ จึงมีคำกำกับลงไปว่า พร้อมทั้งสัญญาและใจ ก็คือ คนยังเป็นๆ อยู่ ในนั้นมีโลกคือ ความทุกข์, เหตุให้เกิดโลกคือ กิเลสให้เกิดทุกข์, มีความดับของโลกคือ นิพพาน, มีทางให้ถึงความดับของโลกคือ พรหมจรรย์นี้ เพราะนั้นเรื่อง นิพพาน นี้ต้องอยู่ในร่างกายที่ยังเป็นๆ ทีนี้ ตายแล้วมันก็เหลือแต่ผี ไม่มีพร้อมทั้ง สัญญาและใจ ผีได้ นิพพาน นั้นมันไม่ได้นี่จึงว่า ถ้าถือไม่ดีมันกลายเป็นเรื่องลัทธิถือผีถือสางไป คือ ถือผิดๆ ฉะนั้น เข้าใจไว้ให้ดีว่า นิพพาน คือ ปราศจาก ราคะ, โทสะ, โมหะ ถ้าปราศจากชั่วคราวก็ นิพพาน ชั่วคราว ปราศจากจริงเด็ดขาดลงไปก็เป็น นิพพาน จริง ไอ้ชั่วคราวนั้นมีได้ทั้งโดยบังเอิญ และมีได้ทั้งตระเตรียมพยายาม เพราะนั้นถ้าอย่างไรก็อย่าให้มันขาดทุนมากเกินไป อย่าให้เป็นปีศาจที่หางไหม้ไฟเสียตลอดกาลเนืองนิจให้ได้ชิมนิพพานแม้แต่ชั่วคราวนี้กันบ้างคือ ไอ้ปีศาจรู้จักดับไฟที่หางบ้างเป็นระยะๆ เป็นครั้งเป็นคราวบ้างก็ยังดี อย่าให้ไฟมันไหม้หางอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกกระทั่งนอนหลับก็ยังฝันเป็น กิเลส นอนสะดุ้ง
นี่เราสรุปความไอ้ตรงนี้ว่า ตัวกูมันเริ่มเปลี่ยนเป็นตัวกูที่ดีขึ้นทุกทีที่มันได้ประสบกับสิ่งซึ่งเป็นความหมาย หรือคุณค่า หรือคุณสมบัติของสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน คือ ความเย็น พระเทศน์บนธรรมาสน์ก็เทศน์ว่า ออกชื่อพระ นิพพาน ไพเราะมาก เป็นคำยาว ศิวะโมกข์อมตะมหานิพพาน นี่ คำยาวทั้งหมดนี้ ชื่อของ นิพพาน, ศิวโมกข์อมตะมหานิพพาน นี้ว่าเรื่อยอ่านใบลานว่าเรื่อยไป ชาวบ้านก็พนมมือฟังเรื่อยไป ศิวโมกข์อมตะมหานิพพาน เทศน์กันไปเทศน์กันมาทั้งผู้เทศน์และผู้ฟังเข้าใจว่า ต่อตายแล้วจึงจะได้ นี่มันน่าสงสาร ศิวะ แปลว่า เย็น, โมกขะ แปลว่า พ้น, อมตะ แปลว่า ไม่ตาย, มหานิพพาน ก็คือ ดับสนิท, นิพพานะ แปลว่า ดับสนิทแห่งความร้อนความปรุงแต่ง เมื่อปรุงแต่งมันก็ร้อน ฉะนั้นดับเย็น, หยุด มันก็คือ นิพพาน, ศิวะ แปลว่า เย็น, ศิวาลัย แปลว่า ที่อยู่ของความเย็น ก็คือ นิพพาน ที่มันเย็น ไม่ใช่เย็นไอ้อุณหภูมิทางฟิสิกส์ แต่มันเย็นทางวิญญาณคือ ไม่มีร้อนของกิเลส มี พุทธาสิ (นาทีที่ 30:56) ราคัคคินา อาทิตตัง โทสัคคินา อาทิตตัง โมหัคคินา อาทิตตัง นี่ ที่พระสวดทุกทีที่มีทำบุญอายุที่ว่าร้อนนั้น ร้อนเพราะ ราคะ, ร้อนเพราะ โทสะ, ร้อนเพราะโมหะ นั่นน่ะคือ ร้อน ทีนี้ถ้าว่า ราคะ, โทสะ, โมหะ ไม่ปรากฏมันก็ไม่ร้อน ที่ไหนก็ที่นั่น นิพพาน อยู่ที่ตรงนั้น
ผมเคยพูดที่ไม่ค่อยมีใครเคยเชื่อว่า ให้ขอบคุณ นิพพาน กันเสียบ้างที่เราอยู่รอดชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะ นิพพาน แม้เป็น นิพพาน ชั่วคราวคือ เรามี นิพพาน ชั่วคราวคือ ว่าง ไปจาก ราคะ, โทสะ, โมหะ บางขณะนั้นน่ะเป็นการพักผ่อนทางวิญญาณที่นอนหลับเป็นต้น หรือว่าตื่นๆ อยู่นี้ ไม่ใช่ว่า ราคะ, โทสะ, โมหะ จะรบกวนอยู่ตลอดเวลา มันมีเวลาที่หยุดหรือ ว่าง นั้นก็เป็น นิพพานชั่วคราว นิพพาน ชั่วคราวนี้ทำให้นอนหลับ, นิพพาน ชั่วคราวนี้ทำให้ตื่นอยู่ เป็นผาสุขตื่นอยู่สบาย ดังนั้นเราจึงไม่เป็นโรคเส้นประสาท และไม่เป็นโรคอื่นๆ ที่เนื่องมาจากความทนทรมานทางจิตนี้ แล้วเราก็ไม่เป็นบ้า แล้วเราก็ไม่ต้องตาย และขอให้ขอบคุณพระ นิพพาน เหมือนขอบคุณพระเจ้าว่าได้ช่วยโปรดรักษาคุ้มครองเราไว้ ไม่ให้ต้องเป็นโรคประสาท, โรคบ้า, โรคตายในที่สุดอยู่ทุกวันนี้ เวลานี้, ที่นี่, เดี๋ยวนี้ นิพพาน กำลังช่วยไว้อย่างนี้เป็นพระเจ้าที่ช่วยเราไว้อย่างนี้ เพราะเราต้องขอบคุณพระเจ้าก่อนกินอาหาร, หลังกินอาหาร, ก่อนนอน, นอนตื่น, อะไรก็ตามใจ ต้องรู้จักขอบคุณพระเจ้าเป็นสัตว์กตัญญูกันเสียบ้างมันก็จะคุ้มครองมากขึ้น ทีนี้ตัวกูไม่มีหางไหม้ไฟแล้ว ก็รู้จักพระ นิพพาน ดีขึ้น ก็อยากจะ นิพพาน มากขึ้น ต้องการรสแห่งความเย็น spiritual food มีกระจ่างออกมามีลักษณะที่กระจ่างออกมามันก็ต้องการจะไป นิพพาน ยิ่งขึ้นไปๆๆ เพื่อจะได้อาหารในทางวิญญาณนี้ให้ถาวรให้เป็นการถาวร นี่คือมูลเหตุที่ว่า ทำไมตัวกูจึงอยากไป นิพพาน ในลักษณะที่เป็นความโง่ก็มี, ในลักษณะที่เป็นความฉลาดก็มี ตัวกูที่เป็นความโง่มันก็เป็นปีศาจหางไหม้ไฟ ตัวกูที่ฉลาดขึ้นๆ ก็เริ่มเปลี่ยนสภาพไปในทางที่จะเป็น โพธิสัตว์ คือ กิเลส จะกลายเป็น โพธิ ถ้าเราจะนึกถึง โพธิ ก็ได้ แต่ทีนี้มันเป็นนามธรรมมันก็นึกยาก แม้แต่ตัวกูของกูที่เป็นปีศาจหางไหม้ไฟเร่าร้อนอยู่ในใจ ก็ยังไม่ค่อยรู้จักหน้าตาของมันทั้งที่เป็นของเกิดอย่างรุนแรงหยกๆ ใหม่ๆ นี้ ปีศาจ, ใช้คำๆ นี้ก็เพื่อว่า ให้มันสมกันนี่มันทั้งหลอกลวงไม่จริงโง่เง่า มิหนำซ้ำมีหางไหม้ไฟอยู่ มันก็ดิ้นเร่าๆ อยู่ นั่งไม่ติดก้นไม่ติดพื้นอยู่ แล้วแต่ว่าไฟจะลุกมาก หรือไฟมันจะลุกน้อย ที่ว่า ราคะ โทสะ โมหะ กำลังมากหรือกำลังน้อย, เป็นอารมณ์เล็ก หรือเป็นอารมณ์ธรรมดา หรือเป็นอารมณ์ใหญ่ ปีศาจหางไหม้ไฟกลายเป็นโพธิสัตว์ น่าหัว
ไอ้พวกที่เขาถืออย่างโน้นคือ อย่าง นิพพาน ต่อตายแล้ว เขาก็จะต้องไม่ยอมเป็นอันขาดว่า ปีศาจจะกลายเป็น โพธิสัตว์ เขาก็ไม่ยอม คล้ายๆ พูดว่า บาปจะกลายเป็นบุญ, อกุศลจะกลายเป็นกุศลนี้ เขาก็ไม่ยอมคือ ไม่ยอมพิจารณาในข้อที่ว่า มันมีความเปลี่ยนแปลงได้ แล้วความเปลี่ยนแปลงหลายๆ หนเข้ามันก็ไม่ซ้ำมันก็เปลี่ยนไปทางอื่น ในที่สุดมันก็เปลี่ยนไปได้ถึงขนาดที่ว่า กิเลส จะเปลี่ยนเป็น โพธิ ได้ สำหรับเรื่องความเปลี่ยนแปลงนี้มีหลักสั้นๆ ที่ถูกต้อง หรือที่ดีที่สุดไว้ว่า มันต้องเปลี่ยนแปลง ถ้ามันอยู่ที่แล้วจะเรียกว่าเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรเป็นคำพูดที่บ้าบอที่สุดเปลี่ยนแปลงมันก็ต้องเปลี่ยนไป มันจะอยู่ที่ซ้ำที่กันอย่างไรได้ นก็ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง ทีนี้ถ้ามันเปลี่ยนไปๆๆ แล้วมันก็ต้องไปครบไปเอง ถ้าตอนนั้นมันมีอะไร spiritual experience คือว่า experience ทาง spiritual เกิดขึ้นใหม่ทุกทีทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง ทีนี้มันก็เปลี่ยนแปลงตั้งไม่รู้กี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนครั้ง มันก็ได้ experience นี้มามากก็ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นๆ เพราะฉะนั้น กิเลส ก็กลายเป็น โพธิ ได้เพราะเหตุนี้ ปีศาจกลายเป็นโพธิสัตว์ก็ต่างกัน ตรงกันข้าม
เอาไหนๆ เราก็พูดเรื่อง โพธิสัตว์ กันมาบ้างแล้ว แล้วก็ออกชื่อถึง ก็อยากจะพูดไว้เสียเลยว่า โพธิสัตว์ ไอ้ที่อย่างนี้หมายถึง คุณธรรมที่ดีที่มันตรงกันข้ามกับปีศาจหางไหม้ไฟ แต่ไอ้พวกโน้นใช้คำว่าพวกโน้นก็เป็นการนั่น รู้กันได้อยู่ในตัวนะว่า โพธิสัตว์ ก็หมายถึงคน คนที่กำลังท่องเที่ยว เวียนว่ายจะกลายเป็นพระพุทธเจ้า, โพธิสัตว์ ทางรูปธรรมทางภาษาคน ไอ้ โพธิสัตว์ แท้ๆ นั้นหมายถึง คุณธรรมที่เขาเอามาตั้งชื่อให้เป็นภาษาคนให้ฟังกันง่าย,ให้เข้าใจกันง่าย, ให้นับถือกันได้ง่าย ก็เลยมีรูปมีร่างเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา นี่อย่าง อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เรากำลังจะสร้างไว้ดูเล่น ให้น่าดูสักองค์หนึ่ง นี้ก็คือ โพธิสัตว์ แล้วก็เราระบุนาม อวโลกิเตศวร เพราะเป็นนามที่แพร่หลายมาก แต่อย่าได้เข้าใจว่า โพธิสัตว์ นั้นมันเป็นคนเป็นมนุษย์จริงกินข้าวกินปลาอะไรทำนองนั้นนั่นเป็นคุณสมบัติเป็นคุณธรรมที่มันตรงกันข้ามกับปีศาจที่หางไหม้ไฟก็แล้วกัน ที่เราพูดว่าปีศาจหางไหม้ไฟเราก็ไม่ได้หมายถึง คน, หมายถึงภาวะของจิตใจที่มันน่ารังเกียจอะไรชนิดหนึ่ง อวโลกิเตศวร แปลว่า ผู้มองดูโลกด้วยความเมตตากรุณานี้ ก็มันก็มีชื่อแทนนี้ ชื่อของพระโพธิสัตว์ องค์นี้มีหลายชื่อเช่น ปัทมปาณี ก็แปลว่า ผู้มีดอกปทุมอยู่ในมือมีดอกบัวอยู่ในมือ เขาจะหมายถึง ไอ้ความบริสุทธิ์สะอาด innocence อะไรทำนองนั้น แล้วอีกชื่อหนึ่งว่า วัชรปาณี มีเพชรอยู่ในมือนี้หมายถึง แสงสว่างแห่งปัญญา เพชรนี้เขาใช้ความหมายเป็นทางอาวุธสำหรับตัด, ตัดของอื่นเพราะมันคมหรือแข็งกว่าของอื่น บางทีโพธิสัตว์นี้มีชื่อว่า วัชรปาณี ถือเพชรอยู่ในมือ ถ้าชื่อปัทมปาณี ก็ถือดอกบัวชนิดดอกปทุมอยู่ในมือ ทีนี้บางทีก็ชื่อว่า ตรีโลกวิชัย แปลว่า ชนะโลกทั้งสามฝั่งนี้เขาจะทำเป็นถืออาวุธก็เหยียบยักษ์อยู่ข้างใต้ฝ่าเท้าอยู่ตัวหนึ่งด้วย อวโลกิเตศวรหลัง (นาทีที่ 39:59) ทีนี้ อวโลกิเตศวร แท้ๆ ในนาม อวโลกิเตศวร นี้ ถือหยูกถือหม้อน้ำมนต์ ถือไอ้เครื่องช่วยมนุษย์ต่างๆ หยูกยาอะไรอยู่ในนั้นเสร็จ นี่ อวโลกิเตศวร ความหมายอย่างนี้ เมื่อฉลาด เรียกว่า วัชรปาณี, เมื่อบริสุทธิ์สะอาด เรียกว่า ปัทมปาณี, เมื่อเมตตา ก็เรียกว่า อวโลกิเตศวร, เมื่ออดกลั้นอดทนทำภาะอันหนัก คือ ปราบมาร ปราบยักษ์ ปราบอะไร ก็เรียกว่า ตรีโลกวิชัย ดังนั้น เราทำ อวโลกิเตศวร ให้ถูกตามแบบฉบับของเขาก็ต้องมีหน้านี่พระพักตร์ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ที่มี สุทธิ, ปัญญา, เมตตา, ขันติ ทำนองนี้ครบหมด ที่นี้ก็วางไว้เด่นๆ อย่างนี้ ทีนี้ปีศาจหางไหม้ไฟคือ โกรธลูก, โกรธเมีย, โกรธผัว, โกรธอะไรมาแต่ไหนก็ไม่รู้พอมาเห็นหน้านี้เข้า โอ้หยุดทันทีเลย พอมาเห็นพระพักตร์ของ อวโลกิเตศวร เข้าก็หยุดทันที ปีศาจหางไหม้ไฟก็ไฟที่หางก็ดับลงชั่วขณะ นี่มันเป็นการแสดงอธิบายถึงคุณธรรมทางจิต แต่จิตหรือความรู้สึกของจิตมันไม่มีรูปร่าง เพราะนั้นเขาก็เลยต้องทำให้เป็น materialize มีรูปมีร่างมีอะไรขึ้นมาพอให้สะดุดตาคนทั่วไปที่มีความรู้สึกน้อยไม่สามารถจะมองเห็นไอ้สิ่งที่เป็นนามธรรมได้ เพราะนั้นดินแดนของประเทศไทยภาคใต้ในสมัยศรีวิชัยเขามีรูป อวโลกิเตศวร ทุกบ้านทุกเรือนในฐานะเป็นผู้รับใช้พระพุทธเจ้าด้วย เพราะนั้นจึงขุดพบมาก องค์ใหญ่นี้พบที่วัดพระธาตุ กรมพระยาดำรงฯ ท่านเอาไปกรุงเทพฯ ที่เรากำลังก๊อปปี้
ทีนี้พระพุทธศาสนาสมัยศรีวิชัยแผ่ไปถึงไหน อวโลกิเตศวร จะมีไปถึงนั้นมีไปถึงลพบุรี, ถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็มีองค์เล็กๆ แต่อย่าลืมว่า อวโลกิเตศวร ต้องมีพระพุทธรูปอยู่ที่เหนือกระหม่อมนี้องค์หนึ่งด้วยเสมอไป เขาบัญญัติเป็น อมิตาภะ เป็นพระพุทธเจ้า อมิตาภะ อมิตาภะบันดาลให้เกิดโพธิสัตว์ก็ได้ หรือโพธิสัตว์เป็นผู้ประคับประคอง อมิตาภะ ก็ได้ อมิตาภะ, อมิตายุ นี่ คือ พระเจ้า พระพุทธศาสนาอย่างมหายานจะมีพระเจ้ากันบ้าง ก็มี อมิตาภะ, อมิตายุ อมิตาภะ แปลว่า มีแสงสว่างที่คำนวณไม่ได้ อมิตายุ แปลว่า มีอายุที่คำนวณไม่ได้ อมิตะ แปลว่า คำนวณไม่ได้ อาภะ แปลว่า แสงสว่าง อายุ แปลว่า อายุ อมิตายุ แปลว่า มีอายุที่คำนวณไม่ได้คือ มันไม่มีที่สิ้นสุด และแสงสว่างนั้นก็ไม่มีที่สิ้นสุด นั้นละคือ พระเจ้า แต่เดี๋ยวนี้เขามาเขียนรูปภาพเป็นพระพุทธเจ้าคนๆ นี่ อยู่ที่แดนสุขาวดีทางทิศตะวันตกเต็มไปด้วยดอกบัวอะไรมันก็กลายเป็นในเรื่องวัตถุที่ปิดบังความจริงมากขึ้นๆ ก็ควรจะยอมให้เขา เพราะว่ามีไว้สำหรับชั้นเตรียม, ชั้นอนุบาล ชั้นต้นๆ ที่เด็กๆ เขาจะค่อยๆ สนใจ อมิตาภะ, อมิตายุ หรือโพธิสัตว์ เรื่อยๆ ขึ้นมา, เรื่อยขึ้นมาๆ จนรู้ตัวจริงคือ นามธรรม ก็เป็นชนวนอันหนึ่งที่ทำให้ตัวกูของเด็กๆ นั้นวิวัฒนาการขึ้นมาจนอยาก นิพพาน ได้เหมือนกันคือ อยากไปอยู่กับพระพุทธเจ้า อมิตาภะ นี่จะต้องทำอย่างไรจะต้องไม่เห็นแก่ตัวจะต้องอันนี้ ในที่สุดมันก็เป็นเรื่องละ ตัวกู-ของกู ทั้งนั้น ฉะนั้นจึงแล้วแต่ว่าคนนั้นจะมีสติปัญญาในระดับไหนที่จะใช้ประโยชน์จากรูป อวโลกิเตศวร หรือจากรูปพระ อมิตาภะ เป็นต้น ทีนี้ ตัวกูที่มันยังเป็นๆ ปีศาจหางไหม้ไฟอยู่มันก็เห่อ นิพพาน ตามเขาไปนี่เรียกว่า ตัวกูชนิดนี้อยากไป นิพพาน ด้วยอุปาทาน แต่ตัวกูที่ค่อยๆ กลายเป็น โพธิ นี้ มันก็อยากไป นิพพาน ด้วยอำนาจของ โพธิ เพราะนั้นตัวกูสกปรกก็อยากไป นิพพาน ด้วย อุปาทาน ตัวกูที่สะอาดมันก็อยากไป นิพพาน ด้วย โพธิ คือ สติปัญญา ตัวกูที่สกปรกนี่มันไม่รู้ว่าอาหารทางวิญญาณ spiritual food คืออะไร อยู่ที่ไหนมันเห่อตามเขา แต่ตัวกูที่เป็น โพธิ ที่มี โพธิ ตั้งต้นแล้วนี้ มันมองเห็นความหมายของคำว่า ศิวะโมกข์อมตะมหานิพพาน ศิวาลัย อะไร มันก็เริ่มอยากอาหารทางวิญญาณสูงสุด มันก็อยากไป นิพพาน มันก็ง่ายเพราะมันเข้าใจถูกต้องเข้ารูปเข้ารอยเข้ากระแสแห่งพระ นิพพาน นี่ไปคิดกันดูเองว่า ตัวกูมันอยากไป นิพพาน นี้มันด้วยเหตุอะไร อย่าให้ถูกล้อว่า โอ้, ตัวกูนี้ี่ ก็อยากไป นิพพาน กับเขาด้วยเหมือนกันนะ
เอาละ พอกันที