แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอ่อ, คำบรรยาย เอ่อ, สำหรับฆราวาสเรื่องทิศ เอ่อ, ตอนนี้ก็จะได้พูดถึง อื่อ, ความหมายที่จะต้องใช้ทั่วๆ ไป ในตอนที่แล้วมาเรามองดู เอ่อ, ความหมายของสิ่งที่เรียกว่าทิศนั้นกันอย่างวงกว้าง และสูงถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นเรื่องไปนิพพาน อื่อ, ไปทั้งหมดก็ได้ นี้คนที่เขาไม่มองอย่างนั้น เอ่อ, เขาก็ไม่ยอมรับ ถ้าเราพูดว่าการมีสามีภรรยานี้ก็เพื่อเป็นเพื่อน หรือภาษาโสกโดกก็ว่าเป็นคู่หูสำหรับที่จะเดินทางไปนิพพาน อย่างนี้ก็มีแต่คนหัวเราะ เอ่อ, ยิ่งสมัยนี้แล้วก็จะมีแต่คนหัวเราะที่ว่าอะไรๆ ก็เพื่อจะไปนิพพาน กระผมก็ยังยืนยัน อ่า, อย่างนั้นอยู่เสมอด้วยเหตุผลหลายอย่าง แต่เหตุผลที่ เอ่อ, ดีที่สุด ก็ต้องจะมีในข้อที่ว่าเราจะได้ประโยชน์มากที่สุด ถ้าเราถือหลักอย่างนี้เราจะได้ประโยชน์มากที่สุด นี้ก็คือเหตุผลที่ดีที่สุด เหตุผลอื่นๆ มันก็มี แล้วมันก็จริงเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ดีเท่าที่ว่าอันไหนก็จะได้ประโยชน์ที่สุด อันนั้นก็จะเป็นเหตุผลที่สุด ที่ควรจะถือหลักอย่างนั้น
เรื่องที่จะไปนิพพานนี่ อย่าเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของทางศาสนา หรือของทาง อื่อ, อุดมคติที่สูงเหนือโลกไปเสียหมด ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆ เอ่อ, ตามหลักของวิวัฒนาการ evolution นั้นอย่าถือว่ามีแต่ทางร่างกาย มันต้องมี เอ่อ, ทางจิตด้วย เพราะถ้าไม่โง่เกินไปจะต้องเห็นว่า เรื่องทางกายกับเรื่องทางจิตนี้แยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันแล้วมันไปไม่ได้ มันเหมือนกับขาหัก หรือว่าเหมือนกับตาบอด ไปไม่ได้ มีแต่จิตก็เหมือนตาดีแต่ขาหัก มีแต่กายก็เหมือนขาดีเดินได้แต่ตาบอด คนๆ หนึ่งในทางธรรมะนี่เขาใช้คำว่านามรูป นามรูป นี้ไม่ใช่ของสองอย่างรวมกันเป็นของอย่างเดียว ถ้าขืนแยกกันจะไม่มีทั้งนามและรูป ต้องอยู่ด้วยกันถึงจะมีทั้งนามและทั้งรูป นั่นแหละคือคนๆ หนึ่ง เพราะฉะนั้นในวิวัฒนาการทางวัตถุล้วนๆ ก็มีไม่ได้ ทางจิตล้วนๆ มันก็มีไม่ได้ เพราะว่ากายกับจิตมันต้อง อื่อ, ไปด้วยกัน คือรวมตัวอยู่ด้วยกันเสมอ evolution อื่อ, มันก็ต้องมีแก่สิ่งที่มันรวมกันอยู่ทั้งกายและจิต นี้มันจะวิวัฒน์ไปทางไหน พูดอย่างกำปั้นทุบดิน หรือพูดอย่างคนธรรมดาพูด มันก็ต้องวิวัฒน์ไปในทางที่มันสูงกว่า ดีกว่า เจริญกว่า ตัวทางธรรมะก็มองกันไปในแง่ที่ว่าไปสู่ความสิ้นสุดหรือความดับ วิวัฒนาการชนิดไหนก็ตาม ในที่สุดจะเป็นความสิ้นสุดหรือความดับ สำหรับคำว่าความเจริญนั้นเขาไม่ค่อยให้ความสำคัญ มันเป็นเรื่องของคนโลภ หรือเป็นเรื่องของกิเลสที่ต้องการความเจริญ โดยไม่มองว่าไอ้ความเจริญมันก็คือความทรมานชนิดหนึ่ง นี้ผลสูงสุดก็เลยไปสู่ไอ้ความสิ้นสุด ความหยุด ความดับ ไม่ต้องเจริญกันอีกต่อไป เพราะอันนั้นน่ะมันเป็นจุดของสิ่งที่เรียกว่านิพพานทางกายก็ได้ ทางจิตก็ได้ รวมกันก็คือทั้งหมดมันหยุดลง วิวัฒนาการมันก็ไปจบที่นั่น
ทีนี้เมื่อพูดถึงสุขหรือทุกข์ ทางธรรมะในขั้นสูงไม่ได้ถือว่าไอ้ความเจริญนั้นเป็นความสุข เพราะมันทรมาน มันทรมานชนิดใดชนิดหนึ่ง เพราะไปเอาไอ้ความสิ้นสุด ความหยุด ไม่ต้องเจริญนั้นน่ะมาเป็นความเย็น ถือเป็นความสุข ถ้าใจเรายังหวังความเจริญ ยังดิ้นรนเพื่อความเจริญ มันยังหิว มันยังกระหาย มันยังกระวนกระวาย โกลาหล ไม่มีความเย็น ถ้าเราต้องการเย็นที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราก็ต้องหยุดหวังความเจริญ หยุดบ้าความเจริญ หยุดชนิดที่ว่าจะทำให้มันเกิดความทรมานชนิดนั้นขึ้นมา แต่แล้วมันก็ยังคงทำหน้าที่ต่างๆ ไปได้ ตามหน้าที่ที่จะต้องทำ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ตาย มันก็มีกินมีใช้ แล้วมันก็เป็นอยู่ได้เหมือนกัน เพราะว่านิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถ้าจะเอานิพพานต่อตายแล้ว อ่า, ตายอีกตายแล้ว ตายอีกไม่รู้กี่ร้อย กี่พันชาติ แต่นั่นมันเป็นความเพ้อฝันมากไป แต่ถ้าจะถือหลักอย่างนั้นก็ได้เหมือนกัน เพราะมันต้องทำอย่างเดียวกัน ต้องทำหน้าที่อย่างเดียวกัน เพื่อให้มันสิ้นสุดหรือหยุดความเวียนว่าย ฉะนั้นผัวเมีย อาจจะเป็นคู่คิดนึกปรึกษาที่จะหยุดไอ้เรื่องบ้าหลัง เรื่องอะไรต่างๆ และอยู่กันอย่างเย็น อ่า, เย็น ก็ได้เหมือนกัน แล้วชีวิตผัวเมียนี้ก็ยังจะเป็นความเย็นขึ้นมาได้ นี่อุดมคติของวิวัฒนาการควรจะเป็นอย่างนี้
ฉะนั้นไม่ควรจะถือว่ามีผัวมีเมียเพียงความสนุกสนานทางเนื้อทางหนัง อ่า, ทางกิน ทางกาม ทางเกียรตินี่เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุที่คนธรรมดารู้จักแต่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องคู่ผัวตัวเมียก็เป็นเรื่องเพียงเท่านี้ แล้วก็เรื่องของชาวบ้าน เป็นโรแมนติกของเด็กเสียมากกว่า ไม่ใช่อุดมคติในพุทธศาสนา ฉะนั้นผมจึงถือหลักว่า ถ้าเป็นเรื่องของพุทธศาสนา ทุกอย่างต้องเดินไปนิพพาน จะนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ก็ได้ นิพพานก็ตายแล้วกี่ร้อยกี่พันชาติก็ได้ แล้วแต่ใครจะเข้าใจหรือชอบ และนิพพานอีกร้อยหลายพันชาตินั้นก็จะเป็นเรื่องเพ้อฝัน เป็นเรื่องทำให้เหลวไหลได้ในที่สุด เพราะมันนานเกินไป มันมีทางที่จะเลิกล้มหรือโลเล แต่นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้มันเป็นสิ่งที่จริงจัง แล้วก็ปฏิบัติได้ดีกว่า อยู่ในวิสัยที่จะปฏิบัติได้ดีกว่า เพราะเราหวังผล หรือมองเห็นผลอยู่ทุกคราวที่ทำได้ แล้วก็ช่วยกันคิดอย่างนี้ ช่วยกันทำอย่างนี้ ช่วยกันมีหลักในครอบครัวอย่างนี้ มันเย็น เย็นชั่วคราว หรือเย็นมากเย็นน้อยก็ มันแล้วแต่ที่จะทำได้
ฉะนั้นผมจึงถูกหาว่าบ้า หรือแหวกแนวหรืออะไรก็ตามที่เขาจะหา กระผมก็ต้องเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะต้องการจะชี้ในทางส่วนที่เขาไม่มองกัน แล้วเขาจะมีคู่ผัวตัวเมียเพียงเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ผมว่ามันยังไม่พอสำหรับพุทธบริษัท และต้องให้ได้อะไรมากที่สุดเท่าที่ฆราวาสจะมากได้ เพราะฉะนั้นจึงได้ชี้อุดมคติของทิศทั้งหกทิศนี้ในลักษณะที่กล่าวแล้วในครั้งที่แล้วมา หรือจะมาทะเลาะกันระหว่างผมกับผู้ฟังนี้ก็ไม่ ไม่ ไม่จำเป็น เอาไปคิดไปนึกดูก็แล้วกัน เมื่อชอบก็เอาไปเป็นหลักปฏิบัติ ไม่ชอบก็ไม่จำเป็นจะต้องทะเลาะกัน เรียกว่าพูดให้เผื่อว่าจะทำได้ดีที่สุดอย่างไร แล้วจะได้ประโยชน์มากสุดอย่างไร แต่ว่าเมื่อถือหลักอย่างนี้แล้ว เอ่อ, ก็ไม่ใช่จะต้องเสียประโยชน์อย่างอื่นไป แม้เราจะถือหลักว่า คู่ผัวตัวเมียสำหรับไปนิพพาน นี่ก็ไม่ได้เสียหลัก หรือเสียประโยชน์ หรือเสียอะไรอย่างอื่นไป เพราะมันยังคงต้องทำอยู่ตามหน้าที่ที่จะต้องทำ แต่มันทำให้เป็นบทเรียนเพื่อจะไปนิพพาน มี เอ่อ, ภรรยาก็เป็นบทเรียนเพื่อไปนิพพาน มีสามีก็เพื่อเป็นบทเรียนไปนิพพาน มีลูกเพื่อเป็นบทเรียนไปนิพพาน มีทรัพย์สมบัติก็เพื่อเป็นบทเรียนไปนิพพาน ไม่ให้หยุดอยู่ที่นี่ นี่คือความก้าวหน้าและวิวัฒนาการ และเป็นความเจริญตามทางธรรม ไม่ใช่ความเจริญทางวัตถุ
คำสอนของพวก เอ่อ, คริสเตียนที่เคยเอามาพูดให้ฟัง มันก็ไปไกลถึงอย่างนี้ แต่คนก็ไม่มองกัน พวกคริสเตียนเองก็ไม่มองกัน คือข้อที่กล่าวไว้ในคัมภีร์โปลินเชียน (นาทีที่ 12:18) ว่ามีภรรยาก็จงเหมือนกับไม่มีภรรยา มีทรัพย์สมบัติก็จงเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัตินี่ ลองคิดดูมันว่าอย่างไร มันไม่ได้หมายความว่าให้มาบ้า มาหลงเรื่องทรัพย์สมบัติ เรื่องผัวเรื่องเมีย กลายเป็นว่าจงไม่เหมือนกับไม่มีภรรยา ก็คือไม่ยึดมั่นถือมั่นเพื่อเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เพื่อมีจิตใจชนิดที่ไม่มีความทุกข์ ฉะนั้นภรรยาก็มีสามีเหมือนอย่างว่าไม่มีสามี ทุกคนมีทรัพย์สมบัติเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ มีลูกมีหลานเหมือนกับไม่มีลูกไม่มีหลาน นี่ถ้าคนอันธพาลฟัง มันก็ฟังไปในทางอันธพาล มันว่าเอาไปทิ้งเสีย เอาไปฆ่าเสีย นั่นเป็นเรื่องของคนโง่ รู้แต่เรื่องทางวัตถุ นี้คนมีปัญญามันก็มองลึกในทางจิตใจเสียว่า เราต้องมีจิตใจชนิดที่ไม่เป็นทุกข์เนื่องมาจากบุตร ภรรยา สามี แล้วจะไม่ให้ถือว่านี้เป็นเรื่องที่ฆราวาสจะต้องรู้ หรือว่าปฏิบัติอย่างไร มันเป็นเรื่องที่ฆราวาสจะต้องรู้ จะต้องปฏิบัติกันในอันดับสูง ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา มันไม่ใช่มนุษย์เฉยๆ มันไม่ใช่คนเฉยๆ มันมนุษย์ที่พบพระพุทธศาสนา นี่เพราะพบพระพุทธศาสนานั่นแหละ มันจะเต็มไปด้วยอุดมคติที่สูง ฉะนั้นขอให้สนใจฟัง อ่า, ในส่วนนี้ ในลักษณะนี้ ในทิศทางอย่างนี้กันบ้าง จะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แม้ในเพศฆราวาสนั้นเอง
และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจึงให้มองทุกสิ่งที่เป็นวิวัฒนาการนี้ ว่าจะต้องเป็นไปเพื่อนิพพาน แม้แต่ชีวิตในบ้านเรือน เรื่องครองเรือนนี่ก็ต้องเป็นเรื่องที่ไปนิพพาน ถ้าไม่อย่างนั้นก็เป็นเรื่องไปนรก มันไม่ได้อยู่ที่จุดไหนก็ต้องบากหน้า หรือบ่ายหน้าไปสู่นิพพานทั้งนั้น ฆราวาสจะอยู่ที่จุดไกลหน่อย หรือในที่รกรุงรังหน่อย มันก็ต้องดิ้นรนออกมาสู่ที่โล่งที่เตียน แล้วก็ใกล้เข้าไปเหมือนกัน นี้ให้มอง อื่อ, ความเป็นคฤหัสถ์นี่ โดยหลักที่กว้างที่สุด หรือสูงที่สุดอย่างนี้ไว้ แล้วทุกอย่างมันก็จะเป็นไปเพื่อผลอย่างนั้น แล้วมามองเพื่อ เอ่อ, เพื่อกิน เพื่อกาม เพื่อเกียรติแล้วมันจะตกนรก หรือไปสู่ความเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมันก็กิน มันก็กาม มันก็เกียรติ ไก่ตัวผู้มันยกหูชูหาง มัน นั่นก็คือมันมาแสดงเกียรติ หลงเกียรติอย่างนั้น แล้วเพียงเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินี่มันยังไม่พอสำหรับจะเป็นมนุษย์ที่พบพระพุทธศาสนา มันต้องไม่มีปัญหาอย่างอื่นที่เป็นความทุกข์เข้ามาด้วย แล้วเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินี้ก็เป็นเรื่องใต้ฝ่าเท้า ใต้ฝ่าตีน นี่พูดหยาบๆ แต่เดี๋ยวนี้คนยกเอาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติมาทูนไว้บนหัว มาเทิดไว้บนศีรษะ มันออกจะไขว้กันอยู่อย่างนี้ แล้วใครเอาเรื่องเหล่านี้เอามาทูนไว้บนศีรษะ มันก็ มันก็ต้องอยู่ต่ำเสียแล้ว แต่ถ้าเอาเรื่องอย่างนี้ไว้ใต้ฝ่าเท้า มันก็คืออยู่สูง
นี้เราลองมองดูสิ ที่อยู่กันทั่วๆ ไปนี้ มันอยู่ต่ำหรืออยู่สูง เอ้า, รวมทั้งพ่อแม่ ปูย่า ตายายของเราด้วย อยู่ต่ำหรืออยู่สูง ก็ควรจะมอง นี้เรา เอ่อ, ที่กำลังเป็นหน่องอกออกมาใหม่ หน่ออ่อนที่งอกออกมาใหม่นี่ มันจะงอกไปทางไหน อ่า, ไปในทางที่จะไปอยู่ต่ำหรือไปอยู่สูง ถ้าต้องการว่าจะให้มันอยู่สูงสมกับคำว่ามนุษย์ แปลว่าใจสูง ให้สมกับคำว่าพบพระพุทธศาสนาด้วยแล้ว มันก็ต้องคิดมากหน่อย อย่าขี้เกียจ หรือว่าอย่ารู้สึกว่ามันเหน็ดเหนื่อยแล้วก็ไม่อยากจะคิด นี่คือขอ คือข้อที่ขอให้ เอ่อ, ขอให้คิด ให้ไกล ให้กว้าง ให้สูงเข้าไว้ จะ เอ่อ, จะเป็นช่องทางให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด ที่ (?) (นาทีที่ 17:25) ปฏิบัติเป็นเรื่องของฆราวาส แล้วก็เหมาว่าเป็นเรื่องต่ำๆ แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะได้ตรัสสูตรๆ นี้ ในเรื่องของชาวบ้านธรรมดาสามัญ แสดงวิธีปฏิบัติและผลของการปฏิบัติตามธรรมดาสามัญ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะจำกัดอยู่เพียงแค่นั้น ขอให้ถือว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไร สอนอะไร จะต้องเป็นไปเพื่อ อ่า, หลุดพ้นจากความทุกข์ เพื่อวิมุตติทั้งนั้น แม้พรหมจรรย์ของฆราวาสก็ต้องเป็นไปเพื่อวิมุตติ คือหลุดพ้นจากกองทุกข์ ถ้าขึ้นชื่อว่าพรหมจรรย์แล้วก็จะต้องเป็นไปเพื่อวิมุตติทั้งนั้น
ทีนี้การปฏิบัติที่ฆราวาสจะต้องปฏิบัติให้ดีที่สุด ก็เรียกว่าพรหมจรรย์ของฆราวาส มันก็ต้องไปให้ดีที่สุด ให้ถึง ไอ้ วิมุตติ และความหมายใดความหมายหนึ่ง แต่ว่าความหมายรวมก็คือว่าหลุดพ้นจากกองทุกข์ อยู่เหนือทุกข์ และก็ต้องไม่ลืมว่าที่พูดซ้ำพูดซากจนอาจจะรำคาญแล้วก็ได้ว่า พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามีนี้ในบ้านเรือนก็มี ไม่ใช่มีแต่ในป่าหรือในวัด ตามไอ้ ไอ้ ตามบันทึกที่มันกล่าวไว้ ที่ล่วงมาแล้ว แต่การเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามีโดยเฉพาะนี่ ยังเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่ากิน ว่ากาม ว่าเกียรติ เหมือนกับชาวบ้าน แต่ต้องในลักษณะที่ผิดกัน จึงสูงกว่า ฉะนั้นการมีบุตร ภรรยา สามีของพระโสดาบัน พระสกิทาคามีที่เป็นฆราวาส มันก็ต้องต่างจากไอ้ฆราวาสปุถุชนที่หนาไปด้วยกิเลส นี้พระอนาคามีก็อยู่ในบ้านเรือนได้ ในลักษณะที่ไม่มีความทุกข์ เพราะเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้ แล้วเราก็มองกว้างกัน อ่า, หน่อย มองให้กว้างให้เพียงพอที่จะครอบคลุมไอ้ความหมายเหล่านี้ไว้ได้ให้หมด เพราะพระอริยเจ้าก็มีในบ้านในเรือน แล้วจะเรียกท่านว่าคฤหัสถ์หรือไม่ ความหมายของคำว่าคฤหัสถ์หรือคิหินี่ ก็กินความกว้างอยู่เหมือนกัน แต่ยังต้องอาศัยบ้านเรือนอยู่ ยังเนื่องกันกับบ้านเรือนอยู่ ก็เรียกว่าคฤหัสถ์หรือฆราวาสได้ แม้ว่าภายนอกมันจะเนื่องอยู่กับเรือน แต่ภายในมันก็ยังต่างกันได้ คือจิตใจน่ะมันต่างกันได้ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี หรือแม้เป็นฆราวาสครองเรือนก็ต้องมีจิตใจที่สูงกว่าชาวบ้านธรรมดา ถ้าเราเพ่งเล็งในระดับที่สูงไว้อย่างนี้ ก็ไม่ใช่เป็นคนอวดดี หรือไม่เป็นคนที่น่าตำหนิว่าอะไร ใฝ่อะไรเกินหน้าเกินตัว อย่าเข้าใจไปอย่างนั้น เป็นฆราวาสก็ต้องมีหลักว่า จะต้องให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ไว้เสมอ แม้จะหวังเพื่อนิพพานก็ไม่เข้าไปในบทว่า ใฝ่สูงเกินศักดิ์ ใฝ่อะไรชนิดที่เขาเป็นคำด่า นี้เราจึงต้องพิจารณา อ่า, เรื่องที่จะปฏิบัติกันในลักษณะอย่างนี้
ถ้าจะพูดกันแต่เพียงเท่าที่มีอยู่ในนวโกวาท ผมก็ไม่ต้องพูด เพราะว่าคุณก็ไปอ่านเอาได้ นวโกวาทก็มีอยู่ด้วยกันทุกคน แล้วก็ไปเปิดอ่านเอาได้ เขาสอนให้ปฏิบัตต่อบิดา มารดา อ่า, บุตร ภรรยา สามี เอ่อ, อะไรอย่างไรตามทิศดั่งนั้น แต่นี้มันยังมีความหมายลึกที่ซ่อนอยู่ตามระหว่างบรรทัด ที่ไม่มีทั้งตัวหนังสือปรากฏ ก็ต้องดูให้ดีด้วยเหมือนกัน ทีนี้มาดูกันละเอียดลึกซึ้งมากไปใหญ่อย่างนี้ มันก็เป็นไปในรูปของปรัชญาโดยไม่มีทางหลีก แต่ว่าเราไม่ใช่ปรัชญาเพ้อเจ้อ ปรัชญาที่ เท่าที่จำเป็น เอ่, แก่การปฏิบัติในทางศาสนานี้ ไม่ใช่ปรัชญาเพ้อเจ้อ ปรัชญาที่สำหรับถกเถียงกันไม่มีที่สิ้นสุด เตลิดเปิดเปิงไกลไปจากจุดหมาย หรือว่าจากการปฏิบัติไปสู่จุดหมายมากที่สุดอย่างนี้เราเรียกว่าปรัชญาเพ้อเจ้อ
ทีนี้คำว่าปรัชญามันมีแต่ในลักษณะที่เพ้อเจ้อ คำว่าปรัชญานั้นทำความยุ่งยากมาก เพราะว่าเขาใช้คำมันผิดจากตัวหนังสือที่เขาใช้กันอยู่แต่สมัยโบราณ ถ้าปรัชญา อ่า, จริงตามหนังสือก็แปลว่าปัญญา รู้สิ่งที่ต้องรู้ แล้วเรื่องมันก็ไม่ยุ่ง เดี๋ยวนี้มัน ปรัชญามันก็กลายเป็นปัญญาสำหรับรู้ไม่มีขอบเขต รู้เพื่อยกหูชูหาง ไม่มีที่สิ้นสุด มันก็เลยยุ่ง คิดนึกอย่างคนบ้า อ่า, ไม่มีจุดจบ แต่ความหมายของคำว่าปัญญาหรือปรัชญานี่ มันต้องจำกัด เฉพาะ กระทัดรัด ตรงไปยังจุดที่จะต้องปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ แต่ความหมาย เอ่อ, ส่วนใหญ่มันก็ยังมีอยู่ในข้อที่ว่า มองดูกันอย่างคนมีปัญญา ฉะนั้นเรามองดูฆราวาสหรือชีวิตฆราวาสอย่างคนมีปัญญา มันก็มองในรูปปรัชญาเหมือนกัน คืออุดมคติที่มันสูง สูงสุดเลยคือมุ่งไปนิพพาน ในการที่จะพูดว่า มีผัวมีเมียเพื่อเป็นคู่หูเดินทางกันไปนิพพาน นี่มันกลายเป็นปรัชญานิดหนึ่งก็ได้ แต่เป็นปรัชญาที่นำไปสู่การปฏิบัติที่จำเป็น แล้วก็มารวมอยู่ในการปฏิบัติ เป็นเรื่องของทางศาสนาไปเลย ไม่เป็นปรัชญา แต่หัดมองอย่างนักปรัชญา
ยกตัวอย่าง อื่อ, (?) (นาทีที่ 24:09) คำอีกสักคำหนึ่ง ที่สำคัญมากคือคำว่าสรณะหรือที่พึ่ง สรณะหรือที่พึ่งนี้จำเป็น และต้องการกันทุกคน ทีนี้เรื่องทิศหกนี่ทั้งเป็นเรื่องที่พึ่ง เป็นเรื่องธรรมที่พึ่ง ถ้าไม่อย่างนั้นจะต้องไปไหว้กันทำไม ไหว้ทิศทั้งหกนี่ แสดงว่าไปไหว้ ไปนอบน้อม นอบน้อมทำไม มันก็เพื่อเป็นที่พึ่ง ถ้าสิงคาลมานพโง่ๆ ก่อนพบพระพุทธเจ้า มันก็ไหว้ทิศทางต่างๆ นี่ตามที่บรรพบุรุษสอนมา มันก็เพื่อที่พึ่ง เพื่อความรอดของตัว ต่อเมื่อพบพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้ไหว้เสียใหม่อย่างนี้ ไหว้ทิศหก ก็เพื่อที่พึ่ง มันก็กลายเป็นการเลื่อนชั้นของที่พึ่งให้มันสูงขึ้นไป
ฉะนั้นคำว่าทิศทั้งหกนี้ก็หมายความว่า สิ่งที่อาจจะเป็นที่พึ่ง ในเมื่อเราประพฤติต่อ อื่อ, อย่างถูกต้อง ประพฤติต่อมันอย่างถูกต้อง ที่เรียกว่าไหว้นี่ ไม่ใช่พนมมือไหว้เฉยๆ แล้วต้องประพฤติต่อมันอย่างถูกต้อง แล้วทำไม เอ่อ, จึงเรียกมาไหว้ เพราะว่าให้ความสนใจเต็มที่ เอาใจใส่รับรู้ สนใจ เสียสละเพื่อจะรับรู้อย่างเต็มที่นั้นแหละคือความเคารพล่ะ จะเคารพครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน ไม่ใช่เพียงแต่ไหว้ด้วยกิริยาท่าทาง ด้วยร่างกาย มันต้องให้ความเอาใจใส่ทุกอย่างถึงที่สุดจึงจะเรียกว่าเคารพ ฉะนั้นคำว่าเคารพนี่ ความหมายในทางอุดมคติ เอ่, ทางลึกๆ นั้นมันหมายถึงให้ความสนใจสูงสุด ให้ความสนใจทั้งหมดลงไปในสิ่งนั้น ก็เรียกว่าเคารพ จะทางร่างกาย ทางวัตถุนี้ก็คือยกมือไหว้บ้าง ก้มกราบบ้าง อะไรบ้าง ก็ไปดูเอาเองว่าทางไหนมันจะช่วยได้ การไหว้ทิศเหมือนกัน จะพนมมือไหว้หันรอบตัว ข้างบนข้างล่างอย่างไอ้แบบโบราณนั้นมันก็อย่างหนึ่ง
ทีนี้ไหว้ทิศด้วยความสนใจ เอ่อ, ให้ความเคารพในความหมายของทิศที่ดีกว่านั้น ทิศตะวันออกคือนั่น ทิศตะวันตกคือนี่ มันก็กลายเป็นเรื่องอย่างที่เราพูด ก็เพื่อทำที่พึ่งเท่านั้นเอง บิดามารดาเป็นที่พึ่งสูงสุดอย่างหนึ่งเลย ถ้าเราทำถูกต้อง เพราะว่าเราคลอดออกมาวันนี้ เรายังทำอะไรไม่ได้ บิดามารดาเป็นที่พึ่งทุกอย่างจนมันรอด รอดเนื้อรอดตัวเป็น อ่า, เด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมา ก็เป็นที่พึ่งให้การศึกษา ให้การคุ้มครองดูแลตักเตือนจนกลายเป็นทิศเบื้องหน้าไป
นี้ทิศเบื้องหลัง บุตร ภรรยา ก็อย่ามองเขาในลักษณะดูหมิ่น มันเป็นที่พึ่งชนิดหนึ่งเหมือนกัน มันเป็นที่พึ่งข้างหลังซึ่งมีหน้าที่ที่จะต้องว่า เอ่อ, จะต้องดุนไปข้างหลัง นี่ มัน มัน มันดุนอยู่ข้างหลังให้ก้าวไปข้างหน้า นี่ผมอยากพูดทั้งที่ผมไม่เคยมีภรรยานะ พวกคุณบางคนที่มีภรรยานี่ คุณก็อาศัยภรรยาเป็นกำลังใจ คุณจะทำอะไรๆ เพื่อภรรยามากกว่าคนอื่นไหม ภรรยาเป็นกำลังใจให้คุณทำงาน อย่างนี้ก็ต้องเรียกว่าเขาเป็นที่พึ่ง ดุนอยู่ทางหลัง เป็นที่พึ่งในทางกำลังใจ เอ่อ, ถึงคนที่จะออกไปเป็น อื่อ, ฆราวาส มีภรรยาในอนาคตก็ระวังให้ดี มันจะไม่พ้นการที่จะต้องอาศัยกำลังใจจากภรรยาอยู่เหมือนกัน
นี้ก็ทิศเบื้องขวา ครูบาอาจารย์ที่เป็นที่พึ่งอย่างไรนี่เกือบไม่ต้องอธิบายกันแล้ว แต่มันเป็นที่พึ่งในทางวิญญาณ ส่วนบิดามารดาเป็นที่พึ่งทางกายทางชีวิตอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ก็เป็นที่พึ่งทางวิญญาณ ทางสติปัญญา ถึงแม้ว่าเป็นปัญญาอย่างโลกก็ตาม มันก็ยังเป็นเรื่องสติปัญญาเรื่องวิญญาณ วิญญาณชั้นโลกๆ นี้ทิศเบื้องซ้ายคือมิตรสหายนี่ มันก็เป็นที่พึ่งทางสังคม เรามีญาติมีมิตรนี่มันเพื่อการสังคม เพื่อการอยู่ในสังคม เพื่อชัยชนะทางสังคม ญาติก็ตาม มิตรก็ตามมันเป็นที่พึ่งในส่วนสังคม หรือทางสังคม หรือฝ่าย สังคม ธุระการงานอะไรเกิดขึ้น เรามีมิตร มีเพื่อนมันก็เสร็จได้ในพริบตาเดียว
นี้ทิศเบื้องบนคือสมณพราหมณ์นี้ยิ่งเป็นที่พึ่งทางวิญญาณ ในระดับสูงสุด นี้ทิศเบื้องต่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าคือบ่าวไพร่นี้มันก็เป็นที่พึ่ง มันเป็นที่พึ่งทางการใช้แรงงาน นี่มีแต่หัวมีสมองไม่มีแรงงานจะทำได้อย่างไร นี่ลัทธิยุ่งยาก เอ่อ, ในโลกเวลานี้ก็เกี่ยวกับไอ้แรงงานนี้ เกิดลัทธินายทุนจะต้องมีแรงงาน ไอ้แรงงานคือกรรมกร มันก็ไม่ยอมให้นายทุนเอาเปรียบ วิกฤตการณ์ของโลกเกิดมาจากสิ่งเหล่านี้ เพราะว่านายทุนมันไม่นับถือกรรมกรว่าเป็นที่พึ่งชนิดหนึ่ง ถ้านายทุนถือพุทธศาสนา มันก็จะให้ความเคารพและสนใจแก่กรรมกรจนไม่เกิดเรื่อง อย่างที่เกิดเรื่องขึ้นอย่างเดี๋ยวนี้ นี่คือการทำผิดในเรื่องทิศเบื้องต่ำ โลกระส่ำระสายกันทั้งโลก ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
ขอให้เอาคำว่าที่พึ่งหรือสรณะนี่ไปพิจารณาดูให้ดี เอ่อ, ไปใช้ให้ถูกต้อง ให้มีประโยชน์นะ แล้วปัญหาจะหมด ทุกสิ่งมันป็นที่พึ่งได้ในความหมายใดความหมายหนึ่งรอบตัวเรา เรามีหลังคาเป็นที่พึ่งกันฝน แต่ถ้าเราไม่มีหลังคา เรามีต้นไม้ใบไม้มันก็ยังกันฝนตามเรื่องตามราว ถ้าคนฉลาดเขาก็จะรู้ว่าทุกอย่างมันต้องเกื้อกูลแก่กันและกัน เป็นที่พึ่งแก่กันและกัน ไม่อย่างนั้นโลกนี้อยู่ไม่ได้ ถ้าโลกนี้ไม่มีมด ไม่มีแมลง อ่า, โลกนี้ก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ไม่ได้ เพราะว่าปลวกมันช่วยทำให้ใบไม้ที่หล่นลงมานั้นหมดไป แบคทีเรียมันช่วยให้สิ่งเหล่านี้มันหมดไป ไม่เกะกะกีดขวางกันอยู่ใม่ได้ มันก็เป็นที่พึ่งของสัตว์และของโลกอยู่ในโลกด้วย มันทำหน้าที่ของมันอย่างหนึ่งให้เราอยู่กันในโลกได้ เมื่อสิ่งชนิดนี้ก็ยังเป็นที่พึ่งและมีประโยชน์แล้ว ไม่ต้องพูดกันแล้วถึงสิ่งอื่นที่มันดีกว่านี้
ฉะนั้นเราจะต้องหมดไอ้ความโง่ในลักษณะนี้ หมดการยกหูชูหางว่ากูอยู่คนเดียวในโลกได้ มีความเข้าใจที่แน่นแฟ้นลงไปว่าเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ต้องร่วมมือกันทุกทิศทุกทาง และให้ถือว่าไอ้ที่มันใกล้ชิดตัวเราที่สุดนั้นก็คือทิศทั้งหกนี้เป็นสำคัญก่อน นอกนั้นมันก็อยู่ในทิศใดทิศหนึ่งนั่นแหละ ถ้าเราสงเคราะห์อยู่ได้ในทิศทั้งหกนี้หมือนกัน สิ่งใดอยู่ต่ำกว่าเรา เลวกว่าเรา หรืออะไรก็อยู่ทิศ ทิศข้างล่าง สิ่งใดมันเก่งกว่าเรา แล้วอยู่เหนือเรามันก็อยู่ทิศข้างบน นอกนั้นมันก็อยู่โดยรอบ ฉะนั้นเราทำตัวเป็นผู้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ช่วยเหลือเราโดยทุกทิศทุกทางจะไม่ดีอย่างไร ฉะนั้นความรู้เรื่องทิศนี่มันมีความมุ่งหมายอย่างนี้ ถ้าเราอยู่ในจุดๆ หนึ่ง ซึ่งมีสิ่งแวดล้อมช่วยเหลือเราทุกทิศทุกทาง แล้วประพฤติปฏิบัติต่อทิศทั้งหลายเหล่านี้ให้ได้ความหมายอย่างนี้ ให้ได้ผลอย่างนี้ นี่พูดถึงคำว่าที่พึ่งหรือสรณะเพียงคำเดียว ก็มองเห็นได้ว่าทุกอย่างถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างถูกต้องแล้ว มันเป็นสรณะและเป็นที่พึ่งได้ ตามมากตามน้อย ตามสัดตามส่วน ตามชนิดหรือลักษณะของมัน เราต้องปฏิบัติต่อทิศทั้งปวงอย่างนี้ อื่อ, หรือด้วยความมุ่งหมายอย่างนี้
แล้วทีนี้จะมาพูดทิศเป็นรายทิศกันใหม่ในระดับที่พอสมควร อ่า, จะไม่พูดถึงอุดมคติสูงสุดคือนิพพาน เพราะว่าเป็นที่เข้าใจกันแล้ว แล้วก็ปฏิบัติในระดับที่สมควรนี่ ที่ถูกต้องที่พอดีนี่จะนำไปสู่นิพพานด้วย ฉะนั้นขอให้รู้จักบิดามารดาในฐานะที่ว่าเป็นอะไรแก่บุตร อุดมคติที่สูงเกินไปก็คือว่าคลอดบุตรมาเพื่อให้บุตรเดินทางไปสู่นิพพาน มันก็สูง หรือว่ายังไม่ต้องปฏิบัติอะไรก็ได้ แต่ที่ขอให้ปฏิบัติก็คือ อย่างที่ว่ามาแล้วว่า ให้บิดามารดานี่เป็นผู้ให้ชีวิต ให้ถือว่าบิดามารดาเป็นผู้ให้ชีวิต ถ้าไม่ให้ ถ้าไม่ได้ให้เราก็ไม่มีชีวิต เราก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาในโลก ฉะนั้นเราควรจะมอบกายถวายชีวิตนี้ให้แก่บิดามารดา โดยเห็นว่า อื่อ, เป็นผู้ให้ชีวิต ฉะนั้นอย่ามีเรื่องที่ทำให้บิดามารดาเป็นทุกข์ ควรบูชาความปรารถนาของบิดามารดาเป็นสิ่งสูงสุด ถ้าตกลงกันไม่ได้เราก็ยอมเสียสละให้บิดามารดาเป็นฝ่ายชนะ
นี้เด็กๆ ก็จะถามว่าถ้าเอาแต่บิดามารดาแล้ว เราไม่มีโอกาสไปเมืองนอก ไปเรียนเมืองนอก ไปได้ดิบได้ดีอะไรมา นั้นเป็นความคิดอย่างเด็ก มันก็ไม่มีอุดมคติอย่างที่เราพูด แต่ทางที่จะออมชอมกันได้ก็คือ อื่อ, ต่อรองกันได้ เพราะบิดามารดาก็ต้องการให้ลูกดี เอ่อ,ที่สุดอยู่แล้ว ไม่จำกัดเหมือนกัน อุตส่าห์จำนำจำนองที่ดินทั้งที่ยากจนนี่ ให้ลูกไปเรียนที่กรุงเทพ อันนี้ลองคิดดู บิดามารดาหวังอย่างไร และแม้แต่เรื่องมันไม่นั่นกันจริงๆ มันถึงจะเกิด เอ่อ, ขัดขวางกันขึ้นมา ถ้าสมมติเกิดขัดขวางกันขึ้นมา เราก็ควรจะมอบกายถวายชีวิตให้บิดามารดา ให้เป็นพระพรหม หรือเป็นพระอรหันต์ อ่า, ในบ้านเรือน ให้มันสมกับว่าชีวิตนี้มันได้มาจากบิดามารดา ชีวิตของเราทั้งชาติไม่ได้ไปสนุกสนานเอร็ดอร่อยที่เมืองนอก จะรับใช้บิดามารดาไถนาอยู่ที่นี่ เราก็ทำได้ ผมยังเลือกเอาทางข้างฝ่ายนี้ ข้างฝ่ายที่ว่าบูชาความปรารถนาของบิดามารดา เอาละ ขออภัยที่ว่าจะยกตัวอย่างของผมเอง อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าผมไม่บูชาความปรารถนาของมารดาแล้ว ผมไม่ได้บวช แล้วไม่ได้มาพบคุณที่นี่ อย่างในสภาพอย่างนี้ เพราะว่าผมไม่อยากบวช เมื่อบวชนั้นน่ะ เมื่อบวชเป็นหนุ่มไม่อยากบวช ไม่เห็นมันมีความสำคัญอะไร ไม่มีความรู้ว่าเรื่องบวชนี้มันช่วยอะไรได้ แต่เพราะมารดาต้องการให้บวช ฉะนั้นจึงต้องบวช อย่างนี้เป็นต้น
เอ่อ, ฉะนั้นการที่บูชาความปรารถนาของบิดามารดาคงจะไม่ใช่ความบาปหรือเลวร้าย ไม่มีโอกาสที่จะเป็นเรื่องบาปหรือเลวร้าย มีแต่จะให้ เอ่อ, ได้ดีได้งามตามทางธรรม เพราะว่าอย่างน้อยที่สุดเราก็เป็นผู้บูชาบิดามารดา เราไม่ได้ไปเมืองนอก ไม่ดีได้เด่นกัน แต่เราก็ยังได้ชื่อว่าบูชาบิดามารดาอย่างนั้น ซึ่งเป็นของที่ทำยากหรือสูงสุด ฉะนั้นขอให้รู้จักบิดามารดาในฐานะที่ว่าเป็นพรหม อื่อ, ในบ้านเรือน เป็นพระอรหันต์ในบ้านเรือน เป็นผู้ให้ชีวิตและก็เป็นผู้ที่ เอ่, ธรรมชาติสร้างมา ให้คลอดบุตรออกมาสำหรับจะเดินทางไปนิพพาน ให้ไปในทางสูงเรื่อย ฉะนั้นหวังว่าสึกออกไปคราวนี้คงจะรักพ่อแม่มากกว่าก่อน เคารพพ่อแม่มากกว่าก่อน บูชาความปรารถนาของพ่อแม่มากกว่าก่อนบวช มันจึงจะได้ผลของการบวช หรือรู้จักไหว้ทิศทางนี้
ในนวโกวาทก็มีอะไรว่า เอ่อ, บิดามารดาเป็นทิศเบื้องหน้า เรารู้สึกว่ามีหน้าที่ที่ว่าท่านได้เลี้ยงมาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ ทำกิจของท่าน ดำรงวงศ์สกุลของท่าน ประพฤติตนให้สมควรรับทรัพย์มรดก เมื่อท่านล่วงลับไปแล้วทำบุญอุทิศให้ท่าน นี่ เขาวางหน้าที่ของบุตรเล็กๆ นี่ คือเด็กสิงคาลมานพนี่ มันจะต้องรู้สึกอย่างนี้ มันก็ถูกต้องแล้วสำหรับเด็กๆ หรือหลักทั่วไปสำหรับที่จะอยู่ในโลก เท่านี้มันก็พอ เลี้ยงมาแล้วเลี้ยงท่านตอบนี่ ความหมายนี้ดูให้ดีนะ มันไม่ใช่เพียงแต่ให้ข้าว ให้น้ำ ไม่เพียงแต่บิ (นาทีที่ 39:42) ไม่ใช่เพียงแต่แบ่งเงินเดือนให้ มันจะต้องเลี้ยงจิตใจของท่านด้วย ที่ว่าทำกิจของท่านนี่ มันก็รู้ว่าท่านประสงค์อะไร ถ้าบิดามารดาของเรามีใจสูง ต้องการอะไรนั้นน่ะ นั่นแหละคือกิจของท่านที่เราจะ เอ่อ, ต้องทำล่ะ คำว่า “กิจ” นี่ไม่ได้หมายความแต่หน้าที่การงาน บางทีแปลว่ารส (นาทีที่ 40:12)ก็มี กิจนี่หมายถึงรส รสที่ต้องการ ทีนี้บิดามารดาประสงค์อะไร มันก็ต้องเอานั่นเป็น ไอ้, ของเด็ดขาด เป็นคำประกาศิต อุทธรณ์ไม่ได้ แต่ว่าต่อรองกันได้ เพราะว่ามันมีสติปัญญาที่จะพูดจากัน จนท่านก็ไม่มีอะไรที่จะขัดความประสงค์ของเรา เราก็ไม่มีอะไรที่จะขัดความประสงค์ของท่าน
นี้ประพฤติตนเป็นคนควรรับทรัพย์มรดก นี่มันความหมายมันกว้าง มันต้องเป็นคนดี ไปเข้าใจเอาเองก็แล้วกันว่าดีหมายความว่าอย่างไร ทรัพย์มรดกนี่มันก็ต้องถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าเกิดมาจากเหงื่อไคลของบิดามารดา ถ้าเอามากินเหล้า เอามาเที่ยวผู้หญิง มันตกนรกชั้นมหาโลกันตร์อเวจี เหมือนกับเด็กๆ ที่หลอกลวงบิดามารดา ไปเล่าเรียนที่กรุงเทพฯ เอาเงินไปถลุงหมด มันก็ไปตกนรกอเวจี หรือว่า โลกันตรมหานรกอะไรก็ตาม เพราะว่าไอ้นั่นมันมาจากเหงื่อไคลของบิดามารดา และตัวเอาไปใช้อย่างนี้ ไม่ควร เอ่อ, แก่การรับมรดก
อันสุดท้ายว่า ทำบุญอุทิศให้เมื่อตายแล้ว นี้ตามธรรมเนียม ตามประเพณีของคนที่มีความเชื่อเรื่องตายแล้วเกิด ก็ด้วยน้ำใจทั้งหมดที่เราได้รักใคร่ บูชานับถืออย่างไร แม้แต่ตายแล้ว ภาพเขียนเล็กๆ ในที่เสานั้นน่ะ เรื่องเด็กคนหนึ่งเขาไปกอดเสาหลุมฝังศพของแม่ทุกคราวที่ฟ้าลั่นฟ้าร้อง ก็ทำอย่างนั้น แม้ตายไปแล้วแต่ยัง อื่อ, เหมือนกับยังอยู่ ด้วยความกตัญญู ไม่มี อื่อ, ไม่มีเวลาจำกัด ฉะนั้นประเพณีที่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บิดามารดากันเรื่อยนี่ดี ทำบุญตายายของไทย เช็งเม้งของจีนอันนี้ มันอยู่ในข้อนี้ ทำทั้งทางกาย ทำทั้งทางวัตถุ ทำทั้งทางใจ ทำทั้ง ไอ้, อะไรหมดทุกอย่างที่ทำได้ นี่มันจึงจะสมกันกับว่า บิดามารดาเป็นอะไร แล้วก็อย่าลืมว่าภาษาบาลี ใช้คำว่ามารดาบิดา ภาษาบาลี หรือภาษาสันสกฤตเหมือนกัน ภาษาอินเดีย ใช้คำว่ามารดา บิดา เอามารดามาก่อนบิดา จะด้วยความหมายอะไรไปคิดเอาเองก็แล้วกัน กระผมสมัครจะถือว่าท่านให้นึกถึงมารดาก่อน เพราะว่ามารดาร้องไห้ง่ายกว่าบิดา เอากันตามเหตุผลของเด็กๆ นะ หรือจะมองกันไปในแง่ที่ว่า เอ่อ, มารดาเหน็ดเหนื่อยกว่า เจ็บปวดกว่า ทนทรมานมากกว่าในการที่จะคลอดลูกออกมา หรือให้มีลูกออกมา ฉะนั้นต้องนึกถึงก่อน หรือจะนึกกันไปในแง่ไหนก็ตาม ให้มัน ทั้งมารดาและบิดาเป็นปูชนียบุคคลก็แล้วกัน
ในทีนี้มาพูดกันอย่างเป็นทิศที่ต้องไหว้ มารดาโผล่มาก่อนบิดาตามภาษาที่ใช้อยู่ในประเทศอินเดีย นี้ผมอยากจะพูดเพื่อให้ช่วยสนับสนุน ไอ้, ข้อความในพระบาลีนั้นน่ะ เรียกว่าเราจะต้องถือว่าบิดามารดา อ่า, เป็นผู้ให้ชีวิต คือให้ตัวตนมา ฉะนั้นค่าของเรามันก็มีอยู่แค่การให้ของบิดามารดา อย่าไปถือหลักอย่างที่อันธพาลถือ ที่พูดกัน บอกแล้ววันก่อนว่า พวกอันธพาลเขาถือว่า ท่านให้ชีวิตเรา มิใช้ให้เช่นให้ทาน กฎธรรมดาท่านไม่เป็นของน่าอัศจรรย์ บิดามารดาอาศัยความสนุกสนานส่วนตัวท่านทำให้เราเกิดมา นี่พวกอันธพาลเขาถืออย่างนี้ นี้เราจะไม่ถืออย่างนั้น แม้ว่าบิดามารดาบางคู่ จะถือ จะเป็นอย่างนั้น แต่เราก็อย่าถืออย่างนั้น บิดามารดาของเราไม่ถืออย่างนั้น บิดามารดาของเราสร้างชีวิตเรามาด้วยความอยากจะมีเรา เป็นที่ปลื้มใจ บุตรเป็น เอ่อ, สิ่งปลื้มใจ อ่า, เครื่องให้ความปลื้มใจสำหรับบิดามารดา
ทีนี้เราจะต้องถือว่า บิดามารดานี่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ก่อนใครและยิ่งกว่าใคร บิดามารดาเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดและก่อนใคร และยิ่งกว่าใคร ในบรรดาที่เรียกว่าเป็นเจ้าหนี้ คือเราเป็นหนี้ชีวิตของท่าน คือท่านให้ชีวิตเรา ด้วยการยอมเสียสละชีวิตท่านก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง เอ่อ, อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข บาลีว่า มารดา อ่า, มีความรู้สึกในใจ ถึงกับอาจจะถนอมบุตรนั้นไว้ได้ด้วยชีวิตของตน หรือว่ายอมสละชีวิตของตนเพื่อเอาลูกไว้ นี่ไปดูเถอะ อ่า, แม้แต่แม่หมาแม่ไก่อย่างนี้ สู้เพื่อลูกไม่คิดตาย นี้คนมันยิ่งกว่านั้น ฉะนั้นเราถือว่าเป็นเจ้าหนี้ชีวิต แล้วก็รายใหญ่ที่สุดกว่าอะไรหมด แล้วก็ก่อนใครทั้งหมด ก่อนเจ้าหนี้ใดๆ ยิ่งกว่าเจ้าหนี้ใดๆ นี้เราต้องยอมเป็นลูกหนี้ สิ้นเนื้อประดาตัวเลย มันจึงจะไปตามความประสงค์ เอ่อ, ของบิดามารดาได้ ฉะนั้นเราจะไม่เอาไว้ในทิศเบื้องหน้าได้อย่างไรล่ะ มันมีใครอย่างนี้บ้างที่ควรเอามาไว้ทิศเบื้องหน้า นี้ท่านก็ตรัสไว้ถูกแล้วว่า ต้องเอาบิดามารดาเป็นทิศเบื้องหน้า
ทีนี้สึกไปได้ลูกได้เมียขึ้นมา จะเอามารดา มารดา บิดามารดาไปไว้ทิศเบื้องหลัง เอาลูกเอาเมียมาไว้เบื้องหน้านี่ มันเป็นขบถ อื่อ, คนโบราณก็ยังแต่งบทสอนศีลธรรมหมายถึง (นาทีที่ 47:42) บิดามารดาว่า อ่า, เหมือนกับแขนขานี่ ส่วนลูกเมียนั้นของข้างนอก หามาได้เมื่อไหร่ก็ได้ บิดามารดาเป็นของข้างใน หยิบมานี่ตัดออกไม่ได้ ให้ความสำคัญบิดามารดายิ่งกว่าบุตร ภรรยา ดังนั้นจึงเอามาไว้ในทิศเบื้องหน้า ทีนี้เมื่อเอามาไว้เป็นทิศเบื้องหน้า เราก็มีแต่จะเดินตามเท่านั้น เพราะมันอยู่ข้างหน้า เราก็มี ทำได้แต่เดินตาม แต่คำว่า “เดินตาม” นั้น อย่าหมายความเอาว่า มันจะต้องเดินตามอย่างหลับหูหลับตา ทำให้ได้ดีกว่าก็เรียกว่าเดินตาม บิดามารดาเป็นชาวนา อ่า, เราก็ เกิดมาก็เดินตามแต่ชาวนา แต่เป็นชาวนาที่ดีกว่า ที่ยิ่งใหญ่กว่า บิดามารดาเป็นข้าราชการ เราก็เป็นข้าราชการ แต่ในตำแหน่งหรือเกียรติอะไรที่มันสูงกว่า หรือมีหน้าที่ที่จะต้องทำ ทำตามความประสงค์ เดินตามให้มันดีกว่า
เมื่อก่อนชาวนาไถนาด้วยควาย เอ่อ, เราก็เป็นลูกที่ไถนาด้วยรถแทรกเตอร์ก็ได้เหมือนกัน เป็นเรื่องเดินตาม หรือจะเปลี่ยนเป็นอะไร เอ่อ, อย่างอื่นมันก็ได้ เอ่อ, เขาเรียกว่าปัจจัย เอ่อ, ปัจจัย เครื่องดำรงอยู่แห่งชีวิตนี่ มันแบน มันกว้าง บิดามารดาก็ต้องการให้มี ให้เราหาปัจจัยเป็นเครื่องดำรงอยู่แห่งชีวิต อะไรที่ เอ่อ, ที่มันเป็นอย่างนั้นได้ ก็ได้ ถ้ามันดีกว่า มากกว่า ก็เรียกว่ามันดีกว่าบิดามารดา ในส่วนนี้ แต่เราก็ไม่พ้นไปจากที่จะเป็นลูกหนี้ของบิดามารดา บาลีเขามีพูดไว้ที่อื่นว่า บุตรนั้นมีสาม คือว่าบุตรที่เลวกว่าบิดามารดา บุตรที่เสมอกับบิดามารดา บุตรที่ดีกว่าบิดามารดา อติชาตัง อวชาตัง อนุชาตัง ไอ้เลวกว่าบิดามารดานี้ก็เหมือน อ่า, ไม่ได้หมายความว่าเลว ทำเสียหาย แต่ว่าทำอะไรได้น้อยกว่าบิดามารดา เสมอกันก็ทำ ไอ้, ฐานะนี่ได้เท่าๆ กัน ทำ อ่า, ดีกว่าก็คือว่ายกฐานะของวงศ์ตระกูลได้ ได้ ได้ดีกว่า มากกว่า สูงกว่า ความหมายก็มีเพียงเท่านี้ แต่มี เอ่อ, พระพุทธภาษิตคำสุดท้ายว่า ในบุตรสามอย่างนั้น บุตรที่เชื่อฟังเป็นบุตรที่ประเสริฐที่สุด คือไม่ถือว่าไอ้บุตรสามอย่างนั้นน่ะ อันไหนจะดีไปได้นอกจากบุตรที่เชื่อฟัง ฉะนั้นบุตรที่ดีกว่าบิดามารดาต้องเป็นบุตรที่เชื่อฟัง บุตรที่เสมอกว่าบิดามารดาก็ต้องบุตรที่เชื่อฟัง บุตรที่มีอะไรด้อยกว่าบิดามารดา ก็ต้องเป็นบุตรที่เชื่อฟัง ทีนี้เขาระบุบุตรที่เชื่อฟังเป็นบุตรประเสริฐสุด อ่า,บุตรที่เชื่อฟังก็คือบุตรที่ไหว้ทิศ เอ่อ, อย่างถูกต้องนี่ ทุ่มเทความเคารพกว่าใครทั้งหมดลงไปในบิดามารดา
เรื่องทิศเบื้องหน้าที่บิดามารดามีอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นขอให้ประมวลความหมาย เอ่อ, ต่างๆ หรือคำบรรยายที่ได้บรรยายไปแล้วนี้ไปให้ครบถ้วน ให้รู้จักทิศเบื้องหน้า เอ่อ, ว่ามันไปเป็นทิศเบื้องหน้าอย่างไร มีความสำคัญจนถูกยกเอามาไว้เป็นทิศเบื้องหน้าอย่างไร บิดามารดา เอ่อ, เป็นอาจารย์คนแรก นี่เราอย่าเอาไปปนกับอาจารย์ที่เป็นทิศเบื้อง เอ่อ, เบื้องขวา หรือว่าถ้าจะแยกบิดามารดาให้เป็นหลายส่วน บิดามารดาก็เป็นได้ อ่า, ได้หมดได้เหมือนกัน คือบิดามารดาอาจจะเป็นเพื่อนก็ได้ เป็นครูบาอาจารย์ก็ได้ หรือเป็นอะไรได้ทุกอย่าง อื่อ, ที่ท่านจะทำได้ แต่โดยส่วน เอ่อ, ส่วนใหญ่ ส่วนประธานเป็นผู้ให้ชีวิต แล้วก็เริ่มเป็นครูคนแรก ไปดูลูกสัตว์ที่เกิดมา แม่เป็นครูคนแรก ลูกไก่ ลูกสุนัข ลูกหมู ลูกวัว ลูกควายอะไรก็ตาม แม่เป็นครูคนแรก สอนให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ คนก็เหมือนกัน และนิสัยใจคอนี่มาจากแม่ เพราะว่าคลอดออกมาก็ดื่มน้ำนมแม่ อยู่กับแม่ อะไรก็แม่ เห็นสิ่งต่างๆ ที่แสดงอยู่ที่แม่ ไปสร้างนิสัยของเราให้เหมือนแม่มากกว่าคนอื่น นี้ก็เป็นครูคนแรก มารดาบิดาเป็นครูคนแรก ฉะนั้นมารดามาก่อนเลยเป็นครูคนแรกกว่า กว่าพ่อ ฉะนั้นมันมาก เอ่อ, มันมากไปกว่าที่ว่าให้ชีวิตทางร่างกายอย่างเดียว มันให้ชีวิตทางวิญญาณ ทางนามธรรมด้วย ชีวิตสองความหมาย คือทาง (?) (นาทีที่ 53:42) ทาง spiritual เราก็ได้ชีวิตทั้งสองข้างนี้จากมารดา จากบิดา และที่มารดาใส่ไอ้, ไอ้ความรู้หรือความทางสูงในวิญญาณให้ทีละน้อยๆ ตั้งแต่วันแรกเกิดมา พอลืมตาขึ้นมาเห็น ส่วนชีวิตทางการสืบพันธุ์ ทางกายนั้นก็เป็นชีวิตหนึ่ง เป็นครูคนแรกตั้งแต่ลืมตามาในโลก ก็ต้องบูชาเป็นทิศเบื้องหน้า แล้วก็เป็นพรหม ข้อนี้ถ้าความหมายทั่วไปก็ถือว่าความรัก หรือเมตตา ไม่มีใครจะรักเรายิ่งกว่ามารดาหรือบิดา ฉะนั้นท่านจึงเป็นพรหม ทีนี้คำว่าพรหมนี่มันมีความหมายไกลไปถึงว่าประเสริฐที่สุด ในที่สุดก็ได้ ทางพุทธศาสนาก็ไปอยู่ที่คำว่า อาหุไนยยา จะ ปุตตานัง คือเป็นผู้ที่บุตรควรบูชาราวกับว่าเป็นพระอรหันต์ บิดามารดาเลยเป็นพระอรหันต์ในบ้านเรือนของลูก ขอให้ปฏิบัติต่อบิดามารดาอย่างนี้ ตามหลักพระพุทธศาสนา แล้วสิ่งที่กล่าวไว้นวโกวาทก็เป็นของง่าย ง่ายเหลือจะง่ายที่จะปฏิบัติ เอ่อ, จึงหวังว่าเราจะมีอุดมคติเทิดทูนบิดามารดาเป็นทิศเบื้องหน้าในลักษณะอย่างนี้ แล้วสึกออกไปก็จะรักพ่อแม่ยิ่งกว่าเก่า จะบูชาพ่อแม่ยิ่งกว่าเก่า จะเสียสละให้พ่อแม่ได้ยิ่งกว่าเก่า ไม่เสียทีที่ว่าบวชมาแล้วเป็นบัณฑิตสึกออกไป แล้วเวลาของเราก็หมด มีเพียงเท่านี้