แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอให้เข้าใจว่าไอ้เรื่องธรรมปาฏิโมกข์ของเราก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูไปตามเดิม แต่ว่าเราจะพูดในทุกแง่ทุกมุม ระยะนี้พูดกันถึงเรื่องความสับปลับของภาษาเป็นส่วนมาก ถึงวันนี้ก็จะพูดกันถึงเรื่อง ความสับปลับกลับกลอกของภาษาต่อไปตามเดิมคือเรื่อง “ตัวกูกับความปฏิกูล”
ตัวกูกับความปฏิกูลหรือสิ่งปฏิกูลแล้วมันก็เป็นเรื่องเนื่องกันไปถึงข้อที่ว่าตายเสียก่อนตาย ที่แล้วมาเราพูดถึงเรื่องตายเสียก่อนตายในฐานะเป็นเรื่องสำคัญเรื่องเดียว แล้วก็ยังมีความสับปลับของภาษาว่า ไอ้ตายเสียก่อนตายนั่นละคือไม่ตายเสียก่อนตาย ถ้าเราตายเสียก่อนตายได้แล้วก็คือไม่ตายอีกต่อไปก็เรียกว่าเราไม่ตายเสียเสร็จแล้วก่อนแต่ร่างกายจะตาย ก็ได้พูดให้เห็นในข้อนี้แล้วว่าคำพูดนี้มันดิ้นกลับไปกลับมาสำหรับคนโง่ ถ้าคนฉลาดนี่คำพูดหลอกลวงเขาไม่ได้ ถ้าเขาเป็นคนรู้แล้วถึงธรรมะแล้ว พูดว่าตายเสียก่อนตายนี่เขาเข้าใจทันทีว่าหมายถึงอะไร พอพูดว่าไม่ตายเสียก่อนตายเขาก็เข้าใจทันทีอีกเหมือนกันว่ามันหมายถึงอะไรแล้วจะไม่รู้สึกว่ามันสับปลับ ทีนี้ พวกคนโง่เท่านั้นที่จะฟังดูว่า เอ๊ะ นี่ พูดสับปลับกลับไปกลับมา เดี๋ยวพูดว่าตายเสียก่อนตาย เดี๋ยวไม่ตายเสียก่อนตาย เพราะนั้นเรายังเป็นคนโง่หรือคนรู้แล้วก็ทดสอบดูเองด้วยข้อนี้ ผู้มีปัญญาจริง ๆ มันฟังออกแล้วก็ไม่ต้องพูดออกมาแล้วก็ไม่ต้องค้าน คือว่า ไม่ต้องพูดว่าสับปลับ จะไม่รู้สึกว่าสับปลับ พูดว่าตายเสียก่อนตายเขาก็ฟังออกว่า โอ้ย หมดความรู้สึกว่าตัวกูเสียก่อนแต่ร่างกายแตกดับ พอพูดใหม่ว่าไม่ตายเสียก่อนตาย เขาก็ฟังออกว่าหมดตัวกูเสียก่อนร่างกายแตกดับอยู่นั่นเอง ฉะนั้น เขาจึงไม่รู้สึกว่าคำพูดนี้กลับไปกลับมากลับกลอกหรือสับปลับ ส่วนปุถุชนคนโง่ มันก็รู้แต่ตัวหนังสือหรือคำพูด อันหนึ่งพูดว่าตาย อันหนึ่งพูดว่าไม่ตาย มันก็รู้สึกว่ากลับกลอกหรือสับปลับ ฉะนั้น จะเป็นคนโง่อยู่กี่มากน้อยก็ลองไปวัดตัวเองดูแล้วกัน
นี้เป็นตัวอย่างชี้ให้เห็นไอ้ความดิ้นได้หรือสับปลับของภาษาพูดสำหรับคนโง่ ทีนี้ วันนี้จะพูดกันถึงเรื่องความปฏิกูลที่เกี่ยวกับตัวกูนี้ ก็พูดให้เห็นไอ้ความกลับกลอกหรือสับปลับกลับไปกลับมาอีกแง่หนึ่งที่เกี่ยวกับความปฏิกูล ต้องเอาเรื่องปฏิกูลมาพูดซ้ำกันอีกทั้งที่เคยพูดแล้วสำหรับวันนี้ เพื่อจะชี้ให้เห็น ในแง่ของภาษาพูดที่มันฟังดูแล้วมันกลับกลอกและโดยเฉพาะแก่คนโง่จะรำคาญ จะยุ่งยากในใจ โดยหลักใหญ่ ๆ เราพูดได้ว่าไอ้ความรู้สึกว่าปฏิกูลนี้มันมีอยู่คู่กันกับตัวกู ถ้าตัวกูมันยังมีอยู่แล้วความรู้สึกว่าปฏิกูล คือน่ารังเกียจนี้จะมีอยู่ ถ้าไอ้ความรู้สึกว่าตัวกูมันหมดไปแล้วความรู้สึกว่าปฏิกูลก็ไม่เหลืออยู่เหมือนกันหมดพร้อมกันไป ทีนี้ เราพูดถึงเรื่องปฏิกูลส่วนใหญ่มันก็ยังเนื่องกันอยู่กับตัวกู-ของกู ถ้าไม่มีความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกูแล้วมันไม่มีความหมายว่าอะไรจะปฏิกูลหรือไม่ปฏิกูล นี่ เกี่ยวกับปฏิกูลนี้ให้ทบทวนดูโดยหลักทั่วไปมันก็มีอยู่ถึง ๔ หัวข้อ หรือ ๔ ความหมาย
อันดับหนึ่งก็คือ คนไม่รู้หรือคนโง่ ปุถุชนคนธรรมดามันก็เอาตามความรู้สึก เช่นว่า อุจจาระปัสสาวะที่เหม็นอันนี้ก็ถือว่าเป็นปฏิกูล แต่ส่วนไอ้ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ที่ตัวมัวประดับตกแต่งอยู่นั้นไม่รู้สึกว่าปฏิกูล ฉะนั้น ก็จึงชอบไอ้สิ่งเหล่านั้นเอามายึดถือมาชมเชยอยู่ นั่น ปฏิกูลครั้งแรก เรารู้สึกว่าปฏิกูลอันดับแรกของคนปุถุชนทั่วไป ปฏิกูลแต่ของเหม็นส่วนของที่เหม็นหรือว่ากลบเกลื่อนไว้ด้วยความหอมอะไรนี้ แต่ถ้ามันถูกแก่กิเลสของตัวแล้วก็ไม่ถือว่าปฏิกูล ฉะนั้น มันจึงไปสัมผัส จูบ กอดของเหม็นในฐานะที่เป็นของหอมก็ได้
ทีนี้มาถึงอันดับที่สอง อย่างที่คุณก็ได้ยินเมื่อเวลาบวชบวชพระบวชเณรนี้ก็ต้องมีสอนเรื่องปฏิกูล โดยเฉพาะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่ไม่รู้สึกว่าปฏิกูลมาแต่ก่อนนั้นให้รู้สึกว่าปฏิกูลเดี๋ยวนี้ แม้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จะถูกฉาบ ย้อม อบ อาบ อะไร ให้มันมีอะไร เป็นอย่างไร ก็ยังให้รู้ว่ามันปฏิกูล เดี๋ยวนี้ผู้บวชก็เริ่มรู้ หรือมองเห็นหรืออะไรก็ตามใจว่า ไอ้ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่อยู่ที่เนื้อที่ตัวของเราแท้ ๆ ที่เราลูบ ทา อบ อาบอยู่เสมอนี้ก็ปฏิกูลเหมือนกัน นี่ เป็นชั้นที่สอง
ทีนี้พอมาถึงชั้นที่สาม มันจะสูงขึ้นไปมากกระโดดสูงขึ้นไปมากจนรู้สึกว่าอะไร ๆ ก็ปฏิกูล จนกลายเป็นว่าสังขารนี่มันปฏิกูลทั้งหมดเลยเพราะมันมีไม่เที่ยง มีความไม่เที่ยง เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น มันหลอกให้ยึดมั่นถือมั่น ของทุกอย่างนี่มันหลอกให้เรายึดมั่นถือมั่น ยินดีกับฝ่ายหนึ่ง ยินร้ายกับฝ่ายหนึ่ง เลยมองเป็นทุกสิ่งปฏิกูลเสมอกันหมด คือน่าเอือม น่าระอา น่าเบื่อหน่ายเหมือนกันไปหมดไม่ว่าอะไรเลย มาถึงขั้นที่สาม นี่ กลายเป็นว่าทุกสิ่งปฏิกูลหมด
ทีนี้ ถ้ายังปฏิบัติต่อไปสูงถึงขั้นสุดท้ายขั้นที่สี่ สติปัญญาถึงระดับสูงสุดแล้วมันก็เปลี่ยนไปอีกทางหนึ่งกลายไปเห็นว่าไม่มีอะไรที่ปฏิกูลคือไม่มีอะไรที่ปฏิกูล คือทุกสิ่งไม่ปฏิกูล จิตที่มันไม่มีความไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ปฏิกูลเลยหรือไม่...ไม่ปฏิกูล หมายความว่าไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ปฏิกูลหรือไม่ปฏิกูล แต่ความหมายสำคัญมันอยู่ที่ว่าไม่มีอะไรที่ปฏิกูล คือมันเฉยได้ต่อทุกสิ่ง ไม่อึดอัด ไม่อิดหนาระอาใจต่อสิ่งใดทั้งหมด ขั้นนี้คือขั้นที่มันหมดความรู้สึกตัวกู ความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกูที่เป็นตัณหาอุปาทานมันหมดไป มันไม่มีอะไรเป็นที่ตั้งสำหรับจะรับไอ้ความอึดอัด หรือไอ้ความรังเกียจ หรือความเป็นปฏิกูล นี่ ต้องทบทวนให้ดีเข้าใจให้ดี แล้วก็ไปรู้ว่ามันมีอยู่จริงอย่างไร? และตัวเรานั้นอยู่ในสภาพเช่นไร? ตัวเรายังโง่ ยังเป็นเด็กอมมือ หรือว่าเป็นขนาดกลาง หรือขนาดไหน
ถ้าสรุปอีกทีหนึ่งก็ต้องพูดว่าอันดับแรกที่สุด ปุถุชนธรรมดาเห็นปฏิกูลแต่สิ่งที่มันเน่าเหม็นที่ทุกคนเขารู้สึกขยะแขยง ทีนี้ พอมาได้รับฟังคำสั่งสอนของพระอริยเจ้าในอันดับชั้นที่สองนี้ก็รู้ว่าแม้ที่คนเขาไม่ขยะแขยงนั่นก็มีความเป็นปฏิกูล เช่น เนื้อหนังที่อบทาไว้ดีนี้ หอมดี สวยดีนี้ก็เป็นปฏิกูล เหมือนอุจจาระปัสสาวะเหมือนกัน นี่ มันผิดกันขึ้นมาหน่อยหนึ่งอย่างนี้ ทีนี้ ต่อมาก็มองเห็นว่าทุกอย่างปฏิกูลดูแล้วน่าเกลียดทั้งนั้นน่ารังเกียจทั้งนั้นคือไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงเรื่อย เป็นมายาหลอกลวง แม้กระทั่งก้อนหิน ก้อนดินที่ไม่มีความหมายอะไรนี้ก็ปฏิกูล พูดถึงมนุษย์ พูดถึงความรู้สึกคิดนึกของมนุษย์ กิเลสของมนุษย์อะไร ก็ปฏิกูลหมด เป็นอันว่าไม่มีอะไรที่จะไม่ปฏิกูลกลายเป็นปฏิกูลไปหมด น่ารังเกียจไปหมด เกิดนิพพิทา ความเบื่อหน่ายในสิ่งต่าง ๆ หมด ในลักษณะที่อึดอัด ไม่สบายอยู่ ทีนี้ พอมาถึงขั้นสุดท้ายขั้นที่สี่มันดีกว่านั้น มันไปสูงกว่านั้นคล้าย ๆ จะพูดว่า มันบ้าวู้ยไปเที่ยวดูเป็นปฏิกูล ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติมันอย่างนั้นของมันเอง เราจะไม่ไปนึกว่ามันปฏิกูลหรือไม่ปฏิกูล เราเฉยได้ในทุกสิ่ง สิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ทำ สิ่งใดที่ไปทำเข้ามันเป็นความโง่ก็ไม่ไปทำ แม้ในสิ่งนั้นจะปฏิกูลหรือจะไม่ปฏิกูลมันก็ไม่มีปัญหาเพราะมันรู้จักสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำอยู่แล้ว และในจิตใจไม่อึดอัดด้วยสิ่งใดหมด แม้แต่ความทุกข์ก็ไม่รู้สึกว่าปฏิกูลคือไม่อึดอัดใจด้วยความทุกข์ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายอะไร เราไม่รู้สึกอึดอัดใจรังเกียจเดียดฉันท์อะไรกับสิ่งเหล่านั้น มันก็เลยพ้นอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น เขาก็เรียกว่าเหนือความเป็นปฏิกูลหรือไม่ปฏิกูล แต่รวมเรียกว่ารู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ปฏิกูลคือน่าอึดอัดใจ
ทีนี้ไอ้พวกคนโง่ ๆ ฟังไม่ดี ฟังแต่ตัวหนังสือก็จะฟังผิด เหมือนเรื่องจิตว่างนี่ เรื่องจิตว่างแล้วก็ทำอะไรได้ทั้งนั้นสกปรกลามกอะไรก็ได้ทั้งนั้น นี่เดี๋ยวจะฟังไปว่าเมื่อไม่มีอะไรปฏิกูลแล้วก็ทำสกปรกลามกอะไรก็ได้ทั้งนั้น ต้องให้รู้ว่าการที่จะมีจิตสูงถึงขนาดไม่มีอะไรปฏิกูลนั่นมันไม่มีกิเลสที่จะทำอะไรไปตามอำนาจของกิเลสไปทำความสกปรกลามกแล้วก็บอกว่าไม่ปฏิกูลหรือทำด้วยจิตว่างอะไรทำนองนั้น เพราะฉะนั้นมันเห็นได้ชัดว่ามันขึ้นอยู่กับความซื่อตรงต่อตัวเองของคนนั้น ถ้าคนนั้นมันเป็นคนโง่ คนโกหก คนหลอกลวง คนอะไรแล้วมันก็ต้องผิดไปหมดละ และคนพูดโกหกนี้จะต้องทำเลว ทำชั่ว ทำลามกได้ทุกอย่างจนมีพุทธภาษิตว่า ไอ้ความชั่วที่คนโกหกจะทำไม่ได้นั้นไม่มี ฉะนั้นถ้าใครเป็นคนพูดโกหกแล้วให้พึงรู้เถิดว่ามันเป็นคนทำความชั่วได้ทุกอย่างเพราะมันมีเหตุผลสำหรับแก้ตัวของกิเลสเสมอ นี่ เขาเรียกว่าคนโกหกต้องทำความชั่วได้ทุกอย่าง สันนิษฐานได้หรือเชื่อได้เลยแม้ไม่เห็นก็เชื่อได้ว่าไอ้คนพูดโกหกอยู่เป็นประจำต้องทำความชั่วได้ทุกอย่าง
ทีนี้ ขอให้สังเกตไอ้ความสับปลับของภาษาใน ๔ ขั้นนี้ ทีแรกพูดว่า นี่ปฏิกูล นั่นไม่ปฏิกูล แล้วกลับไปพูดว่าไอ้ที่ไม่ปฏิกูลนั้นก็ปฏิกูลอีกเหมือนกัน แล้วต่อมาเป็นปฏิกูลหมดทุกอย่าง แล้วต่อมาเป็นไม่มีอะไรปฏิกูลเลย นี่ ความสับปลับทางตัวหนังสือทางคำพูดเป็นอย่างนี้ ที่เป็นอย่างนี้นั้นมันเนื่องจากระดับของจิตใจมันสูงขึ้นไป ถ้าเรามีระดับจิตใจสูงขึ้นไปไอ้ความรู้สึกมันก็สูงขึ้นไป คำที่พูดออกมามันก็เปลี่ยนความหมายทันที คนโง่ ๆ ชั้นต้นเห็นว่าอุจจาระปัสสาวะปฏิกูล แต่เรื่องเพศ เรื่องกามารมณ์ เรื่องอะไรไม่ปฏิกูลมันรู้สึกแค่นั้น จิตใจมันต่ำแค่นั้น ต่อมาสูงขึ้นมาจนว่าไอ้เรื่องกามคุณเรื่องนี้ก็ปฏิกูล ต่อมาสูงไปอีกว่าทั้งหมดปฏิกูล กามคุณไม่กามคุณอะไรมันล้วนแต่ว่าน่าละอายทั้งนั้น พอสูงขึ้นไปอีกว่าไม่มีอะไรที่น่าระอาเลยคือไม่ปฏิกูลเลยมันเป็นความจริง ไม่สับปลับ ไม่โกหกหลอกลวงอะไร แต่คนโง่จะต้องฟังไม่ออก แล้วก็หาว่าพูดสับปลับกลับไปกลับมาเดี๋ยวปฏิกูล เดี๋ยวไม่ปฏิกูล เวียนหัว แล้วก็ไม่สนใจแล้วก็เลิกกัน
ทีนี้ เอามาพูดให้เห็นว่าความสับปลับของคำพูดของภาษานั้นมันสับปลับอยู่ที่คนโง่ ไม่ได้สับปลับอยู่ที่ผู้รู้ เพราะนั้นภาษาคนมันสับปลับ ภาษาธรรมะไม่สับปลับ แต่ผู้ฟังจะฟังภาษาธรรมะออกก็ต้องมีจิตใจสูงเสมอกันจึงจะฟังออกคือเป็นผู้รู้ด้วยกัน จะให้คนพาล คนโง่ มาฟังภาษาของบัณฑิต นักปราชญ์นี้ ก็มันก็ยากเว้นไว้แต่จะพยายามไป พยายามไป แล้วที่จะให้คนพาลคนต่ำมายินดีในของสูงนี้มันก็ยาก ยากอีกเหมือนกัน
ทีนี้ ก็อยากจะให้ดูไปถึงข้อที่ว่าการศึกษาและการปฏิบัติธรรมะนี้มันช่วยให้เลื่อนชั้น เลื่อนชั้นในเรื่องปฏิกูลนี่มาตามลำดับ เมื่อเราไม่ได้บวช ไม่ได้ฟังเรื่อง มูลละ ตัจจะ ปัญจะกะกัมมัฏฐาน (นาทีที่ 21:20) อะไรเหล่านี้เราก็เหมือนคนธรรมดาที่เคยถือเอาเองรู้สึกเอาเองว่านั่นปฏิกูล นี่ไม่ปฏิกูล ทีนี้ ต่อเมื่อได้ศึกษาเรื่อง ตัจจะ ปัญจะกะกัมมัฏฐาน (นาทีที่ 21:40) กันอย่างจริงจังนะจึงจะมองเห็นว่า เออ เรามันโง่อยู่มากแล้วก็มองเห็นความเป็นปฏิกูลสูงขึ้นมาหรือกว้างออกไปอย่างมาก หายโง่ขนาดพอที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะ (นาทีที่ 21:58) ได้ เหมือนกับที่เราพูดกันเมื่อวันบวช ต้องหายโง่ระดับนี้จึงจะมีจิตใจพอสมควรที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะ (นาทีที่ 22:08) ได้ แล้วก็นุ่งห่มผ้ากาสายะ (นาทีที่ 22:12) ไป
ทีนี้ ก็มาศึกษาปฏิบัติต่อไปอีกจนเห็นว่า โอ้ย มองดูกันในแง่ที่มันเป็นมายาหลอกลวงแล้วมันเป็นไปทุกสิ่งทุกอย่างในบรรดาสังขารทั้งหลาย แล้วสิ่งที่ปฏิกูลที่สุดนั้นนะก็คือกิเลสหรือมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดความโง่ที่เป็นกิเลส เป็นราคะ เป็นโลภะเป็นกิเลส อันนี้คือสิ่งที่ปฏิกูล ฉะนั้นถ้าสิ่งนี้มันไปลูบคลำเข้าที่อะไรไอ้อันนั้นก็พลอยเป็นปฏิกูลไปด้วย เรามีกิเลสแล้ว กิเลสไปลูบคลำจับฉวยเข้าที่อะไรมันก็พลอยเป็นปฏิกูลไปหมด แม้จะไปลูบคลำในความดี ที่เขาเรียกกันว่าความดี เกียรติยศ ชื่อเสียงอะไร ถ้าไปลูบคลำเป็นตัวกู-ของกูขึ้นมา มันก็กลายเป็นของให้เกิดความทุกข์ไปหมดนี่เรียกว่ากิเลส นี่ไปลูบคลำอะไรเข้าแล้วก็อันนั้นมันก็เป็นของเสียไปหมดทั้งที่มันเคยเป็นของดีอยู่ก่อน นี่ เราก็รู้อยู่แล้วว่าเรามีกิเลสที่มากน้อย มีราคะจัดกี่มากน้อยมันรู้อยู่แล้ว คนอื่นไม่รู้แต่ตัวเองมันก็รู้ แล้วมันจึงเป็นคนปฏิกูลไปทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งวาจา แม้จะพูดจาต่อหน้าเป็นคนดีมันก็เป็นคนโกหก มันก็เป็นคนทำบาปอยู่ตลอดเวลาทุกอย่างทุกประการ
นั่น มองดูให้เห็นว่าถ้ามันเกี่ยวข้องกับกิเลสตัณหาอย่างนี้แล้วมันปฏิกูลไปหมดไม่ว่าอะไรนี้อย่างหนึ่ง หรือจะเอาเป็นว่าถ้ามันยังอยู่ในวงของความเปลี่ยนแปลงคือไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงเรื่อยแล้วก็เรียกว่า เป็นปฏิกูลไปหมด มันทำความเจ็บปวดรวดร้าวให้แก่ผู้เข้าไปยึดถือว่าของตัว เช่น ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ วาสนานี้ มันเป็นปฏิกูล เพราะมันย่ำยีจิตใจของเจ้าของผู้โง่เขลาให้เป็นทุกข์ให้มีความทุกข์แล้วสำหรับคนธรรมดา สำหรับคนธรรมดาสามัญแล้วมันก็ไม่ต้องสงสัย มันมีความรัก มีความพอใจ ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องเงิน เรื่องของ เรื่องอำนาจวาสนา เกียรติยศ ชื่อเสียง ลูกเมีย อะไรต่าง ๆ เพราะนั้นสิ่งเหล่านั้นเลยพลอยเป็นเครื่องทรมานจิตใจคนครอบงำย่ำยีให้คนลำบากเดือดร้อนน่าระอาไปหมด ผู้มีปัญญาในระดับนี้มองเห็นเป็นปฏิกูลไปหมด มันจึงเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องเงิน เรื่องของ เรื่องอะไรต่าง ๆ มันต้องการจะพ้นจากสิ่งเหล่านี้ ยืนอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ มันจึงแสวงหาความพ้นจากสิ่งเหล่านี้ จะไปปฏิบัติธรรมะทำความเพียรอะไรก็เพื่อให้พ้นจากสิ่งเหล่านี้ ยืนอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ก็เพราะว่ามองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมันปฏิกูล มันน่าขยะแขยง มันน่ารังเกียจนั่นเอง ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้าก็ได้คือท่านออกจากบ้านเรือนไปบวชนี่ก็หมายความว่ารู้สึกว่าไอ้ข้างหลังทั้งหมดนั่นมันปฏิกูล มันน่ารังเกียจ มันน่าเบื่อ มันน่าระอา มันน่าขยะแขยง เพราะนั้นจึงสลัดทุกสิ่งไปบวช ก็หมายความว่าไอ้ความปฏิกูลนั่นละมันผลักดันไป มันส่งเสือกไสให้ออกไปเสียให้พ้น ท่านจึงเรียกว่า เนกขัมมะ หรือ อภิเนษกรม ออกไปเสียให้พ้น ทีนี้ พอออกไปพ้นแล้วถ้าไปอยู่อย่างนั้นแล้วมันก็แย่ ถ้าไปอึดอัดอยู่อย่างนั้นแล้วมันก็บ้าเลย ฉะนั้น ท่านต้องไปหาวิธีที่จะอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นคือค้นคว้าจนตรัสรู้ จนจิตใจอยู่เหนือสิ่งทั้งปวงไม่มีอะไรครอบงำจิตใจให้อึดอัด ให้เป็นทุกข์อีกต่อไปนี่เรียกว่าหลุดพ้น (วิมุตติ) หลุดพ้นออกมาได้จากทุกสิ่งเลยไม่มีอะไรที่ปฏิกูล มองดูไปรอบด้าน ข้างบน ข้างล่าง ทางไหน ทิศไหนก็ตาม ไม่มีอะไรที่จะต้องไปรู้สึกว่ามันปฏิกูล มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมดา มันเป็นของธรรมดาเสมอกันหมด ก็ไม่ควรจะไปจัดประเภทว่านั่นนี่ปฏิกูลอีกต่อไป นี้ ก็เรียกว่าจิตใจมันสูงสุดจนไม่มีอะไรปฏิกูล
ทีนี้ ไอ้หลัก ๔ ประการนี้มันยังคงมีอยู่สำหรับชาวบ้าน ถ้าพูดกับชาวบ้านมันก็ต้องพูดว่าอุจจาระปัสสาวะปฏิกูล น้ำอบน้ำหอมไม่ปฏิกูล ถูกแล้ว, พูดกับชาวบ้าน พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องพูดอย่างนั้น เพราะมันพูดกับคนโง่ ทีนี้ ต่อเมื่อจะพูดกับคนที่มีปัญญาสูงขึ้นไปเป็นระดับ ๆ ก็พูดไปตามที่สมควรที่มันตรงกันกับระดับ เขาจึงมีแบ่งบัญญัติเป็นว่าพูดอย่างสมมติก็มี พูดอย่างปรมัตถ์ก็มี พูดอย่างสมมติก็พูดตามภาษาชาวบ้าน พูดอย่างปรมัตถ์ก็พูดตามความจริงที่พระอริยเจ้าท่านรู้กัน ทีนี้ เราก็มองเห็นว่าไอ้การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนานี่มันเลื่อนชั้นคนให้สูงขึ้นไปตามลำดับเกี่ยวกับปฏิกูลหรือไม่ปฏิกูล อย่างนี้ จากโง่ ไปถึงครึ่งโง่ ครึ่งฉลาด แล้วจนกระทั่งไปถึงฉลาดที่สุดเกี่ยวกับปฏิกูลหรือไม่ปฏิกูล ฉะนั้น ถ้าเรามัวไปอึดอัดอยู่ด้วยอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็ขอให้ถือว่ามันยังโง่อยู่ วันไหนรู้สึกอึดอัดใจกับอะไร สิ่งใด บุคคลใด การงานอะไรก็ให้รู้สึกว่ามันยังโง่อยู่ก็แล้วกัน ถ้ามันฉลาดมันต้องรู้จักทำให้จิตใจนี้ไม่อึดอัดกับสิ่งใด
ทีนี้ ก็ดูต่อไปอีกที่ว่าถ้ามันมีตัวกูมันก็ยังเกี่ยวกับความรู้สึกที่เป็นปฏิกูล ถ้ามันหมดตัวกูมันก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับความเป็นปฏิกูล ฉะนั้นผมจึงถือว่าเรื่องปฏิกูลนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องตัวกู-ของกู จึงพูดให้ฟังในหัวข้อว่า “ตัวกูกับสิ่งที่เป็นปฏิกูล” ถ้าตัวกูยังอยู่ก็ต้องยังมีปฏิกูลอย่างนั้นอย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่งอันดับใดอันดับหนึ่ง ปฏิกูลอย่างเลว ปฏิกูลอย่างกลาง ปฏิกูลอย่างสูงนี่อยู่ในเรื่องของตัวกู พอหมดตัวกูมันก็หมดปฏิกูลทันทีเหมือนกัน หรือว่าถ้าตัวกูมันเบาบางลงไป, เบาบางลงไปความเป็นปฏิกูลมันก็จางลงไป , จางลงไปด้วยเหมือนกัน นี้เรามองดูความหมายของความคำว่าปฏิกูลอย่างเลว ปฏิกูลอย่างกลาง ปฏิกูลอย่างดีตามลำดับไป
ปฏิกูลอย่างเลวอย่างต่ำ ๆ ก็เหมือนกับอุจจาระปัสสาวะใคร ๆ ก็ถูกสอนให้ขยะแขยงมาตั้งแต่แรกเกิด อุจจาระปัสสาวะเป็นต้นนี้เป็นของปฏิกูล ทั้งที่แท้จริงสุนัขหรือแมวไม่ได้เห็นว่าของเหล่านี้ปฏิกูลก็มี นี่ เราเอาคนเป็นหลักเอาคนเป็นระดับว่าไอ้คนชั้นแรกที่สุดมันก็รู้ว่าอุจจาระปัสสาวะ ของเน่า ของเหม็น ซากศพอันนี้ปฏิกูล
ทีนี้ ต่อมาปฏิกูลชั้นกลางก็หมายความว่ารู้ว่า โอ้ย ที่มันไม่เหม็นไม่เน่านั้นละก็ยังมีปฏิกูล เช่น เนื้อหนังตามปรกติ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังตามปรกติ ร่างกายของเพศตรงกันข้ามตามปรกตินี่ก็เป็นปฏิกูล ทั้งที่เขาจะอบ ทา ลูบไล้ไว้ด้วยของฉาบทาต่าง ๆ ก็เป็นปฏิกูล นี้ก็ปฏิกูล เห็นปฏิกูลชั้นสูงขึ้นมาเป็นอันดับกลางชั้นกลาง
ทีนี้ พอมาถึงชั้นสูงสุดจริง ๆ นะก็เรียกว่าขึ้นชื่อว่ากิเลสหรือสิ่งอันเป็นที่ตั้งของกิเลสแล้วก็ปฏิกูลทั้งนั้น ปฏิกูลทั้งนั้นเลย แม้แต่บุญกุศล เรียกว่าบุญดีกว่า ถ้าไปเรียกกุศลมันกำกวม ก็ถูกเรียกว่าอุปธิ บุญนี่เป็นอุปธินำสัตว์ให้เวียนว่ายไปในสังสารวัฏที่ดี เช่น ไปเกิดในสวรรค์เป็นเทวดาเป็นอะไรต่าง ๆ นี้บุญพาไป แล้วบาปก็ปฏิกูลเพราะพาลงไปนรกอะไรต่าง ๆ บุญก็พาไปสวรรค์เพราะนั้นบุญนี่ก็พาสัตว์เวียนว่ายไปในวัฏฏสงสารท่านจึงจัดเป็นอุปธิ เป็นปฏิกูลชั้นสูง ปฏิกูลชั้นสูงสุด ปฏิกูลชั้นที่เข้าใจยาก อาจจะพูดได้ว่าแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าความดีที่ชาวบ้านสมมติกัน เรียกว่าความดีตามภาษาชาวบ้านนั้นก็ปฏิกูลนับตั้งแต่ว่าได้แล้วดีหรือว่าถูกต้องหรืออะไรก็ตามก็ดี แล้วก็หลงรัก พอใจ ยึดมั่นถือมั่นยกหูชูหางว่ากูดีกว่าคนอื่น กูมีดีกว่ามึง มึงมีดีกว่ากู กูดีกว่ามึง ในการศึกษาเล่าเรียนการปฏิบัติมีอะไรบริสุทธิ์ คนนั้นเป็นคนพาล กูเป็นบัณฑิตนี่อย่างนี้นี่ก็เรียกว่าเป็นปฏิกูลทั้งนั้น
รวมความว่าไอ้ที่เรียกกันว่า บุญ หรือ ความดี นี้เขาจำกัดอยู่ในวงจำกัดว่าเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ หรือเป็นสิ่งที่ทำให้คนหลงใหลยึดถือ ฉะนั้นจึงยังไม่พ้นทุกข์ แม้จะมีบุญก็ยังมีความทุกข์ตามแบบมีบุญ เพราะฉะนั้นบุญหรือผลบุญเหล่านี้ยังปฏิกูลอยู่ในอันดับสูงสุดแทบจะมองไม่เห็น ถ้าจะพ้นจากปฏิกูลชั้นสูงสุดนี้อีกทีหนึ่งก็ต้องไปโน้นคือว่าไม่ยึดถืออะไรทั้งดีและทั้งชั่วโดยความเป็นตัวกู-ของกู คือว่างไปจากตัวกู-ของกู จึงจะหมดเรื่องปฏิกูลไปเสียที คือหมดเรื่องความทุกข์กันเสียที ถ้ายังมีความทุกข์อยู่ที่ไหนไอ้ความทุกข์มันเป็นปฏิกูล ไปเกิดในสวรรค์มันก็มีแก่ เจ็บ ตาย ยึดมั่นถือมั่น มีกิเลส ตัณหา ตามประสาของชาวสวรรค์หรือชาวพรหมโลก ยังเป็นปุถุชนอยู่ยังมีอุปาทานอยู่ แล้วอุปาทานหรือวัตถุแห่งอุปาทานนั่นละ คือปฏิกูล ปฏิกูลชั้นสูงสุดที่ชาวบ้านเข้าใจไม่ได้ ชาวบ้านเข้าใจได้ในเรื่องอุจจาระปัสสาวะปฏิกูล หรืออย่างดีขึ้นมาก็ว่าไอ้เนื้อหนังมังสาที่ลูบทาหลอก ๆ กันนี้ปฏิกูลมีเพียงเท่านี้ แต่มิอาจจะมองเห็นว่าบุญหรือบาปหรืออะไรก็ตามที่พาคนให้เวียนว่ายไปทั้งสังสารวัฏนั้นปฏิกูล หรือความทุกข์มีอยู่ที่ไหนก็มีความเป็นปฏิกูลที่นั่น ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีความหมายอยู่ที่ไหนก็เป็นปฏิกูลที่นั่น
ฉะนั้นเราต้องไปกันอีกทีหนึ่งอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ก็เหนือความเป็นปฏิกูล ไม่มีอะไรที่เป็นปฏิกูลหรือรู้สึกปฏิกูล ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ปฏิกูลแก่คนธรรมดา แต่ไม่ปฏิกูลแก่พระอรหันต์ เพราะว่าพระอรหันต์ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่อึดอัด ไม่รำคาญ ไม่เป็นทุกข์เพราะความเกิดแก่เจ็บตาย มันจึงไม่รบกวนท่าน ฉะนั้น ผู้ที่มีจิตใจขนาดที่เรียกว่าตายเสียก่อนตายจึงจะอยู่เหนือความเป็นปฏิกูลโดยประการทั้งปวง คือเหนือปฏิกูลทุกระดับ จะพูดว่าตายเสียก่อนตายหรือจะพูดว่าไม่ตายเสียก่อนตายก็ตามเถอะความหมายเดียวกัน เมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วไม่มีอะไรทีเป็นปฏิกูลเพราะมันอยู่เหนือกิเลส ตัณหา อุปาทาน ทุกสิ่งทุกอย่าง ไอ้ความเป็นปฏิกูลก็เลยหมดไปไร้ความหมายไป ทำให้เราเห็นได้ว่าไอ้ความเป็นปฏิกูลนี้มันก็เป็นสมมติเป็นบัญญัติตามความรู้สึกแห่งจิตใจของบุคคลที่มีอยู่หลายชั้นเป็นชั้น ๆ ๆ ๆ เป็นพวก ๆ ไป เป็นความโง่ชนิดหนึ่งที่ไปหลงว่าปฏิกูล หรือไปหลงในของปฏิกูล หรือไปเข้าใจว่ามันปฏิกูล ที่จริงมันเป็นตามธรรมชาติทั้งนั้น เป็นของธรรมชาติเสมอกันหมด นี่เราไปรู้สึกตามความรู้สึกของเราเอง ความรู้สึกที่โง่มาก โง่น้อย โง่ต่ำ โง่สูง มันก็เป็นเหตุให้รู้สึกต่าง ๆ กันและบัญญัติไปตามนั้นมันจึงเกิดปัญหาวุ่นวายยุ่งยากมากมายขึ้นมาอย่างนี้ เพราะนั้นพยายามศึกษาหรือปฏิบัติให้ได้ในข้อที่ว่าตายเสียก่อนตายแล้วจะหมดปัญหาทุกอย่างทุกประการ ช่วยกันให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเข้าใจเรื่องนี้ซึ่งมีประโยชน์คือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดกว่าเรื่องทุกเรื่องนะ นี่คือเรื่องความเป็นปฏิกูลเนื่องกันอยู่กับตัวกูอย่างไร เรามองดูเรื่องตัวกูของกูมาในแง่อื่น ๆ มาหลายแง่หลายมุมแล้ว วันนี้มามองดูกันในแง่ที่เกี่ยวกับปฏิกูลจนเห็นว่ามันมีอยู่เฉพาะเมื่อมีความรู้สึกว่าตัวกู-ของกู เพราะฉะนั้นพูดได้เลย พูดได้เสียเลย โผงผางลงไปได้เลยว่าไอ้ตัวกูนั้นคือปฏิกูลที่สุด ปฏิกูลที่สุดก็คือไอ้ตัวกูนั่นเอง คุณไปคิดดู, ในบรรดาสิ่งที่เป็นปฏิกูลทั้งหลายทั้งสิ้น ทั้งอย่างต่ำ อย่างกลาง อย่างสูง มันก็คือตัวกูทั้งนั้นมันรวมอยู่ที่ตัวกู (ฉะนั้น) ตัวกูนั้นคือสิ่งที่น่าขยะแขยงที่สุด (ฉะนั้น) อย่าออกไปมองผู้อื่นเลย อย่าไปมองคนอื่นเลย อย่าไปยกหูชูหางเบ่งทับคนอื่นเลย อย่ามองผู้อื่นด้วยสายตาอันเหยียดหยามเลย ไอ้ตัวกู-ของตัวเองมันเลวอยู่เต็มประดาเป็นปฏิกูลที่สุดอยู่ในตัวแล้ว นี่มันโง่, ไม่มอง มองข้ามไปเสีย ไปมองที่คนอื่น ไอ้ตัวกู-ของกูมันจึงได้สกปรกอย่างยิ่ง เลวอย่างยิ่ง ปฏิกูลอย่างยิ่งก็ยังไม่รู้สึกตัว ยังยกหูชูหางอยู่นั่นเอง
นี่ คือบทสรุปความว่าปฏิกูลที่สุดก็คือตัวกู หมดตัวกูเมื่อไรก็หมดปฏิกูลเมื่อนั้น เพราะนั้นขอให้ทุกองค์ตั้งใจฟังให้ดีศึกษาให้ดีถึงคำอธิบายที่มันสั้น ๆ ที่สุดหรือว่ามันลัดตรงที่สุด ไปยังจุดที่เป็นปัญหาที่สุด เราคุยอวดได้ว่าไอ้คำอธิบายอย่างนี้มันไม่มีในหนังสือที่เขาพิมพ์ขายกันอยู่ ไม่มี, ฉะนั้นมันต้องถือเอาเป็นประโยชน์ส่วนหนึ่งให้ได้เพราะมันไม่มีที่อื่น ถ้ามีที่อื่นคุณก็เอาจากที่อื่น ไปหาจากที่อื่น ไปเอาจากที่อื่นก็ได้ แต่นี่ผมกำลังบอกว่ามันไม่มีจากที่อื่นเพราะเขายังไม่พูดกัน หรือว่าเขาจะไม่พูดกันก็ตามใจสิ แต่ผมเห็นว่ามันสำคัญที่สุด เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เรื่องพูดพล่าม เป็นอะไรไม่รู้จัก ไม่รู้จักที่สุด ไม่มีที่สิ้นสุด พูดกันแต่เรื่องตัวกูนั้นจะเป็นเรื่องที่เป็นใจความเนื้อแท้เนื้อหาสาระ ถ้าพูดเรื่องอื่นก็เป็นเรื่องบ้าหอบฟาง เรียนวิชาความรู้ให้ท่วมโลกมันก็เป็นเรื่องบ้าหอบฟางเป็นเรื่องที่ไร้สาระเพราะมันไม่ดับทุกข์ เรื่องอื่นมันไม่ดับทุกข์
ไอ้เรื่องไปดวงจันทร์เดี๋ยวนี้กลายเป็นเรื่องน่าหัวขึ้นทุกที ที่ผมนั่งที่โต๊ะที่ผมนั่งตรงหน้าประตูนั่นมีรูปภาพไปดวงจันทร์ใส่กรอบวางไว้อยู่สองรูป เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีฝรั่งหนุ่ม ๆ คนหนึ่งมาแล้วมันมองหน้าผม แล้วมันมองรูปนั้นแล้วมันถามว่า “นี่อะไรกัน ท่านเห็นว่าอย่างไร” “แล้วคุณว่าอย่างไร” มันว่า “นี่เรื่องบ้าที่สุด” ผมก็เลยบอกว่า “เออจริงเราก็ถือว่าเป็นเรื่องบ้าที่สุด เอามาวางไว้นี่ไม่ใช่เพราะว่าเลื่อมใส เอามาวางไว้ให้ดูให้เห็นว่านี่มันเป็นเรื่องบ้าที่สุด” เราเคยถือว่าไอ้เรื่องไปดวงจันทร์ได้นี่มีความดีความเก่งเท่าที่คนป่าสมัยหลายหมื่นปีรู้จักสานเสื่อกระจูดนั่ง พูดกันหลายหนแล้วนะเรื่องนี้ ไอ้คนป่าหลายหมื่นปีถึงจะยังไม่นุ่งผ้าหรืออะไรก็ตาม มันรู้จักไปถอนเอากระจูดในหนองมาสานเป็นเสื่อปูนั่งนี่มีความเก่งมีความฉลาดสามารถเท่าที่คนสมัยนี้ไปดวงจันทร์ได้ เพราะมันเรียนมันเรียนมันเป็นหนี้วิชาความรู้ของคนมาหลายพันปี จนมันไปดวงจันทร์ได้ ไอ้คนป่านั้นมันไม่ได้ความรู้มาจากใครเลย แต่เป็นคนประดิษฐ์ครั้งแรก ถอนกระจูดมาสานเป็นเสื่อรองนั่งได้ ฉะนั้น ความเก่งมันเท่ากัน เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้น่าอัศจรรย์เพราะว่าเด็ก ๆ เหล่านี้พอเกิดมาก็เรียนวิทยาศาสตร์ เรียนหลักวิทยาศาสตร์อะไรต่าง ๆ เรื่องสี เรื่องแสง เรื่องความร้อน เรื่องฟิสิกส์ เรื่องเคมี เรื่องอิเล็กทรอนิกส์อะไรต่าง ๆ จนเป็นของธรรมดา ในประเทศที่ยิ่งเจริญเท่าไร เด็ก ๆ ก็รู้อย่างนี้มาตั้งแต่เล็กแล้วเลยเป็นของไม่แปลก ไม่ประหลาด เป็นของธรรมดาไป อย่างวิทยุอย่างโทรทัศน์อย่างนี้ ๆ เป็นของธรรมดา เหมือนกับโต๊ะเก้าอี้ที่มีอยู่ตามธรรมดา ฉะนั้นการไปดวงจันทร์มันเลยกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ๆๆๆ การไปดวงจันทร์ครั้งที่สองนี้ที่อเมริกาสนใจน้อยกว่าเรื่องเคเนดี้ขับรถตกคลอง หนังสือพิมพ์ในอเมริกันเขาลงกัน ประชาชนสนใจเรื่องเคเนดี้ขับรถตกคลองมากกว่าที่การไปดวงจันทร์ครั้งที่สอง นี่ พอครั้งต่อ ๆ ไปมันก็เลยกลายเป็นของที่ไม่มีความหมาย เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ดับทุกข์ แล้วมันโง่ที่ไปใช้เงินเปลือง เพราะไอ้ความไอ้เรื่องนี้ก็เลยเป็นเรื่องปฏิกูลที่สุด ไอ้เรื่องโง่ใช้เงินเปลืองไปดวงจันทร์นี้เป็นเรื่องปฏิกูลที่สุดคือมันโง่ มันไปทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำให้มันเหนื่อยยากลำบาก หมดเปลืองแล้วก็ส่งเสริมความโง่อย่างอื่นเพิ่มขึ้นอีกมากไอ้การค้นคว้าอวกาศนี้ เพื่อเป็นอุปกรณ์ในการทำสงคราม เพื่อจะทำสงครามให้แพงมากไปกว่าเดิม เดี๋ยวนี้การทำสงครามของอเมริกันในเวียดนามใช้เงินวันละพันสี่ร้อยล้านบาท คุณฟังให้ดีน่าพองขนนะ ใช้เงินวันละ ๗๐ ล้านเหรียญคือเท่ากับ ๑,๔๐๐ ล้านบาทต่อวัน ฉะนั้นเงินวันเดียวรบกันวันเดียว ๑,๔๐๐ ล้านบาท เอามาทำให้โลกนี้เป็นสุขได้อีกมาก แต่มันไม่ได้ประโยชน์อะไรกับตัวกูของมัน มันก็ไม่ใช้สิ มันก็ไปใช้ทำสงครามดีกว่าจะมาใช้ไปอุดหนุน ... (นาทีที่ 48:56) อย่างที่ว่าการกุศล ทีนี้ ยิ่งจะทำสงครามยุคอวกาศทำสงครามกันด้วยวิชาอวกาศแล้วยิ่งใช้กันมากกว่านี้อีกกระมัง ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ปฏิกูลที่สุดคือน่ารังเกียจที่สุด ฉะนั้นคุณที่กำลังโง่ กำลังบ้า หลงความเจริญสมัยใหม่รู้สึกตัวเสียบ้าง พวกคุณที่กำลังโง่ กำลังบ้า หลงความเจริญสมัยใหม่รู้สึกตัวกันเสียบ้าง กำลังไปหลงไอ้สิ่งที่มันปฏิกูลอย่างยิ่ง มันไม่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ทำเล่นกับมันสิ ทำเล่นกับเรื่องตัวกู-ของกูสิ มันเตลิดเปิดเปิงไปไหนก็ไม่รู้ไปจนตามไม่ทันจนคิดไม่ถึง แล้วเป็นเรื่องปฏิกูลทั้งนั้นตลอดเวลา คือมันน่าเกลียด น่ารังเกียจ น่าติฉิน บัณฑิตมองแล้วติฉินทั้งนั้น คนพาลเท่านั้นที่ว่าจะว่าดี
รวมความแล้วไอ้ปฏิกูลที่สุดคือความโง่ ความโง่อะไรไม่โง่เท่ากับตัวกู ตัวกู-ของกูนั่นคือโง่ที่สุด เพราะนั้นปฏิกูลที่สุดมันอยู่ที่นั่น อย่าได้ปล่อยให้มันแสดงบทบาทหรือให้มันครอบงำจิตใจต่อไปอีก ก็พยายามรู้จักสิ่งสกปรกลามกให้ดีขึ้นไปอีก ก่อนนี้รู้จักมันน้อยนักว่าอะไรสกปรกลามก เดี๋ยวนี้รู้ให้มากขึ้นไปว่าไอ้ตัวกู-ของกูแบบที่มีอยู่ในตัวนั้นมันสกปรกลามกที่สุดปฏิกูลที่สุดและอย่าเป็นคนโกหกปกปิดไอ้ตัวกู-ของกูนี้ไว้ในอีกรูปหนึ่งให้มันให้มันเจริญงอกงาม กิเลสนี้ถ้าเราไปส่งเสริมมันไปให้อาหารมันมันก็เจริญงอกงาม ทีนี้ ไอ้การโกหกหลอกลวงนั่นละคือการให้อาหารแก่กิเลสให้มันงอกงาม คือช่วยป้องกันอย่างอื่นไว้ แล้วเพื่อให้กิเลสได้กินอาหารอย่างเดียวมันก็แรงมากขึ้นนี่พูดวันนี้ก็รวมความว่าพูดเรื่องสกปรก พูดเรื่องของสกปรกคือปฏิกูลแล้วก็คือตัวกู-ของกูหรือความโง่ ที่มันสร้างเป็นตัวกูของกูขึ้นมา แล้วก็อย่าได้อวดดี ให้มันเป็นเหยื่อแก่ตัวกู-ของกูอีกต่อไป ถ้าขืนอวดดีอยู่ มันให้อาหารแก่ตัวกู-ของกูเรื่อยไป อวดดีเป็นคนเก่ง เป็นคนอะไรขึ้นมาเมื่อไร มันก็เป็นให้อาหารแก่ตัวกู มันก็ยิ่งสกปรกมากไปเท่านั้น
เพราะนั้นผมขอยืนยันอยู่เสมอว่าขอให้บูชาอุดมคติของวัดป่าพระเถื่อนที่นี่ (อาบน้ำ) กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคูนี้ เป็นอยู่อย่างทาสอย่างขี้ข้า อย่างทาสคือรับใช้ผู้อื่น มุ่งมาดความวางคือความปล่อยวาง หมายมาดความปล่อยวางก็อยู่อย่างตายแล้ว แล้วก็มีดวงแก้วอยู่ในมือแน่ ๆ คือจิตว่าง จิตที่ว่างจากตัวกู-ไม่มีตัวกู มีจิตว่างที่ถูกต้องตามแบบของพระพุทธเจ้าไม่มีตัวกู ก็เหลืออยู่แต่เรื่องแจกของส่องตะเกียงคือทำประโยชน์ผู้อื่น ทำลายตัวกูเสียด้วยการเอาไปรับใช้ผู้อื่น นี่จะเรียกว่าเป็นอุดมคติก็ได้ จะเรียกว่าเป็นหลักปฏิบัติก็ได้เรียกว่าเป็นชีวิตที่ที่น่าดูที่ถูกต้องก็ได้ ถ้าเป็นอยู่อย่างนี้แล้วมันก็เรียกว่ามันไม่มีตัวกู-ของกู ถ้าทำได้ตลอดไปเด็ดขาดลงไปก็วิเศษ ถ้าทำไม่ได้เด็ดขาดก็ขอให้ทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นอยู่ด้วยจิตว่างจากอุปาทานนี้ให้มันมีมากออกไป มีในลักษณะของจิตประภัสสรให้มันอยู่ยาวออกไป ๆๆ เต็มอยู่ด้วยปัญญา ตัวกูให้นาน ๆ มาครั้งแล้วก็อย่ามาบ่อยเข้า น้อยเข้า ๆ จนขาดสูญไปในที่สุด แล้วให้จับใจความให้ได้ว่ามันนิดเดียว ทั้งหมดที่พูดตั้งชั่วโมงนี่นิดเดียว เราพูดมาแล้วกี่ครั้ง ๆ หลายปีมาแล้ว หลายสิบหลายร้อยครั้งแล้วมันก็เรื่องเดียวเป็นเรื่องเดียวแล้วก็นิดเดียว เรื่องนั้นนิดเดียวคือเรื่องตัวกูกับทำลายตัวกูเสีย-ไม่มีตัวกู นี่ เราจารนัยให้ฟังว่าถ้าตัวกูมีมันเป็นอย่างนั้น ๆๆๆ แล้วเราก็โง่ พูดจากันผิด ๆ เรื่องนี้ อย่างนี้ ๆ พูดไปพูดมาฟังกันไม่รู้เรื่องเพราะมันโง่ นี่ ขยันพูดให้เข้าใจกันทีละนิด ๆๆ จนกว่าจะหมดความโง่ ถ้าเผอิญใครมีบุญฟังเข้าใจได้เร็วแล้วก็ตัดลัดไปได้ง่าย ๆ โดยวิธีตายเสียก่อนตายได้ก็หมดแล้ว ก็วิเศษประเสริฐที่สุดแล้ว ก็หมดเรื่องเท่านั้นเอง นี่เรียกว่ามีบุญที่สุดจนอยู่จนออกได้พ้นไปจากบุญ นอกนั้นก็ยัง คนที่ยังจะต้องลำบากต่อไปจะทนทรมานต่อไป
สวนโมกข์มีปริญญาให้เพียงอย่างเดียวคือตายเสียก่อนตาย นี่ เรียกชื่ออย่างนี้ฟังดูมันก็เป็นตัวกู –ของกู นี่ปริญญา แต่หมายความว่าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าคนเขานิยมปริญญากันทั้งโลกนะปริญญากันทั้งโลก เราก็มีปริญญาตายเสียก่อนตายนี้ ให้แล้วก็ศึกษาด้วย กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคูนี้อย่างที่ว่าแล้ว แล้วก็อยู่เหนือ, อยู่เหนือของสกปรกทุกอย่าง คือเหนือของทุกอย่างที่ล้วนแต่สกปรกได้ในเวลาอันสั้น ทีนี้ ที่เหลือที่ยังไม่ตาย ชีวิตที่เหลืออยู่นั้นยังไม่ตายก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น สนุกสนาน เป็นสุขด้วยการทำประโยชน์ผู้อื่น อย่าไปเป็นสุขสนุกสนานด้วยการให้เหยื่อแก่ตัวกู-ของกูเลย ให้เป็นสุขสนุกสนานด้วยการทำประโยชน์ผู้อื่นแจกของส่องตะเกียง ก็เลยเรียกว่าเป็นอยู่อย่างทาส เป็นอยู่อย่างทาสคือรับใช้ผู้อื่น แต่มันคนละความหมายกับทาสในภาษาคน หมายความว่ามันยอม ๆๆ ยอมรับใช้ผู้อื่นเพราะความสงสารผู้อื่นเห็นแก่ผู้อื่น ไอ้เรื่องของตัวกูนั้น ลืม ลืมเลย เรื่องของตัวกูนั้นให้ลืมเสียให้เด็ดขาด นี่ก็เป็นอุบาย ยังไม่บรรลุพระอรหันต์ แต่เป็นอุบายที่จะทำตามพระอรหันต์อย่างลัดสั้นที่สุด
เอาละ, เรียกว่าเรื่องตัวกูที่แสนจะปฏิกูลมันก็มีอยู่เท่านี้ พูดในแง่ปฏิกูลก็มีเพียงเท่านี้ พอกันที