PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
  • อบรมพระที่หน้าโรงหนัง เรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ ปี 2513 ครั้งที่3/ตัวกูกับความปฏิกูล
อบรมพระที่หน้าโรงหนัง เรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ ปี 2513 ครั้งที่ ... รูปภาพ 1
  • Title
    อบรมพระที่หน้าโรงหนัง เรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ ปี 2513 ครั้งที่3/ตัวกูกับความปฏิกูล
  • เสียง
  • 2917 อบรมพระที่หน้าโรงหนัง เรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ ปี 2513 ครั้งที่3/ตัวกูกับความปฏิกูล /buddhadasa/2513-2-7.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันอาทิตย์, 22 มีนาคม 2563
ชุด
อบรมพระหน้าโรงหนัง ชุดธรรมปาฎิโมกข์
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ขอให้เข้าใจว่าไอ้เรื่องธรรมปาฏิโมกข์ของเราก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูไปตามเดิม แต่ว่าเราจะพูดในทุกแง่ทุกมุม  ระยะนี้พูดกันถึงเรื่องความสับปลับของภาษาเป็นส่วนมาก  ถึงวันนี้ก็จะพูดกันถึงเรื่อง ความสับปลับกลับกลอกของภาษาต่อไปตามเดิมคือเรื่อง “ตัวกูกับความปฏิกูล”

    ตัวกูกับความปฏิกูลหรือสิ่งปฏิกูลแล้วมันก็เป็นเรื่องเนื่องกันไปถึงข้อที่ว่าตายเสียก่อนตาย  ที่แล้วมาเราพูดถึงเรื่องตายเสียก่อนตายในฐานะเป็นเรื่องสำคัญเรื่องเดียว  แล้วก็ยังมีความสับปลับของภาษาว่า ไอ้ตายเสียก่อนตายนั่นละคือไม่ตายเสียก่อนตาย  ถ้าเราตายเสียก่อนตายได้แล้วก็คือไม่ตายอีกต่อไปก็เรียกว่าเราไม่ตายเสียเสร็จแล้วก่อนแต่ร่างกายจะตาย  ก็ได้พูดให้เห็นในข้อนี้แล้วว่าคำพูดนี้มันดิ้นกลับไปกลับมาสำหรับคนโง่  ถ้าคนฉลาดนี่คำพูดหลอกลวงเขาไม่ได้  ถ้าเขาเป็นคนรู้แล้วถึงธรรมะแล้ว  พูดว่าตายเสียก่อนตายนี่เขาเข้าใจทันทีว่าหมายถึงอะไร  พอพูดว่าไม่ตายเสียก่อนตายเขาก็เข้าใจทันทีอีกเหมือนกันว่ามันหมายถึงอะไรแล้วจะไม่รู้สึกว่ามันสับปลับ   ทีนี้ พวกคนโง่เท่านั้นที่จะฟังดูว่า เอ๊ะ นี่ พูดสับปลับกลับไปกลับมา  เดี๋ยวพูดว่าตายเสียก่อนตาย  เดี๋ยวไม่ตายเสียก่อนตาย  เพราะนั้นเรายังเป็นคนโง่หรือคนรู้แล้วก็ทดสอบดูเองด้วยข้อนี้  ผู้มีปัญญาจริง ๆ มันฟังออกแล้วก็ไม่ต้องพูดออกมาแล้วก็ไม่ต้องค้าน  คือว่า ไม่ต้องพูดว่าสับปลับ  จะไม่รู้สึกว่าสับปลับ  พูดว่าตายเสียก่อนตายเขาก็ฟังออกว่า  โอ้ย หมดความรู้สึกว่าตัวกูเสียก่อนแต่ร่างกายแตกดับ  พอพูดใหม่ว่าไม่ตายเสียก่อนตาย  เขาก็ฟังออกว่าหมดตัวกูเสียก่อนร่างกายแตกดับอยู่นั่นเอง  ฉะนั้น เขาจึงไม่รู้สึกว่าคำพูดนี้กลับไปกลับมากลับกลอกหรือสับปลับ  ส่วนปุถุชนคนโง่  มันก็รู้แต่ตัวหนังสือหรือคำพูด  อันหนึ่งพูดว่าตาย  อันหนึ่งพูดว่าไม่ตาย  มันก็รู้สึกว่ากลับกลอกหรือสับปลับ  ฉะนั้น จะเป็นคนโง่อยู่กี่มากน้อยก็ลองไปวัดตัวเองดูแล้วกัน

           นี้เป็นตัวอย่างชี้ให้เห็นไอ้ความดิ้นได้หรือสับปลับของภาษาพูดสำหรับคนโง่   ทีนี้ วันนี้จะพูดกันถึงเรื่องความปฏิกูลที่เกี่ยวกับตัวกูนี้  ก็พูดให้เห็นไอ้ความกลับกลอกหรือสับปลับกลับไปกลับมาอีกแง่หนึ่งที่เกี่ยวกับความปฏิกูล  ต้องเอาเรื่องปฏิกูลมาพูดซ้ำกันอีกทั้งที่เคยพูดแล้วสำหรับวันนี้  เพื่อจะชี้ให้เห็น ในแง่ของภาษาพูดที่มันฟังดูแล้วมันกลับกลอกและโดยเฉพาะแก่คนโง่จะรำคาญ จะยุ่งยากในใจ  โดยหลักใหญ่ ๆ เราพูดได้ว่าไอ้ความรู้สึกว่าปฏิกูลนี้มันมีอยู่คู่กันกับตัวกู  ถ้าตัวกูมันยังมีอยู่แล้วความรู้สึกว่าปฏิกูล คือน่ารังเกียจนี้จะมีอยู่  ถ้าไอ้ความรู้สึกว่าตัวกูมันหมดไปแล้วความรู้สึกว่าปฏิกูลก็ไม่เหลืออยู่เหมือนกันหมดพร้อมกันไป  ทีนี้ เราพูดถึงเรื่องปฏิกูลส่วนใหญ่มันก็ยังเนื่องกันอยู่กับตัวกู-ของกู  ถ้าไม่มีความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกูแล้วมันไม่มีความหมายว่าอะไรจะปฏิกูลหรือไม่ปฏิกูล  นี่ เกี่ยวกับปฏิกูลนี้ให้ทบทวนดูโดยหลักทั่วไปมันก็มีอยู่ถึง ๔ หัวข้อ หรือ ๔ ความหมาย 

    อันดับหนึ่งก็คือ คนไม่รู้หรือคนโง่ ปุถุชนคนธรรมดามันก็เอาตามความรู้สึก เช่นว่า อุจจาระปัสสาวะที่เหม็นอันนี้ก็ถือว่าเป็นปฏิกูล  แต่ส่วนไอ้ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ที่ตัวมัวประดับตกแต่งอยู่นั้นไม่รู้สึกว่าปฏิกูล  ฉะนั้น ก็จึงชอบไอ้สิ่งเหล่านั้นเอามายึดถือมาชมเชยอยู่  นั่น ปฏิกูลครั้งแรก  เรารู้สึกว่าปฏิกูลอันดับแรกของคนปุถุชนทั่วไป  ปฏิกูลแต่ของเหม็นส่วนของที่เหม็นหรือว่ากลบเกลื่อนไว้ด้วยความหอมอะไรนี้  แต่ถ้ามันถูกแก่กิเลสของตัวแล้วก็ไม่ถือว่าปฏิกูล  ฉะนั้น มันจึงไปสัมผัส จูบ กอดของเหม็นในฐานะที่เป็นของหอมก็ได้ 

    ทีนี้มาถึงอันดับที่สอง อย่างที่คุณก็ได้ยินเมื่อเวลาบวชบวชพระบวชเณรนี้ก็ต้องมีสอนเรื่องปฏิกูล โดยเฉพาะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่ไม่รู้สึกว่าปฏิกูลมาแต่ก่อนนั้นให้รู้สึกว่าปฏิกูลเดี๋ยวนี้ แม้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จะถูกฉาบ ย้อม อบ อาบ อะไร ให้มันมีอะไร เป็นอย่างไร ก็ยังให้รู้ว่ามันปฏิกูล  เดี๋ยวนี้ผู้บวชก็เริ่มรู้ หรือมองเห็นหรืออะไรก็ตามใจว่า ไอ้ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่อยู่ที่เนื้อที่ตัวของเราแท้ ๆ ที่เราลูบ ทา อบ อาบอยู่เสมอนี้ก็ปฏิกูลเหมือนกัน  นี่ เป็นชั้นที่สอง 

    ทีนี้พอมาถึงชั้นที่สาม มันจะสูงขึ้นไปมากกระโดดสูงขึ้นไปมากจนรู้สึกว่าอะไร ๆ ก็ปฏิกูล  จนกลายเป็นว่าสังขารนี่มันปฏิกูลทั้งหมดเลยเพราะมันมีไม่เที่ยง มีความไม่เที่ยง  เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น  มันหลอกให้ยึดมั่นถือมั่น  ของทุกอย่างนี่มันหลอกให้เรายึดมั่นถือมั่น  ยินดีกับฝ่ายหนึ่ง  ยินร้ายกับฝ่ายหนึ่ง  เลยมองเป็นทุกสิ่งปฏิกูลเสมอกันหมด  คือน่าเอือม น่าระอา น่าเบื่อหน่ายเหมือนกันไปหมดไม่ว่าอะไรเลย  มาถึงขั้นที่สาม นี่ กลายเป็นว่าทุกสิ่งปฏิกูลหมด 

    ทีนี้ ถ้ายังปฏิบัติต่อไปสูงถึงขั้นสุดท้ายขั้นที่สี่  สติปัญญาถึงระดับสูงสุดแล้วมันก็เปลี่ยนไปอีกทางหนึ่งกลายไปเห็นว่าไม่มีอะไรที่ปฏิกูลคือไม่มีอะไรที่ปฏิกูล คือทุกสิ่งไม่ปฏิกูล   จิตที่มันไม่มีความไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ปฏิกูลเลยหรือไม่...ไม่ปฏิกูล  หมายความว่าไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ปฏิกูลหรือไม่ปฏิกูล  แต่ความหมายสำคัญมันอยู่ที่ว่าไม่มีอะไรที่ปฏิกูล  คือมันเฉยได้ต่อทุกสิ่ง ไม่อึดอัด ไม่อิดหนาระอาใจต่อสิ่งใดทั้งหมด  ขั้นนี้คือขั้นที่มันหมดความรู้สึกตัวกู  ความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกูที่เป็นตัณหาอุปาทานมันหมดไป  มันไม่มีอะไรเป็นที่ตั้งสำหรับจะรับไอ้ความอึดอัด หรือไอ้ความรังเกียจ หรือความเป็นปฏิกูล  นี่ ต้องทบทวนให้ดีเข้าใจให้ดี  แล้วก็ไปรู้ว่ามันมีอยู่จริงอย่างไร? และตัวเรานั้นอยู่ในสภาพเช่นไร?  ตัวเรายังโง่ ยังเป็นเด็กอมมือ หรือว่าเป็นขนาดกลาง หรือขนาดไหน 

    ถ้าสรุปอีกทีหนึ่งก็ต้องพูดว่าอันดับแรกที่สุด  ปุถุชนธรรมดาเห็นปฏิกูลแต่สิ่งที่มันเน่าเหม็นที่ทุกคนเขารู้สึกขยะแขยง   ทีนี้ พอมาได้รับฟังคำสั่งสอนของพระอริยเจ้าในอันดับชั้นที่สองนี้ก็รู้ว่าแม้ที่คนเขาไม่ขยะแขยงนั่นก็มีความเป็นปฏิกูล เช่น เนื้อหนังที่อบทาไว้ดีนี้ หอมดี สวยดีนี้ก็เป็นปฏิกูล  เหมือนอุจจาระปัสสาวะเหมือนกัน  นี่ มันผิดกันขึ้นมาหน่อยหนึ่งอย่างนี้  ทีนี้ ต่อมาก็มองเห็นว่าทุกอย่างปฏิกูลดูแล้วน่าเกลียดทั้งนั้นน่ารังเกียจทั้งนั้นคือไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงเรื่อย  เป็นมายาหลอกลวง  แม้กระทั่งก้อนหิน ก้อนดินที่ไม่มีความหมายอะไรนี้ก็ปฏิกูล  พูดถึงมนุษย์ พูดถึงความรู้สึกคิดนึกของมนุษย์ กิเลสของมนุษย์อะไร ก็ปฏิกูลหมด  เป็นอันว่าไม่มีอะไรที่จะไม่ปฏิกูลกลายเป็นปฏิกูลไปหมด น่ารังเกียจไปหมด เกิดนิพพิทา ความเบื่อหน่ายในสิ่งต่าง ๆ หมด ในลักษณะที่อึดอัด ไม่สบายอยู่ ทีนี้ พอมาถึงขั้นสุดท้ายขั้นที่สี่มันดีกว่านั้น  มันไปสูงกว่านั้นคล้าย ๆ จะพูดว่า มันบ้าวู้ยไปเที่ยวดูเป็นปฏิกูล  ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติมันอย่างนั้นของมันเอง  เราจะไม่ไปนึกว่ามันปฏิกูลหรือไม่ปฏิกูล  เราเฉยได้ในทุกสิ่ง  สิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ทำ  สิ่งใดที่ไปทำเข้ามันเป็นความโง่ก็ไม่ไปทำ  แม้ในสิ่งนั้นจะปฏิกูลหรือจะไม่ปฏิกูลมันก็ไม่มีปัญหาเพราะมันรู้จักสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำอยู่แล้ว  และในจิตใจไม่อึดอัดด้วยสิ่งใดหมด  แม้แต่ความทุกข์ก็ไม่รู้สึกว่าปฏิกูลคือไม่อึดอัดใจด้วยความทุกข์ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายอะไร  เราไม่รู้สึกอึดอัดใจรังเกียจเดียดฉันท์อะไรกับสิ่งเหล่านั้น  มันก็เลยพ้นอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น  เขาก็เรียกว่าเหนือความเป็นปฏิกูลหรือไม่ปฏิกูล  แต่รวมเรียกว่ารู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ปฏิกูลคือน่าอึดอัดใจ

    ทีนี้ไอ้พวกคนโง่ ๆ ฟังไม่ดี  ฟังแต่ตัวหนังสือก็จะฟังผิด  เหมือนเรื่องจิตว่างนี่  เรื่องจิตว่างแล้วก็ทำอะไรได้ทั้งนั้นสกปรกลามกอะไรก็ได้ทั้งนั้น  นี่เดี๋ยวจะฟังไปว่าเมื่อไม่มีอะไรปฏิกูลแล้วก็ทำสกปรกลามกอะไรก็ได้ทั้งนั้น   ต้องให้รู้ว่าการที่จะมีจิตสูงถึงขนาดไม่มีอะไรปฏิกูลนั่นมันไม่มีกิเลสที่จะทำอะไรไปตามอำนาจของกิเลสไปทำความสกปรกลามกแล้วก็บอกว่าไม่ปฏิกูลหรือทำด้วยจิตว่างอะไรทำนองนั้น  เพราะฉะนั้นมันเห็นได้ชัดว่ามันขึ้นอยู่กับความซื่อตรงต่อตัวเองของคนนั้น  ถ้าคนนั้นมันเป็นคนโง่ คนโกหก  คนหลอกลวง คนอะไรแล้วมันก็ต้องผิดไปหมดละ  และคนพูดโกหกนี้จะต้องทำเลว ทำชั่ว ทำลามกได้ทุกอย่างจนมีพุทธภาษิตว่า  ไอ้ความชั่วที่คนโกหกจะทำไม่ได้นั้นไม่มี  ฉะนั้นถ้าใครเป็นคนพูดโกหกแล้วให้พึงรู้เถิดว่ามันเป็นคนทำความชั่วได้ทุกอย่างเพราะมันมีเหตุผลสำหรับแก้ตัวของกิเลสเสมอ  นี่ เขาเรียกว่าคนโกหกต้องทำความชั่วได้ทุกอย่าง  สันนิษฐานได้หรือเชื่อได้เลยแม้ไม่เห็นก็เชื่อได้ว่าไอ้คนพูดโกหกอยู่เป็นประจำต้องทำความชั่วได้ทุกอย่าง

    ทีนี้ ขอให้สังเกตไอ้ความสับปลับของภาษาใน ๔ ขั้นนี้  ทีแรกพูดว่า นี่ปฏิกูล นั่นไม่ปฏิกูล  แล้วกลับไปพูดว่าไอ้ที่ไม่ปฏิกูลนั้นก็ปฏิกูลอีกเหมือนกัน  แล้วต่อมาเป็นปฏิกูลหมดทุกอย่าง  แล้วต่อมาเป็นไม่มีอะไรปฏิกูลเลย  นี่ ความสับปลับทางตัวหนังสือทางคำพูดเป็นอย่างนี้  ที่เป็นอย่างนี้นั้นมันเนื่องจากระดับของจิตใจมันสูงขึ้นไป  ถ้าเรามีระดับจิตใจสูงขึ้นไปไอ้ความรู้สึกมันก็สูงขึ้นไป  คำที่พูดออกมามันก็เปลี่ยนความหมายทันที  คนโง่ ๆ ชั้นต้นเห็นว่าอุจจาระปัสสาวะปฏิกูล  แต่เรื่องเพศ เรื่องกามารมณ์ เรื่องอะไรไม่ปฏิกูลมันรู้สึกแค่นั้น  จิตใจมันต่ำแค่นั้น  ต่อมาสูงขึ้นมาจนว่าไอ้เรื่องกามคุณเรื่องนี้ก็ปฏิกูล  ต่อมาสูงไปอีกว่าทั้งหมดปฏิกูล  กามคุณไม่กามคุณอะไรมันล้วนแต่ว่าน่าละอายทั้งนั้น  พอสูงขึ้นไปอีกว่าไม่มีอะไรที่น่าระอาเลยคือไม่ปฏิกูลเลยมันเป็นความจริง ไม่สับปลับ ไม่โกหกหลอกลวงอะไร  แต่คนโง่จะต้องฟังไม่ออก แล้วก็หาว่าพูดสับปลับกลับไปกลับมาเดี๋ยวปฏิกูล เดี๋ยวไม่ปฏิกูล เวียนหัว แล้วก็ไม่สนใจแล้วก็เลิกกัน

    ทีนี้ เอามาพูดให้เห็นว่าความสับปลับของคำพูดของภาษานั้นมันสับปลับอยู่ที่คนโง่  ไม่ได้สับปลับอยู่ที่ผู้รู้  เพราะนั้นภาษาคนมันสับปลับ  ภาษาธรรมะไม่สับปลับ  แต่ผู้ฟังจะฟังภาษาธรรมะออกก็ต้องมีจิตใจสูงเสมอกันจึงจะฟังออกคือเป็นผู้รู้ด้วยกัน  จะให้คนพาล คนโง่ มาฟังภาษาของบัณฑิต นักปราชญ์นี้ ก็มันก็ยากเว้นไว้แต่จะพยายามไป พยายามไป  แล้วที่จะให้คนพาลคนต่ำมายินดีในของสูงนี้มันก็ยาก  ยากอีกเหมือนกัน

    ทีนี้ ก็อยากจะให้ดูไปถึงข้อที่ว่าการศึกษาและการปฏิบัติธรรมะนี้มันช่วยให้เลื่อนชั้น  เลื่อนชั้นในเรื่องปฏิกูลนี่มาตามลำดับ  เมื่อเราไม่ได้บวช  ไม่ได้ฟังเรื่อง มูลละ ตัจจะ ปัญจะกะกัมมัฏฐาน (นาทีที่ 21:20) อะไรเหล่านี้เราก็เหมือนคนธรรมดาที่เคยถือเอาเองรู้สึกเอาเองว่านั่นปฏิกูล นี่ไม่ปฏิกูล  ทีนี้ ต่อเมื่อได้ศึกษาเรื่อง ตัจจะ ปัญจะกะกัมมัฏฐาน (นาทีที่ 21:40) กันอย่างจริงจังนะจึงจะมองเห็นว่า เออ เรามันโง่อยู่มากแล้วก็มองเห็นความเป็นปฏิกูลสูงขึ้นมาหรือกว้างออกไปอย่างมาก  หายโง่ขนาดพอที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะ (นาทีที่ 21:58) ได้   เหมือนกับที่เราพูดกันเมื่อวันบวช ต้องหายโง่ระดับนี้จึงจะมีจิตใจพอสมควรที่จะนุ่งห่มผ้ากาสายะ (นาทีที่ 22:08) ได้  แล้วก็นุ่งห่มผ้ากาสายะ (นาทีที่ 22:12) ไป

    ทีนี้ ก็มาศึกษาปฏิบัติต่อไปอีกจนเห็นว่า โอ้ย มองดูกันในแง่ที่มันเป็นมายาหลอกลวงแล้วมันเป็นไปทุกสิ่งทุกอย่างในบรรดาสังขารทั้งหลาย  แล้วสิ่งที่ปฏิกูลที่สุดนั้นนะก็คือกิเลสหรือมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดความโง่ที่เป็นกิเลส เป็นราคะ เป็นโลภะเป็นกิเลส  อันนี้คือสิ่งที่ปฏิกูล  ฉะนั้นถ้าสิ่งนี้มันไปลูบคลำเข้าที่อะไรไอ้อันนั้นก็พลอยเป็นปฏิกูลไปด้วย  เรามีกิเลสแล้ว  กิเลสไปลูบคลำจับฉวยเข้าที่อะไรมันก็พลอยเป็นปฏิกูลไปหมด  แม้จะไปลูบคลำในความดี  ที่เขาเรียกกันว่าความดี เกียรติยศ ชื่อเสียงอะไร  ถ้าไปลูบคลำเป็นตัวกู-ของกูขึ้นมา  มันก็กลายเป็นของให้เกิดความทุกข์ไปหมดนี่เรียกว่ากิเลส  นี่ไปลูบคลำอะไรเข้าแล้วก็อันนั้นมันก็เป็นของเสียไปหมดทั้งที่มันเคยเป็นของดีอยู่ก่อน  นี่ เราก็รู้อยู่แล้วว่าเรามีกิเลสที่มากน้อย  มีราคะจัดกี่มากน้อยมันรู้อยู่แล้ว  คนอื่นไม่รู้แต่ตัวเองมันก็รู้  แล้วมันจึงเป็นคนปฏิกูลไปทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งวาจา  แม้จะพูดจาต่อหน้าเป็นคนดีมันก็เป็นคนโกหก  มันก็เป็นคนทำบาปอยู่ตลอดเวลาทุกอย่างทุกประการ

    นั่น มองดูให้เห็นว่าถ้ามันเกี่ยวข้องกับกิเลสตัณหาอย่างนี้แล้วมันปฏิกูลไปหมดไม่ว่าอะไรนี้อย่างหนึ่ง  หรือจะเอาเป็นว่าถ้ามันยังอยู่ในวงของความเปลี่ยนแปลงคือไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงเรื่อยแล้วก็เรียกว่า เป็นปฏิกูลไปหมด  มันทำความเจ็บปวดรวดร้าวให้แก่ผู้เข้าไปยึดถือว่าของตัว เช่น ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ วาสนานี้ มันเป็นปฏิกูล  เพราะมันย่ำยีจิตใจของเจ้าของผู้โง่เขลาให้เป็นทุกข์ให้มีความทุกข์แล้วสำหรับคนธรรมดา  สำหรับคนธรรมดาสามัญแล้วมันก็ไม่ต้องสงสัย  มันมีความรัก มีความพอใจ ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องเงิน เรื่องของ เรื่องอำนาจวาสนา เกียรติยศ ชื่อเสียง ลูกเมีย อะไรต่าง ๆ  เพราะนั้นสิ่งเหล่านั้นเลยพลอยเป็นเครื่องทรมานจิตใจคนครอบงำย่ำยีให้คนลำบากเดือดร้อนน่าระอาไปหมด  ผู้มีปัญญาในระดับนี้มองเห็นเป็นปฏิกูลไปหมด  มันจึงเบื่อหน่าย  เบื่อหน่ายเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องเงิน เรื่องของ เรื่องอะไรต่าง ๆ  มันต้องการจะพ้นจากสิ่งเหล่านี้  ยืนอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้   มันจึงแสวงหาความพ้นจากสิ่งเหล่านี้  จะไปปฏิบัติธรรมะทำความเพียรอะไรก็เพื่อให้พ้นจากสิ่งเหล่านี้  ยืนอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ก็เพราะว่ามองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมันปฏิกูล มันน่าขยะแขยง มันน่ารังเกียจนั่นเอง  ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้าก็ได้คือท่านออกจากบ้านเรือนไปบวชนี่ก็หมายความว่ารู้สึกว่าไอ้ข้างหลังทั้งหมดนั่นมันปฏิกูล มันน่ารังเกียจ มันน่าเบื่อ มันน่าระอา มันน่าขยะแขยง  เพราะนั้นจึงสลัดทุกสิ่งไปบวช  ก็หมายความว่าไอ้ความปฏิกูลนั่นละมันผลักดันไป  มันส่งเสือกไสให้ออกไปเสียให้พ้น  ท่านจึงเรียกว่า เนกขัมมะ หรือ อภิเนษกรม ออกไปเสียให้พ้น  ทีนี้ พอออกไปพ้นแล้วถ้าไปอยู่อย่างนั้นแล้วมันก็แย่  ถ้าไปอึดอัดอยู่อย่างนั้นแล้วมันก็บ้าเลย  ฉะนั้น ท่านต้องไปหาวิธีที่จะอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นคือค้นคว้าจนตรัสรู้ จนจิตใจอยู่เหนือสิ่งทั้งปวงไม่มีอะไรครอบงำจิตใจให้อึดอัด ให้เป็นทุกข์อีกต่อไปนี่เรียกว่าหลุดพ้น (วิมุตติ) หลุดพ้นออกมาได้จากทุกสิ่งเลยไม่มีอะไรที่ปฏิกูล  มองดูไปรอบด้าน ข้างบน ข้างล่าง ทางไหน ทิศไหนก็ตาม  ไม่มีอะไรที่จะต้องไปรู้สึกว่ามันปฏิกูล มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมดา มันเป็นของธรรมดาเสมอกันหมด  ก็ไม่ควรจะไปจัดประเภทว่านั่นนี่ปฏิกูลอีกต่อไป  นี้ ก็เรียกว่าจิตใจมันสูงสุดจนไม่มีอะไรปฏิกูล

    ทีนี้ ไอ้หลัก ๔ ประการนี้มันยังคงมีอยู่สำหรับชาวบ้าน  ถ้าพูดกับชาวบ้านมันก็ต้องพูดว่าอุจจาระปัสสาวะปฏิกูล  น้ำอบน้ำหอมไม่ปฏิกูล ถูกแล้ว, พูดกับชาวบ้าน  พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องพูดอย่างนั้น เพราะมันพูดกับคนโง่   ทีนี้ ต่อเมื่อจะพูดกับคนที่มีปัญญาสูงขึ้นไปเป็นระดับ ๆ  ก็พูดไปตามที่สมควรที่มันตรงกันกับระดับ  เขาจึงมีแบ่งบัญญัติเป็นว่าพูดอย่างสมมติก็มี พูดอย่างปรมัตถ์ก็มี  พูดอย่างสมมติก็พูดตามภาษาชาวบ้าน  พูดอย่างปรมัตถ์ก็พูดตามความจริงที่พระอริยเจ้าท่านรู้กัน  ทีนี้ เราก็มองเห็นว่าไอ้การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนานี่มันเลื่อนชั้นคนให้สูงขึ้นไปตามลำดับเกี่ยวกับปฏิกูลหรือไม่ปฏิกูล อย่างนี้ จากโง่ ไปถึงครึ่งโง่ ครึ่งฉลาด แล้วจนกระทั่งไปถึงฉลาดที่สุดเกี่ยวกับปฏิกูลหรือไม่ปฏิกูล  ฉะนั้น ถ้าเรามัวไปอึดอัดอยู่ด้วยอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็ขอให้ถือว่ามันยังโง่อยู่  วันไหนรู้สึกอึดอัดใจกับอะไร สิ่งใด บุคคลใด การงานอะไรก็ให้รู้สึกว่ามันยังโง่อยู่ก็แล้วกัน  ถ้ามันฉลาดมันต้องรู้จักทำให้จิตใจนี้ไม่อึดอัดกับสิ่งใด 

    ทีนี้ ก็ดูต่อไปอีกที่ว่าถ้ามันมีตัวกูมันก็ยังเกี่ยวกับความรู้สึกที่เป็นปฏิกูล  ถ้ามันหมดตัวกูมันก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับความเป็นปฏิกูล  ฉะนั้นผมจึงถือว่าเรื่องปฏิกูลนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องตัวกู-ของกู  จึงพูดให้ฟังในหัวข้อว่า “ตัวกูกับสิ่งที่เป็นปฏิกูล”  ถ้าตัวกูยังอยู่ก็ต้องยังมีปฏิกูลอย่างนั้นอย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่งอันดับใดอันดับหนึ่ง  ปฏิกูลอย่างเลว ปฏิกูลอย่างกลาง ปฏิกูลอย่างสูงนี่อยู่ในเรื่องของตัวกู  พอหมดตัวกูมันก็หมดปฏิกูลทันทีเหมือนกัน  หรือว่าถ้าตัวกูมันเบาบางลงไป, เบาบางลงไปความเป็นปฏิกูลมันก็จางลงไป , จางลงไปด้วยเหมือนกัน  นี้เรามองดูความหมายของความคำว่าปฏิกูลอย่างเลว ปฏิกูลอย่างกลาง ปฏิกูลอย่างดีตามลำดับไป  

    ปฏิกูลอย่างเลวอย่างต่ำ ๆ ก็เหมือนกับอุจจาระปัสสาวะใคร ๆ ก็ถูกสอนให้ขยะแขยงมาตั้งแต่แรกเกิด  อุจจาระปัสสาวะเป็นต้นนี้เป็นของปฏิกูล  ทั้งที่แท้จริงสุนัขหรือแมวไม่ได้เห็นว่าของเหล่านี้ปฏิกูลก็มี  นี่ เราเอาคนเป็นหลักเอาคนเป็นระดับว่าไอ้คนชั้นแรกที่สุดมันก็รู้ว่าอุจจาระปัสสาวะ ของเน่า ของเหม็น ซากศพอันนี้ปฏิกูล

    ทีนี้  ต่อมาปฏิกูลชั้นกลางก็หมายความว่ารู้ว่า โอ้ย ที่มันไม่เหม็นไม่เน่านั้นละก็ยังมีปฏิกูล เช่น เนื้อหนังตามปรกติ  ผม ขน เล็บ ฟัน หนังตามปรกติ  ร่างกายของเพศตรงกันข้ามตามปรกตินี่ก็เป็นปฏิกูล  ทั้งที่เขาจะอบ ทา ลูบไล้ไว้ด้วยของฉาบทาต่าง ๆ ก็เป็นปฏิกูล  นี้ก็ปฏิกูล  เห็นปฏิกูลชั้นสูงขึ้นมาเป็นอันดับกลางชั้นกลาง

    ทีนี้ พอมาถึงชั้นสูงสุดจริง ๆ นะก็เรียกว่าขึ้นชื่อว่ากิเลสหรือสิ่งอันเป็นที่ตั้งของกิเลสแล้วก็ปฏิกูลทั้งนั้น  ปฏิกูลทั้งนั้นเลย  แม้แต่บุญกุศล  เรียกว่าบุญดีกว่า  ถ้าไปเรียกกุศลมันกำกวม  ก็ถูกเรียกว่าอุปธิ บุญนี่เป็นอุปธินำสัตว์ให้เวียนว่ายไปในสังสารวัฏที่ดี เช่น ไปเกิดในสวรรค์เป็นเทวดาเป็นอะไรต่าง ๆ นี้บุญพาไป  แล้วบาปก็ปฏิกูลเพราะพาลงไปนรกอะไรต่าง ๆ  บุญก็พาไปสวรรค์เพราะนั้นบุญนี่ก็พาสัตว์เวียนว่ายไปในวัฏฏสงสารท่านจึงจัดเป็นอุปธิ  เป็นปฏิกูลชั้นสูง  ปฏิกูลชั้นสูงสุด  ปฏิกูลชั้นที่เข้าใจยาก  อาจจะพูดได้ว่าแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าความดีที่ชาวบ้านสมมติกัน  เรียกว่าความดีตามภาษาชาวบ้านนั้นก็ปฏิกูลนับตั้งแต่ว่าได้แล้วดีหรือว่าถูกต้องหรืออะไรก็ตามก็ดี  แล้วก็หลงรัก พอใจ ยึดมั่นถือมั่นยกหูชูหางว่ากูดีกว่าคนอื่น  กูมีดีกว่ามึง  มึงมีดีกว่ากู  กูดีกว่ามึง  ในการศึกษาเล่าเรียนการปฏิบัติมีอะไรบริสุทธิ์  คนนั้นเป็นคนพาล  กูเป็นบัณฑิตนี่อย่างนี้นี่ก็เรียกว่าเป็นปฏิกูลทั้งนั้น

    รวมความว่าไอ้ที่เรียกกันว่า บุญ หรือ ความดี นี้เขาจำกัดอยู่ในวงจำกัดว่าเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ หรือเป็นสิ่งที่ทำให้คนหลงใหลยึดถือ  ฉะนั้นจึงยังไม่พ้นทุกข์  แม้จะมีบุญก็ยังมีความทุกข์ตามแบบมีบุญ   เพราะฉะนั้นบุญหรือผลบุญเหล่านี้ยังปฏิกูลอยู่ในอันดับสูงสุดแทบจะมองไม่เห็น  ถ้าจะพ้นจากปฏิกูลชั้นสูงสุดนี้อีกทีหนึ่งก็ต้องไปโน้นคือว่าไม่ยึดถืออะไรทั้งดีและทั้งชั่วโดยความเป็นตัวกู-ของกู  คือว่างไปจากตัวกู-ของกู จึงจะหมดเรื่องปฏิกูลไปเสียที  คือหมดเรื่องความทุกข์กันเสียที  ถ้ายังมีความทุกข์อยู่ที่ไหนไอ้ความทุกข์มันเป็นปฏิกูล  ไปเกิดในสวรรค์มันก็มีแก่ เจ็บ ตาย ยึดมั่นถือมั่น มีกิเลส ตัณหา ตามประสาของชาวสวรรค์หรือชาวพรหมโลก  ยังเป็นปุถุชนอยู่ยังมีอุปาทานอยู่  แล้วอุปาทานหรือวัตถุแห่งอุปาทานนั่นละ คือปฏิกูล  ปฏิกูลชั้นสูงสุดที่ชาวบ้านเข้าใจไม่ได้  ชาวบ้านเข้าใจได้ในเรื่องอุจจาระปัสสาวะปฏิกูล  หรืออย่างดีขึ้นมาก็ว่าไอ้เนื้อหนังมังสาที่ลูบทาหลอก ๆ กันนี้ปฏิกูลมีเพียงเท่านี้  แต่มิอาจจะมองเห็นว่าบุญหรือบาปหรืออะไรก็ตามที่พาคนให้เวียนว่ายไปทั้งสังสารวัฏนั้นปฏิกูล  หรือความทุกข์มีอยู่ที่ไหนก็มีความเป็นปฏิกูลที่นั่น  ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีความหมายอยู่ที่ไหนก็เป็นปฏิกูลที่นั่น  

    ฉะนั้นเราต้องไปกันอีกทีหนึ่งอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ก็เหนือความเป็นปฏิกูล  ไม่มีอะไรที่เป็นปฏิกูลหรือรู้สึกปฏิกูล  ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ปฏิกูลแก่คนธรรมดา  แต่ไม่ปฏิกูลแก่พระอรหันต์  เพราะว่าพระอรหันต์ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่อึดอัด ไม่รำคาญ ไม่เป็นทุกข์เพราะความเกิดแก่เจ็บตาย  มันจึงไม่รบกวนท่าน  ฉะนั้น ผู้ที่มีจิตใจขนาดที่เรียกว่าตายเสียก่อนตายจึงจะอยู่เหนือความเป็นปฏิกูลโดยประการทั้งปวง  คือเหนือปฏิกูลทุกระดับ  จะพูดว่าตายเสียก่อนตายหรือจะพูดว่าไม่ตายเสียก่อนตายก็ตามเถอะความหมายเดียวกัน  เมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วไม่มีอะไรทีเป็นปฏิกูลเพราะมันอยู่เหนือกิเลส ตัณหา อุปาทาน ทุกสิ่งทุกอย่าง  ไอ้ความเป็นปฏิกูลก็เลยหมดไปไร้ความหมายไป  ทำให้เราเห็นได้ว่าไอ้ความเป็นปฏิกูลนี้มันก็เป็นสมมติเป็นบัญญัติตามความรู้สึกแห่งจิตใจของบุคคลที่มีอยู่หลายชั้นเป็นชั้น ๆ ๆ ๆ เป็นพวก ๆ  ไป เป็นความโง่ชนิดหนึ่งที่ไปหลงว่าปฏิกูล หรือไปหลงในของปฏิกูล หรือไปเข้าใจว่ามันปฏิกูล  ที่จริงมันเป็นตามธรรมชาติทั้งนั้น  เป็นของธรรมชาติเสมอกันหมด  นี่เราไปรู้สึกตามความรู้สึกของเราเอง  ความรู้สึกที่โง่มาก โง่น้อย โง่ต่ำ โง่สูง มันก็เป็นเหตุให้รู้สึกต่าง ๆ กันและบัญญัติไปตามนั้นมันจึงเกิดปัญหาวุ่นวายยุ่งยากมากมายขึ้นมาอย่างนี้  เพราะนั้นพยายามศึกษาหรือปฏิบัติให้ได้ในข้อที่ว่าตายเสียก่อนตายแล้วจะหมดปัญหาทุกอย่างทุกประการ  ช่วยกันให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเข้าใจเรื่องนี้ซึ่งมีประโยชน์คือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดกว่าเรื่องทุกเรื่องนะ  นี่คือเรื่องความเป็นปฏิกูลเนื่องกันอยู่กับตัวกูอย่างไร  เรามองดูเรื่องตัวกูของกูมาในแง่อื่น ๆ มาหลายแง่หลายมุมแล้ว  วันนี้มามองดูกันในแง่ที่เกี่ยวกับปฏิกูลจนเห็นว่ามันมีอยู่เฉพาะเมื่อมีความรู้สึกว่าตัวกู-ของกู  เพราะฉะนั้นพูดได้เลย พูดได้เสียเลย โผงผางลงไปได้เลยว่าไอ้ตัวกูนั้นคือปฏิกูลที่สุด  ปฏิกูลที่สุดก็คือไอ้ตัวกูนั่นเอง  คุณไปคิดดู, ในบรรดาสิ่งที่เป็นปฏิกูลทั้งหลายทั้งสิ้น ทั้งอย่างต่ำ อย่างกลาง อย่างสูง มันก็คือตัวกูทั้งนั้นมันรวมอยู่ที่ตัวกู (ฉะนั้น) ตัวกูนั้นคือสิ่งที่น่าขยะแขยงที่สุด (ฉะนั้น) อย่าออกไปมองผู้อื่นเลย  อย่าไปมองคนอื่นเลย  อย่าไปยกหูชูหางเบ่งทับคนอื่นเลย  อย่ามองผู้อื่นด้วยสายตาอันเหยียดหยามเลย  ไอ้ตัวกู-ของตัวเองมันเลวอยู่เต็มประดาเป็นปฏิกูลที่สุดอยู่ในตัวแล้ว  นี่มันโง่, ไม่มอง มองข้ามไปเสีย ไปมองที่คนอื่น ไอ้ตัวกู-ของกูมันจึงได้สกปรกอย่างยิ่ง เลวอย่างยิ่ง ปฏิกูลอย่างยิ่งก็ยังไม่รู้สึกตัว  ยังยกหูชูหางอยู่นั่นเอง

    นี่ คือบทสรุปความว่าปฏิกูลที่สุดก็คือตัวกู  หมดตัวกูเมื่อไรก็หมดปฏิกูลเมื่อนั้น  เพราะนั้นขอให้ทุกองค์ตั้งใจฟังให้ดีศึกษาให้ดีถึงคำอธิบายที่มันสั้น ๆ ที่สุดหรือว่ามันลัดตรงที่สุด  ไปยังจุดที่เป็นปัญหาที่สุด เราคุยอวดได้ว่าไอ้คำอธิบายอย่างนี้มันไม่มีในหนังสือที่เขาพิมพ์ขายกันอยู่ ไม่มี, ฉะนั้นมันต้องถือเอาเป็นประโยชน์ส่วนหนึ่งให้ได้เพราะมันไม่มีที่อื่น  ถ้ามีที่อื่นคุณก็เอาจากที่อื่น  ไปหาจากที่อื่น  ไปเอาจากที่อื่นก็ได้  แต่นี่ผมกำลังบอกว่ามันไม่มีจากที่อื่นเพราะเขายังไม่พูดกัน  หรือว่าเขาจะไม่พูดกันก็ตามใจสิ  แต่ผมเห็นว่ามันสำคัญที่สุด  เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด  ไม่ใช่เรื่องพูดพล่าม  เป็นอะไรไม่รู้จัก  ไม่รู้จักที่สุด  ไม่มีที่สิ้นสุด  พูดกันแต่เรื่องตัวกูนั้นจะเป็นเรื่องที่เป็นใจความเนื้อแท้เนื้อหาสาระ  ถ้าพูดเรื่องอื่นก็เป็นเรื่องบ้าหอบฟาง  เรียนวิชาความรู้ให้ท่วมโลกมันก็เป็นเรื่องบ้าหอบฟางเป็นเรื่องที่ไร้สาระเพราะมันไม่ดับทุกข์  เรื่องอื่นมันไม่ดับทุกข์

    ไอ้เรื่องไปดวงจันทร์เดี๋ยวนี้กลายเป็นเรื่องน่าหัวขึ้นทุกที  ที่ผมนั่งที่โต๊ะที่ผมนั่งตรงหน้าประตูนั่นมีรูปภาพไปดวงจันทร์ใส่กรอบวางไว้อยู่สองรูป  เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีฝรั่งหนุ่ม ๆ คนหนึ่งมาแล้วมันมองหน้าผม  แล้วมันมองรูปนั้นแล้วมันถามว่า “นี่อะไรกัน ท่านเห็นว่าอย่างไร” “แล้วคุณว่าอย่างไร” มันว่า “นี่เรื่องบ้าที่สุด”  ผมก็เลยบอกว่า “เออจริงเราก็ถือว่าเป็นเรื่องบ้าที่สุด  เอามาวางไว้นี่ไม่ใช่เพราะว่าเลื่อมใส  เอามาวางไว้ให้ดูให้เห็นว่านี่มันเป็นเรื่องบ้าที่สุด”  เราเคยถือว่าไอ้เรื่องไปดวงจันทร์ได้นี่มีความดีความเก่งเท่าที่คนป่าสมัยหลายหมื่นปีรู้จักสานเสื่อกระจูดนั่ง  พูดกันหลายหนแล้วนะเรื่องนี้  ไอ้คนป่าหลายหมื่นปีถึงจะยังไม่นุ่งผ้าหรืออะไรก็ตาม  มันรู้จักไปถอนเอากระจูดในหนองมาสานเป็นเสื่อปูนั่งนี่มีความเก่งมีความฉลาดสามารถเท่าที่คนสมัยนี้ไปดวงจันทร์ได้  เพราะมันเรียนมันเรียนมันเป็นหนี้วิชาความรู้ของคนมาหลายพันปี จนมันไปดวงจันทร์ได้  ไอ้คนป่านั้นมันไม่ได้ความรู้มาจากใครเลย  แต่เป็นคนประดิษฐ์ครั้งแรก  ถอนกระจูดมาสานเป็นเสื่อรองนั่งได้  ฉะนั้น ความเก่งมันเท่ากัน  เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้น่าอัศจรรย์เพราะว่าเด็ก ๆ เหล่านี้พอเกิดมาก็เรียนวิทยาศาสตร์  เรียนหลักวิทยาศาสตร์อะไรต่าง ๆ เรื่องสี เรื่องแสง เรื่องความร้อน เรื่องฟิสิกส์ เรื่องเคมี เรื่องอิเล็กทรอนิกส์อะไรต่าง ๆ จนเป็นของธรรมดา  ในประเทศที่ยิ่งเจริญเท่าไร เด็ก ๆ ก็รู้อย่างนี้มาตั้งแต่เล็กแล้วเลยเป็นของไม่แปลก ไม่ประหลาด เป็นของธรรมดาไป  อย่างวิทยุอย่างโทรทัศน์อย่างนี้ ๆ เป็นของธรรมดา  เหมือนกับโต๊ะเก้าอี้ที่มีอยู่ตามธรรมดา  ฉะนั้นการไปดวงจันทร์มันเลยกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ๆๆๆ  การไปดวงจันทร์ครั้งที่สองนี้ที่อเมริกาสนใจน้อยกว่าเรื่องเคเนดี้ขับรถตกคลอง  หนังสือพิมพ์ในอเมริกันเขาลงกัน  ประชาชนสนใจเรื่องเคเนดี้ขับรถตกคลองมากกว่าที่การไปดวงจันทร์ครั้งที่สอง  นี่ พอครั้งต่อ ๆ ไปมันก็เลยกลายเป็นของที่ไม่มีความหมาย  เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ดับทุกข์  แล้วมันโง่ที่ไปใช้เงินเปลือง  เพราะไอ้ความไอ้เรื่องนี้ก็เลยเป็นเรื่องปฏิกูลที่สุด  ไอ้เรื่องโง่ใช้เงินเปลืองไปดวงจันทร์นี้เป็นเรื่องปฏิกูลที่สุดคือมันโง่  มันไปทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำให้มันเหนื่อยยากลำบาก หมดเปลืองแล้วก็ส่งเสริมความโง่อย่างอื่นเพิ่มขึ้นอีกมากไอ้การค้นคว้าอวกาศนี้  เพื่อเป็นอุปกรณ์ในการทำสงคราม  เพื่อจะทำสงครามให้แพงมากไปกว่าเดิม  เดี๋ยวนี้การทำสงครามของอเมริกันในเวียดนามใช้เงินวันละพันสี่ร้อยล้านบาท  คุณฟังให้ดีน่าพองขนนะ  ใช้เงินวันละ ๗๐ ล้านเหรียญคือเท่ากับ ๑,๔๐๐ ล้านบาทต่อวัน  ฉะนั้นเงินวันเดียวรบกันวันเดียว ๑,๔๐๐ ล้านบาท  เอามาทำให้โลกนี้เป็นสุขได้อีกมาก  แต่มันไม่ได้ประโยชน์อะไรกับตัวกูของมัน  มันก็ไม่ใช้สิ  มันก็ไปใช้ทำสงครามดีกว่าจะมาใช้ไปอุดหนุน ... (นาทีที่ 48:56)  อย่างที่ว่าการกุศล  ทีนี้ ยิ่งจะทำสงครามยุคอวกาศทำสงครามกันด้วยวิชาอวกาศแล้วยิ่งใช้กันมากกว่านี้อีกกระมัง  ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ปฏิกูลที่สุดคือน่ารังเกียจที่สุด  ฉะนั้นคุณที่กำลังโง่ กำลังบ้า หลงความเจริญสมัยใหม่รู้สึกตัวเสียบ้าง  พวกคุณที่กำลังโง่ กำลังบ้า หลงความเจริญสมัยใหม่รู้สึกตัวกันเสียบ้าง  กำลังไปหลงไอ้สิ่งที่มันปฏิกูลอย่างยิ่ง  มันไม่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า  ทำเล่นกับมันสิ  ทำเล่นกับเรื่องตัวกู-ของกูสิ  มันเตลิดเปิดเปิงไปไหนก็ไม่รู้ไปจนตามไม่ทันจนคิดไม่ถึง  แล้วเป็นเรื่องปฏิกูลทั้งนั้นตลอดเวลา  คือมันน่าเกลียด น่ารังเกียจ น่าติฉิน  บัณฑิตมองแล้วติฉินทั้งนั้น   คนพาลเท่านั้นที่ว่าจะว่าดี 

    รวมความแล้วไอ้ปฏิกูลที่สุดคือความโง่  ความโง่อะไรไม่โง่เท่ากับตัวกู  ตัวกู-ของกูนั่นคือโง่ที่สุด  เพราะนั้นปฏิกูลที่สุดมันอยู่ที่นั่น   อย่าได้ปล่อยให้มันแสดงบทบาทหรือให้มันครอบงำจิตใจต่อไปอีก  ก็พยายามรู้จักสิ่งสกปรกลามกให้ดีขึ้นไปอีก  ก่อนนี้รู้จักมันน้อยนักว่าอะไรสกปรกลามก  เดี๋ยวนี้รู้ให้มากขึ้นไปว่าไอ้ตัวกู-ของกูแบบที่มีอยู่ในตัวนั้นมันสกปรกลามกที่สุดปฏิกูลที่สุดและอย่าเป็นคนโกหกปกปิดไอ้ตัวกู-ของกูนี้ไว้ในอีกรูปหนึ่งให้มันให้มันเจริญงอกงาม  กิเลสนี้ถ้าเราไปส่งเสริมมันไปให้อาหารมันมันก็เจริญงอกงาม  ทีนี้ ไอ้การโกหกหลอกลวงนั่นละคือการให้อาหารแก่กิเลสให้มันงอกงาม  คือช่วยป้องกันอย่างอื่นไว้ แล้วเพื่อให้กิเลสได้กินอาหารอย่างเดียวมันก็แรงมากขึ้นนี่พูดวันนี้ก็รวมความว่าพูดเรื่องสกปรก  พูดเรื่องของสกปรกคือปฏิกูลแล้วก็คือตัวกู-ของกูหรือความโง่  ที่มันสร้างเป็นตัวกูของกูขึ้นมา  แล้วก็อย่าได้อวดดี ให้มันเป็นเหยื่อแก่ตัวกู-ของกูอีกต่อไป  ถ้าขืนอวดดีอยู่  มันให้อาหารแก่ตัวกู-ของกูเรื่อยไป  อวดดีเป็นคนเก่ง  เป็นคนอะไรขึ้นมาเมื่อไร  มันก็เป็นให้อาหารแก่ตัวกู  มันก็ยิ่งสกปรกมากไปเท่านั้น

    เพราะนั้นผมขอยืนยันอยู่เสมอว่าขอให้บูชาอุดมคติของวัดป่าพระเถื่อนที่นี่ (อาบน้ำ) กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคูนี้ เป็นอยู่อย่างทาสอย่างขี้ข้า  อย่างทาสคือรับใช้ผู้อื่น  มุ่งมาดความวางคือความปล่อยวาง  หมายมาดความปล่อยวางก็อยู่อย่างตายแล้ว  แล้วก็มีดวงแก้วอยู่ในมือแน่ ๆ คือจิตว่าง  จิตที่ว่างจากตัวกู-ไม่มีตัวกู  มีจิตว่างที่ถูกต้องตามแบบของพระพุทธเจ้าไม่มีตัวกู  ก็เหลืออยู่แต่เรื่องแจกของส่องตะเกียงคือทำประโยชน์ผู้อื่น  ทำลายตัวกูเสียด้วยการเอาไปรับใช้ผู้อื่น  นี่จะเรียกว่าเป็นอุดมคติก็ได้  จะเรียกว่าเป็นหลักปฏิบัติก็ได้เรียกว่าเป็นชีวิตที่ที่น่าดูที่ถูกต้องก็ได้  ถ้าเป็นอยู่อย่างนี้แล้วมันก็เรียกว่ามันไม่มีตัวกู-ของกู  ถ้าทำได้ตลอดไปเด็ดขาดลงไปก็วิเศษ  ถ้าทำไม่ได้เด็ดขาดก็ขอให้ทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  เป็นอยู่ด้วยจิตว่างจากอุปาทานนี้ให้มันมีมากออกไป  มีในลักษณะของจิตประภัสสรให้มันอยู่ยาวออกไป ๆๆ  เต็มอยู่ด้วยปัญญา  ตัวกูให้นาน ๆ มาครั้งแล้วก็อย่ามาบ่อยเข้า  น้อยเข้า ๆ จนขาดสูญไปในที่สุด  แล้วให้จับใจความให้ได้ว่ามันนิดเดียว  ทั้งหมดที่พูดตั้งชั่วโมงนี่นิดเดียว  เราพูดมาแล้วกี่ครั้ง ๆ หลายปีมาแล้ว หลายสิบหลายร้อยครั้งแล้วมันก็เรื่องเดียวเป็นเรื่องเดียวแล้วก็นิดเดียว  เรื่องนั้นนิดเดียวคือเรื่องตัวกูกับทำลายตัวกูเสีย-ไม่มีตัวกู  นี่ เราจารนัยให้ฟังว่าถ้าตัวกูมีมันเป็นอย่างนั้น ๆๆๆ  แล้วเราก็โง่  พูดจากันผิด ๆ เรื่องนี้  อย่างนี้ ๆ พูดไปพูดมาฟังกันไม่รู้เรื่องเพราะมันโง่  นี่ ขยันพูดให้เข้าใจกันทีละนิด ๆๆ จนกว่าจะหมดความโง่    ถ้าเผอิญใครมีบุญฟังเข้าใจได้เร็วแล้วก็ตัดลัดไปได้ง่าย ๆ โดยวิธีตายเสียก่อนตายได้ก็หมดแล้ว  ก็วิเศษประเสริฐที่สุดแล้ว  ก็หมดเรื่องเท่านั้นเอง  นี่เรียกว่ามีบุญที่สุดจนอยู่จนออกได้พ้นไปจากบุญ  นอกนั้นก็ยัง  คนที่ยังจะต้องลำบากต่อไปจะทนทรมานต่อไป

    สวนโมกข์มีปริญญาให้เพียงอย่างเดียวคือตายเสียก่อนตาย  นี่ เรียกชื่ออย่างนี้ฟังดูมันก็เป็นตัวกู –ของกู  นี่ปริญญา  แต่หมายความว่าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าคนเขานิยมปริญญากันทั้งโลกนะปริญญากันทั้งโลก  เราก็มีปริญญาตายเสียก่อนตายนี้  ให้แล้วก็ศึกษาด้วย กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคูนี้อย่างที่ว่าแล้ว แล้วก็อยู่เหนือ, อยู่เหนือของสกปรกทุกอย่าง  คือเหนือของทุกอย่างที่ล้วนแต่สกปรกได้ในเวลาอันสั้น  ทีนี้ ที่เหลือที่ยังไม่ตาย  ชีวิตที่เหลืออยู่นั้นยังไม่ตายก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น สนุกสนาน เป็นสุขด้วยการทำประโยชน์ผู้อื่น  อย่าไปเป็นสุขสนุกสนานด้วยการให้เหยื่อแก่ตัวกู-ของกูเลย  ให้เป็นสุขสนุกสนานด้วยการทำประโยชน์ผู้อื่นแจกของส่องตะเกียง  ก็เลยเรียกว่าเป็นอยู่อย่างทาส  เป็นอยู่อย่างทาสคือรับใช้ผู้อื่น  แต่มันคนละความหมายกับทาสในภาษาคน  หมายความว่ามันยอม ๆๆ ยอมรับใช้ผู้อื่นเพราะความสงสารผู้อื่นเห็นแก่ผู้อื่น  ไอ้เรื่องของตัวกูนั้น ลืม ลืมเลย เรื่องของตัวกูนั้นให้ลืมเสียให้เด็ดขาด นี่ก็เป็นอุบาย  ยังไม่บรรลุพระอรหันต์  แต่เป็นอุบายที่จะทำตามพระอรหันต์อย่างลัดสั้นที่สุด

    เอาละ, เรียกว่าเรื่องตัวกูที่แสนจะปฏิกูลมันก็มีอยู่เท่านี้  พูดในแง่ปฏิกูลก็มีเพียงเท่านี้ พอกันที

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service