แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อย่างนี้แล้วก็เรียกว่าเป็นคนโชคร้ายที่สุด ถ้าไม่รู้จักทำสิ่งที่เป็นประโยชน์นั้นให้เป็นประโยชน์ กลับทำให้กลายเป็นสิ่งที่กลายเป็นโทษไปเสียทั้งหมด ท่านจะอยู่ไปอีก 10 ปี 20 ปี 100 ปี 1000 ปี ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เท่ากับตายแล้วไม่มีวันฟื้นคืนขึ้นมาอีก ถ้าจะเอาชนะเวลา ถ้าจะเอาชนะอายุ ก็ต้องปรับความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ดีดี ให้ชนะมาร ให้ชนะทุกข์ ทันแก่เวลา สมควรแก่เวลา รู้จักเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นการศึกษาและดับทุกข์ไปในที่สุด ลองคิดดูให้ดีเถิดว่าสิ่งเหล่านี้มันมาเพื่อจะให้เกิดผลดีแก่เรา ทำไมเราจึงไม่รับเอาในลักษณะเช่นนั้น อาตมาอยากจะกล่าวว่า แม้แต่สิ่งที่เรียกว่ากิเลสซึ่งคนเกลียดกันนักกันหนานั้น มันก็ยังเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเรารู้จักต้อนรับกิเลส เราจะลองตั้งปัญหาขึ้นดูว่าสิ่งที่เรียกว่ากิเลสนั้น เราจะฆ่ามันเสียดีหรือว่าเราจะเอามันมาเป็นบ่าวเป็นทาสเพื่อใช้สอยมันต่อไปจะดี หรือว่าเสือนั้น เราจะยิงมันให้ตายเสียก็ดีหรือว่าจะเอามาขี่เล่นดี ถ้าเราอยากจะเอามาขี่เล่นดีกว่ายิงมันเสียให้ตายแล้ว เราก็ต้องฉลาดให้เพียงพอกันเท่านั้นเองจึงจะฝึกมันได้ ไปเอามาขี่เล่นได้ กิเลสนี้ก็เหมือนกัน ที่แท้มันเป็นเพียงพลังงานอย่างหนึ่ง ถ้าไสหัวมันผิดทางมันก็เป็นกิเลสขึ้นมา และเกิดเรื่องเกิดราวตามแบบของกิเลส ถ้าไสหัวมันถูกทางมันก็กลายเป็นสิ่งที่รับใช้ทำประโยชน์ได้ ยกตัวอย่างเช่นความอยากหรือความโลภ ถ้าเรารู้จักอยาก รู้จักโลภให้ถูกทางมันก็กลายเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง มีพระพุทธสุภาษิตตรัสไว้ว่า เรารู้ความไม่สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลายว่าเป็นสิ่งที่จำปรารถนา ความไม่สันโดษก็คือความโลภอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ไม่สันโดษในกุศลธรรมคือไม่สันโดษในการทำความดี อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นการละโมภทำความดี จะเรียกว่าละโมภหรือโลภนี้ ดูมันออกจะร้ายกาจไปสักหน่อย แต่เนื้อแท้มันก็เป็นพลังงานตามเดิม พลังงานที่มิจฉาทิฏฐิบังคับ มันก็เป็นความโลภ ความละโมภที่น่ารังเกียจ แต่พลังงานที่สัมมาทิฏฐิบังคับนั้น ก็เป็นความโลภหรือความต้องการที่น่าปรารถนา เพราะฉะนั้นจึงมีคำกล่าวอย่างที่เป็นสำนวนลึกซึ้งขึ้นมาว่า จงอาศัยตัณหาเพื่อฆ่าตัณหาเสีย จงอาศัยมานะทิฏฐิเพื่อจะฆ่ามานะทิฏฐิเสีย อย่างนี้เป็นต้น เราฟังออกหรือฟังเข้าใจกันในลักษณะอย่างไรถ้าจะกล่าวขึ้นมาในที่นี้ว่า อาศัยความโลภนั่นแหละฆ่าความโลภเสีย ถ้าเราทำได้ก็แปลว่าเราไม่ฆ่ากิเลสให้ตายเสียเปล่าๆ แต่เราเอามาใช้สอยเป็นบ่าวเป็นทาสให้ทำการทำงานได้ กลับมีประโยชน์ไปเสียอีก สิ่งที่เรียกว่ากิเลสนั้นโดยเนื้อแท้มันเป็นตัวพลังงานที่รุนแรงอย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนกับภาวะที่เป็นสติปัญญาเหมือนกัน พลังงานที่มีสัมมาทิฏฐิครอบงำเราเรียกว่ากำลังของสติปัญญาหรือกำลังของโพธิที่จะทำให้ตรัสรู้ แต่พลังงานที่ถูกครอบงำด้วยมิจฉาทิฏฐินั้นเราเรียกว่ากิเลส แต่เมื่อเราไปทำให้มันเป็นกิเลส มันก็ต้องเป็นกิเลส แต่ถ้าเรารู้จักเปลี่ยนให้มันมาเป็นโพธิ มันก็ยังเป็นโพธิได้ คือโลภให้ถูกทางหรือแม้ที่สุด แต่ถ้าจะโกรธใคร ก็โกรธให้ถูกทาง มันก็ยังมีประโยชน์แก่คนนั้นคนนี้บ้างหรือแม้แต่ถ้าว่าจะยังมีความหลงใหล มัวเมา ก็หลงใหลมัวเมาให้ถูกทางเพราะว่าความสงบก็เป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหลมัวเมาได้เหมือนกัน แม้แต่สิ่งที่เรียกว่านิพพานนั้นก็เป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหลมัวเมาได้เหมือนกัน ฉะนั้นในข้างต้น เรารู้จักทำกิเลสนี่ให้กลายเป็นมิใช่กิเลสไปเสีย ก็กลายเป็นได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่ากิเลสนั้น เมื่อเราจับเสือเอามาเปลี่ยนแปลง ทำให้ไม่เป็นเสือที่กินคนเสีย มันก็ต้องเป็นประโยชน์แน่นอน ถ้างั้นเราจะไปมัวฆ่ากิเลส สู้รบกับกิเลสไปในทำนองที่จะทำลายมันให้หมดสิ้นทำไมกัน เราจงกระทำไปในทางที่จะเปลี่ยนแปลงมันให้เป็นโพธิ ให้เป็นกำลังงานที่จะใช้ประโยชน์ได้ อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ ถ้าใครมีความโลภ ไม่อาจจะละความโลภได้ ในโอกาสนั้นก็เปลี่ยนให้มันมีความโลภในทางบุญทางกุศลเสีย ถ้าเจอใครอยากจะมีความโกรธ ก็มีความโกรธในทางที่จะประชดกิเลสนั่นเอง มีความโกรธในการที่จะลงโทษตัวเอง ในเมื่อกระทำอะไรไปในทางที่ผิด โกรธตัวเองอย่างนี้ให้ถูกวิธีแล้ว ความโกรธนั้นก็จะเป็นประโยชน์แทนที่จะเป็นโทษ สิ่งที่เรียกว่ากิเลสก็กลายเป็นผู้รับใช้ที่ดีไปได้เหมือนกัน อย่างนี้เรียกว่ามันจะมากเกินไปแล้วหรืออย่างไรในการที่จะใช้ความโลภ ความโกรธ ความหลงให้เป็นเครื่องมือสำหรับกำจัดกิเลสได้ แต่ถ้านึกถึงปู่ย่าตายายที่พูดไว้ ว่าให้หนามนั่นแหละบ่งหนาม คือหนามยอกให้เอาหนามบ่ง อย่างนี้มันดูๆก็ดีอยู่ แต่มันขึ้นอยู่กับความฉลาดหรือความรู้หรือสัมมาทิฏฐิอีกเหมือนกัน อย่าไปทำหนามอันทีหลังให้กลายเป็นหนามอันทีแรก หนามอันทีแรกนั้นมันเป็นหนามที่ตำอยู่ในเนื้อ หนามอันทีหลังมันต้องกลายเป็นเครื่องบ่ง เครื่องยก เครื่องงัดมา ไม่ใช่กลายเป็นหนาม แต่ลูกหลานโง่ๆสมัยนี้ทำหนามอันที่สองให้กลายเป็นหนามตำเข้าไปอีก เอามาอีกเป็นอันที่สาม ก็ทำให้กลายเป็นหนามตำเข้าไปอีก จนเต็มไปด้วยหนามไม่มีทางที่จะบ่งออกได้ แล้วก็ไปโกรธปู่ย่าตายายว่าให้ใช้หนามบ่งหนาม นี่มันเป็นความโง่ของลูกหลานสมัยนี้ เป็นความโง่ของคนสมัยนี้ มีแต่จะเพิ่มหนามเข้าไปในเนื้อในตัวของตนให้มากขึ้นเพราะการทำผิดวิธีซึ่งเราจะเห็นได้กันอยู่ทั่วไป ในการที่เขาแสวงหาอะไรมาเป็นเครื่องบำบัดทุกข์ แต่แล้วก็เอามาเพิ่มความทุกข์อันใหม่ขึ้นให้มากขึ้นไปอีก จะไปหาอะไรมาเป็นเครื่องบำบัดทุกข์ก็มากลายเป็นเพิ่มความทุกข์ให้มากขึ้นไปอีก ในโลกนี้จึงเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นการเพิ่มความทุกข์ เครื่องมือเครื่องใช้ที่ดีที่อาจจะใช้ในการบำบัดทุกข์ได้ก็ไปใช้ในการเพิ่มความทุกข์ ยกตัวอย่างประดิษฐกรรมในทางวิทยาศาสตร์มากมายสมัยนี้ ถ้าจะไปใช้ในทางที่จะดับทุกข์กันแล้ว คงจะดับทุกข์ได้มากทีเดียว ยกตัวอย่างเช่นเครื่องวิทยุ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องอะไรเหล่านี้ ถ้าใช้ไปในทางที่จะบำบัดทุกข์ มันก็ต้องช่วยบำบัดทุกข์ได้มากทีเดียว แต่เดี๋ยวนี้เอามาใช้ในทางที่จะส่งเสริมกิเลสหรือเพิ่มความทุกข์ ใช้ในทางบทเพลงที่ยั่วกิเลสหรือสิ่งอื่นๆที่เป็นการยั่วกิเลสมันก็กลายเป็นเครื่องมือเพิ่มความทุกข์ นี่แหละคือข้อที่หนามอันที่สองไม่กลายเป็นเครื่องบ่งหนาม แต่กลายเป็นหนามที่ตำเข้าไปในเนื้อเพิ่มขึ้นไปอีก เหมือนกับเรามีสถานีวิทยุกระจายเสียงที่มีกำลังส่งมาก แต่ถ้าเราไปส่งสิ่งที่ทำลายจิตใจของคนแล้ว มันก็ยิ่งเป็นเครื่องเพิ่มความทุกข์ เป็นหนามอันใหญ่ๆที่ตำเข้าไปในเนื้อเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง ไม่เป็นการบ่งหนาม ฉะนั้น เราต้องเข้าใจคำว่าหนามบ่งหนามของปู่ย่าตายายนั้นให้ดีๆให้อันหนึ่งเป็นหนามและให้อันหนึ่งเป็นเครื่องบ่งหนามมันจึงจะได้ เดี๋ยวนี้เราเอามาทำให้กลายเป็นหนามไปตามเดิม มันก็เลยบ่งกันไม่ไหว ยิ่งไม่รู้จักทำกิเลสให้เป็นเครื่องกำจัดกิเลส มันก็ยิ่งเพิ่มกิเลส ยิ่งไม่รู้จักทำพญามารให้เป็นเครื่องมือสำหรับกำจัดมาร พวกมารมันก็เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าอะไรเกิดขึ้นมาในลักษณะที่เป็นมารหรือเป็นกิเลส เราต้องดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงให้มันกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามไปให้จนได้ อย่างนี้เรียกว่าไม่เสียเวลาที่จะไปหากันที่ไหน เพราะว่าที่แท้มันก็อยู่ที่ตรงนั้นเอง มันมีอยู่แต่ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิหรือเป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิมันก็กินก้างเข้าไป ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิมันก็กินแต่เนื้อและไม่กินก้าง และแถมจะใช้ก้างให้เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้อีกด้วย เลยกินได้ทั้งเนื้อทั้งก้าง อย่างนี้เรียกว่าไม่ได้รับอันตรายจากก้าง สิ่งต่างๆในโลกนี้มันก็เหมือนกันอย่างนี้ อย่าไปโทษรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสว่าเป็นที่ตั้งของกิเลส มันไม่ได้เป็นที่ตั้งของกิเลสท่าเดียว มันเป็นที่ตั้งของกิเลสก็ได้ เป็นที่ตั้งของโพธิก็ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาก็เพราะมีความทุกข์เป็นต้นเหตุเป็นต้นเงื่อน เป็นบทเรียน ใครๆก็ตามจะพ้นจากทุกข์ก็ต้องมีความทุกข์เป็นต้นเหตุ เป็นเงื่อนต้น เป็นบทเรียน เราไม่อาจจะเอาสิ่งอื่นมาเป็นเงื่อนต้นหรือเป็นบทเรียนสำหรับบรรลุมรรคผลนิพพานได้ เราต้องรับรูปกลิ่นเสียงรสสัมผัสในโลกนี้ในลักษณะที่เป็นบทเรียนไม่ใช่หลับหูหลับตางมงายหลงใหลในอัสสาทะ (นาทีที่ 14.27) ของสิ่งเหล่านั้นจนไม่รู้จักอาทีนวะ (นาทีที่ 14.34) ของสิ่งเหล่านั้น อย่างนี้มันเป็นความโง่ของคนนั้น เขาจะไปโทษรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเหล่านั้นมันก็ไม่ถูก แต่มันไม่ยุติธรรม เมื่อมันไม่ถูกมันไม่ยุติธรรมแล้ว มันก็ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าเรื่องอะไรหมด มันมีแต่จะเป็นไปในทางที่ให้เกิดความทุกข์อันนั้น ฉะนั้นการที่สั่งสอนกันอย่างผิดๆให้มองดูรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสในด้านร้ายด้านเดียวนี้ ไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่แบบแผนของพระพุทธเจ้าไม่มีหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมีหลักเกณฑ์ที่สรุปขึ้นได้ง่ายๆว่าไม่ให้เกิดอัสชา(นาทีที่ 15.19) และโทมนัส เพื่อไม่ให้ยินดียินร้าย ไม่ให้รักไม่ให้เกลียด เมื่อมีรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเข้ามาเกี่ยวข้อง เราต้องไม่รักและไม่เกลียด เราจะต้องศึกษามันในลักษณะที่ให้รู้ความเป็นจริงว่ามันคืออะไร เราควรเกี่ยวข้องกับมันในลักษณะไรและเพียงไร เราควรเว้นมันในลักษณะไรและเพียงไร รวมความแล้วก็คือ ในลักษณะที่จะไม่เป็นทุกข์เกิดขึ้น และจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่การเป็นอยู่หรือเกื้อกูลแก่ความดับทุกข์นั่นเอง ถ้ารู้จักใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์แล้ว รูปเสียงกลิ่นรสทั้งหลายก็ไม่เป็นพิษไม่เป็นโทษไม่เป็นอันตรายแก่ใคร แต่ถ้าใช้ผิดวิธีหรือไม่รู้จักใช้แล้ว แม้สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลนั่นแหละก็จะกลายเป็นพิษหรือเป็นโทษเป็นของร้ายขึ้นมาได้ ก็ทำลายผู้นั้นให้วินาศฉิบหายได้ รวมความในที่สุดก็คือว่า อะไรจะเป็นอะไรขึ้นมาในรูปไหนนั้น มันแล้วแต่ว่าเอาสัมมาทิฏฐิเข้าไปเกี่ยวข้องหรือเอามิจฉาทิฏฐิเข้าไปเกี่ยวข้อง เอาความเข้าใจที่ถูกต้องเข้าไปเกี่ยวข้องหรือเอาความเข้าใจผิดๆเข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้าเอาความเข้าใจผิดหรือมิจฉาทิฏฐิมาใช้แล้ว โลกนี้ก็เต็มไปด้วยมารเต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยความทุกข์จนเหลือวิสัยที่คนๆนั้นจะปัดเป่าได้ ในที่สุดก็ไม่มีอะไรที่จะดีขึ้นแม้แต่สักนิดเดียว กลายเป็นจมตายลงไปภายใต้กิเลสหรือความทุกข์ ไม่มีทางที่จะโผล่ขึ้นมาได้เลย แต่ถ้ารู้จักใช้สัมมาทิฏฐิหรือที่เรียกว่าเป็นอยู่ให้ชอบ เป็นอยู่ให้ถูกต้องแล้ว สี่งที่เรียกว่ามารหรือกิเลสนั้น จะไม่มาปรากฎให้เห็นเลย รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสทั้งหลายเข้ามาในลักษณะที่เป็นเพื่อนเป็นมิตรเป็นสหาย เป็นบทเรียนช่วยให้รู้อะไรตามที่เป็นจริง และใช้มันเป็นประโยชน์ได้ทุกอย่างทุกประการ เหมือนคนที่ฉลาดในทางหยูกยาจริงๆ เขาอาจจะระบุสิ่งทุกสิ่งที่เกลื่อนกลาดอยู่ในป่านี้ว่ามีประโยชน์แก้โรคนั้นแก้โรคนี้ได้ไปหมด ไม่มีอะไรเหลือแม้แต่ดินแม้แต่ขี้เถ้า แม้แต่ใบไม้แห้งๆ นี่เพราะเขารู้จักมัน ถ้าคนเรารู้จักสี่งทั้งหลายถูกต้องจริงในลักษณะเช่นนี้แล้ว ก็จะรู้จักใช้สิ่งเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ไปหมดแม้แต่สิ่งที่เรียกว่ากิเลสหรือมาร เดี๋ยวนี้เราถือเอามาตรฐานว่า คนธรรมดาไม่ฉลาดถึงขนาดนั้น ตกอยู่ในวิสัยที่จะต้องมีกิเลสหรือมีมารเข้ามาครอบงำ มันจึงมีกิเลสหรือมีมารขึ้นมาในโลก แต่แล้วมันก็ไม่ใช่ความจริง มันเป็นความจริงของคนโง่ เป็นความจริงในมาตรฐานของคนโง่ มันจึงมีมารมีกิเลสที่มีในทางที่ตรงกันข้าม จึงมีโพธิหรือมีบุญกุศลเป็นต้น โดยเนื้อแท้แล้วมันเป็นเพียงธรรมชาติที่เหมือนกันหมด ที่ยึดถือเอาเป็นเรา เป็นของเราไม่ได้ ที่ยึดถือว่าตัวตนว่าของตนไม่ได้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่ากิเลสหรือโพธิ ขืนไปยึดถือสิ่งใดเข้า ก็เป็นกิเลสขึ้นมาทันที ความเป็นมิจฉาทิฏฐิและความเป็นสัมมาทิฏฐิมันต่างกันที่ตรงนี้ ความเป็นมิจฉาทิฏฐิทำให้ยึดถือเอาเป็นตัวกู เป็นของกู สิ่งเหล่านั้นมันก็เป็นมารเป็นศัตรูขึ้นมา ความเป็นสัมมาทิฏฐิทำให้ไม่ยึดถือ สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่เป็นศัตรู แต่กลายเป็นมิตรสหายที่ดี ช่วยร่วมมือในการที่จะก้าวหน้าไปถึงที่สุด ของความเป็นมนุษย์ ชีวิตนี้สามารถที่จะเดินทางไปได้โดยราบรื่นเพราะมีสัมมาทิฏฐิเป็นผู้ชักนำ เป็นผู้ควบคุม ยิ่งพิจารณาดูเท่าไรก็ยิ่งเห็นประโยชน์เห็นอานิสงส์ของสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ และยิ่งเห็นโทษของมิจฉาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิทำให้คนเรามองเห็นอะไรถูกต้องและลึก มิจฉาทิฏฐิทำให้มองเห็นผิดไปหมด ไม่ต้องพูดถึงถูกต้องและลึกซึ้ง อย่างเดี๋ยวนี้ ในโลกนี้แทบจะกล่าวได้ว่าไม่มีสวรรค์อันบริสุทธิ์ เพราะว่ามีนรกขึ้นมาเทียม ถ้าเป็นสมัยก่อน สมัยที่ศีลธรรมยังดีอยู่ เราพอจะพูดได้ว่ามีสวรรค์ในโลกนี้ คือมีบุคคลบางคนดำรงตนอยู่ในสัมมาทิฏฐิ มีความประพฤติถูกต้องทั้งทางกาย ทางวาจา ทางจิต และเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการงานเพราะการประพฤติธรรมนั้น ถ้าไม่มีสติปัญญา ถ้าไม่มีคนรักใคร่ ถ้าไม่มีคนช่วยเหลือร่วมมือ มีคนเคารพนับถือและส่งเสริมจนบุคคลคนนั้นขึ้นไปอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าอยู่ในสวรรค์ในโลกนี้ สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์ด้วยเกียรติยศด้วยไมตรีด้วยการคบหาสมาคม มีความรู้สึกที่เป็นสุขไปหมดแม้ในชั่วระยะหนึ่งก็ยังเรียกว่าสวรรค์ในโลกนี้ ใครเห็นเข้าก็บูชาและอยากจะเป็นเช่นนั้นบ้าง จึงเรียกว่าสวรรค์ในโลกนี้ แต่ถ้าจบมาถึงสมัยนี้ สวรรค์ในโลกนี้ไม่มี ก็มีนรกขึ้นมาเทียมคือว่า คนยึดมิจฉาทิฏฐิเป็นที่พึ่ง หาประโยชน์หาสิ่งต่างๆด้วยความคดโกง หลอกลวงตลบแตลง ได้เงินมามากมายเหลือเกิน แล้วก็สร้างลักษณะหรืออาการที่เรียกว่าสวรรค์ขึ้นมาด้วยความคิดว่ามันเป็นสวรรค์ในโลกนี้ ที่แท้นั่นคือนรกที่ขึ้นมาเทียมสวรรค์ ในสมัยนี้มีนรกชนิดนี้ขึ้นมาเทียมสวรรค์ทั่วไปหมดจนไม่มีใครไว้วางใจว่าจะมีสวรรค์แท้จริงในโลกนี้อยู่ที่ไหน ก็มีแต่นรกเทียมหรือสวรรค์เทียม โดยนรกขึ้นมาแทนที่ในรูปของสวรรค์ ดังนั้นคำว่าสวรรค์หรือการทำดี ซึ่งเป็นเหตุให้ได้สวรรค์นี้เป็นคำที่เข้าใจยากที่สุด เกิดเป็นคำพูดที่มีความหมายอย่างอื่น เข้าใจได้ยากเพราะว่าคนไม่อาจจะมองเห็นในส่วนลึก เห็นเป็นเรื่อง ถ้าเห็นเป็นเรื่องสวยงามสนุกสนานเอร็ดอร่อยตามใจตัวเองได้ ก็เรียกว่าสวรรค์กันไปหมด ไม่ต้องวินิจฉัยว่าเกิดขึ้นมาตามทางของสัมมาทิฏฐิหรือตามทางของมิจฉาทิฏฐิ สวรรค์ที่แท้จริงเกิดมาจากสัมมาทิฏฐิก็เป็นที่ตั้งแห่งความลุ่มหลงเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นสิ่งสูงสุด แม้จะเป็นสวรรค์แท้สวรรค์บริสุทธิ์เกิดมาจากสัมมาทิฏฐิก็ไม่ใช่ที่ตั้งแห่งความลุ่มหลง จึงไม่ต้องพูดถึงสวรรค์ที่เทียม ก็มีนรกแท้ๆที่ปลอมขึ้นมาว่าเป็นสี่งที่จะต้องยึดถือหลงใหลบูชากันเหมือนที่คนสมัยนี้เขาบูชากัน เมื่อพิจารณาดูจากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่าไอ้สิ่งที่เคยเป็นความบริสุทธิ์เป็นความถูกต้องนั้น หายลับไปไม่มีมาเป็นตัวอย่างให้ดู คนก็ยิ่งเข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ คนจับเอากิเลสมาเป็นสวรรค์ในรูปอื่นในลักษณะอย่างอื่น มันก็เกิดสวรรค์แบบอื่น แบบใหม่ และเมื่อยิ่งไปนิยมสวรรค์แบบนี้มันก็ยิ่งไกลออกไปทุกที ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมะได้ โลกนี้อยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเวทนา ก็เต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ คนชั่วคนไม่ดีเท่านั้นที่ร้องตะโกนว่าฉันเป็นคนดี ส่วนคนดีนั้นไม่มีโอกาสที่จะร้องตะโกนอย่างนั้นได้ เพราะว่าการดีหรือความดีหรือการดีจริงหรือคนทำดีจริงๆนั้นไม่มีทางที่จะพูดว่าฉันเป็นคนดี ฟังดูก็ชักจะเข้าใจยากว่าคนดีนั้นไม่มีโอกาสไม่มีทางที่จะพูดว่าฉันเป็นคนดี คนชั่วเท่านั้นที่มีโอกาสจะพูดว่าฉันเป็นคนดี จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ก็ต้องมองกันด้วยวิธีมองในทางฝ่ายวิญญาณอีกตามเคย คือมองกันอย่างลึกซึ้ง ตรงและจริงและถูกต้อง คือเราจะต้องมองว่าคนที่ดีนั้น เขาเอาอะไรเป็นตัวเขา ใครๆก็ต้องพูดว่าเขาเอาความดีนั่นแหละเป็นตัวเขา เมื่อความดีเป็นตัวเขาเสียแล้ว ใครจะเป็นคนพูดว่าฉันเป็นคนดีเพราะความดีเป็นตัวเขาเสียแล้ว ไม่มีความดีไหนที่จะเหลืออยู่มาเป็นความดีของเขา มันมีอยู่แต่ความดีเท่านั้น นี่มันเป็นหลักเกณฑ์อันเดียวกันกับผู้ที่หลุดพ้นจากความทุกข์ มันไม่มีตัวผู้ที่หลุดพ้นจากความทุกข์ มีแต่การหลุดพ้นจากความทุกข์ แต่ไม่มีตัวผู้หลุดพ้นจากความทุกข์ ถ้าเขาเป็นคนดีจริง เขาจะหมดความรู้สึกว่าตัวฉัน ถ้าเขายังมีตัวฉัน เขาก็เป็นคนดีจริงไม่ได้ เพราะตัวฉัน นั้นมันคือการยกหูชูหางของกิเลส มันไม่ใช่ความดี ตัวฉันจึงเป็นคนดีไม่ได้ ถ้ามีการดีจริงมันก็ต้องหุบปาก ไม่มีตัวฉันที่จะเป็นคนดี นี้เรียกว่าในกรณีที่มีความดีจริงนั้น ไม่มีโอกาสที่ใครจะพูดว่าฉันเป็นคนดี จะยกตัวอย่างกันอีกทีหนึ่งว่า ดอกมะลิ กระดูกไก่ของเรามีกลิ่นหอม แต่ไม่มีทางที่มันจะพูดว่าฉันมีกลิ่นหอม เพราะว่ากลิ่นหอมนั้นเป็นตัวดอกมะลิเสียเอง ถ้าไม่มีกลิ่นหอมดอกมะลิก็ไม่มี ไม่มีคุณค่า ดอกมะลิเป็นตัวกลิ่นหอมเสียเอง นี้เข้าใจได้สำหรับผู้ที่มีปัญญามองในแง่ลึก คนธรรมดาจะมองเป็นดอกมะลิอย่างหนึ่ง กลิ่นหอมอย่างหนึ่ง เพราะเขาเอาวัตถุเป็นหลักเกณฑ์ แต่ถ้าเขาเอานามธรรมหรือวิธีการทางฝ่ายวิญญาณเป็นหลักเกณฑ์ เขารู้ว่าดอกมะลิเป็นดอกมะลิขึ้นมาเพราะกลิ่นหอม ดอกมะลิมีค่าเพราะกลิ่นหอม เอาตัวดอกมะลิออกไปเสียจากกลิ่นหอมก็ไม่มีความเป็นดอกมะลิ เพราะฉะนั้นดอกมะลิไม่มีโอกาสจะพูดว่าฉันมีกลิ่นหอมของฉัน มันจึงจะเป็นดอกมะลิที่แท้จริง ไม่เป็นดอกมะลิโอ้อวดเหมือนคนสมัยนี้ ไม่มีอะไรดีจึงมีโอกาสพูดว่าฉันเป็นคนดี ถ้าเขาเป็นคนดี เขาก็ไม่มีโอกาสจะเอ่ยว่าเขาเป็นคนดี ฉะนั้นถ้าใครยังคิดว่าเราเป็นคนดี เราดีกว่าเขา เราจะครอบงำเขาอย่างนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นคนดี ถ้าเป็นคนดีมันก็ไม่มีความคิดว่าฉันเป็นคนดี มันจึงไม่มีการเปรียบเทียบว่าฉันดีกว่าหรือเลวกว่าหรือเสมอกัน การคิดยกตนข่มท่านมันก็ไม่มี นั่นแหละจึงจะเป็นกรณีที่เรียกว่ามีความดีอย่างถูกต้อง หรือว่าเราจะพูดว่า ในการถึงธรรมะที่แท้จริงนั่น ก็ไม่มีโอกาสอีกเหมือนกันที่ใครจะพูดว่าฉันถึงธรรมะ ฉันเห็นธรรมะ ฉันมีธรรมะ พวกอาจารย์ตามศาลาวัดเท่านั้นที่จะโอ้อวดว่าฉันมีธรรมะ ฉันถึงธรรมะ ฉันมีธรรมะเหนือคนอื่น นั่นเพราะว่าเขาแยกตัวเขาเองออกมาได้จากธรรมะ ตัวเขาเป็นกิเลสที่จะโอ้อวดว่าเขามีธรรมะ แต่ถ้าผู้ใดเป็นผู้ที่ถึงธรรมะเสียเองอย่างแท้จริงตามแบบของพระพุทธเจ้า ถึงธรรมะในขณะที่ทำลายอุปาทานได้ ไม่มีอุปาทานหรือกิเลสเหลืออยู่สำหรับเป็นตัวกูหรือของกูแล้ว ตัวเขาก็หายไปไหนเสียแล้ว เหลืออยู่แต่ธรรมะ ถ้ามีตัวเขา ธรรมะนั่นเองเป็นตัวเขา ฉะนั้นจึงไม่มีโอกาสที่จะแยกออกจากกันและพูดว่าฉันถึงธรรมะ ฉัน นั้นคือตัวกู ของกู คืออุปาทาน ฉันชนิดนั้นจะถึงธรรมะไม่ได้ ฉะนั้นเราจึงไม่มีโอกาสที่จะพูดว่าฉันถึงธรรมะในกรณีที่เป็นการถึงธรรมะอย่างแท้จริง ถ้าเป็นการถึงธรรมะอย่างหลอกลวง สำคัญเอาด้วยมิจฉาทิฏฐินั้นมันก็พูดได้เกร่อไปหมดว่าฉันถึงธรรมะ ฉันเห็นธรรมะ ฉันมีธรรมะ อะไรแล้วแต่จะพูด แล้วก็วัดกันด้วยความสูงต่ำกว่ากันแล้วก็ทะเลาะวิวาทกัน นี่แหละจะต้องสังวรณ์ไว้ให้ดีว่าการที่จะเป็นคนดีหรือมีธรรมะหรืออะไรนั้น ถ้ายังมีความรู้สึกว่าฉันอยู่แล้วอย่าไปหวังเลยว่าจะเป็นคนดีหรือมีธรรมะได้ ดังจะมีได้ก็ดีอย่างเด็กเล่น มีธรรมะอย่างเด็กอมมือ ซึ่งอะไรๆก็จะยกตัวเองว่าฉัน ฉัน ฉันเก่งกว่าใครทั้งหมด จงระวังผู้ที่คุยโอ้อวดว่าข้าพเจ้ารู้ธรรมะ ข้าพเจ้าเห็นธรรมะ ข้าพเจ้าถึงธรรมะ ให้มากๆเข้าไว้สำหรับจะได้ศึกษาดูว่ามันเป็นได้จริงอย่างไร จะได้มองให้เห็นจริงลงไปว่า คนที่ดีจริงนั้นจะไม่มีการพูดว่าเขาเป็นคนดี มีพูดว่าตัวดีก็แต่คนที่ไม่มีอะไรดี การหมดความยึดมั่นถือมั่นในความดีจึงจะเรียกว่าดีจริง เมื่อหมดความยึดมั่นถือมั่นในความดีแล้วจะเอาอะไรมาเป็นกำลังสำหรับจะอวดคนอื่นว่าฉันดี ใครจะรับรองหรือไม่ในข้อที่ว่าหมดความยึดมั่นถือมั่นในความดีจึงจะเรียกว่าดีจริง คือดีชนิดที่ทำคนให้เป็นพระอรหันต์และอยู่เหนือดี คนที่มีความยึดมั่นถือมั่นในความดีมากก็จะยิ่งอวดดีมากและสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ความดี ถ้ามีการอวดแล้ว เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าไม่ใช่ความดีหรือไม่ใช่ความดีที่แท้จริง ความดีที่แท้จริงไม่อยู่ในวิสัยที่ใครๆจะเอามาอวดได้ พออวดมันก็กลายเป็นของไม่ดีหรือไม่จริง ฉะนั้นจึงไม่มีคนดีหรือคนจริงที่เป็นคนอวดดี หรือมีการอวดดีในหมู่บุคคลที่เป็นคนดีหรือเป็นคนจริง ก็มันพูดไม่ได้มันพูดไม่ออก เพราะว่าความดีหรือความจริงนั้นมันเป็นตัวเขาเสียแล้ว มันแยกออกมาเป็นสิ่งที่สองสำหรับเขา จึงมีอีกไม่ได้ พอแยกออกได้ มันก็เกิดเป็นความไม่ดีและไม่จริงขึ้นมา คือมีกิเลสตัวหนึ่งสำหรับจะพูดว่า กูเป็นคนดี อย่างนี้เป็นต้น หลักเกณฑ์อันนี้คงจะช่วยได้มาก คือช่วยให้เข้าใจได้ง่ายๆในการที่จะทดสอบ หรือในการที่จะจัดการกับความชั่วของตน ทีนี้ปัญหาก็จะมีต่อไปว่า การนิยมในเรื่องความชั่วหรือความดีนี้ มันไม่เหมือนกัน สิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่ว่าดีในที่นี้ คนพวกหนึ่งไม่ยอมรับว่าเป็นความดีก็ได้ คือพวกที่เอาได้เป็นดีเอาวัตถุเป็นดี เอาความสุขทางเนื้อหนังเป็นความดี อย่างนี้มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง มันก็ต้องราข้อกันไปเอง แต่ถ้าในเรื่องที่พอจะเข้าใจกันได้ เราก็ควรจะลองพิจารณากันดูว่าใครเป็นคนบ้า หรือเป็นคนดี อาจารย์ (นาทีที่ 38.12) ก็จะบอกเขาว่า จงหันหน้าเข้าหาความสุจริต อย่าไปหวังพึ่งความทุจริตเลย ยอมจนไปก่อนแล้วก็ตั้งหน้าทำเพื่อแก้ความจน เพื่อความสุจริต ก็มีคนจำนวนหนึ่งร้องว่าบ้า ทีนี้ ใครจะเป็นคนดีหรือเป็นคนบ้ากันแน่ จะถือว่างานคือเงินดี หรืองานคืองานดี คนหนึ่งถือว่างานคือเงินก็ต้องว่าอีกคนหนึ่งบ้า คือคนที่ไปถือว่างานคืองานนั้นเป็นคนบ้า ข้างคนที่ถือว่างานคืองาน มันก็จะต้องเห็นว่าคนที่ถือว่างานคือเงินนั้นคือคนบ้า แล้วมันก็ตัดสินกันไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน ถ้าจะเอากันเดี๋ยวนี้ โหวตคะแนนเสียงกันแล้ว พวกงานคือเงินอาจจะชนะก็ได้ ไม่แน่ เรามามองกันดูในแง่ที่ว่า การที่ใครจะหาว่าเราบ้านั้น เราควรจะรู้สึกอย่างไร เราควรจะเชื่อตามเขาหรือเราจะเชื่อว่าเราไม่บ้า โดยถือแต่ว่าถ้าเราบ้า เขาก็ต้องเป็นคนดี ถ้าเราดีเขาก็ต้องเป็นคนบ้า คนละครึ่งอย่างนี้ไม่เสียเปรียบกันที่ตรงไหน รอดูไปก่อนก็ได้ เมื่ออาตมาพูดว่า งานคือการปฏิบัติธรรม ไม่ต้องแยกออกจากกัน ก็มีคนว่าบ้า พอไปพูดว่าทำงานด้วยจิตว่าง เขาก็ว่าบ้ายิ่งขึ้นไปอีกสองสามเท่าตัว แต่แล้วเราก็กำลังรอดูอยู่ว่ามันบ้าชนิดไหนกัน ใครเป็นคนดีหรือใครเป็นคนบ้า เวลาคงจะตัดสินได้ แต่ถ้าจะบรรเทาความกระวนกระวายกันไปพลาง ก็ต้องแบ่งแยกกันว่าบ้าอย่างของเรานั้นมันอย่างหนึ่ง บ้าอย่างของเขานั้นมันอย่างหนึ่ง ถ้าเขาว่าเราบ้า เราคงจะไม่บ้าอย่างของเขา เราคงจะบ้าอย่างของเรา คือบ้าถือว่าทำงานนั้นเป็นการปฏิบัติธรรม หรือบ้าทำงานด้วยจิตว่างเป็นต้น บ้าอย่างของเรานี่ มันก็ไม่เกิดการกระทบกระทั่งอะไรแก่เรา คงทำไปได้ตามเดิม และในที่สุดเวลาก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ทีนี้สำหรับท่านทั้งหลายเล่า พอถูกเขาว่าบ้าก็หน้าแดงเสียแล้ว พอเขาว่าเราครั้งที่สอง ก็ชกหน้าเขาเลย อย่างนี้เรียกว่าใครมันบ้ากว่าใคร ถ้าคนที่ว่าเราบ้า บ้าหน่วยหนึ่ง เราก็บ้า สองหน่วย สามหน่วย สี่หน่วย ห้าหน่วย ขึ้นไปตามลำดับ นั่นแหละระวังดูให้ดีว่าในโลกนี้จะอยู่กันอย่างไร โดยที่จะต้องมีคนบ้าข้างหนึ่ง มีคนดีข้างหนึ่งเสมอไปอย่างที่จะช่วยกันไม่ได้ ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นในเรื่องนี้ ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรที่แน่นอนเป็นตัวเราแล้ว เราก็บ้าร้อยเท่าพันเท่าจนทำลายตัวเองในที่สุด จนต้องฆ่าตัวเองหรือต้องไปส่งโรงพยาบาลโรคจิตในที่สุด เรามีสิทธิที่จะเป็นบ้า เรามีสิทธิที่จะเป็นคนดีและเรามีสิทธิที่จะบัญญัติต่อไปอีกว่า บ้าอย่างของเรานั้นมันเป็นอย่างไร บ้าอย่างของเขานั้นมันเป็นอย่างไร หรือว่าดีอย่างของเราเป็นอย่างไร ดีอย่างของเขาเป็นอย่างไร ถ้าบ้าอย่างของเราเป็นการบ้าเพื่อจะดับความทุกข์หรือจะไปนิพพานแล้ว เราก็ควรจะพอใจแล้ว มันก็หาว่าเราบ้า เราก็ขอบใจ และเราก็ยึดมั่นในอุดมคติที่เรามีอยู่แต่เดิมมากขึ้น อย่างดีที่สุดที่เราจะพูดได้ แล้วเราก็จะพูดว่า ถ้าคุณว่าฉันบ้า คุณก็ควรจะได้รับความรู้แปลกออกไปอย่างหนึ่งว่าความบ้าอย่างของฉันนั้น มันเป็นอย่างไร และความบ้าอย่างของใคร จะเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ดังนี้มันก็คงจะทำความเข้าใจกันได้บ้างไม่มากก็น้อย เพราะว่าจะว่าบ้าหรือดีนั้นมันไม่เป็นประมาณอะไร มันเป็นเรื่องการบัญญัติกันตามความรู้สึกของคน บ้าก็ได้ ดีก็ได้ ถ้าไม่มีความทุกข์แล้วเป็นใช้ได้ ควรจะถือหลักเกณฑ์กันอย่างนี้ ไม่ใช่หรือ คนเป็นอันมากก็คงจะว่าพระพุทธเจ้าบ้า แต่ท่านก็คงจะไม่พูดว่า ไอ้คนพวกนี้มันบ้าเอง ทั้งๆที่ท่านมีความรู้สึกอย่างนั้น เราจะอยู่ในพวกบ้าฝ่ายไหน จะอยู่ในพวกดีฝ่ายไหนก็เลือกเอาเองก็แล้วกัน ถ้ามีสัมมาทิฏฐิจริงแล้ว ก็คงจะเลือกได้ถูกต้อง ได้ความบ้าที่เป็นประโยชน์มา หรือได้ความดีที่เป็นประโยชน์มา คือดับทุกข์ได้ทั้งนั้น รวมความว่าเราอยู่รวมกับคนบ้า และเราก็บ้ากับเขาด้วย แต่บ้าคนละอย่าง หรือว่าเราอยู่รวมกับคนดี เราก็ดีกับเขาด้วย แต่มันดีคนละอย่าง ต่างกันเป็นฟ้าและดิน เป็นดำกับขาว เพราะฉะนั้นอย่าไปโกรธเขาเลย ถ้าเขาจะว่าเราบ้าหรือเราชั่ว และในทำนองเดียวกัน อย่าไปขอบใจเขาเลยที่เขาจะว่าเราเป็นคนดีหรือไม่บ้า แต่ถ้าเราจะต้องพูดอะไรตามธรรมเนียมบ้างก็ได้ ให้ระวังพูดไปในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย แต่สำหรับในใจแล้ว อย่าเป็นคนบ้า อย่าเป็นคนดี เป็นแต่คนไม่มีทุกข์ หรือเป็นคนก้าวหน้าในทางของความดับทุกข์สูงๆขึ้นไป นั่นเป็นประโยชน์เหลือหลายแล้ว ไม่ต้องหวังอะไรให้มากไปกว่านั้น เราจะได้ยินการกล่าวหาว่าคนนั้นบ้า คนนี้ดี คนโน้นอย่างนั้น คนนี้อย่างนี้เต็มไปหมด ยิ่งในโลกทุกวันนี้ ยิ่งมีความขัดแย้งกันมากขึ้น มันก็ต้องมีการกล่าวหากันมากขึ้น เราได้ยินแต่เสียงด่าแก่กันและกันทุกฝ่าย โดยเฉพาะในอากาศของเราในเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงด่า คือด่ากันทางวิทยุกระจายเสียง ต่างคนต่างก็มีปากจะด่า มีเครื่องมือจะด่า เมื่อเป็นการด่าแล้ว มันจะให้เป็นฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายที่ถูกด่าเป็นคนดีนั้นมันเป็นไปไม่ได้ มันต้องเป็นคนชั่วเป็นคนบ้าเป็นคนบอ เป็นคนอะไรไปตามเรื่องตามราว เมื่อต่างฝ่ายต่างด่าแล้วก็แปลว่า ในโลกนี้มันมีคนชนิดไหนกันเล่า ถือเอาตามเสียงฝ่ายหนึ่ง มันก็เต็มไปด้วยคนบ้า ถือเอาตามเสียงฝ่ายหนึ่ง มันก็อาจจะเต็มไปด้วยคนดี คือตัวเองนั่นแหละเป็นคนดี แต่แล้วเราซึ่งเป็นคนกลางมองเห็นได้ว่าไม่จริงทั้งนั้น จะดี ก็ต้องเป็นเรื่องของการเอาชนะความทุกข์ คือสร้างสรรค์ความสงบขึ้นมาได้ ถ้าผู้ใดสร้างสรรค์ความสงบขึ้นมาได้ ถูกใครหาว่าบ้า คำว่าบ้านั้นมันก็เปลี่ยนความหมายเป็นดีไปทันที ธรรมชาติเป็นผู้จัดให้อย่างนี้ และแน่นอนที่สุด ฉะนั้นเราไม่ต้องกลัวใครว่าบ้า ยิ่งใครมาหาว่าบ้า เราก็จะยิ่งมีโอกาสทดสอบความบ้าหรือความดีนี้มากขึ้นไปอีก และเราจะพบการกระทำที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์มากขึ้น ถ้าเรามีบ้าเหลืออยู่บ้างมันก็จะได้หมดไป และที่เรามีความดีอยู่บ้าง เราก็จะเลิกยึดถือ อย่าให้กลายเป็นคนบ้า ควรจะอยู่กันด้วยจิตใจที่เป็นไปในลักษณะเช่นนี้ ก็จะไม่มีเวรไม่มีภัยแก่ใครด้วย และตัวเองก็จะมีความก้าวหน้าในทางดับทุกข์มากยิ่งขึ้นด้วย มองดูต่อไปถึงข้อที่เข้าใจกันไม่ได้ในบางเรื่องอย่างอื่นต่อไปอีก เช่นเราจะพูดว่าเรามีความสุขอย่างบริสุทธิ์นั้น ก็ต่อเมื่อเราทำให้ผู้อื่นได้รับความพอใจ อย่างนี้ใครๆก็ไม่ยอมเพราะว่าเขาคิดแต่จะกินเอง ใช้เอง สนุกเอง อร่อยเอง พอใจเอง ให้มาพูดว่าเรามีความสุขอย่างบริสุทธิ์ต่อเมื่อเราทำให้ผู้อื่นมีความพอใจนั้นเป็นคนบ้า แต่คนที่มีจิตใจประกอบไปด้วยธรรมะเป็นสัมมาทิฏฐิโดยถูกต้องนั้น เขามองเห็นความจริงข้อนี้ว่าความสุขบริสุทธิ์เป็นความสุขแท้จริงนั้น สุขเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเรารู้สึกว่าเราทำให้ผู้อื่นได้รับความพอใจ คิดดูง่ายๆจะเห็นว่า เมื่อเรากำลังได้รับความพอใจในอะไร มีจิตใจสั่นรัวด้วยความยึดมั่นถือมั่น นี้มันเป็นความบ้าชนิดหนึ่ง หาใช่ความสุขไม่ และถ้าการเสียสละของเรามีผลทำให้ผู้อื่นพอใจ และเราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความสุขของเขา ใจของเราก็จะสงบลงไปได้จริงๆ ความสงบจริงเป็นความสุขจริง เป็นความสุขอย่างบริสุทธิ์ แต่คนโดยมากไม่เอาอย่างนี้ ไม่รู้สึกอย่างนี้ เราจงลองนึกเปรียบเทียบดูอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราทำเอง กินเอง ใช้เอง อร่อยเอง อย่างนี้มันเป็นการทำด้วยกิเลสตัณหา แต่ถ้าเราทำให้ผู้อื่นนั้น มันทำด้วยความรู้สึกที่ไม่ใช่กิเลส คือต้องทำด้วยความรู้สึกที่เป็นการเสียสละเรียกว่า จาคะ คือต้องเสียสละออกไป ไม่เป็นที่ตั้งของกิเลส งั้นถ้าเรากินเอง เล่นเอง อร่อยเอง มันก็เป็นการกระทำของตัณหา ถ้าเราไม่เอา ยกให้คนอื่นเสีย ก็เป็นความเสียสละ รวมอยู่ในฝ่ายที่เป็นสติปัญญาที่จะขูดเกลากิเลส ที่จะทำลายกิเลส ฉะนั้นการทำประโยชน์ให้ผู้อื่นจึงเป็นไปเพื่อทำลายกิเลส การเห็นแก่ตัวเป็นการส่งเสริมกิเลส ถ้าถามว่าคนเห็นแก่ตัวเป็นคนดีหรือคนบ้า คงจะตอบได้ไม่ยากเลย หรือจะถามอีกข้างหนึ่งว่า คนไม่เห็นแก่ตัวเป็นคนดีหรือคนบ้า คงจะตอบได้โดยไม่ยากเลย ถ้าความไม่เห็นแก่ตัวเป็นความดี เป็นความจริง เป็นความไม่บ้า คำพูดที่ว่าทำประโยชน์ให้ผู้อื่นจะทำให้เกิดความสุขใจอันแท้จริงนั้น ก็ต้องเป็นคำพูดที่ถูกต้อง คือว่าเวลาที่เราจะเป็นสุขอย่างบริสุทธิ์อย่างแท้จริงนั้น ต้องเป็นเวลาที่เรารู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จในการทำประโยชน์ผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นได้รับความพอใจ เราเอาเหยื่อให้ปลากิน เห็นมันกินสบายใจ เราก็สบายใจ เราเอาเหยื่อให้นกให้กากิน มันกินสบายใจ เราก็พอใจ เราสบายใจ มีความสุขอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่ถ้าเรากินเอง กินเหยื่อนั่นเอง มันก็ระรัวไปด้วยความรบกวนของตัณหาอุปาทาน ถ้าเป็นความสุข ก็สุก ก สะกด คือสุกร้อน สุกเผาลน ไม่ใช่สุขสงบเย็น บางทีเราเห็นควายกินหญ้าอย่างเอร็ดอร่อย เราก็สบายใจ เราลองพิจารณาดูว่าความสุขในขณะนั้นของเราบริสุทธิ์หรือไม่ เราก็จะต้องตอบว่ามันบริสุทธิ์ ควรจะยุติกันได้ว่าความสุขฉันจะเกิดบริสุทธิ์นั้น มันเกิดมาจากความรู้สึกว่าเราได้ทำให้ผู้อื่นพอใจ แต่เดี๋ยวนี้คนเรามากไปด้วยความเห็นแก่ตัว เข้าใจนัยได้ (นาที 54.58) เอาตัวเองเป็นเกณฑ์ เอาประโยชน์ของตนเป็นเกณฑ์ เอาความสุกเร่าร้อนเป็นความสุข มันก็พอกพูนความเห็นแก่ตัวให้มากขึ้น ต้องการจะดีกว่าเขา พอเห็นว่าเขาจะเท่าตัว จะดีเท่าตัวก็อิจฉาริษยา ในที่สุดก็เกิดปะทะกันขึ้นด้วยเรื่องบ้าเรื่องดี เรื่องดีกว่าเรื่องเลวกว่า เป็นกิเลสที่ละได้แสนยาก การละความรู้สึกที่เป็นกิเลสอย่างอื่นนั้น ละได้ก่อนความรู้สึกที่เป็นกิเลสที่เป็นเหตุให้ถือตัว หรือเราอาจจะกล่าวได้ว่ากิเลสประเภทอัสมิมานะ คือความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกู ที่ทำให้ยกหูชูหางนี้ เป็นกิเลสที่ละได้ยากกว่าสิ่งใดหมด เราอาจจะละกามราคะได้ แต่ไม่อาจจะละกิเลสส่วนนี้ เราอาจจะละโทสะได้ แต่ไม่อาจจะละกิเลสส่วนนี้ ข้อนี้รู้ได้ตรงที่พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส (นาที 56.23) ได้ แต่ไม่อาจจะละการยกหูชูหางซึ่งเป็นมานะ พระสกิทาคามี (นาที 56.35) จะละกิเลสได้มากกว่านั้นอีก ก็ยังไม่ละมานะที่เป็นการยกหูชูหาง พระอนาคามีได้ละกามราคะ ละปฏิคะคือความโกรธได้เพิ่มเข้ามาอีก ก็ยังไม่อาจจะละมานะคือการยกหูชูหาง จะไปละมานะหรืออวิชชาได้ ก็ต่อเมื่อถึงขั้นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ควรจะรู้ให้ประจักษ์ว่า มานะคือตัวกูหรือของกูนั้น เป็นกิเลสรั้งท้ายที่สุด อย่าทำเล่นกับมัน ละได้แสนยาก จะบ้าจะดีก็เพราะกิเลสตัวนี้ จะต้องระวังกิเลสตัวนี้ให้มาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ละอัสมิมานะได้เป็นสุขอย่างยิ่งโว้ย อัสมิมานัสสะ วินะโย เทสังเว ปรมังสุขขัง (นาที 57.45) ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ตรัสว่า ละกามราคะโทสะได้เป็นความสุขอย่างยิ่งโว้ย เพราะว่ามันไม่มีความสุขอย่างยิ่งเกิดขึ้นได้ในเมื่อยังไม่ละอัสมิมานะ คือมานะที่เป็นเหตุให้รู้สึกยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเราของเรา แล้วไปเปรียบเทียบกันจนเกิดความรู้สึกที่เป็นกิเลส อิจฉาริษยา เบียดเบียนกัน ถ้าเราจะเชื่อฟังพระพุทธเจ้า ก็จะต้องสนใจในการละกิเลสข้อนี้เป็นเบื้องหน้า เพราะว่ามันทำให้เกิดความบ้าหรืออะไรขึ้นมาได้ก็เพราะข้อนี้ จะทำให้ไม่มีความสุขเลยก็เพราะข้อนี้ เศรษฐีที่มีเงินหรือมีเกียรติหรือมีอะไรทุกๆอย่าง แต่หาความสุขไม่ได้ก็เพราะกิเลสตัวนี้ มีความรู้สึกไปในทางที่จะเปรียบเทียบ มีความรู้สึกไปในทางที่จะเหนือผู้อื่นอยู่เรื่อยไป และในที่สุดจะสร้างศัตรูขึ้นมาก็เพราะกิเลสตัวนี้ ใครๆจะรู้สึกเจ็บใจมากที่สุดก็เพราะถูกเหยียดหยามในกิเลสตัวนี้ ตีเขาสักทีหนึ่งหรือขโมยของเขาสักจำนวนหนึ่ง เขาก็ไม่รู้สึกโกรธมากเหมือนกับเหยียดหยามด้วยกิเลสตัวนี้ จึงถือว่ากิเลสที่เป็นเหตุให้ยึดถือว่าตัวกูว่าของกูนี้ เป็นกิเลสที่น่ากลัวที่สุด จงตั้งหน้าตั้งตาที่จะตัดทอนมัน กำจัดมัน หรือถ้าฉลาดกว่านั้น ก็เปลี่ยนกำลังงานของมัน เอามาใช้ในทางที่จะให้เป็นประโยชน์เสีย เพราะมันมีกำลังมากเหมือนช้างสารทีเดียว ถ้าเปลี่ยนกำลังงานของมันมาเสียได้ มันก็จะมาเป็นโพธิที่ดี คือมีความบากบั่นก้าวหน้า รุดไปในทางที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้อย่างมากมาย เป็นการลัดสั้นที่สุด เร็วที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดรักตัวเองก็จงสนใจกับกิเลสตัวนี้ให้มาก สังเกตดูอย่างละเอียดละออว่ามันเหลืออยู่ที่ไหน มันซ่อนอยู่ที่ไหน มันเกิดอยู่ที่ไหน มันจะเกิดเมื่อไร มันเหลือซากอยู่ที่ไหน จงทำในใจสักอย่างหนึ่งว่า เมื่อเราเข้าไปที่หน้าที่บูชา จะจุดธูปเทียนขึ้นบูชาพระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้านั้น เราจงฟังดูให้ดี พระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าจะพูดว่า เฮ้ย ไปดีกับเพื่อนที่โกรธกันอยู่เสียก่อนแล้วจึงค่อยมาจุดเทียน อย่างนี้ทั้งนั้น แม้ในลัทธิอื่นในศาสนาอื่นก็มีกล่าวอย่างนี้ ฉะนั้นเราไม่ต้องถือว่าพระพุทธเจ้าพูดหรือใครพูด แต่ถ้าเราจะจุดเทียนบูชาพระพุทธเจ้าหรือบูชาอะไรที่บูชาที่เราบูชา ก็จงมีหูที่ไม่หนวก ที่ฟังได้ยิน ถ้อยคำที่สิ่งนั้นพูดออกมาว่า เฮ้ย ไปทำดีกับเพื่อนที่โกรธกันอยู่เสียก่อน แล้วจึงค่อยมาจุดเทียนที่นี่ ถ้าผู้ใดทำได้อย่างนี้ ผู้นั้นจะได้ยินก้อนหินพูด ผู้นั้นจะได้ยินต้นไม้พูด และในที่สุดก็จะเข้าใจธรรมะในชั้นที่เป็นความว่างจากตัวตน อย่างน้อยที่สุดก็จะอ่านจดหมายที่ไส้เดือนเขียนด่าคนชนิดนี้อยู่ตามพื้นดินออกว่ามันเขียนว่าอย่างไร ผู้ใดจะมีจิตใจอันละเอียดประณีต สุขุม ที่จะได้ยินเสียงเหล่านี้บ้าง ผู้นั้นได้เปรียบในการที่จะเอาชนะกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกู และผู้นั้นเป็นคนที่มีโชคดีที่สุด เรามีอายุล่วงมาถึงขนาดนี้ สามสิบปีแล้ว สี่สิบปีแล้ว ห้าสิบปีแล้ว หกสิบปีแล้ว เจ็ดสิบปีแล้ว มีจิตใจชนิดไหนกัน มีจิตใจละเอียดประณีตสุขุมพอที่จะได้ยินสิ่งเหล่านี้กันบ้างหรือหาไม่ ถ้าโตถึงขนาดนี้แล้วยังหูหนวกอยู่อย่างนี้แล้ว ดูจะน่าสมเพช เพราะว่าน่าจะหมดหวัง เพราะฉะนั้น ถ้าจะเร่งทำบุญอายุกันบ้าง ใครก็ตาม ปีหนึ่งก็มีวันเกิดเวียนบรรจบครบรอบมาทีหนึ่ง ก็ควรจะสะสางปัญหาข้อนี้ และถ้ามีอายุมากถึงห้าสิบหกสิบปีแล้ว ก็ควรจะกลัวเป็นพิเศษ ระมัดระวังเป็นพิเศษในการที่จะสะสางปัญหาข้อนี้ เพราะว่าถ้าตัวกูหรือของกูนี้มันมีอายุยืนยาวมาถึงห้าสิบหกสิบปีแล้ว มันก็คงจะหนังเหนียว กำจัดยากเอาการทีเดียว งั้นระวังอย่าให้มันได้โอกาสมากถึงอย่างนั้น ควรจะกำจัดหรือตัดทอนมันลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยสำนึกรู้สึกและละอายว่าเรานี้ช่างมีมิจฉาทิฏฐิครอบงำมากมายอะไรอย่างนั้น แล้วจะเอาตัวรอดได้อย่างไร จะออกมาจากกะลาครอบของมิจฉาทิฏฐิได้อย่างไร อายุห้าหกสิบปีแล้ว ออกจากกะลาครอบขนาดนี้ก็ไม่ได้แล้ว ก็น่าจะร้องไห้ ก็น่าจะเสียใจอย่างที่ไม่รู้ว่าจะเสียใจอย่างไรกันเสียสักพักหนึ่ง จนไม่มีน้ำตาจะร้องแล้ว ก็รีบลุกไปปรับปรุงจิตใจ อธิษฐานใจ ตั้งหน้าตั้งตากระทำในการที่จะให้มันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ตรงกันข้าม เป็นผู้ไม่ประมาทอย่างนี้จึงจะเอาชนะเวลาได้ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิให้พอตัวเสียก่อน จึงจะล้อเลียนอายุได้ และควรจะล้อเลียนมันยิ่งขึ้นทุกๆปีโดยที่ไม่หลงใหลไปในสิ่งต่างๆซึ่งมีกาลเวลาเป็นเครื่องหลอกลวง ให้เป็นผู้ชนะการหลอกลวงข้อนี้ให้ได้ ไม่เป็นทาสของกิเลส ไม่มีโอกาสที่กิเลสจะเกิดขึ้นเพราะมีแต่สัมมาทิฏฐิหรือความเข้าใจถูกต้อง คอยประคับประคอง ควบคุมชีวิตนี้ไว้ทุกลมหายใจเข้าออก การเตือนสติกันในโอกาสแห่งการทำบุญอายุเช่นนี้ ไม่มีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องนี้ มันไม่มีเรื่องอื่นจริงๆนอกจากเรื่องนี้ ดังนั้นจึงได้กล่าวแต่เรื่องนี้คือเรื่องของความไม่ประมาท อย่าได้เป็นผู้ประมาท จงตั้งตัวอยู่ในความไม่ประมาทโดยการกำจัดมิจฉาทิฏฐิหรือความเข้าใจผิดๆออกไปเสีย แล้วก็สร้างสรรค์สัมมาทิฏฐิหรือความเข้าใจถูกต้องนั้นให้เจริญงอกงามยิ่งๆขึ้นไป ด้วยการพอกพูนสติปัญญาตามแบบของพระพุทธศาสนา ซึ่งสอนไว้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์และไม่เหลือวิสัยที่ใครจะเข้าใจได้ เสียแต่ว่าไม่มีใครสนใจหรือเอามาสนใจให้เหมาะให้สมให้ควรกันกับค่าของมัน เพราะไปมัวยกหูชูหางด้วยเรื่องตัวกูของกูอยู่เรื่อยไป วันคืนล่วงไปสิบปี หางก็ยาวออกอีกสิบนี้ว หูก็ยาวออกอีกสิบนิ้ว หรือที่มีเขาก็มีเขายาวออกไปอีกสิบนิ้วสำหรับจะขวิดกัน จะข่มเหงกัน จะแย่งชิงกัน จะเอาเปรียบกัน จะอิจฉาริษยากัน แท้โลกนี้จึงกลายเป็นโลกที่มีวิกฤตการณ์อย่างถาวร อย่างที่เราได้เห็นกันอยู่ ได้ยินกันอยู่อย่างตำตาที่สุด ว่ามองไม่เห็นโอกาสอะไรที่ไหนที่โลกนี้จะมีสันติภาพได้อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น วันคืนยิ่งล่วงไปเท่าไร เราควรจะพยายามถอนตัวออกมาเสียให้ได้จากโลก ชนิดที่มองตามสายตาของเราก็คือโลกที่บ้าบอที่สุด เราจงมาอยู่ในโลกของเราที่เราเห็นว่าดี มีความก้าวหน้าไปในทางที่จะดับทุกข์ โลกของเราอาจจะมีคนเพียงสองสามคนก็ได้ แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่อุปสรรค เราเอาความไม่มีทุกข์แล้ว มันจะกี่คนก็ได้ เพราะคุณค่าของความไม่มีทุกข์นั้นมันมากกว่าความทุกข์ หรือความทุกข์นั้นไม่มีค่า ดังนั้น โลกของเรา แม้จะไม่มีกี่คน ก็เป็นโลกที่มีค่ากว่าโลกของคนบ้านับเป็นร้อยล้านพันล้านหมื่นล้านแสนล้านโดยไม่ต้องสงสัย นี้คือแง่คิดที่เขาให้คิดในตอนนี้ในระยะนี้ ตลอดเวลาที่บรรยายความรู้สึกซึ่งเกี่ยวเนื่องกับธรรมะในลักษณะที่เกี่ยวเนื่องกับอายุหรือวันคืนที่ล่วงไปล่วงไปพอสมควรแก่เวลาที่จะบรรยายในระยะนี้ จึงขอยุติไว้อีกครั้งหนึ่ง และจะได้บรรยายกันต่อไปในตอนค่ำ