แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อือ, บัดนี้เวลาก็ล่วงมาถึง เอ่อ, ๑๕ น. แล้ว ผมก็อยากจะพูดต่อ จากที่พูดค้างไว้ เมื่อตอนเช้า เออ, ด้วยเรื่องการล้ออายุเล่นสนุก ๆ อีกต่อไป ขอให้สังเกต ให้เข้าใจส่วนสำคัญ อย่างที่แนะ ให้สังเกตแล้ว เมื่อตอนเช้า ว่าใครล้อใคร
คำว่า ล้ออายุนี้ ใครล้อใคร โดยใจความแท้ ๆ ก็คือ สติปัญญามันล้อความโง่ ที่คนเราคนหนึง นั้น ที่บางเวลามันก็โง่อย่างไม่น่าเชื่อ บางเวลามันก็นึกได้ แล้วมันก็ฉลาดดี นี่มันก็เป็นเรื่องที่ควรล้อ เมื่อเช้าหรือเมื่อวานทำอะไรไม่น่าดู ก็ควรจะเอามาล้อ เพื่อมันจะได้มี ความนึกได้ มีหิริโอตตัปปะ ขึ้นมาได้บ้าง ที่พูดว่าล้อนี้ มันเป็นคำสุภาพ หรือว่ามันไม่น่ากลัว ถ้าเราเอามาตี มาเฆี่ยน มานี่ มันน่ากลัว แต่ถ้าว่ามันเป็นคนที่มีความรู้สึกดี มีสติปัญญาดี ก็อาจจะเห็นได้เหมือนกันว่า ไอ้ล้อนี่ มันน่ากลัวกว่าตี ยอมให้ตีเสียสัก ๔-๕ ที เออ, ดีกว่าล้อสักทีหนึง
ก็ขอให้คิดดูบ้างว่า ไอ้เรื่องล้อนี่ สำหรับคนที่มีปัญญาแล้วรู้สึกว่า มันน่ากลัวกว่าตี นั้นมันจึง ได้ผล อย่างลึกซึ้งอยู่ด้วยเหมือนกัน เออ, เมื่อเช้า เมื่อวานทำอะไรผิด เอามาเสียใจ มันก็มีประโยชน์ หรือว่าเมื่อตั้งแต่แรก แรกเกิดมา มันก็มีทำอะไรผิด ๆ จนกระทั่ง แก่เฒ่าจะเข้าโลงอยู่แล้ว จึงจะนึกได้ อย่างนี้ มันก็ยิ่งน่าจะล้อ และแม้แก่เฒ่าจะเข้าโลง ก็ยังนึกไม่ได้ มันก็ไม่รู้จะล้อกันยังไง แล้วก็มีคน เป็นอันมาก ตายไปทั้งที่ไม่เคยนึกได้ และก็ไม่เคยถูกล้อ
เดี๋ยวนี้ ผมมา อ่า, คิดดูว่า อย่าเอากันให้มากนัก เอาแต่เพียงล้อ แล้วก็ทำบ่อย ๆ อย่างนี้ก็เป็น ความไม่ประมาท อยู่มากเหมือนกัน มันแก้ความประมาท เอ่อ, ด้วยความไม่ประมาท ได้ไม่น้อย เหมือนกัน ฉะนั้นก็เป็นอันว่า เรื่องล้อนี้มีประโยชน์ แล้วก็จะหาแง่ หามุม เออ, มาล้อกันเล่น แล้วก็ โดยเฉพาะก็ ล้อตัวเอง อย่างที่ผมชอบทำ ถ้าล้ออยู่คนเดียว อ่า, รู้สึกว่าได้ประโยชน์น้อย ก็เลยชวนคนอื่นมาฟัง ไอ้เรื่องล้อตัวเองนี้ ให้มันได้ประโยชน์มากออกไป
เมื่อพูดถึงข้อที่ว่า ใครเป็นผู้ล้อ ก็คือฉันเป็นผู้ล้อ ฉันคืออะไร ฉันก็คือ จิตใจในขณะที่ มีสติปัญญา มีสติสัมปชัญญะ มีความระลึกนึกได้ นั่นแหละเป็นฉัน ที่มีอะไร ๆ พอที่จะล้อ ส่วนไอ้ฉัน ในเรื่องทางวัตถุ ทางร่างกาย หรือเรื่องสมมุติต่าง ๆ นานา นั้น มันไม่มีทางจะล้อ เมื่อปี ๗๒ เขาเรียก ผมว่า พระมหาเงื่อม เมื่อปี ๙๘ เขาเรียกผมว่า พระครูอินทปัญญาจารย์ เมื่อปี ๙๓ เขาเรียกผมว่า พระอริยนันทมุนี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ นี้ เขาเรียกผมว่า พระราชชัยกวี คุณลองคิดดูทีว่า ไอ้ฉันอย่างนี้ มันเป็นอย่างไรกัน มันจะเอาอะไรที่ไหนมาล้ออายุเล่นได้ มันคล้ายกับว่า เป็นฉันของความสมมุติ ชนิดที่ไม่รู้จักตัวเอง เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังมาก แล้วก็ทำปัญหายุ่งยาก ให้มีมาก แล้วก็พลาดไปในเรื่องนี้ เอ่อ, ได้โดยง่าย แต่แล้วก็ดีตรงที่ว่า ถ้าเดี๋ยวนี้จะเก็บเอาไอ้เรื่อง เหล่านี้ มาล้อตัวเองบ้างก็สนุก เรื่องเป็นเปรียญ เรื่องเป็นพระครู เรื่องเป็นเจ้าคุณ เรื่องเป็นอะไร เหล่านี้ อ่า, ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เราได้สังเกตเห็นว่า คนเป็นอันมาก กำลังพยายามที่จะได้เป็น ไม่ได้เป็น แล้วเป็นบ้าก็มี เป็นแล้วก็ยังเป็นบ้า มากไปกว่านั้นอีกก็มี
ทีนี้ผมมาลองนึกถึงตัวเองดูบ้าง อือ, ก็ดูจะไม่มากถึงอย่างงั้น ด้วยเรื่องเป็นอะไร ๆ ที่เป็นนี่ มันเป็นเรื่องที่เขาบังคับให้เป็น ไม่เคยขวานขวายเพื่อจะได้เป็น แต่มันเป็นที่เรื่องเขา บังคับให้เป็น เมื่อเข้าไปเกี่ยวข้อง เข้านิดนึงเท่านั้น มันก็มีความผูกพัน มีช่องมีโอกาส ที่เขาจะผูกมัด มันก็เลยเป็น อย่างที่เรียกว่า จำใจจะต้องเป็น เหตุผลนี้บางคนไม่เชื่อ ที่ว่าจำใจจะต้องเป็น เรื่องส่วนใหญ่ มาจาก เรื่องเห็นแก่บ้านเกิดเมืองนอน
ผมก็เป็นคนบ้าชนิดหนึ่ง คือ บ้าเห็นแก่บ้านเกิดเมืองนอน ทำอะไร ๆ เพื่อความดี ความเจริญ ความก้าวหน้า หรือประโยชน์แก่บ้านเกิดเมืองนอน คนอื่นก็อาจจะว่าดี แต่ผมก็จัดไว้ใน ฐานะที่เป็นความบ้าชนิดหนึ่ง บ้าทำอะไรให้ดี แก่บ้านเกิดเมืองนอน แล้วมันก็ทำให้ ปฏิเสธไม่ได้ ในการที่มันมีอะไรเกิดขึ้น สำหรับจะได้ทำประโยชน์แก่บ้านเกิดเมืองนอน นั้นจึงไม่ดันทุรัง ถึงกับว่า ปฏิเสธไอ้เรื่องต่าง ๆ ที่เขามอบหมายให้ทำ เรื่องนี้มันมีเคล็ด มีอะไรอยู่ ซึ่งไม่มีใครเจตนา หรือว่าจะ เจตนาก็ไม่ทราบได้ คือ เขามอบหมาย สิ่งที่มีประโยชน์ต่อบ้านเมืองของเราให้ทำ เราจะปฏิเสธ ได้ยังไง พอเราทำเข้าไป เขาก็ถือโอกาสให้ความดีความชอบ เช่น ให้เกียรติอย่างนั้น อย่างนี้ ให้ยศ ให้ศักดิ์อย่างนั้นอย่างนี้
ทีนี้มันจะทำยังไง ไปรับมันก็บ้า ไอ้ปฏิเสธมันก็บ้า มันเหลืออยู่แต่ว่า อย่างไหนมันบ้า น้อยหน่อย ก็เอาอย่างนั้น แล้วก็ค่อยมาจัดการในจิตใจของตัวเองอย่าให้มันบ้ามาก ๆ หรือให้มัน หายบ้าก็ได้ ตามจริงเรื่องเกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ วาสนาอะไรเหล่านี้ มันก็มีลักษณะเหมือนกับ มีดสองคม แล้วแต่จะใช้อะไร ใช้ถูกทางมันก็มีผลอย่างหนึ่ง ใช้ผิดทางมันก็มีผลอย่างหนึ่ง ไอ้เรื่องอำนาจวาสนานั้น แต่ว่าที่จริงแล้ว เขามอบหมายให้เพื่อเป็นเครื่องมือ สำหรับปฏิบัติหน้าที่ ที่เขามอบหมายให้นั้นอีกเหมือนกัน เห็นมอบหมายให้เป็น ให้มีหน้าที่ ให้มีอำนาจเป็นเจ้าอาวาส อันนี้มันก็เพื่อสะดวกต่อการปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาส แต่ถ้าเอาไปใช้อย่างอื่น มันก็เป็นเรื่อง ที่ตรงกันข้ามไป
ที่เขาให้เป็นนั่น เป็นนี่ มียศศักดิ์อย่างนั้น อย่างนี้ ก็เพื่อให้ความสะดวก เออ, ในการที่จะ ทำหน้าที่ แม้ที่สุดแต่การที่จะ ประกาศพระศาสนา เมื่อเป็นภิกษุ กอ ภิกษุ ขอ ภิกษุ งอ อะไรอยู่ พูดไม่ค่อยมีใครฟัง ถ้าเป็นเจ้าคุณนั่นนี่ขึ้นมา มันก็ชักจะมีใครฟัง พูดอะไรก็เอาไปคิดไปนึกนั้น ก็เลยเป็นเหตุ ให้ผูกพันกันกับสิ่งเหล่านี้ แต่แล้วมันก็ไม่ใช่เป็นตัวฉัน ที่มีสติปัญญาอะไรมากมายนัก ภูมิของจิตสูง หรือต่ำอย่างไร มันก็ยังมันก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ไอ้เรื่องเป็นท่านมหา เป็นท่านพระครู เป็นท่านเจ้าคุณนี่ มันเป็นเรื่องที่ควรจะ ถูกล้อมากกว่า ที่จะเป็นเรื่องสำหรับเอามาเชิดชู หรือป้องกันการถูกล้อ ถ้าผมจะพูดถึงเรื่องนี้ ก็พูดในฐานะที่ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าหัว หรือควรเอามาล้อตัวเองเล่น และข้อที่ว่าทำไมจึงไปทำอะไร ๆ จึงทำให้มันผูกพันอย่างนี้ ทำไมไม่หลีกให้ห่างออกไป หรือหลีกไปเสียให้พ้น เรื่องมันก็กระอัก กระอ่วน เออ, ทำยากอย่างที่กล่าวมาแล้ว
เพราะมันยังอยาก จะเป็นคนดีมีประโยชน์ อยากจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ พอไปทำสิ่งที่ มีประโยชน์ เป็นที่ปรากฎเข้าเท่านั้น ไอ้เรื่องมะรุมมะตุ้มอย่างนี้ มันก็เข้ามา เข้ามาสมมุติว่าเป็น อาจารย์รดน้ำมนต์เก่ง มันก็มีคนรวบกวนให้รดน้ำมนต์เยอะแยะ แล้วก็มีอะไรติดตามมาอีกมาก หรือว่าถ้าจะเป็นคนรดน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้าเก่ง คือ พูดธรรมะ ให้คนมีใจคอสบายได้อย่างนี้ เมื่อเป็นที่ปรากฎออกไป มันก็มีเรื่อง เออ, รบกวนมากมายเช่นเดียวกัน เท่ากับรดน้ำมนต์ อย่างในโอ่ง ในไหนั่น เมื่อเป็นอย่างนี้ มันก็ต้องมีการเลือก เท่าที่จะทำได้ แล้วก็ระมัดระวัง ที่จะไม่ลืมตัว ที่จะไม่ประมาท อย่าให้ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ความดีนั่นแหละ กลายเป็นเครื่องทรมาน ผู้มีความดีขึ้นมา
ผมก็นึกสมเพชเวทนาตัวเอง อยู่แทบทุกวัน ในข้อที่ว่า ยิ่งทำอะไรให้มีประโยชน์มาก หรือดีมาก มันก็ยิ่งมีความรบกวนมาก มันสู้ ไม่ทำอะไรซะเลยจะดีกว่าแล้วกระมัง นี่มันมีคิดนึก อยู่อย่างนี้เสมอ มันจวนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ในเมื่อสังขารร่างกายของเรา จะทำไม่ได้อยู่แล้ว มันกลับมีเรื่อง ที่จะให้ทำนั้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม มากมายหลายเท่า นี้มันก็น่าหัวเราะสังขาร น่าสงสารสังขาร หรือน่าล้อ ไอ้สังขาร ที่มันเกิดไปทำอะไร ๆ ที่เรียกว่า มีประโยชน์เข้านั่นเอง
ปีนี้ก็เป็นที่รู้สึกมากขึ้น ในเรื่องชนิดนี้ จึงได้เอามาล้อ เออ, ในวันนี้ ว่ามันน่าสงสารตัวเอง ว่าแกยิ่งมีอายุมากขึ้น แกก็ยิ่ง เออ, มีเรื่องรวบกวนมากขึ้น ช่างไม่มีใครสงสารแก จนในที่สุด แกจะต้องกลายเป็นคนทะลึ่ง ขวานผ่าซาก พูดอะไรชนิดที่ ไม่เห็นแก่หน้าใคร เข้าสักวันหนึ่ง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องระมัดระวัง ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดี มันก็เป็นอย่างนั้นได้จริง ๆ เหมือนกัน แล้วมันก็จะกลายเป็นไม่มีประโยชน์อะไร เรื่องการที่จะประนีประนอม อ่า, กันได้สักเท่าไหร่นี้ มันก็ค่อยดูกันไปก่อน
งั้นผมก็อยากจะ อ่า, ให้พวกคุณนี่รู้ไว้บ้าง ในกาลข้างหน้า ในอนาคตนั่น ถ้าจะทำอะไร ชนิดที่เรียกว่า ดีมีประโยชน์นั่น มันก็ต้องผจญกันเข้ากับไอ้ ความรบกวนเหล่านี้เสมอไป แล้วก็อย่าลืมตัว จนถึงกับไปทำอะไร ๆ เพื่อจะได้รับสินจ้างรางวัล เป็นความดีความชอบ เป็นยศฐาบรรดาศักดิ์ เพราะว่าถ้าทำไปอย่างนั้น มันจะบ้าเสียก่อนแต่มีความสำเร็จ อุตส่าห์ทำไอ้สิ่ง ที่ควรทำไปก็แล้วกัน อย่าหวังอะไร ว่ามันจะได้อะไรเป็นยศเป็นศักดิ์ เป็นชื่อเสียงเป็นอะไรนั้น มันอาจจะพอดีกันก็ได้ แล้วเราก็ไม่ต้องเป็นทาสของไอ้โลกธรรมเหล่านั้นด้วย จึงจะไม่เป็นโรค เป็นประสาท หรือไม่เป็นบ้า ซึ่งเป็นกันอยู่มาก ๆ
อ้าว, ทีนี้เราก็ดูกันต่อไป ถึงข้อที่ว่า เมื่อเราตั้งใจจะทำอะไร นั้นมันก็มีเรื่องที่ว่า เราจะต้องทำ อะไร สำหรับผมนี่ มันก็เป็นที่รู้จัก แก่คนทุกคนอยู่แล้วว่าทำอะไร ถ้าจะว่าถึง เออ, เรื่องการอบรม สั่งสอนผู้อื่น นี่ก็ทำมาตั้ง ๔๐ ปีแล้ว ก็พอจะเรียกได้ว่า เออ, ถือเอาการอบรมสั่งสอนผู้อื่น หรือการเผยแพร่ศาสนา หรืออะไร นี่แหละ เออ, เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ในชีวิตจิตใจของผม ทีนี้ความชำนาญ นี่มันก็มี เออ, ขึ้นมาบ้าง ตามลำดับ เรียกว่า ดีขึ้น หรือถูกขึ้น หรือบ้าน้อยลง แต่ผลมันก็กลับจะตรงกันข้าม ไอ้ที่เราว่าดีว่าถูก หรือดีกว่า หรือถูกกว่านั้น คนเขากลับเห็นว่า ไม่ถูก ไอ้ที่มันเป็นเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ นั่นล่ะ เขากลับเห็นว่ามันดี มันก็เลยมีการทะเลาะกันเรื่อย
อย่างที่เรื่อง อื่อ, ที่แล้ว ๆ มานี่ เราไปพูดกับเขาตรง ๆ ว่านั่นมันเป็นอย่างนั้น นี่มันเป็น อย่างนี้ ผลมันตรงกันข้าม คือ เขาไม่ชอบ หรือโกรธ หรือหาว่าเรานี่ เป็นคนบ้า เป็นคนเข้าใจผิด เป็นคนทำลายพระพุทธศาสนา เป็นคนดูหมิ่น ดูถูก พระพุทธเจ้าไปเสียอีก คุณลองคิดดู มีอยู่เรื่องนึง ที่เขาหลายคน พยายามที่จะ อะไรล่ะ พยายามที่จะ ให้ผมเป็นคอมมิวนิสต์ เขาไปฟ้อง อ่า, ไปร้อง ผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ที่สุด ทั้งฝ่ายพระ ทั้งฝ่ายฆราวาสนี้ ว่าผมเป็นคอมมิวนิสต์ หรืออย่างน้อยก็รับจ้างพวก คอมมิวนิสต์ พูดว่าพระพุทธเจ้าเป็นภูเขาหิมาลัย เป็นเครื่องบังหนทางของพระนิพพาน นั่นแหละ เขาฟังไม่ถูกมันส่วนหนึ่ง และเขามีเจตนาร้าย หูของเขาฟังแต่ในแง่ร้าย จิตของเขาคิดแต่แง่ร้าย เขาจึงได้ยินอย่างนั้น
เมื่อผมพูดว่า พระพุทธเจ้า ตามทัศนะของบุคคลนั้น ๆ เป็นภูเขาหิมาลัย ของบุคคลนั้น ๆ นี่พูดอย่างนี้ มันก็พูดจริง เดี๋ยวนี้มันก็ยังพูด ว่าพระพุทธเจ้าตามทัศนะของบุคคลนั้น ๆ ก็มันหมายความว่า ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริง มันเป็นพระพุทธเจ้าตามทัศนะของบุคคลนั้น ๆ ซึ่งเขาว่าเอาเอง เขาคิดเอาเอง เขาเห็นเอาเอง เขาเข้าใจเอาเอง สำคัญเอาเอง พระพุทธเจ้าอย่างนี้ มันเป็นภูเขาหิมาลัย หมายความว่า ขวางทางที่เขาจะไปนิพพาน ก็เพราะว่าเขาก็ไปติดตัน อยู่ที่พระพุทธเจ้าชนิดนั้น ตามทัศนะของเขาแต่ละคน เราเห็นว่าเขาติดกันมานานนักแล้ว ก็อยากจะช่วยเหลือเขาบ้าง ตามที่จะช่วยได้ ให้มองดูให้ดี ๆ นี่ ก็พูดออกมาอย่างนี้
นี้คนที่เขา อือ, มีอะไรไม่ชอบผมเป็นส่วนตัว อะไรมาก่อน เพราะความคิดเห็นไม่ค่อยตรง กันเรื่อย ๆ นี่มาจะถือโอกาส ให้ผมถูกจับเป็นคอมมิวนิสต์ หรือรับจ้างคอมมิวนิสต์ พยายามกัน สุดเหวี่ยงเหมือนกัน แล้วผมก็ไม่ถูกจับเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะว่าผมไม่เป็นคอมมิวนิสต์นั่นเอง แต่ดูเถอะว่า เรื่องมันเป็นไปได้มากเสียอย่างนั้น พระพุทธเจ้าของบุคคลประเภทนั้น เออ, มันเป็น พระพุทธเจ้า ตามทัศนะของเขา กระทั่งพระพุทธรูป ก็เอาเป็นพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้ ผมก็ยังถูกหา อยู่ว่า ผมตำหนิ ติเตียน การมีพระพุทธรูป นั้นมันก็เป็นเรื่องโง่ เออ, ของคนพูดอีกเหมือนกัน ผมไม่ได้ติเตียนไอ้เรื่องอย่างนี้ให้เสียเวลา แต่ว่าพยายามที่จะชี้ ให้ระมัดระวังว่า อย่าให้พระพุทธรูปนี้ กลายเป็นภูเขาหิมาลัย ใหญ่โตขึ้นไปอีก กว่าพระพุทธเจ้าตามทัศนะของเขา
อ้าว, ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องพระพุทธรูป เออ, ขึ้นมาแล้ว ก็อยากจะล้ออายุว่า มันได้มีอายุ มาเกิด มาเห็น ในเวลาที่เขาลุ่มหลงพระพุทธรูปกันมากที่สุด ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศไทยเรา เกี่ยวกับเรื่องที่พระพุทธรูปนี้ คุณต้องเข้าใจไว้ให้ดีว่า มันไม่เคยมีทีแรก พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ปรินิพพานแล้ว ก็ยังไม่มีใครทำพระพุทธรูปขึ้นมา จนกว่า จะถึงเวลา ๖๐๐ ปี ๖-๗๐๐ ปีล่วงมาแล้ว จึงเกิดพระพุทธรูป ที่มีคนทำขึ้นมา แล้วก็ทำกันไม่กี่องค์ น้อย ๆ ไม่ได้ทำกัน เป็นปิ๊บ เป็นถัง หรือตวงได้เป็นเกวียน ๆ ทุกไป ทุกหน ทุกแห่ง เหมือนรุ่นหลังนี้
เดี๋ยวนี้พระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ นี่คงจะมีมากมาย หลายร้อย หลายพันเกวียน ซึ่งมันไม่เคยมี ในกาลก่อน แล้วก็ในเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศอินเดีย ในสมัยพุทธกาล และต่อ ๆ มา เดี๋ยวนี้เรา ได้เห็นพระพุทธรูปมีอยู่ หรือเป็นอยู่ในลักษณะต่าง ๆ กัน อย่างที่เรียกว่า ถ้าไม่เกรงใจ ก็อยากจะล้อ ด้วยเหมือนกัน ถ้าล้อดัง ๆ ไม่ได้ ก็ล้ออยู่ในใจคนเดียวก็ได้ พระพุทธรูปนานาชนิด นานาแบบ มันก็มี อยู่ในความหมายที่ต่าง ๆ กัน จนถึงกับว่า เป็นสินค้าก็มี พระพุทธรูปนี่ กลายเป็นสินค้าไปเลย ฟังดูมันก็น่าเศร้า ที่พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยรู้เรื่องนี้ และก็ไม่เคยคิด ว่ามันจะเป็นถึงขนาดนี้ก็ได้
เราดูพระพุทธรูป ว่าที่เขากระทำต่อพระพุทธรูป บางทีมันก็เป็นโลหะ วัตถุมีค่าอย่างวัตถุ โลหะ ซื้อขายอย่างโลหะ เอาไปหลอม ไปหล่อกันใหม่ ซื้อขายอย่างวัตถุธรรมดานี้ก็มี นี้บางที พระพุทธรูปก็กลายเป็นศิลปวัตถุ วัตถุที่เป็นที่ตั้งของศิลปะ บางองค์แพงมากอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเป็นศิลปะสูง บางทีก็กลายเป็นโบราณวัตถุ โบราณวัตถุ ยิ่งนานเท่าไหร่ก็ยิ่งแพง นี่พระพุทธรูป บางองค์ ก็ขายได้แพงเหลือประมาณไม่น่าเชื่อ เพราะเป็นศิลปะบ้าง โบราณวัตถุ บางองค์ก็ขาย อย่างเศษเหล็ก
ทีนี้พระพุทธรูปบางประเภท มันกลายเป็นเครื่องลางก็มี กลายเป็นของขวัญก็มี กลายเป็น ของประดับบ้าน สำหรับอวดกันก็มี นี่คุณลองคิดดูทีว่า เขาทำแก่พระพุทธเจ้า ที่เขาเคารพนับถือ อย่างนี้มันเป็นเรื่องที่น่าล้อ หรือว่าน่าสนับสนุน พระพุทธรูปที่เป็นเครื่องราง ก็หมายถึง องค์เล็ก ๆ เป็นส่วนใหญ่ เป็นส่วน เป็นส่วนสำคัญ ก่อนนี้เขาก็ไม่ได้ใช้ไอ้ พระพุทธรูปเล็ก ๆ เป็นเครื่องราง เขามีไอ้ของอย่างอื่น เช่น เออ, ตะกรุด หรือไอ้ลูกอะไรต่าง ๆ ผมก็จำไม่ค่อยได้ เออ, ก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่าไม่ใช่พระพุทธรูปเล็ก ๆ
ถ้าเราศึกษาทางโบราณคดี พระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ที่ฝังอยู่ในดิน ไปขุดพบขึ้นมาได้นั้น เขาก็ไม่ได้ทำขึ้นในฐานะเป็นเครื่องราง ไม่มีไอ้ความเป็นเครื่องราง มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธรูป เล็ก ๆ เหล่านั้น เขาทำในฐานะเป็นวัตถุเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนาทั้งนั้น คือว่าคนอย่าได้ลืมพุทธศาสนา เขาทำสิ่งนี้มาก ๆ เพื่อมันแพร่หลาย แล้วทำสำรองไว้มาก ๆ มากที่จะทำ เออ, ที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั้นจึงไปพบไอ้ที่เขาสต๊อกอยู่ แล้วไม่ได้ใช้อยู่มาก ๆ
อย่าง ๑๒๐๐ กว่าปีมาแล้ว ก็มีพระพุทธรูปเล็ก ๆ ขนาดนี้ เป็นรูปดินดิบของสมัยศรีวิชัย มากมายเป็นอวโลกิตเตสวล(นาทีที่ 34:24) ก็มี ข้างหลังด้านหลัง อ่า, มีอักษร เย ธัมมา เหตุปปะ ภะวา เตสัง เหตุง ตะถาคะโต(นาทีที่ 34:32) นี่ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา จารึกอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ใช้ เป็นเครื่องราง ใช้เป็นวัตถุแทนพระศาสนา เพื่อเผยแพร่พระศาสนา แล้วคนสมัยนั้น เขาก็ไม่เขลา ไม่คลาด กันมากเหมือนคนสมัยนี้ ไม่ต้องการเครื่องรางมาก เหมือนคนสมัยนี้ ที่พอมา พอตกมาถึงสมัยนี้ คนเหล่า คนสมัยนี้ ไปพบพระพุทธรูปเล็ก ๆ เหล่านี้เข้า เอามาใช้อย่างเครื่องราง อย่างที่เรียกว่า เปลี่ยนวัถตุประสงค์ เปลี่ยนความหมายไปเลย มันก็เลยเป็นเรื่องโง่กว่าเดิม ขี้ขลาดกว่าเดิม อะไรทำนองนั้น
ไอ้เรื่องเครื่องราง ตะกรุด สมออะไรต่าง ๆ มันก็ของคนโง่คนขลาดมาแต่เดิม นี้มาลดเอา พระพุทธรูปลงไปเป็นของอย่างนั้น บ้างด้วย นี่มันผมเห็นว่ามันไม่ไหว มันเป็นการลดของสูงลงไป เป็นของต่ำ แต่เขาไม่เห็นอย่างนั้น เขาว่ามันเป็นเครื่องรางที่ดี เป็นเครื่องรางชั้นดี เป็นเครื่องราง ชั้นสูงสุดขึ้นมาอีก อันนี้มันก็จริง ถ้าเขาว่าเป็นเครื่องรางชั้นสูงสุด เพราะว่าเขาเชื่อในพระพุทธรูปนี่ มากกว่าเชื่อในตะกรุดเป็นต้น ถ้ามันเชื่อในอะไรมาก มีความแน่ใจ มีความขลังมาก ไอ้ชิ้นวัตถุชิ้นนั้น ก็เป็นเครื่องรางมาก ขึ้นเป็นธรรมดา นั้นเครื่องรางที่เป็นพระพุทธรูป ก็ย่อมจะได้เปรียบ เครื่องราง ที่เป็นเพียงตะกรุด ที่สมออะไรทำนองนั้น นี่พระพุทธรูปเล็ก ๆ ก็เลยกลายเป็นเครื่องรางถูกขุดขึ้นมา เป็นเครื่องราง ถ้ามีไม่พอก็ทำขึ้นมาใหม่เป็นเกวียน ๆ เลย ในฐานะของพระพุทธรูป ได้เปลี่ยนแปลง ไปอย่างนี้ นอกจากนั้นก็ใช้เป็นของขวัญให้แก่กันและกัน ใช้เป็นเครื่องอวด แล้วก็กลายเป็นสินค้า มันเป็นสินค้าที่แพงทีสุดเหมือนกัน พระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ราคาตั้งหมื่น สองหมื่น สามหมื่น ก็ได้ยินว่ามี
ที่ผมก็เอากับเขาด้วยเหมือนกัน ถ้ามีพระพุทธรูป มีคนเอามาให้บ่อย ๆ เหมือนกัน พระพุทธรูปเล็ก ๆ เครื่องรางนี่ แต่ผมเอาไว้เป็นเครื่องรางแก้บ้า เครื่องรางกันบ้า กันผมบ้า ผมก็เก็บไว้ดู เก็บพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ พระเครื่องรางที่เขาให้นั้นแหละไว้ดู เป็นเครื่องรางกันบ้า สำหรับผม ผมในที่นี้ ก็คือว่าอายุโดยสมมุติ ที่มันยังอาจจะบ้าได้อยู่นี่ นั้นก็เลยบอกว่า นี่ฉันมีไว้ให้แก สำหรับกันบ้า ก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน ไม่ได้ใช้เป็นเครื่องรางกันปืน กันอะไรทำนองนั้น แต่เป็นเครื่องเตือนสติกันลืมตัว กันเผลอ กันประมาท แล้วก็ให้สลดสังเวชใจอยู่ว่า ทำไมทำแก่ พระพุทธรูปกันในลักษณะอย่างนี้ นี่มันเป็นเรื่องกันบ้า แก้บ้า
น่าสงสารพระพุทธเจ้า แบบภูเขาหิมาลัยอย่างยิ่ง เพราะว่าคนที่เอา พระพุทธรูปเล็ก ๆ ไปแขวนนี่ เขาไม่ได้ถือว่าเป็นก้อนดิน หรือว่าเป็นพระพุทธรูป เขาถือเป็นพระพุทธเจ้าทีเดียว ถือว่าคุณของพระพุทธเจ้าทีเดียว อยู่ในวัตถุเหล่านี้ ยึดมั่นถือมั่นตามทัศนะของเขา อย่างนี้ไป นิพพานไม่ได้ ถ้าถืออย่างนี้ไปนิพพานไม่ได้ นั้นตามทัศนะของผมก็ถือว่า เป็นภูเขาหิมาลัย ขวางอยู่ข้างหน้า เราจะข้ามไปฟากโน้น ไปนิพพานนั้นไม่ได้ นึกมาทีไรก็สงสาร หรือล้อตัวเองว่า แกก็มีโชคดีได้อยู่เห็นภาวะอย่างนี้ เห็นลักษณะอย่างนี้ ในโลกนี้ในประเทศไทย ซึ่งมันไม่มีทาง จะแก้ไขได้ง่าย ๆ ในเร็ว ๆ นี้ มันก็ต้องปล่อยไปอย่างนี้ ไอ้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ วัตถุสูงสุด เครื่องหมายของ สิ่งสูงสุดนี่ มากลายเป็นอย่างนี้ไป นับตั้งแต่เป็นโลหะวัตถุสำหรับซื้อขาย เป็นศิลปวัตถุ เป็นโบราณวัตถุ เป็นเครื่องรางวัตถุ เป็นของขวัญวัตถุ เป็นเครื่องอวดวัตถุ เป็นสินค้าที่จะขาย หรือเครื่องมือสำหรับหลอกคน ให้ควักกระเป๋า เอาเงินออกมาให้มาก ๆ
เดี๋ยวนี้ถ้าเขาอยากจะทำอะไรได้เงินมาก ๆ เขาก็ขายพระพุทธเจ้าในลักษณะอย่างนี้กันทั้งนั้น ถ้าคุณกลัวถูกผมล้อ แล้วอย่าทำเป็นอันขาด ผมจะล้อใส่หน้า ในเรื่องพระพุทธรูป มันมีอยู่อย่างนี้ จะไปล้อ อ่า, ความโง่ของบุคคลใด ได้เท่าไรก็ตามใจ ผมก็ล้อตัวเองแต่เพียงว่า อ๊า, โชคดี โชคดี ได้อยู่มา ได้จนเห็นสิ่งเหล่านี้ ไม่ล้ออะไรไปมากกว่านี้ แล้วผมก็มีเครื่องรางอันนี้ ไว้สำหรับป้องกัน ไอ้โรคบ้า แต่ถ้าใครมันมาถือเสียว่า ที่ผมกำลังพูดอย่างนี้ มันเป็นบ้าอยู่แล้ว ก็ช่วยไม่ได้ จะป้องกัน โรคบ้า นั้นก็คือว่า อย่าได้หลงมากถึงขนาด ให้มันเป็นภูเขาหิมาลัยต่างหาก อันนี้เรื่องพระพุทธรูป ที่ถูกเขาสมมุติให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ หลายแบบ หลายประเภทไป มองดูแล้ว ก็ล้วนแต่น่าสงสาร ก็ล้อตัวเองว่า มีโชคดีที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้
ทีนี้ก็ดูกันต่อไปอีกว่า ไอ้เรื่องที่เขาหาว่าผมเป็นคอมมิวนิสต์ หาว่าผมไม่ชอบพระพุทธรูป เกลียดพระพุทธรูปนี่ มันก็ไม่ร้ายกาจมากเท่ากับว่า ผมนี่เป็นมิจฉาทิฐิ สอนพุทธศาสนาอย่างผิด ๆ สอนให้มีจิตว่าง สอนให้ไม่เอาอะไร สอนให้ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด สอนให้ตายเสียก่อนตาย ข้อนี้ผมก็ยอมรับ เออ, เต็มที่ว่า มีความตั้งใจอย่างนั้น สอนอยู่อย่างนั้น พยายามอย่างนั้น ไอ้ที่มันเป็นอย่างนี้น่ะ ก็เพราะความหวังดี คือสงสารคนเป็นอันมาก ที่เรียนพุทธศาสนาจนตาย ก็ไม่รู้พุทธศาสนา เรียนพระไตรปิฏกแล้ว จบแล้ว จบเล่า ก็ไม่พบพระพุทธศาสนา
เรียนธรรมะ อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้น หรือกระทั่งอภิธรรม ก็ยังไม่พบพระพุทธศาสนา มีแต่เป็นบ้าหอบฟางนี่ มีความรู้มากพูดอะไรได้มาก พูดกี่วัน กี่เดือน กี่ปีก็ไม่รู้จักจบจักสิ้น แล้วก็ไม่จน ไม่จำนนแก่ผู้ใด แต่ละเรื่องที่พูดนั้น มันเป็นฟางไม่มีเมล็ดข้าว อย่างนี้เขาเรียกว่า บ้าหอบฟาง หอบเสียท่วมหัวท่วมหู ไม่เห็นตัวเลย แต่มันไม่มีเม็ดข้าวสักเม็ดหนึ่ง นี่คือการศึกษา พุทธศาสนาสมัยนี้ รวมทั้งการปฏิบัติด้วย
นี่ว่ารวมทั้งการปฏิบัติด้วย ให้ศึกษาปริยัติมากมาย เป็นบ้าหอบฟางนั้น เห็นได้ง่าย แต่ว่าการปฏิบัติที่มันมากมาย เป็นบ้าหอบฟางมันก็มีอยู่เหมือนกัน ปฏิบัติิอย่างนั้น ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างโน้น ไม่รู้กี่สำนัก กี่ร้อยสำนักแล้ว มันก็ไม่เคยพอใจ เพราะว่ามันทำอย่างละเมอ ๆ ยังไม่เข้าใจถึงหัวใจของพระพุทธศาสนานั่นเอง มันทำเหมือนกับหุ่น อ่า, อะไรอันหนึ่ง ที่แล้วแต่ว่า ผู้เชิดจะเชิดไป หรือตามระเบียบที่วางไว้อย่างไร กำหนดไว้อย่างไร บัญญัติไว้อย่างไร ไปปฏิบัติที่ สำนักไหน ก็ล้วนแต่ได้รับการแต่งตั้ง ให้บรรลุมรรค ผลทั้งนั้น แต่แล้วก็ยังไม่พอใจ
นั้นผมจึงเสนอความคิดเห็นขึ้นบ้าง ว่ามันไม่มากถึงอย่างนั้นเรื่องการศึกษาก็ดี เรื่องการปฏิบัติก็ดี มันควรจะสรุปลงมาสั้นๆ เหลือแต่เพียงประโยคเดียว เป็นคำพูดประโยคเดียว กระทั่งว่า เป็นคำ ๆ เดียว ประโยคหนึ่งมันหลายคำพูด คุณก็รู้อยู่แล้ว คำว่าประโยคเดียว แล้วกระทั่ง ว่ามันเหลือเป็นคำ ๆ เดียวก็ยังได้ ถ้าไปทำให้มันมากมาย เป็นภูเขาเลากา เป็นมหาสมุทรอย่างนั้น มันก็ไม่มีทางที่เป็นไปได้ ใน ในการที่จะประสบผล เออ, ที่พึงปรารถนา เพราะมันไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
มันเหมือนกับงมเข็ม อ่า, ในทะเล มันก็อวดได้ แต่ได้ทำไปมากแล้ว การเรียนก็เรียนมากแล้ว การปฏิบัติก็ปฏิบัติมากแล้ว ยังไม่ได้ผลเป็นที่พอใจ แต่บางทีก็ไม่กล้าบอกใคร เก็บไว้ข้างใน ก็เรียกว่า อมภูมิ คนทั่วไปก็สมมุติว่า คนนี้แหม เรียนมาก รู้มาก ปฏิบัติได้มาก พิเศษกว่าคนอื่น นี้ี่ถ้าว่าผมพูด ให้เหลือแต่ประโยคเดียว คำเดียวเขาก็ไม่เชื่อ เขาก็ยังเอาข้างที่มันมากไว้ มากไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี แล้วที่น่าสงสารมากไปกว่านี้ ก็คือเขาถือกันว่ายิ่งเข้าใจยากนั่นแหละยิ่งดี ยิ่งเข้าใจไม่ได้เลยยิ่งดีที่สุด เพราะถ้าเข้าใจเสียแล้ว มันก็เป็นธรรมดาสามัญ เขาว่ามันไม่ดี แล้วว่ามัน ไม่ใช่พุทธศาสนา ไอ้ที่เข้าใจยากที่สุด หรือเข้าใจไม่ได้เลยนั่นแหละ คือพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น มันก็ค้างเติ่ง กันอยู่ที่นั่นจนกระทั่งตายไป ในการศึกษาก็ดี ในการปฏิบัติก็ดี
การที่ผมกล้าพูด อย่างนี้ว่าเสนอขึ้นมาอย่างนี้ ว่าพุทธศาสนามีเพียงประโยคเดียว หรือคำเดียวนี่ ไม่ใช่เดาเอา หรือว่าไม่ได้สันนิษฐานเอาได้ง่าย ๆ มันก็เกิดจากการที่เคยบ้ามามาก แล้วเหมือนกัน มันก็เคยเรียนมาก เคยค้นคว้ามาก เคยทดลองมาก เคยแหย่ดู อย่างนั้นที อย่างนี้ที มามากแล้วเหมือนกัน แล้วในที่สุดมันก็มาพบตรงทางพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ พยานหลักฐาน มันก็เลยมีสมบูรณ์ขึ้นมา ทั้งสองทาง หรือหลาย ๆ ทาง
เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าสรุปให้หมดแล้ว มันก็เหลือแต่เรื่อง ความไม่ยึดมั่น ถือมั่น เป็นคำพูดสั้น ๆ ประโยคเดียว ว่า สัพเพธรรมา นาลัง อภินิเว สายะ(นาที่ที่ 49:32) ซึ่งผมก็ได้ ขอร้องให้ทุกคนจดจำไว้ ให้ดี ให้พยายามทำความเข้าใจแต่ประโยค ๆ นี้ ให้เรียนก็เรียน แต่ประโยคนี้ ถ้าปฏิบัติก็ปฏิบัติแต่ประโยคนี้ มันก็จะได้ผลหมดทั้งพระพุทธศาสนา แต่แล้วก็ไม่มีใครเชื่อ ก็เอาไป หัวเราะ เล่นกันเสียก็มี
ทีนี้ที่ว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่นยึดมั่น นั่นก็ยังฟังยากสำหรับชาวบ้าน ผมก็คิดหาคำพูด อย่างอื่น ที่มันจะเข้าใจได้ง่ายสำหรับชาวบ้าน เช่นบอกว่า มันไม่มีอะไรที่น่าเอาน่าเป็น บอกชาวบ้าน คุณย่าคุณตาคุณยาย อะไรที่ไม่รู้หนังสือ ที่ไม่เรียนอะไรได้ นี่ว่า ไม่ต้องมองอย่างอื่น ให้มองแต่ใน ทางที่ว่า มันไม่มีอะไรที่น่าเอา ไม่มีอะไรที่น่าเป็น “เอา” เช่น เงินทองข้าวของทรัพย์สมบัติอย่างนี้ อย่าไปคิดเอามันเข้า มันจะกัดเอา คือมันจะมีความทุกข์ ไอ้ “เป็น” นี่ก็เหมือนกัน อย่าไปยึดมั่น ถือมั่น เป็นนั่น เป็นนี่ เป็นลูก เป็นพ่อ เป็นผัว เป็นเมีย เป็นบ่าว เป็นนาย เป็นอะไร ถ้าเป็นแต่ ความยึดมั่นถือมั่น คือ เป็นกันจริง ๆ แล้วก็มันจะกัดเอา มันจะเดือดร้อน และเป็นทุกข์เพราะเหตุนั้น
ยกตัวอย่างว่า เป็นแม่ เกิดยึดมั่นเรื่องเป็นแม่ มันก็ไม่ยอมกับลูก มันก็มีโมโหโทโส แม้ลูกจะดี มันก็ยังมีวิตกกังวล เรื่องลูกจะไม่ได้ดี เรื่องอย่างนั้นอย่างนี้ นี่มันเป็นมากเกินไป มันเป็นแม่มากเกิน ไป ถ้าจิตใจอย่ายึดมันถือมั่นถึงขนาดนั้น รู้แต่ว่าแม่มีหน้าที่อย่างไร ก็ทำไปอย่างสนุก ๆ ก็ได้ เรื่องมันก็หมดแล้วก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะเป็นแม่ที่ดี และมีลูกที่ดี ได้เหมือนกัน โดยไม่ต้องมีใคร เป็นทุกข์ นี่ไปยึดว่า กูเป็นแม่ต้องเอาอย่างนั้น ต้องเอาอย่างนี้ ต้องได้อย่างนั้น ต้องได้อย่างนี้ มันก็ทะเลาะกับลูก หรือว่าด้วยการที่ยึดมั่นถือมั่นมากนี่ มันก็ทำให้มีความมืดมน มีโมหะ ก็เลยพูดผิด ทำผิด คิดผิด สอนผิดได้ง่าย มันก็เลยเป็นทุกข์มาก ยิ่งขึ้นไปอีก
นี่ที่ว่าไม่เป็นนั่น ก็หมายความว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็น เป็นพ่อก็ตาม เป็นลูกก็ตาม เป็นสามี เป็นภรรยา อะไรก็ตาม ความทุกข์มันมาจาก ความยึดมั่นในการเป็นทั้งนั้น ถ้าเป็นแต่เพียง สมมุติ เพียงแต่ทำหน้าที่ตามหน้าที่ แล้วมันก็ไม่มีความทุกข์มากมายอะไร แม้จะต้องแยกกันเลิกกัน ไม่เป็นมันก็ไม่ทุกข์อะไร ถ้ามันไม่มีประโยชน์อะไร ที่ต้องเป็นอยู่ มันก็เลิกกันโดยไม่ต้องมีความทุกข์ อะไร ถ้ามันมีประโยชน์มันก็เป็นต่อไป โดยไม่ต้องมีความทุกข์อะไร นี่เรียกว่า ความไม่ยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละข้อความที่มีชัดเจน อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล ของพวกคริสเตียนนั้นน่ะ จะมาล้อเรา พวกพุทธบริษัท ที่ยังโง่ เรื่องความยึดมั่นถือมั่น
ข้อความที่ว่ามีภรรยาก็จงเหมือนกับไม่มีภรรยา มีทรัพย์สมบัติก็เหมือนกับ ไม่มีทรัพย์ สมบัติ นั่นแหละ นี่คือว่ามันไม่ยึดมันในความมี หรือความเป็นในจิตใจ มันไม่เอาอะไร ไม่เป็นอะไร ด้วยความยึดมั่นถือมั่น มันเข้าไปเกี่ยวข้อง ในลักษณะอย่างไร ก็ทำหน้าที่อย่างนั้น โดยไม่ต้อง ยึดมั่นถือมัน แล้วมันก็อยู่เป็นสุขได้ เป็นผาสุขได้ มีจิตใจสะอาดสว่างสงบ เป็นที่พอใจของพระ พระเป็นเจ้าได้ เรื่องมันก็มีเท่านี้
นี่คือที่บอกคนแก่ ๆ ว่า ถือลัทธิสั้น ๆ แต่เพียงว่า ไม่มีอะไรที่น่าเอา น่าเป็น อย่าไปหมายมั่น ปั้นมือ ที่จะเอา ที่จะเป็น อย่าไปหมายมั่นปั้นมือ ถูกสมมุติว่าเอา ว่าเป็นอยู่แล้ว ให้ดูดี ๆ เรื่องมีเท่านี้ ก็จะหมดทั้งไปพระไตรปิฏก ทั้ง ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ ได้เหมือนกัน แต่ยักษ์พูดเสียใหม่ว่า ไม่มีอะไร ที่น่าเอาน่าเป็น แทนที่จะพูดอย่างพระบาลีว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง อันใคร ๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
ทีนี้ผมก็ยังมีความคิดที่ไม่หยุด มันก็ไม่อยากหา ที่มันไม่ดีกว่านี้ หาคำพูดให้มันกระทัดรัด กว่านี้ อะไรทำนองนี้ เลยลดคำพูดลงมาเหลือว่า ตายเสียก่อนตาย แต่ความหมายกลับจะลึกลงไป เสียอีก จงเป็นอยู่เหมือนอย่างตายแล้วนี่ ตายเสียก่อนตาย คืออย่าได้เกิดความคิดว่าตัวกู ว่าของกู มีแต่สติปัญญาทำอะไรไป ตามสติปัญญาที่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร สติปัญญานั้น มันก็มีอยู่ในจิตในใจ ตามที่เราได้รับการอบรม มันก็รู้ว่าต้องทำอะไร อ่ะ, ก็แต่พอเหมาะพอควร ไม่มากเกินไป ไม่เป็นเรื่อง บ้าหอบฟาง จะไปหอบให้มันเหนื่อยทำไม เอาแต่ที่มันแก่เป็นประโยชน์ หรือเท่าที่มันจำเป็น นี่คือหน้าที่ ก็อยากทำด้วยจิตใจ ที่ยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวกูของกู กูทำกูได้ กูหาอะไรมาเป็นของกู นี่มันเป็นคนตายที่เดินได้ ทำการงานได้ เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างมหาศาล นี่ฟังดูมันน่าหัวเราะ หรือน่าล้ออยู่เหมือนกัน ว่าคนตายมันเดินได้ ทำอะไรได้ ทำประโยชน์อะไรให้แก่ใครก็ได้
พระอรหันต์ท่านก็เป็นบุคคลที่ตายแล้ว ก่อนตาย ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านหมดกิเลส ที่เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่น ว่าเรา ว่าของเรานั่นนะ ไม่มีตัวเรานี่ เราเรียกว่าตายแห่งกิเลส ตายแห่ง อวิชชา ตายแห่งตัณหา ตายแห่งอุปปาทาน เรียกสั้น ๆ ว่าตายแล้วแห่งตัวกูของกู ตัวกูของกู ไม่ได้มีอยู่ นี่ก็ตายแล้ว ก่อนแต่ร่างกายตาย ร่างกายยังอยู่ จิตใจยังอยู่ สติปัญญาของจิตใจยังอยู่ นั้นท่านก็ทำหน้าที่ ที่ควรกระทำ เท่าที่จำเป็นจะต้องทำ หรือควรกระทำ บริหารร่างกาย พอสักแต่ว่า อยู่ได้ มีทางที่ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไรก็ช่วยไป มันก็มีเท่านี้ เรื่องมันก็มีเท่านี้ นี่อยู่อย่างตายเสียก่อน ตาย กลับมีประโยชน์ เพราะว่าไม่มีตัวกูที่จะเห็นแก่ตัวกู
เดี๋ยวนี้มันมีตัวกูกันมากนัก และมันก็เห็นแก่ตัวนั้นมากที่สุด มากเกินไป กระทั่งมาบวช มาเรียน มาอะไรอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องกลายเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวกู จะดีจะเด่น จะอย่างนั้นจะอย่างนี้ มันกลายเป็นเรื่องตัวกู ของกูไปเสียอีก ทั้งที่เป็นเรื่องของการบวช แต่การบวชนี้ เขาต้องการจะ ทำลายตัวกูของกู นี้มันมากลายเป็นเรื่อง เพิ่มให้มีตัวกูของกูมากขึ้นไปเสียอีก มันก็น่าล้อ ผมก็เคยล้อ ตัวเองอยู่เสมอ ในข้อนี้ มันก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
นี่ประโยคยาว ๆ ที่ว่าธรรมทั้งหลาย ทั้งปวงอันใคร ๆ ไม่ยึดมั่นของพระพุทธเจ้า นี่ผมเอามา ย่นให้มันสั้นว่า ไม่มีอะไรที่น่าเอาน่าเป็น เห็นว่ายังยาวนัก ก็ย่นเสียว่า ตายเสียก่อนตาย ก็ยังตั้ง ๔ คำพูด เอ้า, เอาเหลือคำพูดเดียวดีกว่า ก็ “ว่าง” เลยพูดเรื่อง “ว่าง” ด้วยคำว่า ว่างคำเดียว ไม่ใช่พูดเอา ความว่าง ภาษาบาลีก็คำเดียว เรียกว่า “ว่าง” ก็แล้วกัน นี้มันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก คือเข้าใจยากขึ้นไปอีก
นี้คุณก็พอจะเข้าใจได้ หรือจับเคล็ดมันได้ว่า เรายิ่งพูดคำพูดให้คำพูด มันน้อยเข้าเท่าไหร่ ความหมายมันยิ่งลึกซึ้งเข้าเท่านั้น เราอย่ารวบรัดคำพูด ให้มันน้อยคำเข้าเท่าไหร่ ความหมายมันจะ ยิ่งลึกซึ้งเข้าไปเท่านั้น เมื่อพูดเป็น ๑๐ คำพูด ประโยคยาว ๆ ความหมายมันก็กระจายกันอยู่ที่ ๑๐ คำ มันก็ไม่ค่อยลึก พอย่นให้เหลือเพียง ๔-๕ คำ คำหนึ่งก็อมความหมายไว้มาก มันก็ค่อย ๆ ลึกเข้า นี่พอรวมความหมายของ ๔ คำเข้าเป็นคำเดียวว่า “ว่าง” นี้มันก็เลยยิ่งลึกใหญ่ ลึกจนตามไม่ถึง คนไม่เข้าใจ เขาก็ว่าเราบ้าแล้ว ว่างนี้มันจะมีอะไร มันจะมีดีอะไร มันจะประโยชน์อะไร มันใช้อะไร ไม่ได้ มันกินไม่ได้ มันอะไรไม่ได้หมด มันก็เลยหาว่า เป็นคำพูดของมิจฉาทิฐิ ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร สูญเปล่าไปเลย
ธรรมดาไอ้คำว่า “ว่าง” นี้มันก็เป็นคำที่น่าสงสารอยู่แล้ว คือพระบาลีมีคำว่า สุญญัง สุญญ นี่แปลว่า “ว่าง” มีผู้อ้างตัวเองเป็นนักปราชญ์ ราชบัณฑิต แล้วก็มีมากไป แปลมันว่า สูญเปล่า แปลคำว่า สุญญ นี่ว่าสูญเปล่า ไม่ได้อะไรเลย ไม่มีประโยชน์อะไรเลย นี้มันผิดเกิน ๑๐๐% ไม่แปลสุญญ ว่า “ว่าง” ไปแปลว่า สูญเปล่า มันก็ผิดไปเสียตั้งทีแรก ที่ไปแปลแล้ว ไอ้ควรที่จะแปล ตามตัวว่าว่าง แปลว่า ว่าง มันไม่เข้าใจก็ได้ มันกำกวมกันอยู่ ยังทำให้ค้นหาต่อไปว่า มันว่างอย่างไร คือ มันจะมีประโยชน์อะไร
ก็มีทางให้ค้นพบว่า “ว่าง” ในที่นี้ หมายความว่า มันว่างจากความหมายแห่งตัวกูของกู ว่างจากส่วนที่จะไปยึดมั่นถือมั่นมัน นี่มันเป็นจูงไปในทางที่ว่า จะได้มีจิตใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น สิ่งใด ๆ เรียกว่ามีจิตว่าง จิตว่าง คือว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นก็คือความรู้สึกว่า ตัวกูของกู ที่นี้มันว่างจากความรู้สึกว่าตัวกูของกู นั่นแหละคือ “ว่าง” ว่างคำเดียวก็พอแล้ว มันก็จะสอน เอ่อ, กันอย่าง ที่เรียกว่า เออ, เป็นอะไร เป็นเคล็ด หรือว่าเป็นอัฐ(นาทีที่ 01:02:19) มันก็พูดว่างคำเดียว ไม่ยอมพูดคำอื่นเลย เขาสอนอย่างไงก็บอกว่าง เขาฝึกฝนยังไงก็บอกว่าง ปฏิบัติยังไงก็ว่าง ใช้คำว่า “ว่าง” คำเดียว เป็นคำตอบ คำถามทุก ๆ คำถามเลย นี่คือเราสรุป ไอ้การศึกษา และการปฏิบัติทั้งหมด มันเหลือเพียง คำ ๆ เดียวว่า “ว่าง”
ทีนี้มาดูอีกทีว่า พูดว่า โอ๊ย, พูดว่าว่างมันน่ากลัว มันน่าเสียวไส้ มันไม่มีอะไร เลือกคำใหม่ ที่ดีกว่า ก็เลยพบคำว่า เย็น คำว่า เย็น คือ เย็นสบาย คำว่า “ว่าง” มาจากคำว่า สุญญ หรือสุญตา แปลว่า “ว่าง” คำว่า “เย็น” นี้มาจากคำว่า นิพพาน นิพพาน แปลว่า “เย็น” ต่อเมื่อเอามาเข้าคู่กัน อย่างนี้ มันจึงจะพอเห็นได้ว่า ไอ้คำหนึ่งมันแสดงเหตุ และไอ้คำหนึ่งมันแสดงผล คำว่า “ว่าง” นี้มันแสดงในฐานะเป็นเหตุ หมายถึงว่า ต้องปฏิบัติให้มันว่าง ว่างจากตัวกู ว่างจากของกู ซึ่งเป็นเหตุแห่งความร้อน แล้วผลมันก็ เกิดขึ้นเป็นนิพพาน คือ ความเย็น คือ เย็นมาก เย็นน้อย หรือเย็นชั่วคราว หรือเย็นตลอดกาลก็ตามใจ แต่หมายความ ถึงความเย็นก็แล้วกัน สุญตา คือ ความว่างเป็นเหตุให้ได้นิพพาน คือ ความเย็น
นี่ด้วยเหตุที่ว่า เหตุกับผลนี้ มันแยกกันไม่ได้ ถ้าเราพูดเราพูดแยกกันได้ แต่ตัวจริงมันไม่ แยกกันไม่ได้ มันมีเหตุและมันก็ต้องมีผลติด ๆ กันมา นั้นไอ้ว่างและเย็นมันเลยอยู่ด้วยกัน มันกลายเป็นอันเดียวกัน จนถึงกับมีหลักบัญญัติไว้ตายตัวว่า นิพพานังปรนังสูญญัง (นาทีที่ 01:04:30) ไอ้ว่างที่สุดนั่นแหละ คือเย็น คือนิพพาน ไอ้ว่างอย่างยิ่งนั่นแหละ คือเย็น และคือนิพพาน อย่างนี้มันแสดงว่า ไอ้ว่างกับเย็นนี้ เป็นสิ่งเดียวกันเสียแล้ว เราพูดในแง่ของการปฏิบัติ เราก็บอกว่า “ว่าง” พูดในแง่ก็ของผลของมัน ก็บอกว่า “เย็น”
คำว่า นิพพาน แปลว่า เย็น คำพูดคำนี้ของมนุษย์ เออ, ที่เริ่มพูดกันมาตั้งแต่ครั้งแรก ๆ นั้น หมายถึงเย็น ความรู้สึกร้อนเย็นก็รู้กันมาก่อนแล้ว แล้วก็พูดถึงสิ่งนี้ ด้วยคำ ๆ พูดที่มีมาแล้ว จนมาถึงยุคที่บัญญัติ ธรรมะทางจิตทางใจ ก็ยืมเอาคำ ๆ นี้ทางวัตถุ มาใช้เป็นคำทางธรรมะ ทางวิญญาณ แปลว่า เย็นแห่งจิตใจ ก่อนนี้เขาก็พูดถึง เย็นแห่งเนื้อหนังร่างกาย นิพพานน่ะ เย็นแห่งเนื้อหนังร่างกาย หรือกระทั่งของวัตถุก็ได้ เรียกว่า เย็นเหมือนกัน เดียวนี้มันกลายเป็น เรื่องเย็นทางจิตใจ
นั้นนิพพานของวัตถถ ก็คือ นิพพานของไอ้ก้อนไฟแดง ๆ หรือของร้อน ๆ ซึ่งมันร้อน แล้วมาเย็นลง นี่นิพพานของวัตถุ ทีนี้นิพพานของสิ่งที่มีชีวิต มันก็คือ เย็นใจ จนกระทั่งมันเย็นจริง เย็นไม่กลับร้อนอีก คำว่า นิพพานก็ใช้กันมาทั้งเรื่องวัตถุ หรือเรื่องจิตใจ เดี๋ยวนี้เราไม่มองกันในแง่ อย่างนี้ ไปมองในแง่เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เอานิพพานไปไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ อีกกี่แสนชาติ อ่า, อีกกี่กัป กี่กัลป์ ก็ไม่รู้จึงจะได้นิพพาน ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเกินนี้ ถือซะอย่างนี้
ไม่เห็น และไม่รู้จักว่า ไอ้นิพพานนี้อยู่ที่เนื้อ ที่ตัวของเรา ถ้าร่างกายร้อนก็เป็นไม่ใช่นิพพาน ถ้าร่างกายเย็นก็เป็นนิพพานของร่างกาย ถ้าใจร้อนก็ไมใช่นิพพานของจิตใจ พอจิตใจเย็นก็เป็น นิพพานของจิตใจ มันเหลืออยู่แต่ว่าเย็นจริงหรือเย็นไม่จริง เย็นชั่วคราวหรือเย็นตลาดกาลเท่านั้นเอง นิพพานมันอยู่ที่นี่ มันช่วยหล่อเลี้ยงไว้ไม่ให้ตาย ไม่ให้คนเราตายเสีย ถ้าเรามีแต่ความร้อน เราก็ตาย นิพพาน คือ “เย็น” มันก็มาแทรกแซง มันก็ไม่ได้ตาย คำว่า “เย็น” มีความหมายที่ดีที่สุด ถ้าเป็นภาษาธรรมะ หรือภาษาทางวิญญาณ เพราะมันเป็นผลของการปฏิบัติ คือ ความว่าง
นี่พอจะสรุปให้เห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาทั้งหมดน่ะ ในแง่ของปริยัติก็ดี ในแง่ของปฏิบัติ ก็ดี โดยเหตุสรุปได้อยู่ที่ว่า ทำให้มันว่างหรือว่าง แล้วโดยผลสรุปได้ว่า มันเย็นไม่มีความทุกข์ นั้นถ้ามีความเข้าใจ เรื่องนี้เพียงพอ พูดว่า “ว่าง” คำเดียวเข้าใจ เข้าใจหมดเลย ไม่ต้องอธิบายอะไรอีก แต่ถ้ามันไม่มีความรู้ ไม่มีอะไรเสียเลย พูดคำว่า “ว่าง” สักกี่แสนครั้ง มันก็เข้าใจไม่ได้ แล้วมันก็เห็น เป็นเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ไปเสีย ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่มีอะไรที่ควรจะสนใจ นั้นคนที่เข้าใจธรรมะ มามากพอแล้ว ก็พูดว่าปฏิบัติอย่างไร บอกว่า “ว่าง” คำเดียว เขาก็เข้าใจ ถ้าเขาถามว่า ปฏิบัติตั้งมากมายนี้มันจะได้อะไรมา ก็บอกว่า “เย็น” คำเดียว เขาก็เข้าใจ
นี่ผมหวังว่าพวกเราทุกคนนี่ ควรถึงเวลาแล้ว ที่ควรจะเข้าใจไอ้คำชนิดนี้ แล้วพูดกันคำเดียว ก็เข้าใจ อย่าเสียเวลาอธิบายให้มันมากไปเลย เหลืออยู่ก็แต่พยายามทำให้มันว่าง ถ้ามันว่างมันก็เย็น พอมันวุ่นมันก็ร้อน มันมีเท่านี้ เมื่อใดจิตมีตัวกู มันก็ร้อนเป็นวัฏสงสาร เมื่อใดจิตไม่มีตัวกู มันก็เย็นเป็นนิพพาน ง่าย ๆ อย่างนี้ นี่ผมมีความเข้าใจอย่างนี้ มีการปฏิบัติส่วนตัวอย่างนี้ แล้วก็สั่ง อ่า, แนะนำชักชวนผู้อื่นอย่างนี้ แล้วก็มีคนจำนวนมาก ว่าผมนี้เป็นมัจฉาทิฐิ คนบ้า คนทำลาย หรือว่าเป็นกบฏต่อพุทธศาสนา เอาเรื่องว่างมาสอน เป็นนัตถิกทิฐิ เป็นอะไรไป เป็นมิจฉาทิฐินั่นเอง
นี่ผมก็มา เออ, รำพึง ถึงความน่าเวทนา สงสารตัวเอง แล้วก็ล้อตัวเองว่า มีอะไรในลักษณะที่ จะทำให้เขา เหมาว่าเป็นคนบ้า นี่ว่าอายุเอ๋ย แกล่วงมาถึงขนาดนี้แล้ว ถึงเวลานี้แล้ว ก็มีอะไร ๆ แต่ที่ จะทำให้คนอื่น เขาเหมาเอาว่าเป็นคนบ้า นี้ก็เป็นเรื่องล้อ อือ, อายุในยุคนี้ ล้ออายุในยุคนี้ ในปีนี้ ๒-๓ ปีนี้ มันก็ล้อเล่นได้ในข้อนี้ มีคนมาถามว่า ต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะบรรลุนิพพาน ผมว่าไม่ ต้องทำอะไรเลย เพราะถ้าว่าต้องปฏิบัติ จะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะนิพพาน ผมว่าไม่ต้องปฏิบัติ อะไรเลย คุณคิดดูเถอะ เขานึกอย่างไร บางทีเขาลุกขึ้น หรือว่าเขาไม่สนใจจะพูดกันต่อไป
ถ้าถามว่า ช่วยอธิบายเรื่องปฏิบัติ เรื่องนิพพานให้เข้าใจสิ ผมบอกไม่ต้องพูดอะไรเลย อือ, ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องพูดอะไรเลย นั่นน่ะ คือตัวธรรมะแท้ ตัวการปฏิบัติที่แท้ นี้คุณมัน อยากพูด อยากทำ อยากอะไร ให้มันมากออกไป มันยิ่งห่างไกลออกไป ฉันไม่มีอะไรที่จะต้องทำ ไม่มีอะไรที่จะต้องพูด ฉันไม่บ้าหอบฟางเหมือนแก ก็โกรธกัน ฟังเป็นคำด่า ว่าไปด่าเขาเข้าแล้ว นี่ความน่าสงสาร อือ, ของอะไรก็ไม่ทราบ แต่มันเป็นภาวะที่น่าสงสาร
นี้เป็นแง่หรือเป็นส่วนที่เขา หาว่าผมนี่พูดผิด ๆ บางคนก็หามากกว่านั้น คือหาว่าแกล้งพูด ให้มันผิด แกล้งเล่นสำนวนโวหาร แกล้งเล่นลิ้น แกล้งพูด อ่า, สำบัดสำนวน ให้มันยากเข้าใจไม่ได้ เป็นเรื่องผิด ๆ ไปหมด แต่เจตนาของผม มันต้องการจะช่วย ให้เขาเข้าใจง่าย ๆ เร็ว ๆ อย่าไปคิด เรื่องอื่น ให้เป็นบ้าหอบฟาง ให้คิดเรื่องนี้เรื่องเดียว คำเดียวนี้ ให้มันตรงจุด ให้มันทะลุไปเลย เดี๋ยวเดียวมันก็ได้ คืออย่าทำให้มันพร่ามากไป มากมายหลาย ๑๐ เรื่อง เหมือนกับเราจะเจาะภูเขานี่ ต้องเจาะให้ถูกตรงจุด เจาะให้มันเล็ก ๆ พอ แล้วให้ทะลุไปเลย อย่าไปเจาะมันทั้งภูเขา เมื่อไหร่มันจะ ทะลุ ถ้ามันจับจุดไม่ได้
เกี่ยวกับข้อนี้ ถ้ามองกันดูอย่างกว้าง ๆ แล้วก็หมาย มีใจความสำคัญ อยู่ตรงที่ว่า เรานี่ไป พยายามทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ ผมเองก็เป็นเหมือนกัน ก็ต้องสารภาพ ว่าไปทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ ก็มีอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่คนอื่นอาจจะมากกว่าผม หรือว่ารวม อ่า, ทั้งโลกแล้ว มันก็ มันมีคน ที่ทำอะไร ที่ไม่จำเป็น ที่จะต้องทำมากกว่าเรามาก ไอ้เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องอดไม่ได้ เพราะมันอยาก จะทำอะไร ให้มันมาก ให้มันอะไร ให้มันบ้า มันเป็นนิสัย เป็นสันดาน เป็นไอ้สัญชาติญาณ อะไรมาแต่เดิม มันอยากดี มันอยากเด่น ถ้าทำอะไรแต่เท่าที่จำเป็นแล้ว เรื่องมันก็ไม่มาก แล้วก็ไม่ความทุกข์มาก
เดี๋ยวนี้เรามัน อยากจะทำอะไร อือ, ที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ ที่ธรรมชาติก็ไม่ต้องการให้ทำ พระเจ้าก็ไม่ต้องการให้ทำ แต่มนุษย์มันก็ดื้อไปทำอีกจนได้ จนเรื่องมันมาก แล้วก็เรียกอาการอย่างนี้ ว่าความเจริญเสียด้วย ความก้าวหน้า ความศิวิไล ความเจริญ พัฒนาการ อะไรมันไปเรียกอย่างนี้ คือ ไปทำในสิ่งที่ไม่ต้องทำ ไม่จำเป็นจะต้องทำเสียมาก ไอ้จำเป็นจะต้องทำนั้นไม่ทำ เพราะความเห็นแก่ตัว ที่หลอกตัวเอง กลับกลอกหลอกลวงตัวเอง ไปทำแต่ที่มันเป็นเหยื่อ ของกิเลส ยั่วกิเลส ไอ้ส่วนที่มันจะฆ่ากิเลสนั้นกลับไม่ทำ นี่เรียกว่า ไม่ทำในสิ่งที่ควรจะทำ แล้วก็ไปทำไอ้ที่ไม่ควรจะทำ
นั้นโลกนี้ก็รกหนาแน่น ไปด้วยสิ่งที่ไม่ควรจะทำ หรือไม่ต้องทำ เพราะมันยั่วกิเลส นี้ทำไมคนมันจึงเหเทไปทำในสิ่งที่ยั่วกิเลส เพราะว่ามันตรงกับความต้องการของกิเลส มันเอร็ดอร่อย สนุกสนาน ทางเนื้อ ทางหนัง ทางกิเลส นั้นมันก็นิยมกันใหญ่ นี่มันทำให้เกิด ลัทธิวัตถุนิยมขึ้นมาในโลก แล้วก็มีเทคโนโลยีเฉพาะส่วนนี้ เจริญงอกงามอย่างยิ่ง บูชาสรรเสริญ กันอย่างยิ่ง ก็เลยกลายเป็นโรคชนิดนี้ โรคที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ แล้วก็นั่งล้อตัวเองว่า อายุเอ๋ย แกก็มีเวลาล่วงมาจนถึง จะได้เห็นโลกในสภาพ อย่างนี้กับเขาด้วยเหมือนกัน ความก้าวหน้าทางวัตถุ เช่น ไปโลกพระจันทร์อย่างนี้ เพราะคนเป็นอันมากก็ยกย่องสรรเสริญบูชา นิยมยกย่องอะไรกันไป ผมก็บอกว่ามันไม่ดี ไม่ดีไม่มีวิเศษวิโส ไปกว่าความฉลาดของคนป่าสมัยหินที่เอากระจูด ในหนอง มาสานเป็นสื่อรองนอนได้ นี่มันเท่ากันอย่างนี้
นี้ผมอยากจะย้ำอธิบายตักเตือนไว้บ่อย ๆ ว่า หมายความว่าอย่างไร คนป่าสมัยหิน ไม่มีความรู้อะไร มันมีความรู้เท่านั้น แล้วเผอิญมันฟลุ๊ค มันเกิดความเข้าใจ ความคิดเห็นที่ฟลุ๊คขึ้นมา ไปเอาไอ้ต้นกระจูดมาถัก ถัก ถัก เข้าเป็นสื่อรองนอนได้ มันก็สูงสุดแล้ว สำหรับสมัยนั้น ทีนี้คนสมัยนี้ ที่มันล่วงมาตั้งหลายหมื่นปีนี่ มันมีวิชาความรู้ของคนก่อน ๆ เขาเทไว้ให้ สะสมไว้ให้ ทับถมกันอยู่เป็นอันมาก มันก็เรียนนั่น เรียนนี่ เรื่อย ๆ มา มันฉลาดในเรื่องวิทยาศาสตร์ ในเรื่องฟิสิกส์พื้นฐาน มันก็ก้าวไปนิดเดียว มันก็ไปโลกพระจันทร์ได้
ทีนี้เมื่อเทียบส่วน ของความฉลาดสามารถกันแล้ว มันก็เท่ากันกับคนป่า ที่รู้จักเอา ต้นกระจูด ในหนองมาสาน เป็นสื่อรองนอนได้ คุณให้ความเป็นธรรมอย่างนี้สิ แล้วก็จะไม่หลง ไม่เห่อ ไม่หลง ไม่โง่ ไปตามความนิยมของคนสมัยนี้ เพราะที่กระโดดออกไปถึง อ่า, ไปดวงจันทร์นั้น ผมว่าจำเป็นน้อยกว่า ที่จะไปเอากระจูดในหนอง มาสานเสื่อรองนอน มันจำเป็นน้อย หรือไม่ต้องทำ ไปเอากระจูดมาสานเสื่อรองนอน นี้ต้องทำเสียกว่า แต่แล้วก็ไม่มีใครสนใจ เพราะเขาไปสนใจที่จะไป โลกพระจันทร์ คิดดูสิ
เรื่องในโลกมันก็มาก มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น แล้วมันก็เป็นเรื่องเกินจำเป็นทั้งนั้น มันก็ไม่มีใครคัดค้าน มีแต่คนสนับสนุน เออ, ตรงนี้อยากจะพูดถึงความรู้สึกของผม ที่น่าล้อเล่น อีกสักอย่างหนึ่ง คือว่าผมรู้สึกว่า ไอ้ ไอ้ทำสิ่งเกินจำเป็นนี้มัน มันเรื่องบ้า พูด ตรง ๆ หยาบคายหน่อย นี้ไปดวงจันทร์มันก็เรื่องบ้า
เรื่องคุมกำเนิดนี้ อ่า, คุมกำเนิดทางฟิสิกส์นี้ มันก็เรื่องบ้าเท่ากัน คือคนมันโง่ ส่งเสริมในทาง วัตถุ มันก็ป้องกันไอ้การตายหรืออะไรได้มาก คนเกิดมากจนต้องมีการควบคุม การเกิดโดยวิธีทาง วัตถุอีก นี่ควบคุมทางฟิสิกส์ เออ, ให้เข้าใจว่าทางวัตถุนะ ถ้าควบคุมทางจิต ทางวิญญาณนี้ คือมีธรรมะอดอั้น ที่จะไม่ทำขึ้นมามันเกิดขึ้นมา แล้วมัน ไม่ใช่ควบคุมทางฟิสิกส์ แต่เขาไม่คิดจะใช้ แต่เขาต้องการความเอร็ดอร่อย ทางเนื้อ ทางหนัง มันเป็นเรื่องทางวัตถุ มันก็หันมาใช้ทางวัตถุ
นี้คนก็คิดว่า ควบคุมกำเนิดนี้ มันก็เป็นความถูกต้อง ที่ให้คนมันน้อยลง อะไรมันก็พอเหมาะ พอสม แต่แล้วไม่นึกถึงว่าไอ้ควบคุมทางฟิสิก์นี้ มันทำให้เสียไปในทางจิตใจ คนหนุ่มคนสาวในยุคนี้ จะไม่มีศิลธรรมในเรื่องนี้ ในกระเป๋าเต็มไปด้วยวัตถุ หรือเครื่องมือสำหรับคุมกำเนิด อย่างนี้พวก โรมันคาทอลิค เขาจึงคัดค้านอย่างแรง ว่าทำไม่ได้ ผิดความประสงค์ของพระเจ้า นี้ผมก็เห็นด้วยว่า ไอ้การควบคุมกำเนิดทางฟิสิกส์นี้ ผิดความประสงค์ธรรมชาติ คือจะทำให้มนุษย์เลวลงในทาง ศีลธรรม พวกคาทอลิกก็อ้างพระเจ้าว่า เป็นสิ่งที่พระเจ้าห้าม แต่แล้วก็มันน่าหัวอย่างยิ่ง ที่ว่าทำไม พวกคาทอลิก ไม่คัดค้านการไปโลกพระจันทร์ ซึ่งมันเป็นเรื่องบ้าบอ เหมือนกันกับไอ้การคุมกำเนิด ทางฟิสิกส์ ถ้าคัดค้านการ เออ, คุมกำเนิดทางฟิสิกส์แล้ว มันก็ควรจะคัดค้าน การไปโลกพระจันทร์ หรืออะไรทำนองนั้น ที่มันเหมือน ๆ กัน ด้วยเหมือนกัน
เพราะพระเจ้าได้ต้องการ ให้ไปโลกพระจันร์ นั้นมันไม่ใช่เป็น อ่า, เรื่องจำเป็น มันมีแต่ทำให้ มนุษย์ทะเยอทะยาน เห่อเหิม ฟุ้งซ่านไม่มีที่สิ้นสุด ไม่นำมาซึ่งความสงบสุขเลยนี่ ทำไมไม่มา ช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่กำลังอดยาก กำลังจะตาย ทำไมจะมัวไปโลกพระจันทร์ เสียเงินเปล่า ๆ อย่างนี้ มันก็ควรจะคัดค้าน เหมือนกับคัดค้านการคุมกำเนิดทางฟิสิกส์ด้วยเหมือนกัน นี่ก็คือ เรื่องที่น่าล้อ ผมก็เอามาล้อตัวเองว่า เรามันก็บ้าคนเดียว โว๊ย,
แม้จะมีหลักว่า อือ, มันเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น จะต้องทำด้วยเหมือนกัน แต่เขาก็มัน ก็ไปแยก มันอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นประเภท ๆ ไป ส่วนใดที่เข้ากับกิเลส หรือเหตุผลเฉพาะตัว มันก็เลยเป็น เรื่องที่ควรทำไปเสีย เรื่องนี้มันทำแล้วมันยุ่งเปล่า ๆ มันเสียศีลธรรมเปล่า ๆ มันทำให้โง่ หนักขึ้น ในการสร้างปัญหายุ่งยาก ลำบากในอนาคตให้มันมากขึ้น แล้วเมื่อไปมัวทำ ไอ้สิ่งที่มันผิดหลัก อย่างนี้แล้ว มันก็คือความที่มันโง่กว่าเดิม มันเป็นการโง่ลง
นี่ดูโลกสมัยนี้แล้ว มันเห็นอย่างนี้ ทีแรกมันก็เศร้า แต่แล้วมันก็รู้สึกสนุก ถึงกับล้อตัวเอง ได้ว่ามีโชคดี ได้เกิดในยุคนี้ และได้เห็นสิ่งเหล่านี้ แหมแกมันโชคดีเว้ย, ที่พูดเรื่องโลกนี้ ในลักษณะ อย่างนี้ ว่าไปมัวทำไอ้ สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำ มันก็ความหมายหนึ่ง แล้ว มีความหมายที่หน้าเศร้าอีก ความหมายอื่น อย่างอื่นอีกก็มี พูดอย่างสมมุติ อย่างอุปมานี่ ก็ต้องคำพูดว่า เดี๋ยวนี้คนกำลัง ถลุงทรัพย์สมบัติของพระเจ้า เพื่อต่อต้านพระเจ้า นี่พูดอย่างอุปมานะ ฟังให้ดี คนในโลกเวลานี้ กำลังถลุงทรัพยากรของพระเป็นเจ้า เพื่อทำสงครามกับพระเป็นเจ้า ฟังดูแล้วมันน่าหัว มันไม่น่าจะ เป็นไปได้ เราถลุงทรัพย์สมบัติของพระเจ้า เพื่อทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าก็ใจดี เอ้า, มึงทำไปสิ แล้วมันก็จะเชือดคอมึง การที่มึงทำอย่างนั้น มึงทำไปสิ แล้วมันจะเชือดคอมึง
มนุษย์ถลุงทรัพย์สมบัติของธรรมชาติ เพื่อทำลายธรรมชาตินั่นเอง ถ้าพูดอย่างธรรมดา ไม่อุปมาก็พูดอย่างนี้ เพราะมนุษย์ทำลายทรัพยากรของธรรมชาติอย่างรุนแรงที่สุด เพื่อทำลาย ธรรมชาติ จะพูดอย่างเปรียบเทียบ อย่างอุปมาก็ว่า มนุษย์กำลังทำลาย ทรัพย์สมบัติของพระเป็นเจ้า เพื่อทำสงครามกับพระเป็นเจ้า เพื่อทำลายพระเป็นเจ้า แต่ว่าธรรมชาติหรือพระเป็นเจ้าก็ตาม อะไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่ใครทำลายไม่ได้ มันอยู่เหนือหรือมันแข็งแกร่งกว่าที่อะไรจะไปทำลายมันได้ นั้นไอ้ผลย้อนกลับมาย้อนมาทำลายมนุษย์นั่นเอง มันก็สมน้ำหน้า ของมนุษย์ที่โง่มากถึงขนาดนี้ ทำความทุกข์ลำบากยาก ให้เกิดขึ้นในโลก ให้ทั่วทุกหัวระแหง ในการที่ถลุงทรัพย์สมบัติของพระเจ้า เพื่อทำสงครามกับพระเจ้า
ข้อนี้ อือ, ผมหมายความว่าอย่างไร บางคนเข้าใจแล้ว บางคนยังไม่เข้าใจ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ลึกลับอะไร มองดูก็เห็น ว่าทรัพยากรในโลก ในแผ่นดินนี้ ขุดขึ้นมาจะเป็นแร่ธาตุ โลหะ น้ำมัน หรือว่า ประเภทพืชผลอะไรก็ตาม ที่มันจะเกิดขึ้นมาจากดิน แล้วก็ทำขึ้นมา เอาขึ้นมา ขุดขึ้นมา แล้วก็ใช้เพื่ออะไร อ่า, ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพื่อเอาสิ่งเหล่านี้จากธรรมชาติ เอาจากดินขึ้นมา ใช้ ใช้เพื่ออะไร เพื่อสันติภาพ หรือเพื่อสงครามนี่ ตั้งปัญหาอย่างนี้ก่อนกว้างดี ในที่จะสุดก็จะเห็นว่า ตั้ง ๙๕% น่ะมันเพื่อสงคราม สัก ๕ % น่าจะเพื่อสันติภาพ
เพราะว่าเดี๋ยวนี้ เรากำลังถือเอาสงครามนี่ การทำสงคราม รบรา ฆ่าฟันกันนี้ เป็นเรื่องสำคัญ ที่สุด ของทุกชาติทุกประเทศ นั้นก็เอาโลหะนานาชนิด มาทำเป็นวัตถุเครื่องมือ สำหรับรบราฆ่าฟัน เอาน้ำมันในแผ่นดิน มาใช้เป็นเชื้อเพลิง สำหรับเครื่องมือเหล่านั้น จะทำงานได้ เพื่อรบราฆ่าฟันกัน คุณไปคิดดูเถอะเวลานี้ น้ำมันที่ใช้ไป เพื่อการทำสงครามนี้จะมากกว่าสิ่งใด เพราะมันไม่ใช่ ไม่ใช่ว่า ใช้แต่เพียงว่า เอาใส่เรือบิน เดินเครื่องบิน ไปทิ้งระเบิด มันใช้ทุกอย่าง สารพัดอย่างที่มันโดยอ้อม เป็นวงกว้างออกไป เพื่อประโยชน์แก่การทำสงครามทั้งนั้น
ไอ้เรื่องที่ใช้ทำสงคราม นี่ี่เขาเห็นเป็นเรื่องสำคัญ กว่าอย่างอื่น สงวนไว้ เพื่อการทำสงคราม ก่อน แล้วจึงจะใช้เพื่ออย่างอื่น นี่เราเห็นได้ชัด พอสงครามเกิดขึ้น น้ำมันถูกสั่งยึด งด ไม่ให้ใช้ อย่างอื่น ต้องใช้เพื่อการสงครามก่อน เหลือแล้วจึงเอาไปใช้อย่างอื่น เอ้า, ทีนี้รองไปจากการสงคราม มันก็ใช้เพื่อการหาความสำราญ ในทางเนื้อ ทางหนัง ของคนเจ้าสำราญ เราไปนั่งที่ถนนสุขุมวิท แล้วไปนั่งนับคันรถยนต์ ที่วิ่งไปบางแสนบางปูนี้ แล้วก็สำรวจดูว่าไปทำอะไรกัน มันก็เพื่อความ สำราญอย่างนี้ มันมากกว่าที่เพื่อกิจการที่จำเป็น ที่อื่น ๆ ก็เหมือนกัน แม้ที่สุดแต่การเที่ยวทั่วโลก เที่ยวรอบโลก มันก็เพื่อความสำราญ
เราได้ยินได้ฟัง มาว่าพวกฝรั่งนี้ มีความคิดประหลาดวิตถารมาก มีรายได้น้อย ก็อุตส่าห์เก็บ หอมรอมริบไว้นี่ พอถึงปีหนึ่งก็คิดไปเที่ยวรอบโลกเสียทีหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเก็บหอมรอมริบไว้ แล้วจะไป ทำบุญ ให้ทาน เก็บหอมรอมริบไว้ว่า พอถึงวันคริสมาสต์จะเลี้ยงกันใหญ่ หรือว่าพอถึง เออ, กำหนด ก็ไปเที่ยว รอบโลกเสียทีหนึง ทั้งผัวทั้งเมีย ใช้เงินนั้นหมดเลย เก็บไว้หนึ่งปี หรือหลายปี หรือสิบปี ก็ตาม ไม่ใช่เพื่อการให้ทาน นั้นเขาก็มีเรือบินลำใหญ่ ๆ สวย ๆ มีกำหนดไว้สำหรับ คนไปเที่ยว รอบโลก ในอัตราถูกหน่อย มีเรือเดินสมุทรลำใหญ่ ๆ สวยๆ หรูหรามหึมา สำหรับคนโลกไปเที่ยว รอบโลก ไปเที่ยวด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกหน่อย แล้วคุณก็มองให้ลึกลงไปเสียนิดหน่อย ไอ้เรือลำนั้น มันเต็มไปด้วย คนที่เห็นแก่ตัว เรือทั้งลำนี้กำลังเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว เก็บเงินไว้เป็นปี ๆ จะไปเที่ยวหาความสำราญ รอบโลกสักครั้งหนึ่ง ไม่เคยคิดไปทำบุญให้ทาน
แล้วอย่างนี้จะเรียกว่า โลกที่เจริญได้อย่างไรล่ะ โลกของมนุษย์ผู้มีจิตใจ เป็นธรรมะ หรือนับถือพระเจ้าได้อย่างไร ถ้านับถือพระเจ้า ก็ต้องนำเงินนี้ ไปทำบุญให้ทาน ไปแจกคนจน อย่างพระเจ้าต้องการ อย่างพระเยซูต้องการ เดี๋ยวนี้ไม่ให้ขี้เหนียวที่สุด แล้วก็เก็บหอมรอมริบไว้พอ พอที่จะเสียค่าเดินเรือรอบโลกสักเที่ยวหนึ่ง ก็ลงเรือลำที่สวยที่สุด สบายที่สุด มีอะไรที่เป็น เครื่องสำเริง สำราญในเรือนั้นครบบริบูรณ์ แล้วเที่ยวไปรอบโลกกลับบ้านเงินหมดพอดี
อ่า, นี่ก็คิดดูสิว่า มันเป็นอย่างไร มันเสียเวลาไปเท่าไหร่ เสียของไปเท่าไหร่ อะไรไปเท่าไหร่ เขาก็ขุดไอ้ธรรมชาติ ขุดทรัพยากรธรรมรชาติมาถลุงกันเท่าไหร่ สิ่งต่าง ๆ ถูกใช้ไปในความสำเริง สำราญของคนเจ้าสำราญ อย่างนี้มันก็มากไม่ใช่น้อย สถิติรถยนต์ในประเทศไทยเรานี้ คนมั่งมี ซื้อมาหาความสำราญนั้นนะ มากกว่า มาก มากกว่าที่ใช้มาเพื่อกิจการที่จำเป็นโดยตรง มีรถยนต์ คันเดียว พอสำหรับกิจการที่จำเป็น ก็ต้องมีหลายคัน สำหรับไปเที่ยวหาความสำราญ นั้นรถยนต์สำหรับหาความสำราญ ซื้อมามากกว่ารถยนต์โกดัง
นี่ถลุงทรัพยากรของพระเจ้า หรือของธรรมชาติ ในทางหาความสำเริงสำราญ ถึงที่รองลงไป ก็พิจารณาดูก็เห็นว่า ไอ้กิจการงานต่าง ๆ ที่เรียกว่าศิวิไลนั่นนะ มันก็แต่ถลุงทรัพยากรกรธรรมชาตินี้ ทั้งนั้น มันไม่ต้องสร้างอันนั้น ไม่ต้องสร้างอันนี้ ที่เรียกว่าหรูหราสวยงามศิวิไลขึ้นมาก็ได้ มนุษย์ยังอยู่ได้อย่างสบายกว่า แต่แล้วก็ไปขุดเอาทรัพยากรสินต่าง ๆ นี้มาทำไอ้สิ่งที่เรียกว่าศิวิไล เพื่ออวดกันว่าศิวิไลกันทั้งนั้น ที่จริงไม่จำเป็น ที่จะต้องทำถึงขนาดนั้น ไม่ควรจะแส่ไปหาเรื่อง ที่มันยุ่งถึงขนาดนั้น ไม่จำเป็นจะต้องมีรถที่วิ่งเร็วขนาดนั้น ไม่จำเป็นจะต้องมีเรือบินวิ่งเร็ว ขนาดนั้น และไม่จำเป็นจะต้องมีธุรกิจการงานชนิดนั้นเสียด้วย ถ้ามันไม่บ้าในเรื่องศิวิไลกันมาก นั้นเดี๋ยวนี้ ทรัพยากรของธรรมชาติ มันถูกทำลายไป จนร่อยหรอ จนไม่เท่าไหร่ มันก็จะต้องเดือดร้อน เพราะเหตุนี้
ทีนี้ไอ้ความศิวิไลนี่ ผมขอร้อง ว่าคุณช่วยมองดู มันให้ดี ๆ อ่า, ศิวิไลที่เราเขียน ไว้ในโรงหนัง ศิวิไลล้วนแต่หมายว่า จะเอานั้นมันก็อย่างหนึ่งนะ ศิวิไล ศิวิไลนี่ ล้วนแต่หมายว่าจะเอา จะเอามาเป็น ของตัว นี่มันก็ถูกที่สุด และจริงที่สุด แต่เดี๋ยวนี้ ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ศิวิไลนี้ มันไม่ใช่อย่างนั้นอย่างเดียว มันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดปัญหาที่ไม่ควรจะเกิด ฟังให้ดี สังเกตให้ดีว่า ไอ้เรื่องศิวิไล คือการกระทำ ให้เกิดปัญหาที่ไม่ควรจะเกิด ไอ้เกิดความทุกข์ที่ไม่ควรจะเกิด ให้เกิดความยุ่งยากที่ไม่ควรจะเกิด
ทีนี้เราก็พบกันแล้วว่า ไอ้เรื่องศิวิไลนี้ มันมีปัญหามาก โรคภัยไข้เจ็บที่ไม่เคยมี มาแต่การ ก่อน ก็พึ่งมีเมื่อยุคที่มนุษย์ศิวิไล อื้อ, ความเดือดร้อน ยุ่งยาก ลำบากมากมาย ไม่เคยเกิด ไม่เคยมี ไม่จำเป็นจะต้องมีแต่ก่อน มันก็พึ่งมีในยุคที่มนุษย์ศิวิไล นั่นแหละดู ดู ๆ ค่า หรือดูความหมายของ คำว่า อ่า, ศิวิไล ให้ดี ๆ มันเป็นเสียอย่างนี้ มันถลุงทรัพยากรของธรรมชาติ หรือของพระเจ้า เพื่อทำให้เกิดปัญหายุ่งยาก ลำบากมากขึ้นกว่าแต่ก่อน อย่าเข้าใจว่าศิวิไลนี้ ทำให้ค้นพบอะไร ๆ ใหม่ ๆ ทำให้คนตายน้อยลงไป มันก็ถูกเหมือนกัน แต่ว่าพร้อมกันนั้น มันสร้างปัญหาอย่างอื่นขึ้นมา อย่างคุ้มค่ากันทีเดียว หรือว่ามากกว่าเสียด้วยซ้ำ มองดูแล้วความยุ่งยางลำบากนี้ มันเกิดขึ้นมากกว่า ผลดีที่ได้รับ ศิวิไลในทางวัตถุมันเป็นอย่างนี้
นั้นขอให้ศิวิไล ในทางจิตใจตามแบบของพระพุทธเจ้า หรือทางธรรม มันจะไม่เป็นอย่างนี้ มันจะมีปัญหาน้อยลง แล้วก็จะสบายทางจิตใจมากขึ้น นั้นผมจึงขอร้อง ให้พิจารณาดูให้ดี และพอใจ ในการที่ว่าจะ กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างทาสอะไร ว่ากันอย่างนี้ดีกว่า คือไม่เอาศิวิไล ทางวัตถุ ทางเนื้อหนัง แต่ว่าเอาศิวิไล ในทางจิต ทางใจ ทางธรรม ในทางวิญญาณ เพราะว่ายิ่งศิวิไล ทางวัตถุ ทางเนื้อหนังเท่าไหร่ คนก็ยิ่งไม่เป็นคนมากขึ้นเท่านั้น คนจะยิ่งเป็นผีปีศาจในร่างคนมากขึ้น เท่านั้น อื้อ, แล้วศิวิไลชนิดนี้ จะทำให้ลูกเล็ก เด็กแดงของเรานี่ กลายเป็นปีศาจ หรือเป็นทาส ของปีศาจ ไปมากขึ้นเท่านั้น
ผมก็ยอมรับ ให้เขาด่า ให้เขาว่า ให้เขา เอ่อ, ประนามไปเรื่อย ๆ ไปพลาง ผมก็ยังพูดอย่างนี้ อยู่เรื่อย ว่าความก้าวหน้า ความศิวิไลของคนสมัยนี้ มันมีแต่ทำให้เด็ก ๆ ของเรานี่ มันเป็นภูตผีปีศาจ หรือเป็นทาสของภูติผีปีศาจ แห่งเนื้อหนังมากขึ้นเท่านั้น เพราะต่อไปมันจะมีความยุ่งยาก ลำบากขึ้น เพิ่มขึ้นหลายเท่า หรือหลาย ๑๐ เท่า เด็ก ๆ ของเรามีจิตใจอย่างภูตผีปีศาจยังไง คือมันมากไปด้วย ความโลภ มากไปด้วยความความโกรธ มากไปด้วยความหลง มันโลภอย่างไม่น่าโลภ แล้วมันก็โกรธ พยาบาท ทำลายกัน เบียดเบียนกันอย่างไม่น่าที่จะทำ เพราะมันมีความโง่ ลุ่มหลงในวัตถุ มากกว่า ที่แล้ว ๆ มา
ทั้งหมดเหล่านี้ อือ, มันจะมีปัญหาที่ว่า มันมากขึ้น แล้วมันก็เนื่องกันหมด ผู้ที่มีจิตใจอย่างนี้ มันก็ไม่คิดอย่างอื่น นอกจากเห็นแก่ตัว เมื่อเห็นแก่ตัว มันก็คิดเอาเปรียบผู้อื่น เพราะฉะนั้น มันก็ผูกพันกันเป็นหมู่ เป็นคณะ เพื่อทำลายผู้อื่น เพื่อเอาเปรียบผู้อื่น เพื่อเอาของของผู้อื่น มาเป็นของตัว นี่เราจึงได้รวมกันเป็นหมู่ ไปปล้นประโยชน์ของผู้อื่นมา หรือรวมกันหลาย ๆ ประเทศ อ่า, เป็นค่ายฝ่ายตะวันออก ฝ่ายตะวันตก ฝ่ายอะไรก็ตาม เพื่อจะรบราฆ่าฟันกัน ทำลายกัน เอาประโยชน์ของกันและกัน มาเป็นของ ๆ ตัว หรือแม้แต่ป้องกันประโยชน์ของตัว มันก็ทำมาก กว่าเกินกว่าเหตุ ว่าที่แท้แล้วมันก็รวมหัวกัน เพื่อสูบเลือดของผู้อื่นมาเป็นของตัว อ่า, ในยี่ห้อ หรือฉลากว่าการพัฒนา
การพัฒนาโลกของเขา ที่เขาจะตั้งองค์การพัฒนาโลกนั้นนะ ดูแล้วมันเป็นการรวมกลุ่มกัน เป็นฝ่าย ๆ เป็นพวก ๆ เพื่อสูบโลหิตของฝ่ายอื่น มาล่อเลี้ยงพวกตัว นี่คือความศิวิไลของคนสมัยนี้ รวมความแล้ว คือการทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการให้ทำอย่างนี้ แม้ธรรมชาติ อันเงียบสงบ มันก็ไม่ต้องการให้มนุษย์ทำอย่างนี้ ธรรมชาติต้องการความสงบ เหมือนกับที่ตัวมันเอง มีลักษณะสงบ เรานั่งกันอยู่ที่นี่ ท่ามกลางธรรมชาติ มีลักษณะของความสงบ งั้นต้องถือว่าธรรมชาติ นั้นเป็นตัวความสงบ มีความมุ่งหมายถึงความสงบ ธรรมชาติก็ไม่ต้องการให้มนุษย์ รบราฆ่าฟันกัน เบียดเบียนกัน ให้โกลาหลวุ่นวาย
ธรรมชาตินี้ ก็คือพระเจ้าชนิดหนึ่ง ไอ้พระเจ้าในความหมายใด ๆ ก็ตาม ไม่ล้วนแต่ ไม่ต้องการให้มนุษย์รบราฆ่าฟันกันทั้งนั้น พระธรรมเจ้าของพระพุทธศาสนาก็คือตัวความสงบ ไม่มีความมุ่งหมาย ให้มนุษย์ล้างผลาญ เบียดเบียนกันทั้งนั้น นั้นคุณมองดูให้ดีว่า ไอ้ความศิวิไล ความเจริญ หรืออะไรของมนุษย์สมัยนี้นั้น คือการถลุงทรัพยากรของพระเจ้า เพื่อทำสงคราม กับพระเจ้า คือฝืนความประสงค์ของพระเจ้า นี่เราเรียกว่าทำสงครามกับพระเจ้า
พระเจ้าจะเกลียดที่สุด จะชังที่สุดแก่บุคคล อ่า, ผู้ทำอย่างนี้ พระพุทธเจ้า อ่า, พระเจ้า ไม่ต้องการอย่างนี้ มนุษย์ก็ขืนทำอย่างนี้ คือต่อต้านพระเจ้า หรือทำสงครามกับพระเจ้า นั้นพระเจ้าก็เลยลงโทษให้อย่างดี อย่างสาสมกัน มันถลุงทรัพยากรของพระเจ้า ทำสงคราม กับพระเจ้าเท่าไหร่ ก็ให้มันมีความทุกข์ ความเดือดร้อนเท่านั้น อย่างสาสมกันทีเดียว มันขุดเอา ของในดินขึ้นมาใช้เท่าไหร่ ให้มันมีความทุกข์เท่านั้น ทั้งโดยตรง ทั้งโดยอ้อม ทั้งโดยรู้สึกตัว หรือโดยไม่รู้สึกตัว
นี่แหละสิ่งที่น่าหัว ที่น่าเอามาล้อว่า ชีวิตเอ๋ยแกก็มี เออ, โอกาสยืนยาวมาจน หรือว่าเผอิญ มาพ้องกัน ว่าได้มาเห็นสิ่งเหล่านี้ ในโลกนี้ กำลังเป็นอยู่อย่างนี้ วันนี้ก็เอามาล้อกันเสียที แต่อย่าลืมว่า ทุกอย่างนี้ มันได้แก่ ไอ้คนที่จะกำลังล้อ หรือถูกล้ออยู่ด้วยหรือเปล่า ถ้าคุณไปล้อ โดยที่จำคำของ คนอื่นไปล้อ แล้วก็อย่าลืมว่า ตัวเองนั่นแหละคือผู้ถูกล้อ ควรจะสงสารไอ้ตัวผู้ล้อน่ะให้มาก เท่ากับ สิ่งที่ถูกล้อ เว้นเสียแต่ว่าจะมีสติปัญญาถูกต้องของตนเอง มองเห็นอย่างรู้แจ้งแทงตลอด ด้วยญาณ ด้วยทัศนะอะไรของตนเอง เห็นสภาพอย่างนี้ ของสัตว์ในโลก ในเวลานี้ นี่เรียกว่า ไอ้การล้อนั้น มันก็ดี ถูกและผู้ล้อไม่ถูกล้อ โดยไม่รู้สึกตัว ถ้าผิดอย่างนี้แล้ว ก็เรียกว่าผู้ล้อนั่นแหละ คือผู้ที่ถูกล้อ แล้วมันก็ยิ่งน่าเวทนา สงสาร ยิ่งขึ้นไป แล้วมันก็ควรจะถูกล้อมากยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
นี่ผมพูดมา ตลอดเวลาชั่วโมงครึ่งนี่ ก็ไม่มีอะไร ก็เป็นเรื่องล้ออายุ ที่มันไม่ควรจะอยู่มา จนถึงกับได้เห็นสิ่งเหล่านี้ หรือว่าถ้าให้ดีอย่าเกิดมาเห็นสิ่งเหล่านี้ แล้วจะน่าดูกว่า แต่เมื่อมันเกิด มาแล้ว และมันอยู่มาถึงนี่แล้ว ก็ล้อมันเล่นก็แล้วกัน ดีกว่าที่จะไปฆ่าตัวตายเสียเอง นั้นขอให้คน ขอให้ทุก ๆ คนนี่ ฟังดูเอาไปคิดดู ถ้ามองเห็นความข้อนี้แล้วก็จะเห็นธรรมะ เพราะว่านี่ ก็คือธรรมะ หรือตัวธรรมะ ที่เป็นอันตรายที่สุด คือความโง่ของมนุษย์ เป็นธรรมะฝ่ายทุกข์ เป็นธรรมะฝ่ายเหตุ ให้เกิดทุกข์หรือฝ่ายอกุศล ที่เรียกว่าอกุศลธรรม เรียกว่าบาป เรียกว่าอกุศล มีผลเป็นความทุกข์
ไหน ๆ เราก็ต้องการจะ ช่วยแก้ไขความทุกข์ และความดับทุกข์ และเราก็ต้องรู้จักมูลเหตุ ของความทุกข์ มูลเหตุของความทุกข์ ก็คือสิ่งที่ผมกำลังเอามาล้อนั่นเอง เพราะฉะนั้นการที่ทำให้ พวกคุณ เสียเวลาเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาถึงบนนี้ มานั่งเมื่อยหลังกันอยู่ที่นี่ มันคงจะมีประโยชน์บ้าง ไม่เสียหลายเลย นี่เราก็เหนื่อยกันพอสมควรแล้ว ในทอดนี้ แล้วก็ยุติทีก่อน ไว้กลางคืน ค่อยพูดกัน ต่อไปอีกให้จบ ที่ตั้งใจไว้จะพูดไว้ว่าจะพูด แต่ที่จริงแล้วมันมีเรื่องหรือมีแง่ที่จะต้องที่จะล้อกันได้มาก พูดกันตลอดปีมันก็ไม่จบ ดังนั้นผมก็ต้องประมวลเอามาแต่ที่มันสำคัญ ๆ ที่มันเป็นจุดอันตราย โดยแท้จริง คนก็ควรจะสนใจกัน ตามสมควรนี่ ระยะนี้ก็หยุดกันไว้ทีก่อน คืนนี้สัก ๒ ทุ่มกว่า ๆ ก็จะพูดกันอีกข้างล่าง ไม่ต้องท่อขึ้นมาถึงบนนี้ ค่ำคืนมันลำบาก เอาละพอกันที