แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมปาฏิโมกข์วันนี้จะพูดโดยหัวข้อว่า “ตัวกูเกิดมาจากรสของเนื้อหนัง” คนที่เพิ่งมาใหม่อาจจะยังไม่ทราบว่าธรรมปาฏิโมกข์นี่พูดแต่เรื่อง ตัวกู-ของกู ไม่พูดเรื่องอื่น เช่นเดียวกับเรื่องวินัยไม่พูดเรื่องอื่น พูดแต่เรื่องวินัย เรื่องธรรมนี่ก็พูดแต่เรื่องธรรม แล้วไอ้เรื่องธรรมทั้งหมดนี่มันสรุปไปอยู่ที่เรื่อง ตัวกู-ของกู เพียงเรื่องเดียว ฉะนั้นเราพูดเรื่อง ตัวกู-ของกู นี่กันมาตั้งเป็นร้อยหรือสองร้อยครั้งแล้วไม่ได้พูดเรื่องอื่น ผู้ที่ไม่เคยฟังมาแต่ทีแรกก็จะฉงนบางอย่างโดยเฉพาะก็เกี่ยวกับคำว่า ตัวกู นี่ยังไม่ชัดเจน ทีนี้ก็พูดกันเรื่อง ตัวกู หรือ ของกู นี่แง่ใดแง่หนึ่งเรื่อยมา พูดกันมากมายแต่ว่าพูดเรื่องเดียว พูดมุมนั้นทีมุมนี้ที เหลี่ยมนั้นทีเหลี่ยมนี้ทีก็เพื่อให้เข้าใจ และก็อย่าลืมว่าไอ้ความเข้าใจในลักษณะอย่างนี้มันเป็นความเข้าใจที่ยังไม่ใช่ตัวธรรมะอยู่นั่นละ เพราะตัวธรรมะมันอยู่ที่เห็นแจ้ง เลยความเข้าใจนี้เราพูดกันแต่พื้นฐานทางปริยัติเพื่อความรู้หรือเพื่อความเข้าใจตามธรรมดา แม้จะเป็นสติปัญญาก็เป็นสติปัญญาธรรมดา ไม่ใช่สติปัญญาของการรู้แจ้งแทงตลอดแต่มันก็มีประโยชน์หรือจำเป็นอยู่เหมือนกันที่จะต้องค่อย ๆ รู้ไปตามลำดับ ค่อย ๆ เข้าใจไปตามลำดับ
ทีนี้หัวข้อที่ว่า ตัวกูเกิดมาจากรสของเนื้อหนัง นี้ไม่ได้หมายถึงร่างกายที่สมมติเฉกว่าตัวกู ตัวกูที่เราพูดถึงกันนี้หมายถึงความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นคือเป็นอุปาทานว่า “ตัวกู” มันจึงเป็น “ตัวกู” ภาษาธรรม ภาษาธรรมะโดยเฉพาะไม่ใช่ตัวกูภาษาชาวบ้าน ตัวกูภาษาชาวบ้านเขาหมายถึงทั้งตัวทั้งตนนี้คือร่างกายด้วย, มีจิตใจรู้สึกคิดนึกเป็นตัวกูอยู่ด้วย รวมกันหมดนี้เรียกว่าตัวกู แต่ในภาษาธรรมะที่ละเอียดออกไปเขาจะเล็งถึงเฉพาะแต่ความรู้สึกที่เป็นตัวอุปาทานว่านั่นคือ “ตัวกู” ไอ้เนื้อหนังก็กลายเป็นส่วนนอกหรือเปลือกหรือส่วนอื่นของตัวกูไป เพราะฉะนั้นเราถึงพูดได้ว่า “ตัวกู” เกิดมาจากรสของเนื้อหนัง เนื้อหนังคือวัตถุร่างกายมันให้รสให้ชาติ ให้รสชาติเป็นอย่างไร ? ก็เพื่อปรุงแต่งไอ้ความรู้สึกที่เป็นอุปาทานขึ้นมาว่าเป็น “ตัวกู” อย่างนั้นอย่างนี้ ฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่า “ตัวกู” อย่างนี้ต้องเขียนกันในอัญประกาศ ให้รู้ว่าเป็นคำพิเศษเฉพาะ ในทางธรรมะในพุทธศาสนาแล้วก็รู้ว่ามันเล็งถึงแต่เรื่องจิต ในทางพุทธศาสนาถือว่าทุกอย่างประกอบอยู่ที่จิตเพียงสิ่งเดียวหรือสำเร็จอยู่ที่จิตเพียงสิ่งเดียว คำว่า ทุกอย่างในที่นี้เขาใช้คำว่า ชีวิต, อัตตภาพ, ความสุข, ความทุกข์ คือตัวชีวิตก็ขึ้นอยู่กับจิตดวงเดียว, อัตตภาพทั้งหมดขึ้นอยู่กับจิตดวงเดียว, ความสุข ความทุกข์ ขึ้นอยู่กับจิตดวงเดียว นี้ก็ควรจะรู้ไว้ด้วยว่าในทางธรรมะคือหลักพุทธศาสนานั้นเขามองกันแต่...เขามองในแง่จิตหรือถือเอาจิตเป็นหลัก เหมือนกับร่างกายอย่างนี้มันก็ไม่ใช่จิต แต่ที่ว่าขึ้นอยู่กับจิตสำเร็จอยู่กับจิตนั้น เพราะว่าจิตมันรู้สึก จิตมันรู้สึกอย่างไร-ร่างกายก็กำลังเป็นอย่างนั้น นับตั้งแต่ว่าจิตมีอยู่-ร่างกายก็ยังเป็นร่างกายที่ไม่ตาย ทีนี้ในขณะนั้นจิตมีความคิดอย่างไร-ร่างกายนั้นเป็นอย่างนั้น ถือว่าแล้วแต่จิตอยู่เรื่อยไป เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นพวกที่ถือเอาจิตเป็นหลัก ตรงกันข้ามกับพวกอื่น ซึ่งตรงกันข้ามที่ถือเอาร่างกายเป็นหลักคือเอาวัตถุเป็นหลัก ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่า “ตัวกู” ในที่นี้ก็คือจิตในขณะหนึ่ง จิตก็คือความรู้สึกคิดนึกอยู่ อย่างใดอย่างหนึ่งในขณะหนึ่ง ในที่นี้จิตประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน ; ความยึดมั่นหรือสำคัญว่าตัวกู, ว่าตัวเรา, ว่าตัวฉัน แล้วแต่จะใช้คำไหนก็ได้ ทีนี้เราก็ต้องมองให้เห็นว่าไอ้ความรู้สึกที่เกี่ยวกับจิตที่เกิดขึ้นแก่จิตนั้นมันแยกออกเป็น ๒ ประเภท คือเกี่ยวกับตัวกูก็มี ไม่เกี่ยวกับตัวกูก็มี ความรู้สึกอาจจะเกิดขึ้นแก่จิตทุก ๆ คราวหรือทุกสถานที่ ๆ มันเห็นรูป, ฟังเสียง, ดมกลิ่น, ลิ้มรส, สัมผัสผิวหนังก็ตาม แต่ความคิดที่ทำให้ถูกขึ้นมานั้นในบางครั้งก็เป็น “ตัวกู” ในบางครั้งก็ไม่เป็น “ตัวกู” คราวไหนมันโง่ไปก็เรียกว่าอวิชชาเกิด ปราศจากวิชชา, ปราศจากสติสัมปชัญญะ ; คราวนั้น “ตัวกู” เกิด หรือว่าเพราะ “ตัวกู” เกิด มันจึงปราศจากอวิชชาก็ได้เหมือนกัน พูดพร้อม ๆ กันไปได้เพราะมันแยกไม่ออก เพราะตัวกูชิงเกิด-วิชชาก็ไม่มีโอกาสจะเกิด อวิชชาก็เกิด แต่ในบางครั้งไม่ได้เกิดเป็นทำนองนั้นคือมันไม่มีเรื่องมากจนถึงกับจะเกิดความรู้สึกคิดนึกในทำนองนั้นก็ได้ หรือว่าเป็นผู้รู้, มีสติปัญญา, รอบคอบ, สมบูรณ์, ดำรงจิตด้วยดีอยู่เสมอ มันไม่เกิด ตัวกู-ของกู ก็ได้ มันแล้วแต่ไอ้สิ่งแวดล้อมที่เข้ามาและจิตใจของบุคคลนั้นมันอยู่ในระดับไหน แต่ถึงแม้ตามธรรมดานี่มันก็ไม่เกิดก็ได้ คือเราเห็นรูป, ฟังเสียง, ดมกลิ่น,ลิ้มรส, สัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง ความคิดไม่ได้เกิดเป็น “ตัวกู” ก็ได้ ไม่ได้เกิดเสมอไป
ทีนี้ในกรณีไหนมันเกิด ? ในกรณีที่มันให้ รส ไอ้ รส นี่คำว่า รส นี่มันคือเป็นคำกลาง ๆ ไม่ได้หมายถึงรสอร่อยอย่างเดียว แต่มันให้รสอย่างใดอย่างหนึ่งถึงขนาดเพียงพอที่จะปรุงให้ “ตัวกู” เกิด ถ้ารสอร่อยยิ่งเกิดง่าย เกิดในทางที่จะเอาคือ โลภะ, ราคะ เป็นต้น ถ้ารสไม่อร่อยเป็นรสแสบเผ็ด มันก็เกิดในทางตรงกันข้ามเกิดโทสะ, เกิดโกรธะ มันก็เป็น “ตัวกู” เหมือนกัน หรือว่ามันจะให้เกิดไปทางหลงใหลมัวเมา จนไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้ามันไม่ได้ให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้ก็เรียกว่า “ตัวกู” ยังไม่เกิด บางทีเราทอดตาไปเห็นวิวสวย ๆ ในทะเลนี้จิตก็เคลิ้มไปกับความเวิ้งว้าง มันก็ไม่มีความนึกชนิดเป็น ตัวกู-ของกู เว้นแต่จะรำพึงเรื่องอะไรอื่นเลย ๆๆ จากนั้นไป วกไปหา ตัวกู-ของกู หรือแม้ที่สุดแต่ว่า, เราเห็นดอกไม้สวย ๆ มันก็ไม่จำเป็นจะต้องเกิด ตัวกู-ของกู เสมอไป แต่ว่าส่วนมากสิ่งที่สวย, ที่หอม, ที่ไพเราะ, ที่อะไรมักจะชวนให้เกิด “ตัวกู” มากกว่าอย่างอื่น
ทีนี้ส่วนที่มันตรงกันข้าม ; มันเหม็น, มันน่าเกลียด, มันอะไรก็ชวนให้เกิด “ตัวกู” ได้เท่ากัน “ตัวกู” ในทางที่จะเกลียดชัง เพราะฉะนั้นรู้จักแยกออกมาให้ดีว่าความคิดชนิดไหนเรียกว่า “ตัวกู” หรือ “ของกู” ความคิดชนิดไหนยังไม่ถึงขนาดนั้น ถ้าหากว่าไอ้ ตัวกู-ของกู เกิดไปเสียทุกครั้งทุกคราวที่ตาเห็นรูป, หูฟังเสียงแล้วเราก็ตายแล้วต้องตายแน่แล้ว คือมันเป็นเรื่องทรมานที่มากเกินไป ทีนี้มันก็อยู่กันมาได้ไม่ถึงกับตายนี้แต่ว่ามีความทุกข์เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นก็ต้องจัดการ เดี๋ยวนี้เราจะพูดกันเฉพาะ“ตัวกู” ทั่ว ๆ ไป “ตัวกู” พื้นฐานที่จะเกิดเป็นความเคยชินเป็นนิสัยขึ้นมาแล้วว่ามันตั้งต้นขึ้นมาอย่างไร ? เราจะถือว่าเด็กในท้องยังไม่มีความรู้สึกมันก็หมายความว่ามันยังไม่มี ตัวกู-ของกู จนกว่าเด็กนั้นจะอยู่ในท้องหรือจะออกมานอกท้องก็ตามใจ รู้สึกทางสัมผัสชนิดที่ว่านี้ชนิดที่จะให้เกิดรักหรือเกิดเกลียดนี่มันจึงเกิดเป็น ตัวกู-ของกู ขึ้นมา แต่เราถือกันว่าเด็กในท้องแม้จะรู้สึกเวทนา ; อ่อน, แข็ง, เย็น, ร้อน, เจ็บปวดอะไรก็ความคิดยังไม่เลยถึงจะเป็น ตัวกู-ของกู มันยังเป็น ตัวกู-ของกู ที่ไม่ถึงขนาด มันเจ็บมันก็ดิ้นอย่างนี้เป็นต้น แต่ความคิดที่จะถึงกับเป็น ตัวกู-ของกู นี่ยังไม่ถึง ถ้าหากว่ามันมีความรู้สึกทางสัมผัสสมบูรณ์นั่นละ รู้สึกในรสอร่อยหรือรสที่ตรงกันข้ามก็ตาม ถึงขนาดที่มันจะปรุงแต่งความคิดได้มันจึงจะเป็นความยึดมั่นถือมั่นเป็น ตัวกู-ของกู เพราะฉะนั้นจึงมองเห็นว่าไอ้เด็กในท้องนี้ยังไม่มีปัญหาอย่างนี้ แต่พอเด็กคลอดมาแล้วนี้ก็เริ่มมีปัญหา เมื่อเขารู้จักความเอร็ดอร่อยทางตา, ทางหู, ทางเนื้อทางหนังอะไรขึ้นมา นี่มันก็เริ่มเจริญโดยความคิดที่จะเกิดความยึดมั่นถือมั่น
ทีนี้ตามหลักในพระบาลีมันต้องมีความอยากด้วย หรือความโง่เสียก่อน หรือตัณหา ถ้าเขาอยากตามธรรมดาตามธรรมชาติ อยากสามัญตามธรรมชาตินี้ไม่ได้...ไม่ใช่อยากด้วยความโง่ เพราะฉะนั้นในความอยากของบุคคลที่นึกคิดเป็นแล้ว แล้วก็มีความโง่, ความเข้าใจผิดเอามาผสม มันจึงจะเป็นความอยากของความโง่คือตัณหา แล้วตัณหาก็ให้เกิด ตัวกู-ของกู คืออุปาทาน ฉะนั้นถ้าจิตมันไม่สูงถึงขนาดที่จะรู้จักอยากให้ถึงขนาดเป็นตัณหาอุปาทาน มันก็ไม่มี ตัวกู-ของกู ถ้าจะมีมันก็ยังต่ำเกินไปจนไม่เรียก เช่น ความต้องการของต้นไม้เราไม่เรียกว่า ตัณหา-อุปาทาน หรือของเด็กในท้องมันก็ไม่เรียก ตัณหา-อุปาทาน มันต้องมีความรู้สึกเต็มที่ รู้จักอยากด้วยอวิชชาถึงจะเรียกว่ามี ตัณหา-อุปาทาน ฉะนั้นจะต้องเป็นเด็กทารกที่โตขนาดที่รู้เรื่อง อร่อย-ไม่อร่อย มีความหมายเป็นเรื่องได้หรือเรื่องเสียอย่างนี้กันก่อนถึงจะเกิดได้ แต่แล้วในที่สุด มันก็ต้องเกิดมาจากรส รสของสิ่งที่มากระทบเรียกว่ารสของเนื้อหนัง ; ทางตา, ทางหู, ทางจมูก, ทางลิ้น, ทางกายอะไรมากระทบสิ่งเหล่านี้แล้วมันมีรสอย่างใดขึ้นมา แล้วมันมีความโง่ในเรื่องนั้น นี่คือเกิดตัณหา และเกิดอุปาทาน ฉะนั้นจึงถือว่าไอ้ “ตัวกู” นี้เกิดเมื่อมีความรู้สึกในรสของเนื้อหนัง เนื้อหนังคือร่างกายคือวัตถุ ทีนี้ครั้งแรกมันก็ไม่เท่าไร ไม่มีน้ำหนักหรือความหมายมากเท่าไร ทีนี้มันเติบโตขึ้นมา เติบโตขึ้นมา ไอ้เด็กนี้มันโตขึ้นมาจนกระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาวนี้ ทีนี้ระยะที่เติบโตขึ้นมานี้มันก็คือความเติบโตของทุกสิ่ง โดยเฉพาะไอ้ความเจริญก้าวหน้าไอ้ของวัตถุ เอ้ย ของอายตนะที่จะรับอารมณ์น่ะคือประสาทหรือเครื่องรับสัมผัสทางตา, ทางหู, ทางจมูก, ทางลิ้น, ทางกายนี้มันก็ก้าวหน้า ร่างกายมันก็ก้าวหน้า จิตมันก็เรียกว่าก้าวหน้าเพราะมันได้ผ่านอะไรมากขึ้น ๆๆ มันจึงรู้จักอยากและรู้จัก...รู้จักอยากด้วยความโง่ แล้วรู้จักยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานมากขึ้นจนเป็นพื้นฐานของจิตใจ คนธรรมดาสามัญจึงมีพื้นฐานของจิตใจอย่างนี้คือเป็นไปในทางที่จะอยากด้วยความโง่และยึดมั่นถือมั่น ไม่เป็นไปในทางตรงข้ามคือรู้แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้คือมันเป็นไปเองไม่ได้เพราะเหตุที่ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่ารสนั้นมันครอบงำจิตใจอย่างสิ้นเชิงอยู่ตลอดเวลา ตรงนี้ก็เป็นตอนที่จะต้องเข้าใจให้ดีว่าธรรมชาติมันไม่อำนวยให้ในทางที่จะให้เด็กทารกค่อย ๆ รู้ขึ้นมาในลักษณะที่ว่าไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่นหรือว่าเป็นอันตราย แต่มันแวดล้อมไปในทางที่ให้โง่มากขึ้นคือให้เห็นว่าไม่เป็นอันตราย, อร่อยดี แล้วก็ยิ่งยึดมั่นถือมั่นก็ยิ่งอร่อย แม้ในการที่ได้โกรธเขา, ได้ด่าเขา ก็เป็นความอร่อยที่เรื่องได้อย่างใจก็เป็นความอร่อย ฉะนั้น “ตัวกู” จึงเจริญ “ตัวกู” ที่เป็นนามธรรมไม่ใช่หมายถึงร่างกาย ความคิดที่มันยึดมั่นถือมั่นมันก็เจริญแล้วก็มีความเคยชินในการที่จะเป็นอย่างนั้นยิ่งขึ้น ๆๆ ที่จริงมันก็เกิดเรื่องขึ้นมาเรื่องหนึ่งคราวหนึ่งมันเสร็จแล้วมันก็ดับไป ทางตาก็ตาม, ทางหูก็ตาม จนกว่ามันจะมาประจบอายตนะครั้งที่ ๒, ที่ ๓ อีก แต่แล้วมันแรงขึ้นกว่าเดิม ความคิดในทางอยากหรือในทางยึดมั่นถือมั่นมันแรงขึ้นกว่าเดิมยิ่งขึ้นทุกที นี่คือวิวัฒนาการของจิต, ของสัตว์, มนุษย์นะ ระบุเฉพาะมนุษย์ก็มันก็ไปดิ่งไปทางหนึ่งคือทางที่จะยึดมั่นถือมั่นยิ่งขึ้น
ทีนี้ถ้าสมมติว่ามันไม่ไปในทางนี้ มันไปในทางฉลาด มันก็เริ่มเป็นพระอริยเจ้าขึ้นมาแต่เด็ก ๆ และเป็นพระอรหันต์กันได้ในเวลาอันสั้น เดี๋ยวนี้มันไม่ไปในทางลักษณะอย่างนี้มันเป็นไปในทางยึดมั่นถือมั่น และเป็นทุกข์มากขึ้น ฉะนั้นธรรมะก็มีโอกาสเข้ามาที่ตรงนี้คือเข้ามาแทนทดแทนไอ้ส่วนที่มันขาด, ส่วนที่มันไม่เกิดตามธรรมชาติ ปล่อยไปตามธรรมชาติก็เป็นตัณหา, อุปาทาน, ยึดมั่น, เป็นทุกข์มากขึ้น ๆๆ จนอะไรก็เป็นทุกข์ไปหมด ทีนี้ผู้ที่เป็นพระศาสดา ; ผู้ตรัสรู้มองเห็นว่าต้องเอาอันนี้ที่ยังขาดอยู่นี่เข้ามาทดแทนให้มนุษย์ได้รู้ทั้ง ๒ ฝ่าย ฉะนั้นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจึงสอนเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น เรื่องทำให้ไม่เกิดตัณหา, แล้วก็ไม่เกิดอุปาทาน, แล้วก็ไม่เกิดความทุกข์ ก็เท่ากับว่าเอาไอ้ซีกที่มันขาดอยู่เข้ามาให้ ทีนี้คนจะรับเอาหรือไม่รับเอานั้นมันก็ ๆ แล้วแต่คน ถ้าคนมันเป็นปุถุชนมากเกินไปมันก็ไม่ยอมรับเอาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่ถือว่าเป็นเรื่องมีประโยชน์ เรื่องละตัณหาอุปาทานนี้ไม่มีประโยชน์ ต้องการความอร่อยต่อไปอีกเพราะฉะนั้น “ตัวกู” ของบุคคลประเภทนั้นมันก็หนายิ่งขึ้นไปอีก ทีนี้เป็นหนุ่มเป็นสาว, เป็นพ่อบ้านแม่เรือน, เป็นคนเฒ่าคนแก่แล้วมันก็ยังหนาขึ้น ๆๆ ในเรื่อง “ตัวกู” จนกว่ามันจะมีอะไรมาทำให้รู้สึกได้ แล้วก็จึงจะวกมาหาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าคือวิธีที่จะทำลาย ตัวกู-ของกู ถ้าไม่มีอะไรมาแวดล้อมอย่างนี้มันก็ตายเปล่า คนนั้นไม่ต้องรู้เรื่องกันว่าความทุกข์คืออะไร ? คือความไม่มีทุกข์คืออะไร ? แล้วก็ต้องตายไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น
ตรงนี้อยากจะขอร้องให้มองกันในแง่ที่ว่ามันเป็นไอ้วิชชา ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ไปตามกฎของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้กฎของธรรมชาติเอามาบอกมากล่าว ท่านไม่อาจจะมันบัญญัติมาขึ้นเอง ท่านไม่อาจจะบัญญัติให้สิ่งต่าง ๆ ไปตามที่ท่านบัญญัติ สิ่งต่าง ๆ มันไปตามธรรมชาติ, ตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็ท่านรู้ แล้วก็ท่านบัญญัติวิธีที่เราจะเอาชนะไอ้ธรรมชาติอันร้ายกาจนี้อย่าให้มันทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ ท่านบัญญัติธรรมะเพื่อจะแก้ลำไอ้ธรรมชาติเหล่านี้ ไม่ใช่ท่านบัญญัติธรรมชาติได้ ฉะนั้นเรื่องธรรมะนี้ก็คือความลับของธรรมชาติที่พระศาสดานั้น ๆ ค้นพบแล้วก็เอามาสอนได้กล่าวไว้เป็นหลักอยู่ทั่ว ๆ ไป ในที่นี้เราจะมองกันแต่ในแง่ที่ว่า “ตัวกู” นี้มันเกิดมาจากรสของเนื้อหนังอย่างไร ? เมื่อทารกก็เริ่มรู้จักความอร่อยหรือความตรงกันข้ามหรือไม่อร่อย เขาก็เริ่มมีความอยากไปตามไอ้สิ่งที่มากระทบ ถ้าอร่อยก็อยากในทางกามตัณหาหรือภวตัณหา ถ้าไม่อร่อยก็อยากไปในทางวิภวตัณหาคือตรงกันข้าม เรามองที่ตรงนี้ก็มองเพื่อจะเห็นว่าไอ้ ตัวกู-ของกู นี้มันเพิ่งตั้งต้นเมื่อไปรู้จักรสอร่อยหรือรสทั่ว ๆ ไปของเนื้อหนัง เนื้อหนังในที่นี้หมายถึงกลุ่มของไอ้อวัยวะร่างกายที่มันจะทำหน้าที่รู้สึก เรารวมเรียกกันว่าเนื้อหนัง มันเกิดความรู้สึกเป็นรสอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาก็เป็นจุดตั้งต้นของไอ้ความอยากในรสอร่อยนั้นจะให้เกิดขึ้น, หรือจะให้ตั้งอยู่, หรือจะให้ไม่เปลี่ยนแปลง ทีนี้ “ตัวกู” เพิ่งเกิดตรงนี้เอง ไม่มีหลักฐานที่จะมาพูดว่ามันติดมาในสันดานแล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันผิดหลักธรรมชาติ มันค่อยวิวัฒนาการตัวเองขึ้นมาพร้อม ๆ กันกับไอ้สิ่งแวดล้อมมันเข้าไปกระทบถึงขีดที่จะเป็นความอยากโดยความโง่ แล้วเป็นความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานก็เรียกว่า ตัวกู-ของกู เกิด เกิดมาจากความรู้สึกทางเนื้อหนัง ดังนั้นจึงต้องมีไอ้เนื้อหนังคือร่างกายนี้เป็นที่ตั้งของจิตใจให้เกิดความรู้สึกอะไรได้และมีรสในความรู้สึกนั้น เราเรียกว่ามันเกิด...มันเกิดมาจากความรู้สึกทางเนื้อหนัง นี่เป็นจุดตั้งต้นแล้วต่อมามันก็เกิดขึ้นมาจากความรู้สึกที่เห็นแก่เนื้อหนัง และมันก็อยู่ได้ด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จักเนื้อหนังตามที่เป็นจริง เราสังเกตดูให้ดีมันเป็นตอน ๆ อยู่นะ เกิดขึ้นมาจากความรู้สึกทางเนื้อหนังคือรสอร่อยหรือไม่อร่อย และก็เพราะเห็นแก่รสนั้นน่ะแก่เนื้อหนัง หรือเห็นแก่รสที่เกิดมาทางเนื้อหนังแล้วก็เพราะไม่รู้จักตามที่เป็นจริงว่าไอ้นั่นนะมันคืออะไร ? นี่มันก็สมบูรณ์คือเป็นอวิชชาโดยสมบูรณ์, เป็นอุปาทานโดยสมบูรณ์ ถ้ามันไปเกิดรู้เสียว่าไอ้รสอร่อยหรือไม่อร่อยนี้เป็นเรื่องตามธรรมชาติ, เป็นเรื่องอันตราย หรือเป็นเรื่องไม่ควรยึดมั่นถือมั่น มันก็ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น
เดี๋ยวนี้มันไม่รู้จักเรื่องของเนื้อหนังหรือรสที่เกิดจากเนื้อหนัง เพราะฉะนั้นถ้าจะให้สมบูรณ์เราจะพูดว่า “ตัวกู” นี่มันเกิดมาจากความรู้สึกทางเนื้อหนัง เกิดมาจากความรู้สึกที่เห็นแก่เนื้อหนัง และเกิดมาจากความรู้สึกที่ไม่รู้จักเนื้อหนังตามที่เป็นจริงอย่างไร เพราะฉะนั้นก็เลยปล่อยไปตามอำนาจของเนื้อหนังที่แท้คือไปตามอำนาจของความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของเนื้อหนัง แล้วมันก็ไม่มีความรู้มาแต่ไหนที่จะมารู้แยกเป็นเนื้อหนัง หรือเป็นจิตหรือเป็นอะไรนี้ ที่จริงจิตนี่ถ้ามันไปหลงทางเนื้อหนังเสียแล้วมันก็กลายเป็นเนื้อหนังเป็นพรรคพวกของเนื้อหนังไป ส่วนที่เป็นจิตมันก็ไม่มี ทุกอย่างมันกลายเป็นเนื้อหนังหรือวัตถุไปหมด นี่ไอ้วัตถุนิยม ไอ้ความรู้สึกที่เป็นวัตถุนิยมก็ตั้งต้นหรือเกิดขึ้นในจิตใจคืออะไรสำเร็จอยู่ที่เนื้อหนังหรือวัตถุ เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้จึงไม่มีความรู้จักแยกให้เป็น ๒ ฝ่าย คือฝ่ายที่จะเป็น เนื้อหนังแห่งความยึดมั่นถือมั่น กับฝ่ายที่ว่าจะเป็นสติปัญญา ไม่ยึดมั่นถือมั่น มันไม่รู้จักแยก มันมีแต่ฝ่ายเดียวที่ว่าอร่อยก็ยึดมั่นไปตามที่มันอร่อย ไม่อร่อยก็ยึดมั่นไปตามที่มันไม่อร่อย ความรู้สึกที่ยึดมั่นนั้นเป็น “ตัวกู” คือเป็นทั้งหมด เป็นเจ้าของทั้งหมด ก็เลยไม่รู้วิธีที่จะควบคุมจิต, ควบคุมความคิดนึก ไม่รู้สึกว่ามีจิตด้วยซ้ำไป เอาแต่ความรู้สึกสามัญสำนึก อร่อย-ไม่อร่อย กันท่าเดียวไปเรื่อยไป ไม่มีความรู้เรื่องจิต ไม่มีความรู้ว่าจิตมันโง่, มันหลง หรือมันไปยึดมั่นถือมั่น นี้ไม่มีความรู้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการฝึกฝนจิตในหมู่คนธรรมดาสามัญ หรือในหมู่ปุถุชนก็เป็นเรื่องไม่รู้โดยรอบด้านคือเป็นอวิชชาไปหมด ; ไม่รู้เรื่องจิต, ไม่รู้เรื่องอารมณ์ของจิต, ไม่รู้เรื่องการกระทบ, ไม่รู้เรื่องการปรุงแต่ง, ไม่รู้ทุกเรื่อง นี้มันเป็นอวิชชาพื้นฐานที่จะทำให้เกิดอวิชชา ตัวการที่ทุก ๆ คราวที่มันกระทบกันกับอายตนะ เพราะความไม่รู้พื้นฐานนี่มันมีอยู่แล้ว ทีนี้พอมากระทบอายตนะอะไรเข้ามันก็เกิดแต่ความไม่รู้หรือไม่มีความรู้เกิดมา เพราะ (ฉะ) นั้นมันจึงไปตามอำนาจของความไม่รู้
ตรงนี้อาจจะพูดได้ พูดให้เห็นได้เลยว่า “ตัวกู” เกิดมาจากรสของเนื้อหนังนี้ มันหมายความว่าไอ้ร่างกายที่เป็นที่ตั้งของการรับสัมผัสทีนี้ในบางคราวหรือว่าส่วนมากมันก็เป็นไปในเรื่องของกามารมณ์หรือกามภพ เป็นความรู้สึกที่อร่อยทางเนื้อหนัง, แล้วก็เนื่องไป, แล้วก็เป็นไปในทางเพศ เพศตรงกันข้าม เรียกว่าเนื้อหนังที่เอร็ดอร่อย “ตัวกู” ที่เกิดมาจากเนื้อหนังที่เอร็ดอร่อย มันก็เป็น “ตัวกู” แห่งกามภพ ถ้ามันเป็น “ตัวกู” ที่เกิดมาจากเนื้อหนังที่จืดสนิทไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ มันก็เป็น “ตัวกู” แห่งรูปภพหรือถ้ามันไม่ให้ความสำคัญแก่เนื้อหนังหรือถือเสมือนหนึ่งว่าไม่มีเนื้อหนัง มันก็เป็น “ตัวกู” แห่งอรูปภพ คือ “ตัวกู” แห่งเนื้อหนังที่ไม่ปรากฏไม่สำแดงให้ปรากฏ เรื่องกามภพ, รูปภพ, อรูปภพนี้ เขาอธิบายกันอย่างอื่นที่เขาอธิบายกันในหมู่นักศึกษาเล่าเรียนอภิธรรมหรือไม่ก็ตาม เขาเอาไปไว้ที่ภพอื่น, ชาติอื่น, โลกอื่น ไปเกิดในโลกนั้นได้กามารมณ์ ไปเกิดในโลกนั้นได้เป็นพรหมมีรูป นี่ผมว่าไม่มีประโยชน์ ต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้ไปทั้งหมดเลย มันจึงจะอยู่ในวิสัยที่เราจะจัดการกับมันได้ ฉะนั้นจึงพูดว่าถ้ามันเกิดมาจากรสอร่อยคือจากเนื้อหนังที่มีรสอร่อยก็เรียกว่ากำลังเกิดในกามภพ บุคคลนั้นที่มันเกิดมาจากเนื้อหนังที่จืดสนิท เช่น ความพักผ่อนอย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นรูปภพ-เป็นตัวกูที่เกิดมาจากเนื้อหนังที่จืด คือไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ ทีนี้ถ้ามันไม่ให้ความสำคัญแก่เนื้อหนังทั้ง ๆ ที่มันมีอยู่ มันมองข้ามไปเสีย มันก็กลายเป็นอรูปภพ ในบางครั้งเราได้อาศัยร่างกายเรานี้ได้สร้างอะไรมันขึ้นมาเป็นความรู้สึกแล้วก็ไม่ให้ความสำคัญกับร่างกาย ไปให้ความสำคัญกับความรู้สึกที่เป็นความรู้สึก เป็นเวทนา เป็นเกียรติยศ เป็นอะไรไปเสียก็เรียกว่ามันเป็น “ตัวกู” ที่เกิดมาจากเนื้อหนังที่ไม่ปรากฏ ฉะนั้นกามภพก็ดี รูปภพก็ดี อรูปภพก็ดี วนเวียนอยู่ในบุคคลคนหนึ่ง ที่นี่และเดี๋ยวนี้ไม่ต้องเอาไปไว้ชาติอื่น ภพอื่น หลังจากเข้าโลงแล้ว ฉะนั้นในวันเดียวนี่มันมีได้ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ สับเปลี่ยนกันอยู่ แต่ว่าส่วนมากที่สุดนั้นมันเป็นกามภพ เพราะฉะนั้นสัตว์ ปุถุชนโดยทั่วไป จึงถูกจัดไว้ในพวกกามภพหรือกามาวจร คือว่าเขามีจิตที่มีความเคยชินแต่ในทางที่จะท่องเที่ยวไปในกามารมณ์เท่านั้น
ฉะนั้นคนสามัญทั่วไปก็ถูกจัดไว้ในกามาวจรภูมิ มีจิตอยู่ในชั้นที่จะท่องเที่ยวไปในกามารมณ์เท่านั้น ทีนี้ถ้ามีคนบางคนซึ่งมีน้อยคนนะก็มีจิตใจสูงกว่านั้นด้วยการเบื่อหน่ายขึ้นมาก็ดีหรือด้วยการไปบำเพ็ญพรต บำเพ็ญตบะ บำเพ็ญสมาธิ ให้เกิดรสอร่อยทางสมาธิ จนกลายเป็นอย่างนั้นไป คือว่าคือ ไม่ย้อนกลับมานิยมไอ้เรื่องกามารมณ์อีก เขาก็ถูกบัญญัติให้เป็นบุคคลที่อยู่ในรูปาวจรภูมิ คือฤษีมุนีบางคนที่แท้จริงมันก็อยู่ในพวกรูปาวจรภูมิ และหมายถึงการสมาธิที่ต้องอาศัยไอ้ร่างกายเป็นหลักหรืออาศัยเวทนาที่เนื่องอยู่กับร่างกายเป็นหลัก เช่น เป็นปิติสุขอะไร ทีนี้ถ้าเรามีโยคีบางคนน้อยคนลงไปอีก ไปฝึกฝนไอ้เรื่องความสงบทางจิตสูงขึ้นไปถึงกับไม่ข้องเกี่ยวด้วยร่างกาย แต่เอาความรู้สึกล้วน ๆ เช่นเอาความว่างเป็นอารมณ์มองเห็นอยู่ว่าความว่างหรืออากาศนี้ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนี้เป็นต้น อากาสานัญจายตนะหรือวิญญานัญจายตนะหรือความไม่มีอะไรที่เรียกว่าอากิญจัญญายตนะ หลงใหลแต่ในอย่างนี้ มีความสุขอยู่แต่อย่างนี้ก็เป็นพวกอรูปาวจรภูมิ แต่มันก็ยังเป็นคนนั่นเอง ที่มีร่างกาย มีอายตนะสำหรับสัมผัส ฉะนั้นสิ่งต่าง ๆ มันก็ตั้งต้นอยู่ที่ร่างกายนี้ แต่เขาไม่ให้ความสำคัญแก่ร่างกายนี้ เรียกว่ามองข้ามร่างกายไปเสีย ไอ้ชั้นธรรมดาสามัญอยู่กับร่างกายที่มีรสอร่อยทางกามารมณ์ สูงขึ้นไปก็เป็นร่างกายที่จืดจากกามารมณ์ สูงขึ้นไปอีกก็ไม่คำนึงถึงร่างกายมองข้ามร่างกายไปเสีย นี่จึงเรียกว่า กามภพ รูปภพ อรูปภพ แต่อย่าลืมว่าทั้ง ๓ ภพนั้นเป็น “ตัวกู” ทั้งนั้น เป็น “ตัวกู” แบบหนึ่ง แบบหนึ่ง และ “ตัวกู” ที่เหนียวหนืดที่สุดเขาเอาไปไว้ที่ชั้นสูง คือชั้นรูปภพ อรูปภพ ที่มันดับไม่ได้ แม้มันจะสูงสุดถึงเป็นอรูปภพแล้วมันดับไม่ได้ เพราะ “ตัวกู” มันยังอยู่ เพราะมันรัก “ตัวกู” นี่มากไปกว่าไอ้ชั้นต่ำ ๆ เสียอีก คนธรรมดาก็มี “ตัวกู” อย่างหยาบ ๆ โลดโผนกวัดแกว่งที่เรียกว่าเควี้ยวคว้าวไปอย่างนั้น ชั้นกามาวจรภูมินี้มันมี “ตัวกู” อย่างโลดโผน เพราะฉะนั้นมันจึงเป็น “ตัวกู” ที่ไม่มั่นคงหรือว่าปึกแผ่นอะไรนัก มันสู้ “ตัวกู” ที่สูงขึ้นไปไม่ได้ คือที่เหนือกามารมณ์แล้ว มันไปมี “ตัวกู” ที่แน่นแฟ้นกว่ามั่นคงกว่า ขั้นสูงขึ้นไปจนเป็นอรูปภพ ฉะนั้นเขาจึงกล่าวไว้ว่าเห็นพวกที่มีอัสมิมานะจัด คือมี “ตัวกู” จัดก็คือชั้นพวกพรหม คือพูดให้ฟังง่ายก็ว่าไอ้กลัวตายจัดนั้นน่ะคือชั้นพรหม ไม่อยากตาย ถ้าว่าความไม่อยากตายของชั้นกามาวจรมีหนึ่ง แล้วก็ไอ้ความไม่อยากตายของชั้นพรหมนั้น มันก็มีพันหมื่นแสนล้านไปเลย เมื่อพูดถึงว่าจะต้องทำลาย ตัวกู-ของกู เสียนี่ พวกพรหมสะดุ้งหวั่นไหวกว่าพวกชาวบ้านธรรมดา เพราะเขาไม่อยากตาย เพราะเขากำลังได้ความเป็นที่เขาเห็นว่ามันดีที่สุด คือมันไม่มีความทุกข์เลย ความทุกข์กำลังไม่เบียดเบียนเลย จะว่าไม่มีความทุกข์เลยก็ไม่ถูก แต่ความทุกข์กำลังไม่ปรากฏและรู้สึกว่าตัวอยู่ฐานะที่สูงที่ประเสริฐ เพราะฉะนั้นไม่อยากละไปจากความภาวะอันนี้ เพราะ(ฉะ)นั้นจึงไม่อยากตายยิ่งกว่าพวกใด และพวกนี้จึงมีสักกายทิฏฐิเข้มข้นกว่าพวกคนธรรมดา จึงเป็นพระโสดาบันก็ยาก คนธรรมดาสามัญนี้เป็นพระโสดาบันหรือพระอริยเจ้าง่ายกว่าพวกพรหม ซึ่งมันเหนียวแน่นไปด้วยอัตตาตัวตนที่ปึกแผ่นแน่นหนา
ฉะนั้นตัวกูมาจากเนื้อหนังที่อร่อยอย่างคนธรรมดาสามัญก็ได้ แล้วตัวกูมาจากเนื้อหนังที่จืด เช่น พวกพรหม-รูปภพ ก็ได้ ตัวกูมาจากเนื้อหนังที่มองข้ามเนื้อหนังไปเสียแล้วเป็นนามธรรมไป ฉะนั้นก็เลยเป็นตัวกูที่เหนียวแน่นขึ้นไป เป็นชั้น ๆๆ ตามความที่รู้สึกว่าดีกว่าอย่างไร พวกที่รู้สึกว่าดีกว่าก็ถือตัวยิ่งกว่า มีตัวยิ่งกว่า เพราะฉะนั้นเราจึงกล่าวได้ว่าขึ้นชื่อว่า “ตัวกู” แล้วต้องมาจากรสของเนื้อหนัง ที่เป็นชั้นกามาวจรนี้ก็มาจากรสของเนื้อหนังในชั้นกามาวจร, ที่เป็นชั้นรูปาวจรก็มาจากเนื้อหนังในชั้นที่เป็นรูปาวจร ทีนี้ที่เป็นชั้นอรูปาวจรก็มาจากเนื้อหนังชั้นอรูปาวจร ตรงนี้จะฟังไม่ถูก เพราะคำว่า อรูป นี้แปลว่าไม่มีรูป คล้าย ๆ กับว่าไม่มีร่างกาย, ไม่มีเนื้อหนัง ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้นมันเพียงแต่ไม่ให้ความสำคัญแก่ความมีอยู่แห่งเนื้อหนังเท่านั้น มันก็ยังเป็นคนมีเนื้อหนัง
ทีนี้คำอธิบายที่เขาพูดกันมาแต่เดิมในหมู่ชาวบ้านนั้นนะ อย่างรูปพรหมนี้เขามีพรหมรูปฟักเหมือนกับลูกฟักหรือก้อนหินที่ไม่มีความรู้สึก แล้วอรูปพรหมก็ไม่มีร่างกายอะไร มีแต่จิตล้วน ๆ แล้วมันจะอยู่อย่างไร มันก็พูดกันไปอย่างนั้น คนค้านก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาค้าน คนพูดก็พูดไปได้เรื่อย จะเป็นสัตว์ที่มีอยู่แต่จิตใจไม่มีร่างกายนี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องเอาไปไว้ที่ภพอื่น ชาติอื่น ไปถึงต่อเข้าโลงแล้ว เป็นสัตว์ชนิดที่มีแต่จิตใจไม่มีร่างกาย แล้วคำอธิบายนี้ที่ทำให้เขาหาว่าผมเป็นมิจฉาทิฏฐิว่าเอาเอง ว่าแล้วอะไรก็ตามใจเขาเถอะก็ยังพูดอย่างนี้อยู่ เมื่อเราไปยึดมั่นที่สิ่งใด-สิ่งนั้นก็มี เมื่อไม่ได้ยึดมั่นสิ่งใด-สิ่งนั้นก็มิได้มี แม้แต่ชีวิตนี้บางเวลามันก็มิได้มีเพราะว่าเรามิได้รู้สึกว่ามีหรือชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นเพียงร่างกายนี้ไม่มีปัญหา เมื่อรู้สึกอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น สำเร็จอยู่ที่จิตดวงเดียวที่มีความคิดนึกอย่างไรในขณะนั้น
ทีนี้สรุปความกันเสียทีหนึ่งก่อนว่า “ตัวกู” นั้นต้องเกิดมาจากรสของเนื้อหนัง เนื้อหนังเป็นที่ตั้งแห่งการให้รส ก็มีตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย รวมทั้งใจด้วยอยู่ที่เนื้อหนัง เพราะฉะนั้นเนื้อหนังมันจึงเป็นสิ่งที่ให้รสแล้วแต่ว่ามันจะเป็นรสระดับไหน ถ้าจิตมันต่ำทราม-มันก็เป็นเรื่องกามารมณ์, ถ้าจิตมันสูงขึ้นไป-มันก็เป็นเรื่องร่างกายบริสุทธิ์ เรื่องวัตถุบริสุทธิ์, ถ้าเก่งกว่านั้นขึ้นไปอีกก็เพิกถอนไอ้สิ่งที่เป็นร่างกายเสียเลย แต่แล้วเขาก็มีความรู้สึกได้จากการที่มันมีชีวิตอยู่, ยังมีร่างกายอยู่, มีจิตใจอยู่ ก็เรียกว่ารสที่มาจากเนื้อหนัง ทีนี้ สำหรับอรูปพรหมนั้นมันยังมีทางที่จะพูดแบบเอาเปรียบทางหนึ่งว่าเพราะมันเกลียดเนื้อหนังมันจึงมีความตั้งใจที่จะไม่ ๆ สนใจแก่เนื้อหนัง คืออยากจะให้ไม่มีเนื้อหนัง เขาถือว่าเนื้อหนังนี้เป็นที่ตั้งของความทุกข์ เพราะเนื้อหนังมีตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ ฉะนั้นถ้าเราอย่ามีเนื้อหนังเสีย เราก็ไม่มีตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ มันก็ไม่ต้องมีความทุกข์อย่างนี้ก็ได้ เพราะเขาเกลียดเนื้อหนังก็แปลว่าเพราะเนื้อหนังนี่มันให้รสชนิดแสบเผ็ดแก่ความรู้สึกของคนประเภทนี้ เขาจึงต้องการจะไม่ให้อำนาจหรืออิทธิพลของเนื้อหนังเข้ามาเกี่ยวข้องได้เลย จึงบำเพ็ญสมาธิในชั้นอรูปญาณ
นี้, เราพูดทีเดียวหมดทั้ง ๓ ชั้น (๑) ชั้นกามภพ (๒) รูปภพ และ (๓) อรูปภพ มันก็หมด ทีนี้ก็อยากจะพูดต่อไปอีกนิดเถอะเวลาที่เหลือนี่ ว่าที่มันเป็นอันตรายร้ายแรงก็คือชั้นที่เป็นกามาวจร คือตัวกูที่มาจากเนื้อหนังที่มีความเอร็ดอร่อยนี่มันดึงไปทางวัตถุนิยมจัดเข้า แต่ถ้าไปในฝ่ายรูปภพ, อรูปภพมันเป็นวัตถุนิยมที่ประณีตที่ละเอียด ละเอียดจนกระทั่งจะเงียบหายไป แต่ก็ไม่พ้นจากความเป็นวัตถุนิยม ถ้ามันไม่ใช่เรื่องมรรค ผล นิพพานอยู่เพียงใด แล้วมันยังเป็นวัตถุนิยมอยู่เพียงนั้นหากแต่ว่ามันเป็นไปในทางจิตมากกว่า หรือ...และมากขึ้น ๆ ความสำคัญทางร่างกายมันน้อยลง ๆ เพราะฉะนั้นถึงแม้เป็นพรหม เป็นพวกพรหมมันก็ยังเป็นพวกวัตถุนิยม แต่เขาไม่จัด เขาไม่พูด คือไม่ควรจะจัดเพราะว่าวัตถุนั้นมันละเอียดประณีตเกินไปเสียแล้วคือเป็นร่างกายที่บริสุทธิ์ที่ไม่เป็นวิสัยแห่งกามารมณ์ไปเสียแล้วในเวลานั้น ทีนี้ที่มันเป็นปัญหาแก่มนุษย์เราก็คือเนื้อหนังที่เป็นที่ตั้งแห่งความเอร็ดอร่อยทางตา, ทางหู, ทางจมูก, ทางลิ้น, ทางผิวหนัง นี่สินี่คือปัญหาเพราะมันเป็นด่านหน้า เป็นด่านหน้าหมายความว่าเราต้องปะทะเข้ากับสิ่งนี้ การปฏิบัติเพื่อจะไปมรรค ผล นิพพานก็ดี มันปะทะเข้ากับสิ่งนี้ หรือแม้แต่การปฏิบัติเพื่อไม่ไปมรรค ผล นิพพาน แต่ไปเพื่อ “ตัวกู” ที่ดีขึ้นไปอีก มันก็ปะทะกับด่านหน้านี้คือ “ตัวกู” แห่งกามารมณ์ ฉะนั้นไม่ว่าใคร ไม่ว่าภิกษุ สามเณร บรรพชิตอะไรก็ตามที่มันจะต้องประสบปัญหาอันแรกก็คือ “ตัวกู” ที่มันเหนียวแน่นไปในทางความรู้สึกเกี่ยวกับกามารมณ์ อย่างเราทำสมาธิทำไม่ได้เพราะความรู้สึกทางกามารมณ์รบกวน ถ้าทำสมาธิ เป็นสมาธิไปเสียได้มันก็เป็นเรื่องรูปาวจรไปเลยไปเสีย แต่นี่ทำไม่ได้มันก็เป็นกามาวจรอยู่นี่ ทีนี้ความเห็นความยึดมั่นถือมั่นในรสของเนื้อหนังประเภทกามารมณ์นี่เป็นปัญหา จนกระทั่งว่าเดี๋ยวนี้คนในโลกทั้งหมดก็ว่าได้ ทั้งโลกก็ว่าได้มันยกเว้นไม่ถึง ๐.๐๐๐๑% แล้วมันเห็นว่าไอ้วัตถุนี่สำคัญ ความเอร็ดอร่อยนี่สำคัญ ถ้าคนเราได้ความเอร็ดอร่อยถึงที่สุดทางวัตถุ ซึ่งจะเรียกว่าอยู่ดีกินดีหรืออะไรก็ตามใจให้สมบูรณ์เสียแล้ว ปัญหามันก็จะหมดเพราะว่าจะมีสันติภาพ มนุษย์กำลังคิดอย่างนี้และโดยเฉพาะกับพวกคอมมิวนิสต์คิดไกลกว่าเพื่อน แต่แม้ที่ไม่ใช่เป็นคอมมิวนิสต์ที่เป็นเสรีประชาธิปไตยอะไรก็คิดอย่างนี้ คิดว่าถ้าเราได้ความสมบูรณ์ทางเนื้อหนังแล้วทุกคนจะหยุด แล้วก็จะหยุดเบียดเบียนกัน แล้วก็จะมีสันติภาพ เพราะฉะนั้นมันก็เป็นคอมมิวนิสต์ทุกคนหรือทุกพวก ถ้ามีความคิดว่าสมบูรณ์ทางเนื้อหนังแล้วเป็นถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ แต่แล้วคุณดูสิเขาจัดให้คอมมิวนิสต์พวกเดียวเป็นคอมมิวนิสต์ แล้วผมว่ามันเป็นทุกพวก พวกที่ยังเห็นว่าเนื้อหนังสำคัญ ได้ความสมบูรณ์ทางเนื้อหนังแล้วถึงที่สุดแห่งสันตินี่ผมว่าเป็นคอมมิวนิสต์ทุกพวก แม้แต่พวกที่ทำบุญไปสวรรค์ คุณย่าคุณยายทำบุญทำทานอุทิศจะได้วิมานในสวรรค์อย่างนี้ก็เป็นคอมมิวนิสต์ เพราะมันต้องการไอ้ความ[ ] (นาทีที่ 51:26) ทางวัตถุทางเนื้อหนัง โดยคิดว่าถ้าเราได้สิ่งนี้แล้วมันจบ คนเหล่านั้นคิดว่าสวรรค์นั้นละคือนิพพาน ไปคุยกันดูให้ดีสิ แต่ปากเขาพูดว่าสวรรค์อย่าง นิพพานอย่าง แต่ใจเขารู้สึกว่านั้นละคือนิพพาน หรือบางคนก็ไม่รู้เอาเสียเลยบอกว่าสวรรค์กับนิพพานเป็นสิ่งเดียวกันเลยก็มี
ไอ้คอมมิวนิสต์ที่กลัวกันนักนั่นมันหมายถึงว่ามันจะใช้ลัทธิบังคับให้ทุกคนช่วยกันทำอย่างนี้ ๆๆ ตามที่เขาบังคับ แล้วเพื่อว่าทุกคนจะได้มีความสมบูรณ์ทางวัตถุ ที่คอมมิวนิสต์เขาบังคับพลเมืองให้ทำงานนั้นก็เพื่อว่าทุกคนจะได้เกิดความสมบูรณ์ทางวัตถุขึ้นมาแล้วก็เป็นสันติภาพของประเทศหรือของโลก ถ้าพูดว่าเป็นลัทธิของโลกก็เป็นของโลก แต่ทำได้หรือไม่ได้นั้นมันอีกปัญหาหนึ่ง แต่ว่าหลักของเขาคือว่าต้องทำให้มนุษย์สมบูรณ์ทางวัตถุแล้วโลกจะมีสันติภาพ ทีนี้ถ้าพูดกันด้วยปากไม่รู้เรื่องก็ใช้อำนาจบังคับให้ทุกคนต้องทำ ทีนี้พวกที่ไม่ชอบก็เกลียดคอมมิวนิสต์ไม่อยากให้เข้าไปในบ้านในเมือง นี่ก็, นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าหัวใจของมันอยู่ที่ว่า เห็นว่าสมบูรณ์ทางวัตถุนั้นคือยอดสุดของสันติภาพก็หาว่าเป็นเรื่องวัตถุนิยมจัด ก็ถูกแล้วเป็นเรื่องวัตถุนิยมจัด แต่พวกอื่น ๆ ก็ระวังให้ดี ถ้ามีความคิดอยู่ว่าความสมบูรณ์ทางเนื้อหนังนี่ เป็นยอดของความสุขหรือเป็นของประเสริฐสุดแล้วก็ต้องมีความหมายอย่างเดียว เพราะฉะนั้นพวกเสรีประชาธิปไตยก็บูชาความสุขทางเนื้อหนัง มันก็เป็นคอมมิวนิสต์ชนิดที่ไม่บังคับเท่านั้นละ และคอมมิวนิสต์ที่เมืองจีน-คอมมิวนิสต์ที่บังคับ, คอมมิวนิสต์ที่อเมริกันมันก็เป็นคอมมิวนิสต์ที่ไม่บังคับ
ทีนี้พวกที่ดีดตัวออกมาจากสังคมนั้นมาเป็นฮิปปี้ก็ยิ่งเป็นคอมมิวนิสต์ชนิดหนึ่งเพราะว่ายิ่งหลงในรสของเนื้อหนัง ไม่รู้เรื่องทางจิตใจ ทั้งปากพร่ำหาไอ้เรื่องทางจิตใจ พวกฮิปปี้เรียกไอ้เรื่องของเขาว่าเป็นความสูงทางวิญญาณแต่ที่แท้ก็คือความโง่ ไม่รู้ว่านั่นคือความหลงใหลในเรื่องทางวัตถุ เรื่องสูบกัญชาก็ดี เรื่องสำมะเลเทเมาทางเพศก็ดี มันเป็นเรื่องทางที่เห็นว่าเนื้อหนังเป็นสิ่งสูงสุดนะ เพราะถ้าเป็นเรื่องทางวิญญาณจริงเขาก็ไปหาอย่างอื่นได้ไม่จำเป็นต้องมาทำอย่างนี้ ฉะนั้นพวกนี้ก็เป็นพวกที่ไม่รู้เรื่องทางวิญญาณ, ไม่รู้เรื่องทางร่างกาย, ไม่รู้เรื่องทางวิญญาณ เขาต้องการเสรีภาพ เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องทางวิญญาณ แต่ที่แท้เสรีภาพเพื่อได้วัตถุตามต้องการของกิเลสของเนื้อหนัง เพราะฉะนั้นอย่างนี้ไม่ใช่เสรีภาพ กลายเป็นเสียเสรีภาพในทางจิตทางวิญญาณให้แก่กิเลส เพราะฉะนั้นไปอ่านดู น่าหัวที่สุดที่พวกฮิปปี้เขาคุยว่าเขาได้รับเสรีภาพจากขนบธรรมเนียมประเพณีจากการบีบคั้นของระเบียบ, ของอะไรต่าง ๆ, ของศาสนา, ของอะไรก็ตาม เขาได้เสรีภาพที่จะทำตามที่เขาอยากจะทำแล้วไม่รู้จักว่านั่นคือการเสียสูญเสียเสรีภาพหมดเลย สูญเสียเสรีภาพให้แก่ความโง่ให้แก่กิเลส, ให้แก่อะไร อาจจะได้เสรีภาพบ้า ๆ บอ ๆ ทางวัตถุแต่สูญเสียเสรีภาพทางวิญญาณโดยสิ้นเชิง นี้ก็เป็นปัญหาอันหนึ่งที่ว่าจะระบาดไปทั่วโลกที่มีการศึกษาอย่างเดี๋ยวนี้ การศึกษาที่มนุษย์มีอยู่อย่างเดี๋ยวนี้นั่นละจะนำไปสู่ความเป็นฮิปปี้คือต้องการเสรีภาพที่บ้าหลัง แล้วก็ระวังในเมืองไทย ในประเทศไทยเราฮิปปี้ไม่ต้องเข้ามา ตัวจริง แต่ว่าไอ้หนังสือที่เอามาเขียนนี้พอแล้ว พอที่จะฟักฮิปปี้ขึ้นมาในประเทศไทยโดยเด็กไทย โดยเมื่อไหร่ก็ได้ และโดยเร็ว ๆ นี้ด้วยซ้ำ หนังสือแต่ละเล่มที่มันเขียนออกมาน่าใจหาย ผมลองอ่านดูหนังสือนี้พอแล้วที่จะฟักฮิปปี้ขึ้นมาในเมืองไทย ตัวฮิปปี้จริง ๆ ไม่ต้องเข้ามาเพาะเชื้ออะไร และบางทีจะเป็นฮิปปี้ที่ดีกว่าที่อเมริกาด้วยซ้ำไป ฮิปปี้ที่จะเพาะฟักขึ้นเองในเมืองไทย คุณรู้ไหมว่าเมืองไทย คนไทยมันเก่งอย่างไร ผมคุยโตได้ว่าคนไทยต้องทำอะไรเก่งกว่าครูเสมอ มองเห็นไหมว่าถ้าเป็นไทยจริง ๆ ต้องทำอะไรเก่งกว่าครูเสมอ ดูเรื่องกินอาหารเอาสิ อาหารจีน, อาหารแขก, อาหารอะไรเข้ามาคนไทยจะต้องทำได้ดีกว่าเสมอ การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เหมือนกัน ที่เห็นได้ง่ายที่สุด เช่น ไอ้กวีนิพนธ์นี้ เรารับกวีนิพนธ์มาจากอินเดีย สันสกฤต บาลีนั้นไม่มีสัมผัส ไม่มีไพเราะอย่างกวีนิพนธ์ไทย อะไรที่รับเข้ามาสามารถที่จะทำให้ดีกว่าครูได้ทุกอย่างไป เป็นศิลปิน
ทีนี้ถ้าคนไทยเราเพาะฮิปปี้ขึ้นมาได้ จะต้องดีกว่าไอ้ฮิปปี้ที่เป็นครูนี้ก็น่าอันตรายของ “ตัวกู” ที่เกิดมาจากรสของเนื้อหนัง “ตัวกู” อย่างฮิปปี้นี้จะอาละวาดหรือจะทำปัญหาให้มีมากขึ้น มันก็เป็นอันว่าไอ้ “ตัวกู” ที่เกิดมาจากรสของเนื้อหนังนี่คือวัตถุนิยม ฉะนั้นระวังให้ดี ถ้าทำบุญกุศลเพื่อจะได้ไปวิมานได้นางฟ้าอะไรมันก็เป็นวัตถุนิยมหรือเป็นคอมมิวนิสต์ชนิดหนึ่ง เว้นเสียแต่ว่าจะทำบุญเพื่อขจัด “ตัวกู” นี้ จะทำบุญทำทานนี้ทำเพื่อขจัดเสียซึ่ง “ตัวกู” ทำลายความเห็นแก่ตัวให้มันน้อยลงไปอย่างนี้เรียกว่าทำบุญทำทานถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา ถ้าทำบุญทำทานเพิ่มความเห็นแก่ตัว เพื่อจะเอามากกว่าเดิม หรือเอามาทางกามารมณ์ด้วยแล้วมันก็ไม่ใช่พุทธศาสนา แต่ว่าพูดไปก็ลำบาก ฉะนั้นไม่พูดดีกว่า นี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่มีอำนาจครอบงำมนุษย์ร้ายกาจที่สุดก็คือวัตถุนิยมกระทั่งสวรรค์ก็เป็นวัตถุนิยม
ทีนี้วัตถุนิยมทุกแบบมันก็คือ “ตัวกู” ที่มาจากรสของเนื้อหนัง ฉะนั้นถ้าเราแก้ไขไอ้ “ตัวกู” นี้ได้ก็เอาชนะวัตถุนิยมนี้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็พ่ายแพ้แก่วัตถุนิยมมากขึ้น ไอ้โลกนี้ก็เป็นโลกวัตถุนิยมมากขึ้น แล้วมันก็จะมียุ่งยาก, โกลาหล, วุ่นวาย หรือวินาศฉิบหายมากขึ้น นี้คือเรื่อง “ตัวกู” ที่เกี่ยวกับปัญหาของโลกปัจจุบันคือวัตถุนิยมที่จะครองโลก เราจะต้องรู้จักมันไว้ในฐานะว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดมาจากรสของเนื้อหนังคือเนื้อหนังอร่อยก็เป็นกามาวจร, เนื้อหนังจืดก็เป็นรูปาวจร, เนื้อหนังที่หมดความหมายไปก็เป็นอรูปาวจร ลำดับสูงต่ำมีกันอยู่อย่างนี้ แต่ก็ไม่พ้นไปจาก “ตัวกู” ถ้าอยากจะพ้นไปจาก “ตัวกู” ก็คือไม่เอาหมดทั้ง ๓ อย่างนี้ หันไปเอาไอ้การทำลายเสียซึ่ง “ตัวกู” ; ทำลายสักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพตปรามาส อันเป็นรากฐานของ “ตัวกู” ก็เลยเดินไปตามทางของมรรค ผล นิพพานอยู่เหนือวัตถุนิยม เหนือไอ้ความทุกข์เหล่านี้
เอาล่ะวันนี้รู้กันแต่เพียงว่าไอ้ “ตัวกู” นี่มาจากรสของเนื้อหนัง แล้วก็มีอยู่ ๓ ชั้น หรือ ๓ ระดับ ยิ่งสูงขึ้นไปเท่าไรยิ่งเหนียวแน่น ยิ่งละยากเท่านั้น ก็พยายามเพื่อจะเอาชนะมันตามสมควรแก่การที่ได้เป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ซึ่งแสดงไว้โดยพระพุทธเจ้าที่ท่านมองเห็นว่ามนุษย์ยังขาดความรู้ส่วนนี้ ขาดความรู้ที่จะทำลายความยึดมั่นถือมั่นที่มีมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก และท่านก็มาสอนให้ และเพื่อไม่ให้เราเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา เราก็ต้องรู้เรื่องนี้และก็พยายามแก้ไขมันให้ได้ ทุกวันจะต้องอยู่ด้วยการทำลายความเห็นแก่ตัว มีชีวิตลมหายใจอะไรอยู่ด้วยการทำลายความเห็นแก่ตัวเรื่อย แม้แต่เมื่อกินอาหารอยู่ก็นึกถึงเรื่องนี้ แม้เมื่อทำงานอยู่ก็นึกถึงเรื่องนี้ แม้ว่าพักผ่อนอยู่ก็นึกถึงเรื่องนี้ เมื่อกินอาหารก็นึกถึงเรื่องนี้ ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ทำลายความยึดมั่นว่าตัวตน และเมื่อทำการงานนั้นก็รู้จักอดกลั้นอดทนไม่ให้ “ตัวกู” มันกลุ้มขึ้นมาได้ เมื่อพักผ่อนก็อย่าไปหลงในความสบายของการพักผ่อน อย่าให้ “ตัวกู” มันเหนียวแน่นขึ้น เป็นอยู่ทั้งหลับและทั้งตื่นเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว ทำลาย ตัวกู-ของกู ก็ชื่อว่าปฏิบัติพระธรรมในพระพุทธศาสนาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เอาละพอกันที