แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมปาฏิโมกข์เกี่ยวกับ ตัวกู-ของกู ของเราในวันนี้จะได้พูดโดยหัวข้อว่า “ยิ่งฉลาดนั่นละคือยิ่งโง่” ที่พูดว่ายิ่งฉลาดคือยิ่งโง่นี้ไม่ใช่เป็นปริศนา ไม่ได้พูดเป็นปริศนา พูดไปตามความจริงหากแต่ว่ามันเป็นเรื่องที่เราไม่มองกัน ลึกกว่าธรรมดา ไอ้ครั้งที่แล้วมาได้พูดเรื่องควาย ๒ ตัว ไอ้ควาย ๒ ตัวคู่แรกคือเรื่องการต่อสู้กันระหว่างดีกับชั่วนี้ต้องละ แปลว่า เป็นควาย ๒ ตัวที่ต้องฆ่าให้ตาย แต่ว่าควาย ๒ ตัวคู่หลังนี้เป็นเรื่องตรงกันข้ามคือต้องมี คือควายตัวหนึ่งคือสติปัญญาความรู้ความสามารถทางฝ่ายร่างกาย และอีกตัวหนึ่งก็คือความสว่างไสวแจ่มแจ้งในทางวิญญาณ เรื่องมันก็ขัดขวางกันอยู่ในตัวแล้ว ไอ้ควายดีควายชั่วนั้นเราต้องฆ่าให้ตาย ทีนี้ไอ้ควาย ๒ ตัวที่ต้องมีนี้เป็นควายที่ทำให้สำเร็จประโยชน์ ทางฝ่ายวัตถุตัวหนึ่ง และก็ทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณอีกตัวหนึ่ง ชีวิตนี้ต้องเทียมด้วยควาย ๒ ตัวนี้หรือว่าโลกนี้ทั้งโลกต้องเทียมด้วยควาย ๒ ตัวนี้ ไอ้ควาย ๒ ตัวแรกเป็นควายที่ดีหรือชั่วที่ต้องขวิดกันเรื่อย-ชนกันเรื่อยโดยไม่มีที่สิ้นสุดนั้นก็คือมันโง่เพราะมันโง่ไปยึดมั่นเรื่องดีเรื่องชั่ว แต่ด้วยความฉลาดที่สุดเลยไอ้เรื่องก้าวหน้าไปทางความเฉลียวฉลาดเพื่อยึดมั่นถือมั่นมันก็มี มีอยู่และมีมากขึ้น เพราะฉะนั้นมันจึงมีแต่การต่อสู้กันเรื่อยหยุดไม่ได้ จนกว่ามันจะพ้นนั่นพ้นไปจากนั้น ควาย ๒ ตัวจึงจะตกน้ำละลายหายไป ในนั้นมีความหมายความโง่และความฉลาด และก็มีตรงกันข้ามก็คือพ้นไป เหนือความโง่และความฉลาด ทีนี้ที่ว่าเราจะต้องมีควาย ๒ ตัวหลัง คือความรู้ความเข้าใจความสามารถทางฝ่ายวัตถุนี้ตัวหนึ่ง, ฝ่ายวิญญาณอีกตัวหนึ่งนี้ต้องทำให้มี อันนี้ก็เป็นเรื่องของความฉลาดแต่ไม่หยุดอยู่แค่ความฉลาด มันเลยไปจนถึงที่อยู่เหนือ สิ่งที่อยู่เหนือความโง่ความฉลาดที่เรียกว่าความรู้ หรือญาณ หรือปัญญา หรืออะไรก็ตามใจ มันมีหลายชื่อ
ทีนี้วันนี้หัวข้อของเรามีว่า “ยิ่งฉลาดนั่นละคือยิ่งโง่” คุณก็ต้องฟังให้ดีว่าไอ้คำพูดแต่ละคำนี้มันมีขอบเขตแค่ไหน เคยบอกมาหลายครั้งหลายหนแล้วที่ว่าธรรมะกลายเป็นของยากก็เพราะว่าคำพูดที่มนุษย์ใช้พูดกันอยู่นี่มันไม่พอ ไม่พอที่จะใช้พูดธรรมะ ใช้เป็นชื่อของธรรมะ ทีนี้เมื่อเราเอาคำพูดที่ไม่ตรงไปใช้มันก็ไม่รู้ความหมายที่ถูกต้องและบางทีคำพูดในภาษาธรรมดานี่สับปลับกลับไปกลับมาก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก ภาษาพูดนี่มันสับปลับกลับไปกลับมา ฉะนั้นเราจะค่อย ๆ สังเกตดูกันในเรื่องนี้ให้ได้คำพูดที่ไม่สับปลับหรือว่าเราป้องกันความสับปลับของคำพูด หรือว่าเราจะมีคำพูดเฉพาะขึ้นมาเป็นที่รู้กันในหมู่พวกเราที่เรียกว่าคำบัญญัติเฉพาะนั้นบัญญัติเฉพาะสำหรับพวกเรา พวกอื่นเขารู้ไม่ได้
ทีนี้พูดว่า ยิ่งฉลาดนั้นละคือยิ่งโง่ ก็เป็นคำพูดบัญญัติเฉพาะของฝ่ายที่เราจะพูด เรื่องนี้ที่จริงมันก็ไม่ใช่ลึกลับอะไรนักแต่ว่าเราไม่มองกัน ถ้าจะแยกคู่กันให้ตรงกันข้ามภาษาบาลีมันมีพอมันชัดมาก เช่น คำว่า ญาณ, คำว่า ปัญญา, คำว่า วิชชา, คำว่า แสงสว่าง อะไรเหล่านี้มันมีความหมายของมันเฉพาะไปพวกหนึ่งเลย ไม่เหมือนกันกับคำที่เป็นเพียงความฉลาดตามธรรมดา เช่น เฉโก แปลว่าปัญญาเหมือนกันแต่ปัญญาฉลาดอย่างธรรมดา โกวิโท โกวิท โกวิโท นี่ก็ฉลาดอย่างธรรมดาไม่ใช่ญาณ, ไม่ใช่ปัญญา, ไม่ใช่วิชชา, ไม่ใช่อาโลโก ถ้าเป็นภาษาไทยก็มันต้องใช้คำที่มีพูดกันอยู่ ความฉลาดนั่นนะคือเฉโก (โกวิโท) ส่วนความรู้คือญาณ หรือปัญญา หรือวิชชา หรือแสงสว่าง เรียกว่าญาณความรู้ แต่นี่ความรู้ในภาษาไทยนี่มันสับปลับมันหมายถึงความรู้โง่ ๆ ความรู้ผิด ๆอะไรก็ได้ ชนิดที่เป็นไปเพื่อคดโกงก็ได้ แต่คำว่าญาณที่แปลว่าความรู้นี้ ญาณนี้มันหมายแต่ทางดี, ทางถูก, ทางดับทุกข์ท่าเดียว ใช้ไม่ได้กับคำว่าความฉลาดแกมโกงหรือว่าฉลาดในทางเอาเปรียบ แต่ในภาษาไทยคำว่าความรู้นี่มันยังไม่แน่มันใช้ไปในทางที่เป็นเรื่องของกิเลสก็ได้ ฉะนั้นคำว่าฉลาดนั้นไม่ปลอดภัย คือฉลาดทำชั่วก็ได้ ฉลาดสร้างความทุกข์ให้มากขึ้นก็ได้ แต่คำว่าความรู้ถ้าถือเอาตามความหมายตามภาษาบาลีแล้วปลอดภัย มันคนละอันกับความฉลาด คือมันรู้มากไปกว่าความฉลาด ถ้าจะเปรียบเทียบอย่างเดี๋ยวนี้หยก ๆ ก็เช่นว่า ฉลาดไปโลกพระจันทร์ได้ อย่างมากที่จะเรียกได้ก็เป็นความฉลาด เฉลียวฉลาดแต่ไม่ใช่ความรู้ ถ้าเป็นความรู้มันจะรู้ว่าโลกพระจันทร์นี้ไม่ต้องไป ไปโลกพระจันทร์เป็นเรื่องบ้า แต่ความฉลาดนี้มันมีพอที่จะทำให้อยากไปแล้วก็ไปได้ อย่างนี้เรียกว่าความฉลาด แต่ถ้าความรู้ตามความหมายของคำว่า ญาณ หรือ ปัญญา หรือ ฌาน นั้นมันก็รู้ว่าไม่ควรไปเลย ฉะนั้นไอ้ความฉลาดมันจึงเป็นไปในทางที่จะยึดมั่นถือมั่นเสมอไป ส่วนความรู้ที่ถูกต้องแท้จริงตามความหมายของคำ ๆ นี้ก็คือจะไม่ยึดมั่นถือมั่น ความฉลาดจะช่วยให้เรายึดมั่นถือมั่นเก่งขึ้นทุกทีแต่ความรู้นั้นจะทำให้หยุด ; หยุดบ้า, หยุดไปเที่ยวยึดมั่นถือมั่นหรือไปสร้างนั่นสร้างนี่ ทำนั่นทำนี่
เพราะฉะนั้นยิ่งฉลาดเท่าไรมันก็คือยิ่งโง่ คือไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำมากขึ้น และสิ่งที่ควรจะทำก็ไม่ได้ทำ เหมือนกับเรื่องจะดับทุกข์คนเดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำ แต่ฉลาดไปพูดจาเรื่องนั่นเรื่องนี่ ทำนั่นทำนี่ กระทั่งไปโลกพระจันทร์หรืออะไรก็ตามใจนี่ละความฉลาดมันดึงไปให้ทำตามความยึดมั่นถือมั่นและก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามคือจะดับทุกข์ เพราะฉะนั้นเรื่องนิพพานไม่ต้องทำแต่ไปทำในเรื่องต่าง ๆ เรื่องโลก เรื่องอะไรวิจิตรพิสดารยิ่งทุกที นี่ขอให้เข้าใจความหมายใหญ่ ๆ ที่มันต่างกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นโลกนี้จึงไม่มีหวังทางสันติภาพ โลกปัจจุบันนี้ไม่มีหวังในสันติภาพเพราะมันฉลาดชนิดที่ยิ่งโง่ ไปทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำหรือไม่ต้องทำ ไอ้สิ่งที่ควรทำหรือสันติภาพจริง ๆ นั้นไม่สนใจและไม่อาจจะสนใจเพราะว่ามีความโง่มาก มีความกลัวมาก มีความฉลาดที่ทำให้โง่มากและกลัวมาก วิตกกังวลหวาดระแวงมาก ฉะนั้น โลกทุกวันนี้คือยิ่งฉลาดในทางยิ่งโง่ ยิ่งฉลาดคือยิ่งโง่ ไม่ใช่เราจะด่าเขาแต่บอกให้ดูให้ดี ๆว่าไอ้โลกนี้กำลังหมุนไปในทางยิ่งฉลาดยิ่งโง่ คือยิ่งโง่ ถ้าพูดตรง ๆ มันจะยิ่งฉลาดในทางที่ไม่ต้องทำหรือไม่ควรจะทำ เพราะว่าการศึกษาของโลกในเวลานี้มันเป็นไปในทำนองที่เรียกว่าเพื่อยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้นเลย นับตั้งแต่เรียน ก ข ก กา จนถึงมหาวิทยาลัยหรือสูงสุดอะไรก็ตามเพื่อจะยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่เพื่อจะรู้ว่าทุกสิ่งไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่น เพราะ(ฉะ)นั้นในโรงเรียนไม่เคยสอนเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น เด็ก ๆ ก็พร้อมที่จะยึดมั่นถือมั่นยิ่งกันไปอีก ทีนี้เด็ก ๆ ก็คือคนทั้งโลก โตขึ้นก็เป็นคนทั้งโลก เพราะฉะนั้นโลกนี้ก็เป็นโลกของคนยึดมั่นถือมั่น ยิ่งฉลาดยิ่งโง่ ยิ่งไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ เพราะฉะนั้นถ้าพูดเรื่องความรู้ต้องหมายถึงความรู้ที่รู้ว่าอันนี้ไม่ต้องทำ ส่วนความฉลาดนั้นมันจะความสนุกสนาน จะพบแปลก ๆ ใหม่ ๆ น่าทำ ชวนทำ ทำกันไปเรื่อยเพื่อเพิ่มความยึดมั่นถือมั่น เพิ่มความเห็นแก่ตัว เพราะ(ฉะ)นั้นก็เพิ่มการเบียดเบียน เพิ่มการเอาเปรียบริษยา แข่งขันแย่งชิงกันไปตามเรื่องตามราว มันจะมีเรื่องที่ยิ่งไปกว่าไปโลกพระจันทร์หรือไอ้นี่อีก แล้วก็เพื่อแข่งขัน, เพื่อแย่งชิง, เพื่อเบียดเบียน นี่คือว่าโลกเรามันยิ่งฉลาดคือยิ่งโง่ ปราศจากความรู้ที่ทำให้รู้ว่าอะไรควรทำ-ไม่ควรทำ ทีนี้โดยส่วนบุคคลก็เหมือนกันเพราะว่ามันก็โลกก็คือคนเราทุกคนรวมกัน ทีนี้ คนหนึ่งเป็นอย่างไรไอ้ทั้งโลกมันก็เป็นอย่างนั้น
ไอ้สิ่งที่เรียกว่าความฉลาดนี่มันไม่เกี่ยวกับความจริงเรื่องความดับทุกข์เลย มันเกี่ยวกับความจริงเรื่องเหตุผลสำหรับที่จะทำอะไรให้ได้ตามที่กิเลสมันต้องการนั้น ส่วนเรื่องความดับทุกข์โดยตรงมันได้ไม่เกี่ยวกัน แล้วความฉลาดนี้มันจะหนีไกลจากธรรมชาติเรื่อยไป แต่ว่าความรู้นี้มันจะเป็นอันเดียวกันกับธรรมชาติเรื่อยไป ทีนี้ภาษามันทำยุ่ง ทุกคนชอบความฉลาด ภาวนาให้เป็นคนฉลาด สอนเด็กให้เป็นคนฉลาด โรงเรียนต้องการทำเด็กให้ฉลาด แต่คำว่าฉลาดอย่างนี้มันเป็นฉลาดที่ทำให้ยิ่งโง่คือยิ่งยึดมั่นถือมั่นมาก ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นไป ถ้าเราสอนให้รู้คือไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือยึดมั่นแต่น้อย หรือทำมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ไม่มีความทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์ ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าสติปัญญาอย่างชาวโลก ๆ ชาวโลกนั้นใช้ไม่ได้ ภาษามันสับปลับ สติปัญญาของคนธรรมดานี่ใช้ไม่ได้แต่สติปัญญาของพระพุทธเจ้า ของธรรมะ ของพุทธศาสนานั้นยิ่งจำเป็นคือยิ่งใช้ได้ ถ้าเรายิ่งมีสติปัญญาตามแบบของพระพุทธเจ้าก็จะดับทุกข์ได้ ถ้าเรายิ่งมีสติปัญญาตามแบบของชาวบ้านชาวโลกแล้วยิ่งใช้ไม่ได้, ยิ่งเลวลงไปอีก, ยิ่งหนักลงไปอีก, ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นไปอีก
ฉะนั้นคุณระวังให้ดี ถ้าคุณจะจำหรือว่าแปลเป็นภาษาต่างประเทศอะไรทำนองนี้โดยเฉพาะคำว่า สติปัญญา นี้ dictionary ปทานุกรมแปลคำว่า intellect นี้ ว่า สติปัญญา แต่มันหมายถึงสติปัญญาที่ทำให้ยิ่งโง่ เพราะ(ฉะ)นั้นสิ่งที่เรียกว่า intellect นั้นยิ่งลึกเข้าไปในเรื่องยึดมั่นถือมั่น ยิ่งโง่และยิ่งเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่า intellect นี้ใช้ไม่ได้ ลำพัง intellect ในระดับ intellect นี้ใช้ไม่ได้ที่จะดับทุกข์ เหมือนกับภาพที่เขียนข้างฝาผนังตรงนี้มันจะจับปลาดุกด้วยลูกน้ำเต้า ลูกน้ำเต้ากลม ๆ แต่เอาไปเป็นเครื่องมือสำหรับจับปลาดุกมีภาพเขียนอยู่ที่ฝาผนัง นั่นละคือคนที่จะใช้ intellect เพื่อรู้ธรรมะ นักเลงนิกายเซนเขาเขียนล้อไอ้พวกคนที่จะใช้ intellect หรือสติปัญญา intellect เพื่อจะรู้ธรรมะนี้ จะมีผลเหมือนกับเอาลูกน้ำเต้ากลม ๆไปช้อนปลาดุกไปจับปลาดุก คือระบุลงไปว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่า intellect นั้น ไม่มีทางจะรู้ธรรมะ คือว่าไม่มีทางจะรู้อย่างถูกต้องต่อธรรมชาติเพราะ intellect มันหนีไกลจากธรรมชาติเรื่อย มันต้องเป็นความรู้เป็น intuitive wisdom เป็นความรู้กันจริง ๆ เป็น realization จริง ๆ เข้าถึงตัวธรรมชาติจริงจึงจะเป็นเครื่องมือที่จับปลาดุกคือธรรมะได้ เดี๋ยวนี้เราเอาไปปนกันยุ่ง คำพูดมันยุ่งหรือสับปลับ โดยเฉพาะคำว่าสติปัญญา ถ้าพูดว่าอาศัยสติปัญญารู้ธรรมะมันก็ถูกก็ได้ ผิดก็ได้ ถ้าสติปัญญานั้นคือ intellect แล้วมันไม่มีทางจะรู้ธรรมะ มันได้แต่คิด ๆ จำ ๆ พูด ๆ เพ้อไปอย่างนั้น แต่ถ้าสติปัญญานี้มันหมายถึงสติปัญญาในพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้ เราอาศัยสติปัญญาแล้วรู้ธรรมะได้ มันเกี่ยวกับว่าเราเคยเรียนภาษาไทย, ภาษาต่างประเทศ, ภาษาบาลี, ภาษาสันสกฤต อะไรมาในลักษณะที่ปนกันยุ่ง เพราะว่าภาษาทุกภาษาละไม่ว่าภาษาไหนมันมีระดับภาษาคนชาวบ้านหรือความหมายระดับภาษาคนชาวบ้านแล้วก็มีความหมายระดับผู้ที่เห็นแจ้งในธรรมะ ที่เราเอามาแยกกันให้เห็นชัดเรียกว่า ภาษาคน กับ ภาษาธรรม หนังสือเล่มนี้ก็มีอยู่แล้วก็ไปอ่านดูก็ได้ ก็พูดได้เลยว่าถ้าสติปัญญาในภาษาคนละก็ไปนิพพานไม่ได้ สติปัญญาในภาษาธรรมแล้วก็ไปนิพพานได้ ไม่ต้องเปลี่ยนคำพูดแต่มันเปลี่ยนความหมายเพราะว่าสติปัญญาในภาษาคนนั้นยิ่งมีมากยิ่งโง่มาก เพราะว่า intellect หรือความเฉลียวฉลาดอย่างนี้มันไปตามอำนาจของความต้องการและความยึดมั่นถือมั่น มันไปตามด้านความต้องการที่เรียกว่าตัณหาคือความต้องการที่มาจากความโง่แล้วมันจึงเป็นไปเพื่ออุปาทานคือยึดมั่นถือมั่น นี่องค์ที่เพิ่งบวชนี่อาจจะไม่เคยได้ฟัง ก็อยากบอกเสียให้ได้ฟังเสียว่ามันมีความสำคัญอยู่ ที่ต้องเข้าใจคำว่า ความอยาก คำว่า ความอยาก เป็นเหตุให้เกิดทุกข์นั้นมันต้องรู้ว่าความอยากนั้นหมายถึงเฉพาะ ความอยากที่มาจากความโง่ พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่คนไทยท่านพูดด้วยภาษาอินเดีย-ภาษาบาลีนั่นว่า ความทุกข์มาจากตัณหา ทีนี้คำว่า ตัณหา นี้มันมาจากมันคือความอยากที่มาจากความโง่ ไม่ได้มาจากความรู้ นี่ภาษาไทยเราใช้กำกวม ความอยากแล้วก็จะให้เป็น ให้เกิดความทุกข์ไปทั้งหมดนี้มันไม่ได้มันต้องแยกกันว่า ความอยากที่มาจากความโง่ หรือ ความอยากที่มาจากความรู้สติปัญญาหรือความเฉลียวฉลาดในทางธรรม
ทีนี้สติปัญญาอย่างชาวบ้านนี้มันไปตามอำนาจของตัณหาคือความอยากที่มาจากอวิชชา เพราะฉะนั้นจึงไปตามอำนาจของอุปาทานอีกต่อหนึ่ง จึงอยากเพื่อจะไปในทางได้สิ่งที่ตัวต้องการตามความโง่หรืออวิชชานั้น เช่น ไปโลกพระจันทร์เป็นความอยากที่มาจากความโง่เพราะว่ามันไม่ต้องไปแล้วก็ยึดมั่นถือมั่นผลของการที่จะได้จากการไปโลกพระจันทร์มันก็ไม่เกี่ยวกันกับความรู้ที่จะดับทุกข์ เรื่องอื่น ๆ ก็เหมือนกันยกตัวอย่างเรื่องที่มันใหญ่โตที่สุดละไม่ได้อยากที่จะไปโลกพระจันทร์เพื่อจะดับ ๆ ความทุกข์ เพื่อจะดับโลภะ โทสะ โมหะ เพราะว่าการดับโลภะ โทสะ โมหะ นี้มันไม่ต้องไปโลกพระจันทร์ ทีนี้ไอ้การที่คิดจะไปโลกพระจันทร์นั้นต้องอาศัยแรงของโลภะ โทสะ โมหะ อีกส่วนหนึ่ง อีกบางส่วน อีกส่วนหนึ่งมาช่วย มันจึงจะพยายามมาก, เสียสละมาก, เปลืองมาก, อะไรมาก ฉะนั้นสติปัญญาอย่างนี้ยิ่งมีมากก็คือยิ่งโง่มากคือไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ ถ้าสติปัญญาของพระพุทธเจ้านั้นคือความรู้ รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ต้องทำ สิ่งนี้เป็นความอยากที่มาจากความโง่ สิ่งนี้เป็นความยึดมั่นถือมั่นเรื่องดีเรื่องชั่ว ไอ้กิจการอย่างไปโลกพระจันทร์อย่างนี้มันก็เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องยึดมั่นฝ่ายดีแต่ก็ไม่แน่นัก เพราะถ้ามันหวังที่จะใช้เป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น มันก็เป็นฝ่ายชั่ว แต่ถ้าเป็นวิชาความรู้เป็นเทคโนโลยีล้วน ๆ มันก็พอที่จะบัญญัติได้ว่าเป็นฝ่ายดี เป็น ควายตัวขาว แต่ถ้ามันมุ่งหมายเพื่อจะทำลายผู้อื่นมันก็เป็น ควายตัวดำ มันจึงใช้ไม่ได้ คือเป็นควายสำหรับที่จะขวิดกันไม่รู้จักสิ้นจักสุดไม่เป็นไปเพื่อความปล่อยวางหรือความไม่ยึดมั่นถือมั่น
ฉะนั้นเราพอที่จะพูดได้ว่า ไอ้ความฉลาด เฉโก (โกวิโท) นี้มันเป็นคำกลาง ๆ มันเป็นพื้นฐานอันแรกที่ว่าเฉลียวฉลาดนั้นและจะเอาความฉลาดนั้นไปใช้ต่อไปในทางไหนเล่า ? ทางดำหรือทางขาว ? คือว่าถ้าฉลาดแล้วมันก็ใช้ได้ทั้ง ๒ อย่าง คือใช้ผิดก็ได้, ใช้ถูกก็ได้ แต่ที่เราเรียกว่าฉลาดอย่างโลก ๆ นี้มันไม่เคยใช้ถูกเลย มันจะใช้ไปแต่ตามอำนาจของตัณหาอุปาทานทั้งนั้น เพราะฉะนั้นความฉลาดนั้นต้องเปลี่ยนไปหา (ไอ้) หาธรรมะคือหาระบบของพระพุทธเจ้า ความฉลาดนั้นมันจึงค่อยเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็นความรู้ แล้วก็ทำลายความฉลาดนั้นเสีย ความฉลาดที่เป็นเพียงความรู้สึกตามธรรมดาสามัญที่อบรมไปตามธรรมดามนุษย์ปุถุชนอย่างนี้ไป กลายเป็นความรู้ของพระอริยเจ้าได้เหมือนกันแต่น้อยนักที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่ามันมีสิ่งดึงดูด, สิ่งยั่วยวน, สิ่งอะไรทางนี้อยู่ไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นเราจึงเห็นโลกนี้หมุนไปในทางที่ตรงกันข้ามกับความสงบสุข ทีนี้เราจะอยู่ในโลกที่มันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไรนั้นมันเป็นปัญหาเฉพาะ มันก็เลยมี ๆ ความสำคัญที่จะต้องรู้เรื่องนี้ให้พอเพียงเหมือนกันว่าจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ที่ยิ่งฉลาดยิ่งโง่นี้ได้อย่างไร ? คุณก็จะเห็นได้ว่าความยุ่งยากลำบากที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มันหนักขึ้น หนักขึ้น และมันลุกลามเข้ามากระทั่งในวัดในวา ในที่ทุกหนทุกแห่งแล้ว ความเจริญแผนใหม่ของเขาที่ว่าเป็นเรื่องเต็มไปด้วยความลามกอนาจาร, แล้วก็เบียดเบียน, แล้วก็ทำร้ายรังแก อันธพาลนี้มันมีมากขึ้นซึ่งก่อนนี้ก็ไม่มี แล้วก็มีมากขึ้น และเราจะอยู่ในโลกนี้กับคนชนิดนี้ได้อย่างไร ? มันก็เป็นปัญหาพิเศษอีกอันหนึ่งที่ต้องรู้และมันก็เกี่ยวกันกับเรื่องนี้
มันจึงมายังเรื่องที่ว่าทำลายความยึดมั่นถือมั่นที่เป็น ตัวกู เป็น ของกู นั่นเอง จะไม่มีความทุกข์ได้ก็เพราะเหตุนี้ เพราะไม่มียึดอะไรไว้โดยความเป็น ตัวกู-ของกู คือโง่จะมีความรู้ มีความไม่โง่ว่าไม่มีอะไรที่จะต้องยึดเป็น ตัวกู-ของกู ให้มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่มันจะต้องเป็นไปและเราจะต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้คือทำเหตุทำปัจจัยละให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทีนี้เมื่อมันไม่ตรงตามความต้องการมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องเป็นทุกข์ไม่ต้องเสียใจ เช่น จะต้องพลอยตายกับเขาถ้าเขาฆ่าฟันกัน หรือว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นนี้เต็มไปด้วยความเบียดเบียน เราก็ต้องพลอยถูกกันด้วยกับเขาด้วย มันก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เป็นผลของการที่มีความรู้เรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น ทีนี้ถ้ามันมีความโง่มีแต่ความยึดมั่นถือมั่น มันก็เป็นทุกข์มากขึ้นไปอีก เป็นทุกข์โดยไม่จำเป็น เป็นทุกข์ทั้งที่ยังไม่ทันเกิดมันก็เกิด มันกลัวตายไว้ล่วงหน้า เป็นทุกข์ไว้ล่วงหน้า ไม่เข้าใจคำพูดที่ว่า ตายเสร็จแล้วตั้งแต่ทีแรก หรือว่า ตายเสร็จแล้วตั้งแต่เดี๋ยวนี้ มันก็เลยมีความกลัว, มีความทุกข์ ก็อยู่ในโลกที่มีความทุกข์แล้วกลับมีความทุกข์มากไปกว่าตามที่เป็นจริง ถ้ามันไปมีความยึดมั่นถือมัน มีความโง่ มันจึงคิดไปในทางให้มันมากขึ้นได้คือมันโง่มากขึ้นได้ กลัวมากขึ้นได้ ระแวงมากขึ้นได้กว่าความจริงที่มันควรจะกลัว ถึงแม้ไอ้เรื่องธรรมดาแท้ ๆ นี้คนก็กลัวมากกว่าที่ควรจะกลัว หรือตามที่มันจะเกิดขึ้นจริง กลัวโจร, กลัวขโมย, กลัวผี, กลัวเสือ, กลัวอะไรก็ตามนี้ คนกลัวมากกว่าที่มันได้มีอยู่จริงหรือที่มันจะเกิดขึ้นจริง และกลัวมากหลายเท่าเสียด้วย เรื่องสงคราม เรื่องอะไรต่าง ๆ นี่กลัวไว้มากกว่าที่มันจะเกิดขึ้นจริงหรือจะมีอยู่จริง มันก็ต้องมีความทุกข์มากขึ้นไปอีก ทีนี้เราอยู่ในโลกชนิดนี้มันก็ต้องมีปัญญา มีสติปัญญามีความรู้อย่างของพระพุทธเจ้าที่ทำให้ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ไม่มีอะไรที่มีความหมายสำหรับจะยึดมั่นถือมั่น, ไม่มีความเป็นอยู่หรือความตาย, ไม่มีความได้หรือความเสีย, ไม่มีอะไรที่จะต้องยึดมั่นถือมั่น เพียงแต่ดูว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร แล้วก็ทำไปตามที่มันควรจะทำ ไม่ทำก็ได้ ที่มันควรจะทำก็ทำแล้วก็ไม่ต้องมีความทุกข์อยู่ในใจ อย่างนี้จึงจะเรียกว่ามีความรู้ตามแบบของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ความฉลาดตามแบบของชาวบ้าน
ถ้าอยากจะใช้คำว่า ฉลาด ก็ต้องยกให้เป็นว่า ฉลาดตามแบบของพระพุทธเจ้า ไอ้ถ้อยคำนี้มันยืมกันใช้ได้ สับสนกันอยู่อย่างนี้ละ แต่ที่แท้มันควรจะเรียกว่าความรู้ ; ความรู้แจ้งแทงตลอด, ความรู้จริง, ปัญญา, วิชชา, แสงสว่างหรือญาณหรืออะไร รู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นธรรมชาติไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องยึดมั่นว่าเรา, ว่าของเรา ทำแต่สิ่งที่ควรจะทำหรือเท่าที่จำเป็นจะทำต้องทำเพื่อบริหารชีวิตร่างกายนี้ก็ไม่ใช่เรื่องมากมายอะไร แต่แล้วก็ไม่ฉลาดตามแบบของชาวบ้านของชาวโลกที่เขาต้องการจะมีนั่นมีนี่ มีตึกอยู่เหมือนวิมาน, มีเครื่องใช้ไม้สอยเหมือนกับของเทวดา, จะไปไหนก็ได้, ไปโลกพระจันทร์ก็ได้, ไปไหนก็ได้ เขาคิดว่าอย่างนั้นเป็นความฉลาด นี่พระเณรก็อยู่ในฐานะที่น่าอันตรายคือจะไปตามก้นพวกฝรั่งทำนองนั้นเข้าว่านั่นเป็นความฉลาดและเป็นสติปัญญา เป็นไอ้ความก้าวหน้าของมนุษย์ เป็นความรู้ที่ดีที่สุดของมนุษย์ นั่น ระวังให้ดี ผมได้ยินคุยกันเอ็ดตะโรที่ก่อนแต่จะไปบิณฑบาตก็มี, เวลาอาบน้ำก็มีคุยกันมาก มันแต่ล้วนแต่เป็นเรื่องความฉลาดตามแบบของชาวบ้าน ไม่ได้คุยกันเรื่องความรู้ของพระพุทธเจ้าที่จะดับความทุกข์ คุยกันเรื่องบุคคล, สิ่งของ, เหตุการณ์อะไรต่าง ๆ ตามเรื่องโลก ๆ ทั้งนั้น ไม่ได้คุยกันถึงเรื่องความรู้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นความดับทุกข์นี่มันจะแสดงว่ากำลังจะไปหลงไปตามก้นพวกฝรั่งที่รู้จักแต่ควายตัวเดียว ควายเทคโนโลยีตัวเดียวเหมือนที่เราพูดกันวันก่อน
โลกนี้กำลังถูกเทียมด้วยควายตัวเดียวนำโดยพวกฝรั่ง คือเทคโนโลยีที่จะพาไปตามอำนาจกิเลสตัณหาอุปาทาน ไปโลกพระจันทร์นี้ไม่เท่าไรก็เป็นเรื่องขี้เล็บ เรื่องอื่นไปไกลกว่านั้นอีก เทคโนโลยีไม่มีเขตสุดเหมือนกันคือเป็นอจินไตยอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน ความคิดของมนุษย์นี่ก็ถือเป็นอจินไตยวัตถุอย่างหนึ่งไปได้ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นเทคโนโลยีของพวกฝรั่งหรือของชาวโลกต่อไปในอนาคตก็ไปได้ไม่มีที่สิ้นสุดแล้วก็ยิ่งห่างไกลต่อความดับทุกข์ นี่เรียกว่า โลกนี้กำลังถูกพาไปด้วยควายตัวเดียวคือควายเทคโนโลยี ส่วนความสว่างไสวในทางฝ่ายวิญญาณนี่ spiritual enlightenment นี่มันกำลังลับหายไป ลับหายไป ตะวันออกเคยมีอันนี้แล้วก็ โง่ โง่ลง โง่ลงไปตามก้นตะวันตกไปบูชาเทคโนโลยี จนไอ้ความสว่างไสวทางวิญญาณฝ่ายวิญญาณของตะวันออกนี้ลับเลือนไป โลกนี้ก็เหลือแต่ควายตัวเดียว ทางฝ่ายตะวันออกหลาย ๆประเทศที่เป็นประเทศนับถือพุทธศาสนานี้กำลังหันไปหาควายเทคโนโลยีทั้งนั้น ประเทศไทย ประเทศญี่ปุ่น ประเทศไหนก็ตามใจที่อยู่ฝ่ายตะวันออก ที่ว่าเป็นแหล่งของพุทธศาสนา กำลังปล่อยให้ควายตัวนี้ตายไปเสียและก็หันไปหาควายตัวโน้น ทีนี้โลกนี้มันก็ถูกนำไปด้วยควายบ้าคือมันตัวเดียวที่มันมีแต่กำลังในทางที่จะไป ๆ เท่านั้น มันก็ไปผิดทาง มันไม่มีแสงสว่างไม่มีปัญญาที่จะควบคุมมัน ยังมีหวังยาก เพราะว่ามันกำลังเป็นจังหวะของควายตัวนี้ ของควายเทคโนโลยีนี้ ควายเปลี่ยว, ควายบ้า, ควายดำทะมึนนี้ มันจะพาไปสุดเหวี่ยงไปก่อน มันจึงจะค่อยนึกกันได้ กลับมาหาควายตัวที่ ๒ ให้มันคู่กันไป อย่าให้มันเดินผิดทาง ไอ้ควายตัวที่ ๑ นั่นละยิ่งฉลาดคือยิ่งโง่ ไอ้ควายเทคโนโลยีคือยิ่งฉลาดเท่าไรยิ่งโง่เท่านั้น ฉะนั้นเทคโนโลยีก้าวหน้าเท่าไรคือเป็นความโง่ของมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น พูดแล้วไม่น่าเชื่อแล้วไม่มีใครเชื่อ
ทีนี้ผมก็ไม่ค่อยมีที่พูดกับใครแล้วเดี๋ยวนี้ เพราะเขาหาว่าผมด่าเขาบ้าง, ติเตียนการศึกษาบ้าง, ติเตียนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์บ้าง ผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรก็พูดอยู่อย่างนี้ เทคโนโลยียิ่งเจริญก้าวหน้าจัดเท่าไรโลกก็ยิ่งโง่ลงเท่านั้น เพราะมันไกลต่อความดับทุกข์มากขึ้นทุกที มันไม่มีความรู้เกิดขึ้นว่าไอ้สิ่งนี้ไม่ต้องทำ มันโง่จนไม่รู้จักพระเจ้า ฝรั่งก่อนนี้มันก็มีพระเจ้ามันยังฉลาด ศาสนาของฝรั่ง เช่น ศาสนาพวกฮิบรู พวกยิว พวกที่มาเป็นคริสเตียนนี้ก็มีพระเจ้าแล้วก็ปฏิบัติตามพระเจ้าคือไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีตัว ให้ทำลายตัวเสีย มันก็ไม่มีตัณหาอุปาทานมากเหมือนอย่างนี้ เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งที่เคยนับถือคริสเตียนนั้นเขาว่าพระเจ้าตายแล้วหรือศาสนานี้ไม่จริง ผลได้-ที่ได้เป็นวัตถุเป็นอะไรมานี่จริง เพราะฉะนั้นไอ้พวกฝรั่งทั้งหมดนี่มันเป็นพวกคอมมิวนิสต์แต่มันกลับไปหาว่าพวกจีนพวกอะไรว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ที่จริงวัตถุนิยมทุกแขนงเป็นคอมมิวนิสต์ ไม่มีเรื่องทางจิต, ทางวิญญาณ ไม่มี มีแต่เรื่องทางเนื้อทางหนัง, ทางปาก, ทางท้อง ฝรั่งมันก็เป็นคอมมิวนิสต์แบบหนึ่ง เป็น dialectic materialism เหมือนกันเลย โดยอ้างเหตุว่าวัตถุเจริญแล้วจิตก็เจริญ แล้วก็สร้างวัตถุให้มันก้าวหน้าขึ้น ๆ เพราะฉะนั้นฝรั่งมันก็เป็นคอมมิวนิสต์แบบไม่บังคับ พวกจีนก็เป็นคอมมิวนิสต์แบบบังคับมีเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายนี้ก็นิยมเทคโนโลยียิ่งก้าวหน้ายิ่งโง่ ยิ่งก้าวหน้ายิ่งโง่ คือยิ่งได้รบกันมากขึ้น, ได้เบียดเบียนกันมากขึ้นไม่มีการพักผ่อนเลย คุณมองดูให้ดี ๆ จะพบยิ่งฉลาดแล้วยิ่งโง่ตามแบบนี้ โลกนี้กำลังยิ่งฉลาดและยิ่งโง่พร้อมกัน ยิ่งฉลาดไปในทางโง่คือไปทำ ยิ่งฉลาดในทางที่ไม่ต้องทำ และทำแล้วเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น เป็น intellect ที่เปรียบเหมือนลูกน้ำเต้าที่จะไปใช้จับปลาดุก มันไม่มีทางที่จะพบสันติภาพจนกว่ามันจะมีความรู้ตามแบบของพระเจ้า หรือตามแบบของพระธรรม หรือตามแบบของพุทธศาสนาว่าอย่าไปยึดถืออะไรเข้าโดยความหมาย ว่าดี-ว่าชั่ว และก็ไม่มี ตัวกู-ของกู เกิดขึ้นในใจ นั่นนะมันจะหยุดลงทันที ความเดือดร้อนความอะไรมันจะเกิดไม่ได้ มันจะหยุดลงทันทีด้วย ที่มันเกิดอยู่มันจะหยุดลง ที่ใหม่มันก็ไม่เกิดใหม่ด้วย
เพราะฉะนั้นเรามองดูกันอย่างไม่ใช่เป็นปริศนาธรรมหรอก ผมบอกว่าไม่ใช่เป็นปริศนาธรรม เป็นเรื่องจริง ๆ ตามธรรมดาแต่เราไม่มองให้เห็น พูดว่ายิ่งฉลาดคือยิ่งโง่ หมายถึงคนเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า หรือของพระธรรม และคำว่าฉลาดหรือเฉลียวหรืออะไรทำนองนี้มันเป็นคำธรรมดากลาง ๆ ยังไม่ใช่ความรู้, ยังไม่ใช่วิชชา, ยังไม่ใช่แสงสว่าง เป็นแต่ intellect ตามธรรมดาที่อบรมมันขึ้นมา ทีนี้มันจะไปถึงไอ้ความรู้จริง ๆ ไปถึงไอ้ที่เรียกกัน wisdom หรืออะไรทำนองนู้นมันอีกพวกหนึ่งต่างหากนะ จะไปถึงหรือไม่มันเป็นอีกปัญหาหนึ่ง เดี๋ยวนี้มันกำลังตกจมอยู่ในตกน้ำเหมือนกับตกน้ำนี้ ไปไม่ได้, ขึ้นไม่ได้,, ไปไม่ได้, เคลื่อนไม่ได้ ยิ่งจมลงไป ๆ โดยส่วนตัวบุคคลก็เป็นอย่างนี้ โดยส่วนรวมคือทั้งโลกก็เป็นอย่างนี้ ฉะนั้นก็หมายความว่ามันยิ่งมี ตัวกู-ของกู มากมายหลายร้อย, หลายพันเท่า, หลายหมื่นเท่า ยิ่งโง่เท่าไรยิ่งมี ตัวกู-ของกู มากเท่านั้น ความฉลาดอันนี้ทำให้โง่ได้มากเพราะมี ตัวกู-ของกู มาก เพราะฉะนั้นในโลกนี้กำลังเต็มไปด้วยเรื่อง ตัวกู-ของกู นี่ไอ้งานที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ เช่น งานโฆษณาชวนเชื่อ propaganda ด่ากันซึ่งกันและกันอย่างไม่มีความจริงไม่จำเป็นจะต้องทำ แต่เดี๋ยวนี้ทำมากที่สุดโดยเฉพาะทางวิทยุกระจายเสียง ต่างฝ่ายต่างด่ากันเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อซึ่งไม่มีความจริงนี่เขาเรียกว่าไปมัวทำแต่สิ่งที่ไม่ต้องทำ, และไม่มีประโยชน์, และมีแต่โทษอยู่อย่างนี้ จะไม่ให้เรียกว่ายิ่งฉลาดคือเป็นยิ่งโง่อย่างไร
มันคิดว่ามันฉลาด สร้างเครื่องมือกันสำหรับด่ากันได้ทั้ง ๒๔ ชั่วโมง แล้วก็ใช้คำพูดที่ฉลาด ๆ เพื่อจะด่ากัน เป็นการโฆษณาชวนเชื่อให้เกลียดชังฝ่ายตรงกันข้ามมันมีแต่เรื่องอย่างนี้ทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำก็เรียกว่าความโง่ เพราะฉะนั้นเราจำเราสังเกตให้เห็นไอ้ความหมายของคำว่า ความฉลาด กับ ความรู้ นี่ให้มันต่างกันไว้ ฉลาดยิ่งมากเท่าไรยิ่งไปตามความยึดมั่นถือมั่นเสียเป็นส่วนใหญ่เสียเป็นธรรมดา มันก็ยิ่งโง่มากขึ้น พอไปถึงความรู้ก็รู้ว่า อ้าว, นี่ไม่ต้องทำ นี่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น หรือว่านี้ไม่ต้องทำ แล้วมันก็หยุดโง่ เป็นที่สิ้นสุดของความโง่ของอวิชชากันเสียทีที่ตรงนั้น ทีนี้มองดูกันให้มันไกลและก็ให้มองดูอย่างกว้าง เพราะทีแรกมนุษย์ก็ไม่ได้โง่ ทั้งที่ไม่ได้รู้อะไร ทั้งที่ไม่ได้เรียนอะไร ไม่ได้มีวิชชา ไม่ได้มีการศึกษา แต่เขาก็เรียกว่าเป็นความโง่ชนิดหนึ่ง แต่ที่จริงนั้นคือเป็นความไม่โง่คือมันไม่ฉลาด ไม่ฉลาดคือไม่โง่ เพราะเมื่อไม่ฉลาดแล้วมันไม่ได้ต้องการอะไรแต่มันเป็นความ..เป็นความรู้ชนิดที่เรียกว่าไม่ ๆ อยู่ในรูปร่างของความรู้ เพราะไม่มีการศึกษา, ไม่มีความก้าวหน้าเหมือนอย่างที่เขาเรียกกัน
คนป่าสมัยหิน คนป่าแรกมีขึ้นมาในโลกนี่ ; เขาไม่ได้ต้องการอะไร เพราะฉะนั้นเรื่องความยึดมั่นถือมั่นมันมีน้อย มันมีแต่เรื่องปากเรื่องท้องเล็ก ๆ น้อย ๆ กระทั่งลงไปถึงสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานก็ลงไป ต่ำลงไปถึงปลา ถึงสัตว์แรกเกิดขึ้นมาจากในน้ำนี่ยิ่งไม่มีมันสมอง พอจะคิดนึกหรือศึกษาอะไรได้ไม่มี intellect ไม่มีอะไร แต่มันไม่มีความต้องการอะไร เพราะฉะนั้นผลมันเท่ากันกับที่ ๆ เราฉลาดที่สุดตอนหลัง นี่ก็ต้องฉลาดในทางที่จะไม่ต้องการอะไร ทีแรกมันก็ไม่ต้องการอะไรอยู่แล้วก็มนุษย์เจริญขึ้นมา สัตว์นี่ มนุษย์เจริญขึ้นมาต้องการมาก ต้องการมากจนไม่มีขอบเขตแล้วมันก็มีความทุกข์มาก ๆๆ จนกว่ามันจะรู้ว่าไม่ควรจะต้องการและหยุดกันเสียที นี่โดยส่วนใหญ่มันจะเป็นอย่างนี้ ตรงนี้มันมีความสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ไม่มีความต้องการอย่าไปหาว่ามันโง่ ไอ้คนที่ต้องการมากออกไปนั่นละคือคนโง่ เมื่อมันไม่ต้องการอะไร มันก็คือธรรมชาติเดิม ๆ ไม่ต้องการอะไร นอกจากที่จำเป็นแก่ชีวิตมีอยู่ได้ มันไม่มีความทุกข์โดยเฉพาะความทุกข์ทางจิต, ทางวิญญาณนะไม่มี ความทุกข์ทางร่างกายเกี่ยวกับหาอาหารบ้าง เกี่ยวกับอะไรบ้าง มันก็มี มีตามประเภทความทุกข์ฝ่ายร่างกายซึ่งมันไม่ร้ายแรงอะไร และเมื่อจิตใจมันไม่รู้สึกมันยึดถือนักมันก็ไม่มีความทุกข์กี่มากน้อยละ ตายก็ตาย - อยู่ก็อยู่นั่นละ
ผมนั่งดูปลา, ดูมด, ดูแมลง, ดูอะไรนี้รู้สึกว่ามันไม่มีความยึดมั่นถือมั่นและไม่มีกังวลหน้าหลังอดีตอนาคตนี้ อยู่ก็อยู่-ตายก็ตาย ส่วนคนนี้, มันอยู่สบาย ๆ อย่างนี้ ; มันก็คิดถึงอดีต, คิดถึงอนาคต, ห่วงหน้าห่วงหลัง ก็สร้างความทุกข์ขึ้นมามากมายคือความต้องการ เพราะฉะนั้นเราตั้งต้นขึ้นมาจากความรู้ตามสัญชาติตามธรรมดาของสิ่งที่เรียกว่าจิตนี้ สิ่งที่เรียกว่าจิต, ว่าใจ, ว่ามโน, ว่าวิญญาณอะไรก็ตาม มันมีความรู้เท่าที่มันจะมีชีวิตอยู่ได้หรือขึ้นมาได้ มันรู้เท่านั้นละพอแล้วเรียกว่าความรู้ที่ไม่โง่ เป็นความรู้ที่ไม่โง่ที่สุด แต่ไม่ได้รู้อะไรเลยนอกจากกินอาหารพออยู่ไปได้ แต่มันเป็นความรู้ที่ ๆ ถูกต้องที่สุดคือไม่ต้องการอะไร แล้วก็ไม่มีความทุกข์อะไร มนุษย์เริ่มมีความทุกข์เมื่อ รู้จักดี, รู้จักชั่ว, รู้จักอยาก, รู้จักหวัง, รู้จักอะไร นี่จึงเริ่มมีความทุกข์เมื่อ รู้จักดี-รู้จักชั่ว แล้ว ก่อนหน้านั้นไม่มีความทุกข์ จิตไปตามธรรมชาติคือรู้ว่าอะไรจำเป็นที่จะหามาเลี้ยงชีวิตก็ทำไปเท่านั้นเอง ไม่มียึดมั่นเป็นฉัน เป็นของ ๆ ฉัน ไม่มีสะสม ไม่มีอนาคต ไม่มี ทีนี้พอมนุษย์ รู้จักดี-รู้จักชั่ว ก็เริ่มมีความทุกข์ที่ก้าวหน้า เพื่อที่จะเอาเรื่องดี-เรื่องชั่วให้มากขึ้นนี้ก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้น มันอยากดีมากขึ้น มันพยายามจะดีมากขึ้น มันก็มีความทุกข์เพราะส่วนนี้มากขึ้น ถ้ามันอยากจะทำชั่วมากขึ้น เช่น มันจะฆ่าเขาทีละล้านเลยทีนี้ไม่ใช่ฆ่ากันทีละคน คือมันจะทำอะไรที่เป็นการทำลายร้ายกาจทั้งทางดี-ทางชั่ว มันมีความยึดถือมาก มีความทุกข์มาก จนกว่ามันจะรู้ว่าไอ้สิ่งเหล่านี้ผิด เลิกเป็นทาสความดี-ความชั่วกันเสียที มันจึงจะไปไม่ต้องการอะไรอย่างเดิม ฟังแล้วมันไม่น่าเชื่อหรือมันไม่น่าจะเป็นได้ คือจากความไม่ต้องการอะไร สบายดี ไม่ประสีประสาตามธรรมชาติ มาสู่ความต้องการมากมายไม่มีสิ้นสุดแล้วมันจะถูกลงโทษ ลงโทษอย่างหนัก มีความทุกข์อย่างมหันต์อยู่ในความเป็นความเจริญนี้ ต่อไปมันจะวกไปหาความไม่ต้องการอะไรกันอีกคือจะอยู่อย่างที่เรียกว่ามีชีวิตอยู่ได้และไม่ต้องการอะไรนี้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่ด้วยความโง่แล้วไม่ใช่ด้วยความไม่รู้อะไร ด้วยความรู้ ; รู้จักความทุกข์แล้วก็รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์, ทางดับทุกข์ เดิน ๆ ไปเสร็จแล้วมันก็ถึงความไม่มีทุกข์ ความไม่มีทุกข์นี้ก็ไม่มีอะไรคือว่า อย่าไปต้องการอะไร อย่าไปต้องการอะไรกันอีก
แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันไม่ต้องการอะไรด้วยความรู้ที่ฉลาด ที่ก้าวหน้า ที่อะไรมาก ก่อนนี้เขาไม่ต้องการด้วยอะไรด้วยความรู้ตามนิสัย, ตามธรรมชาติเดิม ๆ ของจิตซึ่งยังไม่ก้าวหน้าเพราะ (ฉะ) นั้นเรียกว่าตั้งต้นจากความว่างแล้วก็ไปสู่ความว่างจากตัวกู ตั้งต้นจากความว่าง (ไม่มีตัวกู) เป็นความวุ่น ๆๆๆ เพราะมีตัวกูมากถึงสุดโต่งแล้วมันจะไปสู่ความว่างจากตัวกูอีกทีหนึ่ง ทีนี้มันจะถาวรเพราะว่าเรามันมีสติปัญญา มันผ่านมามาก มันมีไอ้ที่เขาเรียกว่า spiritual experience มาก มีความซึมซาบต่อชีวิต เจนจัดต่อชีวิตในฝ่ายลึกมากทีนี้ก็จะว่าง ฉะนั้นภาพธรรมะที่เขาเขียนดี ๆ เขาจะตั้งต้นด้วยความว่างและจบด้วยความว่าง ภาพเซน เรื่องจับวัว เรื่องอะไรอันนี้ก็ที่เขียนถูกต้อง ต้องเขียนจากความว่างและก็จบด้วยความว่าง เหมือนกับเด็กนั่นนะทีแรกมันก็ไม่มีเด็ก (ว่าง) แล้วก็เป็นเด็กขึ้นมา โง่, ไม่รู้อะไร, ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วก็ไปพบรอยวัว, ตามก้นวัว, จับวัว, ขี่วัว, เป่าปี่, ขี่วัว นี่ก็คือฉลาดละ นี่เป็นความฉลาดแต่ไม่ใช่ความรู้ เป็นความโง่มากที่สุด จนกระทั่งวัวก็ไม่ไหว กูก็ไม่ไหว แล้วเป็นว่าง มันก็จบที่ความว่าง มาจากความว่าง บ้ากันพักหนึ่งแล้วก็ไปสู่ความว่างอีก ทีนี้มันยังมีแถมดีที่ว่าชุดนี้ว่า..ว่างไม่มีตัวกูแล้วยังไปทำประโยชน์ผู้อื่น ไปแจกของส่องตะเกียงเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น... แต่เรื่องนี้มันมีสองแง่ ไอ้เรื่องช่วยเหลือผู้อื่นเรื่องอะไรนี่ไอ้คนคดโกง, คนโง่, คนหวังประโยชน์มันก็ได้ทำได้เหมือนกัน มันทำเหมือนกัน ไอ้พวกที่ยึดมั่นถือมั่นนี่มันช่วยผู้อื่นเหมือนกัน ลงทุนเพื่อจะเอาผู้อื่นมาเป็นกำลัง, เป็นพรรคพวก, เป็นฝ่ายเรา ไปเล่นงานเขา มันก็ช่วยเหลือผู้อื่นเหมือนกันด้วยความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องว่างแล้วจึงไปช่วยเหลือผู้อื่น ไอ้ว่างแล้วช่วยเหลือผู้อื่นนั่นน่ะมันเป็นเพียงไม่รู้จะทำอะไร แรงงานเหลืออยู่, ความรู้เหลืออยู่, อะไรเหลืออยู่นี่มันก็ ๆ ไป มันก็เคลื่อนไปตามกำลังแรงงานอันนั้น มันจึงไปอยู่ในรูปช่วยเหลือผู้อื่น เพราะฉะนั้นมันบริสุทธิ์ มันไม่ใช่ไปซื้อเขามาเป็นพวกเรา ขอให้มองเห็นอะไรล่ะ เห็นอุปมาอันนี้ตั้งต้นจากความว่างไปสู่ความวุ่นที่สุดและไปสู่ความว่างอีก แต่ว่ามันดีกว่าเก่า ทีนี้มันว่างจริง มันว่างโดยถึงที่สุดยอดของมัน จะช่วยผู้อื่นหรือไม่ช่วย...ก็มันไม่มีความหมายอะไร แต่มันคงไม่ทำอะไรนอกจากทำประโยชน์ตามที่แรงงานมันเหลืออยู่
ทีนี้เราไม่พูดกันแล้วว่าโลกเป็นอย่างนี้ พูดแต่คน ๆ เดียวมันก็อยู่ในลักษณะเดียวกันตั้งต้นจากความว่างแล้วไปสู่ความว่าง ถ้ามันไปถึงที่สุดก็ถึงความว่าง ถ้ามันไม่ถึงที่สุดมันก็ตายเสียก่อนด้วยความวุ่น ให้ถือว่าเด็กอยู่ในท้องของมารดา คลอดออกมานี้มันยังไม่มีความอยาก, ความต้องการ, ความโง่, ความยึดถือ มัน ๆ ยังว่างอยู่ จนกว่ามันจะมารู้รสทางตา, ทางหู, ทางจมูก, ทางลิ้น ฯลฯ อันนี้อร่อยนั่นอย่างนั้น ไม่อร่อยอย่างนี้ แล้วเกิดความอยากไปตามความหลง เรื่องอร่อยหรือไม่อร่อยนี่เขาเรียกว่ายึดมั่นดี-ชั่วขึ้นมา ตอนนี้เด็ก ๆ จึงเริ่มมีไอ้ความฉลาด รู้เรื่องอร่อย-ไม่อร่อย, เรื่องดี-เรื่องชั่ว, เรื่องฉลาด ๆๆ ขึ้นมาคือยิ่งโง่ คือจะยิ่งไปหลงรักไอ้ที่มันอร่อยแล้วก็เกลียดไอ้ที่ไม่อร่อย ที่จริงมันไม่ต้อง...ไม่ควรจะไปหลงรักหรือไปหลงเกลียดอะไร ทีนี้เด็กมันก็เริ่มหลงรักอร่อย เกลียดไอ้ที่มันไม่อร่อย มันก็เริ่มโง่ กระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาวมันก็ยิ่งโง่มากขึ้น โง่ถึงที่ในระดับสูงสุด ทีนี้มันก็ไป...โง่ต่อไปถึงเป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่หวังอย่างนั้นหวังอย่างนี้ มันเหมือนกับระยะที่จับวัว, ต่อสู้กับวัว, จับวัวจะเอาให้อยู่ในอำนาจให้ได้ ทีนี้ต่อไปนั้น ต่อจากนั้นไปอีกมันก็เรื่องจะประสบความสำเร็จ มันก็เป่าปี่, ขี่วัว, ขี่วัว, เป่าปี่ มันก็ยังโง่อยู่นั่นละ แม้มันจะเป่าปี่, ขี่วัว มันก็ยังโง่อยู่ โง่ที่สุด จนกว่ามันจะ อู้, ไม่ไหว ทั้งวัว, ทั้งปี่, ทั้งอะไรอย่างนี้มันจึงจะว่าง แต่เดี๋ยวนี้คนมันไม่ไปถึงนั่นมันจับวัวก็ไม่ได้ นี่จนมันตายเข้าโลงไปมันก็จับวัวก็ยังไม่ได้ มันไม่โตเป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย เพราะฉะนั้นมันจึงไปไม่ครบชุดไม่ผ่านไปอย่างครบชุดจนถึงกับว่าไป ว่าง แล้วก็ทำการแจกของส่องตะเกียง
ทีนี้เทคโนโลยีนี้มันทำให้ไม่ถึงจุด ๆ ที่จะอิ่มตัวได้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลกปัจจุบันนี้ ทีนี้ของคน ๆ หนึ่งก็เหมือนกัน ความก้าวหน้าทางหา, ทางแสวง, ทางประกอบ...ประกอบกิจอันนี้มันไม่ทำให้ถึงจุดอิ่มตัวได้ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มีการไปถึงภาพที่แหงนขึ้นไปข้างบน, ทิ้งวัว, ทิ้งตัวเอง, แล้วมันยังจับวัวก็ไม่ได้ เพราะความหวังมันมีออกหน้าไปเรื่อยเกินอยู่เรื่อย ความหวังมันเกินอยู่เรื่อย มันไม่ได้ตามที่ต้องการสักที นี่คนในโลกยิ่งเป็นอย่างนี้อายุแก่จนจะเข้าโลงแล้วมันก็ยังเหมือนกับเด็ก ๆ อยู่มันก็ไม่ผ่านไปจนถึงกับเรียกว่าตั้งต้นจากว่างมาแล้วก็วุ่น วุ่นแล้วว่างได้อีก มันตั้งต้นจากไม่รู้อะไรแล้วก็วุ่น ๆๆ จนเข้าโลงไปเท่านั้นเอง ไม่ได้พบความว่างก่อนเข้าโลง นี่เพราะมันมัวแต่ยิ่งฉลาดยิ่งโง่ ยิ่งฉลาดยิ่งโง่ ยิ่งฉลาดยิ่งโง่ แล้วเข้าโลงไปด้วยความโง่ สิ่งที่เรียกว่าความรู้ยังไม่มียังไม่ถึง ไอ้ความรู้นี้ไปตั้งต้นเมื่อแหงนขึ้นบนฟ้าวัวหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ปี่เป่อหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ตัวเองก็หายไปอีกเป็นความว่าง จุดจบของมันอยู่ที่นั่น จุดจบของความโง่มันอยู่ที่นั่น ทีนี้มันก็มีแต่ความรู้ถึงที่สุดไม่ต้องการอะไร ไม่มีความทุกข์ เรี่ยวแรงเหลือก็ทำไปโดยช่วยผู้อื่นให้หายโง่นี่เรียกว่าแจกของส่องตะเกียงหรือไม่ทำก็ได้อยู่เฉย ๆ ก็ได้ ถ้าทำ – ไม่มีอะไรดีไปกว่าทำชนิดที่ทำให้ผู้อื่นหายโง่ ถ้าเรื่องของตัวหมดแล้วหายโง่แล้วก็มีแต่ว่าทำผู้อื่นให้หายโง่ เดี๋ยวนี้มีปัญหาหนักคือว่าเราไปหลงความฉลาดชนิดที่ทำให้ยิ่งฉลาดยิ่งโง่ คือความฉลาดที่ทำให้อยากด้วยความโง่แล้วยึดมั่นถือมั่นด้วยความโง่
ทั้งหมดนี้คือหัวใจของพุทธศาสนาเรื่อง ตัวกู-ของกู แต่เราพูดกันในอีกแนวหนึ่งให้เห็นว่าหัวใจของพุทธศาสนา ; ความทุกข์คืออะไร ? ทางดับทุกข์คืออะไร ? อวิชชาคืออะไร ? วิชชาคืออะไร ? อวิชชานี่ มันเพิ่งเกิดเมื่อมีผัสสะ, มีเวทนา แต่พวกอื่นหรืออาจารย์อื่นหรือคณะอื่นเขาสอนว่าอวิชชานั้นมันติดเนื่องมาแต่ในสันดานตายตัวอะไรมาจากชาติก่อน ผมว่าไม่ถูก ถ้าพูดตรง ๆ ว่าบ้าชัด ๆ เลย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น สอนอวิชชามันก็เพิ่งเกิด เกิดเมื่อตาเห็นรูป, เมื่อได้ยินเสียง, จมูกได้กลิ่น, ลิ้นได้รส ฯลฯ นี่มันจะเกิดอวิชชาก็เพราะว่ามันไม่รู้ แล้วไปหลงตามไอ้เวทนา ตามผัสสะ ตามเวทนานั้น ๆ จึงจะเรียกว่าอวิชชาอวิชชาตั้งต้นที่นั่น เพราะฉะนั้นเด็ก ๆ เกิดมาจากท้องแม่ ไม่ควรจะไปเรียกเขาว่ามีอวิชชามาจากในท้องแม่ ผมก็เคยคิดอย่างนั้นเพราะอาจารย์, ครูบาอาจารย์ก่อน ๆ ก็มักจะสอนกันอย่างนั้น แต่มันมาค้นดูในพระพุทธภาษิตทั่ว ๆ ไปทั้งหมดแล้ว มันไม่พบอย่างนั้น มันพบว่าอวิชชามันเพิ่งตั้งต้นเมื่อมีการสัมผัสทางตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ ในรูป, เสียง, กลิ่น, รส นี้มันจึงมีการปรุงแต่งชนิดที่เป็นตัณหาอุปาทานอะไรขึ้นมา นี่ไปปรับให้เด็ก ๆ เกิดมาจากในท้องแม่แล้วมีอวิชชามาเสร็จ มันเพียงแต่ว่ามันมีความพร้อมที่จะมีอวิชชา ก็พูดได้มันมีความพร้อมที่สุดที่จะมีอวิชชาเพราะว่าเด็กเกิดมา มันก็มีตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ เป็นอวัยวะที่พร้อมที่จะทำงาน ทีนี้พอมันมีไอ้อย่างนี้ขึ้นมา ๆ กระทบ มารูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัสมากระทบ มันก็ไปตามที่มันพร้อมที่จะเป็นคือมีอวิชชา และทีนี้มันก็หนาขึ้น มากขึ้น ๆ อวิชชานี้แก่กล้าขึ้น, หนาขึ้น, มากขึ้น, เร็วขึ้น มันจึงมาเป็นเหมือนอย่างพวกเราที่กำลังอยู่ ๆ นี่คือพร้อมที่จะมีอวิชชาจนเรียกว่ามีความเคยชินมาก เคยชินจนพร้อมที่จะมีได้โดยไม่ต้องรู้สึกตัว จึงรู้สึกเหมือนกับว่า มีอยู่ในสันดาน ที่จริงมันเพิ่งเกิดทุกทีแต่มันเกิดเร็ว เกิด-พร้อมที่เกิด และเกิดเร็วจนเรารู้สึกเหมือนกับว่ามันมีอยู่ในสันดานรออยู่แล้ว, คอยอยู่แล้ว ที่ไอ้รออยู่แล้วคอยนั่น ; ความเคยชิน, ความพร้อมที่จะเกิด หรือความเคยชิน มันมีอยู่ในความเคยชินนั้น เรียกว่าสันดาน สันดาน แปลว่าความเคยชินก็แล้วกัน มันมีอยู่ในความเคยชิน เพราะ(ฉะ)นั้นมันพอเห็นอะไรมันก็โง่
ทีนี้เขาโง่กันทั้งโลก เราก็พลอยโง่กับเขาด้วย เราเห็นแต่เรื่อง เอ่อ ประโยชน์ อย่าว่าผมดูถูกดูหมิ่นทุกคน ๆ ในโลกนี้รวมทั้งที่นั่งอยู่ที่นี่ มันต้องการประโยชน์ คุณทำงานเอาเป็นนั่นเป็นนี่ อาชีพมันก็เพื่อประโยชน์ แม้มาบวชนี้ก็เพื่อประโยชน์ แต่ระวังให้ดีไอ้ประโยชน์นี้คือ ๆ ความต้องการที่มาจากอวิชชา คำว่าประโยชน์นั้นนะเป็นความเป็นตัวการที่ทำให้เกิดความอยากด้วยความโง่ พระอรหันต์ไม่ต้องการประโยชน์คือหมดความต้องการประโยชน์ เดี๋ยวนี้เรายังหวังประโยชน์ แม้แต่มาบวชนี่, ที่บวชนี้เพื่อทำลายประโยชน์, เพื่อทำลายคุณค่าของประโยชน์, ทำลายความต้องการประโยชน์ แต่เรายังไม่ถึงนั่น เรากลับมาต้องการประโยชน์แม้จากการบวช ประโยชน์เลว ๆ ก็มีเป็นเครดิตว่าได้บวชแล้ว ต่อไปนี้มันก็จะทำอะไรได้ดี สะดวก ประโยชน์อย่างนี้เลวมากไม่ควรถือเป็นประโยชน์ของการบวช ทีนี้แม้ว่าเราบวชนี้จะได้รู้นั่นรู้นี่ เรียนนั่นเรียนนี่ จะได้ไปมรรคผล บรรลุมรรคผลนิพพานด้วยความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ก็ยังเป็นประโยชน์นี้ไม่ใช่ของจริงหรอก ผมก็เหมือนกันละ ผมก็บวชว่าต้องการจะได้เป็นนิพพานแต่มันก็เป็นความโง่เพราะมันต้องการประโยชน์ อย่างประโยชน์...ที่จริงนิพพานนั้นมันเป็นที่จบของประโยชน์ ที่ทำลายเสียซึ่งประโยชน์ซึ่งคุณค่าของประโยชน์แต่เราไม่รู้ เรากลับเอานิพพานมาเป็นประโยชน์เสียอีกและเขาก็สอนกันอย่างนั้นนะประโยชน์คือนิพพาน, ประโยชน์คือสวรรค์, ประโยชน์คือมนุษย์อะไร สอนบ้า ๆ บอ ๆไปอย่างนั้นละ
นิพพานไม่ควรจะเรียกว่าประโยชน์ ; เป็นที่สิ้นสุดของประโยชน์, เป็นที่ทำลายประโยชน์ เพราะเรานี้บ้าประโยชน์, เป็นทุกข์เพราะประโยชน์, หวังอยู่แต่ประโยชน์ ชีวิตทุกวันนี้มันหวังอยู่แต่ประโยชน์เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นความโง่ โง่สุดยอด จนกว่าจะรู้ว่าไม่ควรต้องการประโยชน์-ถ้าจะยาก เป็นคำที่เข้าใจยาก เราชินมาแต่อ้อนแต่ออกเรื่องต้องการประโยชน์, ต้องได้ประโยชน์และประโยชน์นั้นคือที่ดีที่สุดคือประโยชน์ ประโยชน์คือนิพพานนี่ภาษาชาวบ้านพูด (ภาษาคน) ถ้าพูดภาษาธรรมแล้วก็ประโยชน์ก็ประโยชน์ คำว่าประโยชน์นี้ แปลว่าเครื่องผูกพัน ป แปลว่า ทั่ว, โยชนะ แปลว่าเครื่องผูกพัน, มัด, ผูกมัด, รัดรึง ประโยชน์ แปลว่าเครื่องผูกมัดรัดรึงรอบด้าน คำว่าประโยชน์เอากับมันสิ ไม่ว่าประโยชน์ชนิดไหนคือเครื่องผูกพันจิตใจทั้งนั้นละ แม้จะไปหวังเอานิพพานเป็นประโยชน์มันก็ผูกพันจิตใจให้เกิดความโง่ขึ้นมาจนกว่าจะไปรู้ว่าไม่ต้องการนิพพาน ไม่ต้องการนั่นนะจึงจะเป็นนิพพาน ฉะนั้นคำว่าประโยชน์นี้เป็นคำ synonym เป็นไวพจน์ เป็นอะไรของกิเลสได้ หรือของเหตุให้เกิดกิเลสได้ คือเป็นอารมณ์ของความอยาก ของตัณหา เดี๋ยวนี้เราพูดกันสำนวนธรรมดา เราว่าเอาประโยชน์อย่างนี้ก่อน แล้วเอาประโยชน์อย่างนี้แล้วเอาประโยชน์สูงสุดคือนิพพานก็คือไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เป็นเรื่องว่างจากประโยชน์ นั้นเราจะได้นิพพานหรือไม่ได้นิพพานก็...มันก็พูด ไม่ต้องพูดดีกว่า พูดกันแต่ว่าอย่ามีความทุกข์ อย่ามีความทุกข์แล้วก็ให้มันเป็นความฉลาดที่ดีขึ้น, ที่ถูกต้องขึ้นและเป็นความรู้ในที่สุด มันก็มีทั้งผลดีและผลเสียที่ต้องการให้ปรารถนานิพพานทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าอะไร สอนให้ปรารถนานิพพานกันทั้งนั้นละทั้งที่ไม่รู้ว่าอะไร นี่มันมีทั้งผลได้และผลเสีย ถ้าทำดีมันก็จะมีทางเป็นผลดีได้บ้างคือไต่ไป ๆ จนถึงที่สุดของประโยชน์ แต่ผมเรียกว่ายิ่งโง่ ยิ่งไปเท่าไร ยิ่งโง่ ๆๆ แล้วมันไปสิ้นสุดของความโง่ เพราะฉะนั้นความฉลาดความก้าวหน้าชนิดนี้เรียกว่าความโง่ เรียกว่าความรู้อย่างชาวบ้าน ความฉลาดหรือความรู้อย่างชาวบ้านนี่คือความโง่ เมื่อเกิดมาจากท้องแม่ใหม่ ๆ ยังโง่น้อยและโง่มากขึ้น โง่มากขึ้น จนกว่าจะที่สุดของความโง่ นี่ถือว่ายิ่งฉลาด ตามภาษาที่พูดกันตามธรรมดานี่คือยิ่งโง่
คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะเอาหรือไม่เอา ก็เอาไปคิดดูเอง ผมกำลังบอกว่าไอ้ยิ่งฉลาดนี้คือยิ่งโง่สำหรับในโลกปัจจุบัน ในมนุษย์ปัจจุบันหรือตัวเราในสภาพปัจจุบันนี่คือยิ่งโง่ ยิ่งไปอยากนั่น, อยากนี่, อยากโน่น ไม่มีหวังว่าจะมีจุดจบที่ตรงไหน อยากจะก้าวหน้าในอาชีพ, ในการงาน, ในชื่อเสียง, ในอะไรเสียต่าง ๆ มันก็คือความโง่ แต่มันก็คือความโง่ที่ใกล้ ๆ จะจุดจบเข้าไปทุกที ถ้าว่าเราได้ศึกษาพุทธศาสนาพอสมควรไอ้ความโง่นี้จะไม่ลวงเราไปได้อย่างเป็นอจินไตยหรืออย่างอนันตกาล มันจะมีจุดจบก่อนที่เราจะเข้าโลง ก่อนที่เราจะเข้าโลงนี้ขอให้ความโง่นี้มันจบลงทีให้กลายเป็นความรู้ที่ทำให้ไม่ต้องการอะไรและหายโง่ ถ้าไม่เช่นนั้นคุณก็ต้องเอาความโง่เข้าโลงไปมีเท่านั้นเอง เรื่องมันก็จบลงเท่านั้น เมื่อพอใจเท่านั้นมันก็ได้...ก็ได้เหมือนกัน แต่มันไม่ถูกตามความมุ่งหมายของพุทธศาสนาที่จะต้องการให้เราได้พบกับภาวะสิ้นสุดของความโง่ก่อนเข้าโลง ก่อนเข้าโลงมาก ๆ ก็ยิ่งดี ก่อนแต่เข้าโลงหลาย ๆ ปีมาก ๆ ก็ยิ่งดี ไปพบความสิ้นสุดของความโง่, ความไม่มีตัวกูของกู, ความไม่ยึดมั่นถือมั่น, ความไม่หลงในประโยชน์อะไรต่าง ๆ นี้นี่เราเรียกว่านิพพาน นี้คือไม่มีตัวเราเสียก่อนแต่ที่มันจะเข้าโลง...ก่อนการเข้าโลง จิตนี้ไม่มีตัวเรา – ไม่มีความรู้สึกเป็นตัวเราก่อน เรียกว่าตายเสร็จแล้วแต่ทีแรกหรือว่าตายแต่ก่อนตายก็แล้วแต่จะพูด นี่มันพูดอุปมา เป็นอุปมาจากธรรมะ, ความรู้, สติปัญญาของพระพุทธเจ้า มาช่วยให้ฉลาดเร็ว ๆ ฉลาดเร็ว ๆ แล้วก็สิ้นสุดของความโง่เร็ว ๆ เพราะฉะนั้นเรานิยมความฉลาดของพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปนิยมความฉลาดอย่างของชาวโลกทั้งโลกนี้ยิ่งฉลาดยิ่งโง่ ๆ มันช้าเกินไป กว่ามันจะถึงจุดอิ่มตัวมันจะช้าเกินไป
ฉะนั้นเดินทางที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้ เดินตามแบบของพระพุทธเจ้าท่านได้วางไว้ ความโง่มันจะหมดได้โดยเร็ว มันจะโง่ได้ยากขึ้น เพราะ(ฉะ)นั้นปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิรู้ความที่ไม่มีตัวตนอยู่เสมอนี่ความรู้ เข้ากระแสของความรู้เลยสูงไปกว่าความฉลาด ทีนี้เราก็ไม่โง่ ก็ยิ่งรู้ ๆๆ ไปในทางปัญญา, วิชชา, แสงสว่าง ก็เรียกได้ว่าที่ควายตัวที่ ๒ Spiritual Enlightenment ความสว่างไสวฝ่ายวิญญาณ ทีนี้ควายตัวที่ ๒ นี้เจริญงอกงาม ถ้าจะเลือกเอาควายแต่ตัวเดียวแล้วขอให้เลือกเอาตัวที่ ๒ เถอะ ตัวที่ ๑ อย่าไปสนใจกับมันเลย ไว้ให้พวก ๆ เทคโนโลยีเขานั่นกันไป แต่ถ้ามีควายทั้ง ๒ ตัวได้ก็ดีพอเหมาะพอสมกัน เรามีควายตัวเดียวคือความสว่างไสวทางวิญญาณ ไม่มีความทุกข์เลย แต่การเป็นอยู่ทางวัตถุนี้มันก็ไม่มีความทุกข์หรอก ถ้ามันมีควายตัวที่ ๒ ไอ้สว่างไสวทางวิญญาณอยู่แล้วมันไม่มีความทุกข์ พูดได้ถึงว่าไม่มีข้าวกินก็ไม่มีความทุกข์, ไม่มีอะไรก็ไม่มีความทุกข์, ตายก็ไม่เป็นความทุกข์ แต่เดี๋ยวนี้เพื่อว่ายังไม่ต้องตายหรือเพื่อความสะดวกสบายบ้างก็มีควายตัวที่ ๑ เพียงเพื่อประโยชน์เท่านี้อย่าเอาให้มากถึงไปโลกพระจันทร์ นี่ควายตัวที่ ๑ เพียงเพื่อสะดวกสบายฝ่ายร่างกาย หรือวัตถุ ก็มีควายตัวที่ ๒ คือสมบูรณ์เต็มที่ความสว่างไสวทางจิตทางวิญาณไม่มีความทุกข์เลย ให้เอาควายตัวที่ ๑ ออกไปเสียก็มันไม่มีความทุกข์เลย แม้ร่างกายจะแตกดับลงไปมันก็ไม่มีความทุกข์เลย
ฉะนั้นผมจึงยืนยันว่าถ้าต้องการควายเพียงตัวเดียวแล้วก็ขอให้เอาควายตัวที่ ๒ เถิด แต่ถ้าจะให้เหมาะสมก็มีทั้ง ๒ ตัวก็จะมีความพอเหมาะพอดี อยู่อย่างมีประโยชน์แล้วก็น่าดู เป็นบุคคลที่น่าดู เป็นโลกที่น่าดู เรียกว่าดีที่สุดที่มนุษย์จะควรได้ควรมี คือผลของพระธรรมหรือผลของพระพุทธศาสนา มันก็มีอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็ระวัง ระวังไอ้ความฉลาดชนิดที่มันจะลงไปในเหว ฉลาดที่จะลงไปในกองทุกข์ ระวังความฉลาดชนิดนี้ก็เรียกว่าความฉลาดเหมือนกัน คนเก่ง, คนฉลาด ในการที่จะทำการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นแล้วก็โดยไม่รู้สึกตัวด้วย นี่เรื่องของเราก็มีเพียงเท่านี้สำหรับวันนี้ ระวังความยิ่งฉลาดแล้วยิ่งโง่ เอาละ, พอกันที