แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คำบรรยายทบทวนธรรมในวันนี้ จะได้กล่าวถึงเรื่องการให้ทานตัวกูของกูต่อ แต่ว่าจะไม่ได้กล่าวอะไรมากนักนอกจากกล่าวถึงเฉพาะปัญหาอันเกี่ยวกับการละตัวกู ข้อนี้หมายถึงปัญหาที่คนเขาสงสัย ในทางที่ขัดแย้งว่าเป็นไปไม่ได้ ว่าปฏิบัติไม่ได้ หรือว่าเป็นสิ่งที่มีไม่ได้อะไรทำนองนั้น ปัญหาชนิดนี้นับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญมาก เพราะว่าถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้ก็คือไม่เชื่อ แล้วก็ไม่มีการปฏิบัติตาม คนโดยมากจะเชื่อว่าเรื่องอนัตตาเรื่องสุญญตานี้เป็นพระพุทธโอวาท ส่วนนี้เขาเชื่อ แต่ส่วนที่ว่าทุกคนปฏิบัติได้แม้แต่ฆราวาสก็ควรปฏิบัตินี้เขาไม่เชื่อ ส่วนมากไม่เชื่อโดยต้องแก้ปัญหาข้อนี้ทั้งโดยอาศัยหลักพระพุทธภาษิตในพระคัมภีร์ ทั้งอาศัยเหตุผลธรรมดาสามัญที่มาชี้ให้ดู ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร พระพุทธภาษิตเกี่ยวกับข้อที่ว่าฆราวาสจะต้องศึกษาและปฏิบัติเรื่องสุญญตานั้นก็มีอยู่ชัดแล้ว เคยพูดถึงเคยอ้างถึงในที่ต่าง ๆ มาก แต่ทีนี้เราอยากจะพูดกันถึงเหตุผลธรรมดา โดยไม่ต้องอ้างพระพุทธภาษิตอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
ปัญหาก็สืบต่อมาจากคำบรรยายครั้งที่แล้วมา คือข้อที่สรุปเป็นใจความขึ้นมาสั้น ๆ ว่า ให้ใช้เหงื่อล้างตัวกูแทนจะเลี้ยงตัวกู เหมือนที่เคยกระทำมาแต่กาลก่อน ถ้าเป็นบรรพชิตก็ทำได้สะดวก เพราะว่าอยู่ในฐานะที่สูงกว่า คือปฏิบัติพรหมจรรย์อยู่สูงกว่าและก็ไม่มีครอบครัว ทำงานให้ออกเหงื่อเพื่อล้างตัวกูก็ทำได้ง่ายกว่าฆราวาส ฆราวาสไม่เคยสนใจเรื่องนี้ และยังเป็นห่วงครอบครัว ฉะนั้นก็ต้องทำงานเลี้ยงของกูด้วย เลี้ยงทั้งตัวกูเลี้ยงทั้งของกู แต่บรรพชิตนี้ของกูทำนองนั้นไม่มีเหลือแต่ตัวกู นี้เมื่อศึกษาเข้าใจเพียงพอแล้ว มันก็มองเห็นลู่ทางที่จะปฏิบัติได้ และกำลังปฏิบัติอยู่ โดยหลักง่าย ๆ ที่สุดว่าทำงานด้วยจิตว่าง หรือว่าทำในฐานะคือเป็นหน้าที่แล้วก็ทำเฉย ๆ ไม่หวังว่าตัวกูทำแล้วก็ผลดีจะสนองแก่ตัวกู แล้วก็มีข้าวกินสะดวกกว่า นี่เป็นปัญหาที่จะต้องพูดกันให้กระจ่างออกไป หมายความว่าถ้ามองให้ลึก แล้วมันทำได้เหมือนกัน บรรพชิตทำงานโดยไม่ต้องหวังเพื่อตัวกู แต่แล้วก็มีข้าวกินมีอะไรที่จำเป็นแก่ชีวิต
นี้มันมีความลับหรือมีคำอธิบายอะไรซ่อนอยู่ในนั้น พระปฏิบัติเพื่อล้างตัวกูนี่คือทำหน้าที่ของพระ ถ้าพระไปปฏิบัติทำหน้าที่เพื่อเลี้ยงตัวกูมันก็ไม่ใช่พระ ไม่ทำหน้าที่ของพระ กลายเป็นชาวบ้านไป
ก็ไม่ควรจะมีข้าวกิน ไม่ควรจะมีใครเลี้ยง ถ้าขืนไปกินข้าวของเขา ก็เป็นคนโกงเป็นขโมยไปปล้นไปขโมยเขากิน เพราะเขาไม่ต้องการให้คนที่เลี้ยงตัวกูกิน ก็ต้องการให้คนที่ล้างตัวกูกิน นี่ตัวก็ไปปลอมเป็นคนปลอมกินอยู่ ถ้าทำงานอย่างล้างตัวกูอยู่เสมอ มันก็เรียกว่าทำหน้าที่ทำตามหน้าที่และตรงตามความประสงค์ที่ทายกทายิกาเขาต้องการจะเลี้ยงพระชนิดนั้น การฉันอาหารนั้นจึงไม่เป็นการขโมย
นี่พูดกันอย่างวินัย หรือพูดอย่างมีเรามีเขาอยู่บ้าง ถ้าพูดอย่างต่ำลงมาอีกก็ คนทั่วไปเขาถือหลักว่าถ้าคนนี้ทำประโยชน์คนนี้ก็ควรจะได้รับการช่วยเหลือ ไม่เฉพาะแต่พระ ถ้าเขาทำหน้าที่ที่เป็นประโยชน์ ก็ควรจะได้รับการช่วยเหลือ สิ่งที่เรียกว่าเงินเดือนนั้นมันก็ควรจะเป็นการช่วยเหลือผู้ที่กำลังทำความดี ไม่ใช่ค่าจ้าง แต่โดยมากคนมันจิตทรามมันจึงต้องกลายเป็นค่าจ้าง เพราะมันเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งสองฝ่ายทั้งฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายนายจ้าง มันมีจิตทรามกันทั้งสองฝ่ายเงินจึงเป็นค่าจ้าง ถ้ามันมีจิตสูงคนที่ทำงานก็ทำเพื่อหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่โลก ที่นี้คนที่มีปัจจัยที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลมันก็ช่วยเหลือเกื้อกูลคนที่เขาทำความดีอย่างนั้นเขาเรียกว่าบูชา ค่าบูชาไม่ใช่ค่าจ้าง นี่คนที่ทำความดีก็มีข้าวกินมีผ้านุ่งหุ่ม มีอะไรตามที่ต้องการจะมี เขาเรียกว่าค่าบูชาคุณ หรือว่าเรียกธรรมดาสามัญก็คือ เงินช่วยเหลือให้ผู้ที่ทำหน้าที่มีประโยชน์และทำหน้าที่ของตนได้ ที่นี้พระก็ทำหน้าที่ที่มีประโยชน์ที่เรียกว่าสูงสุดเท่าที่จะทำได้ฉะนั้นจึงมีสิทธิที่จะรับอาหารหรือเครื่องเกื้อกูลเหล่านั้น มันก็เลยไม่อดตายฉะนั้นต้องเข้าใจให้ชัดว่า พระต้องทำงานชนิดที่ออกเหงื่อเพื่อล้างตัวกู ถ้าเพื่อเลี้ยงตัวกูก็ไม่ใช่พระเลย หมดความเป็นพระไปเลย นั้นก็รวมความกันเสียทีหนึ่งว่าพระทำงานเลี้ยงตัวกูมีข้าวกิน
ที่นี้ฆราวาสจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ที่นี้มันก็อยู่ที่จิตใจ ถ้าเขาเป็นคนมีอุดมคติถูกต้องมาแต่ทีแรกว่าเราเกิดมาเพื่อจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ งั้นเราก็ต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ถ้ามีบุตรภรรยาก็ว่าเพื่อช่วยร่วมมือกันทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เรียกว่าทำสืบต่อไปอีกเมื่อบิดามันตายลงลูกก็ทำต่อไป ให้มนุษย์ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ถ้าทุกคนถือหลักอย่างนี้เรื่องมันก็ง่าย เพราะว่าการที่เกิดมาแล้วทำอะไรอยู่เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นี้มันเป็นเรื่องล้างตัวกูอยู่ในตัวแล้วโดยไม่รู้สึก คนที่ได้อะไรมาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียเลี้ยงตัวเองมันเป็นเรื่องผลพลอยได้ เป็นคำที่เขาไม่ยอมรับและหาว่าบ้าบอ ในการที่เรามีข้าวกินเลี้ยงครอบครัวอยู่ได้นี่เรียกว่าเป็นผลพลอยได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผลจริง ๆ คือว่าได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะทำหรือควรจะได้ เขามาคิดแต่ว่าเกิดมาเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองและก็มีครอบครัวก็เลี้ยงครอบครัวอย่างนี้มันก็ไปไม่รอด มันติดอยู่ที่นั่น ก็ทำเพื่อตัวกูเพื่อของกูไปหมด เหงื่อออกมาเท่าไหร่มันก็เพื่อเลี้ยงตัวกูเลี้ยงของกู แต่ถ้าเขาเป็นคนคิดถูกตามอุดมคติอย่างที่ว่าแล้วมันก็เป็นเรื่องเหงื่อออกมาก็ล้างตัวกูได้ เพราะเขามุ่งทำประโยชน์สูงสุดที่ไม่เป็นการเห็นแก่ตัว ช่วยกันบำรุงความเป็นมนุษย์ให้มนุษย์ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ก็ทำเพื่อสิ่งนี้ ในการทำสิ่งนี้มันต้องทำลายความเห็นแก่ตัว เพราะสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับคือหมดความเห็นแก่ตัว มีจิตใจที่สะอาด สว่างสงบ มีสันติหรือความสุขถึงที่สุดทั้งตัวเองและผู้อื่น ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น นี่คือข้อที่ว่ามันจะช่วยได้ก็เพราะอุดมคติอย่างนี้ งานทำลงไปนี่มันเป็นการทำให้มนุษย์ได้ดีที่สุด ส่วนเงินที่ได้จากการทำการงานถือเป็นของเล็กน้อยเป็นของที่พลอยได้ เพราะว่าเขาช่วยกันบริจาคเลี้ยงดูไว้
สมมติว่าทำงานมีเงินเดือนหรือถ้าว่าทำงานช่วยตัวเองไม่มีใครให้เงินเดือนมันก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยส่วนน้อยที่ต้องทำ เรายังมีหน้าที่โดยตรงหรือหน้าที่ส่วนใหญ่อยู่ที่ว่าให้ได้ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ การเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเลี้ยงครอบครัวนี้ก็เพื่ออยู่ได้เพื่อมีชีวิตอยู่ได้ เพื่อจะได้ทำหน้าที่โดยตรงคือคุณธรรมสูงสุดของมนุษย์ พอมีหลักอย่างนี้เรื่องเหงื่อเลี้ยงตัวกูมันจะคลายได้ กลายเป็นเหงื่อล้างตัวกูได้ ที่เราเคยพูดถึงเรื่องแก้ของร้ายกลายเป็นดี ทำให้ราคะกลายเป็นธรรมราคะ ทำโทสะให้กลายเป็นนิพิทา เป็นต้น อย่างนี้ก็มีการทำ Sublimate ของเลวให้เป็นของดี เหงื่อที่เคยเป็นเหงื่อเลี้ยงตัวกูมันก็กลายเป็นเหงื่อที่ล้างตัวกูได้ ทำอย่างเดียวกันเหงื่อออกเท่ากันแต่มีความหมายคนละอย่าง ดังนั้นฆราวาสได้ทำงานอยู่อย่างเหงื่อไหลไคลย้อยให้ถือว่าเราทำหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำ ก้มหน้าก้มตาทำตะบันหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำ โดยไม่หวังอะไรตอบแทนอยู่ตามเดิม ทีนี้มันมีระเบียบมีกฎหมายมีอะไรที่จะต้องให้เงินเดือนจะต้องเกิดผลขึ้นมา ผู้นั้นจะต้องมีสิทธิเป็นเจ้าของและเป็นผู้กินผู้ใช้ นั้นให้ถือว่ามันไม่เกี่ยวกับความยึดถือของเรา ให้กลายเป็นว่ามันมาเอง ปฏิบัติได้หรือปฏิบัติไม่ได้ก็ขอให้ลองคิดดู
สมมติว่าข้าราชการคนหนึ่งทำหน้าที่ในหน้าที่ที่เขามอบหมายให้ทำ โดยบูชาหน้าที่ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ตามอุดมคติของศีลธรรมอันสูงสุด ทุกวันที่จะไปรับเงินเดือนมันก็ถือเหมือนได้รับของบูชาหรือความเห็นอกเห็นใจของโลกที่เขาเลี้ยงดูเรา ให้เราคงมีชีวิตอยู่เพื่อทำหน้าที่ที่เขามอบหมายนั้นได้ ถ้าถือหลักอย่างนี้เหงื่อที่เลี้ยงตัวกูก็กลายเป็นเหงื่อล้างตัวกู เมื่อไม่มีความเห็นแก่ตัวมันก็สะอาดคือไม่คอรัปชั่น ไม่ทำอะไรทุกอย่างที่ไม่ควรทำ และก็ไม่เพิ่มความยึดมั่นถือมั่นในทางจิตทางวิญญาณ ทำได้หรือไม่ได้ลองคิดดู ในใจของเราใครจะมาบังคับเราได้ เราจะตั้งใจว่าอย่างไร และก็ทำราชการตามหน้าที่ที่ถูกมอบหมายเหมือนคนอื่นเหมือนกันแต่ในใจต่างกันลิบคนหนึ่งทำเพื่อตัวกูเพื่อเลี้ยงตัวกู มันพร้อมที่จะโกงรัฐบาลหรือโกงส่วนรวมโกงประชาชน โกงเวลาโกงอะไรทุกอย่าง จะทำแต่น้อยจะเอาให้มาก ไปเล่นไปหัวในเวลาราชการ มันทำเพื่อเลี้ยงตัวกู ไม่ได้คิดว่าเป็นหน้าที่ของมนุษย์ คิดว่าทำเพื่อเอาผลเป็นวัตถุเพื่อเป็นของกู มันก็กลายเป็นผู้แข่งขัน ผู้ต่อสู้ ผู้เอาเปรียบ ผู้เสียเปรียบกันไปทำนองนั้น
ถ้าเขาถือศาสนาเคร่งครัดจะเป็นศาสนาพุทธหรือศาสนาอื่นที่มีพระเจ้าก็ได้เหมือนกัน ก็ทำตามหน้าที่ของธรรมะทำตามความประสงค์ของพระเจ้า ทุกสิ่งมันเป็นของพระเจ้าชีวิตของตัวเองก็เป็นของพระเจ้า ครอบครัวก็เป็นของพระเจ้า เงินทองก็ของพระเจ้า การงานก็ของพระเจ้า ความสุขความทุกข์ความเป็นความตายแล้วแต่พระเจ้า คนชนิดนี้ทำงานบริสุทธิ์ ล้างตัวกูอยู่ในตัวเพราะมันทำเพื่อพระเจ้าซึ่งไม่ใช่ตัวเอง ถ้าเป็นชาวพุทธก็ถือว่าพระเจ้าคือพระธรรม คือธรรมชาติ เป็นกฎของธรรมชาติ เป็นสมบัติของธรรมชาติ ก็ทำไปตามหน้าที่ ก็ไม่ต้องมีตัวกู ก็คิดดูว่ามันทำได้หรือไม่ได้ ผมรู้สึกมันทำได้โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงในภายนอกให้ใครอื่นรู้ คือคงทำไปอย่างเดิมเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ในจิตใจต่างกันลิบ งานก็ทำอยู่ที่ออฟฟิตด้วยกัน ถึงเดือนก็ไปรับเงินเดือนด้วยกัน อะไรก็เหมือน ๆ กัน ไม่มีใครรู้ งั้นขอให้เอาไปคิดดูว่า แม้เป็นฆราวาสก็ปฏิบัติโดยหลักให้ออกไปเสียซึ่งตัวกูและของกูได้ตามสมควรแก่การปฏิบัติ ต้องใช้คำอย่างนี้ ตามสมควรแก่ฐานะ ถ้ามีจิตใจสูงก็ทำได้มากกว่าพระ เพราะพระที่ทำงานเพื่อเห็นแก่ตัวเลี้ยงตัวเหงื่อเลี้ยงตัวนี้ก็มีอยู่มาก ฆราวาสจะมีโอกาสที่จะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีก็ได้ ทั้งที่พระอีกมากมายเป็นไม่ได้ นี้มันมาแล้วแต่ดึกดำบรรพ์ มันอยู่ที่จิตใจสูงและต่ำอย่างไร ปัญหาที่เขาเคยขัดแย้งควรจะถูกสะสางกันเสียด้วยการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าไม่ยอมรับอุดมคติที่ทำงานล้างตัวกูจะทำให้เป็นสัตว์นรก หรือตกอบายหรืออะไรตลอดเวลา แล้วก็ไม่รู้ว่าตกต่ำถึงขนาดนั้นนั่นคือคนโง่ ตกอบายอยู่ก็ไม่รู้ว่าตกอบาย ถ้าเปลี่ยนจิตใจจนถูกต้องก็ไม่มีการตกอบายอีกต่อไป มีแต่จะสูงขึ้นไปในทางธรรม รับประกันว่าไม่มีการตกอบายตามความหมายของพระโสดาบันว่าไม่มีการตกต่ำอีกเป็นธรรมดา
ก็ลองคิดดูต่อไปว่ามันยากที่ตรงไหน มันเหลือวิสัยที่ตรงไหน เพียงแต่ว่าเราจะคงทำงานอยู่ตามเดิมอย่างเดิม แต่เปลี่ยนจิตใจให้มันตรง ตามอุดมคติของพระธรรมหรือของพระเจ้า หรือว่าของความหมายของมนุษย์ก็ตามใจ มนุษย์นี่ไม่ใช่เล่น ๆ ความหมายสูงมากแปลว่ามีใจสูงก็ได้ เป็นเหล่ากอของพระมนูซึ่งมีจิตใจสูงสุดก็ได้ นี่โทษที่ไม่สนใจในคำสอนของพระพุทธศาสนาอยู่ในพระไตรปิฏกก็ไม่เคยอ่านเคยพบ นี้มีผู้พบผู้อ่านพบเอามาพูดให้ฟังก็ไม่ยอมฟัง ปฏิเสธชนิดที่เรียกว่ายืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เหมาะสำหรับเราใช้ไม่ได้สำหรับเรา มันก็เลยคุยกันไม่รู้เรื่อง ที่นี้เราจะไม่พูดแบบอ้างนั่นอ้างนี่นอกจากอ้างตัวเขาเองให้เขาไปคิดดูเองว่ามีชีวิตอยู่ด้วยความกระหาย ความยึดมั่นถือมั่นนี้เป็นอย่างไร แล้วก็ให้ดูโลกทั้งโลกที่กำลังเป็นอยู่นี้เป็นอย่างไร เราพูดได้โดยใช้คำว่าโลกทั้งโลกกำลังอาบเหงื่อชนิดเลี้ยงตัวกูอย่างนี้ ใช้คำว่าทั้งโลกนี้ก็หมายความว่าส่วนใหญ่เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของทั้งโลกก็เรียกว่าทั้งโลกได้ ถ้าถึงขนาดเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ก็ต้องถือว่าทั้งโลก เขากำลังอาบเหงื่อที่เลี้ยงตัวกู มันไม่ใช่เพียงแต่เท่านั้น ไอ้เหงื่อเลี้ยงตัวกูของเขามันสกปรกมากเข้ามากเข้า มันก็เลยทำทุจริตทุกอย่างที่เขาจะทำได้ โลกจึงอยู่ในสภาพที่เดือดร้อนเป็นวิกฤตการณ์ถาวรอยู่ตลอด เดือดร้อนเพราะสงครามเดือดร้อนเพราะเศรษฐกิจ เดือดร้อนเพราะธรรมชาติทุก ๆ อย่าง มันมาจากความเห็นแก่ตัวกูของกู พอไม่เห็นแก่ตัวกู ความตายแท้ ๆ นี่ก็ไม่มีความหมายอะไร ไม่เดือดร้อนด้วยอะไร นี้ดูโลกทั้งโลกให้มาก ๆ มันเดือดร้อนอยู่ด้วยอะไร มีแต่เหงื่อที่เลี้ยงตัวกูมันไม่มีเหงื่อที่ล้างตัวกูไม่มีใครกำลังเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่เพื่อพระเจ้า เพื่อมนุษยธรรม หรือเพื่อพระธรรมเลย มันเพื่อตัวกู เพื่อครอบครัวของกู เพื่ออะไรล้วนแต่เป็นของกู จึงมีผลอย่างนี้
เราควรจะสังเวช สลดใจ หรือเบื่อกันบ้างในทางที่จะเป็นทาสของตัวกู หล่อเลี้ยงตัวกู กลายเป็นล้างตัวกู ตัวกูออกไปได้เมื่อไร ธรรมะเกิดขึ้นเท่านั้น พระเจ้าเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่มีตัวกูคือมีสิ่งที่ตรงกันข้ามก็คือธรรมะ ธรรมะในความหมายกว้าง ความดี ความงาม ความจริง ความยุติธรรม ความถูกต้อง ความอะไรรวมอยู่ในนี้ สิ่งเหล่านี้ในคำว่าธรรมะนี้ในฐานะเป็นเหตุ และก็มีความสุข มีบุญมีกุศลมีความหลุดพ้น อะไรก็รวมอยู่ในคำ ๆ นี้ ให้ตัวกูออกไปเสียธรรมะก็มีเข้ามาแทน พระเจ้าคือสิ่งนี้ หรือจะเรียกว่าของที่ประทานมาจากพระเจ้าก็คือสิ่งนี้ ปีศาจหางไหม้ไฟเปลี่ยนรูปมันก็เปลี่ยนเป็นโพธิสัตว์ ความเห็นแก่ตัวมันก็เป็นปีศาจหางไหม้ไฟ พอเห็นแก่ผู้อื่นก็เป็นโพธิสัตว์ เป็นปีศาจหางไหม้ไฟก็อาบเหงื่อที่เลี้ยงตัวกูเป็นโพธิสัตว์ก็อาบเหงื่อที่ล้างตัวกูไป มันไม่ได้แปลกมากมายไม่ได้แปลกกันมากมายเพราะว่าเราคงทำอยู่อย่างเดิม ใครมีหน้าที่อะไรในชีวิตประจำวันก็ทำไปตามเดิม ไม่ต้องเปลี่ยนไม่ต้องเลิก ทำนาก็ทำไป ทำสวนก็ทำไป ค้าขายก็ทำไป เปลี่ยนแต่อุดมคติในจิตใจ ความหมายเปลี่ยน จิตใจก็เปลี่ยน วิญญาณก็เปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยน ไม่เห็นมันเหลือวิสัยที่ตรงไหน มันอาจจะยากบ้างแต่ไม่เหลือวิสัย ความยากมันแก้ได้ด้วยการค่อยทำค่อยไปที่เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ทั้งฆราวาสทั้งบรรพชิต คือแก้ไขเลวนี้ให้มันดี เราใช้คำว่าแก้ไขเหงื่อนี้ เหงื่อที่เคยเป็นเหงื่อเลี้ยงตัวกูให้เป็นเหงื่อที่ล้างตัวกู ค่อย ๆ ทำค่อย ๆ ไป ไม่สนใจอวดดีนี้คือประมาท ประมาทก็คือตายแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนั้น ว่าคนที่ประมาทแล้วก็คือคนที่ตายแล้ว ทั้งที่ยังเดินได้พูดได้กินได้ คนประมาทในที่นี้ก็คือคนที่ไม่สนใจเรื่องนี้ และก็ไม่แก้ไขเรื่องนี้ให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง จะเป็นพระเป็นเณรก็ตาม เป็นฆราวาส อุบาสกอุบาสิกาก็ตาม ไม่แตกต่างอะไรกัน ขอให้แก้ปัญหาข้อนี้ให้ตกไปเราจึงจะสามารถบำเพ็ญทานอันสูงสุด ทานที่ห้าจะเรียกอุปธิทาน หรืออัสมิมานะทานแล้วแต่จะเรียก จะสามารถบำเพ็ญทานอันสูงสุดในระดับสูงอันที่ห้านี้ได้