แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันนี้จะได้กล่าวถึงการให้ทานตัวกูของกูออกไปอย่างไร ในครั้งที่แล้วมา เราก็ได้พูดถึงการให้ทานตัวกูของกูเหมือนกัน แต่พูดกันในแง่ที่ว่าทำไมถึงต้องให้ทานตัวกูของกู จนวันนี้เราก็จะพูดกันในแง่ที่ว่าจะให้ทานมันอย่างไร เมื่อพูดถึงข้อที่ว่าจะละตัวกูของกูออกไปอย่างไร มันก็ต้องยอมรับกันในขั้นแรกว่ามันเป็นเรื่องยืดยาว เป็นเรื่องที่ยาก มันจึงยืดยาว เพราะฉะนั้น ถึงจะต้องนึกถึงสิ่งที่เรียกว่าการบำเพ็ญบารมี
คำว่าบารมี มักจะเข้าใจผิดกันไปเสียว่าสำหรับพระพุทธเจ้าหรือผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ที่จริงคำว่าบารมีนั้นใช้ได้แก่ทุกคน บารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ บารมีเพื่อเป็นสาวก พระสาวก เป็นพระอรหันต์ก็ได้ แต่ในความหมายทั่วไป แล้วก็ใช้ได้แก่ทุกคน เพราะว่าความหมายของคำๆนี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ทำเรื่อยๆไป นี่คือทำเรื่อยๆไปกว่าจะประสบความสำเร็จ ถึงจะออกไปได้
ความหมายของคำๆนี้โดยตัวหนังสือยังเป็นปัญหา อย่างน้อยก็๒ปัญหา คือว่าทำให้เป็น นี่อย่างหนึ่ง แล้วก็เพื่อ ข้ามฟากไปสู่ฝั่งนอก นี่อย่างหนึ่ง ทำให้เป็นก็คือพยายามจนกว่ามันจะถึงที่สุด เมื่อเราจะทำอะไรที่มันเป็นเรื่องยืดยาวแล้วก็ต้องหลีกไม่พ้นที่จะต้องใช้สิ่งที่เรียกว่าทำบารมี คือทำเรื่อยๆไป แม้แต่ทำให้ใครรักหรือให้เกลียดสักคนหนึ่งนี่ก็ต้องทำเรื่อยๆไป
แต่ว่าความหมายที่ดีมันมีอยู่ว่า ออกไปฝั่งโน้น เครื่องที่ทำให้ออกไปฝั่งโน้น จุดหมายปลายทางหรือความเป็น นี่มันอยู่ที่ฝั่งโน้น ฝั่งนี้มันก็คือ กิเลส อยู่กันกับกิเลส อยู่กันกับความทุกข์ ทีนี้ ฝั่งโน้น นอกออกไป ไม่ใช่ฝั่งนี้ จึงจะเรียกว่าไม่มีทุกข์ มีนิพพานเป็นจุดหมายปลายทาง ฝั่งนี้ก็คือความทุกข์ ฝั่งโน้นก็คือไม่มีทุกข์ นะ
เมื่อเราจะต้องนึกถึงคำว่าบารมี ในการที่จะละตัวกูอันแสนจะละได้ยาก มันเหนียวแน่น มันลึกซึ้งหรือว่ามัน มองไม่เห็นตัว เพราะว่ามันเป็นนามธรรมหรือความคิดปรุงแต่งแค่นั้นเอง แต่ถึงจะมองไม่เห็นตัว มันก็ยังจับตัวได้ ว่ามันเป็นอย่างไรและเมื่อไร ที่มันเห็นได้ง่ายก็คือเมื่อมันยกหูชูหาง เมื่อตัวกูยกหูชูหาง เห็นได้ง่าย ก็เข้าใจกันดีแล้ว ก็พูดกันมาหลายครั้งแล้วว่าเมื่อมันยกหูชูหาง คือมันยังไง
แต่ถ้าพูดกันโดยทั่วๆไป ก็ว่าเมื่อมันมีความรู้สึกที่เป็นการเห็นแก่ตัว และมีความโลภบ้าง มีความโกรธบ้าง มีความหลงบ้าง แต่ว่าถึงจุดสูงสุดมันแล้วมันก็ยกหูชูหาง คือไม่ยอม ไม่ยอมทุกอย่าง เรื่องรักก็ดี เรื่องเกลียดก็ดี เรื่องโง่ก็ดี มันไม่ยอมทุกอย่าง มันก็เป็นอาการเหมือนกับยกหูชูหาง ถึงเราจะไม่รู้ว่าตัวกูมันคืออะไรแน่ แต่เราก็รู้จักอาการยกหูชูหางของมัน
นี่เป็นเรื่องจิตใจมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ เรื่องวัตถุก็ยังเป็นอย่างนี้ เช่นไม่มีใครรู้จักตัวไฟฟ้า แต่รู้จักกระแสไฟฟ้า รู้จักเอาไฟฟ้ามาใช้อย่างนั้นอย่างนี้ทั้งที่ไม่รู้จักว่าตัวไฟฟ้าแท้ๆนั้นมันคืออะไร นี่เป็นเรื่องวัตถุแท้ๆก็ยังไม่มีใครรู้ นี่เรื่องนามธรรมเรื่องจิตใจมันก็ยิ่งยากไปกว่านั้น รู้ยากไปกว่านั้น แต่ว่าเราพอจะรู้มันได้เท่าที่จำเป็นและเท่าที่เราจะแก้ไขมันได้หรือทำลายมันได้
ทีนี้มันมีปัญหาว่าจะบำเพ็ญบารมีคือทำเรื่อยๆไป เพื่อจะละตัวกูอย่างไร มันก็เป็นเรื่องที่พูดได้ตามหลักสามัญสำนึกทั่วๆไปเหมือนกับที่เราทำกันอยู่กับสิ่งอื่นๆ เหมือนกับลูกจะเลี้ยงแม่ เอ้ย แม่จะลี้ยงลูกหรือว่า ครูจะอบรมลูกศิษย์ อะไรทำนองนี้ มันก็มีอุบาย มีสิ่งที่เรียกว่าอุบาย คือเครื่องให้สำเร็จ
นี่ถ้าอุบายนั่นในทางธรรมะเขาก็แยกออกเป็น๒อย่างก่อน อุบายอันแรก ก็เรียกว่า ข่มขี่ นิคะหะ ขมขี่ปราบปราม คือว่าเอาร้ายเข้าว่า อุบายที่สองคือ ปักคะหะ (ไม่แน่ใจนาทีที่ 8.32) มันก็คือ เอาดีเข้าว่า เอาดีเข้าใส่ เมื่ออบรมเด็กก็มี เมื่ออบรมลูกก็มี อะไรก็มี มันก็มีอุบายที่จะต้องเป็นอย่างนี้ คือบางเวลาก็ใช้ความอ่อนหวาน บางเวลาก็ใช้ความดุดัน ตรงกันข้ามอยู่ ทั้งที่มันตรงกันข้ามมันก็ยังต้องใช้ทั้งสองอย่าง เพราะบางเวลามันไม่เหมือนกัน
อันดับแรกก็หมายถึงการข่มขู่นี่ คือ นิคะหะ ก็แปลว่ามีอะไรที่จะบีบบังคับไอ้ตัวกูนี่ลงไปตรงๆ เมื่อตัวกูมันคือความเห็นแก่ตัว การบีบบังคับลงไปตรงๆก็คือทำลายความเห็นแก่ตัว งั้นโดยหลักอันแรกนี้ เราจะต้องมีความเป็นอยู่หรือมีชีวิตอยู่ด้วยการบีบบังคับความเห็นแก่ตัวกันอย่างซึ่งๆหน้า
สำหรับการบีบบังคับตัวกูนี่ มันมีหลายอย่างหลายวิธีเหมือนกัน ยกตัวอย่างให้ฟังเป็นอย่างๆพอที่จะเข้าใจได้ อันแรกที่สุดที่ว่าเป็นประจำวันหรือสามัญที่สุดก็เรื่องใช้เหงื่อนี่ล้างตัวกู นี่เป็นคำสรุปความ ขยายความออกไปได้มาก แต่ว่าสรุปความแล้วก็อยากจะพูดว่า ใช้เหงื่อล้างตัวกู หมายความว่าจะต้องทำอะไรด้วยความเสียสละอยู่เสมอ ไอ้ตัวกูน่ะมันจะเอา ถึงมันจะเอาเปรียบ หรือมันจะขี้เกียจ นี่เราก็แก้กันด้วยการที่ทำอย่างตรงกันข้าม ไม่เอา ไม่เอาเปรียบ ไม่ขี้เกียจ นี่ก็ใช้เหงื่อล้างตัวกู
แต่ก็มีความหมายที่ต้องทำความเข้าใจให้ดีหรือจำกัดกัน จำกัดความกันไว้ให้ดี ทำงานคือใช้เหงื่อหล่อเลี้ยงตัวกูมันก็มี นั่นคือทำงานเพื่อเห็นแก่ตัว ทำงานเลี้ยงตัวเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย เหงื่อไหลไคลย้อย ชาวไร่ชาวนามันก็มีเหงื่อ แต่เหงื่ออย่างนั้นมันเหงื่อเพื่อเลี้ยงตัวกู เดี๋ยวนี้เราใช้คำว่าเหงื่อเพื่อล้างตัวกู เหงื่อออกไปมากเท่าไรมันก็ล้างตัวกูได้เท่านั้น เราจึงมีหลักเกณฑ์ว่าจะต้องสละเหงื่อเป็นประจำวัน คำว่าเหงื่อนี่คือความเหน็ดเหนื่อย จะทำอะไรก็ได้ อย่างที่เราอยู่กันที่นี่ ก็มีทำงานกันคนละอย่างสองอย่าง ไม่เหมือนกัน งานบางอย่างเหงื่อจริงๆออกมา แต่งานบางอย่างไม่ถึงกับเหงื่อออกมาแต่มันก็เป็นเหงื่อเหมือนกันคือการเสียสละก็ต้องเรียกว่าเหงื่อ เหงื่อที่ล้างตัวกูคือไม่ได้หวังอะไรตอบแทน ไม่ได้รับอะไรเป็นรางวัลหรือว่าแม้แต่ความชมเชยหรือคำขอบใจสักคำหนึ่งก็ไม่ต้องการอย่างนี้ ทำงานอย่างนี้มันเป็นเหงื่อที่ล้างตัวกู ฉะนั้นจึงขอให้ทุกองค์พยามถือเป็นบทเรียนประจำวัน ถึงเวลาที่พอสมควรแล้วก็จงทำงานชนิดที่ใช้เหงื่อนี่ล้างตัวกูกันบ้าง ส่วนทำงานชนิดที่ใช้เหงื่อเลี้ยงตัวกูนั้นทำกันอยู่ทั่วไปทำกันอยู่มากมาย ที่นี่ก็ทำเป็นส่วนตัว ที่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวนั่นเป็นเหงื่อเลี้ยงตัวกูทั้งนั้น ที่เราทำด้วยจิตว่าง ไม่ใช่เพื่อตัว ไม่ใช่เพื่ออะไรแก่ตัวละก็ มันก็เป็นเหงื่อล้างตัวกู ทำแก่ส่วนรวมก็ยังดี แต่ขอให้คิดเลยไปกว่านั้นว่าไม่ต้อง ไม่ทำเพื่อส่วนรวมก็ได้ ไม่ทำ เอ่อ ทำเพื่อศาสนาก็ยังดี แต่ว่าไม่ทำเพื่อศาสนาก็ยังได้ ขอให้ทำเพื่อความว่าง ทำเพื่อความว่างแล้วมันจะเป็นเหงื่อที่ล้างตัวกูถึงที่สุด ขอให้ดัดแปลงการทำงานประจำทุกวันทุกวันที่ทำอยู่นี่ ให้เปลี่ยนจากไอ้เหงื่อเลี้ยงตัวกู มาเป็นเหงื่อล้างตัวกู
ที่มีเรื่องน่าขันอยู่ว่าเมื่อผมพูดอย่างนี้ พระเณรที่ขี้เกียจบางองค์นั้นว่าผมพูด หลอกให้ทำงาน นี่เป็นเรื่องที่ได้มีอยู่จริง พระเณรที่ขี้เกียจเอาเปรียบบางองค์น่ะเข้าใจว่าผมพูดอย่างนี้คือพูดหลอกให้ทำงาน จะได้ขยันขันแข็ง แต่ขอร้องว่าอย่ามองกันไปในแง่นั้น ให้มองไปในแง่ที่ว่าเป็นบทเรียนประจำวันสำหรับเป็นเหงื่อที่ล้างตัวกู เป็นอุดมคติของโพธิสัตว์ เมื่อไม่บวช อยู่ที่บ้านหรือทำงาน เป็นเหงื่อเลี้ยงตัวกูทั้งนั้น ที่บวชเข้ามาแล้วในวัดนี้ก็ทำงานชนิดที่เป็นเหงื่อเลี้ยงตัวกูอยู่หลายอย่างเหมือนกันนะ ทำนั่นทำนี่ ที่ทำเพื่อส่วนตัว เพื่อประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ต้องมีเวลาที่จัดไว้เฉพาะ สำรวมจิตใจให้ดี มีความตั้งใจให้ดี ทำให้งานที่กำลังทำอยู่ เหงื่อไหลไคลย้อยหรือไม่เหงื่อไหลไคลย้อยก็ตาม เรียกว่าให้มันเป็นเหงื่อที่ล้างตัวกู อย่างน้อยก็ให้มีทุกวัน เรียกว่าเป็นเวลาที่ปฏิบัติธรรมด้วยส่วนหนึ่งเหมือนกัน ที่จะไปเรียนหนังสือ ไปทำสมาธิ ไปนั่งสงบ อย่างนั้นมันก็มีอยู่เป็นส่วนๆแล้ว แต่ว่าอีกส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้นี่ ขอให้มีเวลาที่ทำอะไรด้วยความเสียสละ ซึ่งเป็นความเหน็ดเหนื่อยเสียสละนั้น ทำเพื่อใครก็ไม่รู้ เรียกว่าเพื่อความว่าง อย่าเพื่อตัวเท่านั้นเอง ให้มีอยู่ทุกวัน ให้เกิดนิสัยขึ้นมา นั่นก็จะค่อย ค่อยๆแก้ไขให้ได้ทีละเล็กทีละน้อยเรื่อยๆไป
แต่ต้องสำรวมจิตใจให้ดีๆ เพราะว่ามันจะเกิดไอ้ความคิดที่เป็นเห็นแก่ตัวกูขึ้นมาได้โดยไม่รู้สึกตัว แล้วอย่างหนึ่งการทำงานนี้มันทำให้เหนื่อย พอเหนื่อยเข้าแล้วมันโกรธ คนเราพอเหนื่อยเข้าแล้วมันโกรธ มันหงุดหงิด นี่โกรธหรือหงุดหงิดนั่นเป็นเรื่องตัวกู หรือการทำงานนี่บางทีมันก็กระทบกระทั่งกับคนนั้นคนนี้ นั่งอยู่คนเดียวก็ไม่มีกระทบกระทั่งกับใคร พอมารวมกันทำการทำงานเป็นหมู่เป็นคณะอย่างนี้ มันก็มีเรื่องกระทบกระทั่งที่ทำให้ตัวกูออกมา ประชดประชันด่าว่ากันก็มี มันก็เป็นโอกาสที่จะทดสอบตัวกูด้วย ถ้าหลีกไปอยู่คนเดียว ไม่ทำอะไรเกี่ยวข้องกับใคร เรื่องอย่างนี้มันก็ไม่เกิด ที่เรามาทำกันเป็นคณะ หลายๆคน มันก็มีโอกาสที่จะเกิด ก็ถือว่าดี เราจะได้รู้ว่ามันมีหรือไม่มี มีมากน้อยเท่าไร มันดีกว่าที่ว่าเอามุ้งมากางเสียแล้วก็อวดว่ากูถือศีลไม่ตบยุง อย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องคล้ายๆกันกับที่ว่าไม่ทำอะไรแล้วก็เลยไม่รู้สึกว่าไม่มีบาปอะไร
รวมความแล้วก็จะต้องยกเอาความเสียสละมาเป็นข้อแรก อย่างบารมีของพระพุทธเจ้า อย่างชนิดสิบ0หรือชนิดหกก็ตาม มันก็มีคำว่าทานมาหน้า ขึ้นมาข้างหน้า การเสียสละหรือเพื่อใครก็ไม่รู้ อย่าเพื่อตัวเอง นี่ก็เป็นอันหนึ่งที่เรียกว่าเป็นคู่ปรับหรือว่าเป็นการกระแทกตัวกูเข้าไปจังๆ ซึ่งหน้า เป็นการข่มมัน เมื่อมันอยากจะขี้เกียจ อยากจะเห็นแก่ตัวหรือ เราก็ทำลายมัน พูดง่ายๆคือประชด ประชดตัวกู อุตส่าห์ทำเหน็ดเหนื่อย ลำบากลำบนต่างๆ กูไม่ให้มึง คือไม่ทำให้ตัวกู กูไม่ทำให้มึง ก็หมายความว่าประชดตัวกู นี่ก็เป็นอย่างหนึ่งแล้ว ใช้เหงื่อล้างตัวกู
อันต่อๆไปก็อยากจะพูดถึงว่า เป็นอยู่อย่างต่ำๆ อย่างที่เรามีหลักว่า กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างทาส อะไรทำนองนี้ ชนิดที่พวกคนโง่เขาเห็นว่า เป็นอยู่อย่างอดๆอยากๆนั่นแหละ ดี กินข้าวจานแมวอาบน้ำในคู นี่หมายความว่าเป็นอยู่อย่างต่ำๆหรือว่ากินอยู่อย่างอดๆอยากๆ ก็ระวังให้ดี มันมีทางที่ว่าจะกลับหลังหรือว่าจะล้มละลายโดยไม่รู้สึกตัว เมื่อเราอยากจะกินอยู่อย่างต่ำๆง่ายๆ อดๆอยากๆอย่างนี้ มันกลายเป็นตรงกันข้ามก็มี คือว่าคนทายกทายิกาเขากลับเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ คราวหนึ่งถือธุดงก์ไปบิณฑบาต ก็จะฉันแต่ในบาตร เท่าที่มันจะได้มาในบาตร ที่ไหนได้ คนนั้นคนโน้นคนนี้รุมใส่แต่ของดีๆ มากๆ จนแม้ จนๆการฉันในบาตรนั่นมันก็กลายเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยไปกว่าที่ไม่ฉันในบาตรเสียอีกก็มี
ฉะนั้นเราต้องเอาความจริงหรือความซื่อตรงนี่เข้ามาว่ากัน แต่ใช้คำว่า ไม่ เอ่อ เป็นอยู่อย่างต่ำๆ เป็นอยู่หรือกินอยู่อย่างต่ำๆอย่างง่ายๆ ความคิดมันจึงจะไปสูง ถ้ากินอยู่สูงแล้วความคิดมักจะดิ่งลงต่ำ มันกลับกันอยู่อย่างนั้น กินอยู่ต่ำๆความคิดมันก็จะมุ่งไปทางสูง ถ้ากินอยู่สูงๆ ความคิดมันก็ต้องลงต่ำล่ะ เพราะมันไม่มีที่จะไปแล้ว นี่เป็นหัวข้อสั้นๆ รายละเอียดไปดูเอาเองไปว่าเอาเอง
นี่ข้อถัดไปก็อยากจะพูดถึงข้อปลีกย่อยอื่นเช่นว่า เป็นอยู่อย่างปอน คำว่าปอนนี่ไม่ได้หมายความว่าสกปรกหรือรุ่มร่ามน่าเกลียด โดยใช้ของง่ายๆปอนๆ อย่าใช้ของแพง อย่างใช้ยาถูฟันหอมฟุ้งนี่ไม่ใช่ปอน ก็เป็นเรื่องชาวบ้าน เป็นเรื่องของคฤหบดี ใช้ไม้เคี้ยวฟันอย่างโบราณนั่นมันจึงจะเรียกว่าเหมาะสมกับพระ หรือปอน หรือไม่ใช้เสียเลยก็จะใครจะว่าอะไร ไม่ใช้เสียเลยมันก็อาจจะปอนมากไปก็ได้ แต่ว่ามันก็แล้วแต่จะทำเหมือนกัน
ไอ้ระเบียบปอนของบรรพชิตสมัยโบราณก่อนพุทธกาลเขามีอยู่ ซึ่งมันก็อาจจะเกินไป เกินไปสำหรับเราสมัยนี้ โดยเฉพาะในพุทธศาสนานี่อาจจะเกินไป ก็คือไม่ถูฟันนั่นนะ พูดง่ายๆ ไม่ถูฟันเลย ไม่ ไม่ถู ไม่แต่เพียงว่าบ้วนปากหรือเอามือเอานิ้วมือถู อย่างเดี๋ยวนี้เรายังเอานิ้วมือถู หรือใช้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออะไรเช็ดก็ยังได้ โดยไม่ต้องใช้แปรงชุบยาหอมถู บังกะทันตา(ไม่แน่ใจนาทีที่25.35) แปลว่ามีโคลนมีตมที่ฟัน คือขี้ฟันน่ะ คือไม่เคยล้างไม่เคยบ้วนปาก ศิลา(ไม่ชัดนาทีที่ 25.47) คือตัวเต็มไปด้วยฝุ่น ก็เขาไม่เคยอาบน้ำ ไม่เคยลูบล้างเช็ดตัวอะไรเลย ตลอดชีวิต ไม่เคยโกนผม นี่ผมมันก็ยาว แล้วก็ไม่เคยหวีผม มันก็เลยติดกันเป็นรุงรังไปเลย นั่นที่เรียกว่าดาบส ฤษี มุนี ตามแบบเดิมแท้เป็นอย่างนั้น ปอน ถึงที่สุดของการปอน ก็เพื่อประชดตัวกูเหมือนกัน แต่เรารู้สึกว่ามากไป ผมโกนมันเสีย น้ำก็อาบบ้าง ฟันก็ถูบ้างอย่างง่ายๆ แต่ไม่ต้องใช้ไอ้ที่มันหอมๆนั่นน่ะมาถู คิดดูก็รู้สึกเองที่ต้องการหอมนั่นมันคือความรู้สึกของอะไร ฉะนั้นคำว่าปอนมีความหมายมากโดยรายละเอียดก็มีมาก แต่โดยใจความก็มีว่าอย่าให้มันสวย อย่าให้มันงาม อย่าให้มันหอม อย่าให้มันส่งเสริมความประสงค์ของตัวกู อย่าให้ใครเห็นเข้าแล้วชอบรัก รวมอยู่ในข้อนี้
ทีนี้ก็มีส่วนที่เรียกว่าประชด ประชดตัวกูนี่ ให้เรื่อยๆหรือบ่อยๆ ประชดตัวอื่นนั้นไม่ดีแน่ แต่ว่าประชดตัวกูนี่มีทางที่จะดี หมายความว่ามันอยากอย่างนั้นเราก็ทำเสียอย่างอื่น เช่นอยากสวยอยากหอมอยากไอ้นี่ เราก็ทำเสียอย่างอื่นที่มันตรงกันข้าม ประชดตัวกูก็คือประชดกิเลส
มีการกระทำเป็นธรรมเนียมเป็นระเบียบไปเสียเลยก็มี ป้องกันให้เกิดการอร่อยในการกินอาหาร ในการสัมผัสนั่งนอน หรือการนุ่งห่ม การกินอาหารเช่นมันอร่อยก็ทำให้มันไม่อร่อยเสีย เดี๋ยวนั้นเลย ถ้ารู้สึกอร่อยก็ทำให้มันไม่อร่อยเสียเดี๋ยวนั้นเลย นี่เขาทำกันมามาก ครูบาอาจารย์เขาจะทำกันมาก เดี๋ยวนี้เราพอว่าอร่อยแล้วก็กันใหญ่เลย บางทีก็ทำอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก เพราะรู้ว่าทำอย่างนั้นแล้วมันอร่อย ก็เติมสิ่งที่ชูรส ชูอะไรเข้าไปอีก มันเป็นเสียตรงกันข้าม แต่ว่าอาจารย์เขาไม่ได้สอนกันมาอย่างนั้น เช่นแกงมันอร่อยนี่ เอาน้ำเติมลงไปเสียหน่อยหนึ่ง มันก็กินต่อไปได้ แต่มันไม่อร่อย จีวรนี้ก็ใช้มันที่มันหยาบๆ ที่มันไม่นิ่มนวล ที่มันไม่อะไรทำนองนี้ หรือว่ามันไม่ต้องหอม มันก็รวมอยู่ในศีลและวัตรต่างๆที่ถือปฏิบัติกันอยู่นี้ เช่นถืออุโบสถก็นอนเสื่อนอนกระดาน ไม่นอนฟูก ก็เพื่อความประสงค์ข้อนี้ด้วยเหมือนกัน เพื่อประชดตัวกู นี่รวมความกันในข้อนี้ก็คือว่า มีการข่มขี่ นิคะหะแก่ตัวกูอยู่เสมอ เป็นอุบายอันหนึ่งสำหรับการที่จะให้ทานตัวกูออกไป ออกไปเป็นอันดับแรก เวลาตอนนี้ของเราก็หมดไปทีหนึ่ง ไม่ต้องหยุด ไม่ต้องหยุด ต่อ