แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายในตอนต่อไปนี้ก็จะได้กล่าวต่อไปจากตอนที่แล้วมา ต้องขอทบทวนตอนที่แล้วมากันสักนิดหนึ่งให้เรื่องมันเนื่องกัน เราได้พูดกันถึงเรื่องการบวช การสึก โดยหัวข้อสำคัญที่ว่าบวชมา บวชเข้ามาเพื่อที่จะให้รู้เรื่องชีวิตและสึกออกไปเพื่อจะดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามอุดมคตินั้น ใจความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า ชีวิตที่มีอุดมคติหรือที่ปราศจากอุดมคติ ถึงแม้คำว่าอุดมคติมันก็ยังกำกวมคือมันอุดมคติของใคร มันอุดมคติของคนที่มีความต้องการอย่างไร นี่เราก็เอาผู้ที่มีสติปัญญาเป็นหลัก จึงจะได้อุดมคติที่ถูกต้อง ถ้าเอาอุดมคติของเด็ก ๆ เป็นหลักมันก็น่าหัว เพียงแต่ได้กินได้เล่นเขาก็พอใจแล้ว เอาเรื่องของคนหนุ่มสาวเป็นหลัก มันก็เป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ถ้าเอาของพ่อบ้านแม่เรือนเป็นหลัก มันก็เรื่องทรัพย์สมบัติ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องอะไรที่เป็นภาระในบ้านเรือน ถ้าไอ้สิ่งเหล่านั้นมันดี มันก็เรียกว่าอุดมคติ ถ้าเอาอุดมคติของคนแก่เป็นหลักมันก็เรื่องการพักผ่อน ทั้งทางกายและทั้งทางจิตใจ ดังนั้นมันต้องเอาเรื่องทั้งหมดมารวมกันเข้า แล้วมองดูว่ามันเป็นอะไรแน่ นี่จึงได้อุดมคติของผู้มีปัญญา หรือวิญญูชน เพราะชีวิตนี้คือการเดินทางจากต่ำไปหาสูง จนถึงไอ้จุดสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ เราจึงได้อุดมคติของสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต นั้นในลักษณะที่เป็นการเดินทาง ทางจิต ทางวิญญาณ แม้จะเรียกว่าวิวัฒนาการก็เรียกว่าวิวัฒนาการทางจิตหรือทางวิญญาณ ไม่ใช่เพียงแต่ร่างกายมันดีขึ้น นั้นมันเป็นการเดินทาง ๆ วัตถุ ร่างกายดีขึ้นเป็นลำดับ เป็นลำดับ นับตั้งแต่ว่าเป็นสัตว์เซลล์เดียว เป็นสัตว์ต่ำต้อยจนมาเป็นสัตว์ที่สูงขึ้นและเป็นคน ตามที่นักชีววิทยาเขากล่าว นี้มันเป็นวิวัฒนาการทางฝ่ายวัตถุหรือทางฝ่ายร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้นนี้ก็ยังเป็นความหมายที่ดี ที่แสดงอยู่ว่าขึ้นชื่อว่าชีวิตแล้วก็ต้องวิวัฒนาการไปในทางที่ดีหรือสูงขึ้นไป ที่มันเอาทางจิตเป็นหลักก็หมายถึงจิตมันดี มันสูง มันประเสริฐยิ่งขึ้นไป จนรู้จักความเป็นอยู่ชนิดที่ไม่มีความทุกข์ อยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง นี่เรื่องที่เราจะต้องนึกทบทวนดูก็คือว่า ชีวิตนี้เป็นการเดินทางอย่างไร บวชเพื่อศึกษามัน สึกออกไปก็เพื่อปฏิบัติมัน
ทีนี้ต่อไปนี้เราก็จะได้พูดถึงการเดินทางนั้นให้เป็นที่เข้าใจกันต่อไป สำหรับเรื่องนี้อยากจะพูดโดยหัวข้อว่า การเดินทางของชีวิตนั่นแหละ คือตัวการปฏิบัติธรรม ดังนั้นมันจึงมองเห็นได้ต่อไปว่าไอ้การงานในชีวิตนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม หรือถ้าพูดให้กว้างออกไปอีกหน่อยก็ว่า การต่อสู้ในโลกอันยุ่งเหยิง แสนที่จะไม่น่าอยู่นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม ให้รู้จักการปฏิบัติธรรมในลักษณะอย่างนี้จึงจะตรงจุดที่แท้จริงของมนุษย์ ซึ่งจะต้องมองให้เห็นชัดลงไปว่า การปฏิบัติธรรมนั้นอยู่ที่เนื้อที่ตัวหรือที่ชีวิตของมนุษย์นั่นเอง ต้องเอาการปฏิบัติธรรมกันที่เนื้อที่ตัวหรือที่ชีวิตของมนุษย์นั่นเอง เมื่อเป็นดังนี้ก็ต้องถือเป็นหลักกันว่า ทุกเวลา นาที ทุกขณะจิต ต้องมีการปฏิบัติธรรม ในตัวการต่อสู้หรือการงานนั่นแหละคือตัวการปฏิบัติธรรม แม้จะเป็นการต่อสู้ในบ้านเรือน ในโลก เดี๋ยวนี้ความงมงายในหมู่พุทธบริษัทเองก็ยังมีอยู่มาก คือเขาเอาธรรมะไว้ที่วัด เอาตัวเองไว้ที่บ้าน พูดเพียงเท่านี้ก็น่าจะเข้าใจได้ ว่าคนโดยมากเอาธรรมะไว้ที่วัด เอาตัวเองไว้ที่บ้านแล้วเมื่อไรมันจะพบกัน นาน ๆ ไปวัดทีหนึ่งจึงจะไปพบกันที่วัด นี่คือความหลับหูหลับตา ไม่น่าจะเรียกว่าพุทธบริษัทเลย โดยเนื้อแท้นั้น ธรรมะจะต้องอยู่ที่เนื้อที่ตัวของเขาตลอดเวลา ไม่ว่าอยู่ที่ไหนหรือกำลังทำอะไร หมายความว่าตลอดเวลาในชีวิตของเรานี้มันเป็นการต่อสู้ มากมายหลายสิบหรือหลายร้อยชนิด แม้ที่สุดแต่เราจะกินอาหารเข้าไป มันก็เป็นการต่อสู้ เพื่อให้รอดชีวิตอยู่ แม้ว่าเราจะไปถ่ายอุจจาระมันก็เป็นการต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ มิเช่นนั้นมันจะต้องตาย นี่เรื่องการปฏิบัติธรรมคือการต่อสู้ให้ชีวิตรอดอยู่ได้ แม้ในลักษณะที่เล็กน้อยเช่นนี้ จนกระทั่งถึงการต่อสู้สูงสุดคือต่อสู้กับกิเลส ฉะนั้นชีวิตมันต้องเป็นการต่อสู้หรือเป็นการงาน หรือเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเป็นการเดินทางอยู่ตลอดเวลาก็ย่อมเป็นการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา
เอาละเราพูดถึงการเดินทางกันก่อน คำว่าเดินทางมันก็คือคำว่าปฏิบัติ หรือคำว่า ปฏิปทา เดินทางคือการเดินไปตามทาง ก็คือการปฏิบัติ หรือ ปฏิปทา ปฏิปทาทางร่างกายก็เป็นการเดินทางทางร่างกาย ปฏิปทาทางจิตก็เป็นการเดินทางทางจิต รวมกันเข้าเป็นการเดินทางของชีวิต คำว่าทางคือคำว่า ปถ ป แล้วก็ ถ อ่านว่า ปะถะ คือแปลว่าทาง หรือคำว่า มค ก็แปลว่าทาง ผู้ที่เดินไปตามทางก็คือผู้ปฏิบัติธรรม ทีนี้การเดินทางมันมีเรื่องที่จะต้องจัดต้องทำ คือต้องตระเตรียมมาก การเดินทางด้วยเท้า ไปเดินทางไกลเราก็ต้องตระเตรียมมาก ถ้าไปตามธรรมชาติแล้วก็มีการตระเตรียมมากยิ่งขึ้นไปอีก เดี๋ยวนี้เรามีเครื่องมือ มียานพาหนะ กระทั่งมียานพาหนะที่วิเศษ ที่เดินกันพรวดพราด ๆ เหมือนกับเรือบินอย่างนี้ ในการเดินทางนี่มันก็เร็ว มีการตระเตรียมน้อย ทีนี้ถ้าเดินทางอย่างธรรมชาติเหมือนสมัยโบราณเดินด้วยเท้าอย่างนี้ก็ต้องมีการตระเตรียมหรือการป้องกันอะไรมาก เวลาก็นาน แต่เขาก็ยังไปถึงได้ ไม่รู้ว่าใครเก่งกว่าใคร คนที่เดินทางด้วยเท้าไปจนถึงกับคนที่ไปด้วยเรือบินพริบตาเดียวถึงนี้ยังไม่รู้ว่าใครเก่งกว่าใคร มองด้านหนึ่งก็ว่าไอ้คนที่มันเก่งมันก็ต้องเดินด้วยเท้าไปจนถึงนี่มันเก่ง เพราะมันต้องตระเตรียมมาก ต้องเหนื่อยมาก ต้องใช้เวลามาก ทีนี้มองอีกทางหนึ่งก็ว่า แม้มันไปด้วยเรือบินพริบตาเดียว มันก็ยังไม่ได้ทำให้โลกนี้ดีขึ้น ไม่ได้ทำให้ชีวิตนี้ดีขึ้น มีแต่ความยุ่งเหยิงมากขึ้น ทีนี้ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุของโลกนี้มันไม่แน่ ว่าได้ทำให้โลกนี้ดีขึ้นหรือมีความสงบสุขขึ้น มันจะเป็นเรื่องบ้ามากกว่าเดิม ยุ่งมากกว่าเดิม วุ่นวานมากกว่าเดิมด้วยความโง่เขลา คือมันมีเครื่องมือหรือยานพาหนะในการเดินทางรวดเร็วที่สุดเป็น เรียกว่าให้เป็นลมกรดไปเลยก็ตามใจ แต่ทีนี้มันไม่รู้ว่าจะไปไหน มันโง่ตรงที่ไม่รู้ว่าจะไปไหนหรือทำไปทำไม มันก็เลยเป็นเรื่องที่ยุ่งหรือมีความทุกข์มากกว่าเดิม เพราะฉะนั้นโลกนี้จึงมีความทุกข์ยากลำบากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมในสมัยที่ยังไม่เจริญ มีการรบราฆ่าฟันกันมากกว่า มีวิกฤตการณ์นั้นมากกว่านี่ คือการที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนกัน จุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน นี่ก็หมายความว่ามันเดินกันแต่ทางวัตถุด้วย แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนด้วย นอกจากว่ามันจะไปตามปาก ตามท้อง ตามกิเลสตัณหามันต้องการ ทีนี้จะไปประกอบการงานอย่างไรก็ประกอบเพื่อกิเลส ตัณหาทั้งนั้น ในเมื่อมองดูโดยฝ่ายอุดมคติของทางฝ่ายศาสนาแล้ว อย่างนี้ไม่เรียกว่าการก้าวหน้า อย่างนี้ไม่เรียกว่าการเดินทางที่ดีคือไปสู่จุดหมายปลายทางได้ มันก็เลยกลายเป็นมีปัญหาแยกออกไปอีกทางหนึ่ง คือการเดินทางด้วยจิตใจที่เรียกว่าทางวิญญาณ คือมีจิตใจสูงขึ้น รู้จักกิเลสตัณหาว่าเป็นเหตุให้เกิดทุกข์มากขึ้น แล้วก็ควบคุมกิเลสตัณหาได้ จนไม่มีกิเลสตัณหา นี้เป็นจุดหมายปลายทาง นี่เป็นหน้าที่ของศาสนาซึ่งเป็นตัวทางนั่นเอง ตัวสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือศาสนานั่นแหละ คือตัวทาง ศาสนาไหนก็เหมือนกันหมดเป็นตัวทางได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเขาใช้คำพูดกันต่าง ๆ กัน ในศาสนาพุทธนี้ ตัวศาสนานั่นแหละคือ หนทาง มรรคมีองค์ ๘ ประการ เรียกว่า พรหมจรรย์ หรือเรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา หรือแล้วแต่จะเรียกนั่นคือตัวศาสนา เหล่านั้นคือตัว มรรค คือตัวทาง
การเดินทางคือการปฏิบัติธรรม คือการไต่ไปตามมรรค ทีนี้เมื่อเดินทางเสร็จเขาเรียกว่า บรรลุมรรค หรือผลของการเดินทาง เมื่อเดินสุดปลายทางก็เรียกว่าได้มรรค แล้วก็หลังจากนั้นก็ได้ผลของมัน ฉะนั้นเราก็ต้องรู้ว่าไอ้ตัวศาสนานั้นเป็นตัวทาง ที่เราต้องให้มันอยู่ในเนื้อในตัวของเรา ในชีวิตร่างกายของเรามันจึงจะเป็นตัวศาสนาที่แท้จริง ไม่ใช่ตัวศาสนาอยู่ในสมุด ในกระดาษ หรือว่าอยู่ที่วัด เราอยู่ที่บ้าน เหมือนอย่างที่เข้าใจกันโดยมาก ไปทำบุญหรือไปปฏิบัติธรรมนี้ต้องไปที่วัด นาน ๆ ไปทีหนึ่ง ส่วนที่บ้านนี้เป็นเรื่องโลก เป็นเรื่องกิเลสตัณหาไปหมด ทีนี้ศาสนาอื่นก็มีหลักอย่างเดียวกัน ศาสนาคริสเตียน ก็ตัวศาสนานั่นแหละเป็นทาง แต่บางทีใช้คำอุปมามากเกินไป อย่างคำของพระเยซูว่าตัวฉันนี่แหละคือทาง คนโง่ ๆ ก็จะพูดว่านี่เราเดินจะเหยียบพระเยซูไปหรืออย่างไร เมื่อพระเยซูบอกว่าตัวฉันนี่แหละคือทาง ก็ต้องหมายความว่าการทำตามพระเยซู คือการเดินทาง เป็นผู้มีความเห็นแก่ผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตัว นั่นแหละคือหนทาง คำสอนของพระเยซูสรุปได้อย่างนั้น อย่ามีตัวของตัว เป็นตัวของพระเจ้าเสีย เพราะพระเจ้าต้องการให้ทุกคนเห็นแก่ผู้อื่น เราปฏิบัติตามพระเจ้าหรือปฏิบัติตามพระเยซู คือการเห็นแก่ผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตัว มันก็คือการเดินทาง
ทีนี้ในพุทธศาสนานี้ก็สอนเรื่อง ไม่ให้มีตัวกูของกู ไม่เห็นแก่ตัว ให้เห็นแก่ธรรมะหรือเห็นแก่ผู้อื่น มันก็เหมือนกันในข้อนี้ ศาสนาที่มีพระเจ้าก็อย่าไปดูถูกเขา เขาสอนให้เห็นแก่พระเจ้าโดยไม่มีตัวของตัว พระเจ้าสั่งอย่างไรต้องทำอย่างนั้น แล้วไม่มีพระเจ้าไหนที่สั่งให้เห็นแก่ตัว ล้วนแต่ให้เห็นแก่ผู้อื่น ให้ปฏิบัติความถูกต้อง ที่ ๆ ไม่มีพระเจ้า ศาสนาอื่น ๆ ก็ล้วนแต่ให้เดินไปสู่ความสูงสุด อย่างทางศาสนาของจีน ลัทธิเต๋า คำว่า เต๋า มันแปลว่าทาง ใครเห็นเต๋าคือคนเห็นทาง และเดินทางเสร็จแล้ว
ฉะนั้นเราเอาชีวิตนี้เป็นอันเดียวกันกับการเดินทาง ถ้าไม่อย่างนั้นไปตายเสียดีกว่า คือมันเสียเวลาเปล่า ๆ มันยุ่งเปล่า ๆ มันเหนื่อยเปล่า ๆ ทีนี้ไม่ให้เหนื่อยเปล่า ๆ มันก็ต้องเดินทางด้วยการปฏิบัติธรรม หรือตามหลักธรรมที่มีอยู่อย่างไร ทีนี้การปฏิบัติธรรมนี้มันก็ เป็นอันว่ามีทุกอิริยาบถ หรือทุกลมหายใจเข้าออก จะนั่ง นอน ยืน เดินอยู่ก็ให้มันเป็นการปฏิบัติธรรมในทุกอิริยาบถไม่ว่าจะอยู่ที่วัดหรือไม่ใช่ว่าจะอยู่ที่บ้าน หรือว่าไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือว่าจะเป็นชาวบ้าน ทุกอิริยาบถต้องเป็นการปฏิบัติธรรม ปฏิบัตินั่นล่ะคือแปลว่าเดิน เดินทาง ฉะนั้นทุกอิริยาบถก็หมายความว่า มันทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทั้งหลับ ทั้งตื่น ทั้งในเรื่องทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องหากิน เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องอาบ เรื่องถ่าย เรื่องเบ็ดเตล็ดนี่ก็เป็นเรื่องปฏิบัติธรรมไปทั้งนั้น ปฏิบัติผิดก็เกิดโทษขึ้นมา แม้ทางร่างกาย ทีนี้ปฏิบัติผิดในทางจิตใจก็มีโทษร้ายแรงไปกว่านั้นอีก มันจะต้องศึกษาให้ละเอียดลออที่สุด จนสามารถเดินทางอยู่เรื่อยโดยไม่มีความผิดพลาด การเดินทางของชีวิตในความหมายที่ถูกต้องนั้นคือการปฏิบัติธรรม
ทีนี้ว่าการงานคือการปฏิบัติธรรมนี่ เป็นการพูดแยกออกไปให้เห็นชัด ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าการงานนั่นแหละคือตัวชีวิตหรือตัวการปฏิบัติธรรม ถ้าใครแยกชีวิตออกจากการงาน คนนั้นก็ยังโง่อยู่มากทีเดียว จะถึงขนาดกับที่เรียกว่าโง่อย่างดักดานก็ได้ ถ้าแยกชีวิตออกเสียจากการงานเป็นคนละเรื่อง มันต้องเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นตัวเดียวกัน แม้คำพูดมันจะพูดว่าชีวิตคือการงาน การงานคือชีวิตคล้ายกับมีอยู่สองอย่าง แต่ที่แท้มันต้องเป็นสิ่งเดียวกัน ชีวิตที่เป็นการเดินทางย่อมเต็มไปด้วยการงาน คำว่าการงานมีความหมายกว้างอย่างเดียวกับคำว่า การเดินทาง เหมือนกัน มันเป็นการงานไปหมด เพราะคำว่าการงานนั้นมันเป็นหมายถึงหน้าที่ ที่จะต้องทำ แล้วก็มีหน้าที่ ที่จะต้องมีชีวิตรอดอยู่ได้ มีหน้าที่ ที่จะต้องทำให้ชีวิตนี้รอดอยู่ได้ ไม่ตาย ฉะนั้นเราต้องทำทุกอย่าง คือหาสิ่งที่จะบริหารชีวิตมา คือหามากินมาใช้นี่ก็เรียกว่าการงาน ทีนี้แม้แต่กินใช้ถูกต้อง มันก็ยังเป็นการงานอยู่ อยู่ อยู่นั่นเอง คนทั่วไปอาจจะไม่เห็น จะไม่รู้สึกว่า การใช้ทรัพย์บริโภคใช้สอยนี่เป็นการงาน ไอ้การงานส่วนที่หาเป็นการงาน ที่ไอ้ส่วนที่จะใช้มันก็เป็นการงานหรือเป็นหน้าที่ ถ้าหามาแล้วไม่ใช้จะมีประโยชน์อะไร ถ้าใช้ต้องใช้ให้ถูกต้อง จึงเกิดเป็นหน้าที่ ๆ จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง แม้ที่สุดที่แต่เราจะต้องตายนี่ มันก็มีหน้าที่ ที่จะต้องตาย หรือว่าถ้ายังไม่ควรจะตายก็มีหน้าที่ ๆ จะต้องต่อสู้ เพื่อไม่ให้มันตาย เมื่อมันควรจะตายก็ถือว่าเป็นหน้าที่ ๆ สังขารนี้มันจะต้องแตกดับ จึงต้องทำการงานทุกอย่างนี้ให้มันถูกต้อง ให้มันครบถ้วนบริบูรณ์ ฉะนั้นชีวิตจึงคือหน้าที่ ปราศจากหน้าที่แล้ว ชีวิตนี้ก็ไม่มีความหมายอะไร อย่างบวชนี้ก็ต้องเป็นหน้าที่ ที่จะต้องบวชเพื่อศึกษาให้มันรู้เรื่องชีวิต ไอ้สึกมันก็เป็นหน้าที่อีกที่จะต้องไปทำให้มันถูกต้องตามที่ได้ศึกษามา ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ นี่ถ้าว่าคนเข้าใจผิดก็ไปถือเอาส่วนที่มันผิด ๆ ไม่ควรทำมาเป็นหน้าที่ มันก็เป็นคนพาล ไม่ใช่บัณฑิต เราบวชเพื่อเป็นบัณฑิตมันก็ต้องรู้หน้าที่ ๆ ถูกต้อง ที่ควรกระทำ จะไปมีหน้าที่อย่างโจร อย่างขโมย อย่างคนเลว คนพาลนั้นมันไม่ได้ นั่นมันหน้าที่ของอันธพาลไม่ใช่บัณฑิต ทีนี้แม้จะไม่เป็นบัณฑิต ไม่เป็นอันธพาล เป็นเรื่องกลางๆ เป็น อัพญาสิทธิ์ อยู่ มันก็เป็นหน้าที่ เช่นต้นไม้นี้มันมีชีวิต มันก็เลยต้องหากินโดยตามประสาต้นไม้ สัตว์เดรัจฉานหากินไปตามธรรมชาติของสัตว์เดรัจฉาน นี่ไม่เป็นอันธพาล ไม่เป็นบัณฑิตอะไรแต่มันก็เป็นหน้าที่ มันเรียกว่าถ้ามีชีวิตอยู่แล้วมันต้องมีหน้าที่ ถ้าจากเซลล์ในร่างกายของเราสักเซลล์หนึ่ง ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่มันก็ต้องมีหน้าที่ ๆ จะดูดอาหาร ที่จะหล่อเลี้ยงตัวเอง เพื่อที่จะสืบพันธุ์ อย่าให้สูญพันธุ์ มันเป็นหน้าที่ ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติหน้าที่ถูกต้อง คนนั้นคือผู้ปฏิบัติธรรม แม้แต่กิจกรรมระหว่างเพศก็ต้องถือเป็นหน้าที่ แต่ว่าเป็นหน้าที่ ๆ ต้องทำให้ถูกต้อง ถ้าทำผิด ๆ ไปด้วยอำนาจกิเลส ตัณหา มันก็เรียกว่าทำผิดเป็นอันธพาลไป ไม่ก้าวหน้าในทางจิตใจ จึงให้ต้องรู้ว่ากิจกรรมระหว่างเพศก็เป็นหน้าที่และเป็นหน้าที่เพื่ออะไร และต้องทำให้ถูกต้องไปตามนั้น อย่าให้กลายเป็นเรื่องเลวทราม ลามก อนาจารไปเสีย เพราะฉะนั้นเราจะต้องถือว่าหน้าที่ทุกอย่างนั่นแหละคือตัวธรรม ปทานุกรมธรรมดาสามัญ คำว่า ธรรม แปลว่าหน้าที่ นี่กินความหมดครอบจักรวาลทั่วทุกศาสนา สิ่งที่เรียกว่าธรรมคือหน้าที่ หน้าที่ ๆ มนุษย์จะต้องปฏิบัติเพื่อความเป็นมนุษย์นั่นแหละคือหน้าที่ ทีนี้ก็แบ่งย่อยออกไปสิ มนุษย์อย่างผู้หญิง อย่างผู้ชาย นี่ก็ทำหน้าที่ผู้หญิงผู้ชายให้มันถูกต้อง อย่าไปบ้าเหมือนคนสมัยนี้ที่จะทำให้มันเหมือนกัน ระหว่างผู้หญิงผู้ชายแย่งกันทำหน้าที่เดียวกันอย่างนี้ มันเป็นเรื่องบ้า มันฝืนธรรมชาติ ก้าวก่ายในหน้าที่ ธรรมชาติไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ใครอวดดีกับธรรมชาตินั้นมันก็เป็นการต่อสู้ รบกับธรรมชาติ มันมากเกินไป เกินกว่าเหตุ ไม่จำเป็น เสียเวลา แล้วเอาชนะธรรมชาติไม่ได้แน่ นี่ถ้าเป็นพ่อมีหน้าที่อย่างพ่อ เป็นแม่มีหน้าที่อย่างแม่ เป็นลูกมีหน้าที่อย่างลูก มันก็เกิดเป็นหน้าที่ขึ้นมาหลาย หลาย ๆ สิบ หลาย ๆ ร้อยชนิด ไปดูเรื่องทิศทั้ง ๖ ของที่นี่ปฏิบัติ แสดงหน้าที่ไว้อย่างเป็นหมวดหมู่ดีมาก
ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่ประเสริฐที่สุดก็คือหน้าที่ ๆ จะหมดกิเลส ไปนิพพานนั่นเรียกว่า พระธรรม เติมคำว่าพระให้หน่อย พระธรรมคือหน้าที่ที่ประเสริฐสูงสุด ธรรมเฉย ๆ คือหน้าที่ทั่วไป คุณก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้มันครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งที่ธรรมดาสามัญ และที่ประเสริฐที่สุด แต่ถ้าเรามีหลักตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ชีวิตคือการเดินทางจากต่ำไปหาสูงสุดมันก็เป็นการถูกต้องอยู่ในตัว ครอบคลุมหน้าที่ทั้งหมดทั้งสิ้นได้ ทีนี้หน้าที่นั้นก็คือการงาน การงานก็คือหน้าที่ ฉะนั้นเราอยู่ที่ไหนก็มีหน้าที่ มีการงาน แม้แต่เราจะต้องหายใจเข้าออกนี้ก็เป็นหน้าที่และเป็นการงานเพื่อเราจะต้องหายใจ ไม่หายใจก็จะต้องตาย มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมในขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งที่จะต้องหายใจให้ดี จะต้องจัดจมูกให้ดี จะต้องหายใจให้ดี ต้องอยู่ในที่ ๆ มีการหายใจที่ดีได้ มิฉะนั้นก็จะต้องมีความทุกข์ทางกายอย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้คุณสึกออกไปคุณก็มีหน้าที่ อย่างที่รู้ ๆ อยู่แล้ว เพื่อประกอบอาชีพนั่นแหละเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ยังอยู่ในวัยของพรหมจารีและคฤหัสถ์ พรหมจารีคือการศึกษาและการรักษาระเบียบวินัย ทีนี้คฤหัสถ์ก็คือการงานนั่นเอง ผู้ครองเรือนคือการอยู่ด้วยการงาน มันก็ไปเผชิญหน้ากันกับหน้าที่ ที่หนักอึ้ง ที่จะต้องฟันฝ่ากันอย่างมีสมรรถภาพที่สุด มันจึงจะผ่านการงานนี้ไปได้
เป็นคฤหัสถ์นี่เขาวางหลักไว้ว่า มีอะไร มี มี ๓ อย่างที่จะเป็นเครื่องวัด คือมีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศชื่อเสียง แล้วก็มีสังคมแวดล้อมหรือเรียกว่าบริวารที่ดี เรียกเป็นคำสั้น ๆ ว่ามีทรัพย์ มีเกียรติ มีไมตรี มีทรัพย์ มียศ มีไมตรี ทรัพย์ ยศ ไมตรี ๓ อย่าง ทรัพย์คือเครื่องปลื้มใจ คำนี้แปลว่าเครื่องปลื้มใจ จะเป็นทรัพย์สมบัติ แก้วแหวนเงินทอง บุตร ภรรยา สามีอะไรก็ได้รวมอยู่ในคำว่าทรัพย์ ในบรรดาสิ่งทั้งหลายที่เรียกเป็นเครื่องปลื้มใจนั้นก็เรียกว่าทรัพย์ทั้งนั้น มีชีวิตวิญญาณก็ได้ ไม่มีชีวิตวิญญาณก็ได้ เรียกว่าทรัพย์ ที่ควรจะมี ต้องมี แต่ก็ไม่ต้องมีจนมัน จนเฟ้อ ให้มันลำบาก มันลำบากเปล่า ๆ มันเป็นเรื่องของคนโง่ มีเท่าที่ควรจะมี แต่คำว่าเท่าที่ควรจะมีไม่ได้จำกัดว่ากี่บาทกี่สตางค์ คือมันเท่าที่ความสามารถของคนจะมีได้ ถ้าคนมีความสามารถมากมันก็มีได้มาก มันก็เพื่อประโยชน์อันกว้างขวางออกไป คนที่ศึกษามาดี อบรมมาดีในชั้นพรหมจารี ไม่เหลวไหล ไม่เจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก ไม่อะไรนั้นน่ะ มันมีสติปัญญามากในชั้นพรหมจารี มีความ สมรรถภาพมาก พอมาเป็นคฤหัสถ์มันก็มาสามารถมาก มีการงานกว้างขวางมหึมา มันก็เรียกว่าพอดีอยู่นั่นแหละ เพราะมันทำได้พอสะดวกสบาย ตามความสามารถของตน ฉะนั้นเราเปรียบเทียบดูว่าบางคนเขามีความสามารถมาก สมมติว่าเป็นคนค้าขายมีโรงสีสักสิบโรง เขาก็ทำได้เป็นว่าเล่น มีบริษัทห้างร้านสักสิบบริษัทเขาก็ทำได้อย่างว่าเล่น แต่คนโง่ ๆ ทำนิดเดียวก็ไม่ได้ ฉะนั้นคำว่าพอดี หมายความว่าพอดีแก่สติปัญญาสามารถ แต่อย่า อย่าให้มันเหลือสติปัญญาสามารถ ทีนี้ทรัพย์ก็มีเท่าที่ควรจะมี ทีนี้เกียรติยศก็ต้องมีเท่าที่ควรจะมี เพราะว่ามันเป็นเครื่องวัดอย่างหนึ่ง คนที่ไม่มีความดี ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเกียรตินั้นน่ะ มันเป็นมนุษย์ที่เลวเกินไป เพราะว่าถ้าตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติดี ทำความดีอยู่แล้วก็เกียรติหรือว่าเกียรติยศนี่ก็มาเอง แล้วเป็นเกียรติยศที่ถูกต้อง เป็นเกียรติยศที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่เกียรติยศที่ซื้อมาด้วยเงินหรือด้วยการบีบบังคับอะไรพวกนั้น ฉะนั้นเราเป็นคนดีอยู่ไม่กี่ปีมันก็มีเกียรติยศชื่อเสียง
ทีนี้อันที่ ๓ มันก็มีไมตรี คือว่ามีคนรักรอบด้าน ทีนี้ก็แยกออกเป็นคนละเรื่องเพราะว่ามีทรัพย์โดยไม่ต้องมีเกียรติ หรือมีเกียรติไม่ได้มันก็มี ทีนี้มีทั้งทรัพย์ มีทั้งเกียรติ มีคนนับถือหรือมีคนอะไรก็ตาม แต่ไม่มีคนรักมันก็มี เพราะความรักเรามันอีกอย่างหนึ่ง เพราะเป็นคนประพฤติผิดเกี่ยวกับสังคมไม่มีใครรักก็มี แม้แต่ในครอบครัว ก็ไม่ ไม่ ไม่ได้มีการรักความรักที่แท้จริงก็ยังมี คนใช้ไม่ได้รักนายของตนอย่างแท้จริงอย่างนี้ก็มีอยู่ มันอยู่ด้วยความจำใจ ทั้งที่นายมีทรัพย์ มีเกียรติ มันต้องทุกคนรักด้วยจึงจะได้ เพราะฉะนั้นจึงแยกคำว่าไมตรีออกมาเสียจากเศษทรัพย์และยศ ถ้ามีไมตรีแท้จริงก็หมายความว่า คนที่เลวหรือต่ำกว่าเราก็รักเรา คนที่เสมอกันกับเราก็รักเรา คนที่สูงกว่าดีกว่าเหนือเราก็รักเรานั้น มันต้องได้อย่างนั้นมันจึงจะเรียกว่าสมบูรณ์ คนต่ำกว่าเรารักเราก็ช่วยชูเรา คนเสมอกันรักเราก็ช่วยป้องกันเรา คนที่สูงกว่าเรารักเราก็คอยดึงเราขึ้นไปในทางสูง นี่เขาเรียกว่าไมตรี มีทั้งทรัพย์ ทั้งยศ ทั้งไมตรีแล้วก็เรียกว่าเป็นเครื่องวัดว่าผู้นั้นได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วในโลกนี้ ใช้คำว่าในโลกนี้ นี่มันยังมีโลกอื่นเหลือ ฉะนั้นเราต้องรู้จักโลกว่ามันมีกี่โลก เอาชนะได้แต่โลกนี้มันไม่พอ มันต้องเอาชนะโลกอื่นได้ด้วย และยังมีอีกโลกหนึ่งซึ่งประหลาดที่สุดเขาเรียกว่าเหนือโลก โลกที่เหนือโลก โลกนี้เขาเรียกว่า อิธโลก โลกอื่นเขาเรียกว่า ปรโลก ที่เหนือโลกเขาเรียกว่า โลกอุดร นี่ถ้าโลก ๆ นี้ ปรโลก ๆ อื่น โลกอุดรคือเหนือโลก ใครชนะได้ทั้งหมดทั้งสามโลกนั่นน่ะคือผู้ชนะแท้จริง การที่มีแต่เพียง ทรัพย์ ยศ ไมตรี อย่างที่ว่านี้มันชนะแต่โลกนี้นะ มันยังไม่ชนะโลกอื่น
ทีนี้โลกอื่นอยู่ที่ไหน บางพวกก็ถือว่าเรื่องเทวโลก พรหมโลก อะไรนั้นน่ะหลังจากตายแล้วคือโลกอื่น แต่ผมว่าพูดอย่างนั้นมันยังไกลเกินไป ยังมืดมัวเกินไป โลกอื่นนั้นคือโลกทางจิต ทางวิญญาณ โลกนี้คือโลกทางร่างกาย มีทรัพย์ มียศ มีไมตรีก็สบายทางร่างกาย แม้จิตใจมันจะสบายด้วยมันก็ยังไม่ใช่จิตใจชั้นสูง มันจิตใจชั้นโลก ดื่มด่ำอยู่ในโลก จิตใจชั้นสูงเรื่องทางจิต ทางวิญญาณโน่น หมายถึงจิตใจที่ไปไกลจนไปหาไอ้ความสุขอย่างอื่นนอกจาก ไอ้ทรัพย์ ยศ ไมตรีนี่ ก็คือหาความสงบ นั่นน่ะคนเราเมื่อเป็นพรหมจารีมาเต็มที่แล้วก็เป็นคฤหัสถ์ เป็นคฤหัสถ์เต็มที่แล้วก็ออกไปเป็นวานปรัสถ์ ไปนั่งยิ้มอยู่ตามกอกล้วย กอไผ่ที่มุมบ้านคนเดียวไม่ยุ่งด้วยลูกด้วยหลานนั่นแหละเป็นโลกอื่นของเขาล่ะ ไม่ใช่หมายถึงไอ้เรื่องสวรรค์เรื่องพรหมโลกเรื่องอะไร ตายแล้วชาติหน้า ก็ได้เหมือนกัน มันเป็นเครื่องยั่วให้ทำดี ให้มากขึ้นไปแต่มันยังไกลนัก ต้องเอาสวรรค์กันที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือความอิ่มอกอิ่มใจ ชนิดที่ไม่ต้องเกี่ยวกับกามารมณ์อย่างมนุษย์ นี่มันก็จะเป็นพรหมโลกขึ้นมาที่นี่
แต่อย่างไรก็ตามแม้โลกอื่นนี้มันก็ยังอยู่ใต้อำนาจของความต้องการหรือกิเลสตัณหา อันละเอียดอยู่ มันต้องมีความทุกข์อันความละเอียด ทีเราจะต้องกระโดดออกไปเหนือโลกคือโลกอุดรน่ะ มันจึงจะหมดเรื่อง ฉะนั้นก็เป็นโลกอื่นเหมือนกัน แต่มันยิ่งไปกว่าโลกอื่นธรรมดาสามัญ เรื่องทางกาย ทางวัตถุคือโลกนี้ เรื่องทางจิตทางวิญญาณคือโลกอื่น แล้วเรื่องเหนือนั้นขึ้นไปอีกจนสิ้นสุดแห่งนามและรูปนี้ก็เรียกว่ามันเป็นเรื่องเหนือโลกโดยประการทั้งปวง เรียกว่าโลกอุดร พอพูดขึ้นมาอย่างนี้บางคนอาจจะท้อแท้ ท้อถอย เห็นมันเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร เพราะว่ามันเป็นคนที่ศึกษามาไม่พอ มีสมรรถภาพน้อย รู้จักแต่เรื่องปาก เรื่องท้อง เรื่องเอร็ดอร่อย ทางเนื้อทางหนังอย่างเดียว มันก็เห็นเป็นเรื่อง เห็นเรื่องโลกอุดรเป็นเรื่องใหญ่โตสุดเอื้อม ที่จริงมันก็สัมพันธ์กันอยู่ที่นี่ ลองฟังดูให้ดี บางเวลา เราเป็นสัตว์ที่ตะกละกามคุณ ก็เป็นมนุษย์หรือเทวดาในสวรรค์ชั้นกามาวจร บางชั่วโมง หรือว่าจะเป็นส่วนมากของเวลาก็ตามใจ เกี่ยวข้องอยู่เรื่องกามคุณ ก็เป็นมนุษย์ สัตว์ สวรรค์ชั้นกามาวจร บางเวลา บางชั่วโมงหรือสักครึ่งชั่วโมงก็ตามใจ มันเบื่อหรือเอือมระอาสิ่งเหล่านี้อยากจะอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ มันก็กลายเป็นพวกพรหม พวกอะไรขึ้นมา ที่ว่าเหนื่อยระอาต่อกามารมณ์ ก็อยู่ด้วยความสงบที่ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ ไปเล่นของเล่นหรือไปทำอะไรที่ไม่ใช่กามารมณ์เสียไปสนุกสนานในการงานเสีย นี่บางเวลามันอยากจะไปไกลกว่านั้น อยากจะพักผ่อน ไม่อยากจะเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ มันอาจจะมีได้แก่คนบางคน หรือว่าคนที่ก้าวหน้ามาดีแล้ว อยากจะอยู่เหนืออะไรทั้งหมด เป็นความคิดผิดของคนบางคนคิดว่าอยากจะตายเสียดีกว่าสบายกว่านั้นน่ะ ความคิดมันน้อมเอียงไปทางที่มันเหนือโลก แต่มันคิดไม่เป็น มันเลยไปเข้าใจว่าไอ้ตายเสียดีกว่านั้นน่ะจะได้อยู่เหนือโลก ที่จริงมันเป็นความคิดที่กำลังจะเดินไปในไอ้เรื่องยุ่ง ยุ่ง ๆ วุ่นวาย คือคิดไปในทางที่ว่าจะไม่มีตัวกูของกูนั่นล่ะ นั่นบางเวลาเราก็มีคิดอย่างนั้น ก็เป็นไอ้โลกุตตระชิมลอง นิพพานชิมลอง เป็นของชั่วคราว ชิมลอง ว่าถ้าไม่มีตัวกูนี้จะสบายที่สุด ก็ลืมมันเสียบ้าง บางเวลาก็ลืมตัวกู ลืมของกู แต่แล้วมันก็ไม่สนใจให้เข้าใจให้มันมีมากขึ้น เพียงแต่ไปตามธรรมชาติ อย่างน้อยก็เวลาที่นอนหลับนี่มันไม่มีตัวกูของกู มันก็สบาย นอนหลับไม่ฝัน ไม่มีตัวกู ของกู มันก็สบาย มันก็หล่อเลี้ยงชีวิตให้รอดอยู่ได้ ลองไม่มีไอ้ความว่างจากตัวกูของกูสิ มันก็เป็นบ้า เป็นโรคประสาท โรคจิต เป็นบ้าตายเลย เดี๋ยวนี้คนที่ไม่ได้ถึงกับเป็นบ้า เป็นโรคประสาทเล็ก ๆ น้อย ๆ กลัดกลุ้มอยู่นี่ก็เพราะว่าอันนี้ล่ะมันเข้ามาช่วยประทังไว้ เรื่องโลกอื่น เรื่องเหนือโลก โลกอุดรนี่มันเข้ามาช่วยประทังเอาไว้บ้างโดยไม่รู้สึกตัว คือมันมีความหลับบ้าง ถ้าสาละวนกันแต่เรื่อง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอยู่ตลอดเวลาไม่มีพักผ่อน แล้วมันก็บ้า แล้วก็ตาย เพราะฉะนั้นจึงมีหลักเกิดขึ้นมาว่าต้องชนะให้ได้ทุกโลก เรื่องเกี่ยวกับโลกนี้ก็ต้องชนะให้ได้ เรื่องเกี่ยวกับโลกอื่นออกไปกี่โลกก็ต้องตามใจ ก็ต้องชนะให้ได้ และในที่สุดเรื่องโลกอุดรก็ต้องเอาชนะให้ได้ แม้เดี๋ยวนี้ชนะไม่ได้ก็ต้องชนะให้ได้ในที่สุด นี่ปัญหามันมีอยู่อย่างนี้
เดี๋ยวนี้คำว่าการงานที่เราพูดถึงกันอยู่ในภาษาไทยนี่หมายถึงเรื่องโลกนี้ทั้งนั้น แต่ที่แท้มันหมายถึงทุกโลก แต่เรารู้จักกันแต่เรื่องโลกนี้ เราก็พูดกันแต่เรื่องโลกนี้ หาเงินหาทอง มีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศ ชื่อเสียงแล้วมีไมตรี มีสมาคมดีเลิศ ก็เป็นเรื่องโลกนี้ ทีนี้จะแก้มันได้อย่างไร ก็โดยอาศัยหลักที่ว่าเราจะเอาโลกนี้เป็นเครื่องมือสำหรับชนะโลกอื่น มีเงิน มีทอง ทรัพย์สมบัติ อำนาจ วาสนา แล้วก็สร้างประโยชน์เพื่อโลกอื่น พอตายแล้วก็ได้ หรือเรายังไม่ตายก็สร้างให้มันสูงขึ้นไป อย่าไปหลงโง่งมงาย จมอยู่ในไอ้เรื่องทรัพย์สมบัติ เรื่องเกียรติยศ ชื่อเสียง เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องอะไรเหล่านั้น แต่ใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นบทเรียนสำหรับศึกษาให้รู้ว่านี่มันคืออะไร นี่มันกี่มากน้อย จนเห็นว่านี่มันก็เท่านี้ มันก็บ้าไปพักเดียวแล้วมันก็หยุดเอง นี้ก็จะมาถึงโลกอื่น ไอ้เรื่องโลกทางจิตใจที่สูงขึ้นไป ในทางจิตทางวิญญาณปรับปรุงให้ดี นี่มีความสุข สงบใจยิ่งไปกว่าเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติเสียอีก แต่แล้วมันก็จะพักหนึ่งอีกเหมือนกัน แต่ว่ามันพักยืดยาวสักหน่อย ในที่สุดก็ต้อง ก็จะเกิดความรู้สึกว่า อุ๊ย, มามัววนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่ไหวโว้ย หยุด จบกันเสียทีดีกว่า นั่นล่ะก็จะไปโลกอุดรได้
ทีนี้พูดว่าการงาน คือ การปฏิบัติธรรมนั้นก็หมายถึงการงานในทุกโลก หรือเพื่อโลกทุกโลก ให้เป็นการก้าวหน้าไปสู่จุดหมายปลายทางด้วยการงาน เพราะว่าการงานนั่นแหละที่แท้ก็คือการเดินทางเหมือนกัน มันไม่ใช่เดินด้วยเท้า เดินอย่างวัตถุ มันเดินด้วยการทำการงานให้ผ่านโลกมากขึ้น ผ่านโลกมากขึ้น ผ่านโลกมากขึ้น เขาเรียกว่าความเจนจัด หรือ EXPERIENCE เรียกกันรู้จักกันดี ไอ้ความเจนจัดหรือ EXPERIENCE นี้มันก็ยังมีเป็นสองเรื่อง คือทางฝ่ายร่างกายกับทางฝ่ายวิญญาณ ความเจนจัดในทางฝ่ายร่างกาย คือเราชำนาญงาน เราทำงานเก่ง เรามีความรอบรู้ในการงานที่ทำด้วยมือด้วยตัวนี้ มันก็มีความเจนจัดส่วนหนึ่งเหมือนกัน คนอายุมากก็มีความเจนจัดมาก คนเคยทำงานมากก็เจนจัดมาก แต่เท่านี้ไม่พอ ต้องมีความเจนจัดทางฝ่ายวิญญาณ เขาเรียกว่า SPIRITUAL EXPERIENCE หมายความว่ามันรู้จักชีวิตดี รู้จักความสุขความทุกข์ดี รู้จักตัวสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์หรือเกียรติยศก็ดี จนเห็นเป็นของน่าขยะแขยงนั้นจึงจะเรียกว่ามีความเจนจัดทางฝ่ายวิญญาณ ทีนี้ถ้าว่ายังหลงอยู่ในสิ่งเหล่านั้น ก็มีการเจนจัดในทางการงาน หาเงินมาก ๆ แล้วก็หมกจมอยู่ในสิ่งเหล่านั้น มันก็เจนจัดกันแต่ทางฝ่ายร่างกาย ทีนี้การงาน ทำไปเถอะ สักวันหนึ่งมันจะทำให้เกิดความเอือมระอาขึ้นมาทางร่างกาย นี่ก็มาหาทางวิญญาณ ทางวิญญาณไปพักใหญ่อีกมันก็ต้องการหยุดแล้วเว้ย หยุดการงาน นี่คืออยู่เหนือโลก เป็นการงานที่สูงสุดดับกิเลส ดับทุกข์
นี่เราก็ไปรู้จักหนทางว่าชีวิตมันเป็นอย่างนี้ แม้เราไม่ได้ ไม่ถึง แต่เราก็หลีกไม่พ้นที่จะต้องเดินอย่างนี้ นี่สมมติว่าคุณจะสึกออกไปทำหน้าที่การงานอย่างโลก มีบุตรภรรยา มีครอบครัว มีอย่างที่ว่า มีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศ มีไมตรีที่ดี ประสบผลสำเร็จในโลกนี้ แล้วเมื่อล่วงกาลผ่านวัยพอสมควรมันก็เป็นเรื่องเอือมระอา เป็นเรื่องจืดชืด ก็ดูสิมันเพราะอะไร เพราะเราต้องผ่านมันไป ถ้าเราไม่ผ่านมันไปเราไม่รู้ สิ่ง ไม่รู้ความน่าระอาของมัน เหมือนกับเด็ก ๆ นี่รู้มาว่า ไอ้เรื่อง ไอ้ที่ตัวหลงใหลอยู่นั่นน่ะเป็นเรื่องน่าระอา มันเห็นเป็นเรื่องที่น่าปรารถนาไปหมด เราก็ยังเป็นเด็ก ๆ ในทางวิญญาณกันอยู่เลย มันก็ต้องผ่านไปทางนั้นมันไม่มีทางอื่นที่แน่นอนเหมือนทางนี้ ฉะนั้นกินเข้าไป กินเข้าไปจนรู้ว่ามันบ้า กินเพื่อจะหยุดกิน หรือว่าจะไปดื่มอะไรก็ไป รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอะไรมันก็พอจะรู้ว่า มันเพื่อ เพื่อหยุด ถ้าไม่หยุดมันก็บ้า นี่เราไปทำอะไรเข้าก็เพื่อให้รู้ว่าอะไร คืออะไร เพื่ออะไร ก็จะได้ผ่านพ้นสิ่งเหล่านั้นไป เป็นเด็กสักพักหนึ่งก็รู้ว่าเป็นเด็กคืออะไร เป็นหนุ่มสาวสักพักหนึ่งก็รู้ว่าหนุ่มสาวคืออะไร เป็นพ่อบ้านแม่เรือนสักพักหนึ่งก็รู้ว่าพ่อบ้านแม่เรือนคืออะไร ก็ไปเป็นคนเฒ่าคนแก่ ในที่สุดรู้ว่าไอ้ความเวียนว่ายในวัฏสงสารนี่มันไม่ไหว สู้หยุดคือนิพพานไม่ได้ นี่ใครคิดอย่างนี้ได้ ใครรู้สึกอย่างนี้ได้แต่เนิ่น ๆ ก็ดี เพื่อได้ไม่ต้องรอจนถึงแก่เฒ่าจะเข้าโลงอยู่ได้ นี่คือการบวชหรือการเรียน การเข้ามาบวชในพุทธศาสนาเพื่อให้รู้สิ่งเหล่านี้โดยเร็ว ให้ชีวิตเหลืออยู่มาก ๆ หน่อยสำหรับบริโภคความสุขที่เกิดมาจากการชนะโลกทุกโลกนี้ จนเรียกได้ว่าอยู่ในโลกอุดรหรือเหนือโลกเป็นเวลายาวนานพอสมควร บางคนตายเปล่าเข้าโลงไปไม่เคยพบสิ่งนี้ บางคนไปพบสิ่งนี้จวนเข้าโลง บางคนพร้อมกับความตายก็มี แต่เราที่เป็นพุทธบริษัทนี่พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการอย่างนั้น ท่านต้องการให้มันรู้อะไรทันก่อนแต่ที่จะตายนี่ คือให้ได้รู้รสของความดับทุกข์ ความพ้นทุกข์ ก่อนแต่จะตายให้มากหน่อยให้เป็นมนุษย์ที่มีราคา มีค่า นี่ไปทำการเดินทางให้ดี ทำการงานให้ดี ให้มันได้ชัยชนะก่อนแต่ที่จะตายเข้าโลงนั้นน่ะให้หลาย ๆ ปี หรือหลายสิบปีหน่อย ให้มันหยุดความดิ้นรนเร่าร้อนนั้น เสียแต่เวลาที่มันสมควรจะได้บริโภคผลของสันติคือความสงบสุขอันแท้จริงที่เรียกว่านิพพานน่ะ เวลายืดยาวพอสมควร ชาตินี้ ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ต้องตายแล้วเหมือนที่เขาพูดกัน เรื่องนี้จะเอาไว้พูดกันทีหลังก็ได้ มันอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ นี่เราพูดกันเฉพาะเรื่องชีวิตคือการเดินทางและการงาน
นี้ก็ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าการเดินทางก็ดี การงานก็ดี เขาเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า การต่อสู้ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นการต่อสู้ ถ้าเป็นหน้าที่การงานนั้นเป็นการต่อสู้ทั้งนั้น แล้วมันก็ต่อสู้ที่จะมีลมหายใจอยู่นี้ ถ้าเราไม่หายใจเราก็ต้องตายเพราะฉะนั้นเมื่อมันทำให้หายใจไม่ได้เราก็ต้องต่อสู้ให้มันหายใจได้ ต่อสู้โดยพื้นฐานก็เพื่อมีชีวิตอยู่ แล้วที่มีชีวิตอยู่ไม่ได้สิ่งที่ควรจะได้ ก็ต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ควรจะได้ ไอ้สิ่งที่ควรจะได้มันมีมาก มันหลายชั้น หลายระดับ เพราะฉะนั้นต่อสู้ไปจนได้สิ่งสูงสุด มันคือความหยุด หรือความสงบ ความระงับ ความสันติ นิพพานไป ทีนี้เดี๋ยวนี้เรากำลังต่อสู้ชนิดโลก ๆ ในวัยหนุ่มเรียกว่า ออกไปต่อสู้อย่างที่เรียกว่าเป็นการต่อสู้อย่างโลก ๆ น่ะ เรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องอะไรเรื่อยขึ้นไป จนกว่าจะมั่นคงในเรื่องโลก ๆ
ทีนี้ในคำว่าโลก ต่อสู้ในโลก แล้วคำว่าโลกสมัยนี้มันก็เลยมีปัญหาที่เพิ่มขึ้น ที่ผมได้พูดเป็นหัวข้อข้อแรกว่า เราจะพูดกันถึงเรื่องว่าจะอยู่ในโลกอันแสนจะยุ่งยาก อยู่ยากนี่ ยิ่งขึ้นทุกทีนี้ได้อย่างไร นี่หมายความว่าโลกยิ่งอยู่ยากขึ้นทุกที แสนจะอยู่ยากยิ่งขึ้นทุกที พวกเราที่มีชีวิตอยู่เวลานี้ เรียกว่าอยู่ในโลกที่แสนจะยุ่งยาก อยู่ยากยิ่งขึ้นทุกที ทีนี้คุณเพิ่งเกิดมาอายุไม่กี่ปี สามสิบกว่าปีอะไรอย่างนี้ มันก็ไม่ทันเห็นโลกโบราณ ร้อยกว่าปี ซึ่งมันสงบหรืออยู่ง่ายกว่านี้มาก นี่โลกเดี๋ยวนี้อยู่ยากมาก แล้วโลกต่อไปในอนาคตกี่ปีก็ตาม มันจะยิ่งอยู่ยากมากขึ้นทุกที เพราะสิ่งที่เรียกว่าความเจริญ ผมพูดอย่างชวนหัวหรือตลกว่า ความเจริญไปถึงไหน วัดได้ด้วยมีขโมยหรือมียุงชุม พูดนี้เป็นเครื่องเปรียบเทียบเท่านั้นน่ะ ความเจริญมีขึ้นเท่าไรก็ยิ่งมีขโมยชุมมากขึ้น มียุงชุมมากขึ้น ก็หมายความว่ายิ่งเจริญมันยิ่งยุ่งยากไง เพราะว่าไอ้ความเจริญนี่มันเจริญแต่ในทางความเอร็ดอร่อย ทางเนื้อ ทางหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นี่รสชาติของสิ่งเหล่านี้มันยั่วให้คนเป็นอันธพาล เป็นทาสของกิเลส เป็นอันธพาล มันยิ่งเจริญทางด้านรูป เสียง กลิ่น รส เท่าไรความเป็นอันธพาลในโลกจะมีมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นในโลกนี้มันก็จะมีอันธพาลมากขึ้นสำหรับให้เราอยู่ยาก ทีนี้โลกมันแคบเข้าเพราะคนมันมากขึ้น ฝาบ้านมันต่อกันมากยิ่งขึ้นทุกที นี่นอกฝาบ้านเราไปเป็นอันธพาลนี่เราจะอยู่อย่างไร นี่ความเจริญมันหมายความอย่างนี้ มากขึ้น ๆ จนรกรุงรังไปด้วยความกระทบกระทั่งหรือเบียดเบียน ผมพูดหลายหนแล้วแต่ว่าบางท่านอาจจะไม่เคยฟังว่า คำว่าเจริญนั่นแปลว่า รกรุงรัง คำว่า วัฒนาหรือพัฒนาในภาษาบาลีแปลว่า รก หนาขึ้น ไม่ได้หมายความว่า ดีขึ้น แต่หมายความว่า รก หนาขึ้น ทีนี้มันอาจจะเลวลง ชั่วร้ายเข้าก็ได้ มันเพียงแต่รกหนาขึ้น หญ้ารกนี่เขาเรียกว่าว่าหญ้าเจริญ ผมบนหัวรก ก็เรียกว่าผมมันเจริญหรือวัฒนาเท่านั้น ทีนี้มันมีปัญหาที่จะต้องตัดหญ้ารก หรือตัดผมที่รก คำว่าความเจริญมันก็สร้างปัญหาเท่านั้นไม่มีอะไร หรือมันจะเจริญขึ้นมาได้มันก็เป็นการทำปัญหามาแล้ว เป็นความยุ่งยากมาแล้ว เจริญต่อไปมันก็สร้างปัญหาหรือความยุ่งยากต่อไปอีก แล้วเราก็ชอบความเจริญชนิดนี้ หลงความเจริญชนิดนี้ มันจึงได้ไปอัดกันอยู่ตรงที่มีเหยื่อมาก ๆ เหยื่อของไอ้ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย จำนวนมาก ที่ไหนก็ไปออกันอยู่ที่นั่น ฉะนั้นจึงไปอยู่กันอย่างที่เรียกว่าที่เจริญ โดยเฉพาะที่กรุงเทพฯ นี่เรียกว่าที่เจริญ ไปสร้างความสกปรก ลามก อนาจาร อัดแอกันอยู่ที่นั่น ถ้าอยู่อย่าง ฤๅษี ชี ไพร ในป่าโดดเดี่ยวคนเดียว มันก็ไม่มีเรื่องให้ยุ่งยากลำบากอย่างนั้น นี่ผลของความเจริญหรือการชอบความเจริญมันเป็นอย่างนี้ สมัยก่อนเขาอยู่กันอย่างหมู่บ้าน แบ่งเป็นหมู่บ้าน เล็ก เล็ก เล็ก เล็ก กระจายกันอยู่ ต่างคนต่างอยู่ มีอะไรที่จำเป็นจะต้องทำอย่างไร ก็อยู่กันได้สบาย ทีนี้ต่อมามันเป็นเมืองมา มันรวมหมู่บ้านแออัดเป็นเมืองขึ้นมา เป็นนคร เป็นมหานครขึ้นมา ปัญหาก็เกิดขึ้นมาก ที่จะทำให้คนเป็นโรคเส้นประสาท เป็นบ้า เป็นอะไรมันก็มาก โรคจิตมันก็มาก อยู่กันในมหานครนั่นน่ะ ถ้าอยู่กันอย่างหมู่บ้านแบบเดิมแต่โบราณ มันก็ไม่มีปัญหาเหล่านี้ มหาตมะ คานธี มีความเห็นในเรื่องนี้มาก จนถึงกับแนะไว้ว่าให้แก้ปัญหาด้วยการกระจายกันออกไปอยู่เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อย่ารวมกันอยู่เป็นมหานคร ปัญหาจะมีน้อยลง จะแก้ได้ง่ายขึ้น แต่คนก็ไม่ชอบเพราะว่าในมหานครนั้นมันเป็นที่รวมของเหยื่อต่าง ๆ ทางเนื้อ ทางหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วจะไม่ให้การต่อสู้มันเพิ่มขึ้นอย่างไร มันก็เป็นการต่อสู้อย่างสุดเหวี่ยง คนต้องการเหยื่อเหล่านั้นน่ะถึงต้องต่อสู้อย่างสุดเหวี่ยง เพื่อให้ได้มาซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ไหนหาได้ง่ายก็ไปอยู่กันที่นั่น แม้จะเป็นการศึกษาเล่าเรียน ก็ศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้ได้สิ่งนี้ ชั้นมหาวิทยาลัย หรือยิ่งกว่ามหาวิทยาลัยก็เพื่อให้ได้ผลเป็นความต้องการของกิเลสตัณหา เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังเท่านั้น ให้ไปเรียนเมืองนอก หรือว่าไปเรียนที่ไหนก็ตามใจ มันก็เพื่อผลอันนี้เท่านั้น นี่ว่าความเจริญทางวัตถุสร้างให้เกิดปัญหา โลกนี้กลายเป็นโลกที่ต้องต่อสู้ยุ่งยากลำบาก แม้ในส่วนบุคคล แม้ในส่วนครอบครัว หรือหมู่คณะ ประเทศชาติ หรือกระทั่งทั้งโลก กำลังเต็มไปด้วยปัญหา กำลังเป็นการต่อสู้ ที่ทำให้คนที่อยู่ในโลกนี้ทนทรมานมากขึ้น เพราะว่าโลกมันแคบเข้าด้วยการคมนาคมที่มันก้าวหน้า โลกมันแคบเข้า เพราะเหตุนี้ ทั้งที่พื้นที่โลกหรือตัวโลกมันเท่าเดิม กี่หมื่นแสนปีมาแล้วมันก็เท่านี้น่ะตัวโลก แต่เราพูดว่าโลกมันแคบเข้า เพราะการสัมพันธ์นี้มัน มันเร็วขึ้น ทีนี้ความเดือดร้อนที่อยู่ที่อื่น มันก็ตามมา มาถึงที่นี่ได้ง่าย เช่นเขาเป็นอหิวาตกโรคกันอยู่ทางประเทศอาหรับ ที่นี่ก็ต้องเตรียมฉีดยาป้องกันอหิวาตกโรคเหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างสมัยก่อนไม่มีปัญหาอย่างนี้ เขารบกันอยู่ที่อื่นแต่ผลกระเทือนก็มาถึงที่นี่ รบกันอยู่คนละมุมโลก ผลกระเทือนก็มาถึงที่นี่ มีปัญหายุ่งยากนานาประการ เรียกว่าโลกนี้มันอยู่ยากยิ่งขึ้นทุกที
เอาล่ะทีนี้จะเรียกว่ายังไง ว่าคุณเกิดมาในโลกปัจจุบันนี้ จะเรียกว่ามีโชคดีหรือโชคร้าย มองอย่างคนขี้ขลาดมันต้องเรียกว่าโชคร้าย ใช่ไหมเราเกิดมาในโลกที่เขากำลังมีวิกฤตการณ์ยุ่งยากลำบาก เราเป็นคนโชคร้าย แต่ถ้ามองอย่างคนกล้าหาญ คนมีธรรมะมันก็ไม่รู้สึกอย่างนั้น เพราะเรามีเครื่องมือสำหรับต่อสู้ คือ ธรรมะ โชคดีว่าเราจะได้แสดงความสามารถ จะได้มีสมรรถภาพ จะได้ต่อสู้กับปัญหาขนาดหนัก เราเป็นคนโชคดี เกิดมาได้เป็นนักศึกษา เป็นนักต่อสู้ที่ขนาดหนัก อย่างนี้ก็ได้ ทีนี้เมื่อเราหลีกไม่พ้นแล้วเราจะสมัครเอาอย่างไหนล่ะ มันก็ต้องสมัครเอาอย่างที่เรียกว่ามีโชค ได้ศึกษาให้มันพอ ได้ปฏิบัติให้มันพอ ได้เอาชนะโลกที่มันแสนที่จะเอาชนะยากนี้ให้ได้ ฉะนั้นไอ้การต่อสู้อยู่ในโลกที่แสนที่จะเอาชนะได้ยากนี้คือการปฏิบัติธรรมชั้นสูง ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในเพศบรรพชิต บวชนี้ตลอดไป ออกไปที่ไหนมันก็มีปัญหาที่ให้ต่อสู้ในโลกที่แสนจะต่อสู้ยาก มันก็ต่อสู้ในท่ามกลางความยุ่งยาก เอาชนะให้ได้ ใต้ความยุ่งยากนั่นน่ะมีความสงบ เหวี่ยงความยุ่งยากออกไปเสีย ทิ้งไปเสียก็พบความสงบนอนอยู่ที่นั่น เราก็มีหน้าที่ศึกษาเพื่อหาวิธีเหวี่ยงไอ้ความยุ่งยากออกไปให้พ้นจากตัวเรา จากจิตใจของเราด้วยวิธีที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่การต่อสู้ด้วยการเอาปืนไปยิงเขา เอาดาบไปฟันเขา แต่ต่อสู้ด้วยจิตที่มีปัญญา ป้องกันไม่ให้ไอ้สิ่งเหล่านั้นมา มา มาถูก ต้องจิตใจของเราได้ นี่ก็เป็นการต่อสู้พื้นฐานทั่วไป แล้วเรามีสติปัญญาที่จะทำความเข้าใจกับไอ้คนทุกคนโดยรอบ รอบตัวเรานี้ให้มันเป็นเหมือนเราบ้าง มันก็เลยอยู่สบายกันทั้งหมด เดี๋ยวนี้โลกกำลังต้องการธรรมะ ต้องการศาสนายิ่งไปกว่าสมัยก่อน ๆ ซึ่งมันมีความสงบอยู่ตามธรรมชาติมาก ฉะนั้นเราจึงเห็นฝรั่งหรือว่าชาวต่างประเทศบางคนเริ่มหันมาสนใจสิ่งที่เรียกว่าศาสนา อยากให้พระเจ้ากลับมาอีก อยากให้พระธรรมกลับมาอีก มาช่วยมนุษย์ เพราะว่าเขาเขี่ยพระเจ้า หรือเขี่ยพระธรรมทิ้งไป ๆ เรื่อย ๆมาจนมีโลก มีโชคร้ายอย่างนี้ ก็เริ่มสำนึกตัวได้ จะเอาพระธรรมหรือพระเจ้ากลับมาอีก หันมาสนใจสิ่งที่เรียกว่าศาสนากันอีก แต่ยังเป็นส่วนน้อย ยังไม่พอที่ต้องทำต่อไป นี่เราอยู่ในโลกที่กำลังเป็นอย่างนี้เราก็ต้องพึ่งพระธรรม หรือจะเรียกว่าพระเจ้าก็ได้ แต่ตามความหมายของเรา นี่ผลของการที่คุณบวช อย่างแท้จริง บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริงแล้วมันจะได้สิ่งนี้ แล้วคุณจะสึกออกไปมันก็ยังอยู่ในสภาพเดิม คือไม่สึกหรอหรือไม่ตกต่ำ หรือไม่ได้เลวลง แต่จะไปเดินอย่างดี ให้ก้าวหน้า ให้ลุล่วงไปโดยเร็ว ให้สามารถอยู่ในโลกที่แสนจะอยู่ยากยิ่งขึ้นทุกทีนี้ได้โดยสะดวก นี่อย่าไปเป็นคนจมอยู่ในกองทุกข์อย่างไม่หลับหูหลับตาเสีย ให้พบไอ้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์ควรจะได้ ว่ามันซ่อนอยู่ข้างใต้ความยุ่งยากยุ่งเหยิงของมนุษย์นั่นเอง เราไปรื้อเอาไอ้นั่นออกก็จะพบของดีอยู่ใต้นั้น จนพูดเป็นอุปมาว่า นิพพานนี้หาพบในวัฏสงสาร อย่าเอานิพพานไว้ทางหนึ่ง วัฏสงสารไปไว้ทางหนึ่ง ต้องหานิพพานให้พบที่วัฏสงสาร โดยหลักว่าความทุกข์มีอยู่ที่ไหน ความดับทุกข์ต้องมีอยู่ที่นั่น เพราะว่ามันต้องดับลงไปบนตัวทุกข์ ทีนี้คนที่ฉลาดก็เลยพูดว่า ไอ้เย็นที่สุดนั่นหาได้ที่กลาง จุดกลางเตาหลอมเหล็ก ไอ้กลางเตาหลอมโลหะน่ะมันร้อนเท่าไรใคร ๆ ก็รู้ เขาพูดว่าจุดเย็นที่สุดมันอยู่ที่ศูนย์กลางของเตาหลอม หมายความว่ายิ่งร้อนเท่าไรมันจะยิ่งเย็นมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจงยินที่ว่าได้พบความทุกข์ ความร้อน ความยาก ความลำบาก เราเขี่ยมัน สลัดมันออกไปได้เท่าไหร่ ออกไปแล้วมันจะพบกับความเย็นที่สุดมากที่สุดอยู่ที่นั่น เมื่อเราฉลาดเต็มตัวจึงสามารถยกไอ้สิ่งนั้นออกไปได้
ที่นี่เรามี มะพร้าวนาฬิเกร์ ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง หมายความว่าท่ามกลางวัฏสงสารนั่นแหละมีนิพพาน ที่ไม่มีความทุกข์เลย คือทำลายวัฏสงสาร หรือขยี้วัฏสงสารไปเถอะ พบนิพพานอยู่ที่นั่น เดี๋ยวนี้การพูดหรือการสั่งสอนมันทำให้เข้าใจไปว่ามันอยู่คนละมุม คนละทิศทาง วัฏสงสารอยู่ทางทิศขวามือ นิพพานก็อยู่ทางซ้ายมือนี้ มันคนละทิศละทาง ไม่มีวันจะพบกันนี้มันเป็นคำพูดอย่างอื่นที่ทำให้เข้าใจผิด เขามีหลักว่าความทุกข์อยู่ที่ไหนความดับทุกข์อยู่ที่นั่น เขาต้องดับไอ้ตัวทุกข์นั่นลงไป นี่คือการต่อสู้ที่ดีที่สุดของมนุษย์ เผชิญเข้ากับความทุกข์และขยี้ความทุกข์ให้หมดไป ไอ้ความดับทุกข์ก็ปรากฏอยู่ที่นั่น ทุกข์อยู่ที่ไหนต้องดับที่นั่น วัฏสงสารอยู่ที่ไหนต้องนิพพานกันที่นั่น ทีนี้การต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิ่งนี้ คือต่อสู้สูงสุดของมนุษย์เรา ฉะนั้นขอให้มีปณิธานอันแน่วแน่ที่จะต่อสู้ อย่ายอมแพ้ แต่ไม่ใช่ต่อสู้อย่างโง่ ๆ เข้าไปปะทะอย่างที่เอาหัวชนฝา เอาหัวชนภูเขานั้นไม่มี ไม่มีประโยชน์อะไร ต้องฉลาดกว่า ต้องเหนือกว่า จากผลของการบวช การเรียน ให้มีการต่อสู้ที่ถูกต้อง ชนะโลกนี้ให้ได้ มีทรัพย์ ยศ ไมตรี ชนะโลกอื่นให้ได้ มีความสุขที่สูงยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ชนะโลกอุดรให้ได้ ให้ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ต่อสู้ให้ชนะได้ทั้งสามโลกอย่างนี้ การบวชนี้ก็จะเป็นการบวชที่ดี การสึกออกไปก็จะเป็นการ ไม่ใช่สึกหรอ เป็นการศึกษาที่ก้าวหน้า เดินทางต่อไป ต่อสู้ต่อไป การปฏิบัติธรรมมีอยู่ในตัวชีวิต ในตัวการงาน ในตัวการต่อสู้ นี่คือหนทางที่ว่าจะเอาชนะโลกอันแสนจะยุ่งเหยิง ยุ่งหนักมากขึ้นทุกทีนี้ได้อย่างไร อีกสิบปีคุณจะลำบากกว่านี้อีก ยี่สิบปีสามสิบปีคุณจะลำบากในการต่อสู้โลกยิ่งกว่านี้ เพราะทางโลกนั้นมันมีเหยื่อที่จะมาล่อให้หลงใหลมากขึ้นทุกที ในทางนี้มันไม่ได้ฉลาดมากขึ้นเท่ากัน มันโง่ลงไปเสียอีก โลกนี่เต็มไปด้วยอันธพาล ทางวิญญาณ ทางร่างกายนั้น เราต้องไปเผชิญกับมัน เอาชนะมันให้ได้ สอบไล่ให้ได้อย่าให้ตก นี่ข้อที่คนที่จะสึกออกไปนี่จะต้องรู้จักนะ ว่าชีวิตคือการงาน การงานคือชีวิต เพราะฉะนั้นไอ้การงานคือการปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดการต่อสู้จนชนะในโลกทั้งสาม เวลาของเราก็หมด