แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ แฮ่, เป็นเวลาที่จะได้พูดกัน เอ่อ, ถึงเรื่องทิศ ต่อไปจากที่พูดค้างไว้ในวันก่อน ในวันก่อนได้พูดเอ่อ, กันถึงความหมายของคำว่าทิศ อื่อ, ในทุกความหมายแล้ว รวมๆ กันไป วันนี้ก็จะได้พูดกันให้ละเอียดเป็นทิศๆ เฉพาะทิศ
ความหมายของคำพูด เอ่อ, ทุกคำ มันมีอยู่เป็นชั้นๆ ซึ่งต่างกันมาก แล้วแต่ว่าคนมันมีการศึกษา มีสติปัญญาอย่างไรก็มองเห็นลึก เพราะฉะนั้นในวันนี้เราพูดกันถึงเรื่อง ไอ้, ความหมายที่มันลึก และเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าทิศ คือคำว่าบิดามารดา อ่า, มารดาบิดา บุตรภรรยา ครูบาอาจารย์ ญาติมิตร สมณพราหมณ์ และบ่าวไพร่ หกคำโดยส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นชื่อของทิศในทางฝ่าย เอ่อ, จริยธรรม สมมติเรายืนอยู่เป็นจุดศูนย์กลาง แล้วก็มีทิศหน้า ทิศหลัง ทิศซ้าย ทิศขวา ทิศบน ทิศล่าง ก็คือรอบตัว เป็นสิ่งที่เราจะต้องมองเห็น และจะต้องปฏิบัติให้ได้ผลของมันด้วย ไอ้ที่จะ จะมองเห็นนี่ จะมองเห็นกัน อื่อ, ลึก ตื้นกี่มากน้อย ฉะนั้นเราจึงต้องมาทำความเข้าใจ เอ่อ, เกี่ยวกับความโง่ความฉลาดของเรา หรือของคนทั่วไปในเรื่องนี้ ภาษาพูดมีความหมายหลายชั้นดังที่กล่าวแล้ว ข้อนี้มันแล้วแต่ว่ามันจะเล็งกันในแนวไหน ในแง่ของอะไร ถ้าเล็งกันในแง่ของวัตถุมันก็ไปอย่างหนึ่ง อื่อ, เล็งในแง่ทางนามธรรม ทางวิญญาณก็ไปอีกอย่างหนึ่ง เล็งในแง่ประโยชน์อย่างโลกๆ ความหมายมันก็เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง อ่า, เล็งประโยชน์ในทางธรรมอันลึกซึ้ง ความหมายก็มีไปอีกอย่างหนึ่ง
นี่เรามาดูมัน ใน ใน ในลักษณะที่กว้าง หรือที่เขาจะเรียกกันบัดนี้ว่าปรัชญาของมันเป็นอย่างไร ปรัชญาของคำว่าพ่อแม่ ปรัชญาของคำว่าลูกเมียเป็นต้น เหล่านี้มันเป็นอย่างไร เมื่อถามว่าอย่างไรนี่มันก็ต้องดูกันว่าในแง่ไหน อันแรกก็ทางวัตถุ ก็เช่นในแง่ของชีววิทยาทางวัตถุ ถ้าเราดูกันในแง่ของชีววิทยา พ่อแม่ก็เป็นเพียง ไอ้, พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ เหมือนที่มันเกิดสัตว์ อื่อ เหมือนกับที่มันทำให้เกิดสัตว์ เกิดพืชเกิดต้นไม้ขึ้นมา มันมีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ คือเพศผู้เพศเมียจะให้การผสมกัน เอ่อ, ออกมาเป็นหน่วยใหม่ ให้ดูต้นไม้ดูสัตว์ พ่อแม่มันก็มีเพียงนั้นในแง่ของชีววิทยา จะดูไปในแง่นั้นมันไม่มีจริยธรรม ไม่มีไอ้ ไอ้เรื่องทางจิตใจที่สูงส่งอะไร มันก็นำไปสู่ความคิด เท่าที่จะมองเห็นกันแต่ในทางวัตถุ เราเห็นกันแต่ประโยชน์ทางวัตถุ พ่อแม่ก็เลยไม่มีบุญคุณ มันมีคนเคยเห็นอย่างนั้น เชื่อกันมาอย่างนั้น ถือกันมาอย่างนั้น ว่าพ่อแม่นี่มันเป็นเพียงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ให้เกิดลูกออกมา หรือยิ่งไปกว่านั้นก็ว่าเพื่อความสนุกสนานของเขา ของพ่อแม่
ในหลวงรัชกาลทื่ ๖ เขียนเป็นคำกลอน ผมจำได้ ตั้งนานแล้ว หนังสือนั้นก็ไม่มีแล้วเดี๋ยวนี้ จะผิดๆ ถูกๆ อย่างไรจำไม่แน่ แต่ว่าใจความมันยังมีอยู่ว่า เขาให้ชีวิตเรา มิใช่ให้ดั่งให้ทาน กฎธรรมดาท่านว่าเป็นของไม่น่าอัศจรรย์ นี่เป็นคำพูดฝ่ายอธรรมพูดชักชวนเกลี้ยกล่อมชาวบ้าน เขาให้ชีวิตเราไม่ใช่ให้ดั่งให้ทาน ก็หมายความว่าที่พ่อแม่ให้เราเกิดมานั่นมิใช่มันเป็นการให้ เอ่อ, ผู้ให้กับผู้รับอย่างให้ทาน มันเป็นกฎธรรมดาที่สืบพันธุ์ตามธรรมดา ฉะนั้นเราไม่ต้องเห็นแก่พ่อแม่ ไม่ต้องเคารพพ่อแม่ นี่คำพูดฝ่ายอธรรมเป็นอย่างนี้ อย่าเห็นว่าเป็นของบรมโบราณ มันเคยมี มันมี เคยมีผลมาแล้วอย่างไร มันก็มีผลมากระทั่งบัดนี้ เอ่อ, นิทานที่ผมชอบเล่า เรื่องจริงที่ชอบเล่า อื่อ, มันก็ไม่ค่อยจะน่าเล่า อ่า, ผู้สำเร็จปริญญามาจากเมืองนอกคนหนึ่ง เป็นผู้หญิง กลับมาถึงเมืองไทย ใช้แม่อย่างคนใช้ จนกระทั่งแม่ทนไม่ไหว วันหนึ่งทนไม่ไหว เหลือเกิน เพราะความกระฟัดกระเฟียดของลูกที่จะใช้พ่อแม่อย่างคนใช้นี่ แม่ก็ออกปากว่า อ่า, ลูกไม่รู้บุญคุณของพ่อแม่เสียเลย ลูกสาวก็ตวาดเอาว่าแม่สิไม่รู้บุญคุณของฉัน ฉันไปเมืองนอก ทำเกียรติยศชื่อเสียงให้ ให้แม่ นี่เรื่องมันกลับกันอยู่อย่างนี้ เป็นเรื่องจริงในกรุงเทพ นี่พูดถึงว่าเรื่องจริงที่ควรจะเล่ากันอยู่บ่อยๆ ไม่ต้องออกชื่อก็ได้ มันกระทบกระเทือน นี่ไปเข้าในรูปที่ว่าเขาให้ชีวิตเรา มิใช่ให้ดั่งให้ทาน กฎธรรมดาท่านว่าเป็นของไม่น่าอัศจรรย์
ทีนี้มองดูในแง่ของชีววิทยา พ่อแม่เป็นเพียงหน่วยพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่จะออกลูกออกมาใหม่ ไม่มีความหมายทางจริยธรรมหรือทางอุดมคติ นี้มองในแง่วัตถุอย่างนี้ก็มองได้อีกหลายอย่าง หรือจะมองถัดสูงขึ้นมาหน่อยก็มองว่า ในแง่ทางสังคมนุษย์ มานุษยวิทยาหรืออะไรก็ตามใจ ผมก็เรียกไม่ค่อยถูก พ่อแม่ก็คือผู้รับผิดชอบของบุตร แก่บุตร ต่อบุตร บุตรอยู่ในความรับผิดชอบของพ่อแม่ทางสังคม พ่อแม่ก็ต้องรับผิดชอบแก่บุตร ต่อบุตร คือจะต้องเลี้ยงบุตรในฐานะเป็นความรับผิดชอบหรือหน้าที่ให้มันดี นี่ก็ตามที่เขารู้สึกกันอยู่ทั่วๆ ไปในวงสังคม มันก็ยังดีกว่าที่จะมองในแง่ชีววิทยาเป็นวัตถุล้วนๆ เกิดหน้าที่ผูกเอาภาระผูกพันที่จะต้องทำให้ดี แล้วก็สังคมก็ดีโดยที่พ่อแม่ อ่า, เป็นพ่อแม่จริง ทำลูกให้มันเป็นลูกขึ้นมาจริงๆ
ทีนี้ในแง่ที่สาม ระดับสูงที่มองกันในแง่ฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายธรรมะ ฝ่ายศาสนา ฝ่ายอุดมคติสูงสุด เราเรียกกันว่าฝ่ายอุดมคติ เอ่อ, ทางฝ่ายวิญญาณก็แล้วกัน อุดมคติทางฝ่ายวิญญาณ อื่อ, ตามหลักพุทธศาสนา ก็ถือว่าพ่อแม่เป็นพระพรหมของลูก เป็นอาจารย์ อ่า, คนแรกของลูก เป็นพระอรหันต์ของลูก นี่มันมากกว่าความหมายในแง่ เอ่อ, สังคมที่เขาถือๆ กันทั่วไป ไอ้ความหมายที่มันรวมที่สุดก็ต้องจะอยู่ที่ว่าพ่อแม่นั้นคือผู้ให้ชีวิต ชีวิตนี่ได้มาจากพ่อแม่เพราะเราเกิดเองไม่ได้ อะไรทำนองนี้ มันผู้ให้ชีวิต คือให้ตัวตัน ให้บุคคลนั้นมาทีเดียว ฉะนั้นมาเป็นอะไรบ้าง คนพาลก็เห็นอย่าง บัณฑิตก็เห็นอย่าง คนมีปัญญาตื้นก็เห็นอย่าง คนมีปัญญาลึกก็เห็นอย่างหนึ่ง ฉะนั้นเราจึงวางหลักว่าในแง่ของชีววิทยานี้มันเป็นอะไร ในแง่ของสังคมวิทยานี้มันเป็นอะไร และในแง่ของอุดมคติทางฝ่ายวิญญาณสูงสุดมันเป็นอย่างไร จำตัวอย่างพระพุทธรูปไว้สัก เอ่อ, สิ่งหนึ่งก็ได้ ในแง่ของวัตถุว่าพระพุทธรูปองค์เล็กๆ มีค่าเท่ากับปลาทูสองเข่งนี้ ซื้อมาเป็นเงินเท่ากัน แต่ในทางสังคมเขาก็ไม่ได้ถืออย่างนั้น ไม่ได้ถือทางวัตถุ ถือเป็นวัตถุสำหรับ เอ้อ, มันเป็นวัตถุสำหรับให้เกิดประโยชน์อะไรมากกว่านั้น เอ่อ, ในแง่อุดมคติพระพุทธรูปก็เป็นตัวแทนของพระธรรม ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ได้ มันไม่ใช่มีค่าเท่ากับปลาทูสองเข่ง นี่คุณลองจำไอ้ข้อเท็จจริงอันนี้ไว้ สำหรับเปรียบเทียบหรือตีค่าไอ้สิ่งต่างๆ ในแง่ต่างๆ แล้วจะได้เลือกเอาในแง่ที่มันเป็นประโยชน์ที่สุด
พ่อแม่นี่ไม่ใช่เป็นเพียงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ให้เกิดลูกออกมา มันเป็นผู้ที่เป็นอย่างนั้น เป็นผู้ที่เป็นอย่างนี้ กระทั่งเป็นพระอรหันต์ในครอบครัว จะถือตามอุดมคติของพุทธบริษัทและพ่อแม่นั้นเป็นพระอรหันต์ประจำครอบครัว ให้ช่วยจำไว้ เป็นที่ให้เกิดบุญแก่ลูก คำว่าพระอรหันต์เขามุ่งหมายอย่างนั้น ลูกจะตักตวงเอาบุญออกมาได้จากพ่อแม่คือการปฏิบัติพ่อแม่ด้วยความกตัญญูกตเวที ฉะนั้นพ่อแม่ก็เป็นที่ตั้งแห่งความกตัญญูกตเวที ทบทวนดูให้ดี ในแง่ของชีววิทยา พ่อแม่ก็เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เท่านั้นเอง เหมือนพ่อความแม่ควาย หรือเพศผู้เพศเมียในต้นไม้ ในแง่ของสังคมวิทยาพ่อแม่นี้เป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อบุตร แต่ว่าในแง่ของอุดมคติทางฝ่ายวิญญาณในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นพระอรหันต์ของครอบครัว ฉะนั้นทิศที่หนึ่ง ทิศเบื้องหน้าคือพ่อแม่ มีอะไรอยู่อย่างนี้ มีความหมายอย่างนี้ ต้องเพ่งดูในลักษณะอย่างนี้ ก็เป็นทิศเบื้องหน้ามาก่อนสำคัญกว่า ระวังให้ดี ให้คงเป็นทิศเบื้องหน้าอยู่ด้วยพ่อแม่
ทีนี้พอไปมีเมียมีภรรยาเข้า ไขว้เอาภรรยามาเป็นทิศเบื้องหน้า เอาพ่อแม่ไปไว้ทิศเบื้องหลัง นี่ก็เรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี ระวังจะเป็นอย่างนั้น คือเอาอะไรที่ตนชอบ ตนพอใจเป็นเบื้องหน้า ก็คือเอาเรื่องที่กิเลสชอบมาเป็นเบื้องหน้า นี่เราต้องเอาทิศที่ธรรมะมันมีอยู่จริงอย่างไร เป็นความถูกต้องเป็นเบื้องหน้า ทีนี้เราจะดูให้มันรวดไปเสียให้หมดก่อนดีกว่า อ่า, มันจะง่ายแก่การเข้าใจ ทีนี้ทิศเบื้องหลังคือบุตรภรรยา บุตรมาก่อนคำว่าภรรยา สำหรับภาษาบาลี ถึงแม้ในภาษาไทยก็พูดว่าลูกเมีย ไม่ใช่พูดว่าเมียลูก ฉะนั้นเราก็ต้องดูกันถึงคำว่าบุตรก่อน ในแง่ทางวัตถุ ทางชีววิทยา ลูกก็คือผลของการสืบพันธุ์ เหมือนสัตว์และต้นไม้ ทางวัตถุก็เป็นเพียงเท่านี้ เป็นปฏิกิริยาตามกฎที่ออกมาตามธรรมชาติเท่านั้นเอง นี่จะเข้าบทเมื่อตะกี้อีกว่า เขาให้ชีวิตเราไม่ใช่ให้ดั่งให้ทาน กฎธรรมดาท่านไม่เห็นว่าน่าอัศจรรย์ นี่ทางวัตถุเห็นลูกเป็นเพียงก้อนอะไรก้อนหนึ่งที่มันออกมาจากการสืบพันธุ์ของพ่อแม่
นี้ทางสังคม ทางจริยธรรมทางสังคม ทางจริยธรรมของสังคมที่เขาที่ถือกันมาแต่โบราณนี้ แล้วตามความรู้สึกทางธรรมชาติไปทาง เอ่อ, โลกๆ นี้ ไอ้ลูกนี้ก็คือเครื่องปลื้มใจของพ่อแม่ พอลูกคลอดมาหรือก่อนคลอดก็ตาม ก็เป็นวัตถุที่หวัง ที่ปลื้มใจของพ่อแม่ ถ้าความรักตามสัญชาตญาณมันก็พอใจ เหมือนสัตว์รักลูก ก็พอใจ แต่คนคิดได้มากกว่านั้น เพราะนั่นมันเป็นเครื่องปลื้มใจมากกว่า อื่อ, ควรจะเป็นสิ่งที่มีความหมายตามคำว่า บุตร บุตตะ หรือบุตะระ นี่ศัพท์นี้มีความหมายว่า มีความหมายมาแต่โบราณตามความเชื่อของชาวอินเดียที่เป็นเจ้าของภาษานี้ ว่าผู้ที่จะยกบิดามารดาขึ้นเสียจากนรก นรกคือ ความเป็นทุกข์นานาชนิดนี่ พอบุตรมีมาก็ปลื้มใจ ยกนรก ไอ้ความร้อนใจออกไปได้ ปลื้มใจ ดีใจว่าได้สิ่งที่เรารักที่สุด ที่จะสืบสกุลของเรา ที่จะทำบุญอุทิศให้เราเรื่อยไปในเมื่อเราตายแล้ว นี่เครื่องปลื้มใจ กำจัดเสียซึ่งนรกคือความร้อนใจ บุตรเป็นเครื่องปลื้มใจแก่บิดามารดาอย่างนี้
ทีนี้สังคมธรรมดาสามัญก็จะเห็นว่าเอานี้ไปเป็นผู้สืบสกุล มันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ชาติ มันก็อยากจะสืบสกุล เรามีทรัพย์สมบัติ เราไม่อยากให้ใคร ก็ให้ลูก แล้วให้ลูกช่วยรักษาสกุลไว้ แต่เดี๋ยวนี้มันอาจจะเลวลงไปกว่านั้น ที่ว่าบุตรในบางแง่และบางกรณีกลายเป็นสินค้า น่าหัวเราะ เมืองไทยนี่ ลูกสาวขายแพง เมืองอินเดียลูกชายขายแพง มันแล้วแต่ความนิยม หรือขนบธรรมเนียมประเพณี ฉะนั้นอุตส่าห์ทะนุถนอมลูกไว้ขายแพงๆ พูดกันตรงๆ นี้ มันจะหยาบคายไปบ้าง มันเป็นความรู้สึกทางสังคมชั้นที่มันค่อนข้างจะต่ำ
ทีนี้ก็มาถึงแง่ที่สามที่ว่าทางอุดมคติ ฝ่ายวิญญาณนี่ มันยิ่งกว่าที่ว่าจะเป็นผู้ยกบิดามารดาจากนรกนะ ยิ่งไปกว่านั้นอีก คือว่าไอ้ลูกนี่ควรจะเป็นผู้ที่มุ่งหมายไว้ อ่า, ถูกมุ่งหมายเอาไว้สำหรับจะเดินทางต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ามนุษย์จะถึงนิพพาน หรือพระเจ้าก็ตามใจ วิวัฒนาการมันมีความมุ่งหมายที่จะดีขึ้น ทีนี้วิวัฒนาการทางจิตนั้นหมายถึง ดีขึ้นจนกระทั่งบรรลุถึงพระเจ้า ความเป็นอันเดียวกับพระเจ้า หรือนิพพาน นี้คนมันไม่ถึงได้ในชาติเดียว ก็มีบุตรเหลือไว้สำหรับสืบต่อการเดินทาง เดินไปๆ จนวันหนึ่งมนุษย์ ในนามของมนุษย์นี่จะถึงนิพพาน ถึงพระเจ้า ฉะนั้นถ้าใครจะมีบุตรที่เป็นอุดมคติ ก็อย่าเอาไปคิดในแง่ต่ำๆ คิดในแง่ที่จะสร้างสรรค์บุตรให้มีความสูงทางวิญญาณ จนกว่าจะเดินไปถึงนิพพาน หรือพระเจ้า ในช่วงชีวิตนี้ไม่ถึง ก็ลูกมันจะไปถึง ลูกไม่ถึง หลานมันก็จะไปถึง หลานไม่ถึง เหลนมันก็จะไปถึง ควรจะคิดอย่างนี้มากกว่า และจะไม่มีความทุกข์ แต่จะมีความสบายใจ เอ่อ, มีความก้าวหน้า ไปทบทวนดูก็เห็นได้ว่า ไอ้ลูกในแง่ของวัตถุก็เป็นไอ้ผลิตผลของการสืบพันธุ์ของพ่อพันธุ์แม่พันธุ์
นี้ในแง่ของสังคม หรือมนุษย์ ก็ อื่อ, ลูกมันก็เป็นที่สืบสกุล ให้ความพอใจ สบายใจ แก่บิดามารดา ในทางอุดมคติสูงสุดของพุทธศาสนา หรือศาสนาในลักษณะเดียวกัน มันก็มุ่งหมายให้ลูกนี้เป็นผู้รับมรดกการเดินทางไปนิพพาน เรื่อยๆ ไปจนกว่าจะถึงนิพพาน เรามองดูกันระยะยาว มองดูความมุ่งหมายของชีวิตในด้านลึก บุตรควรจะเป็นอย่างนั้น นี้มีคำว่าภรรยาพ่วงท้ายมา นี่ภรรยาคืออะไรขึ้นมาอีก ถ้ามองดูในแง่วัตถุ ชีววิทยาก็อย่างเดียวกันอีกแหละ ภรรยาก็คือแม่พันธุ์ ผู้ที่มาเป็นแม่พันธุ์ เหมือนที่เป็นกันในสัตว์เดรัจฉาน ในต้นไม้ ที่มันจะเป็นแม่พันธุ์ ฝ่ายแม่พันธุ์ ฉะนั้นอย่าไปพูดถึงก็ได้ในแง่นี้
ทีนี้ในแง่ของสังคมวิทยา มานุษยวิทยาอะไรเทือกนั้นๆ เดี๋ยวนี้ก็ดูว่ามันเป็นเพื่อประโยชน์แก่ผู้นั้นในทางบ้านเรือน เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก คู่ทำมาหากิน อย่างนี้ก็นับว่ามีความหมายที่ดีอยู่ แต่นี้มันต่ำลงมาถึงขนาดว่าเป็น เอ่อ, เรื่องสำหรับหลงใหล เอ่อ, เป็นสิ่งสำหรับความหลงใหล เป็นสิ่งสำหรับโอ้อวด เป็นสิ่งสำหรับวัดฐานะ เป็นเครื่องวัดฐานะ อุตส่าห์เล่าเรียนเกือบเป็นเกือบตาย เพื่อนั่นก็จะหาภรรยาที่มีฐานะ เป็นเครื่องวัดฐานะ ว่ามันสวยหรือว่ามันดี หรือว่ามันอะไรก็ตามใจ ไปเสียอย่างนี้ ผู้หญิงก็กลายเป็นวัตถุอะไรอันหนึ่ง อื่อ, สำหรับเป็นของเล่นหรือเป็นของใช้เป็นเครื่องมืออะไรทำนองอย่างนี้ ไม่เป็นอุดมคติ เป็นไปตามความรู้สึกธรรมดาสามัญของกิเลส เป็นเหตุให้ผู้หญิงสาละวนแต่ที่จะสร้างความสวยความงาม ไม่มีอะไร ไม่มีความคิดมากไปกว่านี้ เขาหากินด้วยความงามไปเสีย มันก็เป็นเรื่องหลอกลวง ถ้าภรรยาตกอยู่ในลักษณะอย่างนี้นะ ก็ มนุษย์นี้มันก็ลุ่มหลงมาก โง่หลงมาก ถ้าเป็นฝ่ายที่มีความหมายสำหรับเป็นคู่ เป็นคู่สร้างสรรค์ความเจริญแก่ครอบครัว นี่ก็นับว่าดี
ทีนี้ถ้าจะมองกันในแง่ลึก พ้นเหนือความรู้สึกของกิเลส เป็นอุดมคติทางวิญญาณนี่ ก็ต้องพูดว่าภรรยานี้เป็นคู่เดินทาง หรือเป็นเพื่อนเดินทางสำหรับไปนิพพานเหมือนกัน เรื่องนี้มันพูดกันยาว แต่สรุปได้ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาสำหรับเดินทางไปนิพพาน มันจึงจะจบเรื่อง นี้นิพพานนี่ต้องผ่านโลกดีเสียก่อน ที่ผ่านโลกดี เอ่อ, มันก็ มันก็หนีการสืบพันธุ์ไปไม่พ้น อ่า, การที่มีคู่ผัวตัวเมียสำหรับการสืบพันธุ์ไปไม่พ้น ไอ้เรื่องการผ่านโลกนี่ นี้ผ่านโลกดีมันก็ต้องมีไอ้การมีคู่ผัวตัวเมียที่ดี ที่ให้ไอ้ความรู้ ความเจนจัดในทางฝ่ายวิญญาณ ว่าชีวิตเป็นอย่างไร บ้านเรือนเป็นอย่างไร ลูกผัวเป็นอย่างไร เอ่อ, อะไรเป็นอย่างไรนี่ จนมันรู้จักสิ่งเหล่านี้ดี จนเฉยได้ จนเบื่อระอา จนเฉยได้ ถ้ามันมาไม่ดี มันก็ไม่รู้จักเบื่อ ไม่รู้จักระอา ไม่รู้จักเฉย
ฉะนั้นผัวเมียที่ดีจะต้องช่วยกันและกันให้เกิดความสว่างไสวในทางวิญญาณ ไม่ใช่ให้เพื่อมาลุ่มหลงอยู่ที่นี่ ฉะนั้นแม้แต่ภรรยาก็เป็นเพื่อนคู่เดินทางไปนิพพานของสามี สามีก็เป็นเพื่อนคู่เดินทางไปนิพพานของภรรยา แต่พระพุทธภาษิตในสูตรนี้พูดถึงแต่บุตรภรรยา แล้วก็พูดกับผู้ชาย เพราะผู้ที่กำลังฟังนั้นเป็นผู้ชาย จึงพูดถึงแต่บุตรภรรยา ถ้าพูดทั่วไปมันก็ต้อง เอ่อ, บุตรภรรยา เอ่อ, ก็ต้องภรรยาและสามี แม้ว่าเวลานี้ เอ่อ, คนเขาจะ คนหนุ่มคนนี้เขาจะนึกไปในทำนองว่า เป็นผู้สุข สนุกสนานในการแสวงหาความสุขทางเนื้อทางหนังก็ตามใจ มันควรจะเป็นชั่วขณะ
นี่ก็รู้ความหมายทั้งหมด ความหมายทั้งหมดของธรรมชาติ ของวิวัฒนาการนี่ว่ามนุษย์ต้องไปนิพพาน เป็นที่สุด ไม่ จุดสุดท้ายมันปลายทาง ฉะนั้นการมีภรรยาสามีก็เพื่อจะเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก บุกบั่นไปในการเดินทางเพื่อจะไปนิพพาน อย่ามาติดตันอยู่ที่นี่ มันจะน่าสมเพช แล้วมันจะไม่ดีไปกว่าสัตว์หรือต้นไม้ เหมือนมนุษย์มีใจสูงไกลลิบไปกว่าสัตว์และต้นไม้ มันก็ควรที่จะเดินทางได้ไกลกว่า นี่คุณอาจจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องมากไปเสียแล้วก็ได้ ที่พูดว่าลูกนี้ก็เป็นผู้รับมรดกการเดินทางไปนิพพาน ผัวเมียนี้ก็เป็นผู้ที่จะเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากในการเดินทางไปนิพพาน ไม่ใช่มาติดตันอยู่ที่นี่ มองกันในแง่อุดมคติสูงสุด นี่เราเอาเป็นสักสามชั้นก็พอแล้ว มากนักมันก็ยุ่ง ถ้าในแง่วัตถุทางชีววิทยานี่ บิดามารดา หรือผัวเมีย หรือลูก มันเป็นอย่างนี้ ในแง่ทางสังคมวิทยา มานุษยวิทยาหรืออะไรเทือกนั้นน่ะ พ่อแม่ ผัวเมีย ลูกมันเป็นอย่างนี้ นี้ในทางอุดมคติสูงสุด ทางฝ่ายวิญญาณ ทางฝ่าย spiritual ทิศ (นาทีที่ 30: 56) นี่มันก็ไกลไปกว่านั้น คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางของมนุษย์ คือพระเจ้าหรือนิพพาน
ทีนี้ทิศต่อไป เอ่อ, มันพ้นจากเรื่องทางวัตถุแล้ว คือครูบา อาจารย์ ญาติ มิตร สมณพราหามณ์ บ่าวไพร่นี่ ทิศเบื้องขวา ครูบาอาจารย์ ในทางวัตถุหรือทางชีววิทยาไม่มีความหมายอะไร คือมันไม่ ไม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องทางไอ้วัตถุ ฉะนั้นเราจะไม่พูด มันก็เหลือแต่ทางสังคม เอ่อ, สังคมวิทยาหรือสังคมมาตรฐาน แล้วก็มักจะเห็นกันว่า ครูบาอาจารย์นี่เป็นคนรับจ้างสอนหนังสือเป็นอาชีพ นี่เขามองอาจารย์กันแต่ว่าเป็นผู้รับจ้างสอนหนังสือ สอนวิชาความรู้เพื่อเป็นอาชีพ อย่างมากก็จะเป็นที่ปรึกษาหารือในปัญหาต่างๆ แล้วก็ได้ประโยชน์แก่กันและกันในทางวัตถุ แต่ถ้าเรามองในแง่ที่สูงขึ้นไป อุดมคติทางฝ่ายวิญญาณแล้ว ก็ต้องพูดว่า ก็ต้องมองเห็นแล้วก็พูดออกมาว่า เอ่อ, ครูบาอาจารย์นี่เป็นผู้นำทางฝ่ายวิญญาณ หรือว่าเป็นผู้ยกสถานะทางวิญญาณของคนเราให้มันสูงขึ้นในระยะต้นๆ เพราะว่าครูบาอาจารย์เราหมายถึงครูบาอาจารย์ทั่วไปตามบ้าน ตามเรือน ตามเมือง ตามไอ้เหล่านี้ ก็เป็นการศึกษาในเบื้องต้นให้การอบรมมันยากในเบื้องต้น อบรมศีลธรรมในเบื้องต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรมองกันในฐานะผู้นำของวิญญาณ ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือเลี้ยงชีวิต
เดี๋ยวนี้เด็กๆ แทบว่าจะทั้งหมดมองครู อาจารย์ในฐานะเป็น อื่อ, ลูกจ้าง รับจ้าง รับจ้างพ่อแม่ของเรา รับจ้างรัฐบาลซึ่งอยู่ได้โดยพ่อแม่ของเรานี่ เป็นลูก อ่า, ลูกจ้างสอนหนังสือให้แก่เรา ก็เลยไม่เคารพดั่งที่ว่าเป็นปูชนียบุคคล สมัยโบราณนี่เขาให้เด็กๆ มองอาจารย์เป็นปูชนียบุคคล ผู้มีพระคุณสูงสุด ไม่ใช่ลูกจ้าง ทีนี้ วัฒ วัฒนธรรมตะวันตกไม่สอนอย่างนี้ สอนให้เป็นเพื่อนกัน สอนให้ลดลงมาเป็น เอ่อ,ทำนองไม่ใช่ ปูชนียบุคคล โลกมันจึงปั่นป่วนวุ่นวาย ระส่ำระสาย เพราะวัฒนธรรมบ้าๆ บอๆ แบบนั้น ฉะนั้นเราที่เป็นไทยพุทธบริษัทนี่จะต้องถือว่าบิดา อ่า, ครูบาอาจารย์เป็นปูชนียบุคคลสูงสุด เป็นผู้ เอ่อ, ระดับหนึ่งล่ะ เป็นผู้ยกสถานะทางวิญญาณของกุลบุตรให้สูงขึ้นในระดับแรก นี่ทิศเบื้องขวามีความหมายอย่างนี้
ทีนี้ทิศเบื้องซ้าย ญาติและมิตร ไอ้ญาตินี่ก็หมายถึงมันสืบ เอ่อ, มันสืบพันธุ์ เอ่อ, สืบสายโลหิตโดยตรง นี่เป็นญาติทางสายโลหิต ทีนี้ก็เป็นญาติโดยธรรม ก็คือว่ามีความเข้าใจตรงกันในทางอุดมคติ ก็เข้ามาเป็นพวกกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่กันและกันในทางธรรม ก็เรียกว่าเป็นญาติในทางธรรม ความหมายสำคัญมันอยู่ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ญาติสายโลหิตแต่ถ้าไม่ช่วยกันมันก็ไม่ใช่ญาติ ทีนี้ไม่ใช่ญาติสายโลหิตแต่มันช่วยเหลือเอื้อเฟื้อ เอ่อ, คุ้นเคยกันอยู่ ผูกพันกันอยู่ก็กลายเป็นญาติ กลับจะเป็นญาติเสียมากกว่า คำว่าญาติมาจากคำว่ารู้ คือรู้สึกว่าเป็นผู้ที่เราต้องรับรู้ ต้องรู้สึก เป็นผู้ที่เราต้องรู้สึก หรือสนใจอยู่เสมอ
ไอ้มิตรนี่มันหมายถึงความรัก ในทางเมตตา ความรัก ถ้ามีความรักก็เป็นมิตรขึ้นมาทันที รวมแล้ว ไปด้วยกันได้ คำว่าญาติกับมิตรนี่ มีหัวใจคล้ายกัน ฉะนั้นจึงเอามาไว้ในทิศเดียวกัน ทั้งญาติทั้งมิตร ไม่มี ไม่มีความหมายทางวัตถุ เราไม่บัญญัติอะไรได้ในทางวัตถุ ไม่เหมือนกับลูก เป็นวัตถุออกมาจากพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ก็มีความหมายทางสังคม ก็เห็นกันอยู่ง่ายๆ เอ่อ, ว่าเป็นผู้ที่ช่วยเหลือกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขแก่กันและกัน เอ่อ, เป็นความ เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความปลื้มใจในเมื่อธุระการงานเกิดขึ้น อยู่ในโลกมันเต็มไปด้วยธุระการงาน และการงานเป็นของหนัก ทีนี้การงานเป็นของเบาไปได้ก็เพราะมีมิตรรอบด้าน อือ, สิ่งต่างๆ สำเร็จไปได้ก็เพราะความร่วมมือของคนทุกคนที่เป็นมิตร นี่ทางสังคมมันก็เป็นอย่างนี้ในระดับกลางๆ
นี้ในระดับสูง เอ่อ, เป็นอุดมคติฝ่ายวิญญาณ ไอ้มิตรก็ไม่ต้องอย่างอื่นอีก ก็ต้องเป็นเพื่อน อื่อ, เคียงข้างกันไปสำหรับไปนิพพานอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เอ่อ, มิตรที่แท้จริงก็คือผู้ที่คอยช่วยเหลือ ตักเตือนซึ่งกันและกัน ประคับประคองซึ่งกันและกันให้ดำเนินไปแต่ทางดีและก็สูงในทางนิพพาน เป็นเพื่อนที่คอยตักเตือนเมื่อเพื่อนเผลอ เมื่อเราเผลอ เอ่อ, เพื่อนจะให้สติ อย่าให้ลืมหรือหลงทาง จนกระทั่งว่ามันไปถึงนิพพาน คอยกระซิบข้างหูไม่ให้ลืมได้ แม้ แม้ในวิ วินาทีที่จะตายนะ นี่จึงจะเรียกว่าเป็นอุดมคติของคำว่ามิตร ส่วนอุดมคติที่กินเหล้าด้วยกัน เที่ยวผู้หญิง เอ่อ, ด้วยกันนี่มันเป็นมิตรอย่างภูตผีปีศาจ ไม่รวมอยู่ในความหมายนี้ ไม่เป็นอุดมคติอันใด แล้วจะกลายไปเป็นเรื่อง อ่า, ทางวัตถุ คือเพื่อนกินเหล้า เพื่อน เอ่อ, สำมะเลเทเมา เป็นเรื่องเนื้อหนังไป
ทีนี้ความหมายของคำว่าสมณพารหมณ์ ทิศเบื้องบน เบื้องสูง บนหัว สมณพราหมณ์ บางคนอาจจะยังฟังไม่ เอ่อ, ไม่เคยฟังคำว่าสมณพราหมณ์ เอ่อ, จะจำกัดความสั้นๆ เพื่อง่ายๆ เอ่, ง่ายแก่การ การจดจำหรือเข้าใจนี่ สมณะหมายถึงบรรพชิตประเภทที่ไม่ครองเรือน พราหมณ์ อ่า, เป็นบรรพชิต หรือครึ่งบรรพชิตที่ครองเรือน แต่เขาทำหน้าที่คล้ายกัน มุ่งหมายจะทำหน้าที่คล้ายกัน พระในบ้านเรือน ตามบ้านเรือน มีการครองเรือนมีลูกมีเมียก็เป็นพระประเภทหนึ่ง ทีนี้พระที่ไม่ ไม่มีการครองเรือน คือไปไกลมาก อิสระมาก สูงมากก็เรียกว่าสมณะ เอามาบวกกันเป็นสมณพราหมณ์ แปลว่าสมณะและพราหมณ์ นี่มันเป็นภาษาอินเดีย ชาวอินเดียพูด พระพุทธเจ้าพูดอย่างภาษาของชาวอินเดียพูดว่า พราหมณ์ พราหมณ์ที่มันมีอยู่จริงในประเทศอินเดียสมัยนั้น แล้วสมณะก็คือนักบวชที่ไม่มีการครองเรือนเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าเอง หรือนักบวชเหล่าอื่น ทำหน้าที่เหมือนกันก็คือการ ไอ้, ยกสถานะทางวิญญาณ หรือแก้ปัญหาในทางฝ่ายวิญญาณในระดับสูง
ทีนี้ไอ้พวกพราหมณ์มันเป็นพวกครองเรือน มันก็สูงไปไกลไม่ได้ นักไม่ได้ แล้วบางทีก็หมายถึงการทำที่มันทำเข้าใจผิดกันมาแต่ดึกดำบรรพ์ แรกเริ่มเดิมที นี้ความสูงในทางวิญญาณของพวกพราหมณ์ก็หมายถึงบูชายันต์ ให้ได้ตายไปเกิดในสวรรค์หรือใน ไอ้, ไอ้, โลกที่มันสูงสุด นี่พราหมณ์มักจะเป็นเสียอย่างนี้ ที่พึ่งทางวิญญาณชนิดมิจฉาทิฏฐิ ทำการบูชายันต์หลายอย่างหลายชนิดกระทั่งฆ่าคน เพื่อบูชายันต์ให้แก่พระราชาตายไปเกิดในสวรรค์ แต่สมณะไม่ทำอย่างนั้น ช่วยให้ไอ้ทำการบูชายันต์เหมือนกัน แต่บูชายันต์อย่างอื่น บูชายันต์ด้วยการสละเสียซึ่งตัวกูของกูนี้ แล้วก็ไปนิพพานโน่น ไปสิ่งสูงสุดคือนิพพาน แต่อย่างไรก็เถอะมันก็ความหมายเดียวกันตรงที่ว่าก็ต้องการความสูงสุดในทางฝ่ายวิญญาณ จึงเอาไว้ข้างบน เป็นทิศเบื้องบน เป็นสมณะและพราหมณ์
ทีนี้เรามองดูความหมายที่มันอยู่เป็นชั้นๆ ความหมายของพราหมณ์ในทางฝ่ายวัตถุ ฝ่ายชีววิทยานี่มีไม่ได้หรอก เพราะเป็นเรื่องทางวิญญาณล้วน ทางจิตใจล้วน ถ้าจะมองกันอย่างอันธพาลหน่อยก็ว่า เป็นคนขอทาน ทางวัตถุเป็นคนขอทาน ทำข้าวปลาอาหารให้เปลืองโดยไม่ทำงานอะไร เอาเปรียบ เหมือนเป็นเรื่องในพระบาลีในกสิสูตร ก็มีอยู่สูตรหนึ่ง พระพุทธเจ้าจะไปทรมานนายพราหมณ์คนสำคัญคนนี้ ถือบาตรไปที่ที่เขากำลังไถนาอยู่ ไอ้พราหมณ์นั้นก็เลยตะเพิดพระพุทธเจ้าว่าไปทางอื่นสิ ไปทำไร่ทำนา ทำมาหากินสิ อย่าเอาเปรียบ อย่ามาบาตรมายืนขออยู่อย่างนี้สิ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อ้าว, “ฉันล่ะทำนานี่” แกว่าอย่างนั้น นี้พราหมณ์นั้นก็แย้งว่า ทำนาอย่างไร ไม่เห็นมีควาย มีไถเลย พระพุทธเจ้าบอกว่า สัทธา พีชัง ตโป วุฏฐิ อันนี้พอเป็นคาถา ศรัทธาเป็นข้าวพืช ข้าวสำหรับหว่าน ตบะหรือความเพียรเป็นน้ำสำหรับทำนา หิริ อีสา มโน โยตตัง อะไรท่านว่าไปตามเรื่องของท่าน มีหิริ มีโอตตัปปะเป็นคันไถ เป็นไอ้เชือกชักอะไร จนกระทั่งพราหมณ์นั้นมันเกิดแสงสว่างขึ้นมาในขณะนั้น กลายเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นอริยบุคคล
นี่สำหรับพวกวัตถุนิยมเห็นแต่วัตถุ ก็เห็นว่าไอ้สมณะนี่มันก็ดีแต่กินข้าวฟรี ไม่ทำไร่ทำนา ทำมาหากิน คอยแต่จะกินข้าวฟรี ในสายตาของไอ้พวกวัตถุนิยมก็เป็นอย่างนี้ นี้ในทางที่เรา อื่อ, เห็นกันอยู่ รับรองกันทั่วไป สถาบันของสมณพราหมณ์ก็คือเขายกไว้ให้เป็นผู้สูง เอ่อสุด เอ่อ, เป็นผู้คนผู้อยู่ในระดับสูง เป็นศักดิ์สิทธิ์สำหรับประกอบพิธี แล้วก็ทำพิธี ให้คำแนะนำสั่งสอน พูดง่ายๆ ก็ว่ามีไว้สำหรับไหว้ สำหรับประกอบพิธี ภาพในโรงหนังของเรา ภาพนั้นก็ดีฮะ สมัยนี้พวกเราเอาแต่ไหว้ พอบอกให้ประพฤติธรรมก็กำหู คนสมัยนี้มีสมณะและพราหมณ์ไว้แต่เพียงสำหรับไหว้ สำหรับทำพิธี พอจะให้ประพฤติตาม ไอ้, หลักธรรมะมันก็เฉยเสีย มันก็อุดหูเสีย กำลังเป็นอย่างนี้มากขึ้นทั่วโลก สมณพราหมณ์ก็ลดลงมา เหลือกันสำหรับไว้ไหว้ ไว้ทำพิธี แต่ว่าอุดมคติทางฝ่ายวิญญาณนั้น สมณพราหมณ์นี้ก็ไว้สำหรับยกสถานะทางวิญญาณให้ถึงระดับสูงสุด ผู้นำทางวิญญาณหรือยก อ่า, ฐานะทางวิญญาณให้ขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ จะถึง อื่อ, ฉะนั้นจึงเอามาไว้เป็นทิศเบื้องบน อยู่บนหัว เราต้องมองให้เห็นไอ้ความสูงนี้ให้ได้ จึงจะรู้จักไอ้สิ่งนี้ หรือความสูงของความหมาย ของความเป็นมนุษย์หรือสิ่งที่มนุษย์จะต้องได้ ต้องถึง นี่เป็นทิศเบื้องบน มีความหมายเป็นชั้นๆ
ทีนี้ทิศสุดท้าย ทิศเบื้องต่ำ อยู่ข้างล่าง เรียกว่าบ่าวไพร่ ในภาษาโบราณว่าบ่าวไพร่ ส่วนสมัยประชาธิปไตยนี่เขาเกลียดคำนี้กัน เขาเขี่ยทิ้งไปไหนเสียแล้วก็ไม่รู้ แต่มันก็เป็นความโง่ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าบ่าวไพร่มันก็ยังมีอยู่ เพราะเมื่อคนหนึ่งมันมีอำนาจ แล้วไอ้คนที่ไม่มีอำนาจมันก็ต้องตกอยู่ข้างล่างเสมอไป เป็นเบี้ยล่างเสมอไป นั่นแหละคือบ่าวไพร่ในความหมายใดความหมายหนึ่ง ทีนี้ไอ้คำว่าอำนาจนี่มันไม่ใช่เป็นอำนาจ อ่า, ทางอาวุธ ทางกำลังเสมอไป มันมีอำนาจเงิน มีอำนาจ อื่อ, สติปัญญา เอ่อ, มีอำนาจอะไรอีกหลายๆ อย่างที่เขาใช้ แล้วเมื่อเขาใช้อำนาจอะไรสำเร็จ ไอ้คนที่ถูกใช้มันก็กลายเป็นบ่าวไพร่ ฝรั่งเอาเงินมาล่อคนไทยให้กลายเป็นบ่าวไพร่เมื่อไหร่ก็ได้ ระวังให้ดีคำว่าบ่าวไพร่ ยังไม่หมด ยังไม่มีทางจะหมดได้ ตลอดเวลาที่อำนาจมันมีอยู่ในโลก มันก็เข้ากับพระพุทธภาษิตที่ว่า วโส อิสสริยัง โลเก อยู่เสมอไป อำนาจเป็นใหญ่ในโลก ผู้หญิงก็เอาผู้ชายเป็นบ่าวไพร่ได้ เพราะมีความสวยของเขา ความงามของเขา ผู้ชายที่มีปริญญายาวเป็นหางก็อาจจะมาง้อผู้หญิงที่ไม่มีอะไร มีแต่ความสวยงามนี่ก็ได้ ภาพเขียน เอ่อ, ปริศนาธรรม เขาให้ผู้ชายถือดาบ มีเวทมนตร์ทางคาถาอาคมอะไรมาอย่างสมบูรณ์ ในที่สุดก็มาพ่ายแพ้แก่นางยักขินีที่ปลอมเป็นผู้หญิงสวย ขี่ชิงช้าเล่นอยู่ที่ เอ่อ, โคนไม้นี้ นี่คืออำนาจที่ลึกลับที่จะทำให้คนเป็นบ่าวไพร่
เดี๋ยวนี้เราก็มีลูกจ้าง มีกรรมกร มีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ใต้อำนาจ มันก็อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเป็นทิศเบื้องล่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น ถ้ามันอยู่ต่ำกว่าในลักษณะใดก็ตาม ก็เป็นเครื่องเรียกว่าเหฏฐิมทิศ คือทิศเบื้องต่ำ เราจะต้องมองดู แล้วก็ปฏิบัติให้ถูกต้อง ในทางวัตถุก็มีทาสมีบ่าวมีไพร่กันไว้ใช้งาน ไว้ทำปู้ยี่ปู้ยำเล่นตามความต้องการของตน นั้นมันความหมายป่าเถื่อนทางวัตถุ แล้วก็พ้นสมัยไปแล้วจริง ก่อนนี้ก็ซื้อขายคนกันได้ ไปเป็นทาสสำหรับทำอะไรก็ได้ ทั้งทาสหญิงทาสชาย เดี๋ยวนี้ก็มีความหมายเป็นผู้รับใช้ เรามีอำนาจอะไรอันหนึ่งซึ่งมันทำให้เขามาต้องยอมรับใช้ นี่ความหมายทางสังคมทั่วไป ไว้ใช้สอย อ่า, ไว้ประดับเกียรติเป็นที่สุด ก็มีบ่าวมีไพร่มีอะไรไว้เพื่อประดับเกียรติก็มี เป็นเครื่องมือ เอาไว้เป็นเครื่องมือสำหรับแสวงหาประโยชน์ หรือเป็นเครื่องเอาเปรียบอยู่โดยความหมายหนึ่ง
คนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แล้วมันทำอะไรได้เมื่อไหร่ สติปัญญามันผลิตอะไรออกมาได้เมื่อไหร่ มันต้องไปใช้แรงงานลงบนใครหรือคนหมู่ใดหมู่หนึ่ง ผลผลิตมันจึงจะออกมา ฉะนั้นคนใช้หรือกรรมกร หรือบ่าวไพร่ หรือทาส มันก็อยู่ในความหมายอันนี้ เป็นตัวแรงงานที่ผู้มีสติปัญญาจะใช้ผลิตอะไรออกมา นี่ความหมายทั่วไปทางสังคมวิทยา มานุษยวิทยา ปรัชญามันก็ไปได้เพียงแค่นี้ ทีนี้ถ้าดูทางฝ่ายวิญญาณ หรืออุดมคติสูงสุดทางฝ่ายวิญญาณ ก็ขอให้ดูด้วยความเคารพ ก็ทาสหรือบ่าวไพร่นี่มันก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปนิพพาน มันเป็นบทเรียน ผมอยากจะพูดอย่างนี้ด้วยซ้ำไปว่า เอ่อ, ไอ้บ่าวไพร่ ทาส บริวารนี่เป็นบ่อเกิดสำหรับบุญ คนต้องสงเคราะห์คนยากจน อื่อ, คนช่วยตัวเองไม่ได้ มันจึงได้บุญ อื่อ, ถ้าไม่มีคนเหล่านี้แล้ว ไม่มีใครจะทำบุญอะไรได้ ฉะนั้นคนขาดแคลน คนไร้สมรรถภาพ คนช่วยตัวเองไม่ได้นั้นน่ะ มันเป็นบ่อเกิดแห่งบุญ กระทั่งคนตาบอด คนพิการ คนอะไรก็ตาม นี่มันเป็นบ่อเกิดแห่งบุญ บ่าวไพร่เข้ามาฝากเนื้อฝากตัวให้เราช่วย ก็ควรจะมองไปในแง่ที่ว่าเขามาทำให้เราได้บุญ อย่าไปกดขี่ข่มเหงเอาเปรียบเขา หรือแม้แต่ลูกจ้าง แม้แต่คนใต้บังคับบัญชา ก็จงมองเขาอย่างนี้ มันจึงจะเป็นอุดมคติ เอ่, ทางวิญญาณ
ทีนี้บุญที่มันต่ำๆ มันก็คือว่าเราเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตากรุณา เราก็ได้บุญ ทีนี้บุญที่ดี สูงขึ้นไปนี่ มันก็ เพื่อเรานี่จะทำลายความเห็นแก่ตัวของเรา หรือควบคุมกิเลสของเรา บ่าวไพร่ก็เป็นฝ่ายที่ เอ่อ, จำเป็น จำนน จำยอม เราด่าเขาก็ได้ เราตีเขาก็ได้ นี่มันทำให้เรามีกิเลสมากขึ้น เป็นบ้ามากขึ้น จะตกนรก นี้มาสำหรับเป็นบทเรียนของเรา สำหรับเราจะฝึกหัดบังคับตัวเอง ไม่โกรธ ไม่เอาเปรียบ แล้วก็ไม่ด่าเขา ไม่อะไร อดกลั้นโทสะได้ ถ้าใครอดกลั้นโทสะแก่บ่าวไพร่ได้ ก็หมายความว่ามันอดกลั้นได้สูงสุด เพราะเป็นผู้ที่สำหรับใครๆจะไม่อดกลั้น นี่เราจะยอม อื่อ, ให้เขา ไม่ เอ่อ, ไม่ ไม่ ไม่ลุอำนาจแก่โทสะจนติด หรือไม่เห็นแก่ตัว ฉะนั้นบ่าวไพร่นั้นก็มาในฐานะเป็นผู้ช่วยสนับสนุนให้นายดีขึ้น ให้นายดีขึ้น สูงขึ้นจากความไม่มีบุญ มาเป็นผู้มีบุญ แล้วจะมาเป็นผู้ที่หมดตัวกูของกูได้เหมือนกัน ถ้าใช้บ่าวไพร่เป็นบทเรียน ฝึกหัดการทำลายตัวกูของกู มันก็ทำได้ดีมาก เพราะมันไม่ เอ่อ, ตามธรรมดามันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความอดทนของนาย นี้มันกลายเป็นเรื่องทำให้นายต้องฝึกฝนตัวเอง ปฏิบัติตัวเองให้เกิดความอดกลั้นอดทน ไม่เห็นแก่ตัว นับตั้งแต่ต้องช่วยเหลือเลี้ยงดูเขา เอาใจใส่เขา รักเหมือนลูกเหมือนหลาน แม้บ่าวไพร่ไม่สบายเจ็บไข้ ก็ไปเอาใจใส่เหมือนกับลูกกับหลาน นั่นคือธรรมเนียมโบราณมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
ฉะนั้นระบบทาสของพวกพุทธบริษัทนี่ ไม่จำเป็นจะต้องเลิก ระบบทาสของพวกภูติผีปีศาจนั้นแหละจะต้องเลิก ให้หมดไป ให้เป็นประชาธิปไตย แต่ระบบทาสของธรรมะนี่ไม่จำเป็นจะต้องเลิก ไม่ควรเลิก เพราะว่าคนที่ด้อยสมรรถภาพ ช่วยตัวเองไม่ได้ มันก็ยังมีอยู่ในโลกทั่วไป เราก็ต้องช่วยเขามาอยู่ในความ เอ่อ, อุปการะทุกอย่างทุกประการ มันก็เป็นทาสอยู่ในความหมายนั้นแหละ หลีกไปไหนไม่พ้น เป็นบ่าวไพร่หรือ เอ่อ, ผู้ที่ต้องเลี้ยงดูอย่างบ่าวไพร่ แต่นี้เปลี่ยนเป็นว่าเอาเป็นบุญเป็นกุศลกันดีกว่า ฉะนั้นเราสงเคราะห์ผู้ด้อย เอ่อ, ผู้ไม่ ผู้ไร้สมรรถภาพนั้นอย่างเอาบุญเอากุศล เหมือนที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ มันก็ต้องเอาอันอื่นมาล่อ มาจูง มาดึงกันเป็นการใหญ่
สมัยพุทธกาลเขาก็ใช้ ไอ้, เศรษฐีนี่เลี้ยงบ่าวไพร่บริวารไว้มากมาย ช่วยเหลืออุ้มชู บางทีหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านอยู่ในความอุ้มชูของเศรษฐีคนหนึ่งเท่านั้น พระเจ้าแผ่นดินก็มอบหมายและไม่มีการกดขี่ มีอะไรมีด้วยกัน เป็นอะไรเป็นด้วยกัน ถึงวันพระแปดค่ำ อื่ม, ไปวัด ไปรักษาศีล แล้วทำทานไปด้วยกัน มันกลายเป็นทาสที่ เอ่อ, มีความสุข ไม่อยากจะหลุดไปจากความเป็นทาส เพราะตัวเองมันด้อยสมรรถภาพ ช่วยตัวเองแท้ๆ ไม่ได้ นี่รวมความแล้วก็ว่าผู้ที่ต้องเข้ามาพึ่งพาอาศัยเอาใบบุญเมตตา อยู่ในทิศเบื้องต่ำ จะต้องมองดูเขาในลักษณะอย่างนี้ อย่ามองดูในลักษณะ อ่า, ผู้ที่ควรกดขี่ ผู้ที่ควรเอาเปรียบ ผู้ที่ควรทำนาบนหลังเขา นั้นมันไม่ ไม่ถูก ความหมายของคำว่าบ่าวไพร่ในขั้นที่เป็นอุดมคติทางฝ่ายวิญญาณ มันก็เลยกลายเป็นว่าทาส
บ่าวไพร่นี่เป็นทิศๆ หนึ่งที่ต้องให้ความเคารพนะ ต้องไหว้นะ เป็นทิศที่ต้องไหว้นะ ก็ได้พูดกันมาตอนต้นแล้วว่าทิศทั้งหลายนี่เป็นสิ่งที่ต้องไหว้ มาณพนั้นกำลังไหว้ทิศทั้งหลายอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสว่าการไหว้ทิศของอารยชนเขาไม่ได้ไหว้อย่างนั้น เขาไหว้อย่างนี้ คือให้ความเคารพแก่ทิศเบื้องหน้าคือบิดามารดา ทิศเบื้องหลังคือบุตรภรรยาสามี เอ้ย, บุตรภรรยานี่ เอ่อ, ทิศเบื้องขวาคือครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องซ้ายคือญาติมิตร ทิศเบื้องบนคือสมณพราหมณ์ ทิศเบื้องต่ำคือบ่าวไพร่ ต้องไหว้ใช้คำว่าไหว้บ่าว คือให้ความนับถือ ให้ความเคารพ ให้ความเอาใจใส่ จัดไว้ในฐานะที่ว่าจะเป็นผู้ร่วมทางกันไปในทางบุญทางกุศล แล้วเดินไปหานิพพานด้วยเหมือนกัน
ฉะนั้นทั้งหมดนี่กลายเป็นเรื่องไปนิพพาน ทั้งหกทิศนี้เราไหว้ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง แล้วก็จะไปนิพพาน แล้ววันนี้จะไม่พูดอะไรมาก นอกไปจากว่าคำพูดคำหนึ่งมันมีความหมายหลายชั้นอย่างนี้ ไปลองทบทวนดู คำว่าพ่อแม่ ความหมายต่ำเตี้ยก็เป็นเพียงแต่พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ เหมือนสัตว์ผู้สัตว์เมีย หรือต้นไม้ที่มีการสืบพันธุ์ทางเพศผู้เพศเมีย ทางสังคมสูงขึ้นมา พ่อแม่คือผู้รับผิดชอบต่อบุตร สูงขึ้นไปถึงอุดมคติ พ่อแม่คือพระอรหันต์ประจำบ้านเรือน ทีนี้บุตรความหมายต่ำก็คือผลิตผลที่เกิดมาจากการสืบพันธุ์ ความหมาย เอ่อ, สูงขึ้นมาก็ ผู้ที่จะทำความปลื้มใจพ่อแม่ด้วยการสืบสกุล ความหมายสูงสุดก็ว่า ผู้ที่จะรับมรดกการเดินทางไปนิพพานนี่ต่อจากพ่อแม่ เดินไปให้ถึงให้ได้
นี้คำว่าภรรยา ความหมายต่ำก็เป็นผู้สืบพันธุ์เหมือนพืชและสัตว์ ทางสังคมก็ไว้เป็นเครื่องช่วย เอ่อ, บำบัดปัญหาต่างๆ ทางความรู้สึกทางอะไรตามธรรมชาติบ้าง เป็นเครื่องโอ้อวดกันบ้าง เป็นเครื่องแสวงหาความสุขอย่างโลกๆ นั้น แต่ความหมายสูงสุด เอ่อ, ภรรยา คู่ผัวตัวเมียนี้ก็จะต้องเป็นผู้ เอ่อ, แบ่งเบาภาระหนักในการเป็นอยู่ในโลกนี้ เพื่อให้เกิดการศึกษา เข้าใจชีวิตในส่วนลึก เพื่อจะเบื่อหน่าย เพื่อจะพ้นจากโลก ก็จะไปเหนือโลกด้วยกัน ไม่ใช่เป็นเพื่อนลุ่มหลงกันอยู่ที่นี่ แต่ว่าจะเป็นเพื่อน อ่า, ช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้มันก้าวหน้าไปในทางสูง
นี้ครูบาอาจารย์นี่ไม่ใช่ เอ่อ, คนที่รับจ้างสอนหนังสือเป็นอาชีพ หรือใช้สติปัญญาเป็นสินค้าขายแก่กุลบุตร เอาเงินมาเลี้ยงชีวิต ครูบาอาจารย์ต้องเป็นผู้นำทางฝ่ายวิญญาณเพื่อไปนิพพาน แม้ในระยะเริ่มต้น นี้ญาติมิตรก็เหมือนกัน ไม่ใช่เพื่อนกินเหล้า เพื่อนอบายมุข หาความเพลิดเพลินให้แก่กิเลส มันต้องเป็นเพื่อน อื่อ, ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหน้าที่การงานของมนุษย์ ในความหมายสูงสุดก็เดินเคียงข้างกันไปเรื่อยกว่าจะถึงนิพพาน นี้สมณพราหมณ์นี่ไม่ใช่คนขอทาน กินอาหารของชาวบ้านฟรี เอาเปรียบคนอื่น เป็นกาฝากสังคมเหมือนที่เขาพูดกัน ในความหมายที่ใช้กันอยู่ เดี๋ยวนี้มันจะกลายเป็นสำหรับไว้ไหว้ เอาไว้ทำพิธีเสียมากกว่า แต่ความหมายสูงสุดต้องเป็นผู้นำหรือผู้ยกสถานะทางวิญญาณในระดับสูงสุดของโลก ไม่ใช่ของเราคนเดียว
นี้บ่าวไพร่นี่ไม่ใช่ ไอ้, บุคคลที่เราจะทำนาบนหลังเขา ต้องเป็นผู้ที่มีไว้สำหรับให้ประโยชน์ร่วมกัน ตามที่ว่ากรรมมันจำแนกคน สัตว์ทั้งหลายกรรมเป็นผู้จำแนกให้มี class เอ่อ, ให้มีวรรณะ ให้มีชั้น มีวรรณะ ซึ่งมันเลิกไม่ได้ อย่าอวดไปว่าจะเลิกชั้นวรรณะ มันเลิกไม่ได้ พูดแต่ปาก บ้าๆ บอๆ เพราะว่ากรรมมันเป็นผู้จัดให้เกิดชั้นวรรณะขึ้นมาโดยธรรมชาติ ไม่ใช่คนจัด แล้วมันก็มีคนเกิดมามีกรรมมาก มีบาปมาก มีพิกลพิการ ด้อยสติปัญญา มันก็เป็นชั้นนะ มันจะมีการเป็นอยู่เหมือนกันไม่ได้ ไอ้ที่จะไปคิดเป็นอยู่เหมือนกันนั่นแหละเป็นต้นตอให้เกิดไอ้ directive materialism เป็นคอมมูนิสต์ เป็นอะไรขึ้นมา คือมันไม่รู้เรื่องกรรม ทีนี้ก็เราก็ยกสถานะของเขาว่า เขามีกรรมเหมือนเราเหมือนกัน ก็ต้องช่วยแก้ไขกันไปตามเรื่อง คนที่ไร้สมรรถภาพมาโดยธรรมชาติโดยกำเนิดนี้ ทางสติปัญญา ตามทางร่างกายก็ตาม ต้องช่วยเขา ด้วยความเคารพเหมือนกับไหว้ เหมือนกับความหมายในระดับต่างๆ กันของคำแต่ละคำที่มาเป็นชื่อของทิศที่เราจะต้องไหว้ ในเมื่อมีชีวิตครองเรือนเป็นคฤหัสถ์มันมีอยู่อย่างนี้ จะมากจะน้อย จะหนักจะเบาอะไรก็ไปคิดดูเอง แต่ว่ามันหลีกไม่พ้น มันจะต้องทำ ก็ต้องทำให้ถูก ถ้ากลัวก็อย่าไปเป็นคฤหัสถ์ ถ้าอยากเป็นคฤหัสถ์ก็อย่ากลัว จะต้องทำให้ถูกต้อง มันก็เป็นการประพฤติธรรมที่สูงสุดอยู่ในเพศคฤหัสถ์ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทิศโดยความมุ่งหมายอย่างนี้
แล้วก็พอกันที สำหรับ เหนื่อย เวลามันหมดวันนี้