แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมปาฏิโมกข์วันนี้ของเราจะต้องพูดทบทวนบางอย่าง สำหรับผู้มาใหม่ที่ยังไม่เคยฟัง ฟังเสียบ้างก็ดีคือคำว่าธรรมปาฏิโมกข์ พวกที่อยู่ก่อนอยู่มาเก่าก่อนก็รู้แล้วว่าหมายความว่าอะไร แต่ผู้ที่มาใหม่ไม่รู้ เรามีความมุ่งหมายว่าจะพูดหัวข้อธรรมอย่างซ้ำซากเช่นเดียวกับที่เราลงปาฏิโมกข์ทางวินัย ทุกวันปาฏิโมกข์ วันอุโบสถ ก็คือสวดปาฏิโมกข์อย่างซ้ำๆ ซากๆ ทุกตัวอักษรนั่นละ คุณก็เคยลงปาฏิโมกข์มาหลายครั้งหลายหนแล้ว ลงปาฏิโมกข์ก็สวดปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อ ซ้ำซากทุกตัวอักษรก็ยังทนทำไปได้ นั่นเป็นปาฏิโมกข์ทางวินัย
ทีนี้ปาฏิโมกข์ทางธรรมก็คือหัวข้อธรรม ที่มันควรจะซ้ำซากเหมือนกันอีก แต่ไม่จำเป็นจะต้องซ้ำซากทุกตัวอักษร ฉะนั้นธรรมปาฏิโมกข์ของผมก็คือ พูดเรื่องตัวกูของกูทุกครั้ง ถ้าผมจะต้องพูดอีกกี่ร้อยครั้งหรืออีกกี่พันครั้งก็จะต้องพูดแต่เรื่องตัวกูของกู เพราะถือเป็นหัวข้อธรรมที่สำคัญที่สุด พูดซ้ำเรื่องตัวกูของกู แต่ไม่ได้ซ้ำทุกตัวอักษร ที่ว่าครั้งหนึ่งก็พูดในแง่ใดแง่หนึ่ง ปริยายใดปริยายหนึ่ง ล้วนแต่เรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูทั้งนั้น จนได้ชื่อว่าเป็นธรรมปาฏิโมกข์คือพูดซ้ำเรื่องเดียว
นี่วันนี้จะพูดเรื่องเกี่ยวกับ จะเรียกว่าอะไรดี เรียกว่าปริญญาของพุทธศาสนาหรือว่าปริญญาของสวนโมกข์ก็ได้เป็นอย่างเดียวกัน ผู้ที่เรียนจบปฏิบัติจบ เอาว่าได้ปริญญาอย่างน้ันอย่างนี้กันในโลกนี้มากมาย ทีนี้ปริญญาของเราคือ ปริญญาตายเสียก่อนตาย ปริญญาที่ได้รับนั้นนะคือตายเสียก่อนตาย ถ้าใครยังไม่ได้รับปริญญานี้ คือตายเสียก่อนตายไม่ได้ ก็หมายความว่าคนนั้นมันโง่ โง่ดักดาน เรียนไม่สำเร็จ ไม่ได้รับปริญญา ใครฉลาดเรียนสำเร็จก็ได้รับปริญญาคือตายเสียก่อนตาย ปริญญาของสวนโมกข์ก็เหมือนกัน เป็นอย่างเดียวกันคือมาอยู่ในสวนโมกข์เพื่อเรียนตายเสียก่อนตาย ถ้าเรียนสำเร็จได้ก็เรียกว่าได้รับปริญญาตายเสียก่อนตายนี่สำคัญที่สุด เดี๋ยวจะว่าให้ฟัง ถ้าไม่ได้ปริญญานี้มันจะตายโหง ถ้าได้ปริญญานี้ก็จะตายตามแบบของพุทธบริษัท อยากจะขอแทรกตรงนี้สักนิด เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนากับศาสนาอื่นที่ไม่เหมือนพุทธศาสนา ที่พูดไปคนละรูป พุทธศาสนาพูดเป็นรูป เป็นอนัตตา สุญญตา ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่ตัวตน แต่ทีนี้ศาสนาอื่นที่ไม่ใช่พุทธศาสนา เช่น ศาสนาเวทานตะ ศาสนาฮินดูที่ดีที่สุดก็อินเดียนี่ก็เรียกเวทานตะ ก็พวกอื่นๆ อีกหลายพวก นั่นเขามีตัวตน เขาสอนเรื่องมีตัวตนที่แท้จริงต้องมีตัวตนให้ได้นี่คำพูดจะทำยุ่ง ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี ถ้าศาสนาฮินดูชั้นดีอย่างเวทานตะนี้ ใครเรียนสำเร็จปฏิบัติสำเร็จถึงที่สุดแล้วก็ให้ปริญญาเป็นสวามี สวามี แปลว่า เป็นนาย ผู้เป็นนาย คือเป็นนายตัวเอง เป็นนายเหนือกิเลส เป็นนายเหนือกิเลสนั่นละคือเป็นนายตัวเอง ก็เลยได้อยู่เป็นนาย เป็นสวามี เหมือนกับพระเจ้าก็คืออยู่ ส่วนพุทธศาสนาเรานี้เป็นพวกไม่มีตัวตน คือไม่อยู่ คือดับไม่เหลือ เพราะฉะนั้นปริญญาของเรามันจึงมีว่าคือตายเสียก่อนตาย คือไม่อยู่เป็นสวามี สวาแมอะไรละ ตายเสียก่อนตาย ดับตัวกูของกูเสียให้ได้อย่างนี้เรียกว่าตายเสียก่อนตาย
นี่ เข้าใจข้อนี้กันเสียก่อน ที่ว่าศาสนาที่มันมีหลักตรงกันข้าม มันก็ต้องมีอะไร ความมุ่งหมายอะไรตรงกันข้าม เขาอยู่ เราตาย นี่ เดี๋ยวจะไม่เข้าใจแล้วจะไม่ชอบ เพราะคนที่ขี้ขลาด มีความยึดมั่นถือมั่นนี้ ไม่อยากตายทั้งนั้น มันอยากอยู่ คือพูดว่าดับ ดับไม่เหลือ หรือตายนี้มันกลัวไม่เอา ในพวกที่เขามีตัวตน มีอะไรอย่างดี มีตัวตนอย่างดี เป็นพรหมชั้นสูงสุดนี่เขากลัวตาย กลัวตายมากกว่าใคร ๆ ต้องพูดในเรื่องอยู่ อยู่ตลอดกาล อยู่ตลอดนิรันดรไปเลย คราวนี้เพื่อเปรียบเทียบไว้ทีก่อนว่ามันต่างกันอย่างนี้ตรงกันข้ามแล้วใครจะไปกันอย่างไหน ใครจะน่าดูหรือไม่น่าดูก็ค่อยพิจารณากันต่อไป
ทีนี้ จะวกมาพูดถึงคำว่าตายเสียก่อนตายนี่ใหม่อีกที ปู่ย่าตายายของเราก็พูดไว้อย่างนี้ เขาจะฉลาดหรือจะโง่คุณก็ฟังดูก็แล้วกัน ถ้าเขาฉลาดคุณก็โง่ ถ้าคุณฉลาดเขาก็โง่ แล้วใครจะฉลาดหรือใครจะโง่กันแน่ก็ลองฟังดู ที่เขาพูดว่านิพพานนั้นคือตายเสียก่อนตาย นิพพานนั้นคือตายเสียก่อนตาย คือปู่ย่าตายายพูดมาว่าพูดมาเรื่อยกันแต่คราวไหนก็ไม่ทราบว่า งามอยู่ที่ผี ความงามอยู่ที่ซากผี ความดีอยู่ที่การสละ ความเป็นพระอยู่ที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย พวกที่อยู่ในสวนโมกข์เคยได้ฟังคำนี้หลายครั้งหลายหน เพราะผมก็พูดบ่อย ความงามอยู่ที่ซากผี ดูให้ดี ความดีอยู่ที่สละ ไม่ใช่เอา ไม่ใช่รับเอา ไม่ใช่ได้ อยู่ที่สละออกไป ความเป็นพระอยู่ที่จริง ที่ถูกต้อง ที่ซื่อสัตย์ ที่จริงต่ออุดมคติ พระอยู่ที่จริง แล้วก็นิพพาน อยู่ที่ตายเสียก่อนตาย ฉะนั้นคำว่า ตายเสียก่อนตาย นั้นนะคือนิพพาน
คำว่านิพพาน แปลว่า ดับไม่เหลือแห่งตัวตน นิ แปลว่า ไม่เหลือ พานะ แปลว่าไป หรือ ออกไป คือ ดับไม่เหลือ ดับตัวกูของกูเสียอย่าให้มีเหลือนั่นคือนิพพาน ฉะนั้นเมื่อเราพูดถึงเรื่องนี้ก็แปลว่ายังคงพูดถึงเรื่องตัวกูของกูอยู่นั่นเอง แต่เราพูดความดับแห่งตัวกูของกูและนั่นคือนิพพานคือตายเสียก่อนตาย ใครได้ปริญญานี้ไป ก็นับว่าได้ปริญญาของพุทธศาสนาไปและป้องกันไม่ให้ตายโหง คือไม่ตายอย่างคนธรรมดาที่ไม่อยากตาย คำว่าตายโหงตามความหมายของผมคนอื่นไม่ทราบ หมายความว่ามันไม่อยากตายแล้วมันมีอะไรมาทำให้ตาย มันจำเป็นต้องตายหรือตายโดยไม่สมัครใจตายนี้เราเรียกว่าตายโหง ถ้ามีความรู้พอที่จะไม่มีปัญหาเรื่องต้องตายหรือไม่ตายหรือว่าตายอย่างไม่สะทกสะท้าน ตายอย่างยิ้มแย้มอย่างนี้ก็ไม่ใช่ตายโหง
ทีนี้ ปริญญาของเราก็คือตายเสียก่อนตาย ใครสอบได้คนนั้นก็ได้อันนี้ไปไม่เสียทีที่บวชหรือว่านับถือพระพุทธศาสนา ไม่เสียที่ที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา เอ้า ทบทวนกันใหม่ เดี๋ยวจะงง นิพพาน คือตายเสียก่อนตายก็หมายความว่านิพพานได้ก่อนแต่เข้าโลง เมื่อสองสามวันนี้มีคนมาถามปัญหาผม น้ำเสียงฟังดูคล้าย ๆ กับว่าจะมาไล่หรือมาทดสอบหรือว่าอาจจะเข้าใจตรง ๆ ตามนั้น ถามอย่างซื่อ ๆ ก็ได้ เขาถามว่า เมื่อเบญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันดับแล้ว มันจะรู้รสของพระนิพพานได้อย่างไร จะได้เสวยสุขในพระนิพพานได้อย่างไร มันจะเอาเวทนา สัญญา สังขารไหนมาเสวยสุขในพระนิพพาน ผมตอบว่านั่นบ้าแล้ว ไม่มีใครพูดทีว่า นิพพานต่อตายแล้วแล้วคุณเอาแต่ไหนพูดว่านิพพานต่อตายแล้ว แล้วคุณก็มามีปัญหาว่าถ้าตายแล้วจะได้รับรส ได้รับประโยชน์จากนิพพานได้อย่างไร เพราะมันไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วนี่ถ้าใครยังคิดว่าจะได้นิพพานต่อตายแล้วมันก็คือคนบ้าเหมือนกับคนที่มาถามผม ถ้าคิดว่าจะได้นิพพานต่อตายแล้วมันคือคนบ้า เพราะว่านิพพานมันอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย เมื่อมันยังไม่เข้าโลงนี่ มันยังมีชีวิตอยู่นี่มันก็ได้รู้จักได้รู้รสของนิพพาน ฉะนั้นคำว่านิพพานนั้นคือตายเสียก่อนตาย มันก็หมายความว่าดับตัวกู ดับของกูนี่เสีย ให้ตัวกูมันตายเสีย มันก็เหลือแต่เบญจขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสตัณหาอุปาทาน มันก็เบญจขันธ์นี้ มันจะได้พระนิพพาน ได้รู้รสพระนิพพาน ไม่เสียดายที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาก็พูดอย่างนี้
เราเคยพูดเป็นสำนวนโวหารให้คนบางคนนึกฉงนเล่น ถ้าจะนิพพานก็ต้องฆ่าคนเสียสิ ถ้าใครอยากจะนิพพานก็ต้องฆ่าคน แต่พระพุทธเจ้ายังพูดแรงกว่านี้นะว่า ฆ่าบิดามารดาเสียสิถ้าอยากจะนิพพานผมพูดว่านิพพานนี่ให้ฆ่าคนก็หมายความว่า ฆ่าความรู้สึกว่ากูเป็นกู นี่ฆ่าความสำคัญว่าตัวกูนี่เสีย นี่คนฆ่าคนนี่ กลายเป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าฆ่าตัวกูของกูเสียกลายเป็นพระอรหันต์ คนฆ่าคนกลายเป็นพระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้าท่านว่า มาตะรัง ปิตุรัง หันตะวา (นาทีที่ 17.05) ฆ่าบิดามารดาเสียเลย เพราะว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดตัวกูของกูนั่นละคือบิดามารดาท่านก็ให้ฆ่ามันเสีย ก็คือ อวิชชา ตัณหา แล้วแต่จะเรียกเอาตอนไหน ถ้าเรียกเอาตอนสุดทีแรกทีเดียวก็คืออวิชชาให้เกิดตัณหาก็เป็นบิดามารดา ให้เกิดอุปาทานคือตัวกู ทีนี้ ฆ่าพ่อแม่ของมันเสียก็คือฆ่าอวิชชาตัณหาเสีย อุปาทานก็เกิดไม่ได้ มันก็มีผลเป็นว่าไม่มีตัวกูก็เท่ากับฆ่าตัวกูเหมือนกัน ก็ไปฆ่าพ่อฆ่าแม่เสียมันก็เกิดออกมาไม่ได้ ถ้าพ่อแม่มันอยู่มันก็เกิดตัวกูของกูออกมา ไม่วันละรู้กี่ครั้งหรือกี่สิบครั้งเป็นตัวกูทีหนึ่ง ก็เป็นชาติ ๆ หนึ่ง เป็นทุกข์ทุกที ถ้าฆ่าอวิชชาตัณหาซึ่งเป็นบิดามารดาของตัวกูเกิดเสียตัวกูเกิดไม่ได้ มันก็สบายไปทั้งวันทั้งคืน ได้รู้จักได้ชิมรสของพระนิพพานเสียก่อนร่างกายแตกดับ นี่ เขาจึงพูดว่า นิพพานคือตายเสียก่อนตาย เอาละ เรายอมให้เป็นว่า ไอ้ตายนี่มี ๒ ชนิด คือ ตายจริงกับไม่ตายจริง ตายแล้วเกิดอีกกับตายแล้วไม่เกิดอีก ถึงแม้ว่ามันตายแล้วเกิดอีกมันก็เป็นนิพพานชนิดหนึ่ง คือเป็นนิพพานชั่วคราว เราพยายามทำปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งให้ตัวกูของกูนี่มันหมดความรู้สึก หมดความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูเสียสักพักหนึ่งมันก็เป็นนิพพานสักพักหนึ่งแต่เป็นนิพพานชิมลอง เป็นนิพพานชั่วคราว เป็น ทิฏฐธมมฺ นิพพาน บ้าง เป็นตทังคนิพพานบ้าง (นาทีที่ 19.21) บ้าง มีชื่อเรียกหลายชื่อ มีในบาลีเลย เพราะนั้นถ้าตายก่อนตายได้ชั่วคราวมันก็ได้ชิมพระนิพพานชั่วคราว ถ้าตายก่อนตายได้เด็ดขาดลงไปมันก็ได้นิพพานจริงถาวรเด็ดขาดลงไปเหมือนกัน ถ้าเรามีชีวิตมีลมหายใจอยู่โดยไม่มีความยึดมั่นเป็นตัวกูก็เรียกว่าตายก่อนตาย ตายเสร็จแล้วก่อนตาย ตายได้ก่อนตาย แต่ถ้ามันไม่จริงเดี๋ยวมันกลับมาเกิดอีก เอ้า มันก็เป็นการเกิดอีกก็ยังไม่ใช่นิพพานอย่างถาวร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดี
ฉะนั้น อย่าไปดูถูกมัน อย่าไปมองข้ามมัน ว่าจิตใจของเราเวลาที่ไม่เป็นตัวกูของกูจะสบายที่สุด นี่ ช่วยกันจำไว้ดี ๆ ทุกคนว่าไม่มีเวลาไหนที่เราจะสบายดีที่สุดเหมือนกับเวลาที่จิตไม่มีตัวกูของกู พอจิตมีตัวกู ของกู มันก็ต้องโลภบ้าง โกรธบ้าง หลงบ้าง วิตกกังวลบ้าง ขี้ขลาดบ้างอะไรบ้างหลายอย่างหลายชนิด เพราะจิตมันมีตัวกูมันเป็นอย่างนี้หาความสุขไม่ได้ ทีนี้ เวลาไหนจิตว่างจากตัวกูคือตัวกูไปตายเสียที่ไหนก็ตามใจมัน เวลานั้นจะสบายที่สุด ความโลภไม่รบกวน ความกำหนัดไม่รบกวน โทสะไม่รบกวน ความโกรธไม่รวบกวน โมหะไม่รบกวน ความกลัวไม่รบกวน ความวิตกกังวลใด ๆ ก็ไม่ได้รบกวน มันเลยสบายที่สุด ทั้งที่บอกให้สังเกตดูดี ๆ ว่าคนต่างจังหวัดเข้ามาในนี้ มันสบายบอกไม่ถูกก็เพราะว่าไอ้ต้นไม้ ต้นไร่ ภูเขา ก้อนหิน มันช่วยดึงจิตใจไปเสียจากตัวกูของกู ตัวกูของกูมันไม่มีโอกาสเกิดหรือมันตายไป หรือมันจะสลบไปขณะหนึ่งก็ตามใจ มันก็สบายที่สุด รู้สึกสบายที่สุด ให้สังเกตเรื่องเกิดตัวกูกับไม่เกิดตัวกูนี้แล้วเราจะเห็นได้ว่าอาจจะได้รับรสของนิพพานได้ก่อนตายก่อนเข้าโลงทั้งอย่างที่เป็นถาวรและเป็นอย่างชั่วคราว ถ้าบรรลุพระอรหันต์มันก็หมดอย่างถาวร ตายเสียก่อนตายอย่างถาวร ก็เลยรู้รสพระนิพพานจนตลอดกว่าร่างกายมันจะแตกดับ มันจะเข้าโลง
ฉะนั้น เราอย่าไปพูดว่านิพพานนี่จะถึงได้ต่อเมื่อตายแล้วชนิดเข้าโลง นิพพานนี่ถึงได้ต่อเมื่อตัวกูของกู ตาย ตายที่ไหน เมื่อไร เท่าไร ก็ตามใจ นิพพานถึงได้ต่อเมื่อตัวกูของกูมันตายลงไป ส่วนร่างกายนั้นไม่เป็นปัญหา มันแล้วแต่เรื่องของร่างกาย เมื่อมันยังอยู่มันก็รู้รสของนิพพานเสวยสุขจากพระนิพพาน เมื่อถึงคราวที่จะแตกดับไปตามธรรมดาของมัน มันก็แตกดับไป ส่วนความหมดตัวกูของกูนั้นมันก็ยังอยู่เป็นของประหลาดชนิดหนึ่งคือว่าธรรมชาติแท้ ๆ มันไม่มีตัวกูของกู ธรรมชาติอันบริสุทธิ์แท้ ๆ มันไม่มีตัวกูของกู ไม่มีความรู้สึกเป็นตัวกูของกู ความรู้สึกเป็นตัวกูของกูนี้มันเพิ่งโง่ เมื่อคนเกิดมาแล้ว มีการอบรมมาผิด ๆ หรือปล่อยไปตามภาษาธรรมดา ไม่มีการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า มันก็ค่อย ๆ เกิดตัวกูของกูมากขึ้น เพราะนั้นคนจึงมีตัวกูของกูมากกว่าสัตว์ และคนเป็นทุกข์มากกว่าสัตว์
จะยกตัวอย่างให้ฟังสักข้อก็ได้โดยให้มองกันในแง่ที่ว่าคนนี่มันเป็นทาส ทาสขี้ข้านะ ทาสบ่าวไพร่ขี้ข้านะ คนมันเป็นทาสของอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฟังให้ดี ๆ ว่า คนมนุษย์นี่มันเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ว่าสัตว์เดรัจฉานไม่เป็น ดูสุนัขตัวนี้ ลองสังเกตดูว่ามันไม่เป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหมือนคน เพราะมันไม่มีวิวัฒนาการอย่างแบบคน คนต้องการจะเห็นรูปสวย ๆ โดยเฉพาะรูปของเพศตรงกันข้าม อุตส่าห์มอง อุตส่าห์หามาดู อุตส่าห์หามาติดข้างฝา แล้วทีนี้มันมีเป็นทาสของอายตนะทางตา เป็นทาสอายตนะทางหูมันอยากฟังเพลงเพราะ ๆ แล้วบัดนี้เลยมาถึงเพลงที่เลวที่สุดคือเพลงสากลที่ส่งทางวิทยุที่ทำให้เด็กบ้ากามารมณ์ เป็นพระเป็นเณรแล้วก็ยังใส่กลอนประตู เปิดวิทยุฟังเบา ๆ ถึงเพลงไอ้บ้ากามารมณ์นี่ มันเป็นทาสอายตนะทางหูถึงขนาดนี้ แม้เป็นพระเป็นเณรแล้ว มันเป็นทาสอายตนะจมูก มันชอบหอม หาของหอมมาเป็นสบู่ มาเป็นยาถูฟัน มาเป็นอะไร มันต้องการให้หอม เพียงสามอย่างนี้ก็พอแล้ว ที่จะแสดงให้เห็นว่า สุนัขไม่เป็นทาสของอายตนะเหมือนคน ทีนี้ มาถึงทางลิ้น อร่อย ทางลิ้น ทางอาหาร ถ้ามันหิวไปกินข้าวในจานนี้ มันไม่ได้เป็นทาสอายตนะ เป็นทาสอายตนะ หมายความว่าต้องอร่อย ต้องทำให้อร่อย อยู่กรุงเทพฯ ต้องขึ้นรถยนต์ไปกินอาหารกลางวันที่เมืองชลฯ หรือจังหวัดนนฯ เพียงแต่จะกินอาหารกลางวันต้องขึ้นรถยนต์ไปกินอะไรที่อร่อยที่พิเศษที่นัดกันไว้ ที่นัดกันไว้ที่ร้านอาหารจังหวัดอื่นออกไปนั่น อย่างนั้นจึงจะเรียกว่าเป็นทาสอายตนะทางลิ้น สุนัขทำไม่เป็น ควายก็กินหญ้ากรอด ๆ อยู่ในทุ่งนาไม่ได้เป็นทาสอายตนะ เป็นเรื่องของความหิวตามธรรมดา แต่ถ้าคนมันต้องการเกินกว่านั้น ต้องการให้อร่อย ต้องการให้พิเศษ ต้องปรุงต้องแต่ง ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ฉะนั้นเราจึงเห็นการโฆษณาเรื่องกิน ชักชวนเรื่องกินมากขึ้นทุกทีตามหนังสือพิมพ์ ร้านขายอาหารพิเศษวิเศษหรือพิเศษนั้นมีมากขึ้นเพราะคนเป็นทาสอายตนะทางลิ้น
ทีนี้ทางผิวหนัง ทางผิวกาย ทางโผฏฐัพพะนี้ ก็เหมือนกันอีก ต้องการการสัมผัสที่พิเศษ ที่นิ่มนวล ที่อะไรต่างๆ ๕ อย่างนี้มันเป็นเรื่องทางวัตถุมันก็เป็นทาสกันเต็มที่ ทีนี้เป็นทาสอายตนะอันสุดท้าย คือ มโนอายตนะ หรือมนายตนะนี้ หมายถึง เป็นทาสธรรมารมณ์ เช่น เกียรติยศ โดยเฉพาะเช่นเกียรติยศ คนสมัยนี้มันบ้าเกียรติยศพูดกันไม่รู้เรื่องออมชอมกันไม่ได้ปรองดองกันไม่ได้ ต้องฆ่าต้องฟันกันต้องอะไรกัน เพราะมันเมาเกียรติ บางทีก็ไม่ต้องการอะไร ต้องการแต่เพียงเกียรติมันก็ตกลงกันไม่ได้ ยิ่งอย่างนี้แล้วสัตว์เดรัจฉานยิ่งทำไม่เป็นใหญ่ ฉะนั้น คุณเข้าใจคำว่าเป็นทาสของอายตนะให้ดีเสียก่อนว่าสัตว์เดรัจฉานทำไม่เป็น มันเป็นไปได้ตามธรรมชาติ เช่น หิว เช่น ต้องการตามธรรมชาติแต่ไม่ได้หลงในความเป็นของอร่อย ทางตา ทางหู ทางอะไรเหมือนคน ผมเคยพูดให้เด็ดขาดกันลงไปว่าถ้าเรากินเพื่ออร่อยเรียกว่ากินเหยื่อ ถ้ากินเพื่ออยู่ได้ เพื่อประทังความหิวเพื่ออยู่ได้นี้เรียกว่ากินอาหาร คุณจะกินข้าวสุก กินก๋วยเตี๋ยว กินอาหารชนิดไหนก็ตาม ถ้ากินเพื่อตัดความหิวออกไปเพื่ออยู่ได้อย่างนี้เรียกว่ากินอาหาร ทีนี้ ถ้ามันกินเพื่อให้อร่อยเรียกว่ากินเหยื่อ เรียกว่าอามิส แปลว่าเหยื่อไม่ใช่อาหาร อันหนึ่งอามิส อันหนึ่งอาหาร อย่าเอาไปปนกัน ถ้าเอาไปปนแล้วเป็นคนโง่ดักดาน แล้วทำอะไรจะปฏิบัติอะไรไม่ได้ กินเป็นอาหารนั้นคือว่าตามธรรมชาติที่สุนัขกิน กินเป็นอาหาร แต่ถ้าต้องขึ้นรถยนต์จากกรุงเทพฯ เพื่อไปกินอาหารที่เมืองนนฯนี้ นี้มันเป็นการกินเหยื่อเป็นกินอามิส เพราะนั้นไอ้เรื่องเหยื่อนี้มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาโดยเฉพาะ เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดตัวกูของกูขึ้นมาตอนนี้เอง เพราะน้้ัน อุปาทาน คือ ตัวกูของกูนี้ มันพึ่งเกิด เมื่อมันเกิดตัณหา เกิดอวิชชาอะไรมากขึ้น สัตว์เดรัจฉานมันมีน้อย มันยังไม่ทันจะเกิด หรือว่าเด็กเล็ก ๆ เพิ่งคลอดนี้มันก็ยังไม่เกิดหรือเกิดน้อยจนไม่สังเกตเห็น แต่ว่ามันโตขึ้นมา โตขึ้นมา มันรู้จักเอร็ดอร่อยอย่างนั้นอย่างนี้ ทางตา ทางหู มันก็เกิดขึ้น ฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่าตัณหามันก็สูงขึ้น อุปาทานมันก็สูงขึ้น ภพ ชาติ ความทุกข์มันก็สูงขึ้นตาม เพราะนั้นตัวกูของกูนี้มันเพิ่งเกิดทุกคราว ๆ ที่มันมีตัณหา อุปาทาน ฉะนั้น เราอย่ากินอะไร อย่าดูอะไร อย่าฟังอะไร อย่าลิ้มอะไร สัมผัสอะไรด้วยตัณหา อุปาทานตัวกูไม่มี กินอาหารก็กินตามธรรมดาเหมือนควายหิวก็กินหญ้าไปเท่านั้น มันเป็นกินอาหาร แต่ถ้าต้องเอาน้ำตาลมาคลุกหญ้า เอาน้ำปลามารดหญ้า เอาอะไรอย่างนี้ มันก็กลายเป็นอามิสเป็นเหยื่อ ซึ่งควายก็ทำไม่เป็น ไอ้คนนะมันจะทำเป็นที่จะทำอาหารให้เป็นอามิสไกลออกไป ๆ ใช้เงินมากใช้เงินเปลืองแล้วก็ต้องหามาก ต้องคอรัปชั่นกระทั่งต้องทำสงครามกันระหว่างชาติ ระหว่างประเทศ มันก็มาจากไอ้ที่เป็นทาสอายตนะทั้งนั้น พวกฝรั่งอย่าไปตามก้นมัน เพราะมันเป็นทาสอายตนะยิ่งกว่าคนไทย มันเป็นทาสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยิ่งกว่าคนไทย อย่าไปตามก้นมัน ถ้าไปเรียนเมืองนอกเมืองนาก็อย่าไปเอาลัทธินี้มาคือการเป็นทาสอายตนะนั้นมันยิ่งทำให้เกิดตัวกูของกูมาก มันยิ่งไกลต่อนิพพาน มันจมดิ่งอยู่ในเหวลึกคือนรกตัวกูของกู ไม่รู้จักผุดจักเกิดคือไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักดับ มันก็ไม่พบนิพพาน ฉะนั้น ที่เรามาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำลายไอ้ความ ทำลายการปรุงแต่งของจิตที่จะปรุงเป็นตัวกูของกูไปให้ได้ ฆ่าตัวกูของกูเสียให้ได้ก่อนแต่ร่างกายมันจะแตกดับ ตายเสียก่อนตาย ใครตายเสียก่อนตาย คนนั้นได้รับปริญญาสูงสุดในพุทธศาสนา
สำหรับพวกสวามีนั้น เขาอาจจะอธิบายอย่างนี้ได้เหมือนกันเพราะว่าคำอธิบายนี้มันเล่นลิ้นได้คือเป็นนายเหนือกิเลสตัณหาแล้วมันก็ไม่มีความทุกข์อะไรได้เหมือนกัน แต่เขาอยากจะเรียกว่าเป็นนายหรือเป็นตัวฉัน เป็นนายเหลืออยู่ ไอ้เราไม่ชอบจะพูดอย่างนั้น เราพูดว่าดับเสีย หมดเสีย ตายเสีย ไม่อยู่ ไม่อยากอยู่ เพราะว่าไอ้อยู่ อยู่ อยู่ นี่ เป็นกลิ่นอายของความยึดมั่นถือมั่น ที่มันพูดมาแล้วและกลับคำไม่ได้มันก็ดันทุรังอยู่อย่างถาวร อยู่อย่างอนันตกาล อยู่อย่างไม่รู้จักแตกดับ เราไม่พูดอย่างนั้น เราดับความอยู่เสีย อย่าไปโง่ปรุงความคิดว่ามีกู มีตัวมีตนแล้วอยู่ มันก็คือไม่อยู่เท่ากับไม่อยู่เป็นความว่างไปจากตัวตน ตัวกูกระจายหายไปหมด นี่ เรียกว่าตายก่อนตาย สบายที่สุดไม่มีความทุกข์เลย
ทีนี้ อยากจะพูดอีกนิดหนึ่งก็ว่าคำพูดนี้มันดิ้นได้มันกำกวมมันพูดได้หลายแง่หลายอย่างเหมือนที่พูดมาแล้ว ๓-๔ ครั้งที่แล้วมานี่ ผมได้พูดแสดงให้เห็นความดิ้นความสับปลับของภาษาพูด วันนี้ ก็จะพูดให้เห็นอีกสักคำหนึ่งหรือสักเรื่องก็จะเกิดพูดสับปลับขึ้นมาบ้างแล้วว่าไอ้ที่ว่าตายเสียก่อนตายนั่นก็คือไม่ตายเสียก่อนตาย สับปลับใช่ไหม ฟังดูนะ ที่พูดว่าตายเสียก่อนตายนั้น เราอาจจะพูดได้ว่าไม่ตายเสียก่อนตาย คือทำให้หมดตายเสียก่อนตาย คือทำให้ตัวกูสูญหายไปเสียแล้วมันไม่มีการตายอีก มันไม่รู้จักตายอีก มันไม่ตายเสียก่อนก่อนแต่ที่ร่างกายแตกดับนี้ เราได้ทำให้เกิดความไม่ตายขึ้นมาแล้วเสร็จแล้วคือทำให้หมดอุปาทานว่าตัวกูของกูเสียมันก็เลยหมดความตายหรือไม่ตายอันนี้เราทำสำเร็จก่อนแต่ร่างกายจะแตกดับลงไป เห็นไหมว่าเราจะพูดว่าไม่ตายเสียก่อนตายนี้มันก็ถูกเหมือนกัน และยิ่งถูกว่าเสียอีก และยิ่งเป็นพระพุทธศาสนาถ้าพูดว่าตายเสียก่อนตายคุณสั่นหัว ถ้าพูดว่าไม่ตายเสียก่อนตายนี่คุณอ้าแขนรับยินดีจะเอา แต่ที่จริงมันเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ผมพูดด้วยความหมายมันภาษาคนบ้างภาษาธรรมบ้าง มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างนี้ พูดภาษาหนึ่งก็พูดว่าตาย ตัวกูตายเสียก่อนก่อนร่างกายตาย พูดอีกภาษาหนึ่งว่าทำให้ตัวกูหมดไปเสียอย่าได้มีความตาย อย่าให้รู้จักความตายเสียก่อนตาย ทีนี้ ถ้าพูดว่าไม่ตายก็คือ อมตะ ก็แปลว่า ได้รับอมตะ อมตะธรรม อมตะอะไรเสียก่อนร่างกายแตกดับ ถ้าพูดอีกทีก็พูดว่าตายเสียก่อนตายนั่นละคือมันไม่ตายอีกต่อไป นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตายนั่นนะหมายความว่ามันทำอย่างนั้นแล้วมันไม่มีการตายอีกต่อไป พูดคนละอย่างกลับอยู่ตรงกันข้าม แต่ความจริงหรือตัวจริงเหมือนกันเป็นสิ่งเดียวกันเป็นเรื่องเดียวกันแล้วแต่จะชอบพูดอย่างไหน
ทีนี้ ผมพูดตามคนโบราณเขาพูด ยอมรับว่าคนโบราณฉลาดกว่าผม พูดไว้ดีแล้ว ผมไม่ต้องไปแก้มัน เขาพูดว่า งามอยู่ที่ซากผี ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย เห็นว่าดีแล้ว แล้วก็ถือเอานี่ เอามาเป็นหลักเอามาเป็นปริญญามีไว้สำหรับผู้ที่เรียนจบและปฏิบัติจบในพระพุทธศาสนา เป็นปริญญาที่ดับทุกข์ได้ เอาไว้ดับทุกข์ของตัวเอง เอาไว้ดับทุกข์ของบิดามารดาญาติโยมทั้งหลายที่ยังโง่เขลาอยู่ ถ้าเราเป็นลูกบวชมาในผ้ากาสาวพัสตร์ใกล้ชิดพระพุทธศาสนามากกว่าก็ควรจะได้ปริญญานี้ก่อนจะได้เป็นเครื่องมือไปช่วยเพื่อนมนุษย์ให้ชนะความทุกข์ และก็เป็นสวามีได้เหมือนกัน สวามี แปลว่าเป็นนาย เป็นนายเหนือความทุกข์ เป็นนายเหนือกิเลสเพราะเรารู้จักตายเสียก่อนตาย เป็นจิตที่ไม่ต้องมีตัวกู พ้นจากตัวกู หลุดพ้นแล้ว จากอุปาทานว่าเราว่าของเรา จิตนี้ต้องเรียกว่าเป็นสวามีคือมันเป็นนายเหนือทุกสิ่ง ไม่เป็นทาสของอะไร เดี๋ยวนี้คนกำลังเป็นทาสของอายตนะ เป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยิ่งเป็นหนักขึ้น ๆ ความเจริญแผนใหม่ในโลกที่หลงกันนัก ที่นิยมกันนัก ชะเง้อหาอยู่นัก ทำให้เป็นทาสของอายตนะ เป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แก่จะเข้าโลงอยู่แล้ว ยังอยากอย่างน้ันยังอยากอย่างนี้ อยากดีอยากเด่นอย่างนั้นอย่างนี้นี่มันเป็นทาสของอายตนะมากถึงขนาดนี้ฉะนั้นทางอื่นไม่มี มีอยู่ทางเดียวคือว่าเป็นสวามีกันเสียบ้าง เป็นนายกันเสียบ้างคือ ทำจิตให้อยู่เหนือความตาย อยู่เหนือกิเลส อยู่เหนือความทุกข์เรียกว่าเป็นนายเป็นสวามี ถ้าไม่อย่างนั้นก็เป็นทาส เป็นบ่าว เป็นขี้ข้าของกิเลสตัณหาเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เรียกเป็นบาลีว่าเป็นทาสของอายตนะทั้ง ๖ ทีนี้ ก็เลิกเป็นทาสอายตนะทั้ง ๖ ไม่กินเหยื่อไม่กินอามิส แต่กินเพียงสักว่าเป็นอาหาร มันก็ไม่เกิดตัวกูของกู เอาพยานหลักฐานกันที่ตรงนี้และเดี๋ยวนี้ว่าเดี๋ยวนี้คุณกำลังสบายใจอยู่ กำลังมีใจคอสงบเยือกเย็นอยู่ก็เพราะว่าเดี๋ยวนี้มันไม่ได้เป็นทาสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายอะไร ทางใจอะไร ลองไปเผลอกลับไปนี้ ไปเผลอนิดเดียว กลับไปเป็นทาสทางตา ทางหู เป็นต้น มันก็ไม่สบายใจ อย่างที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่กำลังมุ่งหมายอย่างนั้นกำลังมุ่งหมายอย่างนี้แสวงหาอย่างนั้นแสวงหาอย่างนี้เตรียมพร้อมที่จะเป็นทาสอยู่เสมอตลอดเวลา นี่หมายความว่ามันต่อสู้ ไม่ยอมตายเสียก่อนตายเพื่อจะได้เป็นทุกข์อย่างถาวรก็สมน้ำหน้า คนหัวดื้อ คนโง่ คนพาล คนหลง
ถ้ามาสวนโมกข์ก็ขอให้รู้ไว้ว่าที่นี่มีปริญญาให้เพียงอย่างเดียวคือตายเสียก่อนตาย วิธีปฏิบัติคือกินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างทาส หมายมาดความว่าง อยู่อย่างนี้ไม่เท่าไรมันก็จะได้ปริญญาก็คือตายเสียก่อนตาย นี่ ธรรมปาฏิโมกข์ของเราวันนี้แสดงให้รู้ว่าการดับเสียซึ่งตัวกูของกูเป็นปริญญาของพุทธบริษัทที่จะต้องได้หรือควรจะได้โดยถือหลักว่าตายเสียก่อนตายก็ได้ หรือว่าไม่ตายเสียก่อนตายก็ได้ หรือว่าจะไม่เป็นทาสของอายตนะทั้ง ๖ อีกต่อไปอย่างนี้ก็ได้ ทีนี้ เรื่องที่จะเป็นความทุกข์เป็นกิเลสหมด เวลาเหลืออยู่ก็ทำสิ่งที่มันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไปก็แล้วกัน เมื่อเรื่องของเราหมดเพราะเราตายแล้ว ไอ้ที่มันเหลืออยู่เป็นซาก เป็นนามรูป เป็นซากก็ทำประโยชน์ผู้อื่นต่อไปก็แล้วกัน เป็นหน้าที่ของมัน ของนามรูปที่ประกอบอยู่ด้วยปัญญา ตัวกูของกูที่เป็นกิเลสตัณหานี้ตายไปหมดแล้ว ไม่มาบงการอะไรอีกต่อไปแล้ว อย่ามีเรา ไม่ต้องมีเรา ไม่ต้องมีเราก็ได้ ให้ไอ้กายกับใจที่ประกอบด้วยปัญญานั้นมันรู้จักทำหน้าที่ของมันเอง ฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็ทำงานมาก พระอรหันต์ทุกองค์ก็ทำงานมาก ล้วนแต่เป็นเรื่องแจกของส่องตะเกียงให้กับผู้อื่นทั้งนั้นไม่ใช่ตัวเอง ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แจกของส่องตะเกียงให้แก่ผู้อื่นก็หมายความว่าทำผู้อื่นให้มีแสงสว่าง ทำให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ นี่คืออานิสงส์ของการตายเสียก่อนตายที่เป็นปริญญาสูงสุดในพระพุทธศาสนาและมีเพียงปริญญาเดียวนี่ธรรมปาฏิโมกข์ของเราวันนี้มีเท่านี้ ขืนพูดมากเดี๋ยวน้ำแข็งละลายหมด เขาเอามารอไว้จะเลี้ยง