แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๒๗ พฤษภาคม เวียนมาครบรอบปี เออ, สำหรับผมในปี ๒๕๑๓ นี้ อีกวาระหนึ่ง มันมีความหมายส่วนตัวผม ไม่ใช่ เออ, มีความหมายเกี่ยวกับพวกคุณ ที่ว่ามีความหมายเกี่ยวกับตัวผม ก็เพราะว่า มันเป็นวันครบรอบปี ตามที่เขาสมมุติกัน อืม, อย่างสุริยคติ อย่าลืมว่ามันเป็นการสมมุติ อย่างสุริยคติ ผมจึงถูก เออ, ผมจึงถูกสมมุติว่า มีอายุครบรอบปี อื่อ, ที่ ๖๔ ขึ้นมา เนื่องจากโยมบอกว่า เออ, เกิดเมื่อเวลาพระออกบิณฑบาต นี้ก็คงจะมีอายุ ๖๔ ปีเลยไปบ้าง ๒-๓ ชั่วโมง เออ, หรือหลายชั่วโมง
ทีนี้ที่ว่า มันมีความหมายสำหรับผมนั้น ก็เพราะว่าผมมันเกิดโดยสมมติอย่างนี้ พวกคุณก็มี วันเกิดเป็นอย่างอื่น ด้วยกันทุกคน ขอให้ฟังในฐานะที่ว่า มันเป็นวันที่มีความหมายสำหรับผม ทีนี้เมื่อถือ สมมุติกันแล้ว มันก็มี เออ, การที่จะต้องรู้เรื่องสมมุติอย่างอื่น ๆ อีก เช่น สมมุติว่ามีอายุเท่านี้ ครบรอบ ในวันนี้ และเขามีทำอะไรกันบ้างโดยสมมุติ เขาก็มีการทำบุญวันเกิด เลยไปถึงให้ของขวัญวันเกิด เป็นเออ, พิธี กระทั่งเป็นพิธีรีตองอย่างนั้น อย่างนี้ขึ้นมา ผมก็พลอยสนุกกับเขาด้วย ในการทำบุญวันเกิด แต่การทำบุญนั้น อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ เพราะว่าใครชอบอย่างไร ก็ควรจะได้ทำอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ผมจึงถือเอาโอกาสนี้ ทำบุญวันเกิด ชนิดที่เรียกว่า อ่า, ล้ออายุ บางคนก็ยังฟัง ไม่ถูก อย่างพวกคุณที่เพิ่งมาใหม่ ๆ นี้คงฟังไม่ถูก ก็จะเล่าให้ฟัง เขาทำบุญต่ออายุกันบ้าง เพิ่มอายุกันบ้าง อย่างที่คนก็ได้ทราบ หรือได้เห็นแล้ว และรู้ว่าเขามีความมุ่งหมายอย่างไร เขาขี้ขลาดกลัวตาย ก็ต่ออายุให้ยาว ออกไป อย่างนี้ก็มี หรือว่าในวันนี้ มันเป็นวันครบรอบปี ทำบุญเป็นการใหญ่ เป็นพิเศษ แล้วก็หวังที่จะได้บุญ เป็นส่วนสำคัญ ไอ้เรื่องได้บุญนี้ มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าได้สิ่งที่ตัวปรารถนา มันจึงลวงไอ้ความมีอายุยืน อยู่ในนั้นด้วย นี่แหละทำบุญอายุ มันไม่แคล้วไปจากเรื่องอยากจะมีอายุเพิ่ม หรือมีความสบาย อ่า, ในการมีอายุ แต่ความหมายของผมไปในทางอื่น อยากจะเรียกว่า ล้ออายุ ที่มันมีมามาก จนถึงหลาย ๑๐ ปี เช่นนี้ ว่ามันมีอะไรดี หรือว่ามันมีอะไรที่น่าหัว หรือมันมีอะไรที่น่าเกลียด แล้วก็น่าล้อ
ทีนี้การที่จะล้ออายุนั่น มันคงจะมีปัญหาขึ้นในใจของพวกคุณว่า ใครล้อใคร แต่ว่าฉันล้ออายุ ฉันนั้นคือใคร แล้วก็ไปล้ออายุอย่างไร ถ้ายังไม่เข้าใจก็จะว่าให้ฟัง ถ้าจะมีฉันสำหรับล้ออายุ มันก็เป็น เรื่องของสติปัญญา เอาสติปัญญาเป็นตัวฉัน แล้วก็ล้ออายุ คือ อายุอย่างที่เขาสมมุติ สมมุติกัน ว่ามีอายุกี่ปี แล้ว ถ้าจะเข้าใจให้ดี ก็ต้องดูต่อไปว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่า อายุ อายุนี้ มันมีอยู่ ๒ ชนิด หรือ ๒ ความหมาย คือ อายุของร่างกายนี้อย่างหนึ่ง แล้วอายุของจิตใจ หรือวิญญาณ สติปัญญานั้นมันอีกอย่างหนึ่ง ที่มันต้อง แยกกัน ก็เพราะว่ามันแยกกัน อายุร่างกายอาจจะมีมากก็ได้ แล้วอายุของจิตใจนั้น มันมีไม่เท่ากันก็ได้ มันมีน้อยก็ได้ เพราะมันเป็นคนละอย่างจริง ๆ หมายความว่า อายุร่างกายนั้น มันก็ไม่มีอะไรมากกว่า เนื้อหนังที่กินเข้าไป มันก็เติบโตได้ แล้วมันก็วัดกันได้ด้วย การที่มีฝนตกรดหนัก ๆ คราวหนึ่ง คราวหนึ่ง อืม, ซึ่งเรียกว่า ปีหนึ่ง
บางคนยังไม่รู้ก็รู้เสียว่า ไอ้ที่เขาเรียกว่า วัสสา หรือปีหนึ่งนั้น มันหมายถึง ฝนตกหนัก ๆ คราวหนึ่ง คำว่า วัสสา เขาแปลว่า ฝน ในภาษาไทย เรียกว่า ฝน ในภาษาบาลี เรียกว่า วัสสา พรรษา ในภาษาไทย ที่ถอดมาจากภาษาสันสกฤต แต่รวมความแล้วมันก็คือ ฝน ฝนตกหนักคราวหนึ่ง คราวหนึ่ง ก็คือ ในรอบปีหนึ่ง มันมีฝนตกหนักคราวหนึ่ง พอไอ้ฝนตกหนักคราวหนึ่ง นั่นเอง เรียกว่า ปีหนึ่ง หรือพรรษาหนึ่ง ที่อายุร่างกาย ก็หมายถึง ร่างกายนี้เคยถูกฝนตกรดหนัก ๆ มากี่คราวแล้ว มันก็เท่านั้นปี นี้มันไม่เกี่ยวกับสติปัญญา พูดอย่างล้อ ล้อเล่นก็ว่า ร่างกายก็ถูกฝนตกรดหนัก ๆ มากี่คราวแล้ว นี่คือ อายุของมึง
ส่วนอายุทางจิตใจนั้น หมายถึง ความเจริญของสติปัญญา ทีนี้มันไม่เท่ากัน คนมันมีพื้นฐานโง่ หรือฉลาดมาต่าง ๆ กัน แม้ว่าจะมีพื้นฐานมาอย่างไร มันก็ยังต่างกัน ตรงที่ได้รับการศึกษาไม่เหมือนกัน ถ้ามีสติปัญญามาก ก็เรียกว่า มีอายุทางจิตใจมาก ถ้ามีสติปัญญาน้อย ก็เรียกว่า มีอายุทางจิตใจน้อย คนมีสติปัญญาน้อย แม้จะมีอายุทางร่างกายตั้ง ๑๐๐ ปี ก็ต้องเรียกว่า เด็กอมมืออยู่นั่นเอง แม้อายุตั้ง ๑๐๐ ปี เพราะว่า อายุทางจิตใจมันมีน้อย
นี่เมื่อรู้จักอายุทางจิตใจ กับอายุทางร่างกายได้ดีอย่างนี้แล้ว ก็พอจะรู้ได้ ว่าเดี๋ยวนี้ใครมันล้อใคร คำว่า ฉันในที่นี้ คือใคร คำว่า ฉันในที่นี้ จะได้แก่ จิตใจที่มีอายุมากพอสมควร คือ มีสติปัญญามากพอสมควร เพราะได้เห็นโลก หรือเห็นชีวิตมามากนั่นเอง มันก็มีอะไร ๆ มากพอ ที่จะล้ออายุของร่างกาย ว่ามันมีมาได้ กี่ฝนแล้ว กี่ปีแล้ว แล้วมันมีอะไรบ้างในนั้น โง่ฉลาดอย่างไร ก็เอามาพิจารณาดู มีส่วนที่ควรจะล้อเล่นได้ อ่า, ก็จะล้อเล่น นี้ทำไมจะต้องล้อ เพราะเป็นคนขี้ล้อ ก็ได้เหมือนกัน เพราะการล้ออะไรกันเล่นนี้ มันก็สนุกดี ผมก็ชอบ ถึงคุณก็ชอบ อย่าอวดดีไปเลย
แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้มีความหมายเพียงเท่านั้น ที่ว่าล้อกันเล่นนี้ มันสนุกดี หัวเราะทำให้อายุยืน เขาว่ากันอย่างนั้น นั่นมันก็เป็นเรื่องของเด็กอมมือเหมือนกัน เราไม่ควรจะล้ออายุกันในลักษณะอย่างนั้น เราควรจะล้อกันในลักษณะที่มันได้บุญ อ่า, ได้กุศล ได้ความเห็นแจ้งแทงตลอด ฟังดูให้ดีสิ ผมกำลังพูดว่า การล้ออายุนี้ ถ้าล้อเป็นมันจะได้บุญ แล้วมันจะได้กุศล แล้วมันจะได้ความเห็นแจ้งแทงตลอด
ล้ออายุได้บุญ ได้บุญยังไงกัน มันต้องรู้จักคำว่า บุญกันเสียก่อน คำว่า บุญนี่ ผมจะไม่หมายเอา แต่เพียงว่า เครื่องให้สบายใจ อิ่มอกอิ่มใจไปตามประสา คนขลาด คนเขลา ไอ้บุญอย่างนั้นไม่เอามาพูด บุญอีกความหมายหนึ่ง มันหมายถึง การล้างบาปได้ ไอ้ของที่ล้างบาปได้ นั่นแหละคือ บุญ ถ้าใครมีบาป เอามาล้อเล่น ให้มันหายไปเสีย มันเกิดละอายขึ้นมา มันก็หายไปเสีย นี้ก็เรียกว่า ได้บุญ บุญชนิดนี้ เป็นอย่างเดียวกันกับสิ่งที่เรียกว่า กุศล เพราะว่า กุศล แปลว่า ความฉลาดก็มี หรือแปลอีกอย่างหนึ่งว่า ตัดหญ้ารกก็มี มันก็มีอาการเหมือนกับล้างบาป คือ บุญมันต้องล้างบาปได้ หญ้ารกเหมือนกับบาป อะไรล้างบาปได้ ก็ต้องเรียกว่า บุญ หรือกุศล
แต่บุญของชาวบ้าน หรือแม้พวกคุณ ที่บวชใหม่ ๆ นี่มันอาจจะมีความหมาย ไปในทางได้ สวรรค์วิมาน สวรรค์วิมานในชาตินี้คือ กามารมณ์ ที่คุณอุตส่าห์เล่า อุตส่าห์เรียน อุตส่าห์ประกอบการอาชีพ มันก็เพื่อกามารมณ์เสียเป็นส่วนใหญ่ ไปดูให้ดี ๆ อย่าเข้าใครออกใคร อย่างนี้มันบุญของเนื้อหนัง ไม่ใช่บุญ ของจิตใจ ไอ้บุญกุศลของจิตใจนั้น มันต้องล้างบาปได้อย่างที่กล่าวแล้ว ถ้าเราล้อเป็น มันก็ได้บุญได้กุศล
คำว่า ล้อเป็นในที่นี้ หมายความว่า เราพิจารณาตัวเอง ทดสอบตัวเอง หรือเรียกให้เป็นอุปมา หนักขึ้นไปอีก ก็ว่าโจทก์ หรือฟ้องตัวเอง ค้นให้พบว่า มันมีอะไรเป็นอย่างไร ที่ควรล้อก็เอามาล้อ ที่ควรลงโทษก็ลงโทษ นั่นแหละ มันจะเป็นหนทาง ให้เกิดความเห็นแจ้งแทงตลอด คือ เห็นความโง่ทั้งหมด ที่แล้วมา แล้วความโง่นั้นก็จะได้หายไป ความโง่นี้ มันเหมือนกับผี หมายความว่า พอรู้จักหน้ามันเท่านั้น มันจะหายไป ไม่ต้องลำบากลำบนอะไรนัก ขอให้รู้จักว่า มันเป็นความโง่
เดี๋ยวนี้มันโง่ขนาดดักดานนี่ หรือยิ่งกว่าดักดานอะไรก็แล้วแต่จะพูด มันก็ยังไม่รู้ว่ามันโง่ อย่างนี้ไม่มีโอกาสจะล้อมัน นั้นควรต้อง เออ, คนเราจะต้องรู้จักคิด รู้จักนึก รู้จักสังเกต รู้จักอะไรต่าง ๆ จะได้มีสติปัญญาเพิ่มขึ้น ๆ เป็นอายุของจิตใจ แยกออกมาเป็นตัวฉัน แล้วจิตล้อร่างกายซึ่งเป็นของโง่ เป็นของทึบ เป็นของหนัก เป็นของวัตถุ แล้วขึ้นอยู่กับกามารมณ์ หรือความสุขทางเนื้อหนัง เป็นส่วนใหญ่
นี่ขอให้ดูให้ดี จะเห็นได้ว่าการล้ออายุนี้ ถ้าล้อเป็นก็จะได้บุญ ก็จะได้กุศล ก็จะได้ความเห็นแจ้ง แทงตลอด ถ้าถามว่าเรามีอายุเท่าไร ทุกคนก็ตอบไปว่า เท่านั้นปี เท่านี้ปี นั่นแหละคือ อายุของความโง่ แล้วก็ ไม่รู้จักตัวเอง เอาตามสมมุติ เอาตามปฏิทิน เด็กอมมือมันก็พูดได้ แม่ก็บอกให้ ว่าอายุกี่ปีแล้ว รู้จักนับปีเป็น เท่านี้มันไม่พอ ถ้าถูกถามว่าอายุเท่าไร ก็ควรจะสะดุ้งเยือกทีเดียว ว่าแกนั้นโง่ หรือฉลาดเท่าไร ไปดูให้รู้ข้อนี้ แล้วก็จะรู้ว่ามีอายุเท่าไร เป็นคนแก่แดดแก่แรด หรือว่าเป็นคนที่เบิกบาน รุ่งเรือง สว่างไสว อยู่ด้วยสติปัญญา
นี่ขอร้องว่าพวกคุณหนุ่ม ๆ นี้ อย่าได้ประมาทเลย จะรู้จักกันก็แต่เพียงอายุทางร่างกาย ยังไม่รู้เรื่องทางจิตใจ แม้คุณจะได้ฟังได้ยินคำพูด เรื่องไอคิวเรื่องอะไรของเด็ก ๆ นักเรียนนี้ คุณก็ยังไม่รู้ว่า มันคืออะไรอยู่นั่นเอง เพราะว่ารู้แต่เพียงว่ามันเรียนหนังสือได้เร็ว แต่ไม่รู้ถึงว่าสติปัญญาที่แท้จริงนั้น มันอยู่ที่ไหน แม้ว่าจะเรียนหนังสือได้เร็ว หรือได้มาก มันอาจจะโง่มากขึ้นไปก็ได้ ถ้ามันเรียนไปในทางที่ ให้หลงใหล เป็นทาสของวัตถุนิยม อย่างที่ทำกันในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยนั่นเอง ไอคิวอย่างนี้ เอามาใช้กันไม่ได้ กับพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้า มันเป็นไอคิวสำหรับเด็กอมมือ เด็กที่ยังกินลูกกวาด ยังเล่นฝุ่น ยังวิ่งเล่นตามถนน
สำหรับพระพุทธเจ้า เออ, ท่านตีราคาของสติปัญญา ในทางที่จะไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหา หรือทางเนื้อหนัง ว่านั่นแหละ เป็นความหมายแท้จริงของอายุ ถ้าคุณมีอายุในทำนองที่ พระพุทธเจ้าท่าน ต้องการ นี้มากก็จะเรียกว่า มีอายุที่น่าบูชา น่าสรรเสริญ น่าชื่นอกชื่นใจ อายุชนิดนี้แหละ มันจะออกมาเป็น ตัวฉัน แล้วก็ล้อกิเลสเล่น ล้อความทุกข์เล่น คือ ล้ออายุทางร่างกายเล่น ด้วยความฉลาดกว่า
การที่เราจะรู้ว่า เรามีอายุ ๒ อย่าง ๒ ประเภทอย่างนี้ มันไม่ใช่เป็นของง่าย อย่างหนึ่งมันเป็น อายุของความฉลาด อย่างหนึ่งมันเป็นอายุของความโง่ ที่เรียกว่า โง่นี้ก็หมายความว่า มันไม่มีความรู้ มันเป็น เหมือนก้อนหิน ก้อนดิน อะไรท่อนหนึ่ง ก้อนหนึ่งเท่านั้น ร่างกายเป็นอย่างนั้น อายุร่างกายนับด้วยฝนตก มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอายุของก้อนวัตถุอะไรก้อนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นอายุของจิตใจ วิญญาณ สติปัญญาแล้ว มันไม่มีตัวตน ไม่มีรูป ไม่มีร่าง มันเป็นนามธรรมอันละเอียด มันเจริญงอกงามอย่างแผ่ไพศาล มีตัวใหญ่กว่า โลกนี้ มีตัวใหญ่กว่าสากลจักรวาลก็ยังได้ ไม่เหมือนกับร่างกายนี้ อย่างมากมันก็มี ตัวยาวสักวาหนึ่งเท่านั้นเอง นี่มันต่างกันถึงขนาดนี้ ถ้าเรามีสติปัญญาเป็นตัวฉัน มันก็มีตัวโต กว่าวัดนี้ กว่าประเทศไทย กว่าโลก หรือกว่า สากลจักรวาลก็ได้ เพราะฉะนั้นมันก็สามารถที่จะล้อ ไอ้ร่างกายเล็ก ๆ ที่ยาววาหนึ่งนี้ได้ นี่แหละ การล้ออายุ ตามความหมายของผมมันเป็นอย่างนี้
แล้วผมก็จะถือโอกาสเช่นวันนี้ ล้ออายุเล่นสนุก ๆ ตามธรรมดา ผมก็นอนก่ายหน้าผาก ล้อเล่นอยู่คนเดียว อยู่ในใจ มานานแล้ว แต่เดี๋ยวนี้มันรู้สึกสนุกขึ้นมา ที่จะพูดให้เพื่อนกันฟังบ้าง ก็เลยนัดมาฟัง ล้ออายุกันเล่น เป็นวิธีทำบุญ เกี่ยวกับอายุของผมเองเป็นพิเศษ อ่า, เป็นลักษณะเฉพาะอย่างนี้ ทีนี้มีเพื่อนฝูง บางคนถามว่า อยากจะได้ของขวัญวันเกิดเช่นนี้ อย่างไรบ้าง ผมก็บอกว่า อ้าว, ถ้าใครอยากจะ ให้ของขวัญ วันเกิด แก่ผมล่ะก้อ วันนี้ต้องไม่กินข้าว ต้องอดข้าวสักวันหนึ่ง เหมือนผมวันนี้ไม่กินข้าว ล้ออายุนี้ คือ ไม่กินข้าว มันกินมามากแล้ว วันนี้จะไม่กิน นึกถึงว่าเมื่อวันแรกคลอดนั้น มันก็ไม่ได้กินอะไร กินน้ำผึ้ง สักหยดหนึ่งละลายน้ำ วันนี้เผอิญโชคดี ได้กินน้ำผึ้งละลายน้ำแก้วหนึ่ง มันก็พอ พอไปกันได้ พอเทียบกันได้ มันคงจะอยู่ไปได้วันหนึ่ง คืนหนึ่งหรือมากกว่า
พวกคุณก็อย่าลืมว่า ไอ้วันที่แรกคลอดออกมานั้น ไม่ได้กินอะไร ทำไมมันไม่ตาย เดี๋ยวนี้มันก็ ควรจะไม่ต้องกินอะไรได้ แล้วก็ไม่ตาย อย่าโง่ให้มากไปนัก อดนอนสักวันหนึ่ง คืนหนึ่ง มันก็ไม่ตาย แต่คนเป็นอันมาก เกือบทั้งโลก มันก็คิดว่ามันจะตาย หรือมันจะเป็นอันตราย มันไม่กล้าอดข้าว แม้แต่สัก วันหนึ่ง เว้นแต่มันมีความจำเป็นอย่างอื่นบังคับ ไม่ให้มันกิน มันก็ไม่เห็นตาย นี่อดนอนสักวันหนึ่ง อดข้าว สักวันหนึ่ง ไม่เห็นแปลกอะไร ถ้าใครยังเห็นเป็นของแปลก คนนั้นยังเป็นเด็กอมมือ เป็นคนโง่ เพราะฉะนั้น จึง ผมจึงเรียกร้องของขวัญอย่างนี้ ว่าถ้าใครจะให้ของขวัญวันเกิดแก่ผมในวันนี้ ก็อดนอนสักคืนหนึ่ง เออ, วันหนึ่งคืนหนึ่ง อดข้าวสักวันหนึ่งคืนหนึ่ง นี่คือ ของขวัญที่ผมต้องการ แม้เพื่อนฝูงที่ไม่ได้มาที่นี่ ผมก็เขียนบอกไปอย่างนี้ว่า วันนี้เป็นวันทำบุญอายุวันเกิด ใครอยากจะให้ของขวัญ ขอให้อดข้าว หนึ่งวัน หนึ่งคืน เป็นการให้ของขวัญแก่ผม ตามธรรมเนียมที่เขาให้ของขวัญ แก่กันและกัน
ทีนี้ถ้าใครเก่งกว่านั้น จะให้ของขวัญวันเกิด แก่ผมมากไปกว่าอดข้าวหนึ่งวันแล้ว ก็ให้เลื่อนสูง ขึ้นไป จนถึงกับว่า วันนี้เป็นวันที่เราจะกินอายุนั่นเอง เป็นอาหาร ก่อนหน้านี้อายุมันกินเรา ล่วงไปปีหนึ่ง มันกินเราปีหนึ่ง ล่วงไปวันหนึ่ง มันกินเราวันหนึ่ง เดี๋ยวนี้เราจะกินอายุ คือ จะมีจิตใจชนิดที่ อายุไม่มีความหมาย วันนี้เราจะทำให้อายุไม่มีความหมาย คือ ไม่เป็นการล่วงไป ด้วยการทำจิตให้ว่าง จากตัวกูของกู ความล่วงไปของ เออ, ขันธ์ เออ, เบญจขันธ์ ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าเราเป็นผู้กินเวลา กินอายุ ไม่ให้อายุ มีความหมายแก่เราในวันนี้ นี่ผมถือว่า ของขวัญที่ประเสริฐที่สุด สูงสุดที่จะยกขึ้น เทิดทูนไว้ เหนือเกล้า เหนือเศียรว่า พวกคุณได้ให้ของขวัญอันสูงสุด ในการสามารถทำจิตใจ ให้เป็นพิเศษในวันนี้ ให้มีจิตว่างจากตัวกูของกู แล้วไม่มีอะไรที่จะ เป็นที่ตั้งแห่งการครอบงำของเวลา หวังว่าจะเอาไปคิด ไปนึก ดูให้ดี ว่าการล้ออายุอย่างที่ผมชอบกระทำนี้ มันจะมีประโยชน์หรือไม่
เอาล่ะทีนี้เรื่องต่อไป ก็จะพูดถึงเรื่องอายุ ให้มันมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยพูดถึงอายุทางฝ่ายกาย ที่เขาเรียกว่า มีอายุเท่านั้นปี เท่านั้นปี นั้นแหละ ว่ามันเป็นความโง่เขลาเท่าไร หรือพูดให้สุภาพหน่อย มันก็ว่า มันเป็นเรื่องสมมุติบัญญัติสักเท่าไร พูดอย่างไม่เกรงใจ ก็ว่ามันเป็นความโง่สักเท่าไร ที่จะมาคิดยึดถือมั่น ว่าเรามีอายุเท่านั้นเท่านี้ ปีแล้ว อย่างหมายมั่นปั้นมือ ข้อนี้ผมเรียกว่า ความลวง หรือความหลอกลวง ของการนับอายุ โดยการสมมุติ การนับอายุนี่ เออ, นับโดยสุริยคติก็มี นับอย่างจันทรคติก็มี คนที่มีการศึกษา ก็นับอย่างเดือนเมษา อ่า, มกรา กุมภา มีนา เมษานี่ ก็อย่างจันทรคติ สุริยคติ
ส่วนชาวบ้านนับไม่เป็น นับอย่างปีชวด ฉลู เออ, เดือน ๕ เดือน ๖ เดือน ๗ เดือน ๘ เอาพระจันทร์เป็นเกณฑ์ ถ้านับอย่างสุริยคติ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ผมก็มีอายุ ๖๔ ปี ถ้านับอย่างจันทรคติ โยมบอกว่า เดือน ๗ ขึ้น ๗ ค่ำ นี้มันก็เลยมาแล้ว ก็ตั้งเดือนกว่าแล้ว มันก็กลายเป็น มีอายุตั้งหก ๖๔ ปี กับเดือนกว่าแล้ว นี่มันเป็นความหลอกลวง ของการนับเท่าไร นี้ทว่าเผอิญ ไปเกิดในประเทศที่เขานับ จันทรคติด้วย แล้วเขาไม่ทศอธิกมาสกันด้วย คือ นับ เออ, ๓๐ นับพระจันทร์ ๓๐ วันเป็นเดือนหนึ่ง ๑๒ เดือน ก็เป็นปีหนึ่ง นับไม่ทศอธิกมาส กันอย่างนี้แล้ว มันก็มีวันเหลืออีกออกไปอีก ๑๐ ปี มีวันเกินมา ๓ เดือน ถ้าอายุ ๖๐ ปี มันก็จะได้ฟรีเปล่า ๆ ถึง ๑๘ เดือน ผมก็มีอายุ ๖๕ ปี ๘ เดือนแล้ว เห็นไหม ว่ามันเป็น ความหลอกลวง ของการนับเท่าไร
นี่คือ วิธีที่เราจะหายโง่ ออกมาเสียจากความครอบงำ ของความโง่ ที่ไปยึดมั่นถือมั่น เรื่องสมมุติ บัญญัติต่าง ๆ นานา นี่ดีแต่ว่าเราอยู่ในโลกนี้ มันก็ยังมีความแตกต่างมากกันถึงอย่างนี้แล้ว นับอย่างสุริยคติ ก็ไปอย่างหนึ่ง นับอย่างจันทรคต มีทศอธิกมาสก็ไปอย่าง นับอย่างจันทรคติ ไม่มีการทศอธิกมาสก็ไปอีกอย่าง นี้เวลา เออ, ในโลกนี้ก็ยังไม่ตรงกัน คือ แล้วแต่เส้นลองติจูด เส้นลองติจูดหนึ่ง ๆ ต่างกัน ๔ นาที กว่าจะครบ รอบโลก ๒๔ ชั่วโมง เวลานี้ประเทศไทย กำหนดเวลาอย่างนี้ เช่นสมมติว่า ผมเกิดเมื่อตอนเช้า พระออก บิณฑบาตร มันก็ไม่ใช่เวลาเช้าพระออกบิณฑบาตร ในประเทศที่ตรงกันข้าม เช่น ประเทศอเมริกา เป็นต้น นี่เมื่อนับเป็นชั่วโมง หรือเป็นอะไรมากเข้าไปอีก มันก็ยังผิดกันได้อีกหลายชั่วโมง คือถึงกับ ๒๔ ชั่วโมง ก็ได้
เอาละ ทีนี้คิดว่าถ้าเผอิญ ผมนี่ไปอยู่ได้ที่โลกอื่น เช่น โลกพระอังคาร เป็นต้น เมื่อนับเอา ดวงอาทิตย์เป็นหลัก โลกพระอังคารมันก็มีครบรอบปี ไม่เหมือนโลกนี้ คือมันไม่ใช่ ๓๖๕ วัน อายุของผม ก็เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ซึ่งมันจะน้อยลงเหลือไม่กี่ปีก็ได้ หรือมันจะมากขึ้นเป็นหลาย ๑๐๐ ปีก็ได้ แล้วแต่ ความเปลี่ยนแปลงของโลก โลกนั้นที่เราเผอิญไปอยู่ที่นั่น เราเกิดที่นี่ นับอายุเป็นปี ๆ อย่างการนับของโลกนี้ ๓๖๕ วันครบปีหนึ่ง มันก็ได้อย่างนี้ แต่ถ้าไปอยู่ในโลกอื่น เออ, เช่น โลกพระอังคาร เป็นต้น มันก็กลายเป็น อย่างอื่น นี่คือมันหลอกลวง นั้นอย่าได้ยึดมั่นถือมั่น เรื่องอายุเท่านั้นเท่านี้ปี โดยร่างกายนัก มันเป็นเรื่อง หลอกลวง
ที่แน่นอนนั้น มันเป็นเรื่องทางจิตใจ วัดดูด้วยการคำนวณว่า มันใกล้นิพพานเข้าไปเท่าไร มันใกล้นิพพานเข้าไปเท่าไร มันใกล้นิพพานเข้าไปเท่าไร นั่นแหละมันเป็นการวัดอายุที่แน่นอน ถ้ามันยัง ยังห่างนิพพานมาก ยังโง่มากเหมือนอย่างนี้ก็ ถือเสียว่ายังมีอายุไม่ถึงปี ยังจะถูกเสียกว่า ถ้าคุณยังโง่ต่อ เรื่องนิพพาน ไม่ประสีประสาต่อเรื่องนิพพานเสียเลยนี้ ถือว่าตัวเองอายุยังไม่ถึงปีเสียเลยนี่ ถูกกว่า และถูกต้องที่สุด
นั้นถ้าใครอยากจะมีอายุจริง ๆ ให้หลายปี สักหน่อย ก็ต้องสนใจเรื่องของนิพพาน ให้มีความเข้าใจ เรื่องของพระนิพพาน เขยิบจุดหมายปลายทางเข้าไป นั่นแหละ จะเรียกว่า มีอายุที่แท้จริง มีอายุอย่างนี้แล้ว มันก็จะเป็นตัวฉัน ที่ล้ออายุอย่างลม ๆ แล้ง ๆ นั้นได้ นี่ควรจะรู้จัก ไอ้การนับอายุ หรือความลวงของการนับอายุ กันเสียอย่างนี้ ผมมองเห็นอย่างนี้ มันจึงเกิดความคิดนึก ที่จะล้ออายุเล่น ให้คุณฟัง มันคงจะไม่เสียเวลาเปล่านัก แล้วก็ดีกว่าที่จะนอน เออ, ก่ายหน้าผาก ล้อเล่นอยู่คนเดียว บนเตียงนอน
เอาละ ทีนี้ มันจะล้ออายุ เออ, กันได้อย่างไรบ้าง เราก็ดูกันต่อไปอีก ผมล้ออายุของผม อย่าลืมแหละ ถ้ามันไปกระทบกระเทือนคุณเข้าบ้างนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง มันเป็นผลพลอยได้ คุณอย่าเพิ่งโกรธ ก็ฟังดูให้เข้าใจให้ดี ๆ วันนี้ อ่า, ผมอยากจะล้ออายุว่า อายุเอ๋ย แกอยู่มาได้ถึงสมัยที่โลกนี้ มีประเทศผู้นำที่เหมือน กับควายโง่ตัวเดียวเชียวนะ ควายตัวฉลาดหาไม่ได้ หรือเพราะเหตุว่า ไม่มีใครเขา ต้องการนี่ อายุสังขารนี่ มันล่วง มาล่วงมา ถึงปีนี้ ถึงวันนี้ มันเป็นเวลาที่โลกนี่ เขามีความต้องการกัน แต่ควายโง่ตัวเดียว ประเทศชาติที่เป็นผู้นำในโลกนี้ มันก็มีแต่ควายโง่ตัวเดียว หรือว่ามันก็เหมือนกับควายโง่ ตัวเดียว หรือว่าควายตัวฉลาดนั้นมันหาไม่ได้ หรือว่ามันไม่ต้องการ ที่ว่าโลกในทุกวันนี้ เขาชอบกันแต่ ควายโง่ตัวเดียวนี่อ่ะ บางคนเข้าใจแล้ว ผมเคยพูดมาบ้างแล้ว บางคนยังไม่เข้าใจ ก็พูดกันใหม่ก็ได้ เดี๋ยวนี้เรา อยู่เหนือเวลา เรากินเวลา ไม่ใช่เวลากินเรา เพราะฉะนั้น เวลาไม่มีสำหรับเรา ผมพูดจนเสียงแห้ง เป็นลม ล้มลงไปเลยก็ได้ เวลาไม่มีสำหรับการพูด ในวันนี้
ที่ว่าโลกนี้ มันมีแต่ควายโง่ตัวเดียว และชอบกันแต่ควายโง่ตัวเดียวนั้น ก็หมายความว่า โลกนี้ เป็นโลกเทคโนโลยี เขาชอบกันแต่เรื่องวิชาเทคนิคทางวัตถุ ที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จแต่ทางวัตถุ ก้าวหน้าไปทุกอย่าง ทุกประการในทางวัตถุ ไปโลกพระจันทร์ก็ได้ ทำอะไรมากกว่านั้นก็ได้ นี่เรียกว่า เทคโนโลยี เป็นอย่างนี้ ทีนี้ควายตัวหนึ่งนั้น คือ ความสว่างไสว รุ่งเรืองทางสติปัญญา ทางศาสนา ทางธัมมะ ทางพระเจ้า นี่เขาไม่ต้องการควายตัวนี้ เขาต้องการไอ้ควายโง่ตัวเดียว คือ เทคโนโลยี ก้มหน้าก้มตา หลับหูหลับตา ผลิตแต่วัตถุ สร้างแต่วัตถุ จนไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร จนต้องเอามาใช้สำหรับทรมานตัวเอง สำหรับเบียดเบียนผู้อื่น สำหรับล้างผลาญผู้อื่น สำหรับทำลายโลกนี้ให้แตกสลายไป นี่ควายโง่ตัวนี้ มันเป็นอย่างนี้
ผมเคยพูดสรุปสั้น ๆ ว่า ชีวิตนี้ ต้องเทียมด้วยควาย ๒ ตัว ตัวหนึ่ง เป็นตัวมีเรี่ยวมีแรงเข้มแข็ง ตัวหนึ่งเป็นสติปัญญารอบรู้ เชี่ยวชาญที่สุด ฉลาดที่สุด นี่มันเป็นเรื่อง เออ, ที่เปรียบเทียบกันได้ กับควายไถนา เมื่อก่อนเขาไถนาด้วยควาย ๒ ตัว ตัวหนึ่งฉลาดมาก ไวกับความรู้สึก ฟังเจ้าของพูดรู้เรื่อง เขาเรียกว่า ควายตัวต้น เป็นตัวเล็กก็ได้ ไม่ค่อยมีแรงก็ได้ ควายตัวหนึ่งเป็นควายตัวปลาย อ้วนล่ำ มีแรงมาก นี่มันเหมือนกับ เป็นหนวก เป็นใบ้ มันไม่ฟังเจ้าของ มันไม่ทำอะไร นั้นการที่มันเลี้ยวได้ มันหยุดได้ มันถอยหลังได้ อะไรนั่น มัน มันแล้วแต่ควายตัวต้น เจ้าของเขาพูดกับควายตัวต้นทั้งนั้นแหละ คุณอย่าไปโง่มาก จนถึงกับว่า เขาพูดกับควายทั้ง ๒ ตัว เดี๋ยวนี้มันไม่ใคร่จะมีให้ดูเสียแล้ว เขาเปลี่ยนไปไถ ด้วยรถแทรคเตอร์ หรืออะไรเสียแล้ว แล้วก็ไถด้วยควายตัวเดียว มันก็ต้องเอาไอ้ คนนั่นแหละเป็นควายตัวที่ ๒ อ่า, ตัวที่ ๑ คือ เป็นตัวปัญญา ไอ้ควายแท้ ๆ มัน ควายตัวเดียวเป็นควายโง่
แต่สมัยก่อน เขาฉลาดกว่านั้น ไอ้ควายตัวต้นนั้นฉลาด ฟังคำสั่งเจ้าของว่า หยุดก็หยุด เออ, ว่าซ้ายก็ซ้าย ว่าขวาก็ขวา มันทำให้เปลี่ยนแปลงไปได้ ไอ้ตัวหนึ่ง มันก็ไม่มีหน้าที่อย่างอื่น นอกจากใช้กำลัง ตะพึด ไอ้ตัวต้นมันก็ มีแรงบ้าง รวมกันแล้วมันก็ได้แรงมากกว่าควายตัวเดียว แล้วก็มีสติปัญญาด้วย นี่เรื่องไถนาด้วยควาย ๒ ตัวมันดีอย่างนี้
ทีนี้ชีวิตนี้ มันก็ต้องเทียมด้วยควาย ๒ ตัว หรือด้วยวัว ๒ ตัว ควายตัวต้น คือ ความสว่างไสว ทางสติปัญญา ทางศาสนา ทางพระเจ้า คือ มีจิตใจสูง ทีนี้ควายอีกตัวหนี่ง ก็คือ เทคโนโลยี ความรู้ ความสามารถในทางร่างกาย ทางวัตถุ ทำสิ่งต่าง ๆ ทางวัตถุให้ล่วงไปด้วยดี เมื่อชีวิตของเราเทียมอยู่ด้วย ควาย ๒ ตัวอย่างนี้ มันก็เจริญสมบูรณ์ทั้งทางกาย และทางจิตใจ เดี๋ยวนี้คนในโลกสมัยนี้ มีควายแต่ตัวเดียว ไม่สนใจกับควายตัวที่ ๒ บอกว่า พระเจ้าตายแล้ว ศาสนาไม่จำเป็นแล้ว ศาสนาเป็นเรื่องครึคระ โง่เง่า บ้า ๆ บอ ๆ เหมาะแก่คนสมัย เมื่อหลายพันปีมาแล้ว ไม่มีประโยชน์ หรือไม่เหมาะสมแก่คนสมัยนี้เลย นี่ นี่คือ เขา เออ, เห็นไอ้ควายตัวที่หนึ่ง ที่สำคัญ นั่นเป็นอย่างนี้เสีย ก็เลยเหลือแต่ควายตัวเดียว เจริญทางวัตถุ เออ, แล้ว ก็ได้ฆ่ากัน ได้ฆ่าแกงกันด้วยการสงคราม มีปัญหาทางวัตถุมากมาย หลายร้อย หลายพันอย่าง แม้ที่สุดแต่ปัญหาเรื่องคุมกำเนิด มันก็เพราะความโง่อันนี้ ถ้ามันมีจิตใจ ที่ประกอบด้วยธัมมะแล้ว มันก็ไม่มี ปัญหา เออ, อันนี้ เกิดขึ้นจนถึงต้องคุมกำเนิดทางฟิสิกส์ หรือทางเนื้อหนัง ซึ่งทำลายศีลธรรมอย่างยิ่ง เดี๋ยวก็จะค่อยว่ากันก็ได้ ว่ามันเป็นอย่างไร
นี้เราจะพูดกันแต่ ว่าชีวิตนี้ต้องเทียมด้วยควาย ๒ ตัว คือ สติปัญญาตัวหนึ่ง และกำลังกาย ตัวหนึ่ง เรียกให้โก้ให้หรูก็ว่า เทคโนโลยีตัวหนึ่ง Spiritual Enlightenment อีกตัวหนึ่ง เป็น 2 ตัว แต่แล้วโลก สมัยนี้ ก็เหยียบย่ำทำลาย ไอ้ตัวที่สำคัญ คือ Spiritual Enlightenment นี่ผมหมายถึง คนส่วนใหญ่ คือ เกือบทั้งโลก ไม่ได้ว่าทุกคน มันก็มีอยู่บางคน แต่มันเป็นจำนวนน้อย ที่ยังสนใจกับความสว่างไสว ในทางวิญญาณ นั้นเอามาเป็นประมาณไม่ได้ เมื่อพูดกันว่าทั้งโลก มันก็หมายถึง ส่วนใหญ่ทั้งโลก เขาชอบกันแต่เทคโนโลยี คือ ความสามารถ ความเจริญก้าวหน้าในทางวัตถุ ก็เลยทำให้โลกนี้ เต็มแต่ ไปแต่ ควายโง่ตัวเดียว ไม่มีควายฉลาด ในทางวิญญาณ
โลกนี้ก็ มันก็เลยเป็นโลกของวัตถุ หรือวัตถุนิยม ไม่ว่าจะเป็นวัตถุนิยมชนิดไหน มันเป็นทาส ของกิเลส ตัณหาทั้งนั้น มันก็มีผลทำให้โลกนี้ มีแต่คนที่มัวเมาในวัตถุ หรือเนื้อหนัง มันก็เบียดเบียนกัน มากขึ้น และมีอะไรที่เป็นของลามกอนาจารในโลกนี้มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น จนไม่รู้ว่า จะเป็นอย่างไรแล้ว แต่แล้วเขาก็สมมุติมันเสียใหม่ว่า นั่นไม่ใช่ลามกอนาจารแล้ว มันเป็นความดี ความงาม ความถูกต้องเสียแล้ว ไปสังเกตพิจารณาดูให้ดีเถิดว่า เดี๋ยวนี้เขาแก้ไขศีลธรรมกันแล้ว สิ่งที่เคยถือว่าลามกอนาจารบัดสี ทำให้ใคร เห็นไม่ได้นั้น เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว เอามาแสดงให้คนเห็นทางจอโทรทัศน์ หรือว่าทางอะไรก็ได้ ประเจิดประเจ้อ ในที่สาธารณะก็ได้ มันกลายเป็นอย่างนี้ไป แล้วก็ประกวดความลามกอนาจารนี้ ในฐานะเป็นของดี สำหรับมนุษย์สมัยนี้ นี้ก็เรียกว่า ในส่วนศีลธรรม และวัฒนธรรมมันเป็นอย่างนี้
นี้ในส่วนเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง อะไรต่าง ๆ มันก็มีการเบียดเบียนกัน ระหว่างประเทศ ระหว่างชาติ มีแต่การใส่ร้ายด่าทอกัน อ่า, เต็มไปในบรรยากาศของโลกเรา อยู่ในวิทยุกระจายเสียงนี่ ไม่รู้กี่ร้อย กี่พันสถานี เต็มอัดไปในบรรยากาศของโลกนี้ มีแต่เสียงด่า เสียงว่าร้ายทั้งนั้น นี่ควายโง่ตัวเดียว มันให้ผลอย่างนี้ ถ้าเมื่อไรมันมี ไอ้ศีลธรรม มี เอ, เรื่องทางจิตวิญญาณเจริญก้าวหน้า มันก็ไม่มีแต่อย่างนี้ มันจะควบคุมไม่ให้มีสิ่งเหล่านี้ นี่แหละ มันก็เป็นสิ่งที่ควรจะพูดว่า อายุเอ๋ย แกมีโชคดีมาก ที่ได้อยู่มา และเห็นสิ่งเหล่านี้ คุณมองเห็น หรือไม่มองเห็น ก็ไปคิดดูเอง นี้มันก็เป็นเรื่อง เออ, ควรที่จะล้อ เป็นส่วนรวม เออ, เป็นส่วนใหญ่ หรือว่ารวมกันทั้งโลก ที่เกี่ยวกับอายุของผมนั้น มันไม่มีอะไรมากหรอก เพราะว่า ไอ้สิ่งเหล่านั้น มันทำอะไรผมไม่ได้ แต่ว่าผมอยากจะล้อมันเล่นว่า อ้อ, มันมีโชคดี มันอยู่มาได้เห็น เออ, ภาวะชนิดนี้ ที่กำลังเป็นอยู่ในโลก หรือกำลังครอบงำโลก
ทีนี้จะย้อนวกกลับมาดูผมคนเดียวก็ได้ ว่ามันมีปัญหาอะไรบ้าง แคบ ๆ ในวงตัวผมคนเดียว โดยเฉพาะ ผมก็จะพูดให้ฟังได้ ว่าอายุเอ๋ย แกกำลังเคราะห์ร้าย อยู่หลายอย่างทีเดียว แต่ที่น่าหัว น่าเอามา ล้อเล่นนั้นน่ะ มีอยู่เช่นว่า เดี๋ยวนี้ผมไม่มีโอกาส ไม่มีเรี่ยวแรง ที่จะตรวจตราต้นฉบับ ที่เขาคัดลอก ออกจากเทป แล้วเอามาพิมพ์เป็นเล่มหนังสือ ผมไม่มีเวลา ไม่มีแรง ที่จะตรวจสอบต้นฉบับเหล่านั้น เพราะฉะนั้นมันก็พิมพ์ไป มีผิด ๆ พลาด ๆ มากขึ้นทุกที ในนามของผม ผมพูดอย่างนี้ คัดลอกเป็นอย่างอื่น ก็มี และแม้ที่สุดแต่คำพูดเพียงคำพูด เออ, มันก็ผิดไปจากที่ผมเคยพูด
คุณลองอ่านดูสิ ไอ้หนังสือที่พิมพ์แจกนี่ มาใหม่ ๆ อย่างหนังสือ เออ, เล่มที่แจกวันนี้ เมื่อผมพูดว่า น่าหัว เขาก็ไปพิมพ์ว่าเป็น น่าหวัว (นาทีที่ 46:58) ผมไม่เคยพูดเลย ผมไม่พูดว่า น่าหวัว (นาทีที่ 47:02) นี้ไม่เป็นหรอก พูดแต่ว่า น่าหัว หรือน่าหัวเราะ ไม่ใช่ น่าหวัว (นาทีที่ 47:08) ผมพูดว่า น่าหัวเราะนะ ก็หมายความว่า น่าเลาะหัว (นาทีที่ 47:02) คือ มันโง่มาก จนน่าเอาอะไรมาเลาะหัวมันสักที ก็พูดว่า มันน่าหัวเราะ พูดสั้น ๆ ว่า น่าหัว แล้วเขา เขาก็เอาไป เขียนว่า ผมพูดว่า น่าหวัว (นาทีที่ 47:30) มันไม่รู้ว่าอะไร ผมก็เลยมานึกขันอยู่ในใจ หัวเราะอยู่คนเดียว ก็ล้อมันเล่นได้
ผมพูดทุกทีว่า บิดพลิ้ว บิดพลิ้ว เออ, ในเทป ไปฟังดูบิดพลิ้ว แต่พอเขาลอกเอามา เป็นตัวหนังสือ เป็นบิดพริ้ว ผมไม่รู้ว่าอะไรบิดพริ้ว พริ้วนี่มันไม่รู้ว่าอะไร ถ้าพลิ้ว มันก็พลิ้วไปตามลม เหมือนไอ้สาย เออ, แถบที่มันพลิ้วอยู่ตามลมนั้น มันก็พลิ้วสิ แต่เมื่อผมพูดว่า พลิ้ว ผมก็หมายความว่า มันบิดเฉออกไปนอกลู่ นอกทาง ผมพูดว่า บิดพลิ้ว เขาก็เขียนว่า บิดพริ้ว ก็น่าหัวแล้วก็เอามาหัว
ผมพูดว่า หมู เขาคัดลอกพิมพ์เอาไปเป็นหนู ฟังดูสิ ว่าราชสีห์มันไม่อยากรบกับหมูสกปรก ที่มาท้า เขาก็เขียนลงไป ว่าราชสีห์มันไม่อยากมารบกับหนูตัวสกปรกที่มันมาท้า ผมว่า หมู ก็เขียนว่า หนู แล้วผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าผมมันไม่มีเวลา ไม่มีเรี่ยวแรง ที่จะไปตรวจ ตรวจสอบต้นฉบับ นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยเอาไปพิมพ์ แต่ว่าไอ้เรื่องอย่างนี้ มันไม่สำคัญ มันไม่ถึงกับเสียหาย แต่มันก็มีอย่างอื่น คราวอื่น เวลาอื่น ที่เสียหาย เข้าใจผิดได้ เมื่อผมไปพูดที่คุรุสภา พูดโดยใช้คำว่า Indology (นาทีที่ 49:14) คนเราไม่ต้องเรียน Indology (นาทีที่ 49:18) ไม่ต้องเรียน Indology (นาทีที่ 49:19) คือ วิชาที่ว่าด้วย ประเทศอินเดีย ไม่ต้องเรียน ก็รู้พุทธศาสนาได้ นี้เวลาคัดลอกไปพิมพ์ มันกลายเป็น Ideology (นาทีที่ 49:29) มันเป็นวิชาปรัชญาแขนงอื่น อย่างนี้มันผิด มันเป็นที่เข้าใจผิดแก่คนผู้อ่าน มันเสียหายได้ อย่างนี้มันก็มี แล้วผมก็ไม่ว่าอะไร ไม่เคยปริปาก ไม่ได้บอกให้แก้คำผิด จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เพราะเห็นว่า มันเป็นเรื่องน่าหัว น่าเอามาล้อเล่น
นี้ก็ รวมความแล้ว อ่า, มันก็ได้ความว่า ผมไม่มีแรง ไม่มีเวลาที่จะตรวจแก้ต้นฉบับ คัดลอกเทป นั้นพวกคุณที่คัดลอกเทป ต้มยำผมเล่นได้ตามสบายใจ เชิญ เขียนว่า อะไรพิมพ์ไปอย่างนั้น เอาไปพิมพ์อ่าน กันทั่วประเทศอย่างนั้นก็ได้ ผมไม่ตรวจแก้ต้นฉบับ ไม่มีแรง ไม่มีเวลาจะตรวจมัน ความเสียหาย มันจะประดังมาที่ผม ผมไม่มีตัวกูของกู ฉันนี้ไม่รับเอาสิ่งเหล่านี้ ก็ล้อมันเล่นเป็นไปตามสบาย งั้นใครเป็น ผู้คัดลอก เทปออกไปพิมพ์ก็รับผิดชอบเองก็แล้วกัน แต่ก็ล้ออายุว่าอายุเอ๋ย แกตกอยู่ในฐานะอย่างนี้ ฉันไม่เป็น ฉันไม่เป็น ฉันไม่เป็นกับแก ถ้าแกมีความยึดมั่นถือมั่นสมมุติ แกก็ละอายไปสิ แกก็กลัวไปสิ แกก็รู้สึกว่ามันเสียหายไปสิ แต่ฉันไม่รู้สึกนี่ อย่างนี้ เป็นต้น นี้ก็ล้ออายุวันนี้ ปีนี้ ว่ามันเป็นอย่างนี้ นี่ผมล้อผม โดยส่วนตัว แท้ ๆ แคบ ๆ อย่างนี้ ล้อคนทั้งโลกเล่นก็ได้ ล้อตัวเองส่วนตัวเล่นแคบ ๆ อย่างนี้ก็ได้
ทีนี้ผมจะล้อคุณดูบ้างเอาไหม อย่าให้เสียเปรียบกัน ล้อผมนักแล้ว ผมก็ล้อคุณดูบ้าง ผมว่า อายุเอ๋ย แกนี่โชคดี อยู่มาถึงสมัยนี้ ซึ่งเป็นสมัยอวกาศ สมัยปรมาณู พวกพระก็ยังสวดสุขีตีกายุโก (นาทีที่ 51:45)ผิด ๆ อยู่นั่นแหละ พวกคุณนี้แทนที่จะสวดให้ถูกตามบาลีว่า สุขีฑีฆายุโก คุณก็สวดว่า สุขีตีฆายุโก (นาทีที่ 51:56) ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร ถ้าสุขีฑีฆายุโก แปลว่า จงมีความสุข จงมีอายุยืน เดี๋ยวนี้เมื่อสวด อนุโมทนา คุณก็สวดว่า สุขีตีกายุโก (นาทีที่ 52:12) สุขีมันถูก แต่ตีกายุโก (นาทีที่ 52:16) นี้ไม่รู้ว่าอะไร ไปตีกามาเล่นกันเหรอ หรือไปยุโคให้มันชนกันอย่างนั้นเหรอ นี่คุณสวดว่า สุขีตีกายุโก (นาทีที่ 52:25) ผมได้ยินหลายองค์สวด แม้เมื่อวาน วันสองวันนี้ ก็ยังสวดอนุโมทนาที่หินโค้ง มันก็ยังมีอย่างนี้ นี่อายุเอ๋ย อยู่มาถึงสมัยอวกาศ ปรมาณู แล้วก็ยังมีพระสวดอยู่ว่า สุขีตีกายุโก (นาทีที่ 52:43) สวดเอาสตางค์เขาเยอะ ๆ แยะแล้ว ก็ยังสวดเอาอนุโมทนาบางบทไม่ได้ สวดอนุโมสั้น ๆ บางบทที่ควรจะ สวดได้ก็สวดไม่ได้ ไปเอาสตางค์เขามาเยอะแยะแล้ว พระสมัยนี้ นี่ผมล้อคุณเล่นบ้าง เดี๋ยวคุณก็จะโกรธ อย่าโกรธสิ นักปราชญ์ บัณฑิต เออ, ดูเหมือนรัชกาลที่ 6 ท่านเขียนไว้ว่า
ถึงล้อก็ล้อ เพียงกัลลเยี่ยง (นาทีที่ 53:15) วิธีสหาย บ่มิมุ่งจะทำร้าย บ่มิมุ่งประจานใคร
ถึงล้อก็ล้อ เพียงกัลลเยี่ยง (นาทีที่ 53:24) วิธีสหาย มิมุ่งจะทำร้าย บ่มิมุ่งประจานใคร
ที่ล้อกันเล่น ที่ล้อเพียงเพื่อนกัน ไม่ได้ล้อว่าจะทำร้าย หรือจะประจานอะไร ถ้าคุณรู้สึกอย่างนี้ ก็ดี ผมจะล้อตัวเองก็ดี ล้อใครก็ดี ล้อเพื่อเพื่อนกันจะได้ดีขึ้น ไม่ได้มุ่งจะทำร้ายให้เจ็บใจ มิได้จะประจาน ให้เสียหาย ถ้าล้อกันอย่างนี้ มันก็ดี นี่คำกลอนของท่านมีอย่างนี้ ผมจำได้อย่างนี้ มันอาจจะผิดเพี้ยนไปบ้าง บางพยางค์ก็ได้ แต่ความหมายมันเป็นอย่างนี้ ว่าถึงล้อก็ล้อเพียงกัลลเยี่ยง (นาทีที่ 54:10) วิธีสหาย อ่า, มิมุ่งจะ ทำร้าย บ่มิมุ่งประจานใคร แม้จะล้อเล่นกันอย่างเพื่อน มันก็ยังมีรบกันอยู่บ้างใช่ไหม คือ มันมีกระทบกระทั่ง บ้างนี่ มันมีรบกันบ้างเป็นธรรมดา แม้ว่าล้อกันเล่นนี่ มันก็ยังมีอาการแห่งการรบ หรือการกระทบกระทั่ง กันบ้างเป็นธรรมดา งั้นบางคนจึงโกรธ ถ้าโกรธ มันก็ยังเป็นเด็กอมมือ ยังมีอายุทางวิญญาณน้อยเกินไป ถ้าเขาล้อแล้วโกรธ
พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างไรในเรื่องนี้ ท่านสอนว่าให้เห็นว่า คำด่าเป็นการชี้ขุมทรัพย์ แต่พวกคุณไม่ยอมรับ พวกคุณเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ไม่ยอมรับคำด่า เป็นการชี้ขุมทรัพย์ เพราะว่า คุณยังโกรธ ผมอยู่บ่อย ๆ ทั้งที่ผมไม่ได้ด่าอะไรมากมายนัก เพียงแต่ล้อเล่นเท่านั้น คุณก็ยังโกรธผมอยู่บ่อย ๆ ส่วนพระพุทธเจ้าท่านว่า คำด่าเป็นการชี้ขุมทรัพย์ นี้เพียงแต่ล้อเล่นเท่านั้น นี้ผมอยากจะพูดว่า มัน ในการล้อ นั้น มันก็มีการรบปนอยู่บ้าง คือ มันจะกระทบกระทั่งบ้าง มันหลีกไม่ได้ เพราะมันมีความหมาย มันก็กระทบ จิตใจ นี้ถ้าว่าไม่ให้ล้อ เออ, ไม่ให้ด่า ไม่ให้ เออ, สอนอะไรบ้าง มันก็จะทำกันยังไง มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
เดี๋ยวนี้อยากจะบอกว่า แม้แต่ศีล ๕ ก็ถือไม่ได้ นี้มันจะเจ็บปวดสักเท่าไร ถ้าว่าเป็นพระ เป็นเณร แล้ว ศีล ๕ ก็ยังถือไม่ได้ ศีล ๕ เขาว่าเป็นของฆราวาส ศีล ๑๐ เป็นของเณร ศีล ๒๒๗ เป็นของพระ แล้วถ้า ถ้าผมบอกว่า เป็นพระ เป็นเณรแล้ว ศีล ๕ ก็ยังถือไม่ได้ มันจะเจ็บปวดสักเท่าใด ไอ้นี่มัน ผมก็อยากจะพูดว่า แม้แต่ผมเองก็ถือไม่ได้ก็ได้ เพราะว่าการที่จะถือศีล ๕ ให้ครบถ้วนบริบูรณ์นั้น มันไม่ใช่เล่น หรืออยากจะ พูดว่า ศีลทั้งหมดมันรวมอยู่ในศีล ๕ ไม่ว่าศีลกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสน มันรวมอยู่ในศีล ๕ ถ้าถือศีลให้ครบ บริสุทธิ์บริบูรณ์ ทั้งพัน ทั้งหมื่น ทั้งแสนไม่ได้ มันก็เท่ากับถือศีล ๕ ไม่ได้ นี่ปาติโมกข์มี ๒๒๗ สิกขาบท เรียกว่า อาทิพรหมจาริยกาสิกขา (นาทีที่ 57:02) แต่แล้วมันมี อภิจา อภิสมาจาริยกาสิกขา (นาทีที่ 57:08) อีกกี่ร้อย กี่พันคุณก็รู้ ถ้าคุณเคยเรียนนักธรรมโทมาแล้ว คุณก็รู้ซึ่งเป็นอาบัติทุกกฎ มันก็ถือไว้ไม่ได้ทุกข้อ คือ ทั้งร้อย ๆ พัน ๆ นั้น มันมีการล่วง หรือการต้องแสดงอาบัติมีอยู่
ถ้าจิตใจมีความยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวกู ของกูแล้ว มันหลีกไม่พ้น มันต้องมีอาบัติ จึงเรียกว่า ถือศีล ๕ นี้ก็ไม่ได้ นี่คุณฟังดูให้ดี ๆ ว่าศีลทั้งหมด มันสรุปรวมลงไปในศีล ๕ โดยเฉพาะปาติิโมกข์ พูดกันให้เข้าใจดีกว่า ศีล ๕ ว่าไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่ให้ลักทรัพย์ ไม่ให้ประพฤติผิดในกาม ไม่ให้พูดเท็จ ไม่ให้ดื่มน้ำเมา มีเท่านี้ แต่แล้วรัศมีของมันครอบไปหมด เรียกว่า ครอบจักรวาล นั้นถ้าคุณจะถือศีล ๕ ให้มีให้ได้จริง ๆ แล้ว ต้องถือให้ครบ ครอบไปหมดทั้งจักรวาล คือ ความหมายกว้างขวาง
ศีลข้อที่ ๑ ว่าปาณาติปาตา เวรมณีนี้ ไม่ให้ฆ่าสัตว์อย่างนี้ แต่ความหมายของมันครอบจักรวาล ว่าไม่ประทุษร้ายชีวิตร่างกาย ไม่ประทุษร้ายชีวิตร่างกาย ของผู้อื่นโดยวิธีการใด ๆ ก็ตาม โดยวิธีการใด ๆ ก็ตาม มันก็เลยแยกออกไปเป็นหลายข้อ อ่า, เช่น ในปาติิโมกข์ ไม่ประทุษร้าย แม้แต่เงื้อมือ แม้แต่ตี ก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ แม้แต่เงื้อมือจะตี ก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ หรือกระทบกระทั่งให้เขาลำบากอย่างอื่น ก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ แล้วยังมีอาบัติทุกกฎอีกเยอะแยะ ที่มันกระทบกระทั่งชีวิต หรือร่างกายของผู้อื่น งั้นปาณาติบาต ศีล ๕ ข้อที่ ๑ นั้นน่ะ มันไปขยายออกไป หลายข้อในพระปาติโมกข์ และในอภิสมาจาร
นี้ข้อที่ ๒ อื่อ, อทินนาทานา เวรมณี ไม่ให้ลักทรัพย์อย่างนี้ มันต้องถือว่า ไม่ประทุษร้าย ทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ด้วยอาการใด ๆ ก็ตาม อย่าไปทำทรัพย์สมบัติ ของเขาให้เสียหาย ด้วยอาการใด ๆ ก็ตาม สำหรับฆราวาสพูดไว้ ข้อเดียวอย่างนี้ แล้วมันไปขยาย ออกไปเป็นหลายข้อในปาติโมกข์ หรือใน อภิสมาจาร ไปกระทบกระทั่งวัตถุสิ่งของของผู้อื่น อย่าว่าแต่ให้ อย่า อย่าขโมยเลย แม้แต่จะไปทำให้ เขาเสียหาย มันก็ไม่ได้
นี้ศีล ๕ ข้อที่ ๓ ว่ากาเมสุมิจฉาจาร ว่าไม่ให้ประพฤติผิดในกามนี้ คือไม่ประทุษร้ายของรักใคร่ ของบุคคลอื่น มันไปขยายออกไปในปาฏิโมกข์ ไปแตะต้องของคนอื่นก็ไม่ได้ ที่ทำให้ขัดใจเขามันไม่ได้ นี่เดี๋ยวนี้ มันสอนกันแต่เพียงว่า ศีลข้อกาเมนี้อย่าไปทำชู้ แล้วคนที่ยังเด็ก ๆ ยังไม่รู้เรื่องชู้เรื่องสาวนี้ จะถือได้อย่างไร มันต้องถือให้ถูกตรงตามความหมายของศีลข้อนี้ ว่าไม่ประทุษร้ายของรักของผู้อื่น เด็ก ๆ อย่าไปแตะต้องของรักของผู้อื่น จะเป็นดินสอ ปากกา ตุ๊กตา ของอะไรก็ตาม อย่าไปแตะต้องของเขา เขาหวง พอไปแตะต้องของเขาเท่านั้น เขาไม่สบายใจ ศีลข้อกาเมต้องถือกันอย่างนี้ อย่าไปประทุษร้าย ของรักใคร่ของบุคคลอื่น โดยวิธีใด โดยอาการอย่างไร ขนาดไหน เท่าใดก็ตาม นี่ศีลข้อนี้ มันก็ขยายไป หลายข้อในปาติโมกข์ ในอภิสมาจาร
ทีนี้ศีลข้อที่ ๔ มุสาวาท อย่าประทุษร้าย สิทธิอันชอบธรรมของผู้อื่นด้วยวาจา ก็อย่าพูดเท็จ มันเป็นคำที่สั้น ลุ่น แคบ เราใช้คำบัญญัติว่า อย่าไปประทุษร้ายสิทธิอันชอบธรรม ความเป็นธรรม อะไรของ ผู้อื่น ด้วยวาจาเป็นเครื่องมือ มันก็ป้องกันได้หมด
ทีนี้ข้อที่ ๕ ว่าไม่ดื่มน้ำเมาสุราเมรัยนี้ ขอให้ถือเอาความหมายที่กว้างที่สุดว่า อย่าประทุษร้าย สติสมประดีของตนเอง อย่าประทุษร้ายสติปัญญา หรือสมประดีของตนเอง ด้วยวิธีใดก็ตาม กินน้ำเมา สุราเมรัย เข้าไปนั้นน่ะ มันประทุษร้ายสติปัญญา และสมประดีของตนเอง มันสูญเสียสมประดี คนเมาน่ะ มันไม่มีสมประดี มันก็ทำอะไรได้ทุกอย่าง เพราะน้ำเมานั้นมันไปประทุษร้าย สติสมประดีแล้ว ทีนี้ประทุษร้าย เออ, สมประดีนี่ มันไม่ใช่แต่น้ำเมา ไปดูหนังดูละคร มันก็ประทุษร้าย หรือว่าขี้ลืม มันก็ประทุษร้าย สมประดี
มันจึงมีวินัยในปาติิโมกข์ว่า ภิกษุอยู่ปราศจากจีวรเป็นอาบัตินิสัจจีปาจิตตีย์ (นาทีที่01:02:50) หรือละเมิดต่อบาปเป็น นิสสัคคิยปาจิตตีย์ (นาทีที่ 01:02:55) อย่างนี้ ก็คือ อย่าให้มันขี้ลืม เพราะว่า การขี้ลืมนั้น มันประทุษร้ายสติสมประดี สิกขาบทในปาติิโมกข์ มีอยู่หลายมากทีเดียว ที่มันมีลักษณะป้องกัน ไม่ให้ประทุษร้าย ต่อสติสมประดี คือความจำที่แน่วแน่ หรือความมีสมประดีที่แน่วแน่ มันมีอะไรหลายอย่าง นั้นการที่ปาติโมกข์จะออกไปตั้ง ๒๒๗ ข้อนี้ มันก็มีมากไปกว่าศีล ๕ ข้อ เราสามารถกระจายศีล ๕ ข้อนี้ ออกไปเป็น ๒๒๗ ข้อ ยังสามารถกระจายเป็น อภิสมาจารอีกหลายร้อย หลายพันข้อ
ผมจึงพูดว่า พวกคุณถือศีล ๕ ก็ยังไม่ได้ เพราะมันไม่ตรงตามความมุ่งหมาย ที่เป็นวิญญาณ ของ ศีล ๕ ซึ่งจะสรุปสั้น ๆ ไว้ว่า ศีลข้อที่ ๑ ไม่ให้ประทุษร้ายต่อร่างกาย และทรัพย์สมบัติของผู้อื่น โดยวิธีใดก็ตาม ศีลข้อที่ ๒ อ้าว, ไม่ใช่ เดี๋ยวผิดไป ศีลข้อที่ ๑ ไม่ให้ประทุษร้ายชีวิต และร่างกายของผู้อื่น โดยวิธีใดก็ตาม ศีลข้อที่ ๒ ไม่ให้ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น โดยวิธีใดก็ตาม ศีลข้อที่ ๓ ไม่ให้ประทุษร้ายของรักของใคร่ ในความหมายที่เป็นของรักของใคร่ของผู้อื่น โดยวิธีใดก็ตาม และศีลข้อที่ ๔ ไม่ให้ประทุษร้ายสิทธิอันชอบธรรม หรือความเป็นธรรมของผู้อื่น โดยวิธีใดก็ตาม ด้วยวาจาก็ตาม หรือเขียนก็ตาม ด้วยท่าทาง ก็ตาม และศีลข้อที่ ๕ ไม่ให้ประทุษร้ายสติปัญญา หรือสมประดีของตนเอง ด้วยวิธีใดก็ตาม ถ้าอย่างนี้แล้ว มันหมดเลย ศีล ๕ ข้อนี้ มันจะครอบศีลทั้งหมด ทั้งกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น แล้วถือศีลเพียง ๕ ข้อนี้ จะมีศีลหมดทุกอย่าง
นี่แล้วมันยังถือไม่ได้ใช่ไหม นี่มันน่าหัวเราะว่า อายุเอ๋ย ล่วงมาถึงป่านนี้แล้ว ก็ไม่เคยได้เห็นใคร ถือศีล ๕ ได้ครบถ้วน บริบูรณ์เลยนี้ มันน่าเศร้าด้วย แล้วมันก็น่าล้อด้วย ควรจะมาล้อกันในวันนี้ ว่าอายุเอ๋ย แม้แต่ศีล ๕ แกก็ยังถือ ให้บริบูรณ์ไม่ได้ ในเมื่อมันยังมีความยึดมั่นถือมั่น ตัวกูของกู มากเกินไปอยู่อย่างนี้ มันก็เล่นตลกกับการถือศีล ศึกษาเรื่องศีลไว้แก้ตัว ว่าไม่ขาดศีล ไม่ได้ศึกษาไว้ถือ พวกนี้มันศึกษาเรื่องศีล ๕ องค์ศีล ๕ อะไรศีล ๕ นี้ เพื่อแก้ตัวเองว่าไม่ขาดศีล จะหาช่องทางที่จะแก้ตัวว่าไม่ขาดศีล ไม่ได้ศึกษา เพื่อว่า จะให้มันมีศีล ก็ล้อมันเล่น เสียบ้างสิว่า ศีล ๕ ก็ยังถือไม่ได้นะ โว้ย, ศีล ๕ แกก็ยังถือไม่ได้นะ โว้ย, อย่าอวดดี ให้มันมากไป นี่ผมเรียกว่า ล้อ ผมล้อคนทั้งโลกก็แล้ว ล้อตัวเองก็แล้ว ล้อคุณ ล้อพวกคุณดูบ้าง ก็ยังสวด สุขีตีกายุโก (นาทีที่ 01:06:47) อยู่บ้าง อนุโมทนาบทสั้น ๆ ก็สวดไม่ได้ เอาสตางค์เขาเยอะแล้ว และศีล ๕ ก็ยังถือไม่ได้ นี่ผมล้ออายุ ที่มันล่วงไป ล่วงไป ล่วงไป ในลักษณะที่มันอยู่ในสภาพอย่างนี้ เรียกว่า เราทำบุญล้ออายุกันที
ทีนี้ ผมอยากจะพูดต่อ ๆ ไปอีก ทีละเรื่อง สองเรื่อง ซึ่งมันก็ต้องเกี่ยวกับผมเองเป็นส่วนใหญ่นะ เพราะว่าผมรู้จักตัวผมเองดีกว่ารู้จักคนอื่น ผมไม่รู้จักคนอื่นมาก เท่ากับที่ผมรู้จักตัวผมเอง เพราะงั้นถ้ามีอะไร มาล้อ มันก็เอาเรื่องของตัวเองออกมาทั้งนั้น มาคุ้ยเขี่ยตีแผ่กระจายโดยไม่ละอาย โดยไม่ต้องละอาย เพราะเป็นการสารภาพบาป สารภาพความผิด ไม่ต้องละอาย เคยโง่มาอย่างไร ก็เอามาเล่าหมด เคยเขลา เคยหลง เคย เออ, บ้าบออย่างไร ก็เอามาเล่าให้ฟังหมด แต่ผมเรียกว่า ล้ออายุที่มันผ่านมา เดี๋ยวนี้ ผมกำลังล้อ ตัวเอง อยู่เป็นข้อใหญ่ ว่าอายุเอ๋ย แกนี่เพิ่งรู้ว่า พระเจ้ากับพระธรรมนั้น เป็นของสิ่งเดียวกัน เมื่อไม่กี่วันนี้เอง เพิ่งรู้ว่าพระเจ้ากับพระธรรมนั้น เป็นของอย่างเดียวกัน เมื่อไม่กี่วันหรือไม่กี่ปีนี้เอง
นี่ก่อนโน้น ก่อนโน้น ก็รังเกียจพระเจ้า ด่าเขาเรื่องถือพระเจ้า อะไรพระเจ้า เดี๋ยวนี้แกมารู้ว่า พระเจ้าที่แท้ ที่จริง ที่ถูกนั้นมันคือ พระธรรมเจ้านี่เอง พระเป็นเจ้ากับพระธรรมเจ้านี้ เป็นของอย่างเดียวกัน นี่ก็ล้อความโง่ ที่มันเคยโง่มากี่ ๑๐ ปี นี่เพิ่งมารู้เดี๋ยวนี้ ว่าพระเป็นเจ้าพระธรรมเจ้านั้น มันเป็นของ สิ่งเดียวกัน ราวกับว่าศาสนาทุกศาสนานั้นเป็นศาสนาเดียวกัน ไม่มีศาสนาอื่น ไม่มีศาสนาเขา ไม่มีศาสนาเรา มีแต่ศาสนา เดียวกัน ถ้ามันยังเป็นศาสนาอื่น ศาสนาเขา ศาสนาเรา อยู่แล้วมันยังไม่ใช่ศาสนาที่แท้จริง แกมันยังโง่ ไปเอาเปลือก ไปเอากระพี้ของศาสนานั้น ศาสนานี้มาเปรียบเทียบกัน แล้วมันก็ต่างกัน แล้วก็ทะเลาะกัน นี้แกมันยังโง่ แกมันเพิ่งมารู้ เมื่อไม่นานมานี้เองว่า ศาสนาทุกศาสนานั้น เป็นศาสนาเดียวกัน
ทีนี้ก็เลยไปพูดให้เห็นว่า ทุกศาสนามันเหมือนกัน พระเจ้าคือพระธรรม หัวใจของพุทธศาสนา มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลของพวกคริสเตียน แล้วอุตส่าห์พยายามไป ชี้แจงอย่างละเอียดลออ ให้พวกคริสเตียนฟัง นี่คำ อธิบายเหล่านี้ก็แพร่หลาย บางคนหรือส่วนใหญ่ที่สุดไม่เห็นด้วย แล้วก็ด่าผม นี่ฟังดูให้ดี พระลังกา เออ, ว่าแกเป็นบ้า ว่าผมน่ะเป็นบ้า พวกคริสเตียนว่า แกนี่กำลังจะกลืนเขาแล้วนะ พวกอภิธรรมก็ว่า แกนี้เป็นขบถ ต่อพระพุทธเจ้าเสียแล้ว พวกลังกาพวกหนึ่งที่เขาเคร่งในพระเจ้า เขาว่า ผมบ้า พูดว่าพุทธกับคริสต์เหมือนกัน โดยใจความนี้ ทีนี้พวกคริสต์ส่วน ๆ หนึ่ง หรือส่วนใหญ่นี่ เขาว่าระวังให้ดี ระวังให้ดี พุทธทาสนี้จะกลืน ศาสนาคริสต์อยู่แล้ว นี่ว่าหาว่า ผมเป็นคนอันธพาล จะไปกลืนเขา
ทีนี้ พวกพุทธกันเอง โดยเฉพาะพวกอภิธรรมนี้ ที่เคร่งในตัวหนังสือนี่ เขาว่าผมเป็นขบถ ต่อพระพุทธศาสนาแล้ว เป็นขบถต่อพระพุทธเจ้าแล้ว ไปลดราคาของพุทธศาสนา ให้เท่ากับคริสเตียน อย่างนี้คุณคิดดู ผมก็มารำพึงถึงตัวเองแล้วว่า อายุเอ๋ย แกนี่มันเคราะห์ร้ายแล้ว พวกลังกาก็ด่า พวกคริสต์ก็ด่า พวกไทยก็ด่า นี่เรียกว่า ล้ออายุ ในปัจจุบันนี้ มันมีหลักใหญ่ หรือใจความใหญ่ ว่าอย่างนี้ ดูให้ดีนี่ โชคดี หรือโชคร้ายกันแน่ แกมีโชคร้าย หรือมีโชคดี โว้ย, ดูให้ดี อ้าว, มาคิดถึงข้อนี้แล้ว มันก็มีส่วนที่ควรล้อ อยู่แง่หนึ่ง ว่าตั้งหลาย ๑๐ ปีแล้ว ทำไมแกไม่รู้เรื่องนี้ ทำไมแกจึงเพิ่งมารู้เมื่อไม่นานมานี้ แล้วก็พูดออกไป ให้เขาด่า นี่ก็เอามาล้อเล่น
ทีนี้ เรื่องนี้มันก็พูดกันยาก ว่าใครจะถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควร ผมในฐานะที่เป็นตัวฉัน อ้า, ถือสติปัญญา มันก็จะถือว่าควร ควรพูด แต่ถ้าอายุ ที่เป็นเนื้อหนังร่างกาย มันก็ค้านว่าไม่ควร มันจะถูกด่า เปล่า ๆ อย่าไปพูด พูดแล้วมันถูกด่าเปล่า ๆ อย่าไปพูด ถึงจริงก็อย่าพูด ถ้าพูดไปแล้ว มันถูกด่า หรือเขาจะ อ่า, ทำอันตรายเอาด้วยก็ได้ มันก็แย้งกันอยู่อย่างนี้ นี้เราถือโอกาสล้อมัน ล้อร่างกาย ล้ออายุทางร่างกายนี้ ว่าแกมันขี้ขลาด แกมันไม่กล้าพูด ก่อนนี้แกมันโง่ เดี๋ยวนี้ถึงจะฉลาดขึ้นมาบ้าง แกมันก็ยังขี้ขลาด ยังไม่กล้า พูดความจริง นี้เรียกว่า ล้อมันเล่น
เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น ผมได้พูดไว้ในที่อื่นมากแล้ว หนังสือก็ได้พิมพ์ไปมากแล้ว คุณไปหาดูเอง อ่านดูเองว่า หลักพุทธศาสนาที่เป็นหัวใจนั้น มันก็เหมือนกับหัวใจของศาสนาอื่น ๆ คือ การทำลาย ความเห็นแก่ตัว ในไบเบิลของคริสเตียนโดยเฉพาะ New Testament (นาทีที่ 01:14:09) นี้เต็มไปด้วยคำพูด ที่สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นเลย และสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นตัวตนเหมือนกันอย่างยิ่งด้วย ข้อความ ๔-๕ บรรทัดใน โกเอ็นเชี่ยน (นาทีที่ 01:14:25) คือ St.Pual (นาทีที่ 01:14:25) ประมวลคำสอน ของพระเยซูทั้งหมด มาสอนหมู่คนที่ฉลาดหมู่หนึ่ง เรียกว่าชาว โกเอ็นเชี่ยน (นาทีที่ 01:14:35) สอนว่า ถ้ามีทรัพย์สมบัติ ก็จงมีจิตใจเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ มีภรรยาก็ต้องมีจิตใจเหมือนกับไม่มีภรรยา มีความสุขก็เหมือนกับว่า ไม่มีความสุข มีความทุกข์ก็เหมือนกับว่าไม่มีความทุกข์ ซื้อของที่ตลาดอย่าเอา อะไรมา มันเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น
ซื้อของที่ตลาดด้วยเงินของตนเองถือมา หิ้วมา ก็ไม่คิดว่าของกู เอามากินมาใช้ เข้าไปแล้ว มันก็ไม่คิดว่าของกู คือ ไม่ถือกรรมสิทธิ์ ในสิ่งใดว่าเป็นของกู คือ ไม่เป็นโจรปล้นธรรมชาติ เอาธรรมชาติ มาเป็นของกู ไม่เป็นโจรปล้นพระเจ้า เอาของทุกอย่างที่เป็นของพระเจ้า มาเป็นของกู นี่เขาสอนอย่างนี้ ไม่ให้ยึดสิ่งใด ว่าเป็นของกู นั่นแหละมันคือ หัวใจของพุทธศาสนา ที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล ถ้าคุณเข้าใจ คุณก็รอดตัวไปเหมือนกัน หรือว่าเป็นเพื่อนถูกล้อกับผมก็ได้
ถึงแม้ในคัมภีร์โกหร่าน(นาทีที่ 01:15:50) ของมุสลิม ใจความสำคัญ มันก็เรื่องไม่ให้เห็นแก่ตัว ในเรื่องว่าใครไม่นับถือศาสนามุสลิม จะฆ่ามันเสียนั้น เป็นเรื่องของสาวกที่บ้าเลือด บางคราว บางพวก บางขณะเท่านั้น พระศาสดาเองก็สอนไม่ให้เห็นแก่ตัว ขนาดที่ว่าเขากู้ยืมเงินแล้ว อย่าเอาดอกเบี้ยเป็นอันขาด อย่างนี้ มันก็แสดงความไม่เห็นแก่ตัว ถึงมันจะมีความมุ่งหมายอย่างไรก็ตาม แต่มันเป็นการแสดง ความไม่เห็นแก่ตัว ทุก ๆ อ่า, ทุก ๆ ข้อสิกขาบทจบลง จะ ๆๆ มีคำกำชับให้ทำตาม พระเจ้าอย่างเคร่งครัด โดยชีวิตจิตใจเสมอ มันเป็นเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว ที่ถูกย้ำไว้ ทุก ๆ ๔-๕ บรรทัด ในตลอดคัมภีร์โกหร่าน
ทีนี้ในลัทธิที่มันเป็นปรัชญาหรือเป็นอะไรล้วน ๆ หรือเป็นศาสนา ที่ลึกเกินไป จนไม่มีใครรู้จัก เช่น ลัทธิเต๋าอย่างนี้ มันก็สอนทำลายความเห็นแก่ตัว ว่างจากตัว ยิ่งไปกว่า คำสอนในพระพุทธศาสนาเสียอีก นี้เราก็ต้องไปมองด้วยจิตใจ ที่เป็นธรรมว่าในศาสนาไหน เขาก็สอนไม่ให้เห็นแก่ตัว ให้ทำลายความเห็นแก่ตัว จึงต้องยอมรับว่า มันเหมือนกันทุกศาสนา และเป็นศาสนาเดียวกัน ไม่ต้องมีเรามีเขาในเรื่องนี้ เพราะถ้าพูดไป เราแหละลำเอียง เราไม่รู้จักเรื่องของเขาแล้วก็พูดเดา ๆ เหมา ๆ เอาไปว่าดีกว่าเขา เลวกว่าเขา อย่างนี้ นี่เป็นเรื่องที่น่าล้ออย่างยิ่ง น่าล้ออย่างยิ่ง เป็นคนโง่ ไม่รู้อะไร แล้วก็ว่า อ่า, เดา ๆ ไปเท่านั้น ผมก็เคยโง่มาแล้ว (เสียงเบามากนาทีที่ 01:18:06-01:18:16) โดยเข้าใจผิดมาแล้ว เพิ่งหายความโง่ ชนิดนี้ เมื่อไม่นานมานี้ จึงเอามาพูดให้ฟัง ถ้าขึ้นชื่อว่าศาสนาแล้ว จะต้องการทำลายความเห็นแก่ตัว ด้วยกันทั้งนั้น อย่าไปปล้น เอาของธรรมชาติมาเป็นของกู อย่าไปปล้นเอาของพระเจ้ามาเป็นของกู แล้วสอนให้ควบคุมกิเลส
บางศาสนาก็สอนลึกซึ้งกว่า พุทธศาสนาหรือคัมภีร์พุทธศาสนาก็มี หรือบางทีสอนไว้ลึกเท่ากัน อ่า, แต่ผู้ฟังไม่เข้าใจ เห็นเป็นแตกต่างกันเสียก็มี อย่างในคัมภีร์คริสเตียน พระเยซูสอนถึงขนาดว่า เขาตบแก้มซ้ายให้ตบแก้มขวาด้วย เขาขโมยเสื้อไปแล้ว เอาผ้าคลุมนอกตามไปให้เขาด้วยนี่ เรายังไม่ได้สอน อย่างนี้ใช่ไหม ข้อความในคัมภีร์ของเรานั้น ยังไม่ได้สอนให้ให้อภัย หรือว่าทำมากถึงขนาดนี้ จนดูคล้ายเป็น ประชด แต่ที่จริงก็ไม่ใช่ประชด สอนให้อดกลั้น อดทน ให้ให้อภัย แล้วให้สร้าง เออ, ความเมตตาที่ยิ่งขึ้นไป เพื่อทำลาย ความชั่วเสียด้วยความดี ชนะความชั่วด้วยความดี
อย่างมากที่พระพุทธเจ้าท่านจะสอนอย่างใน กกจูปมสูตร (นาทีที่ 01:19:35) ถ้าโจรมันเอาเลื่อย มาเลื่อยเรา อย่าได้รู้สึกโกรธ อย่าได้รู้สึกอึดอัดขัดใจต่อโจรนั้น นี่ฟังดูให้ดี ก็เพียงแต่ว่าอย่าอึดอัดขัดใจ ต่อโจรนั้น ยังไม่ได้บอกว่าให้ขอบใจมันเลย เรื่องที่เล่าอยู่ใน เขียนอยู่ในพระสูตรนั้น ก็น่าเสียวไส้ว่า ถ้าพวกโจรจับเธอ แล้วยึดไว้ เอาเลื่อยมาเลื่อย พอเลื่อยหนังขาด มันก็เจ็บปวดเหลือทน ถ้าเธอมีจิตใจ ประทุษร้ายต่อโจรนั้น เธอไม่ใช่สาวกของเรา ทีนี้โจรเลื่อยต่อไปจนกล้ามเนื้อขาด มันเจ็บปวดอย่างยิ่ง ถ้าเธอมีจิตใจ ประทุษร้ายต่อโจรนั้น เธอไม่ใช่สาวกของเรา ถ้าโจรเลื่อยต่อไปจนกระดูกขาดถึงเยื่อในกระดูก ถ้าเธอมีจิตประทุษร้ายต่อโจรนั้น เธอไม่ใช่สาวกของเรา พระพุทธเจ้าท่านก็สอนมากถึงอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้ สอนถึงขนาดว่า เขาขโมยเสื้อแล้ว จะเอาผ้าห่มตามไปให้ด้วย นี่ผมพูดตรง ๆ ถ้าจะแก้ตัวก็ต้องแก้ตัว เพราะพระพุทธเจ้าท่านพูดพอดี พระเยซูท่านพูดดีเกินไปก็ได้ คือมากเกินไปก็ได้ แต่แล้วอย่าลืมนะ ว่าไอ้ ไอ้ดีเกินไปอย่างนี้ มันไม่เสียหายนะ พูดเผื่อให้มากไว้ ทำให้ได้ตามนั้น ทำได้ ๘๐% มันก็พอดี
เอาทีนี้ ที่จะพูดอย่างที่พิสูจน์กันได้ดีกว่า พวกชาวพุทธ ทายก อุบาสก อุบาสิกานี่ จะทำบุญ อะไร ก็ต้องให้คนอื่นรู้ จะทำบุญอะไรก็ต้องให้คนอื่นรู้ จะต้องเป่าปี่ ตีกลอง เออ, เป่าแตร แห่ขบวน ว่าฉันไป ทอดกฐิน โว้ย, ฉันไปทำอะไร โว้ย, ซึ่งครั้งพุทธกาลก็ไม่เคยมนี่ีแหละ จะทำอะไรสักนิด มันก็เขียนป้ายติดไว้ ที่นั่นว่าคนนั้นออกเงินเท่านั้น คนนี้ออกเงินเท่านี้ จนฝาผนังโบสถ์ หรือเสาโบสถ์เต็มไปด้วย ลวดลายเหล่านี้ เหมือนกับลิงไปป้ายไว้ หรือ อ่า, ปูไปเขียนไว้งั้นแหละ
แต่พระเยซูนั้นสอนว่า เมื่อมือขวาทำบุญ อย่าให้มือซ้ายรู้ เมื่อมือขวาทำบุญอะไรลงไป อย่าให้มือซ้ายรู้ นี่ผัวทำบุญอะไรลงไป เมียก็ไม่รู้ เราว่ามือขวาทำบุญ มือซ้ายไม่รู้ นี่จะพูดให้เป็นจิตวิทยา ให้ลึกซึ้ง ก็ว่าอย่าให้กิเลสมันรู้ กูจะทำบุญ อย่าให้กิเลสมันรู้ ถ้ากิเลสมันรู้ มันจะเอาไปโฆษณาว่า กูทำบุญ เท่านั้นบาท เท่านี้บาท ร้อยบาท พันบาท หมื่นบาท แสนบาท อย่างนั้นอย่างนี้ โว้ย, อย่าให้กิเลสมันรู้ ให้มันเงียบ หรือว่าถึงวันพระ วันซาบาท (นาทีที่ 01:22:54) นั้นน่ะ แต่งตัวให้สวย ใส่น้ำหอม ใส่แป้ง ใส่อะไร อย่าให้ใครรู้ นี้กูถือศีลอุโบสถ เขาสอนกันอย่างนี้
แล้วก็ลองเปรียบเทียบดสิู ว่าถ้าชาวพุทธยังจะมัวเป่าปี่ ตีกลอง หรือว่าเขียนป้าย เขียนจารึก เขียนอะไรกันอยู่ จะทำบุญอะไรสักหน่อย ก็ต้องผ่านมือบุคคลสูงสุด ให้โฆษณาในหนังสือที่กว้างขวางนี่ มันก็ มัน มันไปคนละทาง กับที่พระเยซูสอนว่า มือขวาทำบุญ อย่าให้มือซ้ายรู้ พอเราเห็นแล้วก็สังเวช เลยเอามาล้อตัวเอง ว่าอายุเอ๋ย แกนี้ก็บ้า อยากดีอยากเด่น โฆษณาตัวเองอย่างนั้นอย่างนี้ มามากมายเหลือเกิน จะทำอะไรสักหน่อย ก็ว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ถือโอกาสสวมรอย เอาไอ้คำพูดที่ดี ๆ นี้มาใช้มาอะไรต่าง ๆ เรียกว่า มัน มันน่าอดสู มันน่าละอาย มันมากมายเหลือเกิน ถ้ามันมีความเข้าใจ แตกต่างกันขนาดนี้ ในส่วนปลีกย่อย ส่วนเปลือก ส่วนฝอยไปด้วยเสียทั้งหมด
งั้นเราอย่าเอาเปลือก เอาฝอยเป็นหลัก เอาหัวใจเป็นหลัก แล้วก็จะรู้ว่าพระธรรมนั้น มีเพียงอย่างเดียว และอย่างเดียวกันหมด จะเรียกพระธรรมว่าพระเจ้า มันก็เป็นอย่างนั้น จะเรียก พระธรรม ว่าพระธรรมเจ้า มันก็เป็นอย่างนั้น จะเรียกพระธรรมว่าศาสนาคริสเตียน พุทธศาสนา ศาสนาอิสลาม ฮินดูอะไร มันก็เป็นอย่างนั้น คือ มุ่งหมายจะกำจัด ความเห็นแก่ตัว แล้วคนทุกคนอย่าปล้นเอาของพระเจ้า หรือของธรรมชาติมาเป็นของตัว อย่าได้มีความรู้สึกเป็นตัวก ูของกู นี่คือ เนื้อแท้ของพุทธศาสนา ที่มันเหมือนกัน
พูดให้หมดเลย ก็พูดว่า พระรัตนตรัยนั้น เป็นของสากล แก่ทุกศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือพระรัตนตรัยนี้ ต้องให้เป็นของสากล ได้แก่ทุกศาสนา ถ้าไม่นั้นแล้ว ไม่ใช่พระรัตนตรัยจริง จะเป็นพระรัตนตรัยเปลือก ของคนที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวกู เห็นแก่พวกของกู อะไรก็เป็นของกูเสียหมด ไม่ใช่พระรัตนตรัยจริง ถ้าเป็นพระรัตนตรัยจริง ต้องเป็นของสากล คือ ของทุกคน หรือของทุกศาสนา พระพุทธเจ้า คือ ผู้รู้การทำลายความเห็นแก่ตัว ด้วยพระองค์เองเป็นคนแรก พระธรรม ก็คือ การศึกษา เล่าเรียน การปฏิบัติ และผลของการปฏิบัติ เป็นการทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น และพระสงฆ์สาวกทั้งหมด ก็คือ ผู้ที่กำลังทำลายตัวกูของกู อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ใช่พระสงฆ์ งั้นไม่ต้องพูดกัน ถึงเรื่องอื่น
ถ้าทำลายตัวกูของกูอยู่แล้ว มันก็มีศีล สมาธิ ปัญญา มีอะไรครบอยู่ในเวลานั้น เรียกว่า รักษาศีล ๕ ก็รักษาได้ในขณะนั้น แต่ว่าแล้ว มันก็เผลอ รักษาไม่ได้เสียอีก ส่วนที่รักษาไว้ได้นั้นมันมีน้อย เวลาที่รักษา ไม่ได้ มันมีมาก จึงถูกประณามว่ารักษาไม่ได้ ก็ขอให้พยายามกระทำไป พยายามกระทำไป จนกว่ามันจะ รักษาได้ คือ รักษาสติสัมปชัญญะไว้ได้ ในการที่จะไม่เห็นแก่ตัว ไม่ให้ความรู้สึกที่เป็น ตัวกูของกู เออ, เกิดขึ้นมา เรียกว่า เป็นหัวใจแท้ของคนทุกคน ของธัมมะทุกแขนง ทุกสาขา ของทุกศาสนา เพราะว่าคนทุกคนต้องการอย่างนี้ ผมกำลังพูดว่า คนทุกคนต้องการอย่างนี้ คุณช่วยฟังดูให้ดี คนทุกคน ในสากลจักรวาลนี้ มันต้องการอย่างนี้ คือ ต้องการให้ผู้อื่นเห็นแก่ตัว ต้องการให้ผู้อื่นเห็นแก่เราบ้าง ไม่ให้ ไม่ต้องการให้คนทุกคนเห็นแก่ตัวเอง เราเองก็ต้องการอย่างนั้น
นั้นจึงควรจะถือเป็นหลักว่า คำสอนที่สอนไม่ให้เห็นแก่ตัวนั้นเป็นของทุกคน เมื่อเป็นของ ทุกคน มันก็ต้องเป็นของทุกศาสนา งั้นเราอย่าไปเอาเปลือกนอก ผิวนอกมาเป็นข้อยืนยัน ขัดขวางกันว่า ศาสนานั้นผิด ศาสนานี้ถูก แล้วจะเพ่งเล็งเอาแต่เนื้อใน ว่าเขามุ่งหมายจะทำลายความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น ถ้าทำผิดจากนั้นนั่นเป็นสาวกโง่ ๆ ของศาสนานั้น กระทำลงไป ไม่ใช่ความตั้งใจแท้จริงของ พระศาสดา แห่งพระศาสนานั้น ๆ ขอให้เข้าใจอย่างนี้
ทีนี้จะว่าทำไมศาสนามันจึงต่าง ๆ กัน ดูต่าง ๆ กัน มีหลายอย่างต่าง ๆ กัน นี้มันเป็นเรื่อง ปลีกย่อย ส่วนที่เป็นผิวนอก เพื่อที่จะให้เหมาะแก่กาลเทศะในยุค ในสมัย ในถิ่น ในประเทศที่มันต่างกัน ศาสนาใดเกิดขึ้น ในถิ่นที่คนฉลาด สบายดี ก็สอนสูงลิบ ศาสนาใดเกิดในถิ่น หรือในยุคที่คนโง่ แห้งแล้ง กันดาร เต็มไปด้วยความทนทุกข์ทรมาน ก็สอนต่ำ ๆ เขาสอนให้จำง่าย บางทีก็ต้องผูกไว้เป็นอุปมา เป็นคำเปรียบ นี่มันจึงสอนไม่เหมือนกัน เมื่อศาสนาหนึ่งสอนตรง ๆ เป็นธรรมาธิษฐาน อีกศาสนาหนึ่ง สอนเป็นคำเปรียบ เป็นบุคคลาธิษฐาน แต่เนื้อในมันเหมือนกันนี้ ที่มีมาตีความอันนี้ไม่ได้ เลยเห็นต่างกัน แล้วทะเลาะวิวาทกัน ในระหว่างศาสนา ลักษณะอย่างนี้ กำลังมีอย่างยิ่ง ระหว่างพุทธศาสนา กับคริสต์ศาสนา ที่ผมได้สำรวจดู
ถ้ามันผ่าน ไอ้ความโง่เขลาอย่างนี้ไปได้ มันก็จะยิ้มรับ หันหน้าเข้าหากันได้ เพราะว่าทุกคน สอนการทำลายความเห็นแก่ตัว นี่เรายังหาพบหัวใจของพระพุทธศาสนา มีอยู่ทั่วไปในคัมภีร์ไบเบิล โดยเฉพาะ New Testament (นาทีที่ 01:29:47) ที่เป็นคำสอนของพระเยซู และสาวกของพระเยซู นั้นเราเลิก ความคิดที่ว่า มีพวกเขาพวกเรา มีศาสนาอื่น มีศาสนาตัว มีอะไรนี้เสียที จะหายโง่ ถ้ายังโง่ ก็ต้องเอามาล้อ ให้หายโง่ แม้เราเคยโง่มานาน เพิ่งมานึกได้เดี๋ยวนี้ ก็ต้องเอามาล้อ ให้มันหายโง่เด็ดขาดลงไป อย่าได้กลับโง่อีก นั้นผมจึงเอามันมาล้อ อย่าให้มันกลับโง่อีก ให้ตัวฉันซึ่งเป็นตัวสติปัญญา อ่า, ล้อกิเลส ซึ่งเป็นความโง่ ให้อายุทางวิญญาณ มันล้ออายุทางร่างกาย ความสูงทางสติปัญญา เป็นอายุทางวิญญาณ ความแก่แรด แก่แดดทางร่างกายนี้ เป็นอายุทางร่างกาย ให้มันรู้จักล้อกันอยู่อย่างนี้เสมอไป แล้วก็จะปลอดภัย ก็จะมี ความเจริญงอกงามก้าวหน้า ไปตามทางของพระธรรม หรือของพระศาสนา ที่จะสามารถเป็นที่พึ่งได้จริง
ฉะนั้น ผมจึงขอโฆษณาชวนเชื่อในทีนี้ว่า ไอ้การล้อนี้มันได้บุญ การล้อนี้มันได้กุศล การล้อนี้ ทำให้เกิดความเห็นแจ้งแทงตลอด อย่างที่กล่าวมาแล้ว วันนี้เราก็มานั่งล้ออายุกันอย่างนี้ ก็เพื่อวัตถุประสงค์ อันนี้ ล้ออายุแห่งความโง่เขลาที่ล่วงมา แล้วแต่หนหลัง หรือว่ากำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ก็ดี ขอชักชวนว่า ถ้าผู้ใดจะให้ของขวัญแก่ผม ให้ถึงสูงสุดในการทำบุญวันเกิดแล้ว ก็จงช่วยกันล้ออายุให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปเถิด นับตั้งแต่อดข้าวสักวันหนึ่ง อดนอนสักวันหนึ่ง หรืออะไรก็ตาม ให้มันเป็นการประชดน้ำหน้ามัน อย่าให้มัน เห็นแก่ตัว มันก็จะมีความเห็นแก่ตัวน้อยลง น้อยลง แล้วมันก็จะกล้าแข็ง เข้มแข็ง เฉลียวฉลาด จนไปถึงกับ สามารถมีจิตใจอยู่เหนือความยึดมั่นถือมั่น เรื่องกาล เรื่องเวลา เรื่องอะไร ก็ไม่มาหลอกให้หลงได้อีกต่อไป อ่า, ไม่มัวมาสมมติว่ากูอายุ ๗๐-๘๐ ปีแล้ว มึงยังเป็นเด็กอมมือ มึงต้องไหว้กู มึงต้องทำอะไร อย่าไปคิดอย่างนั้น นั่นมันเป็นเรื่องอายุทางร่างกาย ตั้งไว้เป็นศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับทางร่างกาย อย่าไปยึดมั่นถือมั่น แม้ว่าจะต้องทำก็ทำไปตามประเพณี แต่ถ้าตัวไปโง่ไปหลงมากเข้า นั้นน่ะมันจะ ๕ แต้ม แล้วมันจะน่าละอาย แล้วมันควรจะล้อ แล้วเอามาล้อตัวเองเสีย ไอ้ความโง่นั้นก็จะหมดไปนี่
เรียกว่า วันนี้เรา ก็ล้อกัน ได้ชั่วโมงครึ่งแล้วว่าอายุเอ๋ย แกไปมัวหลง ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักความลวงของความสมมุติ เรื่องการนับอายุ แกได้อยู่มาถึงบัดนี้ ก็ไม่มีอะไรดี มีแต่ความหลงอยู่ ไปทั่วทุกหัวระแหง ในทุก ๆ มุมโลก ใช้ควายตัวเดียว และเป็นควายโง่ อยู่เรื่อยไป แม้สาวกของพระพุทธเจ้า ในพระพุทธศาสนา ก็ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ยังไม่ลืมหูลืมตา ไม่ขยันขันแข็งในหน้าที่ ที่ตนจะพึงกระทำ ถือเป็นเรื่องมากเกินไป เหลือวิสัย อะไรทำนองนี้ จนว่าสุขีฑีฆายุโกก็ไม่ถูก รักษาศีล ๕ ก็ไม่ได้ แล้วคิดว่า ศาสนาของตัวดีกว่าศาสนาของคนอื่น ยกหูชูหาง
นี่เอามาล้อเท่านี้ สำหรับชั่วโมงครึ่ง ก็นับว่ามากพอแล้ว งั้นขอยุติไว้ทีก่อน ตอนบ่าย ตอนเย็น ค่อยพูดกันใหม่ ต่อไป